ราวต้นปี 2009 (พ.ศ. 2552) ตอนนั้นตลาดหุ้นทั่วโลกมีอาการรีบาวด์ขึ้นมาบ้างหลังจากที่เป็นขาลงครั้งใหญ่นานประมาณ 2 ปี อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่แตกในสหรัฐอเมริกา ที่เรียกว่า วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger crisis) ซึ่งวิกฤตในครั้งนั้นเริ่มตั้งแต่ปี 2007
ตอนที่ตลาดหุ้นรีบาวด์นั้นไม่มีใครแน่ใจหรอกว่าตลาดหุ้นได้กลับมาเป็นขาขึ้นแล้ว ตอนนั้นต่างก็คิดกันไปต่างๆนานา บ้างก็คิดกันว่ารีบาวด์แล้วลงต่อ
ประกอบกับในตอนต้นปี 2009 เป็นช่วงที่ตลาดทุนของไทยเพิ่งมีผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าให้ลงทุนกันไม่นานนัก นั่นก็คือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือที่เรียกว่าฟิวเจอร์ส (futures) ซึ่งเป็นตราสารอนุพันธ์ชนิดหนึ่ง มีทั้งสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตร (AFET) และในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) แต่โดยรวมแล้วก็ยังมีผลิตภัณฑ์ให้เทรดเพียงไม่กี่รายการ อีกทั้งนักลงทุนรายย่อยทั่วไปยังไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้านัก ลุงแมวน้ำจึงมีความคิดที่จะทำเว็บบล็อกที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการเทรดฟิวเจอร์สขึ้นมา ซึ่งก็คือเว็บบล็อกของลุงแมวน้ำแห่งนี้นี่เอง
แต่เดิมนั้นลุงแมวน้ำตั้งชื่อเว็บบล็อกนี้ว่า เว็บบล็อกของลุงแมวน้ำ เพื่อการลงทุนในหุ้น กองทุน และฟิวเจอร์ส และเนื่องจากลุงแมวน้ำเป็นนักลงทุนในสายการวิเคราะห์ทางเทคนิค คือใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและสัญญาณซื้อขายเป็นหลัก ใช้ปัจจัยพื้นฐานประกอบบ้างเพียงเล็กน้อย ดังนั้นเนื้อหาหลักที่นำเสนอในเว็บบล็อกนี้ในช่วงต้นคือความรู้เกี่ยวกับการเทรดฟิวเจอร์ส ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ น้ำมันดิบ ยางพารา และ ฟิวเจอร์สของดัชนี SET50 แทน การลงทุนทองคำ ลงทุนน้ำมันดิบ ลงทุนยางพารา และ ลงทุนหุ้น ที่เป็นสินค้าจริง แต่ก็ไม่ได้เจาะจงเรื่องฟิวเจอร์สเสียทั้งหมด มีเรื่อง การลงทุนในหุ้น และ การลงทุนในกองทุนรวม ผสมอยู่ด้วย เพราะกองทุนรวมนี่แทรกเข้าไปหมดในทุกตลาดเนื่องจากมีกองทุนต่างๆมากมาย อาทิ กองทุนรวมทองคำ กองทุนรวมน้ำมันดิบ กองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่เป็นกองทุนเปิด เป็น กองทุน LTF, RMF ฯลฯ และการออกรายงานที่เป็นผลการคำนวณสัญญาณทางเทคนิคต่างๆ แต่ละวันก็นำผลคำนวณมาโพสต์และแสดงความเห็นต่างๆเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคและแนวโน้ม
ลุงแมวน้ำก็สนุกกับการออกรายงาน แสดงความเห็นเรื่องการลงทุนเรื่อยมา โดยไม่ได้คุยเรื่องอื่นใดนอกเหนือจากการลงทุน เพราะคิดว่าหากจะคุยเรื่องข่าว เรื่องการเมือง หรือเรื่องทั่วไปอื่นๆ แต่ละคนก็อาจได้อ่านและได้ฟังมามากแล้วจากแหล่งอื่นๆ หากลุงแมวน้ำคุยเรื่องเหล่านี้ซ้ำอีกก็จะทำให้เบื่อเสียเปล่าๆ เหมือนกับโฆษณานั่นแหละ ไปไหนก็เจอแต่โฆษณา บางทีเราก็อยากหาที่ไหนสักแห่งที่ปลอดจากโฆษณาเพื่อพักสมองและสายตาบ้าง ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงมักไม่ค่อยคุยเรื่องอื่นใดนอกจากการลงทุน
กาลเวลาผ่านไป จนในปีที่สามที่ลุงแมวน้ำทำเว็บบล็อก หรือในปี 2011 หลังจากที่ตลาดหุ้นขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2009 พอมาถึงปี 2011 ตลาดหุ้นเริ่มเสียหลักและทำท่าว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่อีกแล้ว นักเศรษฐศาสตร์บางรายมองถึงขนาดว่าวิกฤตรอบใหม่นี้อาจหนักหนาและกินเวลายาวนานกว่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เสียอีก ลุงแมวน้ำได้เห็นนักลงทุนรายย่อยติดหุ้น ขาดทุน และหมดตัวออกจากตลาดไปในช่วงนี้รายแล้วรายเล่า ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกอันเป็นเหมือนวัฏจักร ไม่ว่าตลาดจะดีหรือร้ายก็ต้องมีนักลงทุนหน้าใหม่ขาดทุนอย่างหนักและออกจากตลาดไปอยู่เสมอ
ลุงแมวน้ำจึงมาคิดว่าเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ปัจจุบันนักลงทุนมีความรู้เกี่ยวกับตราสารอนุพันธ์มากขึ้นแล้ว ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงอยากเปลี่ยนไปนำเสนออะไรที่เป็นมุมมองที่กว้างขวางขึ้นและมีความหมายมากขึ้น เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่นักลงทุนมากยิ่งขึ้น
แล้วจะนำเสนออะไรดีล่ะ ความคิดก็มาหยุดอยู่ที่ตัวตนของลุงแมวน้ำนี่เอง หลายๆคนที่เข้ามาลงทุนในตลาดทุนก็หวังที่จะร่ำรวย รวมทั้งบางคนยังคาดหวังสูงกว่านั้น คือคิดที่จะร่ำรวยในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อก่อนลุงแมวน้ำก็เคยคิดเช่นกัน รวมทั้งเคยติดหุ้น ขาดทุน และล้มเหลวในตลาดทุนมาแล้วเช่นกัน แต่หลังจากที่ผ่านเส้นทางชีวิตมายาวนานขึ้น ได้เห็นโลกและชีวิตมากขึ้น ความคิดและมุมมองของลุงแมวน้ำก็เปลี่ยนไป ลุงแมวน้ำเห็นว่าแนวความคิดแบบทุนนิยมตลาดเสรีเป็นแนวความคิดที่ส่งเสริมให้คนมีแต่ความเห็นแก่ตัว มือใครยาวสาวได้สาวเอา แม้หลายคนจะร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้มีความสุขในชีวิต ชีวิตมีแต่ความเคร่งเครียด กังวล และเจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่างๆ
ต่างจากชีวิตของลุงแมวน้ำที่มีความสุขกับชีวิตตามอัตภาพ แม้ลุงแมวน้ำเคร่งเครียดบ้าง กังวลบ้าง แต่ก็เป็นแค่ชั่วครั้งชั่วคราว มีเจ็บป่วยบ้างแต่โดยรวมแล้วก็มีสุขภาพที่ดีเพราะออกกำลังกายเป็นประจำ และที่สำคัญคือลุงแมวน้ำไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้เป็นทุกข์กับเรื่องรายได้ อีกทั้งยังเป็นสุขกับการแบ่งปัน การรู้จักให้และรู้จักรับ เพราะลุงแมวน้ำถือปรัชญาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเอื้ออาทรหรือทุนนิยมการุณย์ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า compassionate capitalism หรือ philantropic capitalism นั่นเอง
ดังนั้นตั้งแต่ปลายปี 2011 เป็นต้นมา ลุงแมวน้ำจึงได้ปรับแนวทางของเว็บบล็อกนี้เสียใหม่ โดยปรับเปลี่ยนเป็น การแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับการลงทุนแบบตลอดชีวิตเพื่ออิสรภาพทางการเงิน เนื้อหาในบล็อกเป็นแบบบูรณาการ คือไม่ได้มองเพียงมิติของการลงทุน แต่มองในมิติของการใช้ชีวิตและการลงทุนแบบองค์รวม ภายใต้ปรัชญาการดำเนินชีวิตแบบทุนนิยมเอื้ออาทร และเปลี่ยนชื่อเว็บบล็อกเป็น ชีวิตและการลงทุน บล็อกของลุงแมวน้ำเพื่อการออมและการลงทุนอย่างมีความสุข
เนื่องจากปรัชญาการลงทุนของลุงแมวน้ำคือเพื่ออิสรภาพทางการเงิน การดำรงชีวิตอย่างสมดุลและมีความสุขด้วยการเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ มิใช่ลงทุนเพื่อความร่ำรวย ดังนั้นภายในบล็อกจึงมีทั้งบทความที่เกี่ยวกับแง่คิด ปรัชญาชีวิต การดำเนินชีวิต ไลฟ์สไตล์ ฯลฯ ควบคู่ไปกับบทความที่เกี่ยวกับ การวิเคราะห์เศรษฐกิจ การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ทั้ง หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ (ทองคำ น้ำมันดิบ ยางพารา สินค้าเกษตร ฯลฯ) ตราสารหนี้ กองทุนรวม อีทีเอฟ (ETF) และ อนุพันธ์ (Futures และ Options) ด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยเน้นที่การลงทุนและสินทรัพย์ในตลาดทุนของไทย และอาจมีการกล่าวถึงการลงทุนและสินทรัพย์ในตลาดทุนต่างประเทศบ้างในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกัน
ต่อมาในปี 2013 ประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มทยอยลดวงเงินที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ (QE 3) เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเริ่มดีขึ้น สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของยุโรปก็ค่อยๆดีขึ้นเช่นกัน ทำให้มีการโยกย้ายเงินลงทุนออกจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในย่านเอเชีย ตลาดหุ้นของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ปรับตัวลง ประกอบกับในประเทศไทยมีความวุ่นวายทางการเมือง ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงครั้งใหญ่ ดัชนีเซ็ตปรับตัวลงลึกเกือบถึง -30% ทีดียว
เนื่องจากในปี 2014 นี้เป็นปีที่เว็บบล็อกของลุงแมวน้ำดำเนินมาได้เป็นปีที่ 5 แล้ว ในโอกาสย่างเข้าสู่ปีที่ 6 ลุงแมวน้ำจึงปรับปรุงเว็บบล็อกอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เนื้อหาของเว็บบล็อกให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกและเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนมากขึ้น ดังนั้นจึงได้ทำการปรับปรุงเนื้อหาโดยเพิ่มเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุนไปยังตลาดประเทศต่างๆ และพร้อมกันนั้นก็ได้ปรับปรุงรูปโฉมของเว็บบล็อกเสียใหม่ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
และเนื่องจากลุงแมวน้ำไม่ได้เป็นแมวน้ำที่ร่ำรวย ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงเชื่อว่าเนื้อหาภายในเว็บบล็อกนี้คงไม่สามารถช่วยให้ใครร่ำรวยได้ ก็เจ้าของบล็อกยังไม่ร่ำรวยแล้วจะไปทำให้ผู้อื่นร่ำรวยได้อย่างไร แต่หากจะพูดว่าเว็บบล็อกนี้อาจช่วยให้นักลงทุนมีความสุขกับชีวิตมากขึ้นละก็ อย่างนี้อาจจะพอได้กระมัง
แนวทางการลงทุนของลุงแมวน้ำใช้การวิเคราะห์นี้เป็น การวิเคราะห์ทางเทคนิค (technical analysis) เป็นหลัก โดยใช้ ระบบตามแนวโน้มของตลาด (trend following system) กล่าวคือ ลงทุนตามแนวโน้มของตลาด และวิเคราะห์จากข้อมูลที่เกิดขึ้นไปแล้ว มิใช่การลงทุนโดยพยากรณ์อนาคตข้างหน้า ส่วนการวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐานนั้นใช้เป็นส่วนเสริม ไม่ได้ทิ้งไปเลย เพราะทั้งปัจจัยทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานเป็นส่วนสนับสนุนกันและกัน ขึ้นกับว่าใครจะถนัดใช้หนักไปในทางไหนเท่านั้นเอง
สำหรับลุงแมวน้ำนั้น เมื่อก่อนก็ใช้การวิเคราะห์และพิจารณาปัจจัยพื้นฐานเป็นสำคัญ แต่ต่อมาก็พบว่าข้อมูลต่างๆที่ได้รับนั้น ไม่ว่าจะเป็นงบดุล ข่าวสารต่างๆก็ดี มักจะรู้หลังราคาเปลี่ยนแปลงไปแล้วทั้งสิ้น อีกทั้งข้อมูลข่าวสารบางประการบางครั้งก็เป็นข่าวปล่อยที่จงใจปล่อยออกมาเพื่อหวังผลบางประการเสียอีก อีกทั้งปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันก็มีประเด็นให้พิจารณามากมายจนศึกษากันไม่ไหว
ต่อมาลุงแมวน้ำจึงหันมาลงทุนโดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก เว็บไซต์ที่ลุงแมวน้ำติดตามมานานและจุดประกายความคิดในแนวทางวิเคราะห์ด้านเทคนิคก็คือ เว็บไซต์ของ ดร.ปัญญา เปรมปรีดิ์ (www.drpunya.com) ท่านทำเว็บไซต์วิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคอย่างต่อเนื่องมานานหลายปีด้วยโปรแกรมที่ท่านพัฒนาขึ้นเอง ปัจจุบันท่านเสียชีวิตไปแล้วและเว็บไซต์ดังกล่าวก็ยุติไป
หลังจากนั้นลุงแมวน้ำก็มาศึกษาใน เว็บไซต์ของคุณลุงโฉลก (www.chaloke.com) ก็ได้รับความรู้เพิ่มเติมมากยิ่งขึ้นไปอีก จนในที่สุดได้พัฒนาสูตรการคำนวณจุดซื้อขายขึ้นและใช้อยู่ในปัจจุบัน และก็เป็นระบบที่นำมาทำรายงานเสนออยู่ในเว็บบล็อกนี้
ระบบลงทุนตามแนวโน้ม (trend following system) นั้นจะว่าไปแล้วก็คือการลงทุนตามน้ำไปนั่นเอง น้ำขึ้นก็ขึ้นด้วย น้ำลงก็ลงด้วย การลงทุนด้วยระบบตามแนวโน้มนั้นไม่ได้ทำให้เกิดกำไรสูงสุด เนื่องจากกว่าที่เราจะอ่านแนวโน้มออก แนวโน้มนั้นก็เกิดไปแล้ว เช่น กว่าจะรู้ว่าเป็นขาขึ้นตลาดก็ต้องขึ้นไปแล้วพอสมควร กว่าจะได้ขายก็ต่อเมื่อตลาดเป็นขาลง ซึ่งก็ต้องลงไปแล้วพอสมควรจึงจะรู้ได้ ดังนั้นระบบนี้ไม่ได้กำไรสูงสุด แต่ก็ทำกำไรได้พอควร และต้องดูกันในระยะยาว หากพิจารณาให้ลึกซึ้งแล้วการลงทุนตามแนวโน้มก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เพราะการลงทุนนี้เป็นการฝึกจิตใจตนเอง ฝึกให้รู้จักควบคุมความโลภ ความกลัว ฝึกให้รู้จักละวาง และรู้จักพอ
พึงระลึกไว้เสมอว่าการลงทุนนั้นเป็นกระบวนการที่ดำเนินไปตลอดชีวิต ต้องอาศัยเวลายาวนานกว่าที่จะมีอิสระทางการเงิน ไม่ใช่เรื่องที่จะเรียนลัดกันได้ และอย่าลืมว่าการลงทุนในหุ้นหรือในอนุพันธ์นั้นเป็น zero sum game กล่าวคือ มีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย กำไรที่ท่านได้มาอาจมาจากความสูญเสียของคนอื่น ดังนั้นจึง ควรลงทุนแต่พอประมาณ ลงทุนด้วยความเมตตาต่อผู้อื่น การรู้จักพอประมาณก็เท่ากับเมตตาต่อผู้อื่น และนี่ก็คือส่วนหนึ่งของแนวคิดแบบทุนนิยมเอื้ออาทรหรือทุนนิยมการุณย์
และเมื่อท่านมีกำไร ก็อย่าลืมเผื่อแผ่แก่ชีวิตอื่นๆบ้าง หากเว็บบล็อกนี้จะเป็นประโยชน์แก่ท่านบ้างและท่านอยากเผื่อแผ่ ลุงแมวน้ำอยากแนะนำให้ท่านบริจาคแก่สุนัขและแมวที่จรจัดและพิการ ตามแต่จะศรัทธา ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้ มีคนทิ้งสัตว์เลี้ยงเป็นจำนวนมาก ยิ่งแก่ ยิ่งป่วย ก็ยิ่งทิ้ง เพราะรู้สึกหมดรักมันแล้ว เลี้ยงไปก็มองเห็นแต่ภาระ แต่หารู้ไม่ว่าสัตว์เหล่านั้นยังรักเจ้าของอยู่ มีบางตัวจรจัดรอเจ้าของ ไม่ยอมกินอะไร จนตรอมใจตาย ด้วยนึกว่าเจ้าของจะกลับมารับ แต่ที่จริงเจ้าของหมดรักมันไปเสียแล้ว
มีลุงๆ ป้าๆ หลายต่อหลายคน ที่สงเคราะห์หมาจรจัดอย่างเป็นระบบ โดยมีสถานที่เลี้ยง มีการฉีดวัคซีน และดูแลรักษา ไม่ได้ปล่อยให้เพ่นพ่านตามถนน ภาระของลุงๆป้าๆเหล่านี้นับวันจะมากยิ่งขึ้น เพราะเศรษฐกิจไม่ดี แต่ละคนก็เหนื่อยกันจนจะหมดแรงอยู่แล้ว ซ้ำยังมีสัตว์ถูกทิ้งเพิ่มมากขึ้นอีก สัตว์เหล่านี้กำลังรอความช่วยเหลืออยู่
สุนัขจรจัดที่ทั้งแก่และป่วย ตัวนี้เป็นโรคข้อเสื่อม เดินแทบจะไม่ไหวเพราะปวดมาก
ภาพสะเทือนใจ สุนัขจรจัดตัวหนึ่งกำลังพยายามเข้าไปช่วยเพื่อนที่ถูกรถชนตาย ส่วนคนขับชนแล้วหนี