Sunday, July 22, 2012

22/07/2012 * เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ: แอ่วเชียงใหม่






ลุงแมวน้ำไม่ได้เขียนบทความวันหยุดมาหลายสัปดาห์ พยายามหาโอกาสแต่ก็ต้องไปโน่นมานี่ วันนี้เพิ่งจะมีโอกาสเขียน ช่วงนี้ลุงแมวน้ำมีเวลาที่จะอัปเดตเว็บบล็อกน้อยลง เนื่องจากต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่งไปสานฝันครั้งยิ่งใหญ่ของลุงแมวน้ำ นั่นคือการทำธุรกิจ ดังนั้นจึงอาจต้องปรับรูปแบบการนำเสนอในเว็บบล็อกอีกครั้งหนึ่ง (หมู่นี้เปลี่ยนบ่อย) ส่วนจะเป็นอย่างไรยังนึกไม่ค่อยออกเหมือนกัน แต่ที่แน่นอนคือในเว็บบล็อกยังคงมีบทความความและการอัปเดตสภาวะการลงทุนรายสัปดาห์เช่นเดิม ที่ผ่านมาคงเห็นว่าลุงแมวน้ำใช้ใช้เฟซบุ๊กน้อยลงไปบ้าง มักไปใช้ทวิตเตอร์ โฟร์สแควร์ และอินสตาแกรม จากนั้นส่งข้อความมาที่ FB นั่นคือลุงกำลังหัดใช้งานอยู่ ตอนนี้พอใช้เป็นแล้ว ก็คงกลับมาใช้ FB มากขึ้น ชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยแบบนี้แหละ ก็ต้องขอขอบคุณทุกคนที่มาเป็นเพื่อนและเป็นกำลังใจให้ลุงแมวน้ำอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อต้นเดือนลุงแมวน้ำเดินทางไปเชียงใหม่มา ยังไม่ค่อยได้เล่าอะไรเท่าไร วันหยุดนี้จึงขอเล่าเกี่ยวกับการเดินทางไปเชียงใหม่พร้อมกับนำภาพในการเดินทางมาฝาก คงไม่ถึงกับเป็นสารคดีท่องเที่ยวอะไรหรอก เอาเป็นว่าเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับการเดินทางก็แล้วกัน ลุงแมวน้ำจะโพสต์ภาพและเล่าเกี่ยวกับการเดินทางไปด้วย




คณะละครสัตว์ออกเดินทาง ช่วยกันขับรถเองตามประสาคณะละครสัตว์จอมประหยัด ภาพนี้เอามาจากหนังแอนิเมชันเรื่องมาดากัสการ์ 3 เห็นว่าเข้ากับบรรยากาศดีเลยขอนำมาใช้เสียหน่อย ^_^ ออกจากรุงเทพฯตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง




ภาพนี้ถึงสิงห์บุรีแล้ว เลยถ่ายป้ายบอกทางเอาไว้เป็นหลักฐาน ว่ายังไม่หลงทาง ฟ้าครึ้มมาตลอดทางเลย




เราใช้ทางหลักสู่เชียงใหม่ เส้นที่รถทัวร์ใช้กันนั่นแหละ คือผ่านสิงห์บุรี ชัยนาท กำแพงเพชร ตาก ลำปาง แล้วก็เข้าสู่เชียงใหม่ ลุงไล่จังหวัดตามรายทางที่ผ่านไม่ครบทุกจังหวัดหรอกนะ เอาเท่าที่จำได้

นาข้าวเขียวขจีตามรายทาง ดูแล้วชื่นใจ เส้นทางระหว่างจังหวัดกำแพงเพชรกับตากนั้นถนนชำรุดเยอะมาก เป็นหลุมเป็นบ่อ ปุๆปะๆ เต็มไปหมด ถามชาวบ้านว่าทำไมถนนช่วงนี้จึงเป็นแบบนี้ ชาวบ้านตอบว่าเป็นเพราะรถบรรทุกวิ่งกันมาก อีกทั้งยังแบกน้ำหนักเกิน ถนนจึงชำรุดเร็ว ชำรุดแบบนี้มาหลายปีแล้ว ไม่ค่อยมีการซ่อมแซมเท่าไร ลุงถามเขาอีกว่าแล้วทำไมรถบรรทุกจึงบรรทุกน้ำหนักเกินล่ะ แบ๊ะ...แบ๊ะ...แบ๊ะ... บอกไม่ได้...

คณะละครสัตว์ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯถึงเชียงใหม่ 9 ชั่วโมง คันอื่นๆวิ่ง 7 ชั่วโมงกว่าๆก็ถึงแล้ว แต่พวกเราขับๆหยุดๆ แวะตามรายทางบ่อย จึงเดินทางช้าไปบ้าง เมื่อไปถึงเชียงใหม่ก็บ่ายแก่ๆ เกือบเย็นแล้วล่ะ ก็เลยหาที่พักและเช็คอินเข้าที่พักกันก่อน




เชียงใหม่ในเดือนกรกฏาคมไม่คึกคัก ถือเป็นโลว์ซีซัน ห้องพักจึงหาได้ไม่ยาก ไม่มีที่ไหนเต็มสักแห่ง เราก็เลือกพักกันได้ตามสบาย โดยเลือกเอาแถวถนนห้วยแก้ว ถนนเส้นนั้นที่พักเยอะทีเดียว ไปได้โรงแรมแห่งหนึ่งในราคาห้องละ 800 บาท/คืน รวมอาหารเช้าเสียด้วย หากไม่ต้องการอาหารเช้าก็คิด 500 บาท นี่เป็นราคาโลว์ซีซัน เราก็เลยแบ่งกันพักห้องละ 2 ตัว

โรงแรมนี้เป็นโรมแรมเก่า แต่ปรับปรุงสภาพห้องเสียใหม่หรือที่เรียกว่ามีการรีโนเวต ห้องพักดูดี น่าอยู่ แต่ห้องน้ำนี่สิ ยังเห็นเค้าของความเก่าแก่อยู่ นั่นคือ อ่างอาบน้ำยุคโบราณ อ่างแนวนี้นิยมกันในสมัย 20-30 ปีที่แล้ว มีน้ำอุ่นด้วย แต่ใช้งานน้ำอุ่นค่อนข้างยุ่งยาก ต้องเปิดก๊อกน้ำอุ่นผสมกับน้ำเย็น แล้วต้องเปิดน้ำแรงพอควรฝักบัวจึงจะทำงาน ไม่อย่างนั้นฝักบัวจะไม่ทำงาน สมัยนี้ห้องพักตามโรงแรมใหม่ๆ ถ้าเป็นราคาระดับกลางๆแบบนี้ก็มักไม่มีอ่างอาบน้ำกันแล้ว ส่วนใหญ่เป็นฝักบัวกันหมดเพราะว่าต้องการประหยัดน้ำ

ลุงแมวน้ำชอบอ่างอาบน้ำนี้มาก ใช้เป็นที่นอนตอนกลางคืนได้อย่างสบาย เป็นแมวน้ำก็ต้องชอบน้ำสิ ^_^




อาหารมื้อเช้าที่ห้องอาหารของโรมแรมมีสลัดผัก ขนมปัง นมกับคอร์นเฟลก ข้าวต้มกุ๊ย ข้าวต้มเครื่อง และอาหารไทย 3-4 อย่าง แล้วแต่จะเลือก ตามด้วยผลไม้ ชา กาแฟ อากาศยามเช้าสบายๆ มุมที่ถ่ายภาพนี้รับไออุ่นของแดดยามเช้า ด้านหลังเป็นเรือนไทยทรงสวย บรรยากาศดีเชียวแหละ แต่ว่าไม่ได้นั่งกินตรงนี้จริงๆหรอก ใช้ถ่ายรูปเท่านั้นเพราะว่านั่งเดี๋ยวเดียวก็ร้อนแดดแล้ว




กินอาหารเช้าแล้วก็เข้าไปเที่ยวในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่หรือที่เรียกสั้นๆว่า มช. กัน มช. ในวันนี้แตกต่างจากเมื่อหลายปีก่อนพอสมควร ตึกรามปลูกใหม่ขึ้นมาหลายตึก บรรยากาศภายใน มช. ช่วงฤดูฝนร่มรื่นและเขียวขจี น่าอยู่ทีเดียว แต่หน้าร้อนก็ร้อนเอาเรื่อง ในภาพนี้เป็นโรงอาหารของคณะสังคมวิทยา เมื่อก่อนถ้าลุงแมวน้ำแวะมาก็จะมากินข้าวซอยที่นี่ ชามละ 15 บาทเอง ชามเบ้อเริ่ม อร่อยด้วย แต่ต่อมามีการจัดร้านค้าเสียใหม่ แถมวันนี้ร้านอาหารในโรงอาหารก็ไม่เปิดกันเพราะว่าเป็นวันหยุด ไม่รู้ว่าป้าข้าวซอยเจ้านั้นยังขายอยู่หรือเปล่า คิดถึงจัง ^_^




ออกจาก มช. ก็ขับรถไปตามถนนสายบ่อสร้าง สันกำแพง แวะชมศูนย์ศิลปหัตถกรรมบ่อสร้างกัน ที่บ่อสร้างนี้เป็นชุมชนศิลปวัฒนธรรมแห่งหนึ่ง บนถนนช่วงสั้นๆมีร้านรวงที่ขายงานหัตถกรรมท้องถิ่น เช่น เสื้อผ้า เครื่องจักสาน งานไม้ ร่มกระดาษสา ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าย่อย มีร้านขนาดใหญ่อยู่เพียงไม่กี่ร้าน วันนั้นเป็นวันเสาร์ แต่ที่บ่อสร้างเงียบมากกกกกก อย่างที่เห็นในภาพ แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ลุงแมวน้ำถามผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆดู ต่างก็บ่นกันว่าเงียบมาหลายเดือนแล้ว




ภาพนี้เข้ามาในศูนย์ศิลปหัตถกรรมบ่อสร้าง ที่นี่เป็นร้านค้าขนาดใหญ่ ปกติมักมีคณะทัวร์แวะมาเที่ยวและช้อปปิ้งสินค้า สินค้าขึ้นชื่อคือร่มที่ทำจากกระดาษสา วันนั้นที่ลุงแมวน้ำเห็นมีทัวร์ไต้หวันคณะเดียว และก็กำลังจะกลับกันแล้วด้วย ในร้านค้าจึงไม่มีนักท่องเที่ยว ที่เห็นในภาพมีแต่พนักงานขายและนักศึกษาที่มาดูงาน

ด้านหลังของตึกที่ขายสินค้านี้เป็นลานเล็กๆ แต่ไม่เห็นในรูปหรอก ในลานหลังตึกจะมีช่างเขียนประจำอยู่หลายคน ใครที่ซื้อเสื้อยืดหรือซื้อร่มจากในตึกสามารถเอามาให้ช่างที่นี่เพนต์สีและลวดลายเพิ่มเติมลงไปได้ ค่าเขียนประมาณ 100 บาท วันที่ลุงแมวน้ำไปนั้นช่างก็นั่งเหงากัน




ถัดจากศูนย์ร่มบ่อสร้างเป็นร้านเซรามิกขนาดใหญ่มาก ตัวร้านค้าเป็นอาคารชั้นเดียวที่ยาวมาก ที่เห็นในภาพเป็นส่วนเดียวของร้านเท่านั้น แต่ทว่าภายในร้านก็ดังที่เห็น ไม่มีลูกค้าอยู่เลย ทัวร์ก็ไม่มีลง บรรยากาศวังเวง





ออกจากบ่อสร้าง ลุงแมวน้ำก็ไปเที่ยวย่านอำเภอหางดงอันเป็นถิ่นของหัตถกรรมแกะสลัก สถานที่ท่องเที่ยวที่ลุงแมวน้ำต้องแวะให้ได้ก็คือบ้านร้อยอันพันอย่าง ของ อาจารย์ชรวย ณ สุนทร ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วแต่ยังไม่เคยเข้าไปชมเสียที

บ้านร้อยอันพันอย่างนี้มีลักษณะเป็นพิพิธภัณฑ์เอกชน ซึ่งจัดว่าเป็นธุรกิจเพื่อสังคมที่น่าสงสารมาก เพราะโดยสภาพแล้วพิพิธภัณฑ์มีไว้เพื่อบริการความรู้ แต่ด้วยความที่เป็นเอกชนจึงต้องดิ้นรนหารายได้เพื่อเลี้ยงตนเอง ช่องทางการหารายได้มีค่อนข้างจำกัด ส่วนหนึ่งคือมาจากค่าเข้าชม ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่อยากจ่ายแม้ว่าจะไม่ได้แพงมากมายอะไร รายได้อื่นก็เช่นการขายสินค้าหรือของที่ระลึกแก่ผู้เข้าชม

ลุงแมวน้ำเคยไปดูพิพิธภัณฑ์จ่าทวีที่พิษณุโลกซึ่งอนุรักษ์ศิลปะพื้นบ้านของถิ่นนั้นเอาไว้ เมื่อเข้าไปดูแล้วก็ต้องทึ่งถึงทุนทรัพย์และแรงกายแรงใจของจ่าทวีผู้บุกเบิกที่ทุ่มเทให้แก่พิพิธภัณฑ์ คนใจไม่รักจริงๆทำไม่ได้หรอก แต่ผลที่เกิดขึ้นก็คือพิพิธภัณฑ์เลี้ยงตนเองไม่ได้ ได้รางวัล ได้กล่องอะไรต่ออะไรมาก็มากแต่ไม่ค่อยได้เงิน เพราะค่าเข้าชมประมาณ 20-30 บาทเท่านั้น เก็บเฉพาะผู้ใหญ่ด้วย เด็กเข้าฟรี แต่คนก็ไม่ค่อยอยากเข้ากันเพราะคิดเสียดายเงินค่าเข้าชม บางคนเดินมาด้อมๆมองๆอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ พอรู้ว่าต้องเสียเงินค่าเข้าชม 20 บาทเดินกลับก็มี นอกจากรายได้น้อยแล้วแถมยังต้องเสียภาษีท้องถิ่นอีกมากโดยไม่มียกเว้น

พิพิธภัณฑ์บ้านร้อยอันพันอย่างนี้ก็เช่นกัน ชั้นล่างเป็นร้านขายงานไม้แกะสลัก สวยๆทั้งนั้น เก็บค่าเข้าชม 20 บาท ส่วนชั้นบนเป็นตัวพิพิธภัณฑ์จริงๆ มีอยู่สามชั้น เก็บค่าเข้าชม 100 บาท มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่ชมแค่ชั้นล่าง ไม่ได้ขึ้นไปถึงชั้นบน แต่ถ้าใครที่ได้ขึ้นไปแล้วก็จะรู้ว่าค่าเข้าชมนั้นเก็บอย่างไรก็ไม่มีทางที่พิพิธภัณฑ์จะรวยขึ้นมาได้ เพราะว่างานแกะสลักที่อยู่ชั้นบนนั้นเป็นงานชั้นเลิศทั้งนั้น แกะจากท่อนไม้สักเก่า บางท่อนใหญ่มากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และแกะด้วยช่างแกะสลักมือชั้นครูซึ่งหลายคนก็ได้เสียชีวิตไปแล้วและปัจจุบันไม่มีช่างรุ่นใหม่ที่มีฝีมือเทียบเคียงได้เลย แค่การสะสมงานเก่าฝีมือชั้นครูเหล่านี้ก็ต้องหมดเงินไปมหาศาลแล้ว

พิพิธภัณฑ์ชั้นบนนั้นคุ่มค่าน่าชมมาก แต่บางส่วนไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป บางส่วนก็อนุญาต แต่แค่นี้ก็ถือว่าใจกว้างมากแล้วเพราะงานแบบนี้หากเป็นพิพิธภัณฑ์อื่นคงห้ามถ่ายรูปทุกชิ้น ภาพที่ลุงแมวน้ำเอามาให้ชมนี้เป็นงานไม้สักแกะสลัก แกะเป็นรูปฟอสซิลไดโนเสาร์ วันนั้นตอนที่ลุงแมวน้ำไปมีคนเข้าชมพิพิธภัณฑ์น้อยมาก




ภาพนี้เป็นเสาช้าง แกะสลักจากไม้สักท่อนใหญ่ สังเกตลวดลายที่สลักเป็นผิวหนังของช้าง ละเอียดงดงามวิจิตรมาก




กว่าจะชมพิพิธภัณฑ์เสร็จก็เย็นแล้ว ลุงแมวน้ำจึงไปเที่ยวตลาดนัดถนนคนเดินต่อเลย ถนนสายนี้มีชื่อว่าถนนวัวลาย อยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่นั่นเอง ทุกเย็นวันเสาร์จะปิดถนนและจัดเป็นถนนคนเดิน เป็นถนนสายที่ยาวมาก มีสินค้าขายตลอดถนน หากเดินชมสินค้าไปเรื่อยๆกว่าจะสุดถนนก็หลายชั่วโมง เดินกันจนเมื่อยครีบเจ็บพุงไปหมด

บรรยากาศของถนนคนเดินตลาดวัวลายนี้ต่างจากสภาพเงียบเหงาในตอนกลางวันที่ลุงแมวน้ำพบเห็นมาอย่างลิบลับ เพราะที่นี่คนแน่นมาก มีทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ สินค้าและความหลากหลายมากกว่าที่อำเภอปายหลายขุมทีเดียว




สินค้าที่ขายก็มีต่างๆนานาหลากหลาย ที่เห็นในภาพเป็นภาชนะย้อนยุค สมัยลุงแมวน้ำยังเด็กๆ ปิ่นโต ถัง กะละมัง โลหะเคลือบสี แต่นี่เป็นของใหม่ ปัจจุบันก็ยังมีผลิตกันอยู่ ไม่ใช่ของใช้แล้ว แผงนี้ไม่ค่อยมีคนสนใจแวะดู ส่วนใหญ่เดินผ่านไปกันหมด เจ้าของแผงนั่งเหงาเชียว




ดูร้านนี้ ต่างจากร้านขายปิ่นโตโบราณลิบลับ ร้านนี้คนจะเหยียบกันตาย เป็นร้านขายกระเป๋าผ้า พวกกระเป๋าแม้วก็มี ราคา 140 บาทขึ้นไป ซึ่งถือว่าไม่แพง ที่กรุงเทพฯแพงกว่านี้มาก จึงขายดี คนขายนับเงินเหนื่อยมากกกกกก ลุงแมวน้ำเห็นแล้วอยากไปช่วยเขานับเงินจัง




เห็นอะไรไหม นี่ไง หมอนข้างช้าง หมอนข้างปลา ขายดีไม่น้อย เด็กๆชอบซื้อ ต่อไปลุงแมวน้ำจะผลิตหมอนข้างแมวน้ำมาขายแข่งกับหมอนข้างพวกนี้ รอก่อน อีกไม่นานเกินรอ ^_^




ในงานนอกจากมีสินค้าแล้วยังมีบริการและโชว์ต่างๆอีกด้วย วงดนตรีคนพิการมีอยู่ 2 คณะ วงดนตรีชาวเขาก็มี ที่เห็นนี้เป็นคณะละครสัตว์สี่ขา หมาน้อยตัวนี้ขับรถได้คล่องแคล่ว คนถ่ายรูปกันใหญ่ ที่จริงไม่ได้ขับรถเองหรอก รถคันนี้ใช้รีโมตน่ะ เป็นรถวิทยุบังคับ มีคนขับตัวจริงยืนอยู่ใกล้ๆ แต่คนขับสี่ขาวางมาดได้เท่มาก ลุงแมวน้ำเห็นแล้วเสียวตกงานอยู่เหมือนกัน อ๊ะ ไม่ได้สิ...ต้องหาทางสกัดดาวรุ่งเสียแล้ว ^_^




บริการเขียนภาพเหมือน นี่เป็นจุดหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวแวะชมกันแน่นขนัด วาดภาพเหมือนและรอรับกันเดี๋ยวนั้นเลย มีช่างวาดภาพให้บริการอยู่หลายคน

และในถนนคนเดินเส้นนั้นยังมีบริการแหวกแนวอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ บริการวาดภาพด้วยแท็บเล็ต นี่ทันสมัยจ๋าเลย ก็คือวาดภาพเหมือนแบบนี้แหละ แต่ไม่ได้วาดด้วยดินสอและกระดาษ ใช้ปากกาสไตลัสและแท็บเล็ตแทน ดูเหมือนจะราคาภาพละ 300 บาท ภาพที่ได้เป็นไฟล์ดิจิตัล วาดเสร็จก็ส่งให้ลูกค้าทางอีเมล สะดวกมาก ลูกค้าเยอะพอควร ถนนทั้งเส้นเห็นมีอยู่รายเดียว ถ้ามองในแน่การตลาดก็ถือว่าเป็นธุรกิจแบบน่านน้ำทะเลครามหรือ blue ocean business ได้กระมัง ลุงแมวน้ำไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้ น่าเสียดาย ได้แต่เล่าให้ฟังโดยไม่มีรูป

กว่าจะเดินเสร็จก็ห้าทุ่ม ลุงแมวน้ำยังเดินไม่หมดถนนเลย แต่ตลาดวายเสียก่อน เพราะถนนคนเดินเลิกห้าทุ่ม แต่ถึงจะเดินไม่หมดลุงแมวน้ำก็เมื่อยมากเหมือนกัน เลยกลับที่พัก ไปนอนในอ่างอาบน้ำดีกว่า คร่อก...




เช้าวันถัดมาลุงแมวน้ำมีงานโชว์ตัว ก็ไม่เล่าละนะ ขอข้ามไป ไปเล่าตอนเที่ยวขากลับก็แล้วกัน

ลุงแมวน้ำกลับทางถนนเส้นอำเภอสารภี คือจากเชียงใหม่ไปทางสารภี แล้วไปออกลำพูน ที่เลือกใช้เส้นทางนี้เพราะอยากชมวิว เนื่องจากถนนเส้นอำเภอสารภีนี้ขึ้นชื่อลือเลื่องด้านความสวยงามเพราะมีป่ายางนาอยู่สองฟากข้างของถนนเป็นระยะทางยาวหลายกิโลเมตร

ต้นยางนานี้สูงใหญ่มาก ความสูงได้ถึง 20-30 เมตรทีเดียว อย่างที่ลุงแมวน้ำเห็นในถนนเส้นนี้ หากเปรียบต้นยางนาเป็นยักษ์ตนหนึ่ง ตึกสี่ชั้นเมื่อเทียบกับต้นยางนาก็เหมือนตึกสูงแค่ระดับเข่าของยักษ์เท่านั้นเอง คิดดูละกันว่าต้นยางนาสูงขนาดไหน ต้นยางนานี้ที่เด็กๆในสมัยก่อนชอบเอาผลยางนามาเล่นไง เพราะผลยางนามีปีกสองข้าง โยนเล่นแล้วผลยางนาจะค่อยๆร่อนลงมาเหมือน ฮ. ที่กำลังร่อนลง น่าสนุก แต่เด็กสมัยนี้ไม่เล่นผลยางนาแล้ว ไปเล่นแท็บเล็ตแทน

เวลาขับรถไปตามถนน ยางนาตระหง่านสองข้างทางเหมือนกำลังตั้งแถวต้อนรับลุงแมวน้ำ เท่มากเลย ถนนสายยางนานี้เมื่อหลายปีก่อนเคยมีเรื่องมีราว คือจะมีการขยายถนนและตัดต้นยางนาออกไป แต่ชาวบ้านไม่ยอม ก็เลยทำการบวชต้นไม้เสียเลย เพื่ออาศัยผ้าเหลืองคุ้มครองไม่ให้ใครมาตัดไปได้ ดังนั้นเราจึงเห็นผ้าเหลืองพันอยู่รอบโคนต้นยางนาในภาพ ลุงแมวน้ำก็ได้แต่เอาใจช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถอนุรักษ์เส้นทางสายยางนาเส้นนี้เอาไว้ได้นานเท่านาน




เมื่อผ่านลำพูนก็แวะดูการทอผ้าฝ้ายเสียหน่อย หมู่บ้านทอผ้าฝ้ายมีอยู่ทั้งในเชียงใหม่และลำพูน ในเชียงใหม่จะอยู่แถวอำเภอจอมทอง เมื่อก่อนมีกลุ่มทอผ้าที่มีชื่อเสียงมาก นั่นคือกลุ่มของ ป้าดา ผู้บุกเบิกการทอผ้าฝ้ายและใช้สีย้อมธรรมชาติ ไม่ใช้สีย้อมที่เป็นสารเคมีสังเคราะห์ แต่ปัจจุบันป้าดาเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว

การทอผ้าพื้นเมืองเป็นหัตถกรรมที่ตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผ้าฝ้ายทอมือได้รับความนิยม ชาวบ้านก็มีรายได้ดี นอกจากนี้เมื่อการทอผ้าฝ้ายมีรายได้ดีทำให้แรงงานกลับคืนถิ่น พ่อแม่ลูก ปู่ย่าตายาย ได้กลับมาเป็นครอบตัวที่พร้อมหน้ากัน แต่ปัจจุบันก็งั้นๆ กระแสความนิยมไม่ค่อยเท่าไรแล้ว ค่าแรงทอผ้าฝ้ายก็งั้นๆ ดังนั้นแรงงานหนุ่มสาวก็ไหลออกไปต่างถิ่นไปเข้าโรงงานกันเป็นส่วนใหญ่ คนที่ทอผ้าก็เหลือแต่หญิงสูงอายุหรือป้าๆนั่นแหละ กับหญิงที่ติดภาระ เช่น หญิงที่ต้องเลี้ยงลูกอ่อน เป็นต้น

งานทอผ้าฝ้ายไม่ง่าย ต้องใช้แรงกายพอสมควร โดยเฉพาะแรงขา ดังนั้นหากอายุมากก็ทำไม่ได้ เป็นป้ายังพอทอไหว แต่หากเป็นยายก็ทอไม่ไหวแล้ว นอกจากนี้งานทอผ้ายังเป็นงานที่ละเอียดอ่อนและกินเวลา หากมีงานอื่นที่ง่ายกว่า คนก็เลิกทอผ้า หันไปทำอย่างอื่นแทน อย่างเช่นตอนนี้ก็ไม่ทอผ้ากันแล้ว ไปเก็บลำใยกันอยู่เพราะปีนี้ลำใยราคาดี ค่าจ้างเก็บลำใยจึงสูงกว่าค่าจ้างทอผ้า ดังนั้นหัตถกรรมผ้าฝ้ายทอมือหากนานไปและไม่ได้รับการส่งเสริมก็มีโอกาสสูญพันธุ์ได้เหมือนกัน




ลำใยจ้ะลำใย หวานชื่นใจ แต่อย่ากินเยอะนะ น้ำตาลในเลือดปรี๊ดเชียว




เส้นทางช่วงลำปาง ถนนช่วงนี้คดเคี้ยว ขับรถแล้วเหมือนเล่นอยู่ในสวนสนุก ทิวทัศน์สวยงามทีเดียว แต่ตอนขากลับฟ้ามืดเพราะฝนตั้งเค้า ตอนขากลับเจอฝนตามรายทางไปหลายรอบ แต่คณะละครสัตว์ก็กลับถึงกรุงเทพฯได้โดยสวัสดิภาพ



ทริปเชียงใหม่ของลุงแมวน้ำก็จบลงแต่เพียงนี้ เล่าโน่นเล่านี้ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เพื่อให้สมกับเป็นวันพักผ่อน หวังว่าคงไม่เบื่อกัน

ไปก่อนละคร้าบ แล้วคุยกันใหม่ ^_^

No comments: