tag:blogger.com,1999:blog-28509099259631484952024-03-06T02:08:15.953+07:00ชีวิตและการลงทุน บล็อกของลุงแมวน้ำเพื่อการออมและการลงทุนอย่างมีความสุข<br><center>การลงทุนเพื่ออิสรภาพทางการเงินและเพื่อวัยเกษียณในหุ้น ฟิวเจอร์ส ออปชัน ตราสารหนี้ กองทุนรวม LTF RMF สินค้าโภคภัณฑ์ สินค้าเกษตร ทองคำ น้ำมัน ฯลฯ ด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิคระบบตามแนวโน้ม</center>ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.comBlogger953125tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-90187895868096411282016-04-13T15:51:00.004+07:002016-04-13T15:51:58.753+07:00สุขสันต์วันสงกรานต์ 2559 : ย่างเข้าสู่ปีที่ 8 <br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhIwE2CzdpyKfbdPTr7uxIbxF75TCJZpHmhm8qXHOGm3GqDpQNuDAksvJ3IXGd7XDmffHIgT5BIJ-YqrOoxblM5K55BxcBzlGBqYguz79cM9cSXpuh4vH7A947vTE6WzbFTeED3oXdYKBJ3/s1600/songkran.jpg" imageanchor="1"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhIwE2CzdpyKfbdPTr7uxIbxF75TCJZpHmhm8qXHOGm3GqDpQNuDAksvJ3IXGd7XDmffHIgT5BIJ-YqrOoxblM5K55BxcBzlGBqYguz79cM9cSXpuh4vH7A947vTE6WzbFTeED3oXdYKBJ3/s320/songkran.jpg" width="307" /></a></div>
<br />
เดือนเมษายนเป็นเดือนที่ค่อนข้างมีความหมายสำหรับลุง เพราะมักเกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น อย่างเช่น การริเริ่มทำเว็บบล็อกก็เกิดในช่วงสงกรานต์เมื่อ 7 ปีที่แล้ว<br />
<br />
ตอนนี้เว็บบล็อก (เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เขียนแล้ว เพราะทำไม่ทัน มาเขียนในเฟซบุ๊กแทน แต่ก็ยังหวังว่าจะมีเวลากลับไปอัปเดตเว็บบล็อกอีก) รวม FB มีอายุครบ 7 ปี แล้ว จากนี้ไปก็เดินหน้าสู่ปีที่ 8 ก็แก่กันไปอีกหนึ่งปี<br />
<br />
อัตราแฟนคลับของ FB นี้ค่อนข้างสม่ำเสมอ คือมีเพิ่มมาปีละ 500 ไลค์ ด้วยอัตรานี้ลุงคงไม่หวังว่าจะได้เห็นยอดไลค์ 10,000 ไลค์ เพราะคงรอไม่ไหว kiki emoticon แต่เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันลงก็ดีใจและพอใจมาก เพราะที่นี่เป็นสังคมที่อบอุ่น ไม่วุ่นวาย เอาเป็นว่าทำแล้วมีความสุขดีกว่า<br />
<br />
ปีที่ผ่านมาตลาดค่อนข้างผันผวน ปีนี้น่าจะยิ่งผันผวน และการลงทุนต่อไปในอนาคตน่าจะยากยิ่งขึ้น บางทีช่วงที่งานลุงเยอะลุงก็มึนเหมือนกันเพราะดูตลาดไม่ทัน แต่ในรอบปีที่ผ่านมาสรุปว่าพอร์ตลุงรวมแล้วเป็นตัวเขียว พอได้ค่าขนมค่าครองชีพ และเป็นทุนสำหรับกองทุนสงเคราะห์ของลุง<br />
<br />
ปีที่แล้วเปลี่ยนตัวหุ้นไปหลายตัว ปรับพอร์ตไปหลายรอบ เหนื่อยเอาการ แต่ที่ติดอยู่ก็มี ต้องรอมันค่อยๆทำงาน ที่ยังไม่ทำงานก็รอไปก่อน กินปันผลไปก่อน คิดอยากไปทำอย่างอื่นแต่ก็แก่แล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงไปเริ่มต้นใหม่ ทำเป็นแต่เล่นละครสัตว์กับลงทุนในตลาดทุนนี่แหละ ก็ต้องทนๆกันไป<br />
<br />
สำหรับปีที่ 8 นี้ ลงแมวน้ำคงพูดในภาคเศรษฐกิจจริงมากขึ้น คือพูดเรื่องธุรกิจและการตลาดมากขึ้น เพราะตอนนี้การทำธรกิจก็ยากเย็นขึ้นทุกวัน เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่หลานๆบ้าง แต่เรื่องนี้ลุงไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะเท่าที่ลุงคิด ลุงว่าแฟนคลับในเพจนี้ส่วนใหญ่สนใจเรื่องการลงทุน แสดงว่าเกี่ยวข้องกับตลาดทุนมากกว่า แต่เอาน่า ลองเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง ไม่ถูกใจเดี๋ยวมาปรับกันใหม่<br />
<br />
<span style="color: blue; font-size: large;"><b>อย่าลืมนะคร้าบ แม้ว่าจะไม่เห็นลุงอัปเดตในเว็บบล็อก แต่ที่จริงยังเขียนบทความและคุยกับพวกเราอย่างสม่ำเสมอในเฟซบุ๊ก ช่วงนี้งานของลุงค่อนข้างมาก อัปเดตสองที่ไม่ไหว คงได้เพียงใน FB ที่เดียว ตามเข้าไปอ่านและกดไลค์กันได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/uncaseal">https://www.facebook.com/uncaseal</a></b></span>ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-85137254318654836812015-09-21T06:00:00.001+07:002015-09-21T06:00:47.258+07:00จีนบนเส้นทางการปฏิรูปเศรษฐกิจ ติดหล่มหรือตั้งหลัก (4)<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhYnYpL8r0ZQqhziDeJtE_3WHsh9AftRb5Vl_gOf0zXMaY0DE6ORz6xRZDFF-LdGaQQGhKA2zcV2zv58YnFIgaK6zrVAzaKsaoOKu43q0FEj0uBWfzXjgqawUwWsoG4IADd4kGuiS4LCGvi/s1600/zhouyongkang.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="248" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhYnYpL8r0ZQqhziDeJtE_3WHsh9AftRb5Vl_gOf0zXMaY0DE6ORz6xRZDFF-LdGaQQGhKA2zcV2zv58YnFIgaK6zrVAzaKsaoOKu43q0FEj0uBWfzXjgqawUwWsoG4IADd4kGuiS4LCGvi/s320/zhouyongkang.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="font-size: 12.8px;"><span style="color: #990000; font-size: small;">โจวหย่งคัง <span id="innity-in-post">หนึ่งในคณะกรรมการประจำกรมการเมืองหรือโปลิตบูโรซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้นำทรงอำนาจสูงสุดของจีน </span>ถูกศาลตัดสินจำคตลอดชีวิตในคดีทุจริต ถือเป็นการกวาดล้างการทุจริตในผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน<br /></span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">การปฏิรูปเศรษฐกิจและการปราบปรามคอร์รัปชัน</span></h2>
<br />
หลังจากที่สีจิ้นผิงก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุด โดยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ในปลายปี 2012 (2555) และดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี พร้อมกับตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการทหารส่วนกลางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในตอนต้นปี 2013 (2556) เท่ากับกุมอำนาจด้านการปกครอง การทหาร และการเมือง เป็นการรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยผู้นำมีอำนาจสิทธิ์ขาดมาก สามารถควบคุม ลิดรอน สิทธิเสรีภาพ ของประชาชน ถือเป็นโมเดลการปกครองที่สวนกระแสโลกประชาธิปไตยแบบทุนนิยมการตลาดนำในปัจจุบัน<br />
<br />
ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงก็ดำเนินการปฏิรูปประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม พร้อมกับการปราปรามการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างจริงจัง<br />
<br />
สำหรับการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจนั้นเครอบคลุมแทบจะทุกด้าน เป็นการปรับปรุงและแก้ไขโครงสร้างทางเศรษฐกิจเดิมที่เน้นการลงทุนและการส่งออกอย่างมากจนทำให้เศรษฐกิจขาดเสถียรภาพ มาเป็นเศรษฐกิจที่ลดความร้อนแรงลงแต่ทำให้สามารถเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคงในระยะยาว<br />
<br />
ทางด้านการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันนั้น มีการกวาดล้างผู้ทุจริตระดับหัวขบวนอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่ง เกษียณอายุไปแล้ว หรือแม้แต่เกษียณและไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ก็ยังตามไปเช็คบิล เฉพาะในปี 2014 มีการดำเนินคดีไปแล้วหลายหมื่นคดี และเป็นรายใหญ่ระดับกรมหรือระดับมณฑลหลายสิบราย กรณีที่โด่งดังมากคือกรณีโจวหย่งคัง ซึ่งเป็นอดีตกรรมการประจำกรมการเมืองและเลขาธิการสำนักการเมืองและกฎหมายกลาง ซึ่งมีอิทธิพลมากระดับใหญ่คับพรรคคอมมิวนิสต์และและมีอิทธิพลคับประเทศเลยทีเดียว แต่สีจิ้นผิงก็สั่งให้ดำเนินคดีพร้อมญาติและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเฉียบขาด นอกจากนี้ก็ยังมีคดีดังระดับผู้นำอีกหลายคดี<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDd_oJUQ4DH905TDsmin1PVKo0OR2Bsw0mYNwjtxGdcv6xEiJJg_6MWBAswQtlwyERogUeJeCNJ_Hv3qjh5Vomu-3lN8gJAd9Y79nZ_yo0qeHpy3G8S9o4dGTxZm8fppDsN04__BZyayJw/s1600/557000003816301.JPEG" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDd_oJUQ4DH905TDsmin1PVKo0OR2Bsw0mYNwjtxGdcv6xEiJJg_6MWBAswQtlwyERogUeJeCNJ_Hv3qjh5Vomu-3lN8gJAd9Y79nZ_yo0qeHpy3G8S9o4dGTxZm8fppDsN04__BZyayJw/s400/557000003816301.JPEG" width="263" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">หลิวฮั่น เศรษฐีเหมือนแร่ ถูกตั้งข้อกล่าวหาถึง 15 ข้อ ทั้งฆาตกรรม อาชญากรรมทางการเงิน การเปิดบ่อนการพนัน การค้าอาวุธปืนผิดกฎหมาย เป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องกับโจวหย่งคัง สะท้อนถึงความตั้งใจในการกวาดล้างคอร์รัปชันอย่างถอนรากถอนโคนของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<span id="goog_839425108"></span></div>
<br />
ผลจากการปรามปราบคอร์รัปชันทำให้มีกฎเหล็กออกมาบังคับใช้กับเจ้าหน้าที่รัฐ นายทหาร และบริษัทเอกชน มากมาย เช่น <span style="color: red;"><b>การห้ามจัดการต้อนรับ ห้ามปูพรมแดงต้อนรับเจ้าหน้าที่รัฐและนายทหารระดับสูง ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐใช้จ่ายเงินหลวงอย่างฟุ่มเฟือย เช่น ห้ามพักในโรงแรมระดับหรู ห้ามจัดเลี้ยงเจ้าหน้าที่รัฐด้วยอาหารราคาแพงและห้ามเลี้ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐรับสินบน รวมทั้งคนในครอบครัวก็ห้ามรับสินบนด้วย ห้ามเดินทางไปต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต บัญชีเงินฝากในต่างประเทศให้ย้ายกลับมาฝากในประเทศ รวมทั้งบุตรหลานที่เรียนอยู่ในต่างประเทศก็ให้ย้ายกลับมาเรียนในประเทศ นอกจากนี้ ยังครอบคลุมไปถึงขนาดว่ารถหรู นาฬิกาแพงๆ ข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงต่างๆให้พิสูจน์มาว่าเอาเงินจากที่ไหนมาซื้อ</b></span> เข้มงวดกันขนาดนั้นเลย<br />
<br />
ผลจากกฎเหล็กต่างๆทำให้เศรษฐกิจซบเซาลง ธุรกิจสินค้าหรู ธุรกิจห้องอาหาร โรงแรม การจัดเลี้ยง ของฝาก เหล้าราคาแพง ฯลฯ ซบเซาลงอย่างมาก นอกจากนี้ ผลกระทบสำคัญที่ยังไม่มีใครประเมินมูลค่าได้ถูกแต่คาดว่าเป็นมูลค่ามหาศาล นั่นก็คือ ธุรกิจสีเทาต่างๆที่เชื่อมโยงกับการกินสินบาทคาดสินบน หายวับไป ประกอบกับการปฏิรูปเศรษฐกิจที่เน้นการเติบโตอย่างมั่นคงโดยไม่ร้อนแรง หลายๆเรื่องรวมกันทำให้เศรษฐกิจจีนซบเซาลงไปมาก<br />
<br />
แต่อย่างไรก็ตาม การปราบปรามคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาดและจริงจังนี้ได้ใจประชาชนส่วนใหญ่ ดังนั้นคะแนนนิยมของลุงสีจิ้นผิงจึงยังดีอยู่ ท่ามกลางคลื่นลมทางการเมืองและเศรษฐกิจที่รุนแรง และแม้ว่าจะมีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนก็ตาม<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ซินฉางไท่ – ปกติในเวอร์ชันใหม่</span></h2>
<br />
เรื่องคอร์รัปชันกับเรื่องเศรษฐกิจเป็นสองเรื่องที่เกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ออก เนื่องจากการทุจริตคิดมิชอบส่วนใหญ่ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ลำพังการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจจีนก็ทำให้เศรษฐกิจจำเป็นต้องชะลอตัวลงอยู่แล้ว ยิ่งธุรกิจสีเทาหายไปด้วยก็ยิ่งกระทบต่อเศรษฐกิจหนักขึ้น ดังนั้น ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้เศรษฐกิจจีนยังต้องขลุกขลักไปอีกหลายปี และที่แน่นอนก็คือเศรษฐกิจจีนจำเป็นต้องลดความร้อนแรงลง จากเดิมที่เศรษฐกิจจีนเติบโตปีละประมาณ 10% อยู่เสมอ จนประชาชนจีนส่วนใหญ่ชินกับตัวเลขนี้และคิดว่าอัตราการเติบโตปีละ 10% เป็นเรื่องปกติ แต่ลุงสีจิ้นผิงบอกว่าต่อไปนี้เราต้องนิยามคำว่าปกติกันใหม่แล้ว ปกติในเวอร์ชันใหม่ (ที่ภาษาจีนเรียกว่า ซินฉางไท่ หรือ the new normal) จะพยายามให้จีดีพีเติบโตอยู่ในระดับ 7% ต่อปี<br />
<br />
เราลองมาดูภาพต่อไปนี้กัน จะช่วยให้เราเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhaO-u6oo1T6BpiNOMe7rp155rDnu-nBItmIkj59WtIG_gKnR8Z0pdQb_Zk0R-MejpdFSE2aEwvmawNJIke5ocnPpCpRB7-WXTGSCOrXk8zzKXDxP1tLWxDETcIgHHv1zIiFR6MrldJCQdN/s1600/snap7559.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhaO-u6oo1T6BpiNOMe7rp155rDnu-nBItmIkj59WtIG_gKnR8Z0pdQb_Zk0R-MejpdFSE2aEwvmawNJIke5ocnPpCpRB7-WXTGSCOrXk8zzKXDxP1tLWxDETcIgHHv1zIiFR6MrldJCQdN/s1600/snap7559.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ภาพฉายของขนาดเศรษฐกิจจีนในปี 2020 บนสมมติฐานของการเติบโตที่แตกต่างกัน</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<br />
ในภาพนี้ เราจะเห็นว่าจีดีพีจีนในปี 2014 มีมูลค่า 10.4 ล้านล้าน ดอลลาร์ สรอ (10.4 trillion USD) จากนั้นเราก็ฉายภาพไปในปี 2020 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า<br />
<br />
สมมติว่าจีนเติบโตที่ปีละ 10% ในปี 2020 จีนจะต้องทำจีดีพีให้ได้ถึง 18.4 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ ต่อปี<br />
<br />
หากว่าจีนเติบโตปีละ 7% ในปี 2020 จีนจะต้องทำจีดีพีให้ได้ถึง 15.5 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ ต่อปี<br />
<br />
และหากเติบโตปีละ 6% ในปี 2020 จีนจะต้องทำจีดีพีให้ได้ถึง 14.7 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ ต่อปี<br />
<br />
ลองคิดดูว่าหากจะให้เติบโตปีละ 10% แค่อีก 5 ปีจีนคงเหนื่อยจนขาดใจเนื่องจากยิ่งนานฐานของมูลค่าเศรษฐกิจก็ยิ่งมีขนาดใหญ่ เช่นเดิมมีเงิน 10 บาท ร้อยละ 10 คือ 1 บาท ปีนี้หาได้ 10 บาท ปีหน้าต้องหาให้ได้ 11 บาท แต่หากโตไปเรื่อยๆจนฐานกลายเป็น 20 บาท ปีนี้หาได้ 20 บาท ปีหน้าโตร้อยละ 10 แปลว่าต้องหาให้ได้ 22 บาท คงต้องหาเงินกันเหนื่อยจนขาดใจเป็นแน่ ดังนั้นการรักษาการเติบโตให้เท่าเดิมไปนานๆจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และนี่เองคือความจำเป็นของการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจลงเพราะเกินวิสัยที่จะทำได้ ปัจจุบันลุงสีจิ้นผิงให้คำมั่นว่าจะรักษาอัตราการเติบโตปีละ 7% แต่เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้ว อัตรา 7% ต่อปีนี้ต่อไปก็รักษาไว้ไม่ได้ ต้องลดระดับลงมาอีก เนื่องจากฐานของเศรษฐกิจมีขนาดใหญ่ขึ้นทุกปี แต่หากลดระดับลงมากเกินไป อัตราการว่างานก็จะสูง ปัญหาความไม่สงบในสังคมก็จะตามมา ดังนั้นจึงเป็นโจทย์ที่ยากมากของผู้นำจีน<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ดับร้อนแรงที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์</span></h2>
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjBzWZ2tb70xnmHmPaIdBPVLWKEPKWVzhD_BxQxiW_tBABLZgm4UTd_GdhIWR4CquuSzTJEj4iCzna1BFHfnZZnhFc3zfAobCDy9ydlVrEhH-nyp_3WvKg6xwqdOVhQurkMurDI8JAF__J8/s1600/s2.reutersmedia.net.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="425" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjBzWZ2tb70xnmHmPaIdBPVLWKEPKWVzhD_BxQxiW_tBABLZgm4UTd_GdhIWR4CquuSzTJEj4iCzna1BFHfnZZnhFc3zfAobCDy9ydlVrEhH-nyp_3WvKg6xwqdOVhQurkMurDI8JAF__J8/s640/s2.reutersmedia.net.jpg" width="640" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
จีนปฏิรูปเศรษฐกิจในแทบจะทุกส่วน แต่ลุงแมวน้ำคงลงในรายละเอียดไม่ได้ทั้งหมด ก็จะขอเล่าเฉพาะบางประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยเท่านั้น<br />
<br />
ความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีนส่วนหนึ่ง จะเรียกว่าส่วนใหญ่ก็ได้ อยู่ที่การลงทุนของภาครัฐ ซึ่งส่วนใหญ่รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นเน้นไปที่การก่อสร้าง ได้แก่ สร้างโครงสร้างพื้นฐานคือระบบขนส่ง กับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ งานเหล่านี้ก่อให้เกิดจีดีพีมากมาย<br />
<br />
มาดูกันที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกันก่อน ปกติแล้วการลงทุนด้านนี้จะกิดผลทางเศรษฐกิจเยอะมากหากเป็นการแก้ปัญหาคอขวด ยกตัวอย่างเช่น เมืองสองเมืองกั้นด้วยแม่น้ำกว้างสายหนึ่ง สองเมืองนี้ไม่มีสะพานเชื่อมเลย การเดินทาง การค้าขาย ระหว่างสองเมืองนี้ทำได้ด้วยการนั่งเรือแจวข้ามฝั่งไปเท่านั้น แบบนี้ละก็ลำบาก ยามหน้าน้ำ กระแสน้ำเชี่ยวก็ข้ามไม่ได้ เศรษฐกิจการค้าการไปมาหาสู่ระหว่างสองเมืองลำบากมาก ปัญหาคอขวดคือแม่น้ำสายใหญ่ที่ขวางอยู่<br />
<br />
ทีนี้สมมติว่ารัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน คือสร้างสะพานเชื่อมให้ คราวนี้ปัญหาคอขวดหมดไป การเดินทางถึงกันทำได้สะดวก รถก็ข้ามไปมาได้ แบบนี้เศรษฐกิจก็พัฒนา การลงทุนสร้างสะพานนี้ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจมากมาย<br />
<br />
ทีนี้สมมติใหม่ สมมติว่ารัฐบาลอยากเร่งตัวเลขจีดีพี ไม่รู้จะทำอะไรดี ก็เอาเงินมาลงทุนสร้างสะพานอีกหนึ่งสะพานห่างจากสะพานเดิม 200 เมตร จีดีพีก็โตขึ้นหรอกเพราะสะพานที่สองนี้ต้องใช้เงินสั่งวัสดุ ต้องจ้างงาน พวกนี้ก่อจีดีพีทั้งนั้น แต่การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่มีแล้วเพราะสะพานแห่งที่สองอาจไม่มีใครใช้เนื่องจากเกินความจำเป็น<br />
<br />
ที่ผ่านมาจีดีพีของจีนก็โตมาแบบนี้ คืออัดการลงทุนเข้าไปมากๆ แต่เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจแค่ไหนก็ตอบได้ยาก แต่โครงการเมืองผีต่างๆก็เป็นหลักฐานหนึ่งที่ฟ้องถึงความไร้ประสิทธิภาพในการลงทุน พร้อมกับสร้างปัญหาฟองสบู่ตามมา<br />
<br />
เมื่อรัฐบาลกลางดำเนินการลดความร้อนแรงของเครื่องยนต์เศรษฐกิจจีน เรื่องสำคัญก็คือการชะลอเครื่องยนต์ก่อสร้างพื้นฐานและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ <span style="color: red;"><b>แม้จะลดจีดีพีได้แต่ผลกระทบก็ตามมามากมาย เนื่องจากการลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการผลิตจำนวนมาก ในยุคที่การลงทุนด้านนี้ร้อนแรง รัฐก็สนับสนุนให้ลงทุนในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง เช่น โรงเหล็ก โรงปูน โรงแก้ว ฯลฯ เมื่อการก่อสร้างชะลอตัว อุตสาหกรรมเหล่านี้ก็ต้องชะลอตาม ทำไปทำมาอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างก็จะเจ๊งเอา จึงต้องผลิตและเอาไปทุ่มตลาดขายนอกประเทศในราคาถูกๆเพื่อให้พอมีรายได้บ้าง และนี่เองคือสาเหตุที่สินค้าเหล็กของจีนที่ผลิตมาด้วยคุณภาพต่ำและถูกนำมาทุ่มตลาดในประเทศไทยและอีกหลายประเทศ จนเป็นปัญหากับธุรกิจวัสดุก่อสร้างของประเทศอื่นๆ</b></span><br />
<span style="color: red;"><b><br /></b></span>
<span style="color: red;"><b>และนอกจากนี้ การชะลอตัวของภาคก่อสร้างของจีนยังส่งผลต่อการนำเข้าวัตถุดิบ คือจีนนำเข้าสินแร่ เชื้อเพลิง และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องลดลง ส่งผลต่อประเทศที่เป็นซัพพลายเออร์สินค้าเหล่านี้ให้แก่จีน เช่น ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย เป็นต้น</b></span> แต่สำหรับไทยนั้นหากเป็นด้านยางพาราจะไปเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนมากกว่า<br />
<div>
<br /></div>
ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-68857106055745452522015-09-15T06:26:00.001+07:002015-09-21T03:04:08.621+07:00จีนบนเส้นทางการปฏิรูปเศรษฐกิจ ติดหล่มหรือตั้งหลัก (3)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgZ6ZAsSIig-XVyTigocSkDl5oI73bEwmSPL_fa91oRUETL_BXvudzDxaqGaS3bkBtbrkd9NG7rYvdCbXIVJKOd35yunpSiGo4DzC67w72vZ3hil-HNBfwsZG93VA6iaIceVpCxDNjVfb6c/s1600/birdsnest+article.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgZ6ZAsSIig-XVyTigocSkDl5oI73bEwmSPL_fa91oRUETL_BXvudzDxaqGaS3bkBtbrkd9NG7rYvdCbXIVJKOd35yunpSiGo4DzC67w72vZ3hil-HNBfwsZG93VA6iaIceVpCxDNjVfb6c/s1600/birdsnest+article.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">การก่อสร้างสนามกีฬาแห่งชาติที่ปักกิ่ง โอลิมปิกที่ปักกิ่งส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในช่วงนั้นอย่างมาก</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
ผลจากการเร่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในยุคหลังปี 2000 ประกอบกับการลงทุนเพื่อเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนที่ปักกิ่งในปี 2008 ที่มีการเร่งก่อสร้างกันในช่วงปี 2005-2007 ทำให้เศรษฐกิจจีนในช่วงปี 2005-2007 เติบโตอย่างร้อนแรง มีการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆเป็นนำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นพวกสินแร่ (เหล็ก ทองแดง ฯลฯ) เชื้อเพลิง (ถ่านหิน น้ำมันดิบ ฯลฯ) สินค้าเกษตร ผลจากการบริโภคอย่างมหาศาลของจีนในช่วงนั้นทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะราคาพลังงาน ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเช่นการขนส่งก็ได้รับอานิสงส์ ค่าระวางเรือเทกองปรับตัวเพิ่มอย่างรวดเร็ว ดัชนีค่าระวางเรือเทกอง (BDI) ปรับตัวจาก 2,000 จุดในตอนต้นปี 2005 ไปถึง 11,000 จุดในตอนกลางปี 2007 ทำให้เกิดการเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์และหุ้นในกลุ่มขนส่งทางเรือ<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbPeWshRRbrPO4nMsTJQY8jfqXHUDI9cexLPLXiLWRf4clEXCZa_-TgrJX6O3y8V6u7EOKkKCvIirSuFKEpjia-5ub5A5orAk2oDN_iptAWLzKb5ung4J2sMSHJcDQ5z6bu6c625lSe8I3/s1600/snap7580.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbPeWshRRbrPO4nMsTJQY8jfqXHUDI9cexLPLXiLWRf4clEXCZa_-TgrJX6O3y8V6u7EOKkKCvIirSuFKEpjia-5ub5A5orAk2oDN_iptAWLzKb5ung4J2sMSHJcDQ5z6bu6c625lSe8I3/s1600/snap7580.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกช่วงปี 2005-2007 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างร้อนแรงของจีนในช่วงเตรียมการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกที่ปักกิ่ง</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFpATgSuJupBrv3zdP_DaDmB78QCaKTiRo7xECQi8SxY22ZhH7vbzFxwAOTHJq2SrL7cff6C-u3YcXfuQWsHpSgJGt3XSq7udlCKBSTIjRXXflBYADCuVlP7cYuf_XGNnSLR0C8KLXg6Nf/s1600/snap7577.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFpATgSuJupBrv3zdP_DaDmB78QCaKTiRo7xECQi8SxY22ZhH7vbzFxwAOTHJq2SrL7cff6C-u3YcXfuQWsHpSgJGt3XSq7udlCKBSTIjRXXflBYADCuVlP7cYuf_XGNnSLR0C8KLXg6Nf/s1600/snap7577.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ราคาน้ำมันดิบก็ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนโอลิมปิกของจีน</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhNp_EVhj3Av0ZwuG_yEUzNPgjp-XM-fK5D5cq9YSGTUAFM4chAbPvprbgHkmF3H1WSPVzQ4M0aIqTyXLHyUd8uN0oC7_s1LjkF7sZ_S5bp33y1Cn4ibhw_8tpb6nZmNHC3mrk7Idwn6FBx/s1600/snap7582.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhNp_EVhj3Av0ZwuG_yEUzNPgjp-XM-fK5D5cq9YSGTUAFM4chAbPvprbgHkmF3H1WSPVzQ4M0aIqTyXLHyUd8uN0oC7_s1LjkF7sZ_S5bp33y1Cn4ibhw_8tpb6nZmNHC3mrk7Idwn6FBx/s1600/snap7582.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">อัตราค่าระวางเรือเทกองที่ใช้ขนส่งวัตถุดิบ สินค้าโภคภัณฑ์ ปรับตัวเพิ่มอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2005-2007 ขึ้นไป 5-6 เท่าในเวลาสองปี ทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในธุรกิจขนส่งเรือเทกองด้วย</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">เมื่อจีนฝ่าวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ - สู้วิกฤตด้วยสูตรเดิม</span></h2>
<br />
หลังจากที่เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของจีนถูกเร่งเครื่องจนถึงจุดสูงจุดในปี 2007 เมื่อการก่อสร้างที่เกี่ยวกับปักกิ่งโอลิมปิกเสร็จสิ้นลง เศรษฐกิจจีนก็แผ่วลงในทันที ประกอบกับปลายปี 2007 นั้นเอง สหรัฐอเมริกาเกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่เรารู้จักกันในชื่อวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ (subprime mortgage crisis) หรือที่คนไทยเรียกกันเล่นว่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ วิกฤติครั้งนั้นส่งผลไปทั่วโลกรวมทั้งลามมาสู่ย่านเอเชียรวมทั้งจีนด้วย ทำให้อัตราการเติบโตของจีนในช่วงปี 2007-2008 ลดลงอย่างฮวบฮาบ<br />
<br />
ในตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนั้นสหรัฐอเมริกาเสียหายขนาดไหนเพราะหนี้เสียของสินเชื่อซับไพรม์มีความซับซ้อนมาก เมื่อไม่รู้ว่าเสียหายเท่าใดก็ไม่มีใครรู้ว่าสหรัฐอเมริกาต้องใช้เวลาเยียวยาเศรษฐกิจเนิ่นนานเพียงใด จีนเองก็เกรงปัญหาเศรษฐกิจลุกลามบานปลาย จึงตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจีนอีก<br />
<br />
จีนอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจเพื่อฝ่าวิกฤตซับไพรม์ถึง 4 ล้านล้านหยวน (ค่าเงินในขณะนั้นราวๆ 7 แสนล้านดอลลาร์ สรอ) และแน่นอน สูตรแห่งความสำเร็จเดิมๆก็ไม่มีอะไรดีไปกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์<br />
<br />
จีนเร่งสร้างถนนหนทางและระบบขนส่งทางรางเป็นการใหญ่ ในปี 2011 จีนมีโครงข่ายระบบถนนหลัก (ไม่รวมถนนย่อย) ถึง 85,000 กิโลเมตร มีโครงข่ายขนส่งทางราง 93,000 กิโลเมตร (เป็นรถไฟฟ้าความเร็วสูงประมาณ 10,000 กิโลเมตร) โดยจีนมีหลักคิดว่าการคมนาคมที่ดีจะนำพาความเจริญไปสู่ทุกส่วนของจีนอย่างทั่วถึง<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgrPIZQSg4wn77xg3iliE1yJ-kGJIbZ71iGdlu3EVLlyW492pLA3y1YRQ7HdszZSsrAtp5kKDJKjogltwApQGcOjQPkaj9X720DEL7pVz-rjFe-8sL0DTIZfekcWzuY7t2LCqvwCAMF3IeC/s1600/1l-image.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="326" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgrPIZQSg4wn77xg3iliE1yJ-kGJIbZ71iGdlu3EVLlyW492pLA3y1YRQ7HdszZSsrAtp5kKDJKjogltwApQGcOjQPkaj9X720DEL7pVz-rjFe-8sL0DTIZfekcWzuY7t2LCqvwCAMF3IeC/s400/1l-image.jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">โครงข่ายถนนหลักของจีน ในปี 2011 จีนมีโครงข่ายถนนหลักยาวถึง 85,000 กิโลเมตร เฉพาะในปี 2011 ก็เร่งสร้างประมาณ 10,000 กิโลเมตร </span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjomJmYc_VC7fFv-NfKsNCvRkknwc3GpIHHWKklU7GTBZl0IrjFLbsIkGv5PxQM6Wv0e7N5cm_OCci-Y0CgvGd_Q1C7EiduSC5y5zJlFs7aFBFHIhhhcaaNY_wtHTEyjRjMseM98AKW8WAQ/s1600/558px-Rail_map_of_China.svg.png" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="344" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjomJmYc_VC7fFv-NfKsNCvRkknwc3GpIHHWKklU7GTBZl0IrjFLbsIkGv5PxQM6Wv0e7N5cm_OCci-Y0CgvGd_Q1C7EiduSC5y5zJlFs7aFBFHIhhhcaaNY_wtHTEyjRjMseM98AKW8WAQ/s400/558px-Rail_map_of_China.svg.png" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">โครงข่ายขนส่งทางรางของจีน มีทั้งรถไฟความเร็วปกติและรถไฟความเร็วสูง ในปี 2011 จีนมีโครงข่ายขนส่งทางรางยาว 93,000 กิโลเมตร เป็นรถไฟความเร็วสูงประมาณ 10,000 กิโลเมตร</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
ขณะเดียวกัน รัฐบาลกลางปักกิ่งก็ให้แต่ละมณฑลเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลท้องถิ่นแต่ละแห่งทำก็คือพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีการลงทุนสร้างเมืองใหม่ ศูนย์การค้าใหม่ อพาร์ตเมนต์ใหม่ มากมาย โดยรัฐบาลกลางเร่งรัดการเติบโตแต่ให้งบประมาณแก่รัฐบาลท้องถิ่นอย่างจำกัด ซ้ำยังห้ามรัฐบาลท้องถิ่นกู้เงินจากธนาคารเสียอีก จึงทำให้รัฐบาลท้องถิ่นต้องใช้วิธีซิกแซก โดยตั้งบริษัทนอมินีเพื่อกู้ยืมเงินจากธนาคารแทน ทำให้กลายเป็นปัญหาหนี้นอกระบบมาจนถึงปัจจุบัน (ปัจจุบันรัฐบาลท้องถิ่นสามารถออกตราสารหนี้ได้เองแล้ว) ส่วนที่เป็นการลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของเอกชนหากเป็นรายใหญ่ก็ขอสินเชื่อจากธนาคาร ส่วนรายเล็กที่ขอสินเชื่อไม่ได้หรือได้ไม่พอก็ไปกู้เงินจากบริษัทหลักทรัพย์เถื่อน (คือเป็นสถาบันการเงินเถื่อนหรือธนาคารเงานั่นเอง พวกนี้จัดเป็นสินเชื่อนอกระบบ)<br />
<br />
ทางภาคประชาชน เมื่อเห็นว่าที่ผ่านมาการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ให้ผลตอบแทนดี ก็อยากได้บ้าง หันมาลงทุนซื้ออพาร์ตเมนต์เพื่อเก็งกำไร สินเชื่อก็ของ่าย คนจีนจึงเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์กันสนุก<br />
<br />
และนี่เองคือผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลกลางในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ และนี่เองคือสาเหตุที่ทำไมราคาอสังหาริมทรัพย์ในจีนปรับตัวขึ้นมาโดยตลอดแม้แต่ในช่วงวิกฤตซับไพรม์ ดูเผินๆก็เหมือนกับว่าจีนฝ่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์มาอย่างไม่ระคายผิว<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ชุมทางเมืองผี</span></h2>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjOpQd8U-F7YQ9ROK5iGE6g3KT0i7mWDydLqDMz93CLkL10ZVr7TywvphJfkMpMPv3sKhFVLTkWJ_n6LXgB5Bg-DNDTNotmL6E7D1ePVRbgb4PTzefg144TYINqvCZ53IeE_lmzEvj5drtT/s1600/image%255B6%255D.png" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjOpQd8U-F7YQ9ROK5iGE6g3KT0i7mWDydLqDMz93CLkL10ZVr7TywvphJfkMpMPv3sKhFVLTkWJ_n6LXgB5Bg-DNDTNotmL6E7D1ePVRbgb4PTzefg144TYINqvCZ53IeE_lmzEvj5drtT/s1600/image%255B6%255D.png" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">หนึ่งในเมืองร้างของจีนที่เรียกกันอย่างล้อเลียนว่า เมืองผี ที่สร้างทั้งเมืองแต่ไม่มีใครเข้าไปอยู่ ต้องปล่อยให้รกร้าง กลายเป็นสถานที่ถ่ายภาพแนวแปลกไป บางทีก็มีหนุ่มสาวไปถ่ายภาพเว็ดดิ้ง</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
แม้รัฐบาลจีนจะรับรู้ถึงภาวะฟองสบู่อสังหาที่ตั้งเค้ามานานแล้วในจีนแต่ก็ยังไม่ลงมือจัดการอะไรเนื่องจากในช่วงนั้นยังอยู่ในวิกฤตซับไพรม์ แต่ในที่สุด เมื่อจีนเห็นสัญญาณฟองสบู่ที่รุนแรงขึ้น เช่น อุปทานที่ล้นเกินทำให้โครงการขายไม่ออก ราคาบ้านแพงมากจนคนชั้นกลางทั่วไปซื้อไม่ไหว ผู้ที่ซื้อบ้านมาเก็งกำไรเริ่มปล่อยไม่ออก อัตราค่าเช่าที่เก็บได้ไม่เพียงพอต่อค่าผ่อน ฯลฯ <br />
<br />
ปลายปี 2009 เป็นต้นมา ทางการจีนเริ่มใช้มาตรการเข้มงวดกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีมาตรการต่างๆตามมามากมาย ตั้งแต่การจำกัดการซื้อบ้านในเมืองใหญ่ การจำกัดการขอสินเชื่อ การเพิ่มวงเงินดาวน์ เพิ่มการกันสำรองของธนาคาร เพิ่มอัตราดอกเบี้ย การขออนุญาตทำโครงการอสังหาฯใหม่ๆทำได้ยากขึ้น ฯลฯ<br />
<br />
ผลก็คือ อุปสงค์เทียมที่เกิดขึ้นอย่างมากมายในช่วงก่อนหน้าลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อภาวะการเก็งกำไรลดความร้อนแรง น้ำลดตอก็ผุด ในปี 2010 ราคาอสังหาริมทรัพย์เริ่มปรับตัวลดลง เมื่ออุปสงค์ลดลง ผู้ประกอบการก็จุก เพราะโครงการต่างๆขายไม่ออก ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่รัฐบาลท้องถิ่นเองก็จุกเนื่องจากลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัยพ์ไว้มากมาย และนี่เองคือที่มาของคำว่าว่าเมืองผี (ghost town) ของจีน คือลงทุนสร้างเมืองทั้งเมืองหรือลงทุนสร้างคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่แต่ขายไม่ออก ต้องปล่อยให้รกร้าง<br />
<br />
ผลจากการที่รัฐบาลจีนเข้มงวดกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เปรียบเสมือนกับเจาะรูในลูกโป่งอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ลูกโป่งรั่ว บางคนก็บอกว่าลูกโป่งแตก ซึ่งแล้วแต่มุมมอง ทำให้มีผลตามมามากมาย เมืองผีโผล่ หนี้เสียตามมามากมาย ทั้งหนี้เสียของรัฐบาลท้องถิ่นเองกับหนี้เสียของผู้ประกอบการ รวมทั้งหนี้เสียของนักเก็งกำไรหรือนักลงทุนรายย่อย หนี้นี้มีทั้งหนี้ในระบบธนาคารและหนี้นอกระบบธนาคาร ทำให้วิกฤตหนี้ธนาคารเงาเกิดตามมาอีก<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiLDZifbM_MP2GD8CZ0AIOkjOjMGaRBe5lzBXcWlHuBfn1vsiJuTVB5q6tsgFvpe-wKrVILbY5ja4kQElIaiNab8HiB8D2rqZi7jRPL_P-IiVQdJDsV_uWMFKaNQ_BqKgg3N5wM99cm4XQG/s1600/ED6F041310094FC2A58033D5D8475A8D.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="266" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiLDZifbM_MP2GD8CZ0AIOkjOjMGaRBe5lzBXcWlHuBfn1vsiJuTVB5q6tsgFvpe-wKrVILbY5ja4kQElIaiNab8HiB8D2rqZi7jRPL_P-IiVQdJDsV_uWMFKaNQ_BqKgg3N5wM99cm4XQG/s400/ED6F041310094FC2A58033D5D8475A8D.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiDmLPkI6F1kOpkJeIrfogOpquIZz3jnvxoGCyBHVGMvfRaaFdGqe8-TFjX6OSwfacB2MA8jkwRkgFtebUivVmu6VcqK33-EEPCoNaeJS2WfeZpfWZAceOpHL2_qSsmlimQj0HDATuBCUew/s1600/kang-3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="232" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiDmLPkI6F1kOpkJeIrfogOpquIZz3jnvxoGCyBHVGMvfRaaFdGqe8-TFjX6OSwfacB2MA8jkwRkgFtebUivVmu6VcqK33-EEPCoNaeJS2WfeZpfWZAceOpHL2_qSsmlimQj0HDATuBCUew/s400/kang-3.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgcQKjU_HXjA_DHARpOIbktDl7xhUPg1YlRLBCscBEDZWkaoL7Y4AuKK9UWEFUh1ZBlTS8hyqBa75V7ZZNQ8o4HlYWBMlN0szbslb_qPFqqsTygpsLj7EBC275XEOfAdGyzHDPBhaCMEgW5/s1600/picture+12-89.png.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="222" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgcQKjU_HXjA_DHARpOIbktDl7xhUPg1YlRLBCscBEDZWkaoL7Y4AuKK9UWEFUh1ZBlTS8hyqBa75V7ZZNQ8o4HlYWBMlN0szbslb_qPFqqsTygpsLj7EBC275XEOfAdGyzHDPBhaCMEgW5/s400/picture+12-89.png.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjS92Q-s3P9eLUg7HycwObHMhtNdHfMKzWgZFaRfLGlfhXCsebhe2pjBPBKnGg_uM2Pq4_G3XPbPQPdCFUNOjk5M5jv83X0vHRcJwSo00DGBuu6qOPVd9Y90xr22GdOLmPGqhcRCqpPHaNq/s1600/preview21.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="263" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjS92Q-s3P9eLUg7HycwObHMhtNdHfMKzWgZFaRfLGlfhXCsebhe2pjBPBKnGg_uM2Pq4_G3XPbPQPdCFUNOjk5M5jv83X0vHRcJwSo00DGBuu6qOPVd9Y90xr22GdOLmPGqhcRCqpPHaNq/s400/preview21.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiihYSrWZIiLyH3bGBpJQlsmrX04_YRpZyKp0Hm5i-XWDX0knSraD2nqJJGg7TraVYT5tLsq2zyPmEx3kgzPpKrFmuK8wtVSz9A2xyJqg4HUte0iVSQxwrKSY7hXsMoQv_Rew6c4n9j-5UC/s1600/640x-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="266" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiihYSrWZIiLyH3bGBpJQlsmrX04_YRpZyKp0Hm5i-XWDX0knSraD2nqJJGg7TraVYT5tLsq2zyPmEx3kgzPpKrFmuK8wtVSz9A2xyJqg4HUte0iVSQxwrKSY7hXsMoQv_Rew6c4n9j-5UC/s400/640x-1.jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">รวมภาพเมืองผีของจีน เหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมามากมาย ทั้งหนี้ในระบบ หนี้นอกระบบ หนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น และหนี้ของภาคเอกชน จนวุ่นวายยากแก่การสะสาง</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
และท้ายที่สุดจากผลกระทบที่เกิดจากการเจาะลูกโป่งอสังหาริมทรัพย์ของจีนก็คือจีดีพีที่ชะลอตัวลง พูดอีกนัยหนึ่งก็คือเศรษฐกิจจีนโดยรวมชะลอตัวลง พร้อมๆกับภาระหนี้ทั้งของภาครัฐและของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEheA11WGzzIJ3WkSeuiwRnSE1yIfTeJRqCaoCg8-oMKVENxh8O_MAKtlDDzyLRaocQweDhPjeCJEMOoXOuMzsMaZF_I_a4gA1mZuz988rCx4uFViOO4Uz27-ayFgboQR1peyUUu26Nqj8lW/s1600/snap7526x.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEheA11WGzzIJ3WkSeuiwRnSE1yIfTeJRqCaoCg8-oMKVENxh8O_MAKtlDDzyLRaocQweDhPjeCJEMOoXOuMzsMaZF_I_a4gA1mZuz988rCx4uFViOO4Uz27-ayFgboQR1peyUUu26Nqj8lW/s1600/snap7526x.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ผลจากมาตรการเข้มงวดด้านอสังหาริมทรัพย์ของทางการจีน ทำให้ลูกโป่งอสังหาจีนรั่ว ราคาอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลดลง แค่ลดลงเพียงนิดหน่อยก็ส่งผลต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมทั้งปัญหาหนี้เสียแล้ว</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
นอกจากนี้แล้ว การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนทำให้ความต้องการใช้พลังงาน สินค้าโภคภัณฑ์ และวัสดุก่อสร้างต่างๆลดลง ยังส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกกับภาคการขนส่งอีกด้วย<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhG9uM-QpKJ3Kph99Pj3bsvIs42lHTpl7VZa5OneUOYvMRBQxSH925_6njZvKSAJCuC78fwfsPF5odVrgCNeoOD1qKx5sZkOIMdbkJq45t0puyDU3aXv7HAnQHGvYZZ6We9naT8_BfX5DrB/s1600/snap7581.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhG9uM-QpKJ3Kph99Pj3bsvIs42lHTpl7VZa5OneUOYvMRBQxSH925_6njZvKSAJCuC78fwfsPF5odVrgCNeoOD1qKx5sZkOIMdbkJq45t0puyDU3aXv7HAnQHGvYZZ6We9naT8_BfX5DrB/s1600/snap7581.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ผลจากการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกด้วยส่วนหนึ่ง</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhX5CIpREwbSntNCm_gkBkjTaXSZE7WzzY6x2FP5FGccXTOGE3cQO_TwsbmcWaBhWIbP-Hc7RETNOF8hHiwYVfD7K2yhY5Lbb8XoHVywo3j5TG9dOrIh6Ft_wKP7DJf-sLAlNUXV5VRJ0hyphenhyphen/s1600/snap7583.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhX5CIpREwbSntNCm_gkBkjTaXSZE7WzzY6x2FP5FGccXTOGE3cQO_TwsbmcWaBhWIbP-Hc7RETNOF8hHiwYVfD7K2yhY5Lbb8XoHVywo3j5TG9dOrIh6Ft_wKP7DJf-sLAlNUXV5VRJ0hyphenhyphen/s1600/snap7583.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนส่งผลต่อธุรกิจการขนส่งทางเรือเทกองด้วย และจนในปัจจุบันธุรกิจเรือเทกองรวมทั้งธุรกิจเรือคอนเคนเนอร์ก็ยังไม่ฟื้นตัว</span></td></tr>
</tbody></table>
<div>
<br /></div>
ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-1907738024756477272015-09-07T13:12:00.003+07:002015-09-10T16:29:48.499+07:00จีนบนเส้นทางการปฏิรูปเศรษฐกิจ ติดหล่มหรือตั้งหลัก (2)<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjNUOKX4x2AiJvLVLuojpMQY0iGw1qz-dqKI3R_YX8uuO9mEV7fq48Mq7YA6PEf0Zvmb8SkUrPizGlo-9v5pBE9MD8gab4WYJtE0x2-mrM83ny1FKAYGkJqq_OPvXuQQ1OfPWIfUUT11vi6/s1600/snap7501.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjNUOKX4x2AiJvLVLuojpMQY0iGw1qz-dqKI3R_YX8uuO9mEV7fq48Mq7YA6PEf0Zvmb8SkUrPizGlo-9v5pBE9MD8gab4WYJtE0x2-mrM83ny1FKAYGkJqq_OPvXuQQ1OfPWIfUUT11vi6/s1600/snap7501.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">จีนเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องในระยะเวลานาน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีดีพีของจีนเติบโตอย่างร้อนแรงคือการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ ในภาพนี้จะเห็นว่าภายในระยะเวลาเพียง 20 ปี เซี่ยงไฮ้เปลี่ยนไปจนจำเค้าเดิมไม่ได้ บ้านเรือนแบบเก่าแทบไม่มีเหลือให้เห็นอีกแล้ว กลายเป็นตึกสูงแทน</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">จีน ดินแดนแห่งการเติบโตแบบก้าวกระโดด</span></h2>
<br />
ตั้งแต่ยุคเปิดประเทศจนเป็นต้นมา จีนเติบโตแบบก้าวกระโดด จีนเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติด้วยจุดขายคือแรงงานราคาถูก มีการเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ทำการค้ากับประเทศต่างๆด้วยการผลิตและขายสินค้าที่ราคาถูกกว่าญี่ปุ่นและไต้หวัน<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>ปัจจัยที่สร้างความเจริญเติบโตได้ดีที่สุดก็คือการลงทุนเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน เพราะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นปัจจัยเหนี่ยวนำให้เกิดการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และอื่นๆตามมา โดยเฉพาะการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นตัวขับเคลื่อนจีดีพีที่สำคัญเพราะใช้ทรัพยากรอย่างมากและเชื่อมโยงกับธุรกิจอื่นๆมากมาย ตั้งแต่การรับเหมาก่อสร้าง การค้าวัสดุก่อสร้าง การขนส่ง การค้าสินค้าอุปโภคบริโภค ตลอดไปจนถึงทำให้เกิดการจ้างงานอย่างมากมาย</b></span><br />
<br />
ผลจากนโยบายเปิดประเทศและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ ทำให้จีนมีอัตราการเติบโตในระดับสูงมาตลอดระยะเวลาร่วม 30 ปี ยกตัวอย่างเช่น ปี 1984 โต 15.2% ส่วนปี 1992 และ 2007 สองปีนี้เติบโต 14.2% ต่อปี ส่วนปีอื่นๆมักเติบโตปีละ 10% ขึ้นไป<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgXQpSLWDg87rn_myK1nE_IUMw9jaL_GYRx69kQvu1H_q8OhdIRzioD6dgocj-VzpXfFoQGshLN7VSiF625ebHXgCL9uzZSXXEZpA1TSwCTM8s1_w-FXK8ShLVFO4Y1YCajxBktXgPC0ox7/s1600/snap7498.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgXQpSLWDg87rn_myK1nE_IUMw9jaL_GYRx69kQvu1H_q8OhdIRzioD6dgocj-VzpXfFoQGshLN7VSiF625ebHXgCL9uzZSXXEZpA1TSwCTM8s1_w-FXK8ShLVFO4Y1YCajxBktXgPC0ox7/s1600/snap7498.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ประเทศจีนมีอัตราการเติบโตของจีดีพีที่น่าตื่นใจ เพราะแต่ละปีส่วนใหญ่เติบโตเกินกว่า 10% และคงความต่อเนื่องมาได้ยาวนานถึง 3 ทศวรรษ</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">เมื่อเศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป</span></h2>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi0myx1ELSrQ6NK0wHtPjz0wJHwqW38az7biFWo9XFYABydPQaLpQbLPW3uHQpdMR0XBwB9VLGJ1ONVc67WFXFyKBES6Pabnno1oR0Z1qxIIlfJLq5Q5QrfPIN64q3ndWIZuxFesBBQbIuw/s1600/snap7502.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi0myx1ELSrQ6NK0wHtPjz0wJHwqW38az7biFWo9XFYABydPQaLpQbLPW3uHQpdMR0XBwB9VLGJ1ONVc67WFXFyKBES6Pabnno1oR0Z1qxIIlfJLq5Q5QrfPIN64q3ndWIZuxFesBBQbIuw/s1600/snap7502.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ผลของเศรษฐกิจที่ร้อนแรงคืออัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูง อัตราเงินเฟ้อของจีนในช่วงต้นทศวรรษ 1990 รุนแรงมากตามจีดีพีที่ร้อนแรง จนอยู่ในระดับที่อาจทำให้เศรษฐกิจเสียหาย รวมส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนกลุ่มที่มีฐานะยากจนอย่างมาก </span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
ในปี 1992 (2535) นั้นเศรษฐกิจจีนร้อนแรงมาก จีดีพี 14.2% ต่อปี ดูเผินๆเหมือนจะดี แต่ที่จริงกลับไม่ดี เพราะว่าต่อมาอัตราเงินเฟ้อของจีนพุ่งทะยานถึงปีละ 24% จีนจำเป็นต้องชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจลงเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อลง โดยการใช้นโยบายเศรษฐกิจที่เข้มงวด รักษาสเถียรภาพของค่าเงินหยวนไม่ให้อ่อนค่า ดังนั้นหลังจากช่วงนั้นมา การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและอัตราเงินเฟ้อของจีนก็ค่อยลดลง ขณะเดียวกันก็ปฏิรูประบบเศรษฐกิจของประเทศให้ทันสมัยไปด้วย และนั่นคืออาการฟองสบู่แตกครั้งแรกของจีนหลังการเปิดประเทศเข้าสู่ยุคทุนนิยม<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">จากวิกฤติต้มยำกุ้งสู่ยุคทองของอสังหาริมทรัพย์จีน</span></h2>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh92aVno86k2Zp1WZg_BdcOxpnRkZ7YyZTuo3GMj90iZKnDFwmcGv-m1YNrPazZwsG41BTYE_6nAZjXSGGBkq_uuG23bEEAco5fatvvuNecXcEhFMv2scZeg2H6zTATEEV93v3zpAyzYOL2/s1600/chongqing3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="449" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh92aVno86k2Zp1WZg_BdcOxpnRkZ7YyZTuo3GMj90iZKnDFwmcGv-m1YNrPazZwsG41BTYE_6nAZjXSGGBkq_uuG23bEEAco5fatvvuNecXcEhFMv2scZeg2H6zTATEEV93v3zpAyzYOL2/s640/chongqing3.jpg" width="640" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">เมืองฉงชิ่ง ตัวอย่างของการเติบโตอย่างร้อนแรงของจีน ฉงชิ่งเติบโตอย่างร้อนแรงไม่แพ้เซี่ยงไฮ้ หรืออาจจะร้อนแรงกว่าด้วยซ้ำไป</span> </td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
ตั้งแต่ปี 1994 (พ.ศ. 2537) ที่ฟองสบู่ของเศรษฐกิจไทยเริ่มแตก จนมาสู่วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 1997 (พ.ศ. 2540) ประเทศในย่านอาเซียนล้วนแต่ได้รับพิษจากต้มยำกุ้งไปตามๆกัน ประเทศจีนหยิบยื่นความช่วยเหลือทางการเงินแก่หลายประเทศ รวมทั้งไทยด้วย รวมทั้งไม่ลดค่าเงินหยวนเพื่อแข่งขันการส่งออก อันถือว่าเป็นการช่วยประเทศเพื่อนบ้านอีกทางหนึ่ง เรื่องการไม่ลดค่าเงินหยวนนั้นมีส่วนช่วยต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอาเซียนรวมทั้งไทย เนื่องจากสินค้าจากจีนนั้นแข่งได้ทุกตลาดอยู่แล้ว หากจีนลดค่าเงินด้วยสินค้าส่งออกของชาติอื่นก็เหนื่อยยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าจีนแสดงน้ำใจโดยยอมเสียเปรียบในการแข่งขัน บางคนก็ว่าจีนได้สองเด้ง คือจีนตั้งใจรักษาเสถียรภาพของค่าเงินไม่ให้อ่อนค่าอยู่แล้วเนื่องจากต้องการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ การได้ใจเพื่อนบ้านคือผลพลอยได้ ก็คงแล้วแต่มุมมอง<br />
<br />
ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งทำให้การเติบโตของจีนลดลง จากเดิมปีละกว่า 10% กลายเป็นต่ำกว่าปีละ 10% (ราว 8% ถึง 9%) โดยเฉพาะการส่งออกของจีนลดลง สำหรับจีนแล้วอัตราการเติบโตต่ำกว่า 10% ถือเป็นเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ เนื่องจากจีนเองมีบริบทของประเทศที่แตกต่างไปจากประเทศอื่นๆ คือเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ การที่เศรษฐกิจขชองประเทศเติบโตดี ประชาชนมีรายได้ดี ถือเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ประชาชนจีนจะได้สนใจกับการทำมารายได้ ไม่ต้องมาเรียกร้องทางการเมืองให้วุ่นวาย ดังนั้นจะเห็นได้ว่าจีนมีปัญหากับเรื่องอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างมาก มากไปก็ไม่ได้ น้อยไปก็ไม่ได้ หาจุดสมดุลได้ยาก<br />
<br />
หลังจากยุคต้มยำกุ้ง จีนก็เร่งเครื่องทางเศรษฐกิจอีก ซึ่งหนทางในการเร่งเครื่องเศรษฐกิจก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ จีนลงทุนก่อสร้างเป็นการใหญ่ด้วยการขยายโครงข่ายการคมนาคม ไม่ว่าจะเป็นระบบรถไฟธรรมดา รถไฟความเร็วสูง รวมทั้งระบบถนน<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjirusnQQAbm4fRzL6umec7zuQhQ-mm0nHCmI0GGRhB5vto6pXGkGZSgLNY4XH9on80J_DsQPhVccMoW_1lWQX9tXgGwR0aITAKOA2oQu62a999WXU6E1F82fCDJWFx7JjKje8gNmIuHJQ1/s1600/585519-china-bullet-train.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjirusnQQAbm4fRzL6umec7zuQhQ-mm0nHCmI0GGRhB5vto6pXGkGZSgLNY4XH9on80J_DsQPhVccMoW_1lWQX9tXgGwR0aITAKOA2oQu62a999WXU6E1F82fCDJWFx7JjKje8gNmIuHJQ1/s1600/585519-china-bullet-train.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ผลจากการเร่งการเติบโตของจีนด้วยการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้จีนสามารถพัฒนาเทคโนโลยีด้านรถไฟจนถึงขั้นสามารถสร้างรถไฟความเร็วสูง ว่ากันว่าจีนเคยสั่งซื้อรถไฟความเร็วสูงจากต่างประเทศเพียงครั้งเดียว คือจากเยอรมนี เมื่อนานมาแล้ว และหลังจากนั้นมาจีนก็ไม่ต้องสั่งซื้ออีกเลย ผลิตและใช้เองในประเทศ รวมทั้งยังส่งไปขายต่างประเทศอีกด้วย</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
ทางด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็ส่งเสริมการเติบโตของชุมชนเมือง ตามเมืองใหญ่มีการสร้างอพาร์ทเมนต์เต็มไปหมด ชุมชนบ้านเดี่ยวเก่าๆแบบดั้งเดิมก็ค่อยๆทยอยหายไปเพราะถูกรื้อและสร้างเป็นตึกสูงแทน<br />
<br />
หลังยุคต้มยำกุ้ง หรือคิดคร่าวๆคือ ปี 2000 เป็นต้นมา เศรษฐกิจจีนก็เริ่มร้อนแรงขึ้นอีก อพาร์ทเมนต์ได้รับความนิยม ราคาจึงพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการหรือดีเวลอปเปอร์สามารถขอสินเชื่อได้อย่างง่ายๆและในอัตราต่ำ ทางภาคประชาชนเองก็มีเงินออมสูง ไม่รู้จะลงทุนอะไรดีก็มาลงทุนในอพาร์ตเมนต์ ตอนนั้นราคาราคาอพาร์ตเมนต์ขึ้นทุกวัน ประกอบกับพวกพนักงานบริษัทมีสวัสดิการโดยซื้ออพาร์ตเมนต์ได้โดยออกเงินเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งเป็นสวัสดิการของบริษัทกับภาครัฐที่ช่วยกันสมทบให้ สินเชื่อบ้านหลังที่สอง สาม ฯลฯ ก็อนุมัติง่ายและดอกเบี้ยไม่สูง ในภาคประชาชนก็มีการเก็งกำไรอพาร์ตเมนต์กันเป็นการใหญ่เพราะได้กำไรงาม มีทั้งการซื้อขายเปลี่ยนมือหากำไรจากส่วนต่าง และการซื้ออพาร์ตเมนต์ไว้หลายๆห้องเพื่อปล่อยเช่าหวังกำไร<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh8vLfdT-3NDJk1MALAK1MKBKG8DPJykg4sH9dmc1RhsviL7yDo8Xjs0LM6WiWYLJSi4yAhBPnro2zHYoxsm2W2evOt_nKvWdVXnBc3SByKOEEqLbuKoNGQQtQ9n4oosQkhoEedN8HNxm_i/s1600/snap7522.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh8vLfdT-3NDJk1MALAK1MKBKG8DPJykg4sH9dmc1RhsviL7yDo8Xjs0LM6WiWYLJSi4yAhBPnro2zHYoxsm2W2evOt_nKvWdVXnBc3SByKOEEqLbuKoNGQQtQ9n4oosQkhoEedN8HNxm_i/s1600/snap7522.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ราคาอสังหาริมทรัพย์ในจีนเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ในช่วงปี 2000 ถึง 2010 เพียงสิบปี ราคาอสังหาริมทรัพย์เฉลี่ยของจีนเพิ่มขึ้นราวเท่าตัว แต่หากดูเป็นรายเมือง เช่น ปักกิ่ง ช่วงสิบปีที่ว่านี้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในปักกิ่งพุ่งถึง 8-9 เท่าตัวทีเดียว ราคาดีแบบนี้แล้วใครจะไม่อยากเข้ามาเก็งกำไร</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
ประกอบกับจีนในยุคนั้นได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อนที่ปักกิ่งในปี 2008 เฉพาะแค่การรองรับโอลิมปิกจีนก็มีการก่อสร้างต่างๆมากมาย ดังนั้น เมื่อรวมกันแล้ว ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 หรือปี 2000-2007 จึงถือเป็นยุคทองของการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและด้านอสังหาริมทรัพย์ของจีนอย่างแท้จริง เพราะทำให้เกิดการลงทุนต่อเนื่องตามมามากมาย จีดีพีจีนกลับมาทะยานเกิน 10% ต่อปีอีก มีการนำเข้าพลังงาน วัสดุก่อสร้าง แร่ และสินค้าโภคภัณฑ์ อื่นๆเป็นจำนวนมากและฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์จีนก็เกิดในยุคนี้นั่นเอง<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFPy_aydhun3X8OjUZOr-jHVu3xvwTrt2ZREC3PpaAzxTrzTQZ8pdgLk8i5-5QtLTdOWH_KPdZ4f92AjKW3OS-oLeW9oSyzEtLC-SPHsBXhrFdndgBvhw4pe3EZWF09lRVrZ7vYThXN_4R/s1600/snap7540.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFPy_aydhun3X8OjUZOr-jHVu3xvwTrt2ZREC3PpaAzxTrzTQZ8pdgLk8i5-5QtLTdOWH_KPdZ4f92AjKW3OS-oLeW9oSyzEtLC-SPHsBXhrFdndgBvhw4pe3EZWF09lRVrZ7vYThXN_4R/s1600/snap7540.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ราคาอพาร์ตเมนต์ระดับหรูในเซี่ยงไฮ้ ห้องนี้ประกาศขายตารางเมตรละ 83,000 หยวน (ราคาปัจจุบัน)</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj8UFDi5CqVdRNI2p9y0Nz6PIQxagQOKUwpnuJMVxnv0biAX7HYs3S4JnFLpTof85MwA04Pgy2vyWV7YYvzfrMhGJYpee7yYwy0gqFyKsgxWx3E5fY5ID-nTT3vLWnyCQJJth09dj7IzVWS/s1600/snap7541.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj8UFDi5CqVdRNI2p9y0Nz6PIQxagQOKUwpnuJMVxnv0biAX7HYs3S4JnFLpTof85MwA04Pgy2vyWV7YYvzfrMhGJYpee7yYwy0gqFyKsgxWx3E5fY5ID-nTT3vLWnyCQJJth09dj7IzVWS/s1600/snap7541.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ราคาอพาร์ตเมนต์นอกเมืองคุนหมิงของจีน โซนนอกเมืองก็ประมาณ 9,000 หยวนต่อตารางเมตร (ราคาปัจจุบัน)</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<br />
ตอนต่อไปเราจะมาคุยกันเรื่องยุควิกฤตแฮมเบอร์เกอร์และฟองสบู่อสังหาจีนแตกคร้าบ<br />
<div>
<br /></div>
<div>
<br /></div>
ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-35647232829652704412015-08-25T13:55:00.001+07:002015-08-27T05:57:05.177+07:00จีนบนเส้นทางการปฏิรูปเศรษฐกิจ ติดหล่มหรือตั้งหลัก (1)<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6dFVH9rs_L9k4bNpM2u0o45veP12046cL6GBn7WXT29DaP2aFeaUXgzaxQCAqL6-E0QuPErljJMflbDfOfl0rJajg2qYdeTOM1OlQg2Ktx24fLyZhd-WCOq0rUeF3H69f78OXRbnl8Kq3/s1600/60zhounian25.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6dFVH9rs_L9k4bNpM2u0o45veP12046cL6GBn7WXT29DaP2aFeaUXgzaxQCAqL6-E0QuPErljJMflbDfOfl0rJajg2qYdeTOM1OlQg2Ktx24fLyZhd-WCOq0rUeF3H69f78OXRbnl8Kq3/s1600/60zhounian25.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">เซินเจิ้น เขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของจีน</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ จีนมีปรากฏการณ์ทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญเกิดขึ้นหลายอย่าง ตั้งแต่ยอดการผลิตสินค้าลดลงอย่างต่อเนื่อง การส่งออกและนำเข้าที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ตลาดหุ้นจีนพุ่งขึ้นไปถึง 150% ภายในครึ่งปี จากนั้นร่วงลงมา -40% ภายในช่วงเวลาเพียงสามสี่เดือน เหล่านี้ล้วนแต่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของประเทศคู่ค้าทั้งสิ้น<br />
<br />
และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อไม่กี่วันมานี้ทางการจีนประกาศลดค่าเงินหยวน 3 วันติดต่อกัน รวมแล้วเป็นการลดอัตราอ้างอิงเงินหยวนลงประมาณ 4.6% ดังที่ลุงแมวน้ำเล่าให้ฟังไปแล้ว (ดูบทความเรื่อง <a href="http://uncaseal.blogspot.com/2015/08/9.html">หยวนอ่อนถล่มตลาดโลก</a> ประกอบ)<br />
<br />
และล่าสุดที่เหมือนฟางเส้นสุดท้ายบนหลังอูฐ ดัชนีการผลิตหรือที่เรียกว่า Purchasing Managers' Index (PMI) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดของภาคการผลิต ดัชนีการผลิตของจีนเดือนสิงหาคมที่เพิ่งประกาศออกมาปรากฏว่าลดลงต่อเนื่องจนเหลือ 47.1% ซึ่งค่า PMI นี้หากต่ำกว่า 50 ถือว่าไม่ดี ยิ่งต่ำกว่า 50 และลดลงอย่างต่อเนื่องแสดงว่าภาคการผลิตของจีนหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง แปลว่าเศรษฐกิจจีนมีปัญหามากขึ้นและมากขึ้น<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKv9YpHcwX0SGBWhdeFhtVBOMnCfVIhmvYxnrk2-Yb4CT3dKI6xH0k21iX57jXOMQ7NyfsrnGlvctS-3xRIWFnggNy584rVuqiIWYHguYBmE8iY6GxLP_g8TqXEUsdNcGb5ugtdaa38-9k/s1600/snap7445.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKv9YpHcwX0SGBWhdeFhtVBOMnCfVIhmvYxnrk2-Yb4CT3dKI6xH0k21iX57jXOMQ7NyfsrnGlvctS-3xRIWFnggNy584rVuqiIWYHguYBmE8iY6GxLP_g8TqXEUsdNcGb5ugtdaa38-9k/s1600/snap7445.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ดัชนีการผลิตที่รายงานล่าสุด ลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือ 47.1 เป็นเหตุให้ตลาดหุ้นร่วงระเนระนาดทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ตลาดหุ้นจีนเอง</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
เท่านั้นเอง ตลาดหุ้นจีนที่เพิ่งร่วงไปจากกรณีลดค่าเงินหยวน ก็ร่วงลงต่อ และยิ่งไปกว่านั้น จีนซึ่งถือเป็นนำเข้ารายใหญ่ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา นำเข้าทั้งพลังงาน วัตถุดิบ สินค้าโภคภัณฑ์ สินค้าสำเร็จรูป แทบทุกประเภท เมื่อจีนป่วย การนำเข้าก็ลดลง ทางคู่ค้าก็เกิดอาการวิตกกังวลเพราะเกรงว่ายอดขายของตนเองจะลดลง ส่งผลต่อเศรษฐกิจภายในประเทศของตน ความกังวลนี้สะท้อนออกมาที่ตลาดหุ้นของประเทศคู่ค้าต่างๆ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ร่วงระนาว โดยเฉพาะเมื่อวาน (วันที่ 24 สิงหาคม 2015) ตลาดหุ้นทั่วโลกลงแรงราวกับอยู่ในยุควิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ แต่ละตลาดร่วงลงไปตั้งแต่ -3% ถึง -8% ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJI) ของสหรัฐอเมริการ่วงตอนเปิดตลาดเกินกว่า -1,000 จุด<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgPq1xy7U4vB5Owx3gLRng95dGilXNPCfbTCHnnMscRngWwJ3HmnBl79e2NBHmsdO4V2xyU3fpHtyXI7eayjjQPICTwkSlLwzFDFJjb_rNegA2XRra9vuZD-iOgmtGianAOfAWi9SBG4-bV/s1600/snap7436.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgPq1xy7U4vB5Owx3gLRng95dGilXNPCfbTCHnnMscRngWwJ3HmnBl79e2NBHmsdO4V2xyU3fpHtyXI7eayjjQPICTwkSlLwzFDFJjb_rNegA2XRra9vuZD-iOgmtGianAOfAWi9SBG4-bV/s1600/snap7436.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงแรงมาก ภายในหนึ่งวันปรับตัวลง -3% ถึง -8% </span> </td></tr>
</tbody></table>
<br />
บทความนี้ลุงแมวน้ำจะเล่าถึงการปฏิรูปทางเศรษฐกิจของจีนและผลกระทบต่อตลาดคู่ค้า เพื่อให้เข้าใจที่มาที่ไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันมานี้ แต่การเล่าในครั้งนี้เป็นฉบับย่อ เศรษฐกิจของจีนครอบคลุมประชากรจีนราว 1300 ล้านคน และประเทศคู่ค้าอีกมากมาย ดังนั้นจึงมีเรื่องราวที่ซับซ้อน หลายมุมมอง หลายมิติ ซ้อนทับกันอยู่ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่วันนี้ลุงแมวน้ำจะเล่าในฉบับย่อเท่าที่เกี่ยวข้องการกับเศรษฐกิจและการลงทุนของพวกเราเท่านั้น<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">เมื่อจีนแรกเปิดประเทศ เน้นแรงงานราคาถูก</span></h2>
<br />
ก่อนอื่นก็เท้าความกันก่อน จีนเริ่มเปิดประเทศประมาณปี 1978 ตอนนั้นเติ้งเสี่ยวผิงเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาในปี 1980 หรือเมื่อ 35 ปีมาแล้วก็เริ่มมีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจก็เป็นไปตามขั้นตอน คือ จากประเทศด้อยพัฒนา อาศัยแรงงานที่มีราคาถูก ก็เปิดให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานอุตสาหกรรม พูดง่ายๆก็คือทำงานรับจ้างนั่นเอง<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiNR9pTfEbw2hfRwI7yUMdd8siUBSd54haYjmQU8V8pRVFmYN7WgkvvVx45eYqXQB1UexLrEM7odw2ddOfTPeCW_ZrJuPnS67GuvjrljJ8ay2WK3o4JF7E4ZRm3siUFqT-jNXy-u9eYhDDE/s1600/dengxiaoping.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiNR9pTfEbw2hfRwI7yUMdd8siUBSd54haYjmQU8V8pRVFmYN7WgkvvVx45eYqXQB1UexLrEM7odw2ddOfTPeCW_ZrJuPnS67GuvjrljJ8ay2WK3o4JF7E4ZRm3siUFqT-jNXy-u9eYhDDE/s1600/dengxiaoping.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">เติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำรุ่นที่สอง นายกรัฐมนตรีจีนในยุคเปิดประเทศ</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6dFVH9rs_L9k4bNpM2u0o45veP12046cL6GBn7WXT29DaP2aFeaUXgzaxQCAqL6-E0QuPErljJMflbDfOfl0rJajg2qYdeTOM1OlQg2Ktx24fLyZhd-WCOq0rUeF3H69f78OXRbnl8Kq3/s1600/60zhounian25.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6dFVH9rs_L9k4bNpM2u0o45veP12046cL6GBn7WXT29DaP2aFeaUXgzaxQCAqL6-E0QuPErljJMflbDfOfl0rJajg2qYdeTOM1OlQg2Ktx24fLyZhd-WCOq0rUeF3H69f78OXRbnl8Kq3/s1600/60zhounian25.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">เซินเจิ้น เขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของจีน</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
ปี 1980 จีนมีจีดีพีต่อหัวเพียง 193 ดอลลาร์ สรอ ต่อคน ต่อปี (ค่าเงินในยุคนั้น) คนที่มีหัวทางการค้าก็ทำการค้าไป คนที่ยังติดยึดกับการเป็นลูกจ้างก็เป็นลูกจ้างไป ลุงแมวน้ำจำได้ว่ายุคนั้นไกด์นำเที่ยวชาวจีนเคยเล่าให้ลุงฟังว่าได้เงินเดือนเดือนละ 200-300 หยวน ประมาณนี้แหละ ส่วนจีดีพีต่อหัวของไทยในยุค 1980 คือ 683 ดอลลาร์ สรอ ต่อคน ต่อปี<br />
<br />
เศรษฐกิจจีนเติบโตเรื่องมา จากการขายแรงงานราคาถูกโดยเป็นลูกจ้างในโรงงานต่างชาติ ก็มาตั้งโรงงานผลิตของตนเองบ้าง มีทั้งที่เป็นโรงงานผลิตสินค้าแบบง่ายๆ เช่น ถ้วยถังกะละมังไห ไปจนถึงพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองผลิตสินค้าเทคโนโลยี<br />
<br />
จวบจนปัจจุบัน ปี 2015 เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันจีนมีจีดีพีต่อหัว 7593 ดอลลาร์ สรอ ต่อคน ต่อปี (ค่าเงินปี 2014) ขณะที่ไทยมีจีดีพีต่อหัว 5560 ดอลลาร์ สรอ ต่อคน ต่อปี<br />
<br />
เศรษฐกิจจีนในปัจจุบันมีความหลากหลายมาก เนื่องจากจีนมีประชากรเป็นจำนวนมาก มีบัณฑิตจบใหม่ปีละประมาณ 7 ล้านคน การมีงานมีรายได้เป็นเรื่องสำคัญของคนจีนเพราะจีนเป็นคนรักษาหน้าตาและคาดหวังความสำเร็จสูง หากไม่สามารถเป็นลูกจ้างบริษัทดีๆได้ (พูดง่ายๆคือหางานทำไม่ได้) ก็ไปเป็นเถ้าแก่เองเสียเลยแก้ตกงานได้เหมือนกัน จีนเองก็ต้องการเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ ก็บอกว่าเอาเลย อยากเป็นเถ้าแก่ก็สนับสนุน<br />
<br />
ดังนั้นจีนจึงมีโรงงานผลิตสินค้าต่างๆมากมาย พวกสินค้าง่ายๆมีเยอะมาก ผลิตกันจนอุปทานล้นตลาด เมื่อล้นตลาดในประเทศก็เอามาทุ่มขายราคาถูกนอกประเทศ กำไรน้อยไม่เป็นไรขอกระแสเงินสดพอเลี้ยงตัวไปก่อน และนี่เองจึงเป็นที่มาของแบตเตอรี่ (ถ่านไฟฉาย) ราคาถูกเหลือเชื่อที่ขายอยู่ในเมืองไทย (และก็เป็นปัญหาโลหะหนักปนเปื้อนในน้ำใต้ดินของเราจนทุกวันนี้) ที่ช็อตยุงอันละ 20 บาท (ทำได้ไงเนี่ย) ปากกาเคมีที่ใช้เน้นสีข้อความแท่งละ 5 บาท ของญี่ปุ่นขายตั้งหลายสิบบาท<br />
<br />
ที่จริงพวกนี้ทำแล้วขาดทุน แต่ก็ทนทำไปเพราะต้องการสภาพคล่อง คล้ายๆชาวนาไทยนั่นเอง ปลูกข้าวขาดทุนแต่ก็ทนปลูกไปทุกปีเพราะไม่รู้จะทำยังไง อุตสาหกรรมเอสเอ็มอีจีนเหล่านี้นานไปก็มีปัญหาหนี้นอกระบบสะสมทบทวี<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">มุ่งหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง</span></h2>
<br />
ปัจจุบันจีนไม่เหมือนเมื่อก่อน ค่าแรงของจีนแพงแล้ว ดังนั้นโดยสภาพความเป็นจริงแล้วโรงงานที่ผลิตสินค้าขายราคาถูกอยู่ไม่ได้แล้ว ทางการจีนเองก็รู้ดี ประกอบกับจีนเองก็ต้องการหลุดพ้นจากประเทศรายได้ปานกลางเป็นประเทศรายได้สูงเช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ดังนั้นจะมามัวผลิตสินค้าขั้นพื้นฐานด้วยค่าแรงแพงอยู่ไม่ได้ จึงมีการปฏิรูปเศรษฐกิจขึ้น<br />
<br />
แนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจของผู้นำในยุคหลัง โดยเฉพาะในยุคของประธานาธิบดี ลุงสีจิ้นผิง กับนายกลุงหลี่เค่อเฉียง ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันนี้ พูดแบบกำปั้นทุบดินก็คือใช้ทำเศรษฐกิจที่มีมูลค่าเพิ่มเยอะๆ พวกมูลค่าเพิ่มน้อยๆไม่เอาแล้ว ดังนี้<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>หนึ่ง มุ่งสู่เศรษฐกิจภาคบริการ </b></span>เป็นที่รู้กันดีว่าเศรษฐกิจภาคบริการนั้นได้กำไรมากกว่าเศรษฐกิจด้านการผลิต โดยเฉพาะในภาคการเงินนั้นยิ่งเพิ่มมูลค่าได้มาก<br />
<br />
<b><span style="color: red;">สอง หากเป็นเศรษฐกิจด้านการผลิตก็ต้องเน้นการผลิตที่เพิ่มมูลค่า</span></b> ได้แก่พวกสินค้าเทคโนโลยี สินค้าพื้นๆถ้วยถังกะละมังก็ไม่เอาแล้ว<br />
<br />
<b><span style="color: red;">สาม ไม่ยินดีรับการลงทุนจากชาวต่างชาติแล้ว</span></b> หมายความว่าไม่ค่อยอยากรับทุนจากต่างชาติให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในจีน (FDI) แล้ว แต่ไม่ห้ามเพราะห้ามไม่ได้ จึงออกมาในรูปการเข้าไปลงทุนในจีนทำได้ยากขึ้น สร้างกฎระเบียบข้อกำหนดต่างๆ ให้เบื่อกันไปเอง ยกเว้นในอุตสาหกรรมที่จีนต้องการ ถ้าอย่างนั้นจะอำนวยความสะดวกดีมาก<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>สี่ ต้องการออกไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อแสวงหาผลตอบแทนกลับเข้ามาในประเทศ</b></span> นี่คือนโยบาย going out หรือ走出去 ที่เราได้ยินกันนั่นเอง<br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>ผลจากนโยบายข้อหนึ่งและข้อสอง ก็คือสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ นั่นคือ การส่งออกสินค้าของจีนจะค่อยๆลดลง</b></span> รวมทั้งการนำเข้าวัตถุดิบจะค่อยลดลง เพราะจีนต้องการมุ่งไปสู่การผลิตสินค้าที่เพิ่มมูลค่าได้มากๆเท่านั้น การปรับลดจะดำเนินต่อไปจนเข้าสู่จุดสมดุล<br />
<br />
ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ธุรกิจขนาดเล็กของจีนเองก็จะได้รับผลกระทบ พวกที่เลิกผลิตถ้วยถังกะละมังจะไปทำอะไรต่อไปนั่นก็เป็นปัญหาอีกเปลาะหนึ่งที่ต้องแก้ไข ดังนั้นการเลิกธุรกิจพวกนี้เลิกเร็วเกินไปผู้ประกอบการก็ปรับตัวไม่ได้ ก็ต้องค่อยๆลดและเลิกไป ดังนั้น ค่าเงินหยวนที่อ่อนตัวก็ยังจำเป็นอยู่เพื่อช่วยธุรกิจขนาดเล็กเหล่านี้ในช่วงเปลี่ยนผ่าน<br />
<br />
ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่มาสมทบก็คือ เศรษฐกิจโลกไม่ค่อยดีเหมือนเมื่อก่อน ดังนั้นความต้องการสินค้าที่ลดลงก็มีส่วนด้วย เมื่ออุปสงค์ลด อุุปทานก็ต้องปรับตัวลดลง<br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>ปัญหาหนี้นอกระบบ ธนาคารเงา </b></span>(shadow banking) ดังที่เล่ามาแล้วว่าธุรกิจจีนมีการใช้เงินกู้นอกระบบกันมาก หนี้เสียไม่มีปัญญาใช้คืนก็มาก เรื่องหนี้นอกระบบนั้นไม่แค่เรื่องการผลิต แม้แต่ในการบริหารงานของรัฐบาลท้องถิ่นก็ยังแอบไปก่อหนี้นอกระบบธนาคารเอาไว้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ทางการจีนปวดหัวมาก ปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบนี้เชื่อมโยงไปถึงสภาพคล่องของธุรกิจจีนด้วย จนถึงตอนนี้ก็ยังปวดหัวอยู่ เพราะจัดการได้ยาก<br />
<br />
เอาละ วันนี้เล่าให้ฟังเท่านี้ก่อน คอยอ่านตอนต่อไปนะคร้าบ นี่เล่าแบบง่ายๆ แบบแมวน้ำๆ ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไร<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhrpNmSAMOzCl-XmaR_srOvpMQPDS0NPNfwNCFlc8nrb6jP-7ZLmPiYngoMAZk0cYvaRw-V3HIeWBIhctZ1N2NggeNEfQDxcjZImoDJEttDPzUwdws7ilm5hD4qJshYQWo0CvwY5BsftcD-/s1600/hqdefault.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhrpNmSAMOzCl-XmaR_srOvpMQPDS0NPNfwNCFlc8nrb6jP-7ZLmPiYngoMAZk0cYvaRw-V3HIeWBIhctZ1N2NggeNEfQDxcjZImoDJEttDPzUwdws7ilm5hD4qJshYQWo0CvwY5BsftcD-/s1600/hqdefault.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #cc0000; font-size: small;">กาารสาธิตจับโซ่เผาไฟร้อนๆเพื่อแสดงประสิทธิภาพของครีมบัวหิมะในการรักษาแผลไฟไหม้</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
บทความตอนนี้มีภาพประกอบไม่มาก ลุงแมวน้ำเอาภาพนี้มาให้ดูรำลึกถึงความหลัง นี่คือการขายครีมบัวหิมะ (เป่าฟู่หลิง) ที่เป็นครีมสารพัดประโยชน์ ทาแก้ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ผด ผื่น สิว ริดสีดวง ฯลฯ ในสมัยก่อนชูจุดขายคือรักษาบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ทัวร์ที่ไปเที่ยวประเทศจีน ไกด์จีนจะต้องพาไปร้านที่ขายครีมนี้ อย่างน้อย 1 ครั้ง และจะได้ดการสาธิตแบบตื่นตาตื่นใจ นั่นคือ การเอามือไปจับโซ่ที่เผาไฟจนร้อนแดง แสดงกันสดๆทุกรอบ ไม่ใช่สลิง ไม่ใช่ซีจี โซ่แดงจริง จับแล้วควันขึ้น กลิ่นเนื้อย่างลอยฉุย จากนั้นก็ทาครีม แล้วก็หายจริง >.<<br />
<br />
ลุงเคยคุยกับคนที่สาธิต เขาบอกว่าผู้จัดการสั่งให้แสดงก็ต้องแสดง กลัวตกงานมากกว่ากลัวเจ็บ แต่ไม่ให้เมียรู้ วันที่จับโซ่มากสุดคือ 5 ครั้ง เพราะทัวร์ลงเยอะ ปวดมือมากแต่ก็ต้องทน ไม่รู้ว่าโม้หรือเปล่า<br />
<br />
ปัจจุบันไม่มีการสาธิตแบบนี้ ลุงไม่เคยเห็นมาหลายปีแล้ว เข้าใจว่าคงห้ามสาธิตโหดแบบนี้กันแล้ว ภาพพวกนี้เป็นภาพเก่าหาดูได้ยากคร้าบ<br />
<div>
<br /></div>
ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-79425247295297546192015-08-13T06:03:00.001+07:002015-08-13T06:56:38.661+07:00หยวนอ่อนถล่มตลาดโลก<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj9dOdt8kgqWWKPVSuQ35ZFavQQWqPxNcxk-pboTaoD5k2pf4Xd6VkY1nYv6RP_676ptn5LvNLczgpbK7-wUTSSyMOpCOZ4Fz4ByuEez00SYk5kvr-wTj1LzuBB6MWD8K8Pgs5b3loqAoLc/s1600/snap7387.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj9dOdt8kgqWWKPVSuQ35ZFavQQWqPxNcxk-pboTaoD5k2pf4Xd6VkY1nYv6RP_676ptn5LvNLczgpbK7-wUTSSyMOpCOZ4Fz4ByuEez00SYk5kvr-wTj1LzuBB6MWD8K8Pgs5b3loqAoLc/s1600/snap7387.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ปกติแล้วค่าเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ ค่อนข้างนิ่ง เนื่องจากธนาคารกลางของจีนอิงค่าเงินหยวนกับค่าเงินดอลลาร์ สรอ แต่เมื่อสองวันที่ผ่านมา จีนปรับลดค่าเงินอ้างอิงลงไปถึง -3.5% ทำให้ตลาดหุ้น ตลาดเงิน ตลาดพันธบัตร และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกปั่นป่วน</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgG_0iW41x7OxHCCfg_Q9O6kJyQTtoNP6eUvVgTmN7fJjl0yHvJIC2WM-Ie43XZh1kmWQ6-A8aotAMyeVT0KMEnVUGfBFFSoEzR2ok-bUKDY_JEWeckTZmASBlQ80Y4mdHnzJ9PVDGyTJ7v/s1600/snap7384.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgG_0iW41x7OxHCCfg_Q9O6kJyQTtoNP6eUvVgTmN7fJjl0yHvJIC2WM-Ie43XZh1kmWQ6-A8aotAMyeVT0KMEnVUGfBFFSoEzR2ok-bUKDY_JEWeckTZmASBlQ80Y4mdHnzJ9PVDGyTJ7v/s1600/snap7384.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลกแดงยกแผงเมื่อจีนลดค่าเงินหยวนเป็นวันที่สอง แม้แต่ตลาดหุ้นจีนเองก็ยังลง</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
โพสต์ที่แล้วลุงแมวน้ำบอกว่าความเสี่ยงอยู่ที่จีน ผ่านไปได้วันเดียวก็เป็นเรื่องเลย >.<<br />
<br />
สองวันที่ผ่านมานี้ทางธนาคารกลางของจีนได้ลดค่าเงินหยวนติดต่อกันถึงสองวัน หลายคนอาจงงว่าลดแล้วทำไม ผลกระทบจะใหญ่โตเพียงใด ก็ในเมื่อเงินตราสกุลอื่นก็มีขึ้นมีลงอยู่แล้ว วันนี้เรามาคุยให้เข้าใจที่มาที่ไปกันแบบง่ายๆ แบบแมวน้ำๆ จะได้ไม่ตกใจจนเกินควร<br />
<br />
ก่อนอื่นต้องเข้าใจกันก่อนว่าเงินหยวนของจีนนั้นไม่ได้ขึ้นลงตามกลไกตลาดในระบบทุนนิยมตลาดเสรี แต่ว่าเงินหยวนนั้นผูกกับเงินดอลลาร์ สรอ แม้ไม่ถึงกับตรึงกับเงินดอลลาร์ สรอ อย่างแนบแน่นแบบเอาเชือกมัดไว้ติดกัน แต่เป็นการตรึงกันแบบหลวมๆเหมือนเอาเชือกผูกโยงกันไว้ คือพอขยับแกว่งไปมาได้บ้าง<br />
<br />
<b><span style="color: red;">วิธีการกำหนดค่าเงินหยวน </span></b>ในแต่ละวันก็คือ ตอน 9.15 น ตามเวลาท้องถิ่นจีน ธนาคารกลางจะประกาศอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงออกมาค่าหนึ่ง และภายในวันนั้นก็ให้ซื้อขายกันในกรอบขึ้นลงไม่เกิน 2% ของราคาอ้างอิง ราคาอ้างอิงนั้นมาจากไหน ธนาคารกลางของจีนอิงกับเงินดอลลาร์ สรอ นั่นเอง วันถัดไปก็ประกาศราคาอ้างอิงใหม่ ทำเช่นนี้ไปทุกวัน โดยอัตราแลกเปลี่ยนหยวน-ดอลลาร์สรอ ช่วงหลังนี้อยู่ที่ประมาณ 6.1 หยวน/ดอลลาร์ สรอ ไม่หนีจากนี้ไปเท่าไรนัก<br />
<br />
เอาละ พักเรื่องเงินหยวนไว้ก่อน เรามาดูเหตุการณ์ประกอบ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนี้กัน<br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>เหตุการณ์แรก</b></span> คือการที่จีนพยายามขอเข้าไปมีบทบาท มีสิทธิ์มีเสียง ในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ให้มากขึ้น แต่ก็ถูกกันท่า จีนก็ไม่ยอมแพ้ พยายามผลักดันให้ไอเอ็มเอฟรับเงินหยวนเข้าไปอยู่ในตะกร้าเงินทุนสำรองของไอเอ็มเอฟ ที่เรียกว่า เอสดีอาร์ (SDR, Special Drawing Rights) ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 4 สกุล คือ ดอลลาร์ สรอ ปอนด์ เยน ยูโร ซึ่งปกติไอเอ็มเอฟจะทบทวนตะกร้าสกุลเงินนี้ทุก 5 ปี ครั้งต่อไปคือปี 2016 คือในปีหน้า<br />
<br />
การเข้าไปอยู่ในตะกร้าเงินของไอเอ็มเอฟนั้นดีอย่างไร ที่จริงตะกร้าเงินนี้ไม่ได้มีบทบาทในโลกการเงินนัก แต่ว่่านี่คือศักดิ์ศรีและการยอมรับในระดับนานาชาติ จีนใช้การเข้าเป็นสกุลในตะกร้าเงิน SDR เป็นย่างก้าวทางยุทธ์ศาสตร์เพื่อทำให้เงินหยวนเป็นเงินตราสกุลหลักของโลกต่อไป<br />
<br />
ทีนี้ป้าคริสทีน ลาการ์ด แห่งไอเอ็มเอฟก็บอกว่าจีนยังไม่ได้ปล่อยเงินหยวนให้เคลื่อนไหวเสรีตามกลไกตลาด การตรึงเงินหยวนกับดอลลาร์ สรอ แบบนี้ยังโกอินเตอร์ไม่ได้หรอก คงไม่เข้าเงื่อนไขที่จะมาอยู่ในตะกร้าเงินของไอเอ็มเอฟ<br />
<br />
<b><span style="color: blue;">เหตุการณ์ที่สอง </span></b>ก็คือยอดส่งออกของจีนหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ส่งออกของจีนเดือนกรกฎาคม 2015 เทียบกับเดือนเดียวกันในปี 2014 ลดลง -8% ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าตกใจทีเดียว และมีนักเศรษฐศาสตร์จำนวนไม่น้อยที่ไม่เชื่อว่าจีดีพีของจีนตอนนี้เติบโต 7% ต่อปี แต่คาดว่าน่าจะต่ำกว่านั้นเพียงแต่จีนไม่ยอมบอกออกมา<br />
<br />
ย้อนมาคุยเรื่องเงินหยวนต่อ เมื่อสองวันก่อน ธนาคารกลางของจีนก็ประกาศว่าการที่เงินหยวนผูกกับดอลลาร์ สรอ นั้น เมื่อดอลลาร์ สรอ แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้เงินหยวนพลอยแข็งค่าตามไปด้วยเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ คิดไปคิดมาแล้วเงินหยวนแข็งค่ามากกว่าความเป็นจริงไปโข ดังนั้นขอปรับลดราคากลางเป็นพิเศษสักครั้งเพื่อให้ค่าเงินหยวนใกล้เคียงความจริง และต่อจากนี้ไปราคาอ้างอิงของเงินหยวนจะอิงกับดอลลาร์ สรอ น้อยลง แต่จะขึ้นอยู่กับอุปสงค์อุปทานที่แท้จริงของเงินหยวนในแต่ละวันมาพิจารณาด้วย<br />
<br />
ปรากฏว่าธนาคารกลางของจีนลดค่าเงินหยวนลงอย่างฮวบฮาบ 2 วันติดกัน วันจันทร์ที่ผ่านมา เงินหยวนอยู่ที่ 6.1162 หยวน/ดอลลาร์ มาวันพุธเป็น 6.3306 หยวน/ดอลลาร์ เท่ากับในสองวันนี้ (อังคาร พุธ) ราคาอ้างอิงเงินหยวนลดลง -3.5% ก็คือลดค่าเงินหยวนลง -3.5% นั่นเอง<br />
<br />
ทีนี้ตลาดก็แตกตื่นละสิ เพราะไม่รู้ว่าวันนี้ (วันพฤหัส) จะเกิดอะไรขึ้น จีนละลดค่าเงินหยวนลงอีกก๊อกหนึ่งไหม จะลดอีกกี่วันจึงจะจบ<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">วิเคราะห์ </span></h2>
<br />
การที่จีนลดค่าเงินหยวนในช่วงนี้ถือว่าเป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะเท่ากับจีนบอกไอเอ็มเอฟว่านี่ผ่อนคลายการคลื่อนไหวของเงินหยวนให้เสรีขึ้นแล้วนะ ดังนั้นอย่าลืมรับหยวนเข้าตะกร้าเงินด้วย จีนเร่งในเรื่องนี้เนื่องจากหากปี 2016 ยังเข้าไม่ได้ต้องรอไปอีก 5 ปี ไอเอ็มเอฟก็ชมเชย แต่ยังไม่รู้ว่าจะรับเข้าไหม<br />
<br />
นอกจากนี้ เมื่อเงินหยวนอ่อนค่าก็ช่วยการส่งออกของจีนด้วย เพราะว่าตอนนี้ส่งออกกำลังย่ำแย่<br />
<br />
ผลจากการลดค่าเงินหยวนทำให้ตลาดทั่วโลกแตกตื่น ต่างคนต่างก็คิดกันไปต่างๆนานา เช่น<br />
<br />
อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย ก็คิดว่าเงินหยวนอ่อน กำลังซื้อคงลดลง การนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์จากอินโดนีเซียกับออสเตรเลียคงลดลง ตลาดหุ้นอินโดก็ร่วง มาเลเซีย ไต้หวัน ที่ค่าขายกับจีนมาก ตลาดหุ้นมาเลเซีย ไต้หวันก็ร่วง<br />
<br />
ญี่ปุ่นกับเกาหลีไต้ก็ตกใจเพราะเท่ากับว่าจีนเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สินค้าส่งออกของญี่ปุ่น เกาหลีใต้ คงเจอศึกหนัก ตลาดหุ้นสองตลาดนี้ก็ร่วง<br />
<br />
เยอรมนี ฝรั่งเศส ขายรถยนต์ สินค้าหรู ให้จีนมากมาย เมื่อเงินหยวนอ่อน กำลังซื้อน่าจะลดลง ตลาดหุ้นเยอรมนี ฝรั่งเศส ก็ร่วง<br />
<br />
สำหรับไทย ก็กังวลกันว่าจีนเป็นลูกค้ารายใหญ่ของไทย (ส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบ) ปีนี้การส่งออกไปจีนลดลงมาก หากเงินหยวนอ่อน กำลังซื้อย่อมลด จีนอาจหันไปนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นที่ถูกกว่า เช่น เวียดนาม การส่งออกของไทยที่แย่ลงอยู่อาจแย่หนักยิ่งขึ้น หุ้น AOT ก็ร่วงไปแล้วเพราะตกใจว่านักท่องเที่ยวจีนอาจลดลง<br />
<br />
<br />
ตอนนี้ฝุ่นยังตลบอยู่ มองอะไรไม่ค่อยเห็น ลุงแมวน้ำว่าที่คิดกันตอนนี้ก็กังวลกันไปต่างๆนานา รอดูสถานการณ์กันสักพักก่อนดีกว่า อะไรๆอาจไม่เลวร้ายอย่างที่กังวลกัน แต่แน่นอน ต่อไปเงินหยวนจะผันผวนมากขึ้น รวมทั้งในระยะกลางหยวนยังมีโอกาสอ่อนค่าได้อีก<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfBV-TB3L8mlwZ1B69cJppO-20wDwa-DKMLHBmw-3HALOWYfMaLohM7ZsH53bA1F1q5CZF652l4AtLtk06jtAYczX3ng9WJlJYw20iU8x8hLrHIa6bfJfg1kFcmFHnrdWRgDvBasqGkAPV/s1600/snap7385.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfBV-TB3L8mlwZ1B69cJppO-20wDwa-DKMLHBmw-3HALOWYfMaLohM7ZsH53bA1F1q5CZF652l4AtLtk06jtAYczX3ng9WJlJYw20iU8x8hLrHIa6bfJfg1kFcmFHnrdWRgDvBasqGkAPV/s1600/snap7385.jpg" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjiRKVSuSPtvBgq5dBy0LT-vKjrTzkJEJAzQlVvdBD18EVCGJKuF0UGsZ6hVruKbCCzj_zcp_CT3ECJoQQOUymdA5ebwk9XLIH6cQCy9IkhuMP6jJ4bGlalSZH8XkxN-9wrM_wODbxcg89V/s1600/snap7386.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjiRKVSuSPtvBgq5dBy0LT-vKjrTzkJEJAzQlVvdBD18EVCGJKuF0UGsZ6hVruKbCCzj_zcp_CT3ECJoQQOUymdA5ebwk9XLIH6cQCy9IkhuMP6jJ4bGlalSZH8XkxN-9wrM_wODbxcg89V/s1600/snap7386.jpg" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<br />
และ <span style="color: red;"><b>ข่าวดีนิดหน่อย</b></span> เมื่อคืนตลาดหุ้นอเมริกาไหลลงลึก แต่มีแรงรับ เกิดเป็นรูปแบบแท่งเทียนที่เรียกว่าค้อน (hammer) เป็นสัญญาณกลับทิศเป็นขาขึ้นประการหนึ่ง แสดงว่าตลาดหุ้นอเมริกามีแรงซื้อ ไม่ยอมลง รูปแบบทางเทคนิคยังไม่เสียหาย ลุงยังมองเช่นเดิมว่าตลาดหุ้นอเมริกากำลังเดินหน้าทดสอบแนวต้านใหญ่และมีโอกาสผ่านสูง ซึ่งจะเกิดโมเมนตัมเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยด้วย และหากเป็นไปตามนี้ สถานการณ์ในระยะสั้นคงยังไม่เลวร้ายเพราะได้อานิสงส์จากตลาดหุ้นอเมริกามาช่วย<br />
<br />ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-41647665545978611692015-07-31T11:23:00.003+07:002015-08-02T16:02:54.847+07:00มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทย (4)<b style="color: purple;">“Toward a New Frontier” Series บทความชุด “ทะยานสู่พรมแดนใหม่”</b><br />
<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhVavAifurGwwUHeIkW3SxD8Coi28f0gZo-VE8OCr1Zn5LfYaJHFU3WumbidP3LEZ3NcGp5Y_SNwm8-pL4ivn-WSCeeEKF_6XbuJ75RQHE8bpCEIPINKpRV64iNZYBy2xhavJR0YskCa16Q/s1600/economic+indecies.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="374" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhVavAifurGwwUHeIkW3SxD8Coi28f0gZo-VE8OCr1Zn5LfYaJHFU3WumbidP3LEZ3NcGp5Y_SNwm8-pL4ivn-WSCeeEKF_6XbuJ75RQHE8bpCEIPINKpRV64iNZYBy2xhavJR0YskCa16Q/s400/economic+indecies.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<br />
ในตอนนี้เราจะมาดูดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญด้านการใช้จ่ายกันต่อจากตอนที่แล้ว<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน</span></h2>
<br />
ตอนที่แล้วเราได้ศึกษาเกี่ยวกับดัชนีราคาผู้บริโภคอันเป็นตัวชี้วัดด้านราคาสินค้าและบริการ ยังมีตัวชี้วัดด้านการจับจ่ายใช้สอยที่สำคัญอีกตัวชี้วัดหนึ่ง นั่นคือ ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (private consumption index) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดด้านกำลังการจับจ่ายใช้สอยของบุคคล เรามักใช้ดูประกอบกับดัชนีราคาผู้บริโภค สองดัชนีนี้ให้ภาพการบริโภคที่ไม่เหมือนกัน ดัชนีราคาผู้บริโภคบ่งบอกว่าราคาสินค้าถูกหรือแพง ส่วนดัชนีการอุปโภคบริโภคบอกว่าผู้บริโภคซื้อมากน้อยเท่าไร บางทีสินค้าราคาถูกแต่ผู้บริโภคก็ยังไม่จับจ่าย หรือสินค้าราคาแพงแต่ผู้บริโภคก็ยังจับจ่ายอย่างไม่ยั้ง เหล่านี้จะทำให้เกิดภาพเศรษฐกิจที่แตกต่างกันออกไป<br />
<br />
ดัชนีราคาผู้บริโภคนั้นคำนวนจากการจับจ่ายใช้สอยทั้ง <span style="color: blue;">สินค้าสิ้นเปลือง</span> (หรือเรียกว่าสินค้าไม่คงทน เช่น เชื้อเพลิง กระแสไฟฟ้า สินค้าปลีก ฯลฯ) <span style="color: blue;">สินค้ากึ่งคงทน</span> (เช่น เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ) <span style="color: blue;">สินค้าคงทน</span> (เช่น รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ฯลฯ) <span style="color: blue;">การใช้จ่ายภาคบริการ</span> (เช่น การกินอาหารในห้องอาหารหรือภัตตาคาร ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ฯลฯ) และ <span style="color: blue;">การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ </span>ก็นำเอาข้อมูลการใช้จ่ายใน 5 หมวดเหล่านี้มาคำนวณเป็นดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_y3YGlo74cXv3fRyVUtbi5-p2_fD1Vdpi-sxZs955nGjV_wVeyuvBjIsUMP-3QXTzJcOyXlVihucb3lpb9JUa0lZaTg_N5GITCPzuMdmItALsD3wVETG6WfLx16TpJFy076hI3HHl_b4o/s1600/private+consumption+index.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_y3YGlo74cXv3fRyVUtbi5-p2_fD1Vdpi-sxZs955nGjV_wVeyuvBjIsUMP-3QXTzJcOyXlVihucb3lpb9JUa0lZaTg_N5GITCPzuMdmItALsD3wVETG6WfLx16TpJFy076hI3HHl_b4o/s1600/private+consumption+index.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนบ่งบอกภาพรวมของการจับจ่ายใช้สอยของภาคประชาชน ส่วนดัชนีการใช้จ่ายสินค้าคงทนเน้นที่การใช้จ่ายสินค้าที่อายุใช้งานยาวนานและราคาสูง</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
เรามาดูกราฟดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (เส้นสีฟ้า) กัน จากกราฟเส้นสีฟ้าจะเห็นว่าการอุปโภคบริโภคในปี 2556 นั้นปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว บ่งบอกถึงการจับจ่ายใช้สอยที่หดตัวลง จากนั้นก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงต้นปี 2557 พอกลางปี 2557 เป็นต้นมาดัชนีก็รุดตัวเป็นแนวโน้มขาลงมาโดยตลอด มีเดือน พ.ค. 2558 นี่เองที่เด้งขึ้นมาแบบพรวดพราด<br />
<br />
เส้นสีฟ้านี้เราอาจจะรู้สึกว่าดูแนวโน้มยาก นั่นเป็นเพราะเป็นดัชนีที่เฉลี่ยจากการอุปโภคบริโภคหลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะพวกสินค้าไม่คงทนหรือของกินของใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวันนั้นบางทีอยากจะประหยัดก็ทำได้ยาก เหตุปัจจัยหลายอย่างผสมกันจนผันผวน ทำให้ดูแนวโน้มได้ยาก<br />
<br />
ในการพิจารณาเศรษฐกิจนั้นโดยทั่วไป การดูที่การบริโภคสินค้าคงทนอาจเห็นภาพได้ชัดกว่า เนื่องจากหากเศรษฐกิจไม่ดี แม้ว่าผู้บริโภคจะยังซื้อของกินของใช้ทั่วไปแต่มักจะไปชะลอการซื้อของที่อายุใช้งานยาวนานและราคาสูง ซึ่งดัชนีสินค้าคงทนนั้นคำนวณจากการซื้อรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งก็คือของที่มีอายุการใช้งานยาวนานและราคาสูงนั่นเอง<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>ดังนั้น เมื่อดูเส้นสีเหลืองหรือดัชนีสินค้าคงทน จะเห็นว่าเป็นขาลงหรือหมายถึงเศรษฐกิจน่าจะไม่ค่อยดีมาตั้งแต่ปี 2556 แล้วเพราะการบริโภคสินค้าคงทนลดลงมาโดยตลอด แต่เราจะสรุปฟันธงเศรษฐกิจจากกราฟเดียวไม่ได้ </b></span>เพราะผลจากโครงการรถคันแรกที่ดึงกำลังซื้อไปล่วงหน้าก็สะท้อนอยู่ในเส้นนี้ด้วย ดังนั้นจำต้องพิจารณาดัชนีอื่นๆประกอบด้วย<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ดัชนีราคาอสังหาริมทรัพย์ ตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญ</span></h2>
<br />
ดัชนีอีกชุดหนึ่งที่นิยมใช้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจ นั่นคือ ดัชนีราคาอสังหาริมทรัพย์ ลองดูกราฟต่อไปนี้<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjahw5vkkhIlZmqcXp9ZjyblixJki1wouzrz9D5Dj_J_pgbgDei2Cn1v9AITzLLRB7-QuX005PLE2mkCmDOGZkis6krygta1BNAp0xVYlWI_tCdI-zwXYIKUUchoF_w1h-4s2IUwqvh0yu1/s1600/house+price+index.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjahw5vkkhIlZmqcXp9ZjyblixJki1wouzrz9D5Dj_J_pgbgDei2Cn1v9AITzLLRB7-QuX005PLE2mkCmDOGZkis6krygta1BNAp0xVYlWI_tCdI-zwXYIKUUchoF_w1h-4s2IUwqvh0yu1/s1600/house+price+index.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ดัชนีราคาอาคารชุดปรับตัวขึ้นได้เร็วและผันผวนสูงเนื่องจากคอนโดมิเนียมมีสภาพเก็งกำไรมากกว่าบ้านเดี่ยว</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
ดัชนีราคาอสังหาริมทรัพย์นั้นมีดัชนีย่อยหลายดัชนี แต่วันนี้ลุงแมวน้ำนำมาให้ดูกันเพียง 2 ดัชนี นั่นคือ <span style="color: blue;">ดัชนีราคาอาคารชุด</span> กับ <span style="color: blue;">ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดิน</span> โดยปกติแล้วหากเศรษฐกิจเติบโต ราคาอสังหาริมทรัพย์จะค่อยๆขยับตัวสูงขึ้น หากเศรษฐกิจโตดีราคาอสังหาก็ขึ้นเร็วหน่อย หากเศรษฐกิจฝืดเคืองราคาอสังหาก็ทรงตัว หรือหากแย่มากก็อาจหดตัวได้<br />
<br />
เมื่อพิจารณาจากกราฟ จะเห็นว่าราคาอาคารชุด (ราคาคอนโดมิเนียม เส้นสีเหลือง) ราคาขยับขึ้นเร็วกว่าราคาบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดิน (เส้นสีฟ้า) อีกทั้งเส้นสีเหลืองยังผันผวนกว่า นั่นเป็นเพราะธรรมชาติของคอนโดมิเนียมมีความเป็นสินค้าเก็งกำไรมากกว่า ราคาจึงขึ้นเร็วกว่าและแกว่งตัวมากกว่า (โดยทั่วไปรูปแบบกราฟราคาคอนโดมิเนียมของไทยนั้นจะมีรูปทรงคล้ายขั้นบันได คือขึ้นแล้วพัก พักแล้วขึ้นต่อ จากนั้นพักอีก เนื่องจากการเก็งกำไรสูงทำให้เกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลายเป็นระยะๆ ซึ่งต้องอาศัยเวลาดูดซับ) การพิจารณาแนวโน้มเศรษฐกิจจากดัชนีราคาอาคารชุดจึงอาจตีความยากสักหน่อย<br />
<br />
แต่หากลองดูเส้นสีฟ้า ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดิน ปกติบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดินไม่ใช่สินค้าเก็งกำไร ผู้ที่ซื้อมักต้องการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง ดังนั้นราคาไม่แกว่งมาก ลุงแมวน้ำว่าการดูแนวโน้มเศรษฐกิจจากดัชนีราคาบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดินจะทำให้เห็นภาพเศรษฐกิจได้ชัดเจนกว่า<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>จากกราฟ จะเห็นว่าทั้งดัชนีราคาคอนโดกับดัชนีราคาบ้านเดี่ยวตั้งแต่ต้นปี 2558 เป็นต้นมา บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ ทั้งราคาคอนโดและบ้านเดี่ยวทรงตัว สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยสดใสนัก ดีที่ยังไม่ใช่แนวโน้มหดตัว แต่ก็ประมาทไม่ได้ ระยะต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ </b></span><br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">พิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจด้วยดัชนีผสม</span></h2>
<br />
จากดัชนีที่ลุงแมวน้ำคุยมาให้ฟังทั้ง 3 ตอน หากเราลองรวมดัชนีสำคัญมาพล็อตอยู่ในกราฟเดียวกัน เราจะได้ภาพสะท้อนเศรษฐกิจที่น่าสนใจ ลองมาดูกราฟนี้กัน<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhVavAifurGwwUHeIkW3SxD8Coi28f0gZo-VE8OCr1Zn5LfYaJHFU3WumbidP3LEZ3NcGp5Y_SNwm8-pL4ivn-WSCeeEKF_6XbuJ75RQHE8bpCEIPINKpRV64iNZYBy2xhavJR0YskCa16Q/s1600/economic+indecies.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhVavAifurGwwUHeIkW3SxD8Coi28f0gZo-VE8OCr1Zn5LfYaJHFU3WumbidP3LEZ3NcGp5Y_SNwm8-pL4ivn-WSCeeEKF_6XbuJ75RQHE8bpCEIPINKpRV64iNZYBy2xhavJR0YskCa16Q/s1600/economic+indecies.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ภาพของเศรษฐกิจไทยที่สะท้อนจากดัชนี 4 ดัชนีทั้งภาคธุรกิจการลงทุน และภาคการบริโภค</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
กราฟนี้เป็นการรวมเอาดัชนีด้านธุรกิจ การค้า การลงทุน มารวมกับดัชนีด้านการบริโภคที่สำคัญ ลุงแมวน้ำเลือกมา 4 ดัชนี คือ <span style="color: blue;">ดัชนีพ้องเศรษฐกิจ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ ดัชนีค่าใช้จ่ายสินค้าคงทน และดัชนีราคาบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดิน</span> <span style="color: red;"><b>จะเห็นว่าทั้งสี่ดัชนีนี้ไม่ทรงก็ลง สะท้อนภาพเศรษฐกิจไทยที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะดัชนีสินค้าคงทนกับดัชนีบ้านเดี่ยวนั้นหากอยู่ในสภาวะทรงตัวหรือทรุดตัวแล้วการจะให้กลับเป็นขาขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลานาน แปลความว่าเศรษฐกิจไทยยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีกนานพอควรทีเดียว </b></span><br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ชี้ภาพเศรษฐกิจทางอ้อม</span></h2>
<br />
การพิจารณาภาพทางเศรษฐกิจนอกจากดูที่การลงทุนหรือการบริโภคแล้ว เรายังอาจดูจากภาคการเงินก็ได้ นั่นคือ <span style="color: blue;">ปริมาณหนี้เสีย</span> บางทีก็ดูปริมาณเช็คเด้ง แล้วแต่สะดวก เนื่องจากหากเศรษฐกิจไม่ดีการชำระหนี้ย่อมฝืดเคืองไปด้วย ปริมาณการผิดนัดชำระหนี้ย่อมมากขึ้น<br />
<br />
ปกติการจัดชั้นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้นั้น คือหนี้ที่ขาดชำระเกินกว่า 3 เดือน เราก็ดูเอาจากรายงานการจัดชั้นหนี้ หาก NPL เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องย่อมสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี ดังในภาพนี้<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhNJ_HW2TVl-ckb7hVnl2o-Ixf47yT1qhRUIvk_nE2wPKh1ur-0L3dmutyphv9svH3cDglFGpzAmFuqdNNhU4YhRmSAQ5GNffWINV-9cI3ALmDdZV1rCynCaBzlYPFQxRShHm0eu0_V32Bo/s1600/gross+npl.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhNJ_HW2TVl-ckb7hVnl2o-Ixf47yT1qhRUIvk_nE2wPKh1ur-0L3dmutyphv9svH3cDglFGpzAmFuqdNNhU4YhRmSAQ5GNffWINV-9cI3ALmDdZV1rCynCaBzlYPFQxRShHm0eu0_V32Bo/s1600/gross+npl.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ปริมาณหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ควรพิจารณาหนี้ชั้น SML ประกอบด้วยเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
ข้อมูล NPL ออกเป็นรายไตรมาส ก็ไม่ค่อยฉับไวต่อสถานการณ์เมื่อเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดที่รายงานเป็นรายเดือน นอกจากนี้ การพิจารณายอด NPL นั้นที่จริงควรพิจารณาชั้นหนี้ขาดชำระ 1-3 เดือนด้วย (ที่เรียกว่าชั้น SML) ว่าหนี้ชั้น SML มีมากเท่าไรด้วยเนื่องจากพวกนี้คือกลุ่มที่รอเป็น NPL หาก NPL ก็มาก และ SML ก็รออยู่มาก ยิ่งบ่งบอกภาพเศรษฐกิจที่น่าหนักใจ<br />
<br />
<br />
เอาละคร้าบ เล่ามาครบหมดแล้ว ทีนี้พวกเราก็พอจะติดตามภาพเศรษฐกิจกันได้ด้วยตนเองแล้ว<br />
<div>
<br /></div>
ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-4383418905585599072015-07-27T12:22:00.000+07:002015-07-27T12:22:26.713+07:00มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทย (3)<b style="color: purple;">“Toward a New Frontier” Series บทความชุด “ทะยานสู่พรมแดนใหม่”</b><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjZ4lJU4e2Yjy4gjb04DSLUXDhAANAoCDHTNnQIyuKVp2390y68mwWqbqtYMPzgcjHiV1-s_qnTYYqIk81Ntij1V5QV8CQcSQ0XAk8aYa1XA-FqJQwUEb0b3idKYnNmTUxXYPdGDaFCS5BA/s1600/core+and+headline+cpi.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjZ4lJU4e2Yjy4gjb04DSLUXDhAANAoCDHTNnQIyuKVp2390y68mwWqbqtYMPzgcjHiV1-s_qnTYYqIk81Ntij1V5QV8CQcSQ0XAk8aYa1XA-FqJQwUEb0b3idKYnNmTUxXYPdGDaFCS5BA/s1600/core+and+headline+cpi.jpg" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
ในบทความสองตอนก่อนเราได้คุยเกี่ยวกับมุมมองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยโดยพิจารณาจากตัวชี้วัดด้านธุรกิจการค้า อุตสาหกรรม การลงทุน ซึ่งเป็นการมองเศรษฐกิจจากตัวชี้วัดด้านการสร้างรายได้ อันถือเป็นต้นน้ำของเศรษฐกิจ เพราะมีรายได้จึงจะมีการจับจ่ายใช้สอยเกิดขึ้นตามมา<br />
<br />
สำหรับในตอนนี้เราจะมาพิจารณาเศรษฐกิจไทยจากตัวชี้วัดด้านการอุปโภคบริโภคหรือด้านการจับจ่ายใช้สอยกันบ้าง หลายคนอาจสงสัยว่าก็ในเมื่อมีรายได้จึงจะมีการจับจ่ายใช้สอย ดังนั้นพิจารณาเศรษฐกิจจากตัวชี้วัดด้านธุรกิจ การค้า การลงทุนก็น่าจะเพียงพอแล้ว พูดแบบนั้นก็ไม่เชิง เนื่องจากการจับจ่ายใช้สอยมีปัจจัยทางจิตวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องสูง บางทีแม้มีรายได้ดีแต่อาจไม่อยากจับจ่ายก็เป็นได้เพราะเรามองแนวโน้มในอนาคตข้างหน้าไม่ค่อยดีนัก จึงอยากประหยัดเอาไว้ก่อน เป็นต้น ดังนั้นตัวชี้วัดด้านการอุปโภคบริโภคก็บ่งชี้อาการทางเศรษฐกิจได้ไวและด้วยมุมมองที่แตกต่างออกไป หากจะมองเศรษฐกิจให้เกิดภาพหรือมุมมองอย่างทั่วถึงก็ควรพิจารณาทั้งตัวชี้วัดต้นน้ำและปลายน้ำประกอบกัน<br />
<br />
ตัวชี้วัดด้านการอุปโภคบริโภคมีมากมายหลายตัว เรามาดูกันเพียง 3-4 ตัวชี้วัดที่สำคัญก็พอ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และดัชนีอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งดัชนีเหล่านี้จะมีดัชนีย่อยอีก และมีของแถม คือ ตัวชี้วัดเศรษฐกิจด้านการธนาคาร นั่นคือ ปริมาณหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือยอดเอ็นพีแอล (NPL)<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ดัชนีราคาผู้บริโภค บ่งบอกภาวะการครองชีพ เงินเฟ้อ เงินฝืด</span></h2>
<br />
ดัชนีราคาผู้บริโภค (consumer price index) คือตัวชี้วัดที่เรานำมาคำนวณอัตราเงินเฟ้อนั่นเอง<span style="color: blue;"><b> อัตราเงินเฟ้อปีละเท่านั้นเท่านี้ก็ได้มาจากดัชนีนี้ และเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อเป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญตัวหนึ่ง ดังที่เราได้อ่านพบในข่าวอยู่เสมอ</b></span> ดังนั้นวันนี้เราจะคุยเรื่องนี้กันเยอะสักหน่อย<br />
<br />
ดัชนีราคาผู้บริโภคหรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายก็คือดัชนีราคาสินค้าและบริการนั่นเอง โดยดัชนีนี้บ่งบอกราคาสินค้าและบริการที่จำเป็นในการครองชีพโดยบอกเป็นภาพรวม<br />
<br />
ดัชนีนี้คำนวณจากราคาอาหารและเครื่องดื่ม ราคาเครื่องนุ่งห่มรองเท้า ราคาเกี่ยวกับที่พักอาศัย (ค่าเช่า เครื่องตกแต่งบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าดูแลความสะอาด ฯลฯ) ค่ารักษาพยาบาล ค่าเบี้ยประกัน ค่าเดินทาง ค่าติดต่อสื่อสาร ค่าบันเทิงสันทนาการ ค่าการศึกษา เป็นต้น ก็เอาราคาพวกนี้มาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักกัน ได้เป็นดัชนีราคาผู้บริโภคเพื่อบ่งบอกภาวะค่าครองชีพโดยรวม<br />
<br />
ทีนี้ก็ต้องทำความเข้าใจกันหน่อยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคที่เรามักนิยมอ้างอิงกันนั้น มี 2 ดัชนีย่อย คือ<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป</b></span> คือค่าใช้จ่ายต่างๆในย่อหน้าที่แล้วเอามาคำนวณเป็นดัชนี ดัชนีนี้เอาไปคำนวณอัตราเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อที่ได้เรียกว่า <span style="color: red;"><b>อัตราเงินเฟ้อทั่วไป</b></span> (headline inflation)<br />
<br />
อีกดัชนีหนึ่งที่ควบคู่กันไป นั่นคือ <span style="color: red;"><b>ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน</b></span> ก็คำนวณจากราคาสินค้าและบริการต่างๆข้างบนเช่นกัน แต่หักค่าอาหารและเชื้อเพลิงออกไป (คือไม่รวมค่าอาหารและเชื้อเพลิงนั่นเอง) ดัชนีนี้เอาไปคำนวณอัตราเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อที่ได้เรียกว่า <span style="color: red;"><b>อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน</b></span> (core inflation)<br />
<br />
เหตุที่ต้องมีดัชนีสองตัวนี้ใช้ควบคู่กันเนื่องจากราคาอาหารและเชื้อเพลิงนั้นราคาไม่คงที่ แกว่งตัวหวือหวา โดยอาจเป็นไปตามฤดูกาลหรือเป็นช่วงสั้นๆ (ยกตัวอย่างเช่นหน้าแล้งผักแพง มะนาวแพง แต่ก็เพียงไม่นาน เป็นต้น) บางทีการแกว่งตัวที่หวือหวาอาจบดบังสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงไป เราจึงต้องมีดัชนีแบบที่ตัดสินค้าอาหารและเชื้อเพลิง ไว้พิจารณาควบคู่กัน หากงงก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวดูกราฟแล้วจะเข้าใจ<br />
<br />
การใช้ข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคนั้นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าดัชนีนี้เกี่ยวกับการบริโภคของชนชั้นกลางและมีรายได้ประจำ เป็นตัวแทนกำลังการบริโภคส่วนใหญ่ของประเทศแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของประเทศ หากต้องการพิจารณาการบริโภคของคนยากคนจน ก็มีดัชนีราคาผู้บริโภคของผู้มีรายได้น้อย หรือหากต้องการพิจารณาการบริโภคในชนบทห่างไกล ก็มีดัชนีราคาผู้บริโภคในชนบท ให้ใช้พิจารณาโดยเฉพาะ เป็นต้น หรือหากเราต้องการดูภาวะการครองชีพในแต่ละภูมิภาค เราก็มีดัชนีราคาผู้บริโภคของแต่ละภาคให้ใช้ เป็นต้น<br />
<br />
ทีนี้เรามาดูกราฟดัชนีราคาผู้บริโภคและการประเมินอัตราเงินเฟ้อกัน ดูภาพต่อไปนี้<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjZ4lJU4e2Yjy4gjb04DSLUXDhAANAoCDHTNnQIyuKVp2390y68mwWqbqtYMPzgcjHiV1-s_qnTYYqIk81Ntij1V5QV8CQcSQ0XAk8aYa1XA-FqJQwUEb0b3idKYnNmTUxXYPdGDaFCS5BA/s1600/core+and+headline+cpi.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjZ4lJU4e2Yjy4gjb04DSLUXDhAANAoCDHTNnQIyuKVp2390y68mwWqbqtYMPzgcjHiV1-s_qnTYYqIk81Ntij1V5QV8CQcSQ0XAk8aYa1XA-FqJQwUEb0b3idKYnNmTUxXYPdGDaFCS5BA/s1600/core+and+headline+cpi.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ดัชนีราคาผู้บริโภค (consumer price index) ทั้งชุดทั่วไปและชุดพื้นฐานทั่วประเทศ ปี 2556-2558</span> </td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
ในภาพนี้ เส้นสีฟ้าคือดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป เส้นสีส้มคือดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน จะเห็นว่าในช่วงปี 2557 ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (สีฟ้า) แกว่งตัวหวือหวาคือดัชนีร่วงแรง เพราะรวมราคาพลังงานและอาหารเข้าไปด้วย และปัจจัยที่ทำให้แกว่งตัวมากคือราคาน้ำมันนั่นเองเนื่องจากในปี 2557 นั้นราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับตัวลงแรง หากนำข้อมูลนี้ไปคำนวณเป็นอัตราเงินเฟ้อทั่วไปก็จะได้อัตราเงินเฟ้อที่แกว่งตัว เดี๋ยวอัตราเงินเฟ้อเป็นบวก เดี๋ยวอัตราเงินเฟ้อติดลบ ทำให้ประเมินภาพเศรษฐกิจยาก<br />
<br />
หากจะพูดให้เข้าใจง่าย ดัชนีเงินเฟ้อทั่วไปเปรียบเหมือนดัชนีเซ็ตนั่นเอง ดัชนีเซ็ตถ่วงน้ำหนักด้วยหุ้นกลุ่มพลังงานค่อนข้างมาก พอราคาน้ำมันโลกร่วงแรง หุ้นพลังงานก็ร่วง ดัชนีเซ็ตก็ร่วง ภาพที่เห็นดูเหมือนตลาดหุ้นร่วงทั้งตลาด แต่ที่จริงราคาหุ้นบางกลุ่มก็ไม่ได้ร่วงตามไปด้วย เป็นต้น<br />
<br />
และนั่นเองคือที่มาของเส้นสีส้ม ลองดูเส้นสีส้ม ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานที่หักค่าพลังงานและอาหารออกไปแล้ว จะเห็นว่าเส้นสีส้มค่อยๆขยับตัวขึ้น บ่งบอกสภาพค่าครองชีพที่ค่อยๆขยับตัวขึ้น ทำให้ใช้ตีความเป็นภาพเศรษฐกิจได้ดีกว่า<br />
<br />
ทีนี้เรามาดูกันอีกภาพหนึ่ง ดังนี้<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgu2HR73hesxEuFg0aL8UHPgrYtSD6fHpt-vaaE-dRrXc-WzaFBRN0V297s22i-9e-zz-0ulaKBBmDxz-hsRDErc7rfTRkzQ5rLvsTWxSKqwyh7839MMYhO0lGjPd2cQu7kBDskand9zGE2/s1600/consumerr+price+index.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgu2HR73hesxEuFg0aL8UHPgrYtSD6fHpt-vaaE-dRrXc-WzaFBRN0V297s22i-9e-zz-0ulaKBBmDxz-hsRDErc7rfTRkzQ5rLvsTWxSKqwyh7839MMYhO0lGjPd2cQu7kBDskand9zGE2/s1600/consumerr+price+index.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานยุคต้มยำกุ้ง 2540-2542 เทียบกับปัจจุบัน 2556-2558 ความชันของเส้นบ่งบอกระดับของเงินเฟ้อได้อย่างคร่าวๆ</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
ภาพนี้เราดูกันเฉพาะดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน เพราะแบบทั่วไปตีความยาก เป็นภาพเดิมแต่ลุงแมวน้ำเติมเส้นสีเทาลงไป เส้นสีเทานี้คือดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานในยุคต้มยำกุ้งปี 2540-2542<br />
<br />
เรามาพิจารณาลีลาของเส้นกัน การดูความชันของเส้นทำให้เราประมาณอัตราเงินเฟ้อได้แบบคร่าวๆ ไม่ต้องไปคำนวณให้ปวดหัว<br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>ดูที่เส้นสีเทา</b></span><br />
<br />
ในปี 2540 เส้นสีเทามีความชันพอควร ลุงแมวน้ำเทียบให้เป็นอัตราเงินเฟ้อระดับ ++<br />
<br />
ปี 2541 ช่วงต้นปีและกลางปี เส้นสีเทามีความชันลดลง ให้เป็นระดับ + แสดงว่าปี 2541 เมื่อเทียบกับปี 2540 เศรษฐกิจแย่ลงเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อลดลง<br />
<br />
ปลายปี 2541 ต่อต้นปี 2542 ช่วงคร่อมปีนี้เส้นสีเทาไม่มีความชัน คือเป็นความชันระดับ 0 ตอนนี้ค่าครองชีพนิ่ง คงที่ สินค้าบริการไม่ขึ้นราคา <span style="color: red;"><b>อัตราเงินเฟ้อเป็น 0 อย่างนี้ไม่ดีแล้ว</b></span> แปลว่าเศรษฐกิจแย่ลงกว่าปี 2541 เสียอีก<br />
<br />
กลางปี 2542 เส้นสีเทาความชันเป็น – (เป็นลบ) คือราคาสินค้าบริการลดลง แปลว่าเศรษฐิจแย่ลงกว่าเดิมอีก สินค้าบริการยืนราคาเดิมไม่ไหวเพราะไม่มียอดขาย ต้องลดราคาลง <span style="color: red;"><b>นี่คืออัตราเงินเฟ้อติดลบ หากติดลบนานไปก็กลายเป็นเศรษฐกิจถดถอย</b></span><br />
<br />
<span style="color: red;"><b>เส้นสีเทานั้นคืออดีต แต่เส้นสีส้มคือสถานการณ์ปัจจุบัน ลองดูว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ความชันของเส้นสีส้มลดลงเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันความชันของเส้นสีส้มเป็นบวกเพียงเล็กน้อย (คือความชันน้อย) แปลความว่าอัตราเงินเฟ้อลดลง เศรษฐกิจแย่ลง หากไม่แก้ไขอะไรหรือแก้ไขแต่ไม่สำเร็จ โมเมนตัมของเศรษฐกิจในช่วงต่อไปน่าจะก้าวไปสู่ความชัน 0 และความชันติดลบในที่สุด</b></span><br />
<br />
วันนี้คุยกันได้แค่ดัชนีราคาผ้บริโภค แต่ก็ได้ความรู้เอาไปติดตามข่าวต่างได้ ครั้งหน้าคุยกันเรื่องดัชนีที่เหลือคร้าบ<br />
<div>
<br /></div>
ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-39446251334306480192015-07-22T13:49:00.001+07:002015-07-27T08:01:41.910+07:00มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทย (2)<b style="color: purple;">“Toward a New Frontier” Series บทความชุด “ทะยานสู่พรมแดนใหม่”</b><br />
<b style="color: purple;"><br /></b>
<b style="color: purple;"><br /></b>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhKhxxAKfSWL2f9FB4a0nyOYZ6Da2VNBaxmPiH56rC-J4bGGsrznlQgyP8r_XSHr2aUORm5eawsPNv7va-sODIV_XNJthg3HFDukMRT-V3glBYu0Kchl_tzFv_VGkEGxMJS3rJXu_cBwuxx/s1600/business+sentiment+index.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhKhxxAKfSWL2f9FB4a0nyOYZ6Da2VNBaxmPiH56rC-J4bGGsrznlQgyP8r_XSHr2aUORm5eawsPNv7va-sODIV_XNJthg3HFDukMRT-V3glBYu0Kchl_tzFv_VGkEGxMJS3rJXu_cBwuxx/s1600/business+sentiment+index.jpg" /></a></div>
<br />
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
วันนี้เรามาคุยกันต่อ การวิเคราะห์แนวโน้มของเศรษฐกิจเราก็ต้องวิเคราะห์จากตัวชี้วัด (indicator) ต่างๆ ซึ่งก็คล้ายๆกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั่นเองที่ประกอบด้วยเครื่องมือวิเคราะห์และตัวชี้วัดมากมายหลายอย่างให้เลือกใช้ ก็สุดแท้แต่มุมมองของนักลงทุนที่จะเลือกใช้ตัวชี้วัดอะไร และขึ้นอยู่กับการตีความผลของตัวชี้วัดด้วย เช่น บางคนใช้ MACD บางคนใช้ RSI-14 บางคนใช้ MA หรือบางคนก็ใช้หลายอย่างร่วมกัน เป็นต้น การใช้ก็ต้องมีวิธีการตีความด้วยจึงจะอ่านออกมาเป็นเรื่องราวได้<br />
<br />
ฉันใดก็ฉันนั้น ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจก็มีมากมายหลายตัวชี้ การนำมาใช้ก็ขึ้นกับความรู้ความเข้าใจและความถนัดด้วย ในที่นี้เราจะมีดูตัวชี้วัดที่สำคัญกันหลายตัว เพื่อให้สะท้อนให้เห็นมุมทางเศรษฐกิจหลายๆมุม<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ดูเศรษฐกิจ ให้ดูการค้าการลงทุน</span></h2>
<br />
กลุ่มแรกที่เราจะมาดูกันก็เป็นตัวชี้วัดที่เกี่ยวกับธุรกิจ การค้า การลงทุน เพราะกิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดรายได้ เมื่อมีรายได้หรือมีเงินเข้ากระเป๋าก็มีกำลังไปจับจ่ายใช้สอย หรือเรียกว่าเป็นกิจกรรมต้นน้ำทางเศรษฐกิจก็ได้<br />
<br />
ตัวชี้วัดในกลุ่มธุรกิจ การค้า การลงทุน ที่ลุงแมวน้ำอยากนำมาคุย ได้แก่ <span style="color: red;"><b>สถิติการส่งออก อัตราการใช้กำลังการผลิต (capacity utilization rate) ดัชนีเศรษฐกิจ (economic index) ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (business sentiment index)</b></span> ที่จริงเราก็ได้ดูกันไปบ้างแล้ว นั่นคือ สถิติการส่งออก และอัตราการใช้กำลังการผลิต วันนี้เราจะมาคุยเกี่ยวกับตัวชี้วัดอื่นกันต่อ<br />
<br />
จากตอนที่แล้วเราจะเห็นว่าการส่งออกของเราหดตัวลงต่อเนื่อง 3 ปี รวมทั้งอัตราการใช้กำลังการผลิตก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นทิศทางที่สอดคล้องกัน<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjThpwbaXsWAC-bhKD3fJAv1yqFNRsY2eK-G48uzC4C1OShUCzG5CN0AOGQZzaJF5F78wxPetWgLPIIpjhK2BeXNKvk1FiD6_bJMWczbxCU0JoSSIFk9pRiLZm_t6vP1eegTBKmQ8FLqjZj/s1600/capacity+utilization+rate.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjThpwbaXsWAC-bhKD3fJAv1yqFNRsY2eK-G48uzC4C1OShUCzG5CN0AOGQZzaJF5F78wxPetWgLPIIpjhK2BeXNKvk1FiD6_bJMWczbxCU0JoSSIFk9pRiLZm_t6vP1eegTBKmQ8FLqjZj/s1600/capacity+utilization+rate.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">อัตราการใช้กำลังการผลิต</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
ทีนี้วิธีการตีความอย่างง่ายก็ใช้จินตนาการช่วยนิดหน่อย ลองดูอัตราการใช้กำลังการผลิต ปัจจุบันอยู่ที่ 56.6% แปลความง่ายๆว่ามีเครื่องจักร 100 เครื่องแต่ใช้งานเพียง 56.6 เครื่อง หรือใช้กำลังการผลิตประมาณครึ่งเดียวของที่มีอยู่ หากเป็นแบบนี้ <span style="color: red;"><b>สถานการณ์ที่เกิดกับพนักงานในโรงงานผลิตก็คือไม่มีค่าโอที รวมทั้งอาจมีการปรับลดพนักงานลงเพื่อให้เหมาะกับปริมาณงาน นอกจากนี้ยังอาจหมายถึงการปิดกิจการเพราะสู้ต้นทุนไม่ไหว</b></span> ดังนั้นการใช้กำลังการผลิตที่ลดลงต่อเนื่องย่อมส่งผลถึงรายได้และการบริโภคของประชาชนในภาพรวมด้วย<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ดัชนีเศรษฐกิจ ตัวชี้วัดเศรษฐกิจภาพกว้างในระยะสั้น</span></h2>
<br />
ต่อไปเราจะไปดูตัวชี้วัดทางธุรกิจ การค้า การลงทุนกันอีกตัวชี้วัดหนึ่ง นั่นคือ <span style="color: red;"><b>ดัชนีเศรษฐกิจ (economic index) </b></span><br />
<br />
ที่จริงดัชนีเศรษฐกิจนี้ให้ภาพเศรษฐกิจในมุมกว้าง คือเป็นภาพในระดับที่ใหญ่กว่ามูลค่าการส่งออกหรืออัตราการใช้กำลังการผลิต ที่จริงควรจะคุยเรื่องนี้กันก่อน แต่ไหนๆก็ไหนๆ แล้วไปแล้ว >.<<br />
<br />
ดัชนีเศรษฐกิจนี้แบ่งเป็น 2 ดัชนีย่อย นั่นคือ เป็น<span style="color: red;"><b>ตัวชี้วัดความคาดหวังกับอนาคตข้างหน้าตัวหนึ่ง เรียกว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (leading economic index)</b></span> กับ <span style="color: red;"><b>ตัวที่บ่งชี้สถานการณ์ปัจจุบันอีกตัวหนึ่ง เรียกว่าดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (coincident economic index)</b></span> ใช้มองภาพเศรษฐกิจในระยะสั้นประมาณ 3 เดือน<br />
<br />
ดัชนีพ้องเศรษฐกิจนั้นใช้ชี้วัดสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยคำนวณจากข้อมูลการนำเข้า ผลผลิตทางอุตสาหกรรม ภาษีมูลค่าเพิ่ม การซื้อรถยนต์ ฯลฯ ส่วนดัชนีชี้นำเศรษฐกิจคำนวณจากข้อมูลที่ยังไม่เกิดผลในปัจจุบันแต่จะเกิดผลในอนาคตอันสั้นข้างหน้า ยกตัวอย่างเช่น การคำนวณจากเงินทุนจดทะเบียนของบริษัทตั้งใหม่ พื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้าง เป็นต้น บริษัทที่ตั้งใหม่หรือพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้าง ยังไม่เกิดผลทางเศรษฐกิจในวันนี้ แต่ก็ย่อมจะมีการลงทุนต่างๆตามมา<br />
<br />
ทีนี้เรามาดูกราฟดัชนีเศรษฐกิจกัน ดังกราฟต่อไปนี้ เส้นสีส้มคือดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ ส่วนเส้นสีน้ำเงินคือดัชนีพ้องเศรษฐกิจ<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiYYkXLc8dHVIvG-jlLujs5rO5H_qES_6ZZ7QRQ_NeZI5VHVvs6HiJOPfP3a-U4ZmNlumKgxrKnubOoYMcYNTS0QaZAnuJttebcVDOnJzLituarOCHjUDrJZIGOC33NC-2ZnWLCt4e87CaY/s1600/economic+index.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiYYkXLc8dHVIvG-jlLujs5rO5H_qES_6ZZ7QRQ_NeZI5VHVvs6HiJOPfP3a-U4ZmNlumKgxrKnubOoYMcYNTS0QaZAnuJttebcVDOnJzLituarOCHjUDrJZIGOC33NC-2ZnWLCt4e87CaY/s1600/economic+index.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ดัชนีเศรษฐกิจ บ่งชี้สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันไปพร้อมกับคาดการณ์ล่วงหน้าไปอีกสามเดือน</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
จะเห็นว่าตั้งแต่ปี 2013 จนถึงต้นปี 2014 เส้นสีส้มหรือดัชนีชี้นำเศรษฐกิจทรงตัว หรือจะเรียกว่าไซด์เวย์ก็ได้ ยังจำได้ไหมว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีการชุมนุมประท้วงกันอย่างต่อเนื่อง ช่วงนั้นความคาดหวังทางเศรษฐกิจหากมองจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจก็ตีความได้ว่าช่วงนั้นยังไม่เห็นความหวังอะไร ก็อยู่แบบประคองตัวไปเรื่อยๆ แต่พอเดือนมิถุนายน 2014 กราฟสีส้มพุ่งทะยานต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี ตีความได้ว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2014 เกิดการรัฐประหาร ลุงตู่ยึดอำนาจการปกครอง ช่วงนั้นเศรษฐกิจดูมีความหวังมากขึ้นเรื่อยๆ<br />
<br />
แต่พอย่างเข้าปี 2015 <span style="color: blue;">เส้นสีส้มก็ทรงตัวเป็นไซด์เวย์ แปลว่าไม่ได้คาดหวังดีๆอีก แค่ประคองตัวไปเท่านั้น</span><br />
<br />
ทีนี้มาดูเส้นสีฟ้า เส้นสีส้มคือความหวัง เส้นสีฟ้าคือความเป็นจริงของปัจจุบัน ปรากฏว่าดัชนีพ้องเศรษฐกิจเป็นทิศทางขาลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขส่งออกที่หดตัวต่อเนื่อง แปลว่าความหวังไม่สัมฤทธิ์ผล <span style="color: blue;">ความจริงเป็นอีกแบบหนึ่ง นั่นคือ เศรษฐกิจแย่ลงเรื่อยๆ</span><br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ บอกขวัญและกำลังใจ</span></h2>
<br />
จากนั้นก็มาดูตัวชี้วัดกันอีกชุดหนึ่ง นั่นคือ <span style="color: red;"><b>ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (Business sentiment index)</b></span> ดัชนีนี้แบ่งเป็นสองดัชนีย่อยเช่นกัน คือเป็นความเชื่อมั่นในปัจจุบัน กับความเชื่อมั่นกับสถานการณ์ในอีกสามเดือนข้างหน้า ตัวชี้วัดนี้ใช้บ่งชี้ภาพใหญ่ของธุรกิจ การค้า การลงทุน เช่นเดียวกับดัชนีเศรษฐกิจ แต่ว่าต่างกันตรงที่มา ดัชนีเศรษฐกิจนั้นคำนวณจากข้อมูล <span style="color: red;"><b>ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจนี้เป็นการไปสอบถามความคิดเห็นของผู้ประกอบการอันเป็นเรื่องของทัศนคติหรือความเชื่อมั่นล้วนๆ </b></span><br />
<br />
มาดูกราฟดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจกัน วิธีดูก็คล้ายๆกับดัชนีเศรษฐกิจแต่ดัชนีความเชื่อมั่นนี้จะสะท้อนถึงขวัญและกำลังใจของผู้ประกอบการมากกว่า ถ้าแนวโน้มขาขึ้นก็ดี ถ้าขาลงก็ไม่ดี ถ้าทรงตัวก็แปลว่ามึนๆไม่รู้จะไปทางไหน นอกจากนี้ ตัวเลข 50 ยังเป็นเกณฑ์สำคัญ เกิน 50 ถือว่าดี ต่ำกว่า 50 ถือว่าไม่ดี<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhKhxxAKfSWL2f9FB4a0nyOYZ6Da2VNBaxmPiH56rC-J4bGGsrznlQgyP8r_XSHr2aUORm5eawsPNv7va-sODIV_XNJthg3HFDukMRT-V3glBYu0Kchl_tzFv_VGkEGxMJS3rJXu_cBwuxx/s1600/business+sentiment+index.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhKhxxAKfSWL2f9FB4a0nyOYZ6Da2VNBaxmPiH56rC-J4bGGsrznlQgyP8r_XSHr2aUORm5eawsPNv7va-sODIV_XNJthg3HFDukMRT-V3glBYu0Kchl_tzFv_VGkEGxMJS3rJXu_cBwuxx/s1600/business+sentiment+index.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (BSI) ประเมินจากทัศนคติของนักธุรกิจผู้ประกอบการ ประกอบด้วยความเชื่อมั่นในปัจจุบันกับความเชื่อมั่นในอีกสามเดือนข้างหน้า</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
จากกราฟ ดูเส้นสีส้ม ความเชื่อมั่นในสามเดือนข้างหน้า จะเห็นว่าตั้งแต่ปี 2013 หรือ พ.ศ. 2556 เป็นต้นมา เส้นกราฟเป็นแนวโน้มขาลงต่อเนื่อง ตีความว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจลดลงตลอด ขวัญและกำลังใจของผู้ประกอบการ นักธุรกิจ หดหายไปเรื่อยๆตลอดการชุมนุมประท้วง จนมาถึงเดือนมิถุนายน 2014 ความเชื่อมั่นก็พุ่งทะยานเพราะเกิดการรัฐประหาร<br />
<br />
แต่ความเชื่อมั่นพุ่งทะยานได้เพียง 3-4 เดือน จากนั้นก็เริ่มมึนๆคิดอะไรไม่ออกอีก และจากปีใหม่ 2015 หรือ 2558 ปีนี้เป็นต้นมา ความเชื่อมั่นของนักธุรกิจผู้ประกอบการดูเหมือนจะหดหายไป แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้แม้จะขึ้นบ้าง มึนบ้าง ลงบ้าง แต่ยังเกินกว่า 50 ก็ยังพอทน<br />
<br />
ทีนี้มาดูเส้นสีน้ำเงิน ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในปัจจุบัน ลีลาก็คล้ายเส้นสีส้ม คือ ปี 2556 เป็นขาลงทั้งปี มาปี 2557 ค่อยๆดีขึ้นหลังรัฐประหาร แต่ในช่วงชุมนุมและหลังรัฐประหาร เส้นสีน้ำเงินต่ำกว่า 50 มาโดยตลอด แปลว่าแม้จะดีขึ้นแต่ยังจัดว่าลำบากอยู่ พอมาต้นปี 2558 ดัชนีความเชื่อมั่นผันผวนหนัก มีทั้งเกิน 50 และต่ำกว่า 50 <span style="color: blue;">แสดงว่าช่วงนี้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจการเมืองผันผวนสูง กระทบความเชื่อมั่นมากทีเดียว แต่ถ้าพิจารณาเส้นสีส้มประกอบด้วยก็อาจตีความได้ว่าความเชื่อมั่นในปัจจุบันไม่ค่อยดี และยังมองว่ามีแนวโน้มที่สถานการณ์จะแย่ลงไปอีก</span><br />
<br />
และยิ่งถ้าเราพิจารณาดัชนีเศรษฐกิจ (economic index ชุดนี้เป็นข้อมูล ไม่ใช่ทัศนคติ) ประกอบด้วย ก็<span style="color: red;"><b>น่าจะตีความว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในตอนนี้ไม่ค่อยดีและแนวโน้มในอนาคตคงแย่ลง นี่แหละที่น่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน</b></span><br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม</span></h2>
<br />
และแถมท้ายด้วยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (Thailand industries sentiment index) ที่จริงเดิมทีลุงแมวน้ำไม่คิดจะนำมาคุย เพราะมีดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจดูก็น่าจะพอแล้ว ดูเยอะเดี๋ยวงง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจนำมาเป็นของแถม เพราะว่าดัชนีชุดนี้ออกช้อมูลเดือนล่าสุดมิุนายนแล้ว ซึ่งข้อมูลทันสมัยอัปเดตดี จึงเอามาแถม<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEioYv-me79RJBn9JIcQOC1WzWHIA0-csH7vKHQd9Uzy5QVPvAObk6tpEgqOvU5QZgAD0UB0__y1bSPARWb7k5vm4I1B_x2wpjM8IAgyGNBrWaLQlyzVEiu1N9XTFD4YsrGZEjKm4x_olrg5/s1600/thai+industries+sentiment+index.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEioYv-me79RJBn9JIcQOC1WzWHIA0-csH7vKHQd9Uzy5QVPvAObk6tpEgqOvU5QZgAD0UB0__y1bSPARWb7k5vm4I1B_x2wpjM8IAgyGNBrWaLQlyzVEiu1N9XTFD4YsrGZEjKm4x_olrg5/s1600/thai+industries+sentiment+index.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI)</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
ดัชนีนี้เป็นความเชื่อมั่นในภาคอุตสาหกรรม กราฟนี้มีข้อมูลถึงมิถุนายน 2558 ด้วย เพิ่งออกสดๆร้อนๆ ที่อยากให้ดูก็คือทิศทางความเชื่อมั่นในภาคอุตสาหกรรมของไทยลดลงโดยตลอดตั้งแต่ปลายปี 2557 ทั้งสองเส้นเลย เส้นความบอกทิศทางชัดเจนกว่าดัชนีเศรษฐกิจเสียอีก <span style="color: red;"><b>นั่นคือปัจจุบันก็มีทิศทางแย่ลง ความคาดหหวังก็มองแย่ลง ประเด็นนี้น่าเป็นห่วง</b></span><br />
<br />
วันนี้คุยกันได้แค่ดัชนีในภาคธุรกิจ การค้า การลงทุน ยังไม่จบนะคร้าบ คราวหน้ามาดูตัวชี้วัดที่มองจากด้านการอุปโภคบริโภค หรือด้านการจับจ่ายใช้สอยนั่นเอง<br />
<div>
<br /></div>
ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-60217100540135024972015-07-20T05:56:00.001+07:002015-07-20T06:02:07.975+07:00มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทย (1)<b style="color: purple;">“Toward a New Frontier” Series บทความชุด “ทะยานสู่พรมแดนใหม่”</b><br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhP-npdXGIdcL4v92XGi0CG4BptLWCEwX8_s0oOjIL0EcaM6lIqYT8P70ZCcHeSdiT1lE5rVXI_py07B20Hn01kwToEMaQ_B_4tPGslB33k1CIK8c-uwfcBSYG5Q2nh6gnuuici0naM0hcy/s1600/thailand+import+export.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="283" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhP-npdXGIdcL4v92XGi0CG4BptLWCEwX8_s0oOjIL0EcaM6lIqYT8P70ZCcHeSdiT1lE5rVXI_py07B20Hn01kwToEMaQ_B_4tPGslB33k1CIK8c-uwfcBSYG5Q2nh6gnuuici0naM0hcy/s400/thailand+import+export.jpg" width="400" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
วันนี้เราจะมาคุยกันในภาคเศรษฐกิจจริงกันเพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากที่คุยกันแต่เรื่องตลาดทุนอยู่เป็นประจำ ที่จริงแล้วภาคเศรษฐกิจจริงเชื่อมโยงกับตลาดทุนอย่างแยกกันไม่ออก การพิจารณาภาคเศรษฐกิจจริงย่อมช่วยเสริมมุมมองในการวิเคราะห์ตลาดหุ้นได้<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;"><b>เศรษฐกิจไทยพึ่งพาเศรษฐกิจโลก</b></span></h2>
<br />
เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันพึ่งพาการส่งออกในระดับที่สูง โดยมีสัดส่วน 77% ของจีดีพีทีเดียว นี่หมายความรวมถึงการส่งออกสินค้าและบริการ หากคิดเฉพาะการส่งออกสินค้าก็ประมาณ 60% ของจีดีพี ดังนั้นพูดง่ายๆก็คือเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลก หากเศรษฐกิจโลกไม่ค่อยดี ลูกค้าของเรา (คือประเทศคู่ค้าต่างๆ) กระเป๋าแฟบ ไทยก็พลอยแห้งเหี่ยวไปด้วย<br />
<br />
เรามาดูการนำเข้าและส่งออกในงวด 5 เดือน (มกราคม ถึง พฤษภาคม) ของปี 2013, 2014 และ 2015 เปรียบเทียบกัน ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังกราฟต่อไปนี้<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhP-npdXGIdcL4v92XGi0CG4BptLWCEwX8_s0oOjIL0EcaM6lIqYT8P70ZCcHeSdiT1lE5rVXI_py07B20Hn01kwToEMaQ_B_4tPGslB33k1CIK8c-uwfcBSYG5Q2nh6gnuuici0naM0hcy/s1600/thailand+import+export.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhP-npdXGIdcL4v92XGi0CG4BptLWCEwX8_s0oOjIL0EcaM6lIqYT8P70ZCcHeSdiT1lE5rVXI_py07B20Hn01kwToEMaQ_B_4tPGslB33k1CIK8c-uwfcBSYG5Q2nh6gnuuici0naM0hcy/s1600/thailand+import+export.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">การนำเข้าส่งออกของไทยงวด 5 เดือน (ม.ค. ถึง พ.ค.) เทียบกันระหว่างปี 2013, 2014, 2015 จะเห็นว่าทั้งการนำเข้าละการส่งออกของไทยหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
มาดูด้านการนำเข้าก่อน จะเห็นว่าในงวด 5 เดือนของสามปีที่ผ่านมานี้การนำเข้าของไทยลดลงตลอด โดยเฉพาะปี 2015 นี้การนำเข้าของไทยลดลง -9.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สาเหตุที่ลดลงมากขนาดนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ลดลงเนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลง ทำให้เราประหยัดการนำเข้าไปได้ แต่เมื่อจำแนกกลุ่มสินค้านำเข้าให้ลึกลงไปอีกก็จะพบว่าเรานำเข้าสินค้าทุน (หมายถึงสินค้าที่นำมาใช้ในการผลิต เช่น เครื่องจักร ฯลฯ) ก็ลดลงด้วยเช่นกัน<br />
<br />
ทีนี้มาดูด้านการส่งออก จะเห็นว่าในงวด 5 เดือนของสามปีที่ผ่านมานั้นยอดส่งออกสินค้าของไทยก็ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยเฉพาะงวดห้าเดือนปี 2015 นั้นลดลงจากปี 2014ถึง -4.2% หรือหากคิดเป็นจำนวนเงินก็คือรายได้ห้าเดือนลดลงกว่า 130,000 ล้านบาท<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>การส่งออกที่หดตัวนี่แหละที่มีผลต่อสภาพเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการส่งออกสินค้าคือเส้นเลือดใหญ่</b></span> เพราะเป็นสัดส่วนราว 60% ของจีดีพีไทย ส่วนการลงทุนภาครัฐในแต่ละปีนั้นเป็นสัดส่วนประมาณ 5% ของจีดีพี การที่เราพยามเร่งการลงทุนภาครัฐก็เหมือนพยายามทะลวงเส้นเลือดเล็กโล่ง แต่ในขณะที่เส้นเลือดใหญ่ตีบตันอยู่ ก็ย่อมมีส่วนช่วยได้ไม่มากนัก ดังนั้นการแก้ที่ตรงจุดคือการทะลวงเส้นเลือดใหญ่ให้โล่งหรือการเพิ่มยอดส่งออกสินค้านั่นเอง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พูดง่ายแต่ทำยากมาก<br />
<br />
ทีนี้เรามาสืบดูต่อไปว่ายอดส่งออกนั้นหายไปไหน เราก็ต้องมาดูกันก่อนว่าคู่ค้ารายใหญ่ของไทยเป็นใครบ้าง ตอนนี้คู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยคือจีน รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ยุโรป คิดอย่างง่ายๆเพื่อให้เห็นภาพก็คือ รายได้ของไทย 100 บาทมาจากการส่งออกสินค้า 60 บาท และยอดส่งออกนี้คู่ค้าหลักสี่รายที่ว่าก็ซื้อไปเกือบๆ 30 บาทแล้ว โดยเป็นรายได้จากจีน 8.5 บาท ส่วนรายได้จากอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ประมาณรายละ 6.5 บาท ที่เหลือเป็นป็นรายได้จากคู่ค้ารายย่อยอื่นๆ<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ส่องคู่ค้าหลักของไทย จีนซื้อน้อยลง</span></h2>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1OPunCP7P5CtPPnOCcZo6-fHu3MDpGIchFeV2FXqxKrD5SjKcqfazHR3UbjH_p_uw0abbZq8VaxBCuydSUnXqPwXfUn0mJLJ5mdUdZOW8Ibitz9z102Ks-M4-telrEmnfqVrnI-AWoH2T/s1600/thailand+export+to+major+partners.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1OPunCP7P5CtPPnOCcZo6-fHu3MDpGIchFeV2FXqxKrD5SjKcqfazHR3UbjH_p_uw0abbZq8VaxBCuydSUnXqPwXfUn0mJLJ5mdUdZOW8Ibitz9z102Ks-M4-telrEmnfqVrnI-AWoH2T/s1600/thailand+export+to+major+partners.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ยอดส่งออกของไทย (งวด 5 เดือนแรกของปี) ไปยังคู่ค้าหลัก 4 ราย จีน ยุโรป ญี่ปุ่น นำเข้าลดลงมาก มีเพียงสหรัฐอเมริกาที่นำเข้าเพิ่มขึ้น</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
จากกราฟ ตอนนี้ลูกค้ารายใหญ่ จีน ยุโรป ญี่ปุ่น ซื้อสินค้าจากไทยน้อยลงมาก มีเพียงอเมริกาเท่านั้นที่ซื้อสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่ได้ช่วยกู้สถานการณ์เพราะยอดขายที่หายไปเยอะกว่าที่เพิ่มขึ้น<br />
<br />
เอาละ ทีนี้เราจะลองไปเจาะรายละเอียดของลูกค้าบางรายเพื่อดูว่าทำไมความต้องการซื้อสินค้าจากเราเปลี่ยนแปลงไป เราลองมาดูที่ลูกค้าประเทศจีนกันก่อน ลองดูกราฟต่อไปนี้กัน<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj4GTHyOGyM1FV5wO4PruynWhmJmf6gwBLJWXGWjI4fyp5Mp625xmLb5kzNHRnFjurnNhwF_zPXS1lfoNzBteW8cjJduAR4hyphenhyphentO8iwLPkZIJCvuTbxh9kMwwgnJxV7fDwMzDpu0IskRbmtz/s1600/china+import+export.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj4GTHyOGyM1FV5wO4PruynWhmJmf6gwBLJWXGWjI4fyp5Mp625xmLb5kzNHRnFjurnNhwF_zPXS1lfoNzBteW8cjJduAR4hyphenhyphentO8iwLPkZIJCvuTbxh9kMwwgnJxV7fDwMzDpu0IskRbmtz/s1600/china+import+export.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">การนำเข้าส่งออกงวดห้าเดือนแรกของจีน จะเห็นว่าสามปีที่ผ่านมาจีนส่งออกทรงตัวแต่นำเข้าลดลงมาก ซึ่งกระทบต่อไทยไม่น้อย</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
กราฟนี้เป็นสรุปการนำเข้าและส่งออกของจีนในงวดห้าเดือน คือมกราคมถึงพฤษภาคม 3 ปีเปรียบเทียบกัน ประเทศจีนได้ชื่อว่าเป็นโรงงานผลิตสินค้าของโลก มีการผลิตและส่งออกสินค้ามากมาย เมื่อเราพิจารณายอดส่งออกงวดห้าเดือนของจีนเปรียบเทียบกัน 3 ปีจะเห็นว่ายอดส่งออกของจีนทรงตัว มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ภาพนี้ทำให้เราเห็นภาพเศรษฐกิจโลกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นั่นคือ ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวได้ช้า กำลังซื้อจึงแค่ทรงตัว<br />
<br />
ทีนี้มาดูด้านการนำเข้าของจีน จะเห็นว่าปีนี้จีนนำเข้าลดลงมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ลดลงทำให้จีนประหยัดการนำเข้าพลังงาน แต่ทางด้านยอดนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆก็ลดลงด้วยเช่นกัน และยอดส่งออกจากไทยไปจีนที่หดตัวลงก็สอดคล้องกับภาพนี้ นั่นคือ เป็นเพราะว่าจีนนำเข้าน้อยลงนั่นเอง<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">มองสหรัฐอเมริกา ซื้อจากเวียดนามมากกว่าไทย</span></h2>
<br />
จากนั้นเราจะไปดูที่สหรัฐอเมริกากัน สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแห่งการบริโภค ประชากรราวสามร้อยล้านคนแต่กินเยอะใช้เยอะจริงๆ จีนกับอเมริกาสัมพันธ์กันในเชิงการค้าสูงมาก เพราะจีนเป็นซับพลายเออร์รายใหญ่ของอเมริกา และขณะเดียวกันอเมริกาก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ของจีน เรามาดูโครงสร้างการนำเข้าของสหรัฐอเมริกาในงวดห้าเดือนแรกเปรียบเทียบกัน 3 ปี<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjj1eZWUhVTed9i0cf3tQZrutfqwI5DzzAye94YauawogSyh89JG2y68SHX-GGS8eTHOFqR6X0A9tekRmsu3L1KNyEaEIGgGuVJ-b2SVlq_BFh44-le3Ih4TGhn-K_kKl5doxibsfGa2u5X/s1600/US+import+from+major+partners.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjj1eZWUhVTed9i0cf3tQZrutfqwI5DzzAye94YauawogSyh89JG2y68SHX-GGS8eTHOFqR6X0A9tekRmsu3L1KNyEaEIGgGuVJ-b2SVlq_BFh44-le3Ih4TGhn-K_kKl5doxibsfGa2u5X/s1600/US+import+from+major+partners.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">โครงสร้างการนำเข้าของสหรัฐอเมริกาจากประเทศคู้ค้าหลักบางราย จะเห็นว่าแม้นำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้นแต่กลับนำเข้าจากเกาหลีใต้ เวียดนาม มาเลเซียมากกว่า</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
ซับพลายเออร์หรือผู้ที่ขายสินค้าให้สหรัฐอเมริกา หากจะนับซับพลายเออร์รายใหญ่ของอเมริกา 15 รายแรกก็จะเป็นจีน ยุโรป แคนาดา เม็กซิโก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไทย มาเลเซีย เวียดนาม ฯลฯ<br />
<br />
ในงวดห้าเดือนของปี 2015 นี้เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สหรัฐอเมริกานำเข้าสินค้าจากเอเชียเพิ่มขึ้นมาก และลดการนำเข้าจากยุโรป เม็กซิโก แคนาดาลง โดยนำเข้าจากจีน +6% ส่วนสินค้าจากญี่ปุ่นนั้นนำเข้าเพิ่มไม่มากนัก และที่น่าสังเกตคือยอดนำเข้าจากเกาหลีใต้ เวียดนาม มาเลเซีย เพิ่มขึ้นเด่นมาก สหรัฐนำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่คิดแล้วยังน้อยกว่าสามชาติเกาหลีใต้ เวียดนาม มาเลเซีย และหากจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ <span style="color: red;"><b>ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาถือว่าเวียดนาม มาเลเซีย เป็นคู่ค้ารายใหญ่กว่าไทยเสียอีก</b></span> ดูจากยอดการนำเข้าที่สูงกว่าการนำเข้าจากไทย<br />
<br />
ประมวลจากข้อมูลต่างๆที่ลุงแมวน้ำเล่ามา ก็คงปะติดปะต่อให้เห็นเป็นภาพว่าตอนนี้เศรษฐกิจโลกยังเปราะบางอยู่ การฟื้นตัวเป็นไปอย่างช้าๆ ยกเว้นสหรัฐอเมริกาที่ฟื้นตัวได้ดีหน่อย แต่โดยรวมแล้วการค้าโลกกระเตื้องอย่างเชื่องช้า<br />
<br />
<b><span style="color: red;">ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออก รายได้หลักมาจากการส่งออกสินค้า ดังนั้นเศรษฐกิจโลกจึงมีผลกระทบต่อไทยมาก โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่</span></b><br />
<br />
จีนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจภายในประเทศ เมื่อการค้าโลกไม่ค่อยดีก็พยายามปรับตัวเองให้พึ่งพาการส่งออกน้อยลง และหันไปพึ่งพาการบริโภคในประเทศมากขึ้น โดยสินค้าที่ส่งออกนั้นจีนก็มีการปรับโครงสร้าง โดยเน้นสินค้าที่เพิ่มมูลค่า คือหมายถึงการนำเข้าวัตถุดิบมาผลิตสินค้าที่ขายได้ราคาแพง ดังนั้น ตอนนี้จีนจึงอยู่ในช่วงของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจภายใน รวมทั้งปรับโครงสร้างการนำเข้าส่งออกด้วย สินค้าของไทยคงตรงกับความต้องการของจีนน้อยลง ยอดขายของไทยไปจีนจึงตกไป และนอกจากนี้ <span style="color: red;"><b>ยอดขายของไทยที่ส่งไปยังคู่ค้าหลักอื่นๆก็ลดลง ทำให้น่าคิดว่าสาเหตุที่ยอดขายลดลงส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสินค้าของไทยไม่ค่อยตรงกับความต้องการของลูกค้าเสียแล้วก็เป็นได้</b></span><br />
<br />
และเมื่อเราไปดูโครงสร้างการนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ที่นำเข้าจากเกาหลีใต้ เวียดนาม มาเลเซียเพิ่มขึ้น แล้วมาดูข้อเท็จจริงที่ว่าตอนนี้โรงงานผลิตสินค้าสำคัญของไทยปิดตัวไปหลายบริษัท เช่น รถยนต์รุ่นใหม่ๆก็มีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ส่วนโรงงานจอแอลซีดี โรงงานมอตอร์ฮาร์ดดิสก์ ก็ปิดตัวไปเพราะสินค้าเหล่านี้หมดสมัย ก็ดูเหมือนจะช่วยตอกย้ำว่าสินค้าของไทยไม่ค่อยตรงกับความต้องการของลูกค้านัก หรือหมายความว่าเราเสียความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกไปนั่นเอง<br />
<br />
และหากเรานำข้อมูลอัตราการใช้กำลังการผลิต (capacity utilization rate) มาพิจารณาประกอบ ค่านี้เป็นการมองว่าหากมีเครื่องจักรผลิตสินค้าอยู่ 100 เครื่อง ตอนนี้เราใช้กำลังการผลิตอยู่กี่เครื่อง ก็ปรากฏว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตของเราลดลงโดยตลอด ยกตัวอย่างจากภาพ ในตอนต้นปี 2013 เครื่องจักร 100 เครื่องเราใช้อยู่ 66 เครื่อง ที่เหลืออีก 44 เครื่องปล่อยว่างไว้ไม่ได้ใช้งาน มาในปัจจุบัน ตอนนี้ใช้งานเพียง 56.6 เครื่อง แปลว่ากำลังซื้อหายไป จึงจำต้องลดการผลิตลง ภาพนี้ก็มีส่วนบอกเราว่าเราอาจผลิตสินค้าไม่ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อ (รวมทั้งอาจบอกว่าลูกค้ากระเป๋าแฟบจึงลดการซื้อลงก็ได้ด้วย ต้องดูตัวชี้วัดอื่นประกอบด้วย)<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiYKpBZPy7oEvdVK7PdpIKdPHI7akANHejyMK9m1rLuNBMo9ENKtAWa_AcJOfIRaEJwY8ofeXk2c9FaTeCa3dqX8vc3J4dBe6DT70G9j7S56MYdJHldBEZVEozD1scz0uNQ_ez5bb-ztUjC/s1600/capacity+utilization+rate.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiYKpBZPy7oEvdVK7PdpIKdPHI7akANHejyMK9m1rLuNBMo9ENKtAWa_AcJOfIRaEJwY8ofeXk2c9FaTeCa3dqX8vc3J4dBe6DT70G9j7S56MYdJHldBEZVEozD1scz0uNQ_ez5bb-ztUjC/s1600/capacity+utilization+rate.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">อัตราการใช้กำลังการผลิตของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
วันนี้เราดูกันเฉพาะภาพการนำเข้าส่งออก วันต่อไปเราจะมาดูตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆภายในประเทศกันคร้าบลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-90736430821215651492015-07-14T13:33:00.003+07:002015-07-15T04:15:30.634+07:00เมื่อหุ้นจีนซิ่งสาย 8 ถึงเวลาฟองสบู่แตกหรือยัง (2)<b style="color: purple;">“Toward a New Frontier” Series บทความชุด “ทะยานสู่พรมแดนใหม่”</b><br />
<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2Ldn7-qVl51PDmTVdkanctDYiP_dl66yuUiNh8WT9tvca9MeCaWLNLqiagztSsLGHs4GL6Bjme-uQJ6CS2HO6jTc8XmRjdHWmRgBmsHfh_mBbIc36KcWisVkJiDaGrT_vE42sIOqr5gxJ/s1600/china+econ.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2Ldn7-qVl51PDmTVdkanctDYiP_dl66yuUiNh8WT9tvca9MeCaWLNLqiagztSsLGHs4GL6Bjme-uQJ6CS2HO6jTc8XmRjdHWmRgBmsHfh_mBbIc36KcWisVkJiDaGrT_vE42sIOqr5gxJ/s1600/china+econ.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ทิศทางของเศรษฐกิจจริงและความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา เศรษฐกิจเติบโตสูงมาตลอดแต่ตลาดหุ้นไม่ร้อนแรง คลื่น 1 ใหญ่และ 2 ใหญ่ กินเวลานาน ต่อมาปี 2006 ตลาดหุ้นร้อนแรงมาก ตลาดขึ้นแบบม้วนเดียว คลื่นใหญ่ 3-4-5 รวมเป็นลูกเดียวกัน และตอนขาลงก็เร็วมากเช่นกัน คลื่นขาลง A-B-C รวมเป็นลูกเดียวแยกไม่ออก จนในปี 2014 หลังจากมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นจีนก็กลับมาร้อนแรงมากอีก</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">วิเคราะห์ตลาดหุ้นจีน เศรษฐกิจซึมเซาแต่ตลาดหุ้นร้อนแรง</span></h2>
<br />
เศรษฐกิจจีนร้อนแรงมานับยี่สิบปีแต่ตลาดหุ้นจีนเพิ่งร้อนแรงใน <span style="color: red;"><b>ช่วงปี 2006-2007 เป็นเวลาเพียงหนึ่งปีครึ่งตลาดหุ้นจีนก็พุ่งถึง +450% </b></span><br />
<br />
ในทางตรงกันข้าม จากปี 2008 เป็นต้นมา เศรษฐกิจจีนค่อยๆชะลอตัว แต่ตลาดหุ้นจีนตอบสนองอย่างรุนแรง เพียงหนึ่งปีตลาดหุ้นร่วงไป -73% หลังจากนั้นก็หมดความร้อนแรงไปเป็นเวลาหลายปี<br />
<br />
จนในราวปลายปี เดือนตุลาคม 2014 จีนเริ่มใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยและลดสัดส่วนเงินกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR, reserved requirement ratio) หลายครั้งติดต่อกัน ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่ระบบเศรษฐกิจ<br />
<br />
มาตรการเหล่านี้ยังเห็นผลต่อระบบเศรษฐกิจไม่ชัด แต่ว่ากลับเกิดผลต่อตลาดหุ้นจีนอย่างรุนแรง<span style="color: red;"><b> ในปี 2014-2015 ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตวิ่งจาก 2300 จุดไป 5160 จุดหรือ +125% ในเวลาครึ่งปีเท่านั้น</b></span> และถ้าหากมองดัชนีเซินเจินคอมโพสิตก็ยิ่งร้อนแรงกว่า คือ +140%<br />
<br />
หากเราจะเปรียบเทียบความร้อนแรงของตลาดหุ้นจีนในยุคก่อนโอลิมปิกฤดูร้อน หรือปี 2007 กับตอนนี้ มีทั้งความเหมือนและความต่าง ลองมาดูกัน<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEikuQMeSoyL8Jj-4_HIcdgvj_MGbR99QvqJTjauO6_3EELhYm9lc7OBuivtEoZHvkbkIxDZJHMijDc7-Jm5tma2WevFAHiKaSBGiTER76PIspAO3PYfWwsIrVFcGdAMpKPvnrRyGqgLRtpy/s1600/snap7272.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEikuQMeSoyL8Jj-4_HIcdgvj_MGbR99QvqJTjauO6_3EELhYm9lc7OBuivtEoZHvkbkIxDZJHMijDc7-Jm5tma2WevFAHiKaSBGiTER76PIspAO3PYfWwsIrVFcGdAMpKPvnrRyGqgLRtpy/s1600/snap7272.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ตลาดหุ้นจีนหลังจากร่วงแรงในปี 2007 ก็เกิดเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมชายธงใหญ่ อธิบายได้ว่าตลาดหุ้นจีนต้องใช้เวลานานในการปรับตัวให้เข้าส่ดุลยภาพ โดยสอดคล้องไปกับปัจจัยการชะลอตัวทางเศรษฐกิจด้วย</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
ในช่วงก่อนโอลิมปิก ตลาดขาขึ้นในรอบนั้นอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างรวดเร็วต่อเนื่องมาหลายปีแต่ตลาดหุ้นยังไม่ร้อนแรง พอมาปี 2006 ถึงบทจะร้อนแรงก็ร้อนแรงอย่างรวดเร็วและตลาดก็วายในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน หากพิจารณาในเชิงเทคนิค จากกราฟในยุโอลิมปิกจะเห็นว่าคลื่น 3-4-5 นั้นแยกไม่ออก ขึ้นม้วนเดียวก็จบคลื่น 5 ไปเลย และหลังจากนั้นตอนขาลงก็ลงเร็วมาก คลื่น A-B-C รวมเป็นคลื่นเดียวกัน รวมแล้วคลื่น 3-4-5-A-B-C กินเวลาประมาณสองปีครึ่งเท่านั้น<br />
<br />
หลังจากจบรอบนั้น อัตราการเติบโตของจีนลดลงเรื่อยมา จากจีดีพีที่โตปีละ 14% ก็เหลือ 12%, 10%, 9%, 8% ฯลฯ <span style="color: red;"><b>ส่วนตลาดหุ้นจีนหลังจากการร่วงแรงในปี 2008 จากนั้นก็มีการเด้งขึ้นลงไปตามภาวะเศรษฐกิจ และมาสลบเหมือดเอาในปี 2013 ซึ่งหากวิเคราะห์ด้วยรูปแบบทางเทคนิคจะเห็นว่าตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ตลาดหุ้นจีนก็ก่อรูปแบบสามเหลี่ยมชายธง (wedge) ใหญ่ </b></span>อธิบายได้ว่าตลาดหุ้นจีนขึ้นแรงเกินไปและลงแรงเกินไปจนตลาดเสียดุลยภาพ เมื่อตลาดเสียดุลยภาพ ตลาดก็พยายามปรับตัวให้เข้าสู่ดุลยภาพ ดังนั้นจึงเห็นราคาเด้งขึ้นลงเป็นรูปสามเหลี่ยมชายธง<br />
<br />
รูปแบบสามเหลี่ยมชายธงนี้เป็นรูปแบบในธรรมชาติ นั่นคือเป็นรูปแบบคล้ายการเคลื่อนที่ของคลื่นกลผ่านตัวกลางนั่นเอง นึกง่ายๆก็คือคลื่นในมหาสมุทร เมื่อเกิดในมหาสมุทรจะเป็นคลื่นสูงมาก แต่เมื่อเข้าใกล้ชายฝั่ง คลื่นจะค่อยๆเตี้ยลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงระลอกเล็กๆเมื่อมาถึงฝั่ง<br />
<br />
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือการโยนหินลงในน้ำ ตอนแรกน้ำจะกระเพื่อมแรง ต่อมาเมื่อระลอกเดินทางไกลออกไปก็จะเล็กลงเรื่อยและหายไปในที่สุดน้ำก็กลับมาราบเรียบดังเดิม รูปแบบสามเหลี่ยมชายธงก็เป็นแบบนี้นั่นเอง<br />
<br />
นั่นเป็นเรื่องในอดีต ทีนี้ประเด็นก็อยู่ที่ว่าในปี 2014 ขณะที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวอยู่ ตลาดหุ้นจีนขึ้นแรงได้อย่างไร<br />
<br />
คำตอบก็คือ ครั้งก่อนตลาดหุ้นจีนร้อนเพราะเศรษฐกิจร้อน <span style="color: red;"><b>แต่ตอนนี้ตลาดหุ้นจีนร้อนเพราะฤทธิ์ของยาโด๊ปการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดอัตราดอกเบี้ย การลดสัดส่วนกันสำรอง RRR ประกอบกับการให้สินเชื่อมาร์จินแก่นักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้น </b></span>ทำให้ตลาดหุ้นจีนที่ซบเซากลับสู่ภาวะเก็งกำไรอย่างร้อนแรง จนประวัติศาสตร์กลับมาซ้ำรอยเดิมอีกครั้งหนึ่ง<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ตลาดหุ้นจีน 2015 ร้อนแรงกว่าเดิม อันตรายกว่าเดิม</span></h2>
<br />
แม้ว่าอัตราการขึ้นของตลาดหุ้นจีนในรอบนี้จะขึ้นไป +125% ซึ่งน้อยกว่าครั้งก่อน (ครั้งก่อน +450%) แต่การขึ้นรอบนี้ใช้เวลาประมาณครึ่งปีเท่านั้น อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจจริงก็ด้อยกว่าในรอบก่อน ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงมองว่าครั้งนี้เก็งกำไรกันดุเดือดกว่า<br />
<br />
งานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกรา ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ตลาดวาย หลังจากที่หุ้นถูกไล่ราคาจนเกินไปปัจจัยพื้นฐานไปมาก <span style="color: red;"><b>พีอีของดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตขึ้นไปถึง 23 เท่ากว่า และพีอีของดัชนีเซินเจินคอมโพสิตขึ้นไปถึง 70 เท่า</b></span> ทางการจีนก็เริ่มเป็นห่วงและควบคุมการให้เทรดด้วยมาร์จินให้เข้มงวดขึ้น ตรงนี้แหละที่เป็นการจุดชนวน พอควบคุมมาร์จินเข้าตลาดก็ร่วง<br />
<br />
เมื่อตลาดร่วง ใครต่อใครก็ชิงกันขาย ในที่สุดตลาดหุ้นก็เกิดอาการแตกตื่นในตอนกลางเดือนมิถุนายน 2015 ที่เพิ่งผ่านมา ที่จริงก่อนหน้านั้นในราวปลายเดือนพฤษภาคม มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าอยู่บ้าง นั่นคือ หุ้นบางตัวในตลาดฮ่องกงร่วงแรงผิดปกติ ดังที่ลุงแมวน้ำเคยคุยให้ฟังไปแล้ว หลังจากนั้นตลาดหุ้นจีนก็เริ่มร่วง และตลาดหุ้นฮ่องกงก็ร่วงตาม<br />
<br />
ถามว่าที่ตลาดหุ้นลงแรงครั้งนี้มีขบวนการทุบหุ้นหรือไม่ จะมีหรือไม่มีลุงแมวน้ำก็ไม่อาจยืนยันได้ แต่เมื่อขึ้นแรงแพงขนาดนี้ แม้ไม่มีขบวนการทุบตลาด อะไรไปสะกิดเข้าหน่อยก็ต้องร่วงลงมาเองอยู่แล้ว<br />
<br />
ตลาดหุ้นจีนร่วงลง -34% ในเวลาประมาณครึ่งเดือน ทางการจีนพยายามอออกมาตรการหลายประการเพื่อหยุดการร่วงของหุ้น ได้แก่การห้ามซื้อขายหุ้นประมาณ 1300 หลักทรัพย์ ห้ามขายชอร์ต ห้ามรายใหญ่ขายหุ้นในเวลา 6 เดือน ห้ามกองทุนขายหุ้น ตั้งกองทุนพยุงหุ้น ผ่อนคลายเรื่องมาร์จินอีก ฯลฯ ผลจากการระงับการซื้อขายหุ้นไปเกือบครึ่งตลาดทำให้ตลาดหุ้นหยุดร่วงได้จริงๆ<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">วิเคราะห์เหตุการณ์ตลาดหุ้นจีน 2015 ตกแต่ไม่แตก บทเรียนราคาแพงของจีน</span></h2>
<br />
มาวิเคราะห์เหตุการณ์ในครั้งนี้กัน เป็นบทเรียนราคาแพงของจีนจริงๆ จีนกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมทั้งกระตุ้นตลาดหุ้นไปด้วยเพราะหากตลาดหุ้นขึ้น ผลก็คือความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนรายย่อยชาวจีนซึ่งมี 90 ล้านบัญชีและส่วนใหญ่น่าจะเป็นชนชั้นกลางของจีนที่มีอยู่ประมาณ 200-300 ล้านคน เปรียบเหมือนกับจีนให้ยาโด๊ปแต่พลาดตรงที่ไม่เข้าใจผลข้างเคียงดีพอ ผลก็คือ ยานี้มีผลข้างเคียงรุนแรง ทำให้ท้องเสีย เบื่ออาหาร ผมร่วง ฯลฯ จีนเคยมีประสบการณ์กับครั้งโอลิมปิกมาแล้ว แต่ครั้งนี้ก็ยังพลาด เชื่อว่าจะทำให้ทางการจีนระมัดระวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการกำกับตลาดทุนให้ดียิ่งขึ้น<br />
<br />
ตลาดหุ้นตกครั้งนี้ยังไม่น่าถือว่าเป็นสถานการณ์ฟองสบู่แตก เนื่องจากปัจจัยเศรษฐกิจจีนยังชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อก็ยังไม่สูง ไม่ใช่สถานการณ์ที่เอื้อต่อการเกิดฟองสบู่ ตลาดหุ้นเก็งกำไรรุนแรงไปบ้างจึงตกลงมาก เมื่อตกลงมาแล้วสถานการณ์ก็ไม่ได้ลุกลามเนื่องจากทางการจีนออกมาตรการสกัดการลุกลามอย่างรวดเร็ว ลุงแมวน้ำมองว่าเป็นเพียงการผันผวนที่รุนแรงเท่านั้น ไม่ใช่ภาวะฟองสบู่ตลาดหุ้นแตก<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ลงทุนในตลาดหุ้นจีนได้หรือยัง</span></h2>
<br />
มาพิจารณาปัจจัยเศรษฐกิจกันก่อน เศรษฐกิจจีนยังชะลอตัวอยู่ แม้จีนจะประกาศว่าจะรักษาอัตราการเจริญ จีดีพีโตปีละ 7% ให้ได้ แต่ตอนนี้ผ่านมาครึ่งปีแล้ว สัญญาณทางเศรษฐกิจหลายประการบ่งชี้ว่าอาจโตไม่ถึง 7% คือได้แค่ 6.8% เท่านั้น ดังนั้นเป้าหมายดัชนีปลายปี 2015 อาจถูกปรับลดลงไปบ้าง<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiInA-MgYqLTzspCdO-rxjP7RoM0mnngH591q_sstnknAvZqSSPdoNFY0uuZOaoYlYJCh9Z4q9qGejZ10NowuauucyP9nXR8qaqGn98rJHMJFRz_EIthtG951nRVDFZNVmT1HoXqEegvlDy/s1600/snap7286.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiInA-MgYqLTzspCdO-rxjP7RoM0mnngH591q_sstnknAvZqSSPdoNFY0uuZOaoYlYJCh9Z4q9qGejZ10NowuauucyP9nXR8qaqGn98rJHMJFRz_EIthtG951nRVDFZNVmT1HoXqEegvlDy/s1600/snap7286.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปัจจุบันมีพีอี 20 เท่า ส่วนดัชนีเซินเจินคอมโพสิต 52.3 เท่า ดัชนีตลาดหุ้นจีนมีโอกาสปรับตัวลงได้อีกหากคาดการณ์เศรษฐกิจจีน 2015 นี้โตไม่ถึง 7%</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
นอกจากนี้ ทางการจีนคงพยายามกำกับตลาดทุนให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ประกอบกับความเสียหายของนักลงทุนรายย่อยอาจทำให้บางส่วนเข็ดขยาด หรือทุนหมด <span style="color: red;"><b>ดังนั้นรวมๆแล้วตลาดหุ้นจีนคงไม่ร้อนแรงเช่นเดิมแล้ว และน่าจะเทรดกันที่ค่าพีอีตลาดที่ต่ำลงกว่าเดิม</b></span><br />
<br />
ในทางเทคนิค ดัชนีคงก่อตัวเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมชายธงคล้ายกับรอบก่อน แต่การเดินเข้าสู่ปลายสามเหลี่ยมชายธงน่าจะเร็วกว่าเดิม แปลความว่าตลาดคงเด้งขึ้นเด้งลงในโซนราคาแถวๆนี้ไปอีกหลายเดือน หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่ปลายชายธงก็ต้องดูกันอีกที หลายเศรษฐกิจดี ดัชนีคงตัดทะลุชายธงขึ้นข้างบน แต่หากเศรษฐกิจชะลอตัวยิ่งกว่าเดิม ดัชนีก็คงตัดทะลุลง<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJ27r84zOpSnb5KTAwKUIpBjprW0mxrcvmNN6mPTefb-_loOWpQtf9w1CKuxmlgf3QKsKyyuOA-f2C5z44W7NR-36_4oKB-J7KHPHwr2pWT5wU_m3ZbRsB6pAj3yqSQOBKb8pCzdyvstHE/s1600/snap7273.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJ27r84zOpSnb5KTAwKUIpBjprW0mxrcvmNN6mPTefb-_loOWpQtf9w1CKuxmlgf3QKsKyyuOA-f2C5z44W7NR-36_4oKB-J7KHPHwr2pWT5wU_m3ZbRsB6pAj3yqSQOBKb8pCzdyvstHE/s1600/snap7273.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ตลาดหุ้นจีนนับจากนี้ไป น่าจะก่อตัวเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมชายธงอีก เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในครั้งก่อน และคงใช้เวลาอีกหลายเดือนเพื่อเข้าสู่ปลายชายธง </span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
ถามว่าถึงเวลาลงทุนได้หรือยัง โบราณว่าข่าวดีให้ขาย ข่าวร้ายให้ซื้อใช่ไหม ตอนนี้ก็ถือเป็นข่าวร้ายแล้ว แต่ลุงแมวน้ำคิดว่าควรรอดูไปก่อน <span style="color: red;"><b>เพราะตอนนี้ตลาดยังอาจลงไม่สุด ที่ตลาดหยุดลงเนื่องจากหุ้นจีนยังถูกห้ามขายอยู่พันกว่าหลักทรัพย์ หากเปิดซื้อขายได้ตามปกติก็ไม่แน่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น</b></span> อีกประการ ตลาดหุ้นจีนในช่วงที่ผ่านมาผันผวนรุนแรงมาก ไม่ค่อยน่าลงทุนเท่าไรนักเนื่องจากตลาดที่ผันผวนมากมักขาดเสถียรภาพ หลังจากนี้ตลาดหุ้นจีนคงถูกคุมเข้ม การที่จะสร้างผลตอบแทนที่ร้อนแรงอีกคงยากแล้ว แม้ว่าเรื่องเสถียรภาพอาจจะดีขึ้นแต่ก็เป็นเสถียรภาพที่เกิดจากกฎเกณฑ์ที่แปลกประหลาดที่ตลาดเสรีอื่นๆไม่ทำกัน ก็ยังไม่รู้ว่าจะยังน่าลงทุนไหม<br />
<br />
ดังนั้น ลุงแมวน้ำคิดว่าตลาดตอนนี้ยังฝุ่นตลบ ควรรอให้สถานการณ์ฝุ่นจางลงก่อน ให้เข้าสู่ปลายชายธงและตัดทะลุปลายให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า ถึงตอนนั้นหากยังน่าลงทุนก็ค่อยเข้าลงทุน<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ผลจากตลาดหุ้นจีนกระทบเศรษฐกิจไทยหรือไม่</span></h2>
<br />
ลุงว่าไม่น่า แม้ว่านักลงทุนรายย่อยจีนที่เสียหายในตลาดหุ้นเหล่านี้คือกลุ่มชนชั้นกลางที่เดินทางท่องเที่ยวและเข้ามาเที่ยวในเมืองไทยนี่เอง ตลาดลงราวๆ -30% ถึง -40% ทำให้ความมั่งคั่งของชนชั้นกลางลดลงไปบ้าง แต่ประเด็นคือเรื่องขวัญและกำลังใจมากกว่า ตอนนี้ไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจจีน ดังนั้นอีกไม่นานขวัญและกำลังใจของนักลงทุนจีนก็คงกลับมา ดังนั้นแม้ตลาดหุ้นลงแรงก็จริงแต่คงไม่กระทบกับภาพรวมของการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวจีนจนกระทบเศรษฐกิจไทย แต่ประเด็นที่น่าติดตามอยู่ที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ทำให้การนำเข้าสินค้าของจีนลดลง เรื่องนี้ต่างหากที่มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยและกระทบต่อเศรษฐกิจไทย<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ตลาดหุ้นฮ่องกง รักแล้วรอหน่อย</span></h2>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj4A0pNh6Qaez_UvNwT1Dt6SjA_jKzsQDSInBb_kjE8JjH6cc3664WDbVbX0yjPFT-y3U3_YqpYjihGiBqRuPwaATu-vgRPA0ebX_xD0EPGQ7EffncU8k_0-yPWOcc2aZik5pGb_XXSYqk-/s1600/snap7289.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj4A0pNh6Qaez_UvNwT1Dt6SjA_jKzsQDSInBb_kjE8JjH6cc3664WDbVbX0yjPFT-y3U3_YqpYjihGiBqRuPwaATu-vgRPA0ebX_xD0EPGQ7EffncU8k_0-yPWOcc2aZik5pGb_XXSYqk-/s1600/snap7289.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">การลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง ยังรอได้ ไม่ต้องรีบ แม้ราคาถูกแล้วแต่ก็อาจไม่ขึ้น</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
แถมเรื่องตลาดหุ้นฮ่องกง ตอนนี้ตลาดหุ้นฮ่องกงถูกมาก พีอีตลาดอยู่แค่ 10.8 เท่าเอง ดูเหมือนจะน่าซื้อ แต่ลุงแมวน้ำก็คิดว่าดูไปก่อนเช่นกัน เนื่องจากตลาดหุ้นฮ่องกงอาศัยโมเมนตัมของตลาดหุ้นจีนรวมกับโมเมนตัมของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาผสมกัน หากไม่มีโมเมนตัมจากสองตลาดนี้ แม้ตลาดหุ้นฮ่องกงถูกกว่านี้ก็ไม่วิ่ง ดังนั้นก็รอได้ ใจเย็นๆคร้าบ<br />
<div>
<br /></div>
ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-68494797528173777692015-07-10T14:01:00.000+07:002015-07-10T14:21:27.511+07:00เมื่อหุ้นจีนซิ่งสาย 8 ถึงเวลาฟองสบู่แตกหรือยัง (1) <b style="color: purple;">“Toward a New Frontier” Series บทความชุด “ทะยานสู่พรมแดนใหม่”</b><br />
<b style="color: purple;"><br /></b>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjr8J7kK6hFCpOYePDQhVbZ2TLIwvqRQRyT4hlHha1IwM6VEPZ-hto5eaaadWJLiNurmJ3jYZEkA3c5yrZCkjBVm7BVbEZ3cIIkqfxetis03fgfxZGEqQFiJKBUrNv6uvn1r2IRogcs2RhZ/s1600/chinabubbles.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjr8J7kK6hFCpOYePDQhVbZ2TLIwvqRQRyT4hlHha1IwM6VEPZ-hto5eaaadWJLiNurmJ3jYZEkA3c5yrZCkjBVm7BVbEZ3cIIkqfxetis03fgfxZGEqQFiJKBUrNv6uvn1r2IRogcs2RhZ/s1600/chinabubbles.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ตลาดหุ้นจีนร่วงแรง -34% นักลงทุนในตลาดหุ้นขาดทุนหนัก ดาราบางคนมีข่าวว่าพอร์ตเสียหายไปนับหมื่นล้าน ทำให้เกิดเป็นประเด็นร้อนว่าตลาดหุ้นจีนฟองสบู่แตกแล้วใช่หรือไม่ รวมทั้งคำถามอื่นๆอีกมากมายที่ตามมา</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh7k4Iciw4E95XFoVE-Ho3rjf2PjQBizfvXL1RZ8i_4Z3tpNPIfg9R7yN6xsjR2Vqwd9OZawb9L8f8j7tYedYbVJrsvpzXfUrLBgBT8r2TLz04ghpuwdNdEEJRVGGj6ZwQJHaOpijcBpPau/s1600/snap7274.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh7k4Iciw4E95XFoVE-Ho3rjf2PjQBizfvXL1RZ8i_4Z3tpNPIfg9R7yN6xsjR2Vqwd9OZawb9L8f8j7tYedYbVJrsvpzXfUrLBgBT8r2TLz04ghpuwdNdEEJRVGGj6ZwQJHaOpijcBpPau/s1600/snap7274.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ตลาดหุ้นจีนร่วงตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน 2015 จนถึงต้นเดือนกรกฎาคม ในเวลาครึ่งเดือนดัชนีตลาดหุ้นลดลงไป -34%</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
สองสามวันมานี้ข่าวใหญ่ด้านเศรษฐกิจที่มาแรงแซงปัญหาหนี้กรีซก็คือเรื่องตลาดหุ้นจีน เนื่องจากตอนนี้ตลาดหุ้นจีนร่วงอย่างรวดเร็วประมาณ -34% ภายในเวลาสองสัปดาห์นับจากจุดสูงสุดในตอนกลางเดือนมิถุนายน รวมทั้งตลาดหุ้นฮ่องกงก็ร่วงตามด้วย แม้ทางการจีนจะออกมาตรการอย่างเร่งด่วนมาเป็นชุดเพื่อสกัดการทรุดตัวของตลาดหุ้นจีนแต่ก็ดูเหมือนจะได้ผลไม่มากนักเนื่องจากตลาดหุ้นจีนยังร่วงต่อ<br />
<br />
จนถึงวันนี้ เรื่องตลาดหุ้นจีนก็กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาว่าตลาดหุ้นจีนในตอนนี้ฟองสบู่แตกแล้วใช่หรือไม่ สื่อมวลชนต่างก็จับประเด็นนี้มาวิเคราะห์อธิบายกันมากมาย รวมทั้งยังขยายผลต่อไปอีกว่ามีดาราจีนคนนั้นคนนี้พอร์ตแดงไปกี่หมื่นกี่พันล้าน<br />
<br />
วันนี้เรามาคุยเรื่องตลาดหุ้นจีนกันอีกสักวัน ที่จริงลุงแมวน้ำคุยเรื่องตลาดหุ้นจีนมาให้ฟังเป็นระยะแล้ว ดังนั้นวันนี้จะไม่ทบทวนอะไรมาก เกรงว่าทวนเรื่องเดิมๆแล้วพวกเราจะเบื่อกัน เรื่องพวกนี้บางทีก็ซับซ้อน คุยครั้งเดียวไม่มีทางจบหรือคุยได้ครบ สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ดังนั้นก็ต้องคุยอัปเดตกันไปเป็นระยะ เมื่อเราได้ภาพหลายๆภาพมาปะติดปะต่อกันก็จะทำให้เราค่อยๆเข้าใจได้มากขึ้นไปเอง<br />
<br />
ดังนั้นเอาเป็นว่าวันนี้เราคุยกันเพิ่มเติมเรื่องตลาดหุ้นจีนว่าฟองสบู่แตกหรือยัง สำหรับผู้ที่อ่านบทความนี้ หากสนใจก็อาจย้อนไปอ่านในโพสต์ก่อนๆของลุงแมวน้ำที่คุยเกี่ยวกับตลาดหุ้นจีนเอาไว้ ก็จะช่วยให้ปะติดปะต่อภาพได้ดียิ่งขึ้น<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">เข้าใจคนจีน เข้าใจตลาดหุ้นจีน</span></h2>
<br />
ตลาดหุ้นจีนก็เช่นกัน ตลาดหุ้นจีนนั้นขึ้นชื่อลือชาในเรื่องความผันผวน ขึ้นลงเร็วและแรง เนื่องจากนักลงทุนเก็งกำไรกันอย่างสุดเหวี่ยง ความผันผวนของตลาดลุงแมวน้ำคิดว่ายังดุเดือดร้อนแรงกว่าตลาดห้นไทยเสียอีก ทำไมจึงเป็นเช่นกัน ลุงแมวน้ำว่าเรามาทำความเข้าใจกับนักลงทุนรายย่อยชาวจีนกันสักหน่อยดีกว่า การที่เราเข้าใจนักลงทุนจีนหรือว่าเข้าใจบุคลิกของคนจีนรุ่นใหม่จะช่วยให้เราเห็นภาพชัดขึ้นว่าตลาดหุ้นจีนนั้นฟองสบู่แตกหรือยัง<br />
<br />
คนจีนรุ่นใหม่ที่เป็นคนหนุ่มสาวซึ่งเติบโตมาในยุคที่จีนเริ่มเปิดประเทศรับเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ก็คะเนว่าเป็นชาวจีนที่ปัจจุบันมีอายุไม่เกิน 50 พวกนี้จะเป็นปลายเจนเอ็กซ์ เจนวาย และเจนที่หลังจากนั้น<br />
<br />
ประเทศจีนในปัจจุบันมีประชากรประมาณ 1300 ล้านคน ในยุคทศวรรษ 1980s นั้นประชากรจีนมีราวๆกว่า 900 ล้านคน จีนเป็นประเทศที่มีระชากรมาก การที่รัฐจะจัดการด้านเศรษฐกิจให้ประชาชนกินดีอยู่ดีอย่างทั่วถึงนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก แม้พยายามจะให้ทั่วถึงแต่ก็ไม่ทั่วถึงดีนัก<br />
<br />
เมื่อทรัพยากรมีจำกัด การแข่งขันจึงสูง ชาวจีนต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดมาตั้งแต่เด็ก เริ่มตั้งแต่การแข่งขันเพื่อให้เข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ เมื่อจบชั้นมัธยมก็ต้องแข่งขันเพื่อให้เข้ามหาวิทยาลัยได้ เพราะที่นั่งในมหาวิทยาลัยมีจำกัด พอจบมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังต้องแข่งขันเพื่อให้ได้งานดีๆทำ งานดีๆก็มีจำกัดอีก ก็ต้องแข่งขันกันหนัก<br />
<br />
ประกอบกับคนจีนมีวัฒนาธรรมรักหน้าตา คือพูดง่ายๆว่ากลัวเสียหน้า การรประสบความสำเร็จในชีวิตช่วยให้มีหน้ามีตา ดังนั้นยิ่งเป็นแรงผลักดัน และหล่อหลอมให้คนจีนรุ่นใหม่มีบุคลิกดิ้นรน มุมานะ กระหายในความสำเร็จอย่างรุนแรง ความคาดหวังในความสำเร็จของชาวจีนรุ่นใหม่นั้นหากเทียบกับการสอบก็เหมือนกับคนที่ต้องการสอบให้ได้เกรด A หรือ B ซึ่งได้มายาก มีไม่กี่คนที่จะทำได้ ส่วนเกรด C, D, F นั้นไม่ต้องการ แต่คนส่วนใหญ่ก็มักอยู่ในกลุ่ม C, D, F นี้แหละ (เช่น จบแค่มัธยม ทำงานรับจ้าง เงินเดือนน้อย บางคนก็ค้าขายเล็กน้อย ขายผักขายปลา รายได้แค่พออยู่ได้ ฯลฯ) ดังนั้นจะเห็นว่าการประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในระดับที่โดดเด่นในสังคมจีนนั้นยากพราะต้องแข่งขันสูงมาก<br />
<br />
คนจีนรุ่นใหม่ก็ดิ้นรนไปทุกที่ทุกทางเพื่อให้ประสบความสำเร็จ มีโอกาสอะไรก็ฉวย ไม่ปล่อยให้หลุดมือ กล้าได้กล้าเสีย ไม่กลัวลำบาก ทำมาหากินในประเทศยากนักบางคนมีช่องทางก็ไปแสวงโชคในต่างประเทศ เช่น มาทำมาหากินในเมืองไทย เป็นต้น บางคนที่หัวทันสมัยหน่อยก็มักได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการให้เงินทำงาน แพสซีฟอินคัม (passive income) รวยด้วยหุ้น ฯลฯ ก็หันมาสนใจลงทุนในตลาดหุ้น นี่คือส่วนหนึ่งของแรงจูงใจที่ผลักดันชาวจีนรุ่นใหม่เข้ามาในตลาดหุ้น<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ย้อนตำนานตลาดหุ้นจีนยุคโอลิมปิก หุ้นซิ่งสาย 8</span></h2>
<br />
ใครๆก็รู้กันดีกว่ารถเมล์สาย 8 นั้นโด่งดังในด้านความเร็วเพียงใด รถร่วมสาย 8 นั้นวิ่งมาประมาณ 30 ปีแล้วแต่ก็ยังรักษามาตรฐานในด้านความเร็วได้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อก่อนเร็วยังไง เดี๋ยวนี้ก็ยังเร็วอย่างนั้น จนถึงขนาดเกมดังคือ GTA V ยังต้องนำเอารถเมล์สาย 8 เข้าไปซิ่งในเกมทีเดียว >.<<br />
<br />
ด้วยความหอมหวนของตลาดทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนได้อย่างงดงาม ประกอบกับบุคลิกที่ต้องการประสบความสำเร็จโดยเร็ว ทัศนคติมีโอกาสต้องรีบฉวย (เพราะถ้าไม่ฉวยคนอื่นก็เอาไปแทน) รวมทั้งความกล้าได้กล้าเสีย ที่คนจีนบอกว่าไม่เข้าถ้ำเสือไหนเลยจะได้ลูกเสือ นี่เองที่เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้ตลาดหุ้นจีนหวือหวา มีการเก็งกำไรสูง<br />
<br />
ตั้งแต่ยุค 4 ทันสมัยของเติ้งเสี่ยวผิง หรือจำง่ายๆคือตั้งแต่ 1980 เป็นต้นมา จีนก็ขับเคลื่อนนโยบายทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมผสมคอมมิวนิสต์ มีการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ถนนหนทาง เปิดรับกระแสทุนและกระแสเทคโนโลยีจากต่างชาติเป็นการใหญ่ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนตั้งแต่นั้นมาก็โดดเด่นมาก จากข้อมูลในภาพนี้ ตั้งแต่ปี 1990-2007 จีดีพีจีนโตประมาณปีละ 7% ถึง 14% ทีเดียว<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQvKgk9vV6bKa0RsGmBzInESsmsod988D0xtjokEMqwZ0sA2Cib_rN3banD3bVWCppJ3vObKIGc2Qu-wg1Lvkr66nTg_X_mD6yBEnc4TfLcpnCb0gRI2wEMn77wPclvC6RNjFgH7NT2_p-/s1600/snap7279.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQvKgk9vV6bKa0RsGmBzInESsmsod988D0xtjokEMqwZ0sA2Cib_rN3banD3bVWCppJ3vObKIGc2Qu-wg1Lvkr66nTg_X_mD6yBEnc4TfLcpnCb0gRI2wEMn77wPclvC6RNjFgH7NT2_p-/s1600/snap7279.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนนับแต่ปี 1990 ถึง 2007 เติบโตอย่างร้อนแรงปีละ 7% ถึง 14% และนับแต่ปี 2008 เศรษฐกิจจีนก็เริ่มลดความร้อนแรงลงเรื่อยมา</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
จนมาในปี 2001 จีนได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 จีนก็ยิ่งเร่งลงทุนเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะการก่อสร้างต่างๆเพื่อเตรียมเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก มีการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมัน เหล็ก สินค้าเกษตร และอื่นๆมากมาย การนำเข้าอย่างมหาศาลของจีนทำให้ราคาน้ำมันดิบและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกพุ่งแรง จากนั้นในปี 2006 ตลาดหุ้นจีนก็เริ่มร้อนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพียงระยะเวลาประมาณปีครึ่ง จากต้นปี 2006 ถึงปลายปี 2007 ตลาดหุ้นจีนพุ่งทะยาน +450% (สี่ร้อยห้าสิบเปอร์เซ็นต์) โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตวิ่งจาก 1,100 จุดไปถึง 6,000 จุด<br />
<br />
หลังจากที่จีนก่อสร้างสถานที่ต่างๆที่เกี่ยวกับโอลิมปิกเรียบร้อย การนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ และพร้อมกันนั้น ตลาดหุ้นจีนก็ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาประมาณ 1 ปี จากปลายปี 2007 ถึงปลายปี 2008 ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตไหลลงจาก 6,000 จุดเหลือ 1,600 จุด หรือ -73%<br />
<br />
ในภาคเศรษฐกิจจริง หลังจากกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน เศรษฐกิจของจีนก็ลดความร้อนแรงลงเรื่อยมา อัตราการเติบโตของจีดีพี (GDP growth) ค่อยๆลดลงจาก 14% ต่อปี จนล่าสุดเหลือประมาณ 7% ต่อปี<br />
<br />
หากเราพิจารณาภาคเศรษฐกิจจริงคู่ไปกับตลาดหุ้นจีน เราจะได้ภาพดังนี้<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjSf06MtkIIz_P2BwmtjPUQDw8XLpSmi3Gi_sda0ekdm274bfThXZMftQxnc3KVLzCR5j15Ojvs7gOes2HltgF8WAwyCbBWlzfa3R63YCU1aTB11PKtS9I-Z81TpBuviXRDqhUUeDGEOYr/s1600/china+econ.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjSf06MtkIIz_P2BwmtjPUQDw8XLpSmi3Gi_sda0ekdm274bfThXZMftQxnc3KVLzCR5j15Ojvs7gOes2HltgF8WAwyCbBWlzfa3R63YCU1aTB11PKtS9I-Z81TpBuviXRDqhUUeDGEOYr/s1600/china+econ.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ทิศทางของเศรษฐกิจจริงและความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
ดูภาพกันไปก่อน แล้วเรามาคุยกันต่อในตอนต่อไปคร้าบ</div>
<div>
<br /></div>
ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-70396554141130804632015-07-07T10:36:00.001+07:002015-08-02T16:00:00.891+07:00มองกลุ่มธนาคาร อาจยังลงไม่สุดและจะฟื้นตัวได้ช้า<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjaJ62lGQw8BXW3idTrkqgvbtyLegU0FzpPBMJ0hUM8siynbd-CCyI-tapEYkPrLR2q39XdttIju9Tpal8fuTOK0PHjYA94x0KJGXoRoNiphi5VkF216J6UIjh2oHyxH6tTGKsRX2Hfkm_A/s1600/bank+sector+index.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjaJ62lGQw8BXW3idTrkqgvbtyLegU0FzpPBMJ0hUM8siynbd-CCyI-tapEYkPrLR2q39XdttIju9Tpal8fuTOK0PHjYA94x0KJGXoRoNiphi5VkF216J6UIjh2oHyxH6tTGKsRX2Hfkm_A/s1600/bank+sector+index.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ดัชนีเซ็ตเทียบกับดัชนีกลุ่มธนาคารและพลังงาน</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<br />
ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยไหลจนดัชนีเซ็ตหลุด 1500 จุดลงมาแล้ว สาเหตุมาจากสองสามกลุ่มหลัก คือธนาคาร พลังงาน แถมด้วยกลุ่มปิโตรเคมี โดยกลุ่มธนาคารเป็นพระเอกในการฉุดดัชนี<br />
<br />
ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานนั้นปรับตัวลงตามราคาน้ำมันดิบตลาดโลก เมื่อราคาน้ำมันดิบลดลงหุ้นพลังงานก็ลงด้วย ส่วนราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารนั้นปรับตัวลงตามสภาพเศรษฐกิจ<br />
<br />
เป็นที่ทราบกันดีกว่าผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์นั้นอ่อนไหวกับสภาพเศรษฐกิจ คือเป็นกระจกที่สะท้อนภาพเเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจดี สินเชื่อก็ขยายตัวดี หนี้เสียก็น้อย ธนาคารก็มีผลประกอบการดี<br />
<br />
ในทางตรงกันข้าม หากเศรษฐกิจไม่ดี สินเชื่อก็ปล่อยยาก หนี้เสียก็เพิ่มสูงขึ้น ผลประกอบการของธนาคารก็แย่<br />
<br />
เรามาดูกราฟดัชนีรายเซ็กเตอร์กัน จะเห็นว่าในรอบปีที่ผ่านมา ดัชนีเซ็ตปรับตัวลงประมาณ -1.5% ดัชนีกลุ่มพลังงานปรับตัวลง -4% ส่วนดัชนีกลุ่มธนาคารนั้นปรับตัวลงถึง -27.8% โดยราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารนั้นมีแนวโน้มเป็นขาลงตั้งแต่ปีที่แล้ว คือลงมาตลอด เพิ่งมาเด้งขึ้นในช่วงต้นปีนี้เหมือนกับจะกลับทิศเป็นขาขึ้น แต่แล้วก็กลับไหลลงแรงอีก ไหลลงแรงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์มาจนถึงตอนนี้ แม้แต่ต่างชาติซึ่งถือหุ้นไทยไม่มากแล้วก็ยังขายหุ้นกลุ่มธนาคารหนักในระยะที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มธนาคารมีผลต่อดัชนีมากเสียด้วย ดังนั้นจึงฉุดดัชนีเซ็ตลงมา<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">สาเหตุกลุ่มธนาคารปรับตัวลง</span></h2>
<br />
สาเหตุที่หุ้นกลุ่มธนาคารลงแรงเป็นเพราะ<br />
<br />
1. ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทั้งหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการเงินต่างก็พากันปรับลดเป้าจีดีพี ปรับลดเป้าการส่งออก หลายต่อหลายครั้ง ซึ่งเหล่านี้้ล้วนแต่เป็นผลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ในปีที่แล้วเรายังเห็นภาพไม่ชัดนัก แต่มาเห็นภาพได้ชัดขึ้นในปีนี้<br />
<br />
2. ปริมาณสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือที่เรียกว่าเอ็นพีแอล (NPL, non performing loan) นั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2014 และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มต่อไปในปี 2015 นี้ การที่ปริมาณเอ็นพีแอลของธนาคารพาณิชย์เพิ่มสูงขึ้น ยิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นภาระแก่ธนาคาร เนื่องจาก หากเป็นหนี้ชำระปกติหรือขาดส่งไม่เกิน 3 เดือน (ที่ขาดส่งหนึ่งถึงสามเดือนเรียกว่า SML, special mentioned loan) พวกนี้ยังไม่เป็นเอ็นพีแอล จะตั้งสำรองไม่เกิน 2% ของสินเชื่อ แต่หากถูกจัดชั้นป็นเอ็นพีแอลเมื่อใด ภาระการตั้งสำรองจะกลายเป็น 100% ซึ่งจะเห็นว่าพอเป็น NPL ปุ๊บภาระการตั้งสำรองจะเพิ่มอีกมาก และนี่เองที่ไปฉุดกำไรของธนาคาร<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJSV0KcFWxDc-mkfHxUBBEskxfCJL4WPH273wbOfNUwAVHq7e-EznkjxmCpSzbGhJ0MDB864IRsg4fjTMk7_1CjvIr0jG9Gt8II-73jlBPgveCiW6vQWLfmRF6zWQDiGiMXZyrjsnZ-DKx/s1600/sml+and+npl.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJSV0KcFWxDc-mkfHxUBBEskxfCJL4WPH273wbOfNUwAVHq7e-EznkjxmCpSzbGhJ0MDB864IRsg4fjTMk7_1CjvIr0jG9Gt8II-73jlBPgveCiW6vQWLfmRF6zWQDiGiMXZyrjsnZ-DKx/s1600/sml+and+npl.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ปริมาณ SML (หนี้ขาดส่งไม่เกิน 3 เดือน), NPL (หนี้ขาดส่งเกิน 3 เดือน) เพิ่มอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 1Q2014 และคาดว่าปี 2015 นี้ SML บางส่วนจะกลายเป็น NPL ทำให้ NPL เพิ่มอย่างต่อเนื่อง</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
สำหรับปี 2015 นี้ การขยายตัวของสินเชื่อธนาคารน่าจะลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซ้ำเติมด้วยภาระการตั้งสำรองเอ็นพีแอล ก็มองกันว่าผลประกอบการคงไม่น่าประทับใจ ดังนั้นจึงมีแรงขายหุ้นในกลุ่มธนาคาร บางคนไหวตัวเร็วก็ขายตั้งแต่ปีที่แล้ว บางคนเพิ่งมาคิดได้ในช่วงปีนี้ก็รีบขายกันออกมา สภาพการจึงเป็นดังที่เห็นกันอยู่<br />
<br />
<h2>
<span style="font-size: x-large;"><span style="color: blue;">หุ้นกลุ่มธนาคารจะลงไปถึงไหน</span> </span></h2>
<br />
สำหรับธนาคารใหญ่ คือ BBL, KBANK, SCB, KTB สินเชื่อ NPL กับภาระการตั้งสำรองคงเพิ่มขึ้นต่อไปในไตรมาส 2, 3, 4 ปัจจัยฉุดยังอยู่ต่อไปอีกพักใหญ่ ยังไม่ลดง่ายๆ ดังนั้นหุ้นกลุ่มธนาคารอาจลงต่อได้อีกนิดนึง ลองมาดูกรณีศึกษา KBANK ดังในภาพกัน<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEuvQK3kUyt9m3DoIUYfq_ubgU8qot10wiuTMAUpmVDxs12XGFQRsTv485q1ceWP0dbldAlrwSRqoOX-nGQk6SssAGTkxXwl9yb3DpTj1lTQSfz_3LMA2aaTBdbewyHU-xBb643m8koBb_/s1600/snap7260.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEuvQK3kUyt9m3DoIUYfq_ubgU8qot10wiuTMAUpmVDxs12XGFQRsTv485q1ceWP0dbldAlrwSRqoOX-nGQk6SssAGTkxXwl9yb3DpTj1lTQSfz_3LMA2aaTBdbewyHU-xBb643m8koBb_/s1600/snap7260.jpg" /></a></div>
<br />
<br />
ในทางเทคนิค แนวรับสำคัญตามระดับฟิโบนาชชีมีหลายระดับ คือ 170, 145 และ 120 บาท แนวรับไหนน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด<br />
<br />
สำหรับ 120 บาท ลุงแมวน้ำว่าต่ำเว่อไป เศรษฐกิจต้องเสียหายหนักราคาจึงจะลงไประดับนั้น ในทางปัจจัยพื้นฐานดูแล้วคงลงไปถึงนั่นได้ยาก<br />
<br />
ที่ 145 บาท ราคานี้ หากพิจารณาจาก trailing P/E ratio (ค่าพีอีปัจจุบัน) ก็ราวๆ 7.4 เท่า ส่วนค่า P/BV ราคาต่อมูลค่าทางบัญชี 1.3 เท่า ถือว่าต่ำแล้ว ราคานี้มองแล้วเป็นไปได้มากกว่า<br />
<br />
ดังนั้นลุงแมวน้ำมองว่ากลุ่มธนาคารยังฉุดตลาดได้อีกหน่อย<br />
<br />
ส่วนธนาคารขนาดรอง พวก TISCO, TCAP ฯลฯ ลองดูกราฟ TISCO ธนาคารขนาดรองตั้งสำรองไปมากแล้วเนื่องจากเอ็นพีแอลโผล่ก่อนธนาคารใหญ่ อะไรที่ควรตั้งก็ตั้งไปเยอะแล้ว ดังนั้นภาระการตั้งในอนาคตมีอีกไม่มาก รูปแบบของราคาจึงไม่ลงหนักเหมือนธนาคารใหญ่<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEipXNQcdLH75XXk2d1wx3u0mIKxAtKP2YvAAhoYP-4gqgHWJH9QmY2W6aVNr0iofp1bglHBUMDZoJ99-q6ZPF_kTh3JQUv6hLSU0W_Mz74xF-gnp7lA6J1YnP0kRl8EKB4kAbdQKFDpjERh/s1600/snap7261.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEipXNQcdLH75XXk2d1wx3u0mIKxAtKP2YvAAhoYP-4gqgHWJH9QmY2W6aVNr0iofp1bglHBUMDZoJ99-q6ZPF_kTh3JQUv6hLSU0W_Mz74xF-gnp7lA6J1YnP0kRl8EKB4kAbdQKFDpjERh/s1600/snap7261.jpg" /></a></div>
<br />
ไม่ต้องรีบร้อน พวกนี้ตอนฟื้นตัวจะค่อยๆฟื้น ใจเย็นๆค่อยๆรอเก็บได้คร้าบลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-34455450577504875792015-06-30T05:39:00.004+07:002015-06-30T05:51:58.507+07:00วิกฤตหนี้กรีซใกล้เส้นตาย เศรษฐกิจไทยอาจชะลอยาว (2)<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjaEcjlq6WIbnPve5HsPaLxyMDZHyt7RT13xMRuy4mAaHf10L38SE2cP620LOec7Fn0IBIdojAPf5CWI1nmBxrxRId9HXjJjxwEtCx858RhVA7jFxZUVFU-kS0FuzSdE-R0Xhp9ZldqtOVY/s1600/snap7234.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjaEcjlq6WIbnPve5HsPaLxyMDZHyt7RT13xMRuy4mAaHf10L38SE2cP620LOec7Fn0IBIdojAPf5CWI1nmBxrxRId9HXjJjxwEtCx858RhVA7jFxZUVFU-kS0FuzSdE-R0Xhp9ZldqtOVY/s1600/snap7234.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ตลาดหุ้นกรีซ ในหนึ่งปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นปรับตัวลงไปแล้วราว -40%</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
กรณีกรีซไม่ยอมรับแผนปฏิรูปของกลุ่มเจ้าหนี้ทรอยกาและประกาศทำประชามติเพื่อให้ประชาชนชาวกรีกเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะรับแผนปฏิรูปซึ่งรวมทั้งยอมรับมาตรการรัดเข็มขัดต่างๆหรือไม่ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกในวันที่ 29 มิถุนายนผันผวน สถานการณ์ดูเลวร้ายลงเนื่องจากโอกาสที่กรีซจะผิดนัดชำระหนี้มีสูงขึ้น รวมทั้งกรีซมีอาจต้องออกจากกลุ่มยูโรโซน แต่อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะตกลงกันได้ในนาทีสุดท้ายยังไม่หมดไปเสียทีเดียว ยังมีโอกาสอยู่<br />
<br />
ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงในวันที่ 29 อันเป็นผลทางจิตวิทยาของตลาดหุ้นต่างๆที่ตอบสนองต่อข่าวกรีซ ตลาดหุ้นยุโรป (ดัชนี EURO STOXX 50) ปรับตัวลง -4.2% ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา (ดัชนี S&P 500) ปรับลง -2% ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (ดัชนีนิกเกอิ 225) -3% ตลาดหุ้นอินเดีย -0.6% ส่วนตลาดหุ้นไทย -0.45%<br />
<br />
จะเห็นว่าตลาดหุ้นที่หวั่นไหวต่อกรณีกรีซมากที่สุดเป็นตลาดหุ้นในภูมิภาคยุโรป ส่วนผลทางจิตวิทยาของตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นมีค่อนข้างจำกัด สำหรับประเทศไทยเองนั้นในภาคเศรษฐกิจจริงสัมพันธ์กับกรีซเป็นมูลค่าไม่มากนัก ดังนั้นจากการประเมินในเบื้องต้น ลุงแมวน้ำคิดว่าแม้ในที่สุดกรีซผิดนัดชำระหนี้จริงๆ ผลกระทบต่อตลาดหุ้นอเมริกา เอเชีย และตลาดหุ้นไทย น่าจะมีไม่มากนัก ส่วนผลที่ตามมาหากกรีซเป็นชนวนให้ยูโรโซนล่มสลาย ประเด็นนั้นค่อยมาประเมินกันอีกทีเพราะยังอีกไกล<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ความเสี่ยงอยู่ที่จีน</span></h2>
<br />
ประเด็นที่ลุงแมวน้ำเป็นห่วง และคาดว่าน่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไป ไม่ใช่กรณีกรีซ แต่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆดังต่อไปนี้<br />
<br />
1.กรณี <span style="color: blue;"><b>สหรัฐอเมริกากำลังจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟด</b></span> หลังจากที่กระประชุมเฟดเดือนมิถุนายนนี้ไม่ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย สถานการณ์ก็ยังคงอึมครึมต่อไปจนถึงการประชุมเฟดในนัดเดือนกันยายน กรณีนี้จะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกไปต่อได้ยาก แม้แต่ตลาดหุ้นอเมริกาเองก็เช่นกัน<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg4dAwu8_jqr2zHJkElrO2YCX-8CLitY6TJ3Cow0_ph3ECRRcty-d8iAIu6jYtl-yhdwjCRLW2iVjmqtdbnroTsUHfBtqcvSw0Qy1knpKexPWPBTR9FCVu5DErPsLo7C4IIIoj2b7z9d7-q/s1600/snap7236.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg4dAwu8_jqr2zHJkElrO2YCX-8CLitY6TJ3Cow0_ph3ECRRcty-d8iAIu6jYtl-yhdwjCRLW2iVjmqtdbnroTsUHfBtqcvSw0Qy1knpKexPWPBTR9FCVu5DErPsLo7C4IIIoj2b7z9d7-q/s1600/snap7236.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา หลังจากที่หลุดปลายสามเหลี่ยมชายธงลงด้านล่างก็ก่อตัวเป็นแนวโน้มขาลง คาดกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯจะลงไปจนกว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
2. <span style="color: blue;"><b>กรณีจีน</b></span> เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา ธนาคารกลางของจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากลงอีกขาละหนึ่งสลึงหรือ 0.25 % และลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ หรือ อาร์อาร์อาร์ (RRR) สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการแก่ลูกค้าในกลุ่มพื้นที่ชนบท ภาคการเกษตร และธุรกิจขนาดเล็ก -0.50% ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ระบบเศรษฐกิจ<br />
<br />
ปกติจีนมักประกาศนโยบายการเงินในช่วงวันหยุด ครั้งนี้ก็เช่นกัน พอตลาดหุ้นจีนเปิดมาในเช้าวันจันทร์ก็บวกไปประมาณ +2% จากนั้นก็แกว่งตัวขึ้นลงแรงหลายรอบตลอดวัน สุดท้าย ตลาดหุ้นจีนโดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ -3.3% ซึ่งกรณีจีนนี้ลุงแมวน้ำคิดว่าสถานการณ์เริ่มน่าเป็นห่วง เนื่องจากปีนี้ธนาคารกลางของจีนใช้มาตรการทางการเงิน ได้แก่ การลดอัตราดอกเบี้ยและการลดสัดส่วนการกันสำรองมาหลายครั้งแล้วเนื่องจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขทางเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่น่าพอใจนัก เพียงครึ่งเดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงไป -21% แล้ว ซึ่งถือว่าเร็วและแรง<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWgLCR9fOgNjAJv3ClEB2_VJlcmQ5mXcVSC40jVEhlhEyxY7m_Xx6vfrXeD5pbvsZpGJ356zEUQ3pOAFztnH_Flz6-kp4w6-KIyd_lo_RDu_agAisYSSKkVmFZi78UNVoDE9QW0fMXfvrH/s1600/snap7237.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWgLCR9fOgNjAJv3ClEB2_VJlcmQ5mXcVSC40jVEhlhEyxY7m_Xx6vfrXeD5pbvsZpGJ356zEUQ3pOAFztnH_Flz6-kp4w6-KIyd_lo_RDu_agAisYSSKkVmFZi78UNVoDE9QW0fMXfvrH/s1600/snap7237.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลง -21% ภายในเวลาประมาณครึ่งเดือน</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
แต่ละครั้งที่จีนมีการผ่อนคลายทางการเงิน ตลาดหุ้นจีนตอบสนองในเชิงบวก คือตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรง แต่ครั้งนี้ตลาดหุ้นปรับตัวลง อธิบายได้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยและลดสัดส่วนกันสำรองในครั้งก่อนๆ นักลงทุนมองเชิงบวกว่ามาตรการเหล่านี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างได้ผล แต่มาในครั้งนี้นักลงทุนกลับมีท่าทีเสียความเชื่อมั่น กลายเป็นมองเชิงลบว่าเศรษฐกิจคงแย่มากจึงได้กระตุ้นกันไม่หยุดหย่อน พูดง่ายๆคือตอนนี้นักลงทุนจีนมองว่าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวอย่างยากจะเยียวยาแล้ว<br />
<br />
กรณีจีน ตอนนี้เศรษฐกิจไทยอิงการส่งออกค่อนข้างสูง คือกว่า 70% ของจีดีพี และการส่งออกของเรานั้นพึ่งพาเศรษฐกิจจีนค่อนข้างมาก การที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวทำให้ยอดการนำเข้าของจีนลดลง ส่งผลให้ไทยขายสินค้าแก่จีนได้น้อยลงโดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ ประกอบกับไทยเสียความสามารถในการแข่งขันส่งออกไป ลุงแมวน้ำจึงเห็นว่าผลจาการชะลอของเศรษฐกิจจีนจึงกระทบเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">เศรษฐกิจไทยชะลอกว่าที่คาด</span></h2>
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgeBmD184ZbKfzyi-paaL_L1WGE80FbuyTEbIUXZ24XrHUvKrga0I0oajYT-bW5dlkY1AsRwqbc63_bNje2lfClKThqjxxAvGa4_wXdStvDZWbB9jJrKieE7MEVadNdo14xfI7GXj80b1dJ/s1600/snap7235.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgeBmD184ZbKfzyi-paaL_L1WGE80FbuyTEbIUXZ24XrHUvKrga0I0oajYT-bW5dlkY1AsRwqbc63_bNje2lfClKThqjxxAvGa4_wXdStvDZWbB9jJrKieE7MEVadNdo14xfI7GXj80b1dJ/s1600/snap7235.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">คาดว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะซึมลงในไตรมาส 3</span> </td></tr>
</tbody></table>
<br />
3. <span style="color: blue;"><b>เศรษฐกิจไทยยังชะลอตัว</b></span> การที่ทางการไทยปรับลดคาดการณ์ทางเศรษฐกิจและคาดการณ์ยอดส่งออกลงหลายครั้งเพราะยอดส่งออกของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง สินค้าทำเงินย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น (เช่น จอภาพ ทีวี ยานยนต์ ฯลฯ) และนอกจากยอดส่งออกแล้ว ในด้านการนำเข้าสินค้าทุนก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าในภาคการผลิตได้ชะลอการผลิตและการลงทุนใหม่ๆลง ส่วนในภาคอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการก็ชะลอการลงทุน โครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆก็ยังติดขัด และในภาคเกษตรก็ประสบภัยแล้ง<br />
<br />
4. <b><span style="color: blue;">ในปีนี้มีการออกหุ้นไอพีโอ</span></b> ทั้งกองทุนรวมอสังหาฯ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และหุ้นกู้ ค่อนข้างมาก เหล่านี้มีส่วนดูดซับเงินออกไปจากตลาด น่าจะมีส่วนทำให้ตลาดหุ้นขึ้นต่อได้ยากด้วย<br />
<br />
ลุงแมวน้ำคาดว่าในไตรมาส 3 นี้ไทยน่าจะยังไม่เห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจน ปริมาณหนี้เอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้น การบริโภคที่ชะลอตัว ส่งผลต่อหุ้นในกลุ่มธนาคารและกลุ่มอุปโภคบริโภค และอาจเป็นกลุ่มที่ฉุดตลาดได้<br />
<br />
สี่กรณีข้างต้นประกอบกัน ดังนั้นลุงแมวน้ำมองว่าตลาดหุ้นไทยในไตรมาสสามน่าจะซึมลง แม้ว่าจะไม่มีกรณีกรีซก็น่าจะซึมลงอยู่แล้ว เดิมทีคาดว่าไตรมาสสามน่าจะเริ่มสดใสได้ แต่ตอนนี้คงต้องปรับมุมมอง ประกอบกับต้องรอการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอีก ส่วนไตรมาสสี่นั้นสถานการณ์น่าจะดีขึ้นบ้าง เพราะการท่องเที่ยวเข้าสู่ไฮซีซัน จะช่วยเศรษฐกิจไทยได้บ้าง<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">กลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 3</span></h2>
<br />
จากที่เล่ามาข้างบน ลงแมวน้ำจึงปรับกลยุทธ์การลงทุน และปรับพอร์ต ตอนนี้ขายหุ้นในตลาดฮ่องกงออกไป และลดพอร์ตหุ้นไทยลง ถือเงินสดกว่า 50% ของพอร์ต และรอจังหวะเหมาะเพื่อกลับเข้าลงทุนใหม่ ลุงแมวน้ำมองภาพไว้ 2 กรณีหรือ 2 ซีนาริโอ คือ<br />
<br />
1. <span style="color: red;"><b>หากตลาดหุ้นลงแรง หรือค่อยๆซึมลง </b></span>ก็ตาม ลุงแมวน้ำรอจังหวะเข้าซื้อที่ระดับต่ำกว่า 1450 จุด เล็งกลุ่มหุ้นและตัวหุ้นเอาไว้บ้างแล้ว เลือกตัวที่อนาคตดี แต่ราคายังถูกอยู่ เพื่อให้มีต้นทุนต่ำ หรือที่เรียกว่ามี margin of safty (MOS) สูงหน่อย คาดว่าจังหวะที่เข้าลงทุนน่าจะเป็นกลางหรือปลายไตรมาส 3<br />
<br />
2. <span style="color: red;"><b>หากตลาดหุ้นไม่ลงแต่กลับไปต่อ</b></span> ลุงแมวน้ำจะรอให้ผ่าน 1530 จุดและก่อแนวโน้มขาขึ้นชัดเจนก่อนค่อยเข้าลงทุน สำหรับแผน 2 นี้ลุงแมวน้ำมีโพยหุ้นอีกชุดหนึ่งที่แตกต่างไปจากแผนแรก เนื่องจากสถานการณ์แตกต่างกัน<br />
<br />
3. <span style="color: red;"><b>การลงทุนในต่างประเทศ</b></span> ยังสนใจตลาดหุ้นฮ่องกงเช่นเดิม และเพิ่มตลาดหุ้นอินเดียเป็นตัวเลือกเข้าไปด้วย ตอนนี้รอก่อนเพราะตลาดเป็นขาลง รอกลางหรือปลายไตรมาสสามค่อยเข้าลงทุน<br />
<br />
4. <span style="color: red;"><b>ไม่ลงทุน</b></span>ในตราสารหนี้ระยะยาว ไม่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่เก็งกำไรค่าเงิน เพราะโอกาสขาดทุนสูง<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi9H2lI1VP0cQ9jjvb6iLMjVpURKXh3YItNyW1svVYTV_5r29gX6PUZbsKMF_a6RC8z4k_Nl5S-HctLxC3GRhBb4wqHPxdEGEmcflOv1iwidIKItG9VpVZckZuBHon_dplF8jtOiZ1516lN/s1600/snap7238.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi9H2lI1VP0cQ9jjvb6iLMjVpURKXh3YItNyW1svVYTV_5r29gX6PUZbsKMF_a6RC8z4k_Nl5S-HctLxC3GRhBb4wqHPxdEGEmcflOv1iwidIKItG9VpVZckZuBHon_dplF8jtOiZ1516lN/s1600/snap7238.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><br /></td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #990000;">อินเดียมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐิจสูง ตลาดหุ้นจึงน่าสนใจ แต่ตอนนี้เงินทุนไหลออกจากอินเดียเพราะรอเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย </span></div>
<br />
<br />
แนวทางของลุงแมวน้ำก็ทำนองนี้แหละ จะเห็นว่าลุงแมวน้ำไม่ได้เตรียมการรับมือกับกรณีกรีซโดยตรง รวมทั้งไม่รวมกรณีโรคเมอร์สระบาดรุนรงด้วย แต่แม้จะเกิดเหตุไม่คาดหมายขึ้นมา ก็น่าจะพอรับมือกับความเสี่ยงเหล่านั้นได้ เนื่องจากตอนนี้ถือเงินสดไว้ในสัดส่วนสูงอยู่แล้ว<br />
<div>
<br /></div>
ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-64281949424523524022015-06-29T06:41:00.002+07:002015-06-29T06:45:29.550+07:00วิกฤตหนี้กรีซใกล้เส้นตาย เศรษฐกิจไทยอาจชะลอยาว (1)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhnIImHLs_EPTz_vOSw5eozn32XYtrDp8jMIHgcdkbtg4AFqV9t_imgZ3b-iL2mm7w1dq8C-MjQJ60dNPPyHw9qEp2xA_P8FbXth08KOD76ZF2aDeL1ips7-Si0QMyivfyvpfv7Kb3Bswbk/s1600/1435533225270.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhnIImHLs_EPTz_vOSw5eozn32XYtrDp8jMIHgcdkbtg4AFqV9t_imgZ3b-iL2mm7w1dq8C-MjQJ60dNPPyHw9qEp2xA_P8FbXth08KOD76ZF2aDeL1ips7-Si0QMyivfyvpfv7Kb3Bswbk/s1600/1435533225270.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ประชาชนกรีซกำลังเข้าคิวถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มหลังจากที่กรีซและทรอยกาตกลงกันไม่ได้ และกรีซประกาศปิดทำการตลาดหุ้นและธนาคารในวันจันทร์ที่ 29 มิถุนายนนี้ ประชาชนถอนเงินได้จากตู้เอทีเอ็มเท่านั้น ซึ่งข่าวล่าสุดตอนนี้เงินหมดตู้แล้ว</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgK1nzIZd-ZYhDeBPqyDy_Q18ki69ZnoM2SLcN4E7qKFpqzJFw3M00UgUAEh5B1TixjnzlahfDdaQ7rnFOwiCp2h41vCJE-oje2vfVnE_dZIsNxW5cJf4lGOZ5kFv96cLtw7O1DBu-wXcpR/s1600/1435532234813.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgK1nzIZd-ZYhDeBPqyDy_Q18ki69ZnoM2SLcN4E7qKFpqzJFw3M00UgUAEh5B1TixjnzlahfDdaQ7rnFOwiCp2h41vCJE-oje2vfVnE_dZIsNxW5cJf4lGOZ5kFv96cLtw7O1DBu-wXcpR/s1600/1435532234813.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">นายกรัฐมนตรี อล็กซิส ซีปราส ของกรีซ</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<br />
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ผลการประชุมกรณีปัญหาหนี้ของกรีซ ระหว่างกลุ่มเจ้าหนี้คือทรอยกา และลูกหนี้คือกรีซ ปรากฏว่าขิงก็ราข่าก็แรง ไม่มีใครยอมใคร ปัญหาวิกฤตหนี้กรีซที่มีเส้นตายวันที่ 30 มิถุนายนดูเหมือนว่าจะไม่มีทางออก ทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ต่างก็จะเดินตามทางของตน คือพังเป็นพัง<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ทบทวนวิกฤตหนี้กรีซ</span></h2>
<br />
เรามาทบทวนวิกฤตหนี้กรีซกันอย่างสั้นๆก่อน เพื่อให้ติดตามเรื่องได้สะดวก<br />
<br />
กรีซประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ และได้รับเงินช่วยเหลือ (ก็คือเงินกู้ยืมนั่นเอง) จากกลุ่มสถาบันการเงินของยุโรปที่เรียกว่ากลุ่มทรอยกา ได้แก่้ ไอเอ็มเอฟ ธนาคารกลางยุโรป และสหภาพยุโรป เพื่อบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาหนี้สินต่างๆกับเจ้าหนี้ที่เป็นเอกชน รวมแล้วเป็นเงินประมาณ 240,000 ล้านยูโร โดยกรีซต้องแลกกับการปฏิรูปเศรษฐกิจและรัดเข็มขัดตามแผนการฟื้นฟูของกลุ่มทรอยกา แต่กรีซก็ไม่สามารถทำตามแผนปฏิรูปเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะเรื่องมาตรการรัดเข็มขัดต่างๆที่ทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนกรีซลดลงจากเดิม โดยนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน อเล็กซิส ซีปราส ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนก็เพราะประกาศนโยบายไม่เอามาตรการรัดเข็มขัดจนประชาชนสนับสนุน<br />
<br />
เมื่อซีปราสได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็พยายามขอลดหย่อนมาตรการรัดเข็มขัดกับกลุ่มเจ้าหนี้ แต่กลุ่มเจ้าหนี้ไม่ยอม ซ้ำยังบังคับให้กรีซเพิ่มมาตรการรัดเข็มขัดเสียอีกด้วยเพราะการปฏิรูปเศรษฐกิจไม่้ก้าวหน้าเท่าที่ควร<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ทำไม 30 มิถุนายนจึงมีความสำคัญ ถือเป็นเส้นตาย </span></h2>
<br />
ประเด็นที่เป็นปัญหาอยู่สำหรับตอนนี้ก็คือ กรีซถึงกำหนดต้องชำระหนี้เงินกู้บางส่วนให้แก่ไอเอ็มเอฟ ในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ มูลค่าประมาณ 1,600 ล้านยูโร ซึ่งคาดว่ากรีซไม่น่าจะมีเงินจ่าย ทางกลุ่มทรอยกาก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หากยินยอมเพิ่มมาตรการรัดเข็มขัดให้ตึงยิ่งขึ้นไปอีก เงินงวดที่ต้องชำระคืนในสิ้นเดือนนี้ก็ให้ยืดหนี้ไปได้อีก 5 เดือน พร้อมกันนั้นจะขยายวงเงินช่วยเหลือเพิ่มให้อีก 15,000 ล้านยูโร แถมยังพร้อมให้เงินกู้ฉุกเฉินที่เบิกจ่ายได้ในทันที 1,800 ล้านยูโร แต่ซีปราสไม่ต้องการ ซีปราสต้องการขอผ่อนปรนหนี้พร้อมทั้งผ่อนปรนมาตรการรัดเข็มขัดด้วย<br />
<br />
การต่อรองดำเนินไปอย่างเข้มข้น สุดท้ายซีปราสงัดมุขประชามติออกมาใช้ โดยบอกแก่กลุ่มเจ้าหนี้ว่าถ้าเจรจากันไม่สำเร็จก็ขอให้ประชาชนชาวกรีซลงประชามติก็แล้วกันว่าจะตัดสินใจยอมรับภาระหนี้และมาตรการต่างๆที่จะมาบังคับกับประชาชนกรีซหรือไม่ โดยจะกำหนดวันลงประชามติ 5 ก.ค. นี้ ปลายเดือน ก.ค. ก็จะรู้ผล ดังนั้นขอผ่อนผันการชำระหนี้ออกไปก่อนอีก 1 เดือน<br />
<br />
หลังจากเจรจากันอย่างหนัก กลุ่มเจ้าหนี้ไม่ยินยอมรับเงื่อนไขของซีปราส โดยบอกว่า หากไม่เพิ่มมาตรการรัดเข็มขัด เรื่องเงินก็ไม่ต้องคุยกัน และนั่นหมายความว่ากรีซคงต้องผิดนัดชำระหนี้ในวันที่ 30 มิ.ย. นี้ ซึ่งการผิดนัดชำระหนี้งวดนี้แม้จะเป็นเงินไม่มากเมื่อเทียบกับเงินกู้ทั้งหมด แต่ก็เท่ากับกรีซเบี้ยวหนี้แล้ว คือเสียเครดิตไปเลย นอกจากนี้ ภายในเดือน ก.ค. นี้กรีซยังมีหนี้เงินกู้และยังมีพันธบัตรกรีซที่ครบกำหนดซึ่งต้องจ่ายคืนอีกหลายพันล้านยูโร ซึ่งก็คงต้องเบี้ยวหนี้ไปด้วย<br />
<br />
ผลจากการเบี้ยวหนี้ก็คือกรีซคงต้องออกจากกลุ่มยูโรโซน เลิกใช้เงินยูโร ปัญหาจะตามมาอีกมากมายโดยเฉพาะการสะสางปัญหาหนี้สินจะยิ่งวุ่นวายมากขึ้นไปอีก ประชาชนคงแห่กันไปถอนเงินจากธนาคาร ซึ่งหากกรีซไม่มีการจัดการอะไรเลย ธนาคารในกรีซคงล้ม ซึ่งข่าวล่าสุด กรีซประกาศให้ธนาคารและตลาดหุ้นปิดทำการในวันจันทร์นี้ ประชาชนจะถอนเงินได้จากตู้เอทีเอ็มเท่านั้น นี่คือมาตรการรับมือฉุกเฉินเพื่อป้องกันเงินทุนไหลออกเบื้องต้น หลังจากนี้คงมีมาตรการอื่นๆตามมาอีก แต่สถานการณ์ล่าสุดคือเงินหมดตู้เอทีเอ็ม ถอนเงินไม่ได้แล้ว<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3OTWx85RMuF-GVCbk05_B1-pefK6j4GNe6adzYF2VBuQklLxSwaLhnahh5LsrSxnZIJ5EujNkxY4N9yjYgajpuS0tVLIsEvDlT88V7EysnmW7ZFFb2KbkfpnxuRzT53OdDTavkqNpf8h8/s1600/150628085131-greek-banks-atm-line-780x439.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="360" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3OTWx85RMuF-GVCbk05_B1-pefK6j4GNe6adzYF2VBuQklLxSwaLhnahh5LsrSxnZIJ5EujNkxY4N9yjYgajpuS0tVLIsEvDlT88V7EysnmW7ZFFb2KbkfpnxuRzT53OdDTavkqNpf8h8/s640/150628085131-greek-banks-atm-line-780x439.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<br />
นี่คือที่มาที่ไปแบบสั้นๆของวิกฤตหนี้กรีซและสิ่งที่กำลังจะเกิดในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ถ้ากรีซเบี้ยวหนี้จริงจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นแค่ไหน แล้วจะทำยังไงต่อดี</span></h2>
<br />
ที่จริงเรื่องหนี้กรีซนั้นลุงแมวน้ำก็ยังคิดว่าน่าจะคุยกันได้ แม้ในตอนที่พิมพ์บทความอยู่นี้ก็ยังคิดว่าน่าจะตกลงกันได้ เพราะการที่กรีซยังอยู่ในยูโรโซนจะทำให้ทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ได้ประโยชน์ทั้งคู่ ดีกว่าที่กรีซต้องออกจากกลุ่มไป แต่เอาเถอะ หากตกลงกันไม่ได้จริงๆ เมื่อกลุ่มเจ้าหนี้เล่นไม้แข็ง ไม่ยอมผ่อนผันลูกหนี้อีกแล้ว คิดว่ากลุ่มเจ้าหนี้คงมีมาตรการรองรับผลกระทบไว้บ้างแล้ว เรื่องกรีซเบี้ยวหนี้นั้นจำนวนเงินไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่ว่าอาจเป็นชนวนให้ยูโรโซนล่มสลาย ต้องจับตาผลกระทบที่ตามมาเป็นลูกโซ่<br />
<br />
ผลกระทบระยะสั้นต่อตลาดหุ้นก็คงมี เพราะตลาดหุ้นอ่อนไหวต่อปัจจัยทางจิตวิทยา คือตกใจง่าย แต่จะมากหรือน้อยลุงแมวน้ำก็ยังดูไม่ออก คงต้องค่อยดูและประเมินสถานการณ์กันไป ปรับกลยุทธ์กันไป<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>เรื่องคาดการณ์นั้นย่อมมีผิดมีถูก แต่จะคาดการณ์ผิดหรือถูกก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเราเตรียมรับมือกับความเสี่ยงได้ดีเพียงใด</b></span> ยกตัวอย่างเช่นเรื่องกรีซนี้ แม้เรามองว่าน่าจะตกลงกันได้ แต่ถ้าหากตกลงกันไม่ได้แล้วเราจะรับมือได้หรือไม่<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>ที่จริงตอนนี้เศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทยมีปัญหาที่ส่งผลกระทบมากกว่ากรณีกรีซอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่แนวโน้มชะลอมากกว่าที่คาด การส่งออกของไทยที่ชะลอตัวมากกว่าที่คาด และล่าสุดคือเรื่องปัญหาภัยแล้วที่รุนแรงกว่าที่คาด เหล่านี้ล้วนแต่เกินความคาดหมายทั้งสิ้น และนอกจากนี้ ยังมีเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ยังไม่รู้วันเวลาแน่ชัดอีก วันใดที่เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็คงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทย เราเตรียมการรับมือกับความเสี่ยงที่ไม่คาดหมายเหล่านี้หรือไม่ และอย่างไร</b></span><br />
<br />
สำหรับลุงแมวน้ำ ช่วงหลังนี้ลุงแมวน้ำเห็นสัญญาณเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีแบบเกินความคาดหมายหลายอย่าง เช่น การค้าขายฝืดเคืองต่อเนื่องและยังไม่ค่อยเห็นการฟื้นตัว ปริมาณเอ็นพีแอลในระบบธนาคารเพิ่มขึ้น ระดับน้ำในเขื่อนใหญ่ที่ต่ำจนถึงระดับวิกฤต ฯลฯ ทางด้านจีนเองก็ชะลอตัวกว่าที่คาด ประกอบกับเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟดที่ยังอึมครึม เหล่านี้ล้วนแต่มีผลลบต่อเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทยทั้งสิ้น ซึ่งลุงแมวน้ำได้ทยอยนำมาคุยให้ฟังและปรับมุมมองอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแนะนำให้ถือเงินสดเอาไว้บ้าง ในบทความของลุงแมวน้ำก่อนหน้านี้<br />
<br />
ลุงแมวน้ำเองก็ลดพอร์ตลงอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ถือเงินสดเกินกว่า 50% ของพอร์ต นี่คือการวางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงนี้ หากตลาดหุ้นลงแรงลุงแมวน้ำก็จะทยอยกลับเข้าไปลงทุน ก็เตรียมทำการบ้านเอาไว้ล่วงหน้าว่ากรณีที่ตลาดหุ้นลงจะทำอย่างไร<br />
<br />
ยังไม่จบนะคร้าบ ติดตามอ่านพรุ่งนี้ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-62775037915010814092015-06-28T04:51:00.002+07:002015-06-28T05:19:19.174+07:00เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ บะหมี่พ่อมึงตาย สร้างจุดขายแบบหลุดโลก<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3oW1QSieMupDLoUE3LeRujGVRXXVmHs74CxJkAiTMAdux1Yi77odinE_KDVlIKq1YMXXLsNbUJiB17F1-UbntQCB4TcOb5yKkg6Wgl1UMp5DfTSxdT9Q77bhSYZRtu0qrj2B9uz3uDADJ/s1600/Interview_Hear_Hok_02.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3oW1QSieMupDLoUE3LeRujGVRXXVmHs74CxJkAiTMAdux1Yi77odinE_KDVlIKq1YMXXLsNbUJiB17F1-UbntQCB4TcOb5yKkg6Wgl1UMp5DfTSxdT9Q77bhSYZRtu0qrj2B9uz3uDADJ/s1600/Interview_Hear_Hok_02.jpg" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdj5sxx2OSksf-U6gxO3tVN4UFl5S7hUXs-4WWq5edIi7O3AZyb68SUXaTuSSIVlfyJUfoKZtHIs3AlD86HFDUNVfbMPV90HYWpR_touUaWTs2dTg1Qxe-0oAqMsHJwqbnAHGSkGxqisYd/s1600/558000007316001.JPEG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdj5sxx2OSksf-U6gxO3tVN4UFl5S7hUXs-4WWq5edIi7O3AZyb68SUXaTuSSIVlfyJUfoKZtHIs3AlD86HFDUNVfbMPV90HYWpR_touUaWTs2dTg1Qxe-0oAqMsHJwqbnAHGSkGxqisYd/s1600/558000007316001.JPEG" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh8KYhH1Mhq1Fcmt4qrtTR9IILe3FaP5xz6QtPh2bx_u5cl3H6HpE6iuyObJk5j95V0FXvOAuYgDx-E52SIfG9TEbvRygiAj3R7Tew95ejekiL8vzigGHoEEzGPotTC_aMfmYBtH-V-yFZL/s1600/558000007316003.JPEG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh8KYhH1Mhq1Fcmt4qrtTR9IILe3FaP5xz6QtPh2bx_u5cl3H6HpE6iuyObJk5j95V0FXvOAuYgDx-E52SIfG9TEbvRygiAj3R7Tew95ejekiL8vzigGHoEEzGPotTC_aMfmYBtH-V-yFZL/s1600/558000007316003.JPEG" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgUwWTQIK613YnAX12LaTyCBEIynXRn-Ua6bzcwt9c1aXeiAixSGBCIYvSxfMiKFIDH1zJXH3pY2z0MC_kitvfVRmzfNerGQ_cy5rleb0zY9UwkP_QE30fWBiawTxkv4xI7eBi6jRl-HoIs/s1600/558000007316011.JPEG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgUwWTQIK613YnAX12LaTyCBEIynXRn-Ua6bzcwt9c1aXeiAixSGBCIYvSxfMiKFIDH1zJXH3pY2z0MC_kitvfVRmzfNerGQ_cy5rleb0zY9UwkP_QE30fWBiawTxkv4xI7eBi6jRl-HoIs/s1600/558000007316011.JPEG" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi85oVakvELYNfVyCpgZ7uh2Wlg97Sjw1IhvNA_WpkmGmUljx6xMWyBBMu0V-Ms6cSVTp9ZFUsfdhSEj2yPF0G4UDxPOEo6yQaL5WKeemBQWcMssOJ11R8OrnRIStbEKeQm-oFMCjXUrbpw/s1600/CF454B899C3B4F5B92991E01DE3A1061.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi85oVakvELYNfVyCpgZ7uh2Wlg97Sjw1IhvNA_WpkmGmUljx6xMWyBBMu0V-Ms6cSVTp9ZFUsfdhSEj2yPF0G4UDxPOEo6yQaL5WKeemBQWcMssOJ11R8OrnRIStbEKeQm-oFMCjXUrbpw/s1600/CF454B899C3B4F5B92991E01DE3A1061.jpg" /></a></div>
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhy-Zc-7YRylUTN-fTwW8V2sPeXT3rJ81YHIgco-21uWwKbS6O7tSyRJcQ8rgEh-KMzBM3rNtmpjt1OEX2o0TbJNJIF05brnRG7d0QZG-5aIBe9LD3EZToopsSBbCHWlMkmeRQICsZvhVLJ/s1600/DSC_7759.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhy-Zc-7YRylUTN-fTwW8V2sPeXT3rJ81YHIgco-21uWwKbS6O7tSyRJcQ8rgEh-KMzBM3rNtmpjt1OEX2o0TbJNJIF05brnRG7d0QZG-5aIBe9LD3EZToopsSBbCHWlMkmeRQICsZvhVLJ/s400/DSC_7759.jpg" width="266" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
เช้าวันหยุดวันนี้เรามาคุยเรื่องเบาๆกัน เป็นเรื่องอาหารการกินที่มีแง่มุมทางการตลาดที่น่าสนใจ<br />
<br />
ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในอำเภอเมือง แถวๆซอยเจ็ดยอด-ช้างเคี่ยน มีร้านบะหมี่ในห้องแถวขนาดคูหาเดียวอยู่ร้านหนึ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ คนไปต่อคิวกันกันยาวเฟื้อย นั่นคือร้านเฮียฮ้ง หรือชื่อที่ปรากฏตามป้ายในร้านเขียนว่า <span style="color: red;"><b>เฮียฮ๋ง</b></span><br />
<br />
เวลาเราไปอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เราก็มักถูกสอนว่าธุรกิจเอสเอ็มอีที่จะแจ้งเกิดหรือเป็นที่รู้จักและสร้างยอดขายได้นั้นต้องมีการ <span style="color: red;"><b>สร้างความแตกต่าง</b></span> หรือที่ภาษาอังกฤษว่า differentiation เพราะหากทำเหมือนๆกันไปหมดก็คงไม่มีอะไรโดดเด่นให้ลูกค้าจดจำหรือมาอุดหนุน แต่การสร้างความแตกต่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บางทีคิดจึงหัวผุก็คิดไม่ออก หรือบางทีคิดออกแต่พอเอาไปทำจริงแล้วก็ไม่ประสบผล<br />
<br />
สำหรับร้านบะหมี่เฮียฮ้งนั้นถือว่าประสบความสำเร็จในการสร้างความแตกต่าง โดยใช้ความแปลกหลุดโลกเป็นจุดขาย ซึ่งไม่ใช่แปลกหลุดโลกเพียงเรื่องเดียว แต่ในร้านนี้มีเรื่องหลุดโลกรวมกันอยู่หลายอย่าง หลายคนคงรู้จักร้านนี้กันมาแล้ว เราลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง<br />
<br />
เมนูชื่อพิสดาร เมนูดังของร้านนี้เป็นชื่อแปลกๆ เช่น บะหมี่โคตรโง่ โคตรเฮี่ย พ่อมึงตาย ฯลฯ<br />
<br />
อาหารขนาดไม่ปกติ จานใหญ่เว่อ บะหมี่โคตรโง่ใช้บะหมี่ 24 ก้อน กินได้ 5 คน ราคา 250 บาท<br />
<br />
เมนูโคตรเฮี่ยใช้บะหมี่ 36 ก้อน ราคา 350 บาท<br />
<br />
เมนูพ่อมึงตายใช้บะหมี่ 60 ก้อน ราคา 600 บาท กินกันได้สิบกว่าคน<br />
<br />
และล่าสุดเพิ่งออกเมนู จะไปตามหาพ่อมึง ใช้บะหมี่ 84 ก้อน ราคา 1200 บาท<br />
<br />
เจ้าของร้านมีบุคลิกโผงผาง พูดจาตรง ใช้สรรพนามกู-มึงกับลูกค้า บางทีก็ใช้ลูกค้าให้ช่วยงานในร้าน<br />
<br />
เปิดร้าน 23 น - ตีสาม อันเป็นเวลานอนของคนทั่วไป<br />
<br />
เท่าที่อ่านดู เจ้าของร้านพูดจาไม่ค่อยไพเราะ เมนูชามใหญ่มาก กินเข้าไปยังไงไหว แถมเปิดร้านในยามวิกาลซึ่งเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่นอนกัน รวมความแล้วร้านนี้ไม่น่าจะมีลูกค้า เพราะผิดหลักการตลาดหมดเลย แต่มีถูกอยู่เรื่องเดียว นั่นคือ การสร้างความแตกต่าง<br />
<br />
แต่ปรากฏว่าร้านนี้ขายดิบขายดี คนมาเข้าคิวกิน บางคนรอชั่วโมงกว่า ดึกดื่นก็ยังมากินกัน แถมชามใหญ่คนเดียวกินไม่หมด ไม่เป็นไร นัดเพื่อนมาเป็นกลุ่ม สั่งแล้วมากินด้วยกันเหมือนสังสรรค์กัน กลายเป็นดีเสียอีก<br />
<br />
เรื่องพูดจาไม่ไพเราะนั้น บางคนก็บอกว่าแปลกดี จริงใจดี เป็นกันเองดี หาฟังไม่ได้จากร้านอื่น อ้าว เกิดถูกใจตลาดอีก<br />
<br />
รวมความแปลกหลุดโลกหลายๆอย่าง (แต่ที่สำคัญที่สุดซึ่งยังเป็นพื้นฐาน นั่นก็คืออาหารต้องอร่อย) ลูกค้าที่ไปกินก็นำไปเผยแพร่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ สื่อมวลชนก็มาทำข่าว สุดท้ายก็ดังและติดตลาดได้ ลูกค้าบางคนก็ตั้งฉายาว่าบะหมี่มาเฟีย บางคนก็ตั้งฉายาให้ว่าบะหมี่ปากหมาน (เอา น หนู ออก >.<)<br />
<br />
เครือข่ายสังคมออนไลน์มีบทบาทในยุคนี้อย่างสูง เรื่องอะไรที่โดนใจและนำไปแชร์กันมากๆจะมีคนไปอุดหนุนกันมาก เพราะอยากรู้อยากลอง ทำให้แจ้งเกิดได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ถือว่าแจ้งเกิดได้แล้ว <span style="color: red;"><b>ความยากในขั้นต่อไปก็คือจะรักษายอดขายเอาไว้ได้อย่างไรในระยะยาว ทำอย่างไรจึงจะให้ลูกค้าที่มาทดลองใช้บริการเพราะอยากสัมผัสความแปลกใหม่หลุดโลกกลายมาเป็นลูกค้าขาประจำ</b></span><br />
<br />
ร้านนี้ลุงยังไม่เคยไปกินนะคร้าบ และนี่ก็ไม่ได้เอามาโฆษณา ลุงแมวน้ำไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่อย่างใด เพียงแต่เห็นว่าเป็นกรณีศึกษาทางการตลาดที่น่าสนใจ เลยนำมาฝากกัน<br />
<br />
อ้อ แถมท้ายอีกนิด สมัยก่อน ราวๆ 20 ปีมาแล้ว แถวเยาวราชดูเหมือนจะมีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ร้านหนึ่ง คนก็เรียกกันว่าบะหมี่ปากหมาน เพราะเจ้าของร้านชอบด่าลูกค้า จะไปเร่งหรือเปลี่ยนเมนูไม่ได้ เป็นต้องโดนด่า แต่คนก็ไปกินกันแน่นร้าน มีอยู่วันหนึ่งเจ้าของร้านก็โดนดักตีหัว คงเพราะไปด่าเขานั่นแหละ แต่พอรักษาตัวเรียบร้อยแล้วก็กลับมาด่าตามเดิม ปัจจุบันคงเลิกไปแล้วเพราะนานมากแล้ว นี่ก็เล่าขำ ลุงก็ไม่เคยไปกินเช่นกันคร้าบ ^_^<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/4p1uEWBhJok" width="420"></iframe></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-60948834908027576012015-06-26T10:09:00.004+07:002015-07-06T01:55:03.230+07:00ตลาดหุ้นจีนแพงแล้ว ส่งออกไทยหดตัวต่อเนื่อง<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFG7sqlpcF9Y6TQcd2-PtZukrp6fXE_-UUTHTzQ2xKsmNr0yv_ep21tGjNljOBUV63xVW_l2U0Cyw130WcRRjvEM1P90mIakNiURQeUKTClxTcneLE9AG4EmB5hyphenhyphenrXv6RJZGsefp-dusCS/s1600/snap7231.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFG7sqlpcF9Y6TQcd2-PtZukrp6fXE_-UUTHTzQ2xKsmNr0yv_ep21tGjNljOBUV63xVW_l2U0Cyw130WcRRjvEM1P90mIakNiURQeUKTClxTcneLE9AG4EmB5hyphenhyphenrXv6RJZGsefp-dusCS/s1600/snap7231.jpg" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
วันนี้เรามาคุยกันถึงเรื่องจีนกันอีกครั้ง ทั้งตลาดหุ้นและภาคเศรษฐกิจจริงที่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยและต่อตลาดหุ้น คุยกันหลายเรื่องทีเดียว<br />
<br />
มาเริ่มกันที่ตลาดหุ้นจีนก่อน ตอนนี้ตลาดหุ้นจีนผันผวนหนัก เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงเป็นรถไฟเหาะตีลังกา ขึ้นลงวันละหลายเปอร์เซ็นต์ทีเดียว<br />
<br />
ลองมาดูกราฟตลาดหุ้นจีนกัน กราฟนี้มี 3 เส้น เพราะมี 3 ดัชนี มาดูกันทีละดัชนีแล้วจะรู้ว่าตลาดหุ้นจีนตอนนี้แพงจริง<br />
<br />
เส้นแรก สีน้ำเงินเป็นดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต (shanghai composite index) ที่พวกเราชอบดูกันนั่นแหละ เวลาพูดถึงดัชนีตลาดหุ้นจีนมักอ้างอิงดัชนีตัวนี้กัน ตอนนี้ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตมีค่าพีอี (P/E ratio) ประมาณ 23.7 เท่า เห็นค่า 20 กว่าเท่านี่เราก็บอกว่าแพงกันแล้ว เพราะเมื่อปลายปีที่แล้วยังเทรดกันที่ 8-9 เท่ากันอยู่แลย<br />
<br />
แต่ถ้ามาดูดัชนีเซืนเจินคอมโพสิต (Shenzhen composite index) ดัชนีนี้มักถูกพูดถึงน้อยกว่า แต่ดัชนีเซินเจินนี้มีค่าพีอีสูงถึง 69.2 เท่า ยิ่งแพงกว่าดัชนีเซี่ยงไฮ้มาก<br />
<br />
มาทำความเข้าใจกันก่อน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตนี้ถ่วงน้ำหนักด้วยหุ้นในกลุ่มธนาคารค่อนข้างมาก ปกติแล้วหุ้นธนาคารเทรดกันที่พีอีต่ำหน่อย มักต่ำกว่าเซ็กเตอร์อื่นๆ ส่วนดัชนีเซินเจินนั้นถ่วงน้ำหนักด้วยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตค่อนข้างมาก ซึ่งรวมหุ้นไอทีและหุ้นไฮเทคโนโลยีด้วย (หุ้นไอทีและหุ้นไฮเทคมักเก็งกำไรกันอย่างหนัก เทรดกันที่พีอีสูงมาก) นี่ขนาดเป็นหุ้นที่เทรดกันที่พีอีต่ำเช่นหุ้นในตลาดเซี่ยงไฮ้ยังปาเข้าไป 20 กว่าเท่า ดังนั้นเมื่อเรามองสองดัชนีนี้ประกอบกันทำให้มองเห็นภาพได้ชัดขึ้นว่าตอนนี้ตลาดหุ้นจีนเก็งกำไรกันอย่างสุดเหวี่ยง<br />
<br />
ยังมีดัชนีอีกดัชนีหนึ่ง ลุงไม่ได้นำกราฟมาให้ดู เป็นดัชนี CSI 700 mid & smallcap คือเป็นดัชนีพวกกลุ่ม SME น่ะ ดัชนีนี้ก็มีค่าพีอี 52 เท่า ยิ่งช่วยเสริมให้เห็นว่าตลาดหุ้นจีนตอนนี้แพงมากแล้ว<br />
<br />
ถามว่าตลาดหุ้นจีนไปต่อได้อีกไหม ลุงแมวน้ำคิดว่าในปีนี้คงยาก ตลาดหุ้นจีนในปีนี้ หมายถึงว่าต่อจากนี้จนสิ้นปี น่าจะเป็นตคลาดขาลง เพราะหากดูจากมูลค่าแล้วถือว่าแพงถึงแพงมาก ซื้ออนาคตกันไปมากแล้ว และยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวด้วย และเมื่อดูรูปแบบทางเทนิค ก็น่าจะเป็นคลื่น 4 หรือคลื่น A ซึ่งเป็นคลื่นขาลง ดังนั้นควรระมัดระวังในการเข้าลงทุน<br />
<br />
เส้นสุดท้าย ตลาดหุ้นฮ่องกง พีอี 11.3 เท่า ยังไม่สูง แต่ว่ารูปแบบทางเทคนิคคล้อยตามตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ผสมกับตลาดหุ้นจีนนิดๆ ดังนั้นลุงแมวน้ำก็คิดว่าตลาดหุ้นฮ่องกงในปีนี้ยังไม่ไปไหนเช่นกัน น่าจะลงเสียมากกว่า<br />
<br />
มาพูดกันถึงภาคเศรษฐกิจจริงกันสักนิด แล้วเดี๋ยวจะโยงไปตลาดหุ้นไทย วันนี้กระทรวงพาณิชย์จะประกาศตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม ซึ่งคาดว่าติดลบต่อเนื่องอีก แปลว่าส่งออกของเรายังไม่กระเตื้องเลย มีแต่ถอยลง<br />
<br />
คู่ค้าที่สำคัญของไทยในช่วงหลังหลายปีมานี้คือจีน แต่จีนนำเข้าสินค้าจากไทยน้อยลงและน้อยลง นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยอดส่งออกของไทยหดตัวลงด้วย และข่าวร้ายล่าสุดก็คือ จีนกับเกาหลีใต้ทำข้อตกลงลดภาษีสินค้าอุปโภคบริโภคระหว่างกัน เรื่องนี้มีความสำคัญทีเดียวเพราะปีที่แล้ว 2014 จีนนำเข้าสินค้าจากเกาหลีใต้ประมาณ 200,000 ล้านดอลลาร์ สรอ และนำเข้าสินค้าไทยราว 40,000 ล้านดอลลาร์ สรอ แค่นี้ก็เห็นว่าสินค้าเกาหลีใต้ได้รับความนิยมในจีนมาก และหากมีการลดภาษีระหว่างกันอีก สินค้าเกาหลีใต้จะยิ่งได้เปรียบเรื่องต้นทุน ดังนั้นเป็นไปได้ว่ายอดส่งออกของไทยจะหดตัวต่อเนื่องไปอีกเพราะสินค้าเกาหลีใต้เบียดสินค้าไทย สินค้าไทยที่มีโอกาสถูกสินค้าเกาหลีใต้ตีตลาดในจีนก็คือ สินค้าแฟชัน เครื่องสำอาง เครื่องใช้ภายในบ้าน และอาหาร<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiwuF3TZRDECDNJP7qjjtz1dBShjQr-b_wt3_eZoTyPWO4MKp7ZNvF7IU41QaHOvFbNC0MRyM09QSgQ6Dh7M6Ev04LFq3jSC4FPynEgLPsoPHv1sdFprKRBSl9KjuPEipxN3z1fq3YlzDoM/s1600/snap7232.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiwuF3TZRDECDNJP7qjjtz1dBShjQr-b_wt3_eZoTyPWO4MKp7ZNvF7IU41QaHOvFbNC0MRyM09QSgQ6Dh7M6Ev04LFq3jSC4FPynEgLPsoPHv1sdFprKRBSl9KjuPEipxN3z1fq3YlzDoM/s1600/snap7232.jpg" /></a></div>
<br />
<br />
หากยอดส่งออกของไทยหดตัวต่อเนื่อง ย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยและกระทบตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นไทยก็อาจฟื้นตัวช้าลงอีก แต่กระทบขนาดไหน และช้านานขนาดไหนยังประเมินยาก ต้องตามดูไปก่อนอีกสักระยะหนึ่ง<br />
<br />
ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ที่คาดไว้ก็ผิดคาด ที่หวังเอาไว้ก็ผิดหวัง เป็นเรื่องปกติ ก็ต้องปรับกลยุทธ์เอาตัวรอดกันไป ที่สำคัญคือต้องเอารอดให้ได้คร้าบลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-87053848099244777482015-06-25T00:22:00.000+07:002015-06-26T00:24:39.073+07:00 สงครามตัดราคาน้ำมันดิบยังไม่จบ ทองคำกับโลกยุคเงินเฟ้อต่ำ กรีซละครโรงใหญ่<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEioj7tJWBGGYSaNipfuRFtXRzbpd0BeVQDl9X7yQEceeL6pS1pJxK1YLuox2reVEfRCUctOBaDMmEhYLLVYnR7PP1nl6D1GGGjj9XO4VQiLqQU_Og4J_suU5h-Nbt6B_c95OGZvwvnUng_X/s1600/snap7226.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEioj7tJWBGGYSaNipfuRFtXRzbpd0BeVQDl9X7yQEceeL6pS1pJxK1YLuox2reVEfRCUctOBaDMmEhYLLVYnR7PP1nl6D1GGGjj9XO4VQiLqQU_Og4J_suU5h-Nbt6B_c95OGZvwvnUng_X/s1600/snap7226.jpg" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhwiScQRF2D2p43dekBqWN3JvnujmxPirO0AxfoqGZ4ARxQ0bFKBrDALEiLy_mMjY-ns5JZJMRB-O8KVYTfJNxARptl2jLEududXdChDB4XutPgqbAB8Ebo69p4_G5R7mosoLcs_vLu_2S6/s1600/snap7227.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhwiScQRF2D2p43dekBqWN3JvnujmxPirO0AxfoqGZ4ARxQ0bFKBrDALEiLy_mMjY-ns5JZJMRB-O8KVYTfJNxARptl2jLEududXdChDB4XutPgqbAB8Ebo69p4_G5R7mosoLcs_vLu_2S6/s1600/snap7227.jpg" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<br />
วันนี้เราอัปเดตกันหลายเรื่อง ทั้งมุมมองแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ ราคาทองคำ แถมท้ายด้วยเรื่องกรีซนิดหน่อย<br />
<br />
มาดูราคาน้ำมันดิบกันก่อน หลังจากที่ติดตามราคาน้ำมันดิบในยุคสงครามตัดราคาระหว่างกลุ่มโอเปก กลุ่มนอกโอเปก กับเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) กลุ่มโอเปกลดราคาน้ำมันดิบก่อสงครามราคาเพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดของตนเองเอาไว้<br />
<br />
มาดูกราฟ CL กัน กราฟนี้เป็นราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ของอเมริกา แต่ก็ใช้ดูได้เนื่องจากราคาน้ำมันดิบทั่วโลกอิงกันหมด ราคาน้ำมันดิบ WTI นิ่งๆแถว 60 ดอลลาร์ สรอ/บาเรล บวกลบอยู่แถวนี้มานานหลายเดือนแล้ว นอกจากนี้ กลุ่มโอเปกเองยังผลิตน้ำมันดิบเกินโควต้าของตัวเองที่ตกลงกันในกลุ่มว่าวันละ 30 ล้านบาเรล ก็ผลิตรวมกันอยู่ที่ประมาณ 31.5 ล้านบาเรลต่อวันมาหลายเดือนแล้ว นอกจากนี้ อิรัก ลิเบีย ยังมีแนวโน้มผลิตเพิ่ม รวมทั้งอิหร่านก็คงผลิตเพิ่มหลังจากที่ไม่ถูกคว่ำบาตรแล้ว<br />
<br />
ตามหลักของสงครามราคาแล้วการตัดราคาต้องดำเนินไปนานพอควรเพื่อให้คู่แข่งออกจากตลาดไป ตอนนี้แนวโน้มการผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดานของอเมริกาลดลงเพราะขาดทุน มีการปิดหลุมเจาะ บริษัทพลังงานเจ๊งไป เนื่องจากต้นทุนการผลิตอยู่ที่ราว 70 ดอลลาร์ขึ้นไป และเมื่อพิจารณาจากกราฟราคาแล้ว ลุงแมวน้ำคาดว่าโอเปกคงต้องการคุมราคาน้ำมันดิบไปอีกพักใหญ่เพื่อให้เชลออยล์เจ๊งสนิท ประกอบกับเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าด้วย ดังนั้นราคาคงอยู่แถวๆนี้แหละ 55-65 ดอลสำหรับ WTI ลุงคิดว่าในปี 2559 หรือ 2016 ราคาก็ยังคงอยู่แถวๆนี้ ดังนั้นกองทุนน้ำมันอาจดูไม่ค่อยมีเสน่ห์เท่าไร รวมทั้งราคายางพาราก็คงไปไม่ไกลจากนี้แล้วล่ะ คงแกว่งตัวขึ้นลงในกรอบแถวๆนี้<br />
<br />
ทีนี้มาดูราคาทองคำกันบ้าง หากราคาน้ำมันดิบอยู่แถวๆนี้ ดังนั้นอัตราเงินเฟ้อของโลกในภาพรวมก็คงไม่ได้มากมายกว่านี้ ตอนนี้ชาติที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ไม่ว่าอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ต่างก็เหนื่อยกับการเร่งอัตราเงินเฟ้อให้ถึงเป้า 2% แต่ก็ยังไม่ถึง เพราะเศรษฐกิจไปช้าๆ ดังนั้นในโลกยุคเงินเฟ้อต่ำ จะหวังให้ทองราคาพุ่งคงยาก ประกอบกับดอลลาร์ สรอ มีแนวโน้มแข็งค่าจากการที่เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงคิดว่าจากนี้จนถึงปีหน้า 2016 ราคาทองคำคงอยู่ในกรอบ 1100-1230 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์ กองทุนทองคำก็คงไม่ค่อยมีเสน่ห์เท่าไร<br />
<br />
แถมเรื่องกรีซ กรีซนี่ละครโรงใหญ่ สุดท้ายก็ตกลงกันได้ เพราะหากตกลงกันไม่ได้แปลว่ากรีซคงต้องถูกเนรเทศออกจากกลุ่มยูโรโซนที่ใช้เงินยูโรร่วมกัน ยูโรโซนอาจแตก หากระบบเงินยูโรพัง เยอรมนีพี่ใหญ่เสียประโยชน์เยอะเลยเพราะตอนนี้เงินยูโรอ่อนเอื้อการส่งออกของเยอรมนีเต็มๆ ป้าอังเกลาไม่อยากให้ยูโรพังหรอก อีกประการ หากกรีซออกจากยูโรและไปใช้เงินสกุลของตนเอง ประเทศไหนก็ไม่ค้าด้วยเพราะสกุลเงินไม่น่าเชื่อถือ ประชาชนกรีซเองจะเดือดร้อนหนักกว่านี้มาก นายกคงตกกระป๋อง ดังนั้นตอนนี้เล่นบทบาทต่อรองกัน อีกหน่อยก็อุ้มกันต่อไปคร้าบ<br />
<div>
<br /></div>
ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-69914456430406111642015-06-23T10:02:00.000+07:002015-06-23T10:02:04.759+07:00โรค MERS กับหุ้น<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdGyplveZ_e1JDUo6BrSK0C-T63UdHqbOpxBioS7vzpM6XR4nLAaNrBRGzMpBITk6kTdJ9WPH2ncJCM9Rj9pd2hjMZnKido2s9spFXXGPD7wTKSpx8Yjzqr_OVfx7TK29OrRlA9sFUMbRG/s1600/snap7217.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdGyplveZ_e1JDUo6BrSK0C-T63UdHqbOpxBioS7vzpM6XR4nLAaNrBRGzMpBITk6kTdJ9WPH2ncJCM9Rj9pd2hjMZnKido2s9spFXXGPD7wTKSpx8Yjzqr_OVfx7TK29OrRlA9sFUMbRG/s1600/snap7217.jpg" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
ลุงแมวน้ำไม่ได้อัปเดตเว็บบล็อกมาสักพักหนึ่งแล้ว ที่จริงลุงก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก ยังอัปเดตในเฟซบุ๊กเป็นประจำ แต่ไม่ได้อัปเดตในเว็บบล็อก คือบางทีการอัปเดตสถานการณ์เล็กน้อยๆ ลุงก็อัปเดตแค่ใน FB ไม่ได้เอามาใส่ไว้ในบล็อก<br />
<br />
ช่วงนี้ตลาดก็ขึ้นๆลงๆอยู่แถวนี้ ไปไหนไม่ไกล ลุงแมวน้ำมองว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาด ทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ดังนั้นตลาดหุ้นในช่วงต้นไตรมาส 3 อาจซึมลงก่อน ที่เห็นขึ้นแรงในช่วงสองสามวันมานี้ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องโรคเมอร์ส (MERS) และอีกส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการทำราคาปิดปลายไตรมาสให้ดูดีขึ้นมาหน่อย หรือที่เรียกว่า window dressing นั่นเอง<br />
<br />
มาคุยกันเรื่องโรคเมอร์สกันหน่อย ตอนนี้กำลังดัง พวกเราส่วนใหญ่คงอ่านและฟังข่าวเกี่ยวกับโรคนี้กันจนอาจจะเบื่อแล้วก็ได้ แต่ที่ลุงแมวน้ำจะคุยในวันนี้เป็นมุมที่เกี่ยวกับหุ้น ลองมาดูกัน<br />
<br />
เท้าความกันเล็กน้อย โรคเมอร์ส (MERS) หรือบางทีก็เรียก เมอร์ส-คอฟ (MERS-CoV) นั้น ที่จริงเป็นชื่อย่อ ชื่อเต็มก็คือ Middle East Respiratory Syndrome-Corona Virus หมายถึงโรคทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนาที่มีต้นกำเนิดมาจากตะวันออกกลาง ชื่อยาวเฟื้อยนี้เรียกย่อๆก็คือ เมอร์ส หรือ เมอร์ส-คอฟ นั่นเอง<br />
<br />
โรคนี้เป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่มีต้นตอการระบาดมาจากประเทศแถบตะวันออกกลางในราวปี 2555 โดยสาเหตุของโรคนั้นมาจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เรียกว่าไวรัสโคโรนา (CoronaVirus บางคนก็เรียกว่าโคโรนาไวรัส บางคนก็เรียกไวรัสโคโรนา ก็เข้าใจได้ทั้งคู่) ซึ่งโคโรนาไวรัสนี้เองที่เป็นสาเหตุของโรคระบาดซาร์ส (SARS-CoV) ที่อาละวาดในเอเชียในปลายปี 2002 (2545) ต่อเนื่องถึงปี 2003<br />
<br />
ยังจำได้ว่าในช่วงนั้นประเทศไทยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ตลาดหุ้นไทยไหลตั้งแต่ดัชนี 1700 จุด เกิดเรื่องโน่น นี่ นั่น มีเรื่องราวไม่ดีไม่หยุดหย่อน จนมาเหลือ 200 กว่าจุดในปี 2002 พอดัชนีเริ่มโงหัวฟื้นตัวมาได้ราว 300 กว่าจุดก็เจอเรื่องโรคซาร์สระบาดในกวางตุ้งของจีน จากนั้นลามไปฮ่องกง พอไปฮ่องกงแล้วก็ไปโลด ข้ามไปมาเก๊า ไต้หวัน สิงคโปร์ กระจายไปทั่ว ฯลฯ<br />
<br />
ตอนที่ซาร์สระบาดนั้นมีผลกระทบกับการท่องเที่ยวมาก เพราะโรคนี้เป็นโรคทางเดินหายใจที่แพร่ได้ง่ายทางการไอจาม การดำเนินของโรคมีความรุนแรงมาก ผู้ป่วยจะมีอาการนำคล้ายเป็นหวัด แต่ต่อมาปอดจะอักเสบอย่างรวดเร็วจนระบบการหายใจล้มเหลว ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตค่อนข้างสูง ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มักเกิดจากปอดอักเสบรุนแรงจนปอดพัง ไม่มียารักษาโรคไวรัสโดยตรงด้วย ทำได้แค่รักษาตามอาการ<br />
<br />
ตอนนั้นการท่องเที่ยวของฮ่องกงนี่สลบไปในทันที ไม่ใช่แค่ฮ่องกง แต่การท่องเที่ยวในย่านเอเชียนี้สลบไปหมด รวมทั้งไทย ตลาดหุ้นไทยกำลัง 300 จุดปลายๆก็ตกลงมา 30-40 สุด ซึ่งก็ถือว่าเยอะสำหรับตอนนั้น<br />
<br />
มาในครั้งนี้ก็เช่นกัน โรคเมอร์สที่เกิดจากเชื้อโคโรนาไวรัสเช่นเดียวกับซาร์ส (แต่คนละสายพันธุ์กัน) ตั้งต้นมาจากตะวันออกกลาง แล้วจู่ๆก็มาโผล่ที่เกาหลีใต้ และมาโผล่ที่ไทย ตลาดหุ้นไทยจึงร่วงระนาวเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วหลังจากที่มีข่าวพบผู้ป่วยโรคเมอร์สในประเทศไทย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะประสบการณ์เก่าๆจากเมื่อครั้งเกิดการระบาดของโรคซาร์สเมื่อสิบกว่าปีก่อนยังหลอนอยู่ ก็เลยกลัวกัน<br />
<br />
ที่จริงเราเอาสถานการณ์โรคเมอร์สไปเทียบกับสถานการณ์ตอนเกิดโรคซาร์สคงเทียบกันได้ยาก เพราะเวลาผ่านไปนานแล้ว ปัจจุบันเรามีการสาธารณสุขที่ดีขึ้นกว่ายุคนั้นมาก โดยเพราะการรับมือเกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจทำนองนี้ เพราะได้ประสบการณ์มาจากการรับมือกับไข้หวัดนก<br />
<br />
ไข้หวัดนกเกิดจากไวรัสคนละชนิดกับเมอร์ส (ไข้หวัดนกเกิดจาก Influenza virus) แต่การระบาด อาการป่วย คล้ายคลึงกัน คือทำให้ปอดอักเสบเฉียบพลันและมักเสียชีวิตเนื่องจากปอดพังเช่นกัน อัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง ไทยมีประสบการณ์ในการรับมือกับไข้หวัดนกมาอย่างโชกโชน ดังนั้นลุงแมวน้ำคิดว่าเราสามารถควบคุมโรคได้ เท่าที่ติดตามข่าวก็ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง และถ้าควบคุมโรคได้ การท่องเที่ยวก็ยังไม่มีอะไรน่าห่วง<br />
<br />
แม้ไทยจะเพิ่งพบผู้ป่วยรายแรก แต่ตลาดหุ้นก็ตอบสนองในทางลบทันที หุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยงลงกันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าหุ้นการท่า AOT หุ้นสายการบิน (AAV) หุ้นโรงแรม (MINT, CENTEL) ฯลฯ ผลกระทบหากจะมีก็คงเป็นแค่ปัจจัยทางจิตวิทยาในช่วงสั้นเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ลุงแมวน้ำตั้งข้อสังเกตว่า AAV กับ MINT นั้นรูปแบบทางเทคนิคเป็นขาลงอยู่แล้ว ดังนั้นหากยังลงต่อก็อาจมาจากสาเหตุอื่นมากกว่า<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0kxjfsKaa4uxXLFbQ-xI9JWZMFHj4QMrWWURH0k1VDN93w36Tra3SbGNCOsHNNsQUWs7pqF7K0l0W5n23omaJMUj6TJbO8xQtgw-nclBZ8OkTIpOPE8chXR15UO68hNO2FwpL7A3ljIjp/s1600/snap7218.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0kxjfsKaa4uxXLFbQ-xI9JWZMFHj4QMrWWURH0k1VDN93w36Tra3SbGNCOsHNNsQUWs7pqF7K0l0W5n23omaJMUj6TJbO8xQtgw-nclBZ8OkTIpOPE8chXR15UO68hNO2FwpL7A3ljIjp/s1600/snap7218.jpg" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjURC0UbHQI5oY3i53vDNBlBPUOcQCECfD1HqnNbNDgQ0vkkpaCpyAX_KSqQdbqcWFlaBWHVvOpQuFSPDOw7ysnT6A5CB7R-7WbFwktjvfezdHt2iJp6mDEcsylPjJp6k1p0f2ivyUm3PsF/s1600/snap7219.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjURC0UbHQI5oY3i53vDNBlBPUOcQCECfD1HqnNbNDgQ0vkkpaCpyAX_KSqQdbqcWFlaBWHVvOpQuFSPDOw7ysnT6A5CB7R-7WbFwktjvfezdHt2iJp6mDEcsylPjJp6k1p0f2ivyUm3PsF/s1600/snap7219.jpg" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjeWuc5E_qCJ4FWiEED2Sq27lLRvQ9hykt_L64AzemcKFSH4t_1oCzb0jo36OrLkNXaaI-u1j_wGQZ-PpnyAcFHdJhOSADcrNTTw_rP_SIE8ymrEAw5X596lXOqWmANHlRlk4FlgSH2A-5l/s1600/snap7220.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjeWuc5E_qCJ4FWiEED2Sq27lLRvQ9hykt_L64AzemcKFSH4t_1oCzb0jo36OrLkNXaaI-u1j_wGQZ-PpnyAcFHdJhOSADcrNTTw_rP_SIE8ymrEAw5X596lXOqWmANHlRlk4FlgSH2A-5l/s1600/snap7220.jpg" /></a></div>
<br />
<br />
มีเกร็ดเล็กน้อยอีกหน่อย โรคเมอร์สนี้เกิดจากเชื้อไวรัส ยังไม่มียารักษา แต่ขณะเดียวกัน หุ้น APCO ก็ออกข่าวว่าจะรีบวางตลาดผลิตภัณฑใหม่ เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ทำให้มีโอกาสหายจากโรคนี้เพิ่มขึ้น นักลงทุนก็สงสัยกันว่าจะเป็นไปได้จริงหรือ<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXjFb8doCBKcNY6jLBl-kyA192erjTF4FsAWpMQc01kmNegwClj6_Fv6yav9FEgaGWc4wc9yOWzqrLF7h_xI017wkiKdjQshIMdK5h3N3d7kzcevYMMasdas3csM9Yn-WVy2BQqMXki1cA/s1600/snap7221.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXjFb8doCBKcNY6jLBl-kyA192erjTF4FsAWpMQc01kmNegwClj6_Fv6yav9FEgaGWc4wc9yOWzqrLF7h_xI017wkiKdjQshIMdK5h3N3d7kzcevYMMasdas3csM9Yn-WVy2BQqMXki1cA/s1600/snap7221.jpg" /></a></div>
<br />
นี่ว่ากันในเชิงทฤษฎี เรื่อฆ่าไวรัสนั้นไม่ได้หรอก แต่ว่าการที่ไวรัสทำให้เกิดอาการปอดอักเสบเฉียบพลันรุนแรงนั้นเกิดจากการที่ไวรัสกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารที่เรียกว่าไซโตไคน์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย สารนี้แหละเมื่อร่างกายสร้างขึ้นมากมาย (เรียกว่า cytokine storm) ที่ปอดก็ทำให้ปอดอักเสบรุนแรงจนถึงขั้นปอดพังได้<br />
<br />
ทีนี้สารบางชนิด อย่างเช่น เคอร์คิวมินอยด์ในขมิ้นชัน ฯลฯ สามารถยับยั้งการสร้างไซโตไคน์ได้ ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเกี่ยวกับผู้ป่วยซาร์ส เมอร์ส หรือไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่ ที่มีอาการปอดอักเสบเฉียบพลันรุนแรง ก็มาด้วยทฤษฎีนี้แหละ คือยับยั้งไซโตไคน์เพื่อลดความรุนแรงของอาการปอดอักเสบ แต่ลุงก็ยังไม่เคยอ่านพบรายงานการวิจัยที่มีการพิสูจน์ทางคลินิกว่าได้ผลอย่างไร นี่เป็นเพียงแค่แนวคิดเชิงทฤษฎี<br />
<br />
วันนี้เล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย แต่ก็เกี่ยวกับหุ้นหลายตัว อยากให้ลงทุนด้วยความเข้าใจคร้าบลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-58064622812421623552015-04-15T07:43:00.000+07:002015-04-15T14:41:57.469+07:00ธุรกิจเพื่อสังคม กองทุนสงเคราะห์ของลุงแมวน้ำ<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg85NyDO4Kbrqm-J-I65afarrhjffuxE8BW18uOTu2rLeM9jp-2by_uOZk7cUPLevx1HrwT-Okp6HFPDHg51yspk5-NnVhGmZ5hAQugZX8mDeRJCN-2u67SHa0lasuWP25iR4MY0Z0QQ3K4/s1600/help+the+disadvantaged.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg85NyDO4Kbrqm-J-I65afarrhjffuxE8BW18uOTu2rLeM9jp-2by_uOZk7cUPLevx1HrwT-Okp6HFPDHg51yspk5-NnVhGmZ5hAQugZX8mDeRJCN-2u67SHa0lasuWP25iR4MY0Z0QQ3K4/s1600/help+the+disadvantaged.jpg" height="492" width="640" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEc7sm7-ylulFJjPxz_5AwgH2GZzhkoFBS6ea7RkKuE9nfvygIZ9jNKo98PG3wa3cZjVQfAbMo8XSoJlcx-4o-rwiJYJSh3WzxYrMZrd0OTjyLOJOrlM3mWDFOM-YdEFwn0AQsnSlFPYrI/s1600/stray+dogs+1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEc7sm7-ylulFJjPxz_5AwgH2GZzhkoFBS6ea7RkKuE9nfvygIZ9jNKo98PG3wa3cZjVQfAbMo8XSoJlcx-4o-rwiJYJSh3WzxYrMZrd0OTjyLOJOrlM3mWDFOM-YdEFwn0AQsnSlFPYrI/s1600/stray+dogs+1.jpg" height="578" width="640" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
บทความในวันนี้เขียนต่อจากเมื่อวาน ที่จริงน่าจะนับเป็นตอนที่ 3 แต่เนื่องจากอาจจะทำให้บทความดูยาวไป ไม่น่าอ่าน จึงขอตัดตอน เปลี่ยนหัวเรื่องเอาดื้อๆเลย แต่ที่จริงเนื้อหาก็ต่อเนื่องกันนั่นแหละ คือการอัปเดตผลงานในรอบปีที่ผ่านมาของลุงแมวน้ำ ^_^<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">การลงทุนในตลาดฮ่องกงของลุงแมวน้ำ</span></h2>
<br />
มาคุยกันเรื่องการลงทุนในตลาดฮ่องกงกันต่อ<br />
<br />
ลุงแมวน้ำคิดว่าตลาดหุ้นฮ่องกงมีข้อดีหลายอย่าง อัตราแลกเปลี่ยนก็นิ่ง ตลาดหุ้นมีพีอีต่ำ หุ้นถูกๆยังมีอยู่มาก เพราะนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่กลัวว่าเศรษฐกิจจีนจะเกิดวิกฤตอันเนื่องจากจีนเร่งเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจต่อเนื่องกันมานานนับสิบปี ก็เกรงกันว่าเครื่องยนต์จะพัง ฟองสบู่ของภาคการเงินและตลาดอสังหาริมทรัพย์จะแตก ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงจึงร่วงติดต่อกันมาหลายปีแล้ว<br />
<br />
แต่สำหรับประเด็นนี้ลุงไม่ค่อยกลัว เพราะเท่าที่ลุงติดตามเศรษฐกิจจีนมาหลายปี ลุงเห็นว่าฟื้นตัวได้และตลาดหุ้นจีนก็ส่งสัญญาณฟื้นตัวแล้ว ลุงจึงเข้าไปลงทุนในราวไตรมาสสามของปี 2014 ซึ่งตอนนั้นตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ในแผ่นดินใหญ่เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว แต่ในขณะเดียวกันฮ่องกงเกิดความไม่สงบทางการเมือง กลุ่มคนหนุ่มสาวเรียกร้องสิทธิทางการเมือง ที่เรียกว่าเหตุการณ์ Occupy Central นั่นเอง ตอนนั้นตลาดหุ้นฮ่องกงได้รับผลกระทบไปไม่น้อย ดังนั้นไม่ได้ฟื้นตัวตามตลาดเซี่ยงไฮ้ แต่ก็ถือเป็นโอกาสดีสำหรับการลงทุนของลุง<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEia9rUxpvJPXMx3_Ty3c2RwJabQhu1-os4jYUOKy028EbqBhtxRoXbc3Msnau7J_3OXAFJWmwQNG_4-07xadiPyhzTVWbf5LQdqAJAs8xsm6Uk7GH-aygc6BHzLMC-BNRIa-dkCHtBmjFuF/s1600/occupy+central.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEia9rUxpvJPXMx3_Ty3c2RwJabQhu1-os4jYUOKy028EbqBhtxRoXbc3Msnau7J_3OXAFJWmwQNG_4-07xadiPyhzTVWbf5LQdqAJAs8xsm6Uk7GH-aygc6BHzLMC-BNRIa-dkCHtBmjFuF/s1600/occupy+central.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง Occupy Central ในฮ่องกงเมื่อปี 2014</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
ตลาดหุ้นฮ่องกงยังมีข้อดีอีกหลายอย่าง เช่น ไม่เสียภาษีกำไรจากการขายหุ้น (capital gain tax) รวมทั้งเงินปันผลจากหุ้นที่ได้รับก็ไม่มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายอีกด้วย ภาษีเหล่านี้เป็นต้นทุนของนักลงทุนทั้งสิ้น นอกจากนี้ข้อมูลราคาหุ้น งบการเงิน อัตราส่วนทางการเงิน รายละเอียดต่างๆสามารถหาดูได้ง่ายและเป็นภาษาอังกฤษด้วย (ในบางประเทศข้อมูลส่วนใหญ่เป็นภาษาท้องถิ่น)<br />
<br />
ลุงแมวน้ำก็เข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มบริษัทยาและไบโอเทค เนื่องจากจีนมีการปฏิรูประบบสาธารณสุข อีกทั้งชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หุ้นบริษัทยาของจีนเติบโตดี มีหุ้นถูกให้เลือกมากพอควร ก็เลือกซื้อไปหลายบริษัท ตอนที่สถานการณ์ทางการเมืองดุเดือด หุ้นฮ่องกงของลุงหล่นไป -20% แต่ลุงก็เฉยๆ ตอนนี้กลับมาทำกำไรแล้ว ได้ผลตอบแทนประมาณ 40%-50% ยังไม่ได้ขายเพราะคิดว่ายังไปต่อได้อีก แต่ถ้าขึ้นเยอะๆลุงก็ขายนะ เปลี่ยนไปตัวอื่นแทน ^_^<br />
<br />
หุ้นกลุ่มยาและไบโอเทคของลุงหากเทียบกับหุ้นยอดนิยมอย่างเช่น CITIC Bank ลุงได้ผลตอบแทนดีกว่านิดหน่อย แต่หากไปเทียบกับ TENCENT ก็ยังสู้ tencent ไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร ได้แค่ไหนก็แค่นั้นแหละ<br />
<br />
นี่ก็คือการลงทุนในต่างแดนของลุงแมวน้ำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตทั้งหมด การลงทุนหลักของลุงยังอยู่ในเมืองไทยเนื่องจากลุงเห็นว่ายังมีหุ้นไทยที่ดีราคาถูก มีโอกาสเติบโต ยังมีให้เลือกอยู่พอควร<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">กองทุนสงเคราะห์ของลุงแมวน้ำ</span></h2>
<br />
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องสุดท้ายที่ลุงอยากจะเล่า ซึ่งเรื่องนี้มีความหมายกับลุงมากกว่าตัวเลขกำไรสวยๆจากตลาดหุ้นเสียอีก<br />
<br />
เท้าความไปถึงเมื่อก่อน ลุงมีความฝันอยากทำธุรกิจเพื่อสังคมมานานแล้ว อยากทำธุรกิจที่มีส่วนช่วยพัฒนาสังคม และนำผลกำไรมาทำกองทุนเพื่อสงเคราะห์ผู้ด้อยโอกาส และก็มีโอกาสได้ทำธุรกิจเมื่อหลายปีมาแล้ว โดยทำควบคู่ไปกับงานหลักคือการแสดงละครสัตว์ แต่ก็เป็นงานเหนื่อยมาก การทำกิจการนั้นต้องทำงานกันเป็นทีม ก็ต้องมีพนักงาน แต่ปัจจุบันพนักงานหายากเหลือเกิน เมื่อเฟืองไม่ครบ เครื่องยนต์ก็เดินสะดุด กิจการงานก็ไม่ราบรื่น การตลาดก็สะดุด ผลตอบแทนก็ไม่ดี เมื่อผลตอบแทนไม่ค่อยดีก็ยิ่งไม่มีใครอยากทำงานด้วย ก็เป็นวงจรเช่นนี้ไปเรื่อย ผลก็คือทำแล้วก็เหนื่อยมาก เงินก็ไม่ค่อยได้ พอเหนื่อยก็ยิ่งคิดอะไรไม่ออก >.<<br />
<br />
เมื่อกิจการไม่ค่อยดี เรื่องกองทุนสงเคราะห์ก็ขยายได้ยาก เรื่องกองทุนนั้นที่จริงลุงก็ทำมาเรื่อยๆตั้งแต่สมัยยังหนุ่มๆ แต่ว่าวงเงินของกองทุนมีจำกัด ลุงคิดว่าเมื่อทำธุรกิจเพื่อสังคมน่าจะได้มีส่วนช่วยขยายเงินกองทุนได้ แต่ก็ไม่เป็นดังที่คิด<br />
<br />
ชีวิตก็ต้องดิ้นรนกันไป ไม่ได้ทางหนึ่งก็ต้องไปหาทางอื่น ในช่วงหลังกิจการเพื่อสังคมของลุงแมวน้ำจึงลดรูปลงมา ไม่ได้ทำธุรกิจอะไรเอง แต่กลายเป็นโฮลดิงคอมพานี (holding company) ที่มีลุงแมวน้ำเป็นเจ้าของแทน นี่พูดแบบฟังหรูๆ พูดง่ายๆก็คือแทนที่ลุงจะทำธุรกิจจริงๆซึ่งต้องการทีมงานจำนวนมาก ลุงก็เลิก และหันมาขยายการลงทุนตลาดหุ้นแทน ไม่มีทีมงานอะไร ลุงก็ทำของลุงไปเรื่อย เหนื่อยก็พัก ไม่ต้องทำบัญชี กำไรจากการขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษี อีกทั้งยังไปเอาเครดิตภาษีมาอีก ชีวิตก็เหนื่อยน้อยลงนิดหน่อย แค่น้อยลงนิดหน่อยนะ ไม่ได้มาก เพราะต้องบริหารกองทุนสงเคราะห์<br />
<br />
ที่จริงการทำงานเป็นทีมเป็นเรื่องที่ดีและควรฝึกกันไว้ให้ทำให้ได้ เพราะโลกในปัจจุบันเราจะทำอะไรแบบหัวเดียวกระเทียมลีบจะโตไม่ได้ แต่ลุงพบข้อจำกัดหาทีมงานได้ยากก็จนใจ นี่เป็นการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดเฉพาะตัวของลุง แต่ก็ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง<br />
<br />
ลุงเล่าเท้าความเรื่องเก่าๆไปไกลหน่อยเพื่อปูพื้น เกรงว่าจะงงกัน สรุปว่าในปี 2014 ลุงแมวน้ำสร้างผลตอบแทนในตลาดหุ้นไทยได้ดีกว่าความคาดหมาย ในวิกฤตก็มีโอกาส ตอนนี้กองทุนสงเคราะห์ของลุงขยายตัวเป็นระดับเลขเจ็ดหลักต่อปี ลุงสงเคราะห์ผู้พิการ ให้ทุนการศึกษาเยาวชน ช่วยเหลือสัตว์จรจัด ทำหมันสัตว์จรจัดเพื่อตัดวงจรการขยายพันธุ์ ก็ทำเท่าที่มีแรงทำไหว แต่ดูเหมือนว่าชีวิตที่รอความช่วยเหลือมีมากเหลือเกิน ก็อยากทำให้ได้ดีกว่านี้อีกสักหน่อย<br />
<br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>ทั้งหมดนี้ก็เป็นการอัปเดตในรอบปีที่ผ่านมา เขียนโน่นเขียนนี่ คุยกันวันหยุด เมื่อตลาดเปิดแล้ว เราก็มาคุยเรื่องการลงทุนกันต่อคร้าบ</b></span>ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-78457080865475349372015-04-14T07:45:00.000+07:002015-04-14T07:45:59.982+07:00สุขสันต์วันสงกรานต์ เข้าสู่ปีที่ 7 การลงทุนของลุงแมวน้ำ (2)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi7VrdH3YIHpged9bvh7OwIQkJD413AbCeI4pCsevGl7Qacq6GnwLGjvTaP7WRIWPCzvoFnBSkfM2HmWfJMQxpMFZkk9X5W-3wkypYhKRc3tpgPKPO1X5ysy907zUtf9Sf5KRyv1heIFbIa/s1600/6+anniversary+uncaseal+web+blog+320.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi7VrdH3YIHpged9bvh7OwIQkJD413AbCeI4pCsevGl7Qacq6GnwLGjvTaP7WRIWPCzvoFnBSkfM2HmWfJMQxpMFZkk9X5W-3wkypYhKRc3tpgPKPO1X5ysy907zUtf9Sf5KRyv1heIFbIa/s1600/6+anniversary+uncaseal+web+blog+320.jpg" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ลุงแมวน้ำโกอินเตอร์ ลงทุนในต่างประเทศ</span></h2>
<br />
ลุงแมวน้ำออกไปลงทุนในต่างประเทศตั้งแต่ปี 2013 เรียกได้ว่าเป็นรุ่นแรกๆที่ออกไปตามลงทุนตามระบบ ต้องขอขยายความเรื่องนี้สักหน่อยเมื่อก่อนหน้านี้การลงทุนในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือฟิวเจอร์สค่อนข้างยุ่งยาก คือเราต้องไปเปิดพอร์ต (เปิดบัญชีซื้อขาย) กับโบรกเกอร์ในต่างประเทศเอง และต้องโอนเงินในการเทรดตามกฎกติกาของโบรกเกอร์นั้น ซึ่งโบรกเกอร์ในต่างประเทศนั้นมีมากมาย ด้านความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์เป็นเรื่องที่ผู้ลงทุนต้องรับความเสี่ยงเอาเอง<br />
<br />
ต่อมาเมื่อ ธปท ผ่อนคลายกฎเรื่องการนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศ รวมทั้ง กลต ได้อนุญาตให้นักลงทุนรายย่อยลงทุนในต่างประเทศได้โดยผ่านโบรกเกอร์ไทย ทำให้นักลงทุนรายย่อยสามารถลงทุนซื้อหุ้นหรือฟิวเจอร์สได้โดยผ่านทางโบกรกเกอร์ไทย ทำให้การลงทุนสะดวกและอุ่นใจขึ้นมาก เพราะโบรกเกอร์ไทยนั้น กลต ควบคุมอยู่ ไม่ต้องกลัวโดนโกง เมื่อระบบต่างๆพร้อม ลุงแมวน้ำจึงออกไปลงทุนบ้าง<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ไปตลาดอเมริกาเพื่อโยงไปสู่การลงทุนตลาดชายขอบ (Frontier Market)</span></h2>
<br />
ตลาดหุ้นต่างประเทศแห่งแรกที่ลุงออกไปลงทุนก็คือตลาดหุ้นอเมริกา เหตุที่ไปตลาดอเมริกาเพราะที่นั่นมีอีทีเอฟ (อีทีเอฟคือกองทุนรวมที่ซื้อขายได้บนกระดานหุ้นเสมือนหุ้นตัวหนึ่ง) ธีมต่างๆให้เลือกมากมายกว่าหนึ่งพันอีทีเอฟทีเดียว ลุงสนใจลงทุนในประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ (emerging market) กับตลาดชายขอบ (frontier market) ซึ่่งอีทีเอฟในตลาดหุ้นอเมริกานี้น่าจะสามารถตอบโจทย์การลงทุนของลุงได้<br />
<br />
ขออธิบายเกี่ยวกับตลาดเกิดใหม่และตลาดชายขอบสักหน่อย ตลาดเกิดใหม่ก็คือตลาดหุ้นในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น จีน อินเดีย ไทย เกาหลีใต้ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฯลฯ ส่วนตลาดชายขอบนั้นเป็นตลาดที่เกิดมาหลังจากตลาดเกิดใหม่เสียอีก ดังนั้นจึงมีระดับขั้นของการพัฒนาน้อยกว่าตลาดเกิดใหม่ แต่ก็มีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าตลาดเกิดใหม่ ตัวอย่างของตลาดชายขอบ เช่น เวียดนาม กัมพูชา เมียนมาร์ บังคลาเทศ ปากีสถาน อาร์เจนตินา ไนจีเรีย เคนยา มอรอกโค ฯลฯ<br />
<br />
ลุงก็ไปลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาโดยซื้ออีทีเอฟเวียดนาม (VNM) อินโดนีเซีย (EIDO) และตลาดชายขอบ (FM) เริ่มลงทุนประมาณปลายปี 2013 หรือต้นปี 2014 ประมาณนี้แหละ อีทีเอฟเหล่านี้ซื้อขายเป็นเงินดอลลาร์ สรอ แต่ตัวกองทุนอีทีเอฟเองไปลงทุนประเทศใดก็ใช้เงินสกุลท้องถิ่นนั้นแล้วรับรู้ผลกำไรขาดทุนโดยแปลงเป็นสกุลดอลลาร์ สรอ อีกที<br />
<br />
ผลการลงทุนเป็นไงน่ะหรือ ลุงจะเล่าให้ฟัง<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLOWnwuQrrjnK0swRnU6axGVuDa06F6wyjURoKChBkysk5HhYgerM7fubYVCpCktJW4eWmg2-_-UG3I8bCYVRLgfqy2GYLzRLVDKemShUCOfwyTaaxU2VH2b4Rw3Ist5Cb7AiW21q3Kd8U/s1600/snap7061.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLOWnwuQrrjnK0swRnU6axGVuDa06F6wyjURoKChBkysk5HhYgerM7fubYVCpCktJW4eWmg2-_-UG3I8bCYVRLgfqy2GYLzRLVDKemShUCOfwyTaaxU2VH2b4Rw3Ist5Cb7AiW21q3Kd8U/s1600/snap7061.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม (VNINDEX สีส้ม) เทียบกับอีทีเอฟ VNM (สีเขียว) ช่วงที่ลุงแมวน้ำลงทุนนั้นตลาดไร้ทิศทาง รออยู่นานก็ไม่ไปไหน อีกทั้งยังขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
ดูที่ตลาดหุ้นเวียดนามก่อน ตอนที่ลุงลงทุนใน VNM นั้นดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 400 กว่า ถึง 500 กว่าจุด วนเวียนอยู่แถวนั้น และหลังจากนั้นก็ยังวนเวียนอยู่แถวนั้นไม่ไปไหน อีกทั้งเงินด่องของเวียดนามอ่อนค่า ดังนั้นแม้ดัชนีจะขึ้นแต่หากคำนวณผลจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วยแล้วก็ไม่คุ้ม ลุงแมวน้ำลงทุนอยู่ประมาณ 3 ไตรมาสก็เห็นว่าสู้กับปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนไม่ไหว จึงขายอีทีเอฟ VNM ออกไป โดยขาดทุนนิดหน่อย<br />
<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgeuK6fxvFO22BUdGWgl4ESiqZvsC1S4nEOjsAiJOVR3vwMEyNly3YRqT3j3IqjxNN_LTlezqtUZkYJeMg7HyU2Rl9jY3AxWwb1WmAFQVNJCRCQft-7naNUrFB5SRsMQ_Hp2lAS-tOsELDS/s1600/snap7062.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgeuK6fxvFO22BUdGWgl4ESiqZvsC1S4nEOjsAiJOVR3vwMEyNly3YRqT3j3IqjxNN_LTlezqtUZkYJeMg7HyU2Rl9jY3AxWwb1WmAFQVNJCRCQft-7naNUrFB5SRsMQ_Hp2lAS-tOsELDS/s1600/snap7062.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซีย (Jakarta composite index สีส้ม) และอีทีเอฟ EIDO (สีเขียว) ช่วงที่ลุงแมวน้ำลงทุนตลาดเป็นขาขึ้นแต่ได้ผลตอบแทนน้อยเนื่องจากผลของอัตราแลกเปลี่ยน</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
มาดูตลาดหุ้นอินโดนีเซียกัน ตอนที่ลุงเข้าลงทุนใน EIDO นั้นตลาดหุ้นอินโดนีเซียเป็นขาขึ้นตลอด ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี แต่ก็อีกนั่นแหละ เสียเปรียบเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนไปพอควร เนื่องจากเงินรูเปียะค่อนข้างผันผวน ถืออยู่ราวสามไตรมาส สุดท้ายก็คิดว่าขายดีกว่า ได้กำไรมาพอควร ดูเหมือนจะเกือบ 10% ดัชนีขึ้นเยอะแต่ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามดัชนีเพราะอัตราแลกเปลี่ยน<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJIAKW1s65srJLDuopBCBFawu5_YbV-FnXFRx8Rxl2GPOEpeioalgPHcWPG7TAgU0zlAXzRLYUEoc7GoWXrQh1AFYx9HexK811DD0KLFFuDMxVtInUgjsvHcJz7qlEvuE9wwTndQvZZ5Tz/s1600/snap7063.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJIAKW1s65srJLDuopBCBFawu5_YbV-FnXFRx8Rxl2GPOEpeioalgPHcWPG7TAgU0zlAXzRLYUEoc7GoWXrQh1AFYx9HexK811DD0KLFFuDMxVtInUgjsvHcJz7qlEvuE9wwTndQvZZ5Tz/s1600/snap7063.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">อีทีเอฟ FM ตัวโปรดของลุงแมวน้ำ เริ่มแรกก็สร้างผลตอบแทนที่ดี แต่สุดท้ายลืมดูไพักหนึ่ง เจอสงครามราคาน้ำมันดิบและอีโบลาระบาด หนีแทบไม่ทัน >.<</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
ตัวสุดท้าย อีทีเอฟตลาดเกิดใหม่ FM ตัวนี้เป็นตัวที่ลุงชอบมาก ไตรมาสเดียวก็ขึ้นไปราวๆ 20% แล้ว ตัวนี้ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเพราะลงทุนในหลายประเทศและหลายสกุลเงิน ในทางทฤษฎีถือว่าเป็น natural hedged คือความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนหักล้างกันเองจนเกือบหมด<br />
<br />
ความผิดพลาดประการสำคัญของการลงทุนในต่างประเทศของลุงไม่ใช่เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เพราะเรื่องนั้นรู้อยู่แล้วว่าต้องเจอ แต่เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดูแล คือลุงอัปเดตราคาไม่ค่อยบ่อยนัก บางทียุ่งๆก็เว้นไม่ได้ดูไปหลายสัปดาห์<br />
<br />
ในราวกลางปี 2014 ประมาณช่วงเดือนกันยายน ตุลาคม แถวนั้นแหละ ที่ราคาน้ำมันดิบเริ่มดิ่งอย่างรวดเร็วเพราะโอเปกเริ่มสงครามตัดราคาน้ำมันดิบ และนอกจากนี้ ทางแอฟริกาหลายประเทศก็มีเชื้ออีโบลาระบาดเสียด้วย ทีนี้ FM ของลุงนี่มีทั้งคูเวต แอฟริกา อะไรต่ออะไรเต็มไปหมด ได้รับผลกระทบไปเยอะทีเดียว เพียงสองเดือน ราคา FM ก็ดิ่งอย่างรวดเร็ว ลุงเปิดจอมาดูอีกทีกำไรหายไปหมด เห็นท่าไม่ดีก็รีบขายออกไป<br />
<br />
สรุปรวมงานนี้ได้แค่เท่าทุน กำไรนิดเดียวถือว่าเท่าทุนก็แล้วกัน นี่ยังไม่รวมผลจากเงินบาทอ่อนค่าในช่วงนั้น เพราะการรับรู้กำไรของลุงต้องแปลงดอลลาร์ สรอ เป็นบาทอีกทอดหนึ่ง ซึ่งลุงก็ป้องกันความเสี่ยงเอาไว้ด้วยการซื้อดอลลาร์ฟิวเจอร์ส นี่ว่ากันตามทฤษฎีเลย ซึ่งเท่าที่เล่ามานี้จะเห็นว่าเวลาทำงานจริงๆก็เรื่องเยอะหลายขั้นตอนอยู่ ทำเอาลุงมึนเหมือนกัน >.<<br />
<br />
การลงทุนในต่างแดนของลุงก็ได้ผจญภัยหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนนี่เป็นเรื่องสำคัญมาก<br />
<br />
หลังจากอีทีเอฟชุดนี้แล้ว ลุงก็ยังให้ความสนใจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ตลาดชายขอบ รวมทั้งตลาดฟื้นไข้อันได้แก่ญี่ปุ่นกับยุโรปอีกด้วย เพราะตลาดเหล่านี้เป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่งดงาม แต่การลงทุนในตลาดเหล่านี้ล้วนแต่ต้องระมัดระวังอัตราแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น<br />
<br />
ตลาดยุโรปลงทุนเป็นเงินยูโร ค่าเงินยูโรอ่อนตัวมาก หากจะลงทุนต้องป้องกันความเสี่ยงเงินยูโร<br />
<br />
ตลาดญี่ปุ่นลงทุนเป็นเงินเยน ค่าเงินเยนอ่อนตัวมากเช่นกัน หากจะลงทุนต้องป้องกันความเสี่ยงเงินเยน<br />
<br />
ดังนั้นจะเห็นว่าหากเป็นนักลงทุนส่วนบุคคล เราคงลงทุนหลายตลาดหลายสกุลเงินไม่ไหวหรอก ลุงก็คิดว่าตนเองดูแลไม่ไหว ดังนั้นต้องเลือกการลงทุนเพียงสกุลเงินเดียวจะสะดวกในการดูแลมากกว่า<br />
<br />
ถ้าเช่นนั้นจะลงทุนในตลาดไหนดีละที่สร้างผลตอบแทนได้ดี อีกทั้งปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนน้อย???<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">มุ่งสู่ตลาดฮ่องกง</span></h2>
<br />
พิจารณาดูแล้วตลาดหุ้นฮ่องกงนี่แหละตอบโจทย์ที่สุด ลุงคิดว่าดีกว่าตลาดอเมริกาเสียอีก เพราะในช่วงปีที่แล้วตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวแล้ว ส่วนตลาดฮ่องกงยังไร้ทิศทางอยู่ คือโมเมนตัมมาทางตลาดหุ้นจีนกันหมด ไม่ค่อยมีใครสนใจตลาดหุ้นฮ่องกง ทั้งๆที่ตลาดหุ้นฮ่องกงนั้นถูกแสนถูก อีกทั้งหุ้นที่เป็นดูอัลลิสต์ (dual list คือหุ้นที่จดทะเบียนทั้งในตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกง) พวกหุ้นที่จดทะเบียนสองตลาดนี้ หุ้นที่เทรดในตลาดหุ้นจีน (ที่เรียกว่า A-share) มีราคาแพงกว่าหุ้นเดียวกันที่จดในตลาดฮ่องกง (ที่เรียกว่า H-share) พูดง่ายๆคือหุ้น H-share ถูกกว่า A-share ทั้งๆที่เป็นหุ้นเดียวกัน H-share บางตัวถูกกว่า A-share ถึง 30% หรือ 40% ก็มี ในทางทฤษฎี ในที่สุดราคาของสองตลาดนี้จะลู่เข้าหากัน แปลว่าสักวันหนึ่งราคาหุ้น H-share จะวิ่งขึ้นไปหาราคาหุ้น A-share<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiDyy50dsdN5nRgdmtkGHijv9erqluUOGdbKJLc00nPeJ6NOMUjPfuYTv03oEA1T-pv0SaUBOhLHN02L7rL3DQuRbOVU3zC_B1SBEMAVXkIXo9JRqJyHdDtHJdsOVzYsOP0wAKVitdwSuKo/s1600/snap7064.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiDyy50dsdN5nRgdmtkGHijv9erqluUOGdbKJLc00nPeJ6NOMUjPfuYTv03oEA1T-pv0SaUBOhLHN02L7rL3DQuRbOVU3zC_B1SBEMAVXkIXo9JRqJyHdDtHJdsOVzYsOP0wAKVitdwSuKo/s1600/snap7064.jpg" height="277" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">ปี 2014 ตลาดหุ้นจีน (สีส้ม) เป็นขาขึ้น ส่วนตลาดหุ้นฮ่องกง (เส้นสีเขียว) ไม่ไปไหน ในทางทฤษฎี สักวันตลาดฮ่องกงจะต้องขึ้นตามตลาดหุ้นจีน</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
และนอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฮ่องตรึงกับเงินดอลลาร์ สรอ อัตราแลกเปลี่ยนนิ่งมาก หมดกังวลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนได้เลย ดูแลแค่ด้าน บาท-ดอลลาร์ สรอ เพียงขาเดียวเท่านั้น<br />
<br />
ลุงก็จัดแจงแปลงเงินดอลลาร์ สรอ เป็นดอลลาร์ ฮ่องกงแล้วเข้าลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงโดยไม่รอช้า ^_^<br />
<br />
<br />
ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-78907548830944585662015-04-13T07:43:00.001+07:002015-04-13T07:43:36.565+07:00สุขสันต์วันสงกรานต์ เข้าสู่ปีที่ 7 การลงทุนของลุงแมวน้ำ (1)<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiF5VH1RvnTbjsICbP2vMF6AKpnAC2OmDBbU-UPMD5I4T0zjObkaiwxuKVCkqxn3lzyfAU6F1l4eeBfSrAyar3aICj_NPaghsqSRvwLhRefap-7PUvjMyNgmYNp10sWAcDClFDtscljC_SX/s1600/6+anniversary+uncaseal+web+blog+320.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiF5VH1RvnTbjsICbP2vMF6AKpnAC2OmDBbU-UPMD5I4T0zjObkaiwxuKVCkqxn3lzyfAU6F1l4eeBfSrAyar3aICj_NPaghsqSRvwLhRefap-7PUvjMyNgmYNp10sWAcDClFDtscljC_SX/s1600/6+anniversary+uncaseal+web+blog+320.jpg" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก พริบตาเดียวก็ผ่านไป 6 ปี ลุงแมวน้ำเริ่มทำเว็บบล็อกนี้มาตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ของปี 2009 มาจนถึงวันนี้ สงกรานต์ 2015 เวลาได้เวียนมาบรรจบครบ 6 ปีแล้ว นับว่าเป็นเวลาที่นานพอดูทีเดียว... นานจนลุงแมวน้ำเองก็นึกไม่ถึงว่าจะทำเว็บบล็อกด้านการลงทุนได้นานขนาดนี้ ^_^<br />
<br />
เดิมทีลุงแมวน้ำคิดจะทำเล่นๆ ทำเพราะอยากทำ อยากบอกอยากเล่าเรื่องการลงทุนในมุมมองของลุงแมวน้ำ ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น เหนื่อยก็จะเลิก แต่ตลอดเวลา 6 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าบางช่วงจะเหนื่อย จะล้า คิดเลิกทำอยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่ในที่สุดก็ไม่ได้เลิกทำ จึงได้ทำมาจนมาถึงทุกวันนี้<br />
<br />
พูดเรื่องแฟนคลับของลุงแมวน้ำกันสักนิด แฟนคลับตามสถิติของเฟซบุ๊ก ณ ตอนนี้มีอยู่ 3,145 คน ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทย ผู้อ่านที่ติดตามอ่านจากต่างประเทศก็มีบ้างจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อังกฤษ แคนาดา สวีเดน เยอรมนี เม็กซิโก บราซิล ตุรกี บางประเทศลุงก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่ามาอ่านได้ยังไงเนี่ย ส่วนแฟนคลับที่อยู่ในย่านนี้ก็มี สปป ลาว สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น กัมพูชา เมียนมาร์ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ฯลฯ<br />
<br />
ผู้อ่านที่ติดตามอ่านบทความของลุงนั้นเป็นชายราว 60% และเป็นหญิง 40% โดยมีกลุ่มอายุกระจายกันไป เรียกว่าแฟนคลับของลุงแมวน้ำมีทุกเพศทุกวัย ก็แน่ละ ขวัญใจมหาชนก็ต้องแบบนี้ ^_^<br />
<br />
แต่ที่น่าสังเกตคือกลุ่มอายุ 45 ปีขึ้นไปนั้นมีราว 15%-20% ของแฟนคลับทั้งหมดทีเดียว รุ่นบูมเมอร์กับเจนเอ็กซ์มีพอสมควร และที่น่าสังเกตอีกเรื่องก็คือ นี่ขนาดลุงชอบเล่าเรื่องเก่าๆแก่ๆก็ยังมีแฟนคลับหนุ่มสาวอ่านอยู่ไม่น้อย แสดงว่าหนุ่มๆสาวๆก็ยังไม่เบื่อลุงกัน (มั้ง) นี่แหละที่เป็นกำลังใจให้ลุงเขียนอะไรต่ออะไรออกมาเรื่อยๆ<br />
<br />
แนวทางการเขียนของลุงแมวน้ำนั้นเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ธีมการเขียนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าในแต่ละปีมีเรื่องใดที่น่าสนใจ ปรับปรุงรูปโฉมเว็บบล็อกมาก็หลายครั้งเพื่อไม่ให้จำเจ การตกแต่งบ้าน (เว็บบล็อก) ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็เพิ่งทำไปเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้คงยังใช้เช่นนี้อยู่เพราะดูไปแล้วก็ยังดีอยู่<br />
<br />
ส่วนธีมการลงทุนที่ลุงยึดเมื่อปีที่แล้วเป็นแนวทางการลงทุนแบบองค์รวม คือชีวิตกับการลงทุนเป็นเรื่องเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่ได้มีแต่เพียงเรื่องราวเกี่ยวกับการลงทุนเท่านั้น แต่ลุงแมวน้ำยังเขียนเรื่องราวอื่นๆที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิต การมองชีวิต ในทัศนะของลุงแมวน้ำให้อ่านกันด้วย<br />
<br />
ด้านการลงทุนนั้นลุงแมวน้ำจับประเด็นที่หุ้น กองทุนรวม กับอีทีเอฟ โดยเน้นที่หุ้นมากหน่อย รวมทั้งยังใช้ธีมโกอินเตอร์ คือพาพวกเราออกไปดูลงทุนในต่างประเทศด้วย แต่ก็ยังเขียนเรื่องการลงทุนต่างประเทศไม่มากนัก<br />
<br />
นั่นก็เป็นเรื่องราวที่ผ่านมาและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น<br />
<br />
สำหรับก้าวต่อไปในปีที่ 7 นี้ถือเป็นการพลิกโฉมของบล็อกลุงแมวน้ำอีกครั้งหนึ่ง เพราะแนวโน้มการลงทุนในโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากและรวดเร็ว... การเปลี่ยนแปลงนั้นมากมายและรวดเร็วจนลุงแมวน้ำเองก็นึกไม่ถึง จะมีอะไรใหม่ๆมาให้อ่านและลงทุนกันบ้าง เรามาดูกัน<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ธีมปีที่ 7 ทะยานสู่พรมแดนใหม่</span></h2>
<br />
ธีมการลงทุนในปีที่ 7 นี้ลุงแมวน้ำใช้หัวข้อว่า<span style="color: red;"> <b>"ทะยานสู่พรมแดนใหม่"</b></span> หรือ <b><span style="color: red;">Toward a New Frontier</span></b> ซึ่งที่จริงลุงแมวน้ำก็เริ่มเขียนมาบ้างแล้ว โดยเริ่มเขียนบทความในชุดนี้ตั้งแต่เมื่อต้นปี 2015 เนื่องจากวิถีชีวิตในยุคเทคโนโลยีก้าวกระโดดนี้เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก รวมทั้งสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากเช่นเดียวกัน ประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วซึ่งมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ มีการแก้ปัญหาแบบนอกตำราเศรษฐศาสตร์ด้วยนำเงินในอนาคตมาใช้ในปัจจุบันอย่างมากมายในรูปแบบที่เราเรียกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน<br />
<br />
เดิมทีมีชาติที่ทำคิวอีเป็นล่ำเป็นสันอยู่ชาติเดียวคือสหรัฐอเมริกา แต่ต่อมาญี่ปุ่นและเขตเศรษฐกิจยูโรโซนก็ทำบ้าง ทำให้เงินตราที่ล้นโลกอยู่แล้วล้นมากยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดโอกาสและความเสี่ยงในรูปแบบใหม่ที่ในอดีตไม่เคยเผชิญมาก่อน <span style="color: red;"><b>ดังนั้นอนาคตนับจากนี้จึงยากคาดเดา เปรียบเสมือนกับว่าเราก้าวเข้าสู่พรมแดนใหม่ สู่ขอบเขตที่เราไม่เคยไปถึงมาก่อน มันอาจเป็นน่านน้ำอันอุดมสมบูรณ์ แต่ก็อาจแฝงภยันตรายที่เราไม่เคยเผชิญมาก่อน...</b></span> ดังนั้น ลุงแมวน้ำจึงนำธีมนี้มานำเสนอ พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันในปีที่ 7 นี้<br />
<br />
และปีนี้ลุงจะคุยเรื่องการลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้น เนื่องจากโลกในยุคปัจจุบันเชื่อมโยงถึงกันใกล้ชิดเข้าไปทุกที เราคงไม่สามารถปิดตัวเองอยู่แต่การลงทุนในท้องถิ่นได้ รวมทั้งในภาคเศรษฐกิจจริงก็เช่นเดียวกัน โลกทุกวันนี้แทบจะไร้พรมแดนอยู่แล้ว สินค้า เงินทุน แรงงาน เคลื่อนย้ายไปได้โดยสะดวก การแข่งขันในรูปแบบใหม่ๆเกิดขึ้น ด้วยกฎกติกาของโลกยุคใหม่ทำให้ธุรกิจท้องถิ่นต้องแข่งขันกับธุรกิจข้ามชาติด้วย ไม่ว่าเราจะอยากแข่งหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าเราจะพร้อมแข่งหรือไม่ก็ตาม นี่เป็นเรื่องที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้<br />
<br />
ลุงแมวน้ำได้นำเสนอบทความในชุด <span style="color: blue;"><b>ทะยานสู่พรมแดนใหม่ </b></span>ไปบ้างแล้ว หลายคนอาจสังเกตพบว่าบทความชุดนี้พลิกโฉมไปจากเดิมมาก ทั้งแนวคิดและวิธีการ มีการนำแนวคิดทางด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาผสมกับปัจจัยพื้นฐาน (เช่นในเรื่องหุ้นพีอีสูง หุ้นพีอีต่ำ) มีการเชื่อมโยงแนวคิดจากกฎธรรมชาติมาสู่แนวคิดในการลงทุน (เช่น เรื่องวัฏจักรชีวิตและวัฏจักรเศรษฐกิจ หมู่เกาะกาลาปาโกสกับทฤษฎีวิวัฒนาการ) เพราะโลกในยุคใหม่ไม่เหมือนเดิม ดังนั้นเราอาจใช้วิธีคิดแบบเดิมไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องมีมุมมองใหม่ๆบ้าง<br />
<br />
<span style="color: #990000;">ในวันถัดไป เรามาคุยกันต่อ ลุงแมวน้ำจะอัปเดตการลงทุนของลุงแมวน้ำในรอบปีที่ผ่านมาให้ฟัง ทั้งการลงทุนในไทยและการลงทุนในต่างประเทศ ลุงตระเวนลงทุนในหลายประเทศแต่ยังไม่เคยเล่า กับโครงการทำธุรกิจเพื่อสังคม กองทุนสงเคราะห์ชีวิตที่ด้อยโอกาสของลุงแมวน้ำคร้าบ</span><br />
<br />
<br />ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-66340080423126335802015-04-12T15:55:00.001+07:002015-04-12T15:55:19.540+07:00ตลาดกระทิงกำลังมา (2)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ (ทองคำ น้ำมันดิบ สินค้าเกษตร) ฟื้นตัว</span></h2>
<br />
วันนี้ลุงแมวน้ำเกี่ยวกับสัญญาณบางประการในกคลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ มีภาพมาฝากหลายภาพเช่นเคย เรามาดูกันทีละภาพ<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1JvzzYTqXPAE4l2O9La_r_Q33AQ-uGy4KofdRkQJbCjfxqbwzDXqcVIwVOjBUbP412Jx6QkDcNfSGC_Rw8fml_f4NGfyavp0op8PvqB6trpSOCtwka7wmIinfM71Kn2_28peRZOMhI87v/s1600/snap7058.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1JvzzYTqXPAE4l2O9La_r_Q33AQ-uGy4KofdRkQJbCjfxqbwzDXqcVIwVOjBUbP412Jx6QkDcNfSGC_Rw8fml_f4NGfyavp0op8PvqB6trpSOCtwka7wmIinfM71Kn2_28peRZOMhI87v/s1600/snap7058.jpg" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
ภาพแรก กราฟอีทีเอฟน้ำมัน (กราฟ DBO) กราฟนี้เป็นตัวแทนราคาน้ำมันดิบ ปกติลุงมักแสดงราคาน้ำมันดิบด้วยกราฟฟิวเจอร์สน้ำมันไนเม็กซ์ตลาดนิวยอร์ก แต่วันนี้นำกราฟ DBO อันเป็นอีทีเอฟมาให้ดูแทนเนื่องจากต้องการให้สังเกตปริมาณซื้อขาย ดูกราฟนี้จะเห็นได้ชัดดี<br />
<br />
จากกราฟ DBO เราจะเห็นว่าเมื่อน้ำมันดิบ WTI ร่วงมาอยู่ที่ 44 ดอล ในวันที่ 18 มีนาคม 2115 ราคาอีทีเอฟร่วงลงมาและเกิดแรงรับซื้อในปริมาณมาก ดูแท่งปริมาณซื้อขายจะเห้นว่าแรงซื้อโดดเด่น (volume spike) ขึ้นมา และหลังจากนั้นราคาก็ไม่ลงต่อ ทำให้เกิดเป็นรูปแบบท้องคลื่นคู่ (bouble bottom) สองกรณีนี้ประกอบกันบ่งชี้ว่าแนวรับทางจิตวิทยาที่ระดับนี้แข็งแรงมาก หากไม่มีเหตุการณ์พิเศษอื่นๆ ก็คาดว่าตรงนี้อาจเป็นจุดกลับแนวโน้มขาขึ้น<br />
<br />
หากราคาน้ำมันดิบกลับเป็นขาขึ้นจริง WTI อาจไปได้ถึง 60-70 ดอลลาร์จากโมเมนตัมของแรงเก็งกำไร น่าจะทำให้ช่วงครึ่งหลังของปีมีอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี จะเป็นกลุ่มที่ดันดัชนี และแน่นอน ป้าเจนคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟดกลางปีนี้หรือปลายปี แต่ลุงคิดว่าขึ้นก็ดี ไม่ขึ้นก็ได้ ไม่ค่อยมีผลอะไรแล้ว<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3S98KFmeUQ8nC9jqzbv0MqINrp8JDXetcj79vktWAHgfy5QZU8-Pv5K7fYtMnxyrVd2G3K2tE4vV0u9ypDMW8X38XPwEzCX8JsH4WSZjknpaC7pT9Y27LJX143H5pGTNw-cjXESVIPy2J/s1600/snap7056.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3S98KFmeUQ8nC9jqzbv0MqINrp8JDXetcj79vktWAHgfy5QZU8-Pv5K7fYtMnxyrVd2G3K2tE4vV0u9ypDMW8X38XPwEzCX8JsH4WSZjknpaC7pT9Y27LJX143H5pGTNw-cjXESVIPy2J/s1600/snap7056.jpg" /></a></div>
<br />
ต่อมาดูที่กราฟ DBA อันเป็นอีทีเอฟสินค้าเกษตร จะเห็นว่าในวันที่ 18 มีนาคม วันเดียวกับที่น้ำมันดิบเด้ง ราคาอีทีเอฟสินค้าเกษตรก็เด้ง และมีปริมาณซื้อขายพุ่งพรวด (volume spike) ทำนองเดียวกับน้ำมันดิบ แสดงว่าระดับราคาแถวนี้เป็นแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญมาก และเป็นไปได้ว่าราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกจะฟื้นตัวขึ้นและกลับเป็นแนวโน้มขาขึ้นแล้ว<br />
<br />
หากสินค้าเกษตรในตลาดโลกขึ้น (ส่วนใหญ่เป็นพวกถั่วเหลือง ข้าวโพด ข้าวสาลี โกโก้ กาแฟ น้ำตาล ฝ้าย ฯลฯ) โมเมนตัมนี้มาจากราคาน้ำมันดิบ ก็จะช่วยให้ราคาพืชผลเกษตรโดยรวมดีขึ้น ราคายางพารา น้ำมันปาล์ม น่าจะดีขึ้น จะดีมากหรือน้อยก็ตาม แต่น่าจะทำให้เกษตรกรไทยหายใจได้คล่องขึ้น ยกเว้นข้าว ลุงไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะแข่งขันราคากันหนัก >.<<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhB1Ks6lxRho8ZSKAnyHnXm-yZkg7aSjT5NJ5g12DIxHyE5mnX0OODXDmSkpn_ea29A6aZQL2UXXNHKXD6c2yL5amJDgaW_BpqIa2VilxwiXCzmXGPY-HbkPS8HHtNohLxzDRE203qyYUxn/s1600/snap7057.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhB1Ks6lxRho8ZSKAnyHnXm-yZkg7aSjT5NJ5g12DIxHyE5mnX0OODXDmSkpn_ea29A6aZQL2UXXNHKXD6c2yL5amJDgaW_BpqIa2VilxwiXCzmXGPY-HbkPS8HHtNohLxzDRE203qyYUxn/s1600/snap7057.jpg" /></a></div>
<br />
ทีนี้ก็มาดูราคาทองคำ ดูกราฟ GC ผลจากดอลลาร์ สรอ อ่อนค่าทำให้ราคาทองคำขึ้น แต่เท่าที่ลุงสังเกต ราคาทองคำปรับตัวแรงกว่าการอ่อนค่าของดอลลาร์ แปลว่ามีแรงเก็งกำไรเข้ามาในทองคำค่อนข้างเยอะ<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>ประกอบกับตอนนี้เงินคิวอีล้นโลก เงินดอลลาร์ สรอ ที่ทำคิวอียังไม่ได้เก็บกลับ ยังหมุนเวียนอยู่ในตลาด เงินคิวอีญี่ปุ่นกับยูโรไหลเพิ่มเข้ามาในตลาด แต่ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เก็งกำไรได้จำกัดแล้ว ดังนั้น แรงเก็งกำไรส่วนหนึ่งจึงย้ายมาในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เพราะตกต่ำมาหลายปีแล้ว อาจเป็นการเก็งกำไรในช่วงเพียงไม่กี่เดือน แต่การขึ้นก็มีกรอบการขึ้นที่จำกัด เช่น น้ำมันดิบคงไม่เกิน 70 ดอล ทองคำคงไม่เกิน 1340 ดอล แต่เงินไม่มีที่ไปน่ะ ดังนั้นตลาดไหนพอมีช่องทางให้เก็งกำไรได้เงินก็จะไหลไป</b></span><br />
<br />
ดังนั้นลุงแมวน้ำมองว่าตลาดกระทิงน่าจะมาแล้ว เร็วกว่าที่คิดสองสามเดือน กระจายไปทั้งตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่เอเชียกับสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดหุ้นไทยและเศรษฐกิจไทยจะได้อานิสงส์ไปด้วย ส่วนตลาดหุ้นอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น คงขึ้นได้นิดหน่อย ไม่แรงเท่าเอเชีย ติดแนวต้านบ้างอะไรบ้างก็ย่อตัวลงไปแล้วขึ้นต่อ<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ดัชนีเซ็ต SET Index อาจเห็น 1700 จุดในปี 2015</span></h2>
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTkxUZSUEwpl8ZWEFQhMFH4lOEmr_njeY2N2tHqQRgdHeOVKM4HaD2Naep0qF8P_haRyvbpcM1MEtZlD0T3Wsn7lP5B-I_R_Df32Hv8QQekdSAjZ2TPuGxVCX4s76c-zHg3dpHLsh59CO-/s1600/snap7059.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTkxUZSUEwpl8ZWEFQhMFH4lOEmr_njeY2N2tHqQRgdHeOVKM4HaD2Naep0qF8P_haRyvbpcM1MEtZlD0T3Wsn7lP5B-I_R_Df32Hv8QQekdSAjZ2TPuGxVCX4s76c-zHg3dpHLsh59CO-/s1600/snap7059.jpg" /></a></div>
<br />
<span style="color: red;"><b>สำหรับตลาดหุ้นไทย ดูกราฟ SET หากเป็นไปตามสมมติฐานข้างบนนี้ ดัชนีคงไปที่ 1700 จุดได้ในปีนี้ แต่ลุงแมวน้ำไม่ได้มองแค่นั้น ลุงแมวน้ำตีตั๋วนั่งรถไฟสาย 2000 อยู่ ยังไม่เปลี่ยน ภายในสองสามปีคงเห็น ^_^</b></span><br />
<br />
ลองติดตามดูกันนะคร้าบ อีกไม่นานสภาพความจริงจะยืนยันลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-1407192790476814352015-04-12T15:46:00.000+07:002015-04-12T15:46:23.465+07:00ตลาดกระทิงกำลังมา (1)<br />
เมื่อวานวันจันทร์ 6 เมษายน เป็นวันที่ตลาดหุ้นทั่วโลกอลเวงอีกวันหนึ่ง<br />
<br />
เรื่องก็คือเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเป็นวันศุกร์ประเสริฐ Good Friday ของทางคริสต์ศาสนา อันเป็นวันที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน และหลังจากนั้นในวันที่สามคือวันอาทิตย์ก็เป็นวันฟื้นคืนพระชนม์ ซึ่งก็คือวันอีสเตอร์ที่มีไข่หลากสีสดสวยนั่นเอง<br />
<br />
วันศุกร์ประเสริฐเป็นวันหยุด ตลาดทำการนิดเดียวและปิดก่อนเวลาปกติ แต่ที่สำคัญก็คือมีการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของอเมริกาด้วย ซึ่งตัวเลขที่ออกมานั้นไม่ค่อยดีนัก คือการจ้างงานใหม่ลดลง แต่ตลาดตอบสนองไม่ทันเนื่องจากวันศกร์ปิดเร็ว ก็มาป่วนเอาในวันจันทร์ ค่าเงินดอลลาร์ สรอ ดิ่งแรง เพราะนักลงทุนเก็งกันว่าเฟดคงยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย ขณะเดียวกันตลาดหุ้นอเมริกาก็ดิ่งด้วย นี่ก็แปลก เนื่องจากปกติหากเงินดอลลาร์อ่อน ตลาดหุ้นอเมริกาจะขึ้น<br />
<br />
จากนั้นตลาดหุ้นอเมริกาคงตั้งหลักได้แล้ว ว่าเงินดอลลาร์่อ่อนตลาดควรขึ้น ตลาดหุ้นจึงกลับมาเขียวขจี ^_^<br />
<br />
เท่านั้นไม่พอ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ก็ให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเลขการจ้างงานที่ดูไม่ค่อยดีนั้นต้องไปดูในรายละเอียดก่อนว่าตัวเลขนั้นที่มาเป็นอย่างไร อาจไม่มีนัยสำคัญก็ได้ คือเป็นภาวการณ์ชั่วคราว ไม่ได้หมายความว่าตลาดแรงงานอ่อนแอ (แปลว่าเรื่องกำหนดการขึ้นดอกเบี้ยเฟดอาจไม่เปลี่ยนก็ได้) เท่านั้นเองเงินดอลลาร์ก็แข็งค่าทันใด<br />
<br />
นี่เล่าให้ฟังสนุกๆ ว่าตลาดหุ้นกับตลาดเงินตรา รวมทั้งทองคำ อลเวงเพียงใด หากติดตามตลาดระยะสั้นเวียนหัวแย่ จับทางไม่ถูก ดังนั้นเราต้องจับหลักให้มั่น มองด้วยสายตาที่ยาวไกลออกไป<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">สัญญาณที่ขัดแย้ง หากเงินกำลังไหลกลับสหรัฐอเมริกา ทำไมตลาดหุ้นอเมริกาจึงยังไม่ขึ้น</span></h2>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjwWZAwbEnf2MdHXcZP5LVbm12yDCjbryxw3lhJ827baAsGc9h3yM7khIJlwz13Aw52_G6B-3TDXdrO5mztAV14qK5rITj0tXGX1wvNGp2oadP8laJrDsXtinp-ATZTUv-oQCrqyyhKeWV4/s1600/snap7048.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjwWZAwbEnf2MdHXcZP5LVbm12yDCjbryxw3lhJ827baAsGc9h3yM7khIJlwz13Aw52_G6B-3TDXdrO5mztAV14qK5rITj0tXGX1wvNGp2oadP8laJrDsXtinp-ATZTUv-oQCrqyyhKeWV4/s1600/snap7048.jpg" /></a></div>
<br />
เรามาดูภาพนี้กัน GSPC ภาพนี้เป็นดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นอเมริกา ลุงแมวน้ำอยากให้สังเกตว่าตั้งแต่ต้นปี 2015 ตลาดอเมริกาเป็นตลาดไร้ทิศทาง เกิดกรอบสามเหลี่ยมชายธง 2 ครั้ง และตอนนี้ก็กำลังเดินอยู่ในปลายสามเหลี่ยมชายธง ตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ ตลาดหุ้นอเมริกาเปลี่ยนแปลงไปเพียง +0.39%<br />
<br />
คำถามของลุงแมวน้ำก็คือ ก็ในเมื่อเฟดกำลังจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็เขาว่ากันว่าเงินทั่วโลกจะไหลกลับอเมริกา ถ้าเงินไหลกลับก็ต้องไปเข้าตลาดหุ้นบ้าง แต่ทำไมตลาดไม่ขึ้น<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjU19cMZw1DYM_iY0bYWjmgIczF-SUrjCa4xqb931icEDZK0lrrMidzmnAagU8ComDLHjf15lANwArChIbX5eSTLDWlP3_MGWn9OWGA9altUfNWrDeMrHLGbK7b-am_UG-5MfsDlwkGuU2_/s1600/snap7053.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjU19cMZw1DYM_iY0bYWjmgIczF-SUrjCa4xqb931icEDZK0lrrMidzmnAagU8ComDLHjf15lANwArChIbX5eSTLDWlP3_MGWn9OWGA9altUfNWrDeMrHLGbK7b-am_UG-5MfsDlwkGuU2_/s1600/snap7053.jpg" /></a></div>
<br />
<br />
เอาละ มาดูภาพต่อมากัน ภาพ DX อันเป็นภาพค่าเงินดอลลาร์ สรอ จะเห็นว่าในช่วงเดือนมีนาคม ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวเป็นแนวโน้มขาลง คำถามก็คือ ยิ่งใกล้เวลาที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย เงินไหลกลับเข้าประเทศ แต่ทำไมค่าเงินกลับอ่อนตัวลง<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSg8x3FxwCT2ovVu-eYP6do91GuEWKC2vogcAe3Bur2K4hrxnUMqUixWmZDMkj-3sI5fpJ89uGvxhjXSbE9CHuX9i1R0WwQMIL-97AtHaMWHqHnsTUspigLRtrXuSlwxePqjwss_hhyphenhyphendGK/s1600/snap7047.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSg8x3FxwCT2ovVu-eYP6do91GuEWKC2vogcAe3Bur2K4hrxnUMqUixWmZDMkj-3sI5fpJ89uGvxhjXSbE9CHuX9i1R0WwQMIL-97AtHaMWHqHnsTUspigLRtrXuSlwxePqjwss_hhyphenhyphendGK/s1600/snap7047.jpg" /></a></div>
<br />
ทีนี้มาดูภาพต่อมาอีกภาพหนึ่ง กราฟ TNX ภาพนี้เป็นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี US 10 year government bond yield เดือนมีนาคมบอนด์ยีลด์เป็นขาลง แปลว่ามีแรงซื้อเข้ามาในตลาดพันธบัตร (ตลาดพันธบัตรเป็นตลาดกระทิงนั่นเอง) คำถามก็คือ เมื่อเฟดใกล้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ตลาดพันธบัตรควรเกิดแรงขาย และบอนด์ยีลด์ควรปรับตัวสูงขึ้น แต่ทำไมตลาดมีแรงซื้อ<br />
<br />
ทั้งตลาดหุ้น ค่าเงิน และตลาดพันธบัตรอเมริกา นี่คือสัญญาณจากตลาดที่แย้งกับการขึ้นดอกเบี้ยของป้าเจน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ???<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">เมื่อเงินไหลออกจากเอเชีย ทำไมตลาดหุ้นเกิดใหม่ของเอเชียจึงขึ้น</span></h2>
<br />
เอาละ ทีนี้มาดูภาพใหญ่ภาพนี้กัน<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDlQVIXDM0iRdSziSLUJUZE3I8ZurjZNf-fUFPiMCa7K46yB-nKqSnVxovUOdpGr9yQmhZRoI836HvXFfOA2xjqIl558yfC4AmabKexMVYxU8lmEqIFDVQjEEwEw9ru3MIlydiGLXgMBQI/s1600/us+and+asian+markets.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDlQVIXDM0iRdSziSLUJUZE3I8ZurjZNf-fUFPiMCa7K46yB-nKqSnVxovUOdpGr9yQmhZRoI836HvXFfOA2xjqIl558yfC4AmabKexMVYxU8lmEqIFDVQjEEwEw9ru3MIlydiGLXgMBQI/s1600/us+and+asian+markets.jpg" height="441" width="640" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
ภาพนี้เปรียบเทียบตลาดหุ้นหลายตลาด โดยเทียบตั้งแต่ปีใหม่มาจนปัจจุบัน จะเห็นว่าตลาดอเมริกาทรงตัว แทบไม่ไปไหน +0.39% ส่วนไทย อินโด อินเดีย เกาะกลุ่มกัน บวกไปราวๆ 3% ถึง 6% ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เกาะกลุ่มกัน บวกไปราว 11% ถึง 12%<br />
ส่วนจีนกับเยอรมนีบวกไปราว 20%<br />
<br />
แต่ลองสังเกตดูดีๆจะเห็นว่าตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมเป็นต้นมา ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกับเยอรมนีชะงักไปเลย ขณะเดียวกันตลาดหุ้นฝั่งเอเชียเริ่มก่อแนวโน้มขาขึ้น (ยกเว้นจีนที่ขึ้นโลดมาเป็นเดือนแล้ว)<br />
<br />
อธิบายได้ว่าค่าเงินดอลลาร์ สรอ เป็นเหตุ เดิมทีค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ทำให้เงินยูโรกับเยนอ่อนลง (หรือจะพูดว่ายูโรกับญี่ปุ่นปั๊มเงินคิวอีออกมาทำให้เงินยูโรกับเยนอ่อน และดอลลาร์แข็ง จะพูดยังงั้นก็ได้) เศรษฐกิจญี่ปุ่นกับยุโรปดีขึ้นเพราะส่งออกได้ดี ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เยอรมนี จึงขึ้น<br />
<br />
แต่เมื่อดอลลาร์แข็งค่าเกินไป กลับเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจอเมริกา ตลาดหุ้นเซเนื่องจากเงินแข็งทำให้แนวโน้มผลประกอบการลดลง เมื่อตลาดหุ้นไม่ไป เงินก็ไม่รู้จะไปไหน ก็ออกจากอเมริกาไปหาผลตอบแทนที่อื่น ทำให้เงินดอลอ่อนตัวลงบ้าง เมื่อเงินดอลอ่อนตัวลง เงินเยน ยูโรก็แข็งค่าขึ้น เป็นผลเสียต่อตลาดหุ้นทั้งสอง ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกับยุโรปจึงไปต่อได้ยาก ตรงนี้แหละที่ตลาดใหญ่ต่างๆกำลังหาจุดสมดุลอยู่ ซึ่งเราคุยกันไปแล้วในเรื่อง dynamic equilibrium หรือดุลยภาพแบบพลวัตร<br />
<br />
สรุปว่าเงินดอล ยูโร เยน และตลาดหุ้นทั้งสามกำลังหาดุลยภาพอยู่ ถามว่าถ้าอย่างนั้นเงินจะไปไหนดี เรามาดูภาพนี้กัน<br />
<br />
<br />
<h2>
<span style="color: blue; font-size: x-large;">ตลาดกระทิงกำลังเยือนเอเชีย</span></h2>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO7M_qHhd8qdQsxBOXs1w1fWEq0fHuIxiiFgPdf2KoURXEDl2VKUNJ3GmTfd7MrhW6leaQSmlB22-m1lK6Q2w2U5I2xv1SeTfIH7aXMR8py9aF10TThQcALuMPUDz7j1qUAfG_-0kywYhO/s1600/2015+US+EURO+GDP.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO7M_qHhd8qdQsxBOXs1w1fWEq0fHuIxiiFgPdf2KoURXEDl2VKUNJ3GmTfd7MrhW6leaQSmlB22-m1lK6Q2w2U5I2xv1SeTfIH7aXMR8py9aF10TThQcALuMPUDz7j1qUAfG_-0kywYhO/s1600/2015+US+EURO+GDP.jpg" /></a></div>
<br />
ภาพแผนที่โลกนี้เป็นคาดการณ์ของไอเอมเอฟเมื่อมกราคม 2015 คาดการณ์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ จะเห็นว่าตลาดเกิดใหม่เอเชียโดดเด่นที่สุด เงินไม่มาแถวนี้แล้วจะไปที่ไหน อีกทั้งย่านนี้ค่อนข้างร่มเย็นด้วย ไม่ค่อยมีไฟสงครามหรือการก่อการร้าย<br />
<br />
และนี่เองที่ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ตลาดหุ้นแถวๆนี้ค่อยๆก่อแนวโน้มขาขึ้น ตอนนี้ลุงว่าต้องมองเลยเหตุการณ์เฟดขึ้นดอกเบี้ยไปดีกว่า ขึ้นก็ดี ไม่ขึ้นก็ได้ ยังไงเงินก็ต้องมาแถวนี้เนื่องจากเศรษฐกิจโดดเด่นกว่า<br />
<br />
ลุงแมวน้ำคาดว่าจากนี้ไป ตลาดหุ้นแถวบ้านเราจะเป็นแนวโน้มขาขึ้น มาเร็วกว่าที่คิด เดิมว่าจะมาไตรมาสสาม ลุงขอแจงเป็นข้อดังนี้<br />
<br />
1. ตลาดหุ้นกับอเมริกาคงแกว่งในกรอบ เป็นไหนไม่ได้มาก เงินนอกเข้าไปแสวงหากำไรจากอเมริกายากแล้วเนื่องจากเหตุผลข้างต้น<br />
<br />
2. เงินคิวอียูโรน่าจะเกิดจุดต่ำสุดไปแล้ว ต่อไปจะแกว่งในกรอบ เงินยูโรเข้าตลาดหุ้นเยอรมนีบางส่วน เข้าอเมริกาซื้อพันธบัตรบางส่วน เข้าเอเชียบางส่วน ซื้อทั้งหุ้นและพันธบัตร กระจายกันไป<br />
<br />
3. เงินเยนคิวอีญี่ปุ่น น่าจะเกิดจุดต่ำสุดไปแล้ว ต่อไปจะแกว่งในกรอบ เงินเยนเข้าตลาดหุ้นญี่ปุ่นบางส่วน เข้าอเมริกาซื้อพันธบัตรบางส่วน เข้าเอเชียบางส่วน ซื้อทั้งหุ้นและพันธบัตร กระจายกันไป<br />
<br />
4. ตลาดหุ้นในย่านนี้ไปต่อได้ รวมทั้งไทย เงินบาทน่าจะแข็งค่าได้อีกหน่อย<br />
<br />
5. ที่สำคัญ เงินต้นทุนต่ำทั้งดอล ยูโร เยน น่าจะไหลเข้าไปเก็งกำไรในตลาดโภคภัณฑ์ สังเกตจากรูปแบบกราฟของทองคำและน้ำมันดิบที่เคลื่อนไหวค่อนข้างแรง<br />
<br />
6. เงินดอลลาร์จะอ่อนตัวลงได้อีกนิดหน่อย แต่คงไม่หลุด 90 จุด (USD index น่าจะอยู่ในกรอบ 90-104 จุด) ทองคำคงไปต่อได้แต่ไม่น่าเกิน 1340 ดอล<br />
<br />
7. น้ำมันดิบน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรจะเป็นกลุ่มดันดัชนีในตอนต้นของตลาดขาขึ้นลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-2850909925963148495.post-87084251742450190602015-03-25T11:11:00.001+07:002015-03-25T11:11:48.791+07:00ธปท ปรับลดคาดการณ์จีดีพี หุ้นในตลาด SET น่าสนใจกว่า MAI<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgg_238oXmKSXzJ9sZf6-h3y2NnEomlf9hMSiBZa8xgUiTXheh2p9xy1DnlBWpOALq7IoldT_cqEd6yEHKLIxKSJfKL75GlYlylfw4L0ikLOQ9fNrQCfOicNT9vPoEAAd6aqAMJGtyzBNe0/s1600/east+asia+growth+map.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgg_238oXmKSXzJ9sZf6-h3y2NnEomlf9hMSiBZa8xgUiTXheh2p9xy1DnlBWpOALq7IoldT_cqEd6yEHKLIxKSJfKL75GlYlylfw4L0ikLOQ9fNrQCfOicNT9vPoEAAd6aqAMJGtyzBNe0/s1600/east+asia+growth+map.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #990000; font-size: small;">คาดการณ์การเติบโตจีดีพีเป็นร้อยละ (%) ในปี 2015, 2016 ของบางประเทศในย่านเอเชียตะวันออก ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ไอเอมเอฟ (IMF) ปรับปรังล่าสุดเมื่อ มกราคม 2015</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<br />
เมื่อไม่กี่วันมานี้ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์จีดีพีปี 2015 อยู่ที่ 3.8% เป็นตัวเลขใหม่ที่ปรับลดคาดการณ์ลงมา ในขณะเดียวกันศูนย์วิจัยธนาคารกสิกรไทยก็คาดการณ์การเติบโตของไทยปี 2015 ไว้ที่ 2.8% โห ยิ่งต่ำลงมาอีก สาเหตุก็เพราะงบลงทุนไหลออกมาช้า ส่งออกไม่ค่อยดี ราคาผลผลิตทางเกษตรตกต่ำ ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจลดลง หนี่ครัวเรือนสูง บลา บลา บลา ก็ถือว่าตัวเลขที่ประเมินใหม่นี้สะท้อนภาพเศรษฐกิจในเชิงบวกน้อยลง<br />
<br />
วันนี้ขอลุงคุยในภาคเศรษฐกิจจริงบ้าง จากที่ลุงแมวน้ำสังเกตมาในงานบ้านและคอนโด งานท่องเที่ยว พบว่าคนเดินบางตาลง เวลาลุงแมวน้ำเดินทางไปที่ไหนมักชอบสอบถามชาวบ้านร้านค้าต่างๆ ก็พบว่ายอดขายลดลง แท้กซี่ก็มีผู้โดยสารลดลง (แต่ลุงก็แอบสงสัยว่าผู้โดยสารน้อยไหงเลือกรับผู้โดยสารจัง >.<) นี่ก็กำลังจะมีงานหนังสือที่ศูนย์สิริกิตติ์อีกแล้ว ในวันพรุ่งนี้ ลุงก็จะลองไปสังเกตการค้าขายในงานดูอีกสักงาน แต่อีกภาพหนึ่ง หากเดินไปในห้าง ลุงแมวน้ำก็จะพบว่าร้านอาหารหรูบางร้านก็ยังมีคนต่อคิวยาว ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากผู้ที่มีกำลังซื้อก็ยังมีอยู่<br />
<br />
ปัญหาหลักเกิดจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาต้องดำเนินไปทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น หากปวดหัวมาก ทำงานไม่ได้ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือกินยาแก้ปวดไปก่อน แต่นั่นก็แค่หายปวดชั่วคราว ไม่ได้แก้ที่ต้นตอของปัญหา หากจะแก้ที่ต้นตอก็เป็นเรื่องยาว ต้องไปตรวจรักษากันอีกยาว<br />
<br />
ฉันใดก็ฉันนั้น ปัญหาเศรษฐกิจของไทยตอนนี้สะสมทั้งเรื่องเฉพาะหน้าและปัญหาเชิงโครงสร้าง ปัญหาเชิงโครงสร้างก็ต้องแก้กันยาว แต่อาการเฉพาะหน้าคือรายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง สายป่านหมด ก็จำเป็นต้องเร่งบรรเทา ใครมาบริหารก็คงหนักใจเพราะต้องดูแลทั้งปัญหาเฉพาะหน้าและปัญหาระยะยาว อย่างเรื่องส่งไม่ออกนี้ส่วนใหญ่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เนื่องจากอุตสาหกรรมของเราเสียศักยภาพในการแข่งขันไปมาก ยกเว้นอุตสาหกรรมอาหารที่ยังพอได้อยู่ หากไม่แก้ที่โครงสร้างแม้จะลดค่าเงินบาทก็ยากที่จะเร่งยอดขายให้เติบโตต่อไปได้<br />
<br />
และที่สำคัญมากก็คือเรื่องการศึกษา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ บ้านเรายิ่งนานการศึกษาก็ยิ่งแย่ ซึ่งการแก้ปัญหาก็ไม่ใช่ง่ายๆ<br />
<br />
วันนี้ลุงแมวน้ำเอาภาพคาดการณ์การเติบโตในปี 2015 และ 2016 ของไอเอมเอฟที่อัปเดตล่าสุด มกราคม 2015 มาให้ดูกัน ตอนนั้นของไทยยังถูกคาดการณ์ไว้ที่ 4 กว่าๆ แต่อีกไม่นานไอเอ็มเอฟอาจปรับลดลง แต่ประเทศเพื่อนบ้านเราการเติบโตสวยงามทั้งนั้น นี่แหละที่ลุงแมวน้ำบอกว่าประเทศในย่านนี้น่าสนใจกว่ายุโรปและอเมริกา ที่จริงไทยเราสามารถอาศัยโมเมนตัมของการเติบโตในภูมิภาคนี้เติบโตเกาะไปด้วยได้ นั่นคือ ทำตัวเป็นหน้าด่านของ CLM นั่นคือ เป็นหน้าด่านหรือประตูสู่พม่า ลาว และกัมพูชา เพราะโดยชัยภูมิแล้วเราอยู่ในตำแหน่งที่ดี ทำตัวเป็นขาใหญ่ในกลุ่ม TCLM ได้ และหากขยายการค้าให้ไกลออกไปอีก ก็เชื่อมไปได้ถึงอินเดีย จีนตอนใต้ และจีนตะวันตก เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และหากขายไปอีกก็ไปถึงบังคลาเทศ ปากีสถาน ศรีลังกา พวกนี้อัตราเติบโตสูงทั้งนั้น<br />
<br />
เอาละ ทีนี้มาพูดถึงการลงทุนกันบ้าง บริษัทในตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าบริษัททั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้น หากบริษัททั่วไปบ่นว่าส่งไม่ออก แต่บริษัทในตลาดหุ้นที่ส่งออกไม่กระทบก็มี เนื่องจากโมเดลธุรกิจอาศัยโมเมนตัมของการเติบโตของเพื่อนบ้านและโตไปด้วย ที่จริงแล้วก็ยังมีบริษัทที่มีการเติบโตที่ดีให้เลือกลงทุน เสียแต่ว่าหลายตัวก็แพงแล้ว<br />
<br />
จังหวะที่ตลาดปรับตัวนี่แหละ ทำให้หุ้นดีราคาแพงมีราคาลดลงมาให้อยู่ในระดับที่พอซื้อหาได้ ดังนั้น สำหรับนักลงทุนแล้ว นี่คือโอกาส เรื่องกลยุทธิ์การลงทุนจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหลายคนก็กลัวตลาด หลายคนก็ติดหุ้นในราคาสูง เมื่อโอกาสดีๆมาถึงก็ไม่สามารถลงทุนเพิ่มได้ นอกจากนี้ตอนนี้นักลงทุนหลายคนอาจตัดสินใจออกจากตลาดไปเลยเพราะหุ้นบางชนิดที่หวือหวานั้นลงไปลึกมาก นักลงทุนบางรายก็ถึงขั้นถอดใจ<br />
<br />
ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป หุ้นที่น่าสนใจคือหุ้นที่มีความสามารถในระดับที่สามารถแข่งขันในระดับภูมิภาคได้ ซึ่งมักเป็นหุ้นที่มีมาร์เกตแคปใหญ่หน่อย หุ้นขนาดเล็กทุนน้อย แข่งขันยากขึ้น ดังนั้นหากพูดรวมๆแล้วหุ้นที่น่าสนใจคือหุ้นในตลาด SET โดยเฉพาะหุ้นนอก SET 50 ที่มาร์เก็ตแคปใหญ่หน่อย ส่วนหุ้นในตลาด mai ลุงกลับเห็นว่าต้องพิจารณาให้ดี เพราะแพงแล้ว อีกทั้งผลประกอบการสะท้อนว่าความสามารถในการแข่งขันไม่สูงนัก นี่พูดในภาพรวมๆนะคร้าบ ข้อยกเว้นย่อมมี เพียงแต่เราต้องไปลงในรายละเอียดกัน<br />
<br />ลุงแมวน้ำhttp://www.blogger.com/profile/14231661615319392207noreply@blogger.com3