Friday, July 27, 2012

27/07/2012 * มูลค่าแท้จริงของทองคำและน้ำมันดิบ (1)


การลงทุนและค่าเงิน 27/07/2012 (รายงานวันเทรดที่ 26/07/2012)



วันที่ 26/07/2012 นี้ ตลาดหุ้นในย่านเอเชียแปซิฟิกไปกันคนละทาง มีทั้งปิดบวก ปิดลบ และทรงตัว ส่วนตลาดหุ้นไทยนั้น SET index ไหลลงในชาวงบ่าย สุดท้ายปิดที่ 1172.92 จุด (-1.3%) ต่างชาติขายสุทธิเล็กน้อย ประมาณ 76 ล้านบาท แต่วันที่ 25/07/2012 ต่างชาติขายสุทธิเยอะ ประมาณ 3800 บ้านบาท

ทางด้านตลาดหุ้นฝั่งยุโรป ปิดเขียวสวย ดัชนีตลาดหุ้นในยุโรปขึ้นไปมากพอควรจากข่าวอัดฉีดเงินเข้าสเปน ดัชนี DAX ของเยอรมนี +2.8% ดัชนี CAC 40 ของฝรั่งเศสขึ้นไป +4.1%

ทางด้านฝั่งอเมริกาก็ขึ้นเหมือนกัน ดัชนีโบเวสปา (Ibovespa) ของบราซิลขึ้นไป +2.8% ส่วนดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของสหรัฐอเมริกา +1.7%

ด้านสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมันดิบปรับตัวขึ้นจากข่าวความไม่สงบในซีเรีย ช่วงนี้น้ำมันเล่นข่าวเรื่องซีเรียกัน น้ำมันดิบเบรนต์ +1.1% น้ำมันดิบ wti +0.7% เล่นด้วย พุ่งไป +0.5% ส่วนสินค้าเกษตรไม่ตามน้ำมันดิบ วันนี้ปรับตัวลง ดัชนีสินค้าเกษตร DJUBSAG อยู่ที่ 91.59 (-2%) ราคาข้าวโพด ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ปรับตัวลงต่อเนื่องมาสองสามวันแล้ว สินค้าเกษตรช่วงนี้เล่นข่าวภัยแล้ง ไม่ได้เล่นข่าวน้ำมัน ดังนั้นราคาจึงอาจไม่ตามน้ำมันดิบในช่วงสั้นๆ

ด้านค่าเงินหรืออัตราแลกเปลี่ยน เงินดอลลาร์ สรอ อ่อนค่าลงแรง ดัชนีดอลลาร์ สรอ (USD index) แกว่งในกรอบ 82.7 ถึง 83.7 จุด เงินสกุลยุโรปแข็งค่า เงินยูโรกับฟรังก์สวิส +1.0% ส่วนเงินสกุลเอเชียแปซิฟิกปรับตัวน้อย ดอลลาร์ออสเตรเลีย +1.0% ดอลลาร์สิงคโปร์ +0.4% เงินเยนกับเงินบาททรงตัว แทบไม่เปลี่ยนแปลง

วันนี้ (26/07/2012) ทองคำเกิดสัญญาณซื้อ ราคาทองคำนึกว่าจะหลุดชายธงลงมาข้างล่าง แต่ตอนนี้กลับเด้งไปติดปลายชายธงด้านบน (ยังไม่ทะลุ) ส่วนฟิวเจอร์สของ SET50 เกิดสัญญาณขายแล้ว ส่วนดัชนีเซ็ตยังไม่เกิดสัญญาณขาย สัญญาณฟิวเจอร์สครั้งนี้ไว้กว่า ส่วนดัชนี DAX เด้งขึ้นไปพยายามจะไปปิดช่อง (gap) ที่วันก่อนเปิดเอาไว้เป็น falling window ลองดูอีกวันสองวัน หากดัชนีสามารถขึ้นไปปิดช่องได้ สภาพความเป็น falling window ก็ถูกหักล้างหมดไป

แถมท้ายสำหรับวันนี้ ลุงแมวน้ำเอาภาพหุ้นอภินิหารมาให้ดูตัวหนึ่ง นั่นคือ KWH ดังภาพต่อไปนี้




หลังจากที่ราคานิ่งมานานหลายปี เมื่อวันที่ 25 จู่ๆก็เกิดวิ่งขึ้นไปติดเพดาน มาพร้อมกับปริมาณซื้อขายราวๆ 101 ล้านหุ้น และวันต่อมาก็ร่วงหัวทิ่ม วันที่ 26 ซื้อขายกันเพียง 26 ล้านหุ้น ปกติหุ้นตัวนี้ไม่มีสภาพคล่อง ราคาที่หวือหวา สภาพคล่องแบบมาเร็ว เคลมเร็ว ไปเร็ว เช่นนี้ ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่ได้เพราะกว่าจะวิเคราะห์ทางเทคนิคเสร็จนักลงทุนก็อาจหมดตัวไปแล้ว หุ้นแบบนี้ต้องใช้การวิเคราะห์เจ้ามากกว่า ซึ่งปกติก็วิเคราะห์กันไม่ค่อยออกหรอก แต่สำหรับกรณีนี้ลุงแมวน้ำคิดว่าเจ้าปล่อยของออกมาแล้วเรียบร้อย เราอยู่เฉยๆอย่าไปยุ่งดีกว่า เดี๋ยวรายย่อยจะกลายเป็นรายยุ่ยไปเสีย การลงทุนเป็นกิจกรรมต่อเนื่องตลอดชีวิต หวังผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 8% ถึง 12% ก็พอ ค่อยๆสะสมทุนและขยายผลไป อย่าไปหวังรวยลัด



มูลค่าแท้จริงของทองคำและน้ำมันดิบ (1)



มีเรื่องหนึ่งที่ลุงแมวน้ำอยากคุยมานานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสเขียนสักที นั่นคือเรื่องเกี่ยวกับทองคำ ว่ามีมูลค่าหรือว่ามีราคาที่แท้จริงหรือที่เรียกว่า fair value เท่าไรกันแน่

ลุงแมวน้ำเคยพูดหลายครั้งแล้วว่าทองคำไม่มีมูลค่าแท้จริงหรือว่าไม่มี fair value เพราะว่าไม่รู้จะไปเทียบกับอะไร บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นยังสามารถประเมิน fair value ได้จากงบการเงินของบริษัท แต่ทองคำนั้นไม่มีงบการเงินอะไรให้ดู ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าทองคำราคาเท่านั้นเท่านี้ถูกไปหรือแพงไป จะได้เข้าลงทุนได้ถูกจังหวะ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครตอบคำถามข้อนี้ได้หรอก ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคบ้าง ใช้ความถูกใจบ้าง เดาบ้าง ฯลฯ นักลงทุนชื่อดังหลายคนก็ไม่ค่อยชอบทองคำและหลีกเลี่ยงการลงทุนทองคำเพราะว่าประเมินมูลค่าไม่ออกนั่นเอง

ในความเห็นของลุงแมวน้ำ การลงทุนทองคำกับการลงทุนน้ำมันดิบก็พอๆกัน นั่นคือเราไม่รู้ fair value ของทองคำพอๆกับที่เราไม่รู้ fair value ของน้ำมันดิบ แต่ในความรู้สึกของนักลงทุนคิดว่าราคาน้ำมันดิบพอจะมีเกณฑ์อะไรให้วัดหรือเปรียบเทียบได้บ้าง นั่นคือ เรามักใช้ระดับราคาที่กลุ่มโอเปกพอใจเป็นเกณฑ์หรือคืออนุมานว่าความพอใจของโอเปกเป็น fair value ของน้ำมันดิบ

สำหรับชาวบ้านทั่วไป เรามีวิธีการอย่างหนึ่ง นั่นคือการเทียบราคาก๋วยเตี๋ยวกับราคาทองคำ ลุงแมวน้ำได้ยินการเปรียบเทียบแบบนี้อยู่เสมอ เช่น บอกว่าเมื่อก่อนก๋วยเตี๋ยวชามละหกสลึง (หกสลึงรู้จักกันไหม ภาษาเก่า 1.50  บาทน่ะ ^_^) ตอนนั้นทองคำบาทละ 400 บาท ส่วนตอนนี้ก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 บาท ทองคำบาทละ 24000 บาท เป็นต้น นัยของการเทียบมูลค่าของทองคำก็คือการเอาไปเทียบกับราคาสินค้าหรือเทียบกับเงินเฟ้อนั่นเอง โดยเราเชื่อกันว่าทองคำนั้นเป็นสินทรัพย์ต้านเงินเฟ้อ ถือเงินสดเอาไว้แล้วเงินสดจะด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ แต่หากถือทองคำแล้วไม่มีวันด้อยค่า ดังนั้นเราจึงมักนิยมเก็บสะสมทองคำกันเอาไว้

สาเหตุที่ทองคำเป็นที่นิยมสะสมกันนั้นเพราะในอดีตทองคำเป็นสินทรัพย์ที่สมมติขึ้นมาให้เป็นสิ่งมีค่าที่หนุนหลังระบบเงินตรา นั่นคือ ในสมัยก่อน ประเทศใดหากต้องการพิมพ์หรือผลิตเงินตราออกมาจะต้องมีทองคำหนุน นั่นคือ มีทองคำเท่ากับมูลค่าของเงินตราที่จะผลิตออกมา เพราะหากไม่มีกฎกติกากันเลยใครอยากพิมพ์เงินเท่าไรก็พิมพ์ออกมาได้ ธนบัตรคงปลิวว่อนกันทั่วโลก ดังนั้นในยุคหนึ่งทองคำคือกฎกติกาของการผลิตเงินตรา และเราจึงถือว่าทองคำเป็นทรัพย์สินมีค่าต้านเงินเฟ้อกันเรื่อยมา

แต่ต่อมาเมื่อถึงยุคหนึ่งที่ระบบการค้าของโลกขยายตัวมากขึ้น ปริมาณทองคำที่มีอยู่ในโลกเริ่มไม่เพียงพอ รวมทั้งปัจจัยด้านอื่นๆ เช่น ด้านการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กฎกติกาก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป นั่นคือ การผลิตเงินตราไม่ต้องใช้ทองคำหนุนหลังทั้งหมด ใช้เพียงบางส่วน หรือจะไม่ใช้เลยก็ได้ แล้วแต่ว่าใครใหญ่ อย่างสหรัฐอเมริกาบอกว่าไม่ใช้ทองคำหนุนเงินตราเลยก็ทำได้ เพราะว่าใหญ่ไง แต่หลายๆประเทศก็ใช้ทองคำหนุนระบบเงินตราบางส่วน

ที่จริงมูลค่าของทองคำนั้นก็เป็นเรื่องที่เราอุปโลกน์กันขึ้นมา ในสมัยโรมัน สิ่งที่มีค่ามากไม่ใช่ทองคำ กลับเป็นเกลือ เกลือที่เราเหยาะใส่อาหารนี่แหละ ในยุคโรมันที่มีการยกทัพไปตีประเทศต่างๆ ทหารจึงมักไม่ได้อยู่ภายในบ้านเมืองของตน แต่ต้องยกทัพไปอยู่ในดินแดนต่างๆ ในยุคนั้นเกลือมีค่ามาก ถึงขนาดที่รัฐบาลโรมันต้องจ่ายเงินเดือนทหารเป็นเกลือ เพราะว่าในดินแดนบางแห่งเกลือหายากหรือไม่มีเลย อ้าว ไม่เชื่อลุงแมวน้ำเหรอ จริงๆ ไม่ได้หลอก ลุงแมวน้ำมีหลักฐาน เกลือในภาษาละติน (ภาษาของชาวโรมัน) นั้นคือ sal และการจ่ายเบี้ยเลี้ยงเป็นเกลือนั้นภาษาละตินเรียก salarium (เงินค่าเกลือ) ซึ่งต่อมาเมื่อหมดยุคที่เกลือหายากยิ่งกว่าทองคำ การจ่ายค่าตอบแทนหรือเบี้ยเลี้ยงก็กลายมาเป็นการจ่ายด้วยเงินตรา แต่คำว่า salarium ก็ยังคงถูกใช้กันต่อมา และก็เป็นที่มาของคำว่า salary ที่แปลว่าเงินเดือนในภาษาอังกฤษนั่นเอง

พูดเรื่องทองไหงวกมาลงที่เกลือ คุยกันขำๆ อย่าไปเครียดมาก วันนี้ลุงแมวน้ำต้องไปแล้วละครับ เอาไว้คุยต่อสัปดาห์หน้าก็แล้วกันเนอะ ^_^




No comments: