Tuesday, May 3, 2011

29/04/2011 - 2/05/2011 * ตลาดหุ้นผันผวนมากขึ้นและเทรดยากกว่าเมื่อก่อนจริงหรือไม่ (3)

29/04/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,093.56 จุด เพิ่มขึ้น 1.25 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 40 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ราคาทองคำ (GC) ทำลายสถิติครั้งแล้วครั้งเล่าจนจำจำนวนครั้งไม่ได้แล้ว

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ทั้งด้านอเมริกา ยุโรป ส่วนใหญ่ปิดบวก ฝั่งเอเชียส่วนใหญ่ปิดลบ


ตลาดหุ้นผันผวนมากขึ้นและเทรดยากกว่าเมื่อก่อนจริงหรือไม่ (3)

เมื่อวันก่อนเราคุยกันถึงเรื่องความผันผวนของดัชนี SET ได้ข้อมูลมาว่าตั้งแต่ปี 1986-2010 ส่วนใหญ่วันที่ปิดบวกปิดลบอ่อนๆ ไม่รุนแรง (คือปิดบวกหรือลบไม่เกิน 1% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า) มีอยู่ประมาณร้อยละ 60 หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ หากติดตามตลาดหุ้นไปเป็นเวลา 100 วันจะพบว่าวันที่ปิดบวกหรือลบอ่อนๆ (คือไม่เกิน 1%) จะมีอยู่ประมาณ 60 วัน ส่วนอีก 40 วันที่เหลือจะปิดบวกหรือลบเกินกว่า 1% มียกเว้นอยู่ช่วงเดียวคือช่วงปี 1996-2000 ที่ไม่เป็นไปตามสถิตินี้ ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่าตลาดหุ้นของไทยในปัจจุบันไม่ได้ผันผวนมากกว่าในอดีต

คราวนี้เรามาดูตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกากันบ้าง ลักษณะของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเราดูด้วยตัวแทนคือดัชนีดาวโจนส์ (DJI) เมื่อวิเคราะห์จำนวนวันที่ปิดบวกและปิดลบออกมาแล้วได้เป็นตารางสถิติดังนี้




จากตาราง เมื่อเราดูจำนวนวันที่ปิดบวกหรือปิดลบอ่อนๆ (อยู่ในช่วง -1% ถึง +1%) จะพบว่าตั้งแต่ปี 1976 เป็นต้นมา พอจะแบ่งได้เป็น 2 ช่วง ช่วงปี 1976 - 1995 จำนวนวันที่ปิดบวกปิดลบอ่อนๆจะมีอยู่ร้อยละ 77 ขึ้นไป ส่วนในปี 1996-2010 จำนวนวันที่ปิดบวกหรือลบอ่อนๆจะลดลง เหลือเพียงร้อยละ 70 อันหมายความว่าในช่วงปี 1996 - 2010 นั้น หากติดตามความเคลื่อนไหวของดัชนีดาวโจนส์ 100 วันจะพบว่ามีวันที่ปิดบวกหรือลบอ่อนๆอยู่ประมาณ 70 วัน ส่วนอีกประมาณ 30 วันที่เหลือจะปิดบวกหรือลบแรงกว่า 1%

หากมองความผันผวนของดัชนีดาวโจนส์แล้วทำให้พอสรุปได้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1996 - 2010 มีความผันผวนกว่าช่วงปี 1976 - 1995 นั่นเอง และหากมองเทียบกับ SETI กับ DJI ก็ทำให้พอกล่าวได้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกามีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นไทย (เพราะจำนวนวันที่ปิดบวกหรือลบอ่อนๆมีมากกว่า) หรือตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนมากกว่าตลาดสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ ข้อสรุปที่ได้เพิ่มเติมมาอีกจากการที่ลุงแมวน้ำวิเคราะห์ดัชนีในครั้งนี้ก็คือ คงยังจำกันได้ว่าในตอนที่แล้วลุงแมวน้ำบอกว่า หากดูแค่จำนวนวันที่ปิดบวก กับจำนวนวันที่ปิดลบ โดยไม่สนใจว่าปิดบวกแรงมากน้อยเพียงใด หรือว่าปิดลบแรงมากน้อยเพียงใด เราจะพบว่าจำนวนวันที่ปิดบวกพอๆกับจำนวนวันที่ปิดลบ นั่นหมายความว่าการปิดบวกปิดลบเหมือนกับการโยนหัวโยนก้อย โอกาสที่ปิดบวกหรือปิดลบในแต่ละวันมีพอๆกัน ดังนั้นหากลุ้นเล่นสั้นๆโดยซื้อหุ้นท้ายตลาดในวันนี้แล้วไปขายตอนท้ายตลาดของวันนรุ่งขึ้นด้วยหวังว่าจะได้ค่าขนมเล็กๆน้อยๆอาจจะขาดทุนเสียมากกว่าเพราะค่าคอมมิชชันกินไปหมด

แต่ในทางตรงกันข้าม หากซื้อท้ายตลาดวันนี้แล้วไปขายตอนเปิดตลาดในวันรุ่งขึ้น โอกาสได้กำไรมีอยู่ ดังสถิติผลต่างของราคาเปิดวันนี้กับราคาปิดเมื่อวาน ดังต่อไปนี้ (สังเกตช่วงปี 2001-2010 ที่ตีกรอบไว้) เพราะตามสถิติแล้วตลาดมักเปิดบวกมากกว่าเปิดลบนั่นเอง แต่อย่างไรก็ดี การเปิดบวกเป็นบวกอ่อนๆเท่านั้น หากคำนวณค่าคอมมิชชั่นเข้าไปด้วยก็อาจถูกค่าคอมมิชชั่นกินไปจนหมดได้เช่นกัน










02/05/2011


วันนี้ตลาด SET, AFET รวมทั้งตลาดในเอเชียหลายประเทศหยุดทำการ

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ทั้งด้านอเมริกา ยุโรป ส่วนใหญ่ปิดลบ ฝั่งเอเชียส่วนใหญ่ปิดลบเช่นกัน ตลาดหุ้นอินเดียเกิดสัญญาณขาย



No comments: