Tuesday, May 31, 2011

31/05/2011 * กองทุนรวมธุรกิจการเกษตร (Agribusiness fund)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,073.83 จุด ลดลง 2.67 จุด ตลาดเพื่อนบ้านขึ้นแรงกันหมดยกเว้นตลาดหุ้นไทยที่ลง

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 21 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ฟิวเจอร์สของดัชนีนิกเกิของญี่ปุ่น (NK) เกิดสัญญาณซื้อ

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดทั่วโลกดีดกลับ ปิดเขียวกันเกือบหมดทุกตลาดในรายงาน ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงได้แก่ตลาดหุ้นกรีซ


กองทุนรวมธุรกิจการเกษตร (Agribusiness Fund)

เมื่อหลายวันก่อนลุงแมวน้ำคุยเกี่ยวกับถึงสินค้าเกษตรและกองทุนรวมสินค้าเกษตรซึ่งเป็นกองทุนของไทยแต่นำเงินไปลงทุนในสินค้าเกษตรยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งกองทุนรวม FIF ด้านสินค้าเกษตรปัจจุบันมีอยู่ 3 กองทุน คือ
  • K-AGRI ของ บลจ. กสิกรไทย
  • TISCOAEF ของ บลจ.ทิสโก้
  • One-AGRI ของ บลจ. วรรณ
ทั้งสามกองทุนนี้ลงทุนในสินค้าที่เป็นพืชผลทางการเกษตรรวมไปถึงสินค้าปศุสัตว์

นอกจากกองทุนที่ลงทุนในสินค้าเกษตรและปศุสัตว์แล้ว ยังมีกองทุนอีกกลุ่มหนึ่งที่ลงทุนในธุรกิจการเกษตรหรือพูดง่ายๆก็คือลงทุนในหุ้นที่อยู่ในหมวดการเกษตร ธุรกิจการเกษตร หรือลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (เช่น ธุรกิจอาหาร ฯลฯ) นั่นเอง ซึ่งการลงทุนในสินค้าเกษตรกับการลงทุนในธุรกิจการเกษตรนี้แม้จะคล้ายกันแต่ก็ไม่เหมือนกัน

การลงทุนในสินค้าเกษตรนั้นเป็นการนำเงินไปลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โดยการซื้อขายผลผลิตทางการเกษตรต่างๆ ส่วนการลงทุนในธุรกิจการเกษตรนั้นเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นโดยการซื้อขายหุ้นที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจการเกษตรหรือกลุ่มที่เกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนในถั่วเหลือง หากเป็นกองทุนรวมสินค้าเกษตรก็ต้องไปลงทุนซื้อขายถั่วเหลืองในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ แต่หากเป็นกองทุนรวมธุรกิจการเกษตรก็อาจไปลงทุนในหุ้น TVO ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตน้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น การลงทุนในธุรกิจการเกษตรถือเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับการลงทุนด้านการเกษตร

กองทุนรวมประเภท FIF ที่ลงทุนในธุรกิจการเกษตรในต่างประเทศปัจจุบันมีอยู่ 2 กองทุน คือ

I-AGRI

I-AGRI (MFC Invest Global Agribusiness Fund) กองทุนนี้นำเงินไปลงทุนในกองทุน DWS Invest Global Agribusiness Fund - FC Share Class อีกต่อหนึ่ง โดยลงทุนในธุรกิจการเกษตรที่เป็นแนวเพาะปลูก แปรรูปผลผลิตทางการเกษตรกับธุรกิจปุ๋ยและเคมีเกษตรเป็นหลัก ส่วนธุรกิจการเกษตรแนวอื่นที่ลงทุนรองลงมา เช่น ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป ธุรกิจร้านอาหาร เป็นต้น

น้ำหนักของประเทศที่ไปลงทุนนั้นประเทศหลักคือสหรัฐอเมริกา (ราว 40%)

กองทุนนี้ไม่มีดัชนีเปรียบเทียบ (ไม่มี benchmark index โดยตรง) และไม่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน


KT-AGRI

KT-AGRI (KTAM World Agriculture Fund) เป็นกองทุนรวมที่นำเงินไปลงทุนในกองทุน BGF World Agriculture Fund (Class A2 SGD hedged) อีกต่อหนึ่ง โดยลงทุนเป็นเงินดอลลาร์สิงคโปร์และแปลงเป็นดอลลาร์ สรอ อีกทอดหนึ่ง กล่าวคือต้องแปลงเงิน 2 ทอด

แนวการลงทุนหลักคือลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับการเพาะปลูกหรือแปรรูปสินค้าเกษตรกับด้านเคมีเกษตร รองลงมาคืออุปกรณ์และจักรกลการเกษตร ลงทุนในสิบกว่าประเทศแต่ที่มากที่สุดคือลงทุนในสหรัฐอเมริกา (ราว 50%) มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์ สรอ กับ ดอลลาร์สิงคโปร์ ส่วนการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับดอลลาร์สิงคโปร์นั้นปกติไม่มี

กองทุนนี้ใช้ดัชนี DAXGlobal Agribusiness Index เป็นตัวเปรียบเทียบผลงานของกองทุน


เมื่อพูดถึงกองทุนรวมสินค้าเกษตรกับกองทุนรวมธุรกิจการเกษตรและเข้าใจความแตกต่างของแนวทางการลงทุนระหว่างกองทุนสองประเภทนี้แล้ว แต่หลายคนคงยังมีข้อสงสัยอยู่ว่าแล้วกองทุนรวมสองประเภทนี้แบบไหนให้ผลตอบแทนดีกว่ากัน ข้อนี้ตอบยากเพราะ NAV กองทุนรวมสินค้าเกษตรนั้นขึ้นกับราคาพืชผลอันเกี่ยวข้องกับฤดูกาล สภาพแวดล้อมทางภูมิอากาศ อุปสงค์อุปทานในการบริโภค ส่วน NAV ของกองทุนรวมธุรกิจการเกษตรนั้นขึ้นกับปัจจัยแบบหุ้น นั่นคือ ปัจจัยด้านการเมืองและอื่นๆที่สงผลทางจิตวิทยาต่อตลาดหุ้นก็จะมีผลกระทบต่อกองทุนรวมธุรกิจการเกษตรด้วย

เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น ลุงแมวน้ำขอนำภาพราคาของกองทุนอีทีเอฟที่เทรดในตลาดสหรัฐอเมริกามาให้ดู 2 กองทุน คือ DBA ซึ่งเป็นกองทุนสินค้าเกษตร (คล้าย K-Agri, TiscoAEF) กับ MOO ซึ่งเป็นกองทุนธุรกิจการเกษตร (คล้าย KT-Agri เพราะใช้ดัชนีเปรียบเทียบตัวเดียวกัน คือ DAXGlobal Agribusiness Index) ดังกราฟข้างล่างนี้ เส้นสีน้ำเงินคือ DBA ส่วนเส้นสีแดงคือ MOO








30/05/2011

วันนี้ตลาดสหรัฐอเมริกาหยุด ดังนั้นข้อมูลในตารางบางส่วนเป็นของวันที่ 30 แต่บางส่วนยังเป็นของวันที่ 27 อยู่

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,076.50 จุด เพิ่มขึ้น 9.50 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 21 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ฟิวเจอร์สของ BANPU และข้าวขาว 5% (WBR5) เกิดสัญญาณซื้อ

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดด้านทวีปอเมริกาและทางด้านเอเชียแปซิฟิกมีทั้งปิดบวกและปิดลบคละกัน ส่วนทางฝั่งยุโรปส่วนใหญ่ปิดลบ ดัชนีตลาดหุ้นอียิปต์ขึ้นแรงส่วนตลาดหุ้นเปรูลงแรง ดัชนีตลาดหุ้นแคนาดาเกิดสัญญาณซื้อ




Monday, May 30, 2011

27/05/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,067.00 จุด เพิ่มขึ้น 1.55 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันมีสัญญาณขาย DELTA, BH ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 21 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ราคาทองแดง (HG) กับน้ำตาล (SB) เกิดสัญญาณซื้อ ลุงแมวน้ำเปิดสัญญาซื้อไปทั้งสองรายการ

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดบวก ยกเว้นตลาดหุ้นตุรกีที่ลงแรง

ทางด้านดัชนีต่างๆ วันนี้ดัชนี Dow Jones global real estate index (WGRESI) เกิดสัญญาณซื้อและนอกจากนี้ดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มสินค้าเกษตรของดาวโจนส์ (DJUBSAG) สินค้าเกษตรในกลุ่มย่อยกลุ่มเมล็ด (grains, DJUBSGR) ก็เกิดสัญญาณซื้อ



Friday, May 27, 2011

26/05/2011 * เป้าหมาย SET, DJI, Agriculture commodities (DBA, W, SB, RSS)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,065.45 จุด เพิ่มขึ้น 9.91 จุด เมื่อวันจันทร์ที่ 23 ที่ผ่านมาตลาดหุ้นลงแรง ทำให้แผนภาพแท่งเทียนของ SETI เกิดช่อง (gap) เล็กๆขึ้น อันเป็นสัญญาณประการหนึ่งของแนวโน้มขาลง มาวันนี้ดัชนีปรับตัวขึ้นมาและช่องนั้นถูกปิดไปแล้ว

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 23 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ยางพาราตลาด AFET (RSS3) เกิดสัญญาณซื้อ เนื่องจากลุงแมวน้ำประเมินจากการนับคลื่นว่ายังไม่จบคลื่น C ดังนั้นราคายางพาราจึงยังเป็นแนวโน้มขาลงอยู่ พอร์ตที่เป็น manual trade จึงปิดสัญญาขายไปเท่านั้น ไม่ได้เปิดสัญญาซื้อ

นอกจากนี้ ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐอเมริกา ถั่วเหลือง (S) เกิดสัญญาณซื้อ เนื่องจากลุงแมวน้ำประเมินว่าสินค้าเกษตร (ไม่รวมยางพารา) เป็นแนวโน้มขาขึ้น ดังนั้นจึงเปิดสัญญาซื้อไป

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ฝั่งอเมริกาและเอเชียส่วนใหญ่ปิดเขียว ส่วนฝั่งยุโรปปิดแดงยกแผง แม้ว่าตลาดทั่วโลกจะผันผวนมาหลายวัน แต่สองสามวันมานี้ดัชนีทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคยังไม่มีสัญญาณเปลี่ยนแปลง


SETI

ลุงแมวน้ำเคยคุยเอาไว้ว่าปรับมุมมองของดัชนี SET ใหม่เป็นแนวโน้มขาขึ้น และขอเวลาดูกราฟไปอีกระยะหนึ่ง วันนี้ลุงแมวน้ำจะขอทบทวนเป้าหมายข้างหน้าของ SETI ลองดูภาพต่อไปนี้



จากภาพ ลุงแมวน้ำประเมินว่าตลาดหุ้นไทยหรือดัชนีเซ็ตนั้นในระดับคลื่นรอบใหญ่ (ชุดคลื่นสีดำ) ขณะนี้ SETI อยู่ในคลื่นใหญ่ 5 (สีดำ) ซึ่งในชุดคลื่นใหญ่สีดำนั้นยังประกอบด้วยชุดคลื่นรองลงมา นั่นคือชุดคลื่นสีน้ำเงิน

ในระดับคลื่นสีน้ำเงิน ขณะนี้ SETI อยู่ในคลื่น 3 (สีน้ำเงิน) ลุงแมวน้ำมองว่าอนาคต SETI ยังไปได้อีกไกล เป้าหมายของยอดคลื่น 3 (สีน้ำเงิน) อาจอยู่ที่ 1,800 จุด และยอดคลื่น 5 (สีดำ) ของ SETI อาจอยู่ที่ระดับดัชนี 2,100 - 2,600 จุด

เมื่อพูดถึงดัชนีระดับ 1,800 จุดถึง 1,900 จุดนั้นระยะเวลาที่ใช้อาจบอกได้ยาก หากเร็วหน่อยก็ต้นปีหน้าก็ยังเป็นไปได้ ที่บอกว่าเป็นไปได้เนื่องจากคลื่น 3 นั้นกราฟมักมีความชัน ดัชนีขึ้นไปได้เร็ว อีกประการ ขณะนี้ค่าสัดส่วนพีอี (P/E ratio) ของ SETI ในปัจจุบันอยู่ที่ 13.66 เท่า หากดัชนีไปถึง 1,900 จุดค่าพีอีก็อยู่ที่ประมาณ 25 เท่าซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ในอดีตตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนพีอีสูงถึง 25 เท่ามาแล้ว ล่าสุดก็ในปี 2009 (2552) นี้เอง


DJI

ทางด้านดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average, DJI) ของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกานั้น ขณะนี้อยู่ที่ระดับ fibonacci 78.6% พอดี หากจะจบคลื่น B ที่ระดับดัชนีแถวนี้ก็ได้แต่เนื่องจากนับคลื่นย่อยแล้วยังไม่น่าครบ ดังนั้นลุงแมวน้ำประเมินว่า DJI น่าจะไปจบคลื่น B ที่ดัชนีระดับ ประมาณ 14,200 จุดมากกว่า นั่นคือยอดคลื่น B สูงเกือบเท่ายอดคลื่น 5 อันเป็นทรงยอดคู่ (double top) นั่นเอง ดังภาพต่อไปนี้



ข้าวสาลี (W)

ทางด้านปัจจัยพื้นฐาน โลกกำลังเผชิญภัยคุกคามด้านอาหาร ภูมิอากาศแปรปรวน ภัยธรรมชาติต่างๆ ทำให้ผลผลิตด้านอาหารแปรปรวนไม่แน่นอน ประกอบกับราคาน้ำมันดิบอยู่ในช่วงขาขึ้น เงินเฟ้อทะยาน ราคาสินค้าเกษตรคงต้องปรับตัวขึ้นตาม ลุงแมวน้ำประมเมินว่าราคาข้าวสาลีอยู่ในคลื่นใหญ่ 5 (สีน้ำเงิน) ต่อไปเราอาจได้เห็นราคาข้าวสาลีอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในอดีตเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับราคาทองคำ ดังภาพต่อไปนี้



น้ำตาล (SB)

น้ำตาลนอกจากเป็นอาหารแล้วยังเป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานทดแทนอีกด้วย ลุงแมวน้ำประเมินว่าราคาน้ำตาลน่าจะใกล้จบคลื่น 4 (สีน้ำเงิน) แล้ว และเมื่อไรที่เข้าสู่คลื่น 5 (สีน้ำเงิน) เราอาจได้เห็นราคาน้ำตาลอย่างที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนเช่นกัน



กองทุนรวมสินค้าเกษตร (DBA)

เมื่อราคาสินค้าเกษตรอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น กองทุนรวมสินค้าเกษตรก็คงมีค่า NAV สูงตามไปด้วย ขณะนี้กองทุนอีทีเอฟ Deutsch Bank Agriculture Fund (DBA) อยู่ในคลื่น 3 (สีน้ำตาล) แม้อยู่ในสัญญาณขายแต่ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น อีกไม่นานน่าจะเกิดสัญญาณซื้อและไปต่อได้อีกไกล





ยางพารา (RSS)

ยางพาราเป็นพืชก็จริง แต่ไม่ใช่อาหาร จัดเป็นพืชอุตสาหกรรม ดังนั้นต้องมองต่างไปจากสินค้าเกษตรที่เป็นของบริโภค หากยอดคลื่นที่ผ่านมาเป็นยอดคลื่น 5 (ตามภาพข้างล่างนี้) ลุงแมวน้ำประเมินว่า RSS ยังอยู่ในคลื่น B และยังต้องเข้าสู่คลื่น C

แต่หากยอดคลื่นที่ผ่านมาเป็นยอดคลื่น 3 (ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้) สถานการณ์จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ตอนนี้ยังแยกแยะได้ยากอยู่ คงต้องติดตามดูต่อไปอีกระยะหนึ่ง




ราคาสินค้าเกษตรนั้นหากค่อยๆปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทุกอย่างจะค่อยๆปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพของมันได้เอง แต่หากราคากระชากขึ้นสูงอย่างรวดเร็วดุลยภาพจะเกิดไม่ทัน โครงสร้างด้านปัจจัยสี่จะเสียหาย ส่งผลเสียทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม คุณภาพชีวิตของผู้คนจำนวนมากจะเสียไป เป็นภาพที่น่ากลัวทีเดียว ลุงแมวน้ำไม่อยากเห็นภาพแบบนั้น แต่ภายใต้โลกของทุนนิยมแบบการตลาดนำ ที่มือใครยาวสาวได้สาวเอาเช่นนี้ โอกาสเลี่ยงไม่ให้เกิดคงยาก แต่ก็ยังพอมีทาง

คงสังเกตว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาลุงแมวน้ำอัปเดตเว็บบล็อกช้าไปบ้าง ส่วนหนึ่งเนื่องจากงานแสดงรัดตัว อีกประการก็คือลุงแมวน้ำกำลังเตรียมข้อมูลสำหรับเขียนบทความชุดยาวอยู่ชุดหนึ่ง นั่นคือ ชุด ชีวิตคือการลงทุน ซึ่งเป็นมุมมองและแนวทางในการลงทุนที่ไม่ได้เดินตามทุนนิยมกระแสหลัก แต่เป็นทุนนิยมกระแสรองหรืออาจนอกกระแสไปเลยก็ได้ แต่ลุงแมวน้ำเชื่อว่านั่นคือหนทางรอดจากสภาพเศรษฐกิจอันเลวร้ายในอนาคตได้หนทางหนึ่งหากเราช่วยกัน ลุงแมวน้ำจะค่อยๆเสนอวันละนิดละหน่อย คงเริ่มได้ในเร็วๆนี้










25/5/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,055.54 จุด ลดลง 8.70 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 23 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ก๊าซธรรมชาติ (NG) เกิดสัญญาณซื้อหลังจากที่เพิ่งเกิดสัญญาณขายไปได้ไม่กี่วัน ราคาก๊าซธรรมชาตินี้สัมพันธ์กับราคาน้ำมัน เมื่อราคาน้ำมันดิบเป็นแนวโน้มขาขึ้น ราคาก๊าซก็น่าจะเป็นขาขึ้นด้วย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ฝั่งอเมริกาและยุโรปส่วนใหญ่ปิดเขียว ส่วนฝั่งเอเชียส่วนใหญ่ปิดแดง ตลาดหุ้นที่ยังลงแรงได้แก่ตลาดหุ้นเวียดนาม




24/05/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,064.24 จุด เพิ่มขึ้น 10.27 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 23 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้เกิดสัญญาณซื้อทองคำนอก (GC) เนื่องจากลุงแมวน้ำปรับมุมมองเกี่ยวกับราคาทองคำใหม่แล้วว่าราคาทองคำขณะนี้ยังไม่จบคลื่นใหญ่ 5 ดังนั้นจึงยังอยู่ในคลื่นใหญ่ขาขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดสัญญาณซื้อในครั้งนี้ลุงแมวน้ำจึงเปิดสัญญาซื้อทองคำไป

ด้านตลาดต่างประเทศ หลังจากที่เมื่อวานตลาดหุ้นลงแรงเกือบทุกตลาด วันนี้มีรีาวด์ขึ้นมาบ้าง ตลาดหุ้นฝั่งทวีปอเมริกายังลงต่อ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา แคนาดา อาร์เจนตินา บราซิล ล้วนแต่ปิดแดง

ตลาดหุ้นฝั่งยุโรปและเอเชียส่วนใหญ่ปิดเขียว ยกเว้นตลาดหุ้นเวียดนามที่ยังลงแรงต่ออีก ตลาดหุ้นเวียดนามดูเหมือนจะลงติดต่อกัน 12 วันรวดแล้ว




Thursday, May 26, 2011

23/05/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,053.97 จุด ลดลง 18.97 จุด หรือประมาณ -1.8%

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขายรวดเดียวถึง 8 ตัว ได้แก่ BTS, KTB, PS, PTTCH, SCB, SCC, SSI, THAI ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 23 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้เกิดสัญญาณขายหลายตัวเช่นกัน ทั้งหมดเป็นฟิวเจอร์สของไทยในตลาด TFEX ได้แก่ ฟิวเจอร์สของดัชนี SET50 (S50), KBANK, KTB, SCB, SCC, TTA

ลุงแมวน้ำยังมองแนวโน้มของดัชนี SET เป็นขาขึ้นอยู่ ดังนั้นในครั้งนี้จึงปิดสถานะสัญญาซื้อ (cover long position) S50 กับ KTB ที่มีอยู่ในพอร์ตไปเท่านั้น แต่ไม่ได้เปิดสัญญาขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดแดง ที่จริงต้้องบอกว่าเเปิดตลาดมาก็แดงแล้ว โดยเริ่มตั้งแต่เช้าของวัน ไล่มาตั้งแต่ซีกโลกที่ตลาดเปิดก่อนได้แก่ตลาดออสเตรเลีย จากนั้นเมื่อตลาดเอเชียเปิดก็แดง ต่อมาตลาดยุโรปเปิดก็แดง และจากนั้นตลาดอเมริกาเปิดมาก็แดงอีก สาเหตุสำคัญน่าจะมาจากปัจจัยด้านจิตวิทยาที่ประเทศกรีซถูกลดอันดับตราสารหนี้ของรัฐลงอีก ทำให้นักลงทุนเกรงว่าเหตุการณ์อาจลุกลามบานปลายไปยังประเทศที่มีปัญหาหนี้สาธารณะอื่นๆ

ตลาดที่ลงแรงมาก ติดลบไปกว่า 3% ได้แก่เวียดนาม อิตาลี รัสเซีย เวียดนามนี่ลงแรงมาหลายวันแล้ว ส่วนตลาดหุ้นกรีซเองปิดลบประมาณ 1% กว่าๆ ลุงแมวน้ำก็ยังงงๆเหมือนกันว่าหากหุ้นลงทั่วโลกเนื่องจากปัญหากรีซจริงเหตุใดดัชนีตลาดหุ้นของกรีซจึงลบไม่มาก แต่ข่าวก็คือข่าว ลุงแมวน้ำเพียงเล่าให้ฟังประกอบเท่านั้น ไม่ได้มีผลต่อการประเมินและตัดสินใจในเชิงเทคนิคแต่อย่างใด

วันนี้ดัชนีตลาดเกิดสัญญาณขายถึง 7 ตลาด ได้แก่อาร์เจนตินา ชิลี โคลอมเบีย เบลเยียม ไอร์แลนด์ โปรตุเกส สวีเดน ส่วนตลาดอียิปต์เกิดสัญญาณซื้อ

ค่าเงินออสเตรเลียและเงินบาทอ่อนจนเกิดสัญญาณขาย

ลุงแมวน้ำมองว่าปรากฏการณ์ครั้งนี้ยังไม่ลุกลาม ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกายังไม่จบคลื่น B ใหญ่ ทำให้คาดว่าตลาดยุโรปก็คงยังไม่ถึงเวลาจบคลื่น B ใหญ่เช่นกัน ดังนั้นผลกระทบต่อตลาดเอเชียจึงเป็นเพียงแค่ชั่วคราว ตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะไปต่อได้อีก อย่างน้อยก็อีกระยะหนึ่ง




Monday, May 23, 2011

20/05/2011* Currencies

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,072.94 จุด ลดลง 4.56 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ EGCO ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 31 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดแดง ตลาดหุ้นเวียดนามยังคงลงแรง ตามมาด้วยตลาดหุ้นกรีซ รัสเซีย อิตาลี สเปน และเยอรมนี

ค่าเงินในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ค่ายังทรงตัว ช่วงปลายสัปดาห์เงินเยนอ่อนค่าลง เสียตำแหน่งสกุลเงินแข็งอันดับสองให้แก่เงินออสเตรเลียไป (ตามรูป) ส่วนสกุลที่แข็งอันดับหนึ่งยังคงเป็นทองคำ








19/05/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,077.50 จุด เพิ่มขึ้น 1.59 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BH ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 30 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ฟิวเจอร์สของก๊าซธรรมชาติ (NG) เกิดสัญญาณขาย ฟิวเจอร์สของหุ้นไทย TTA เกิดสัญญาณขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกปิดบงกและปิดลบคละกันไป แต่ทางด้านยุโรปส่วนใหญ่ปิดบวก ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลงค่อนข้างแรง







Thursday, May 19, 2011

18/05/2011 * การลงทุนในหุ้น อนุพันธ์ หรือกองทุนที่มีราคาผันผวน (2)

หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยหลุดมาหลายวัน วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,075.91 จุด ลดลง 9.05 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ AOT และมีวัญญาณขาย CPN, LH ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 29 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ฟิวเจอร์สของข้าวสาลี (W) เกิดสัญญาณซื้อ ฟิวเจอร์สของหุ้นไทย ITD, LH เกิดสัญญาณขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปิดเขียว ที่ลงค่อนข้างแรงมีตลาดหุ้นเวียดนามกับตุรกี ทางด้านสัญญาณทางเทคนิคในระดับภูมิภาคยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง




การลงทุนในหุ้น อนุพันธ์ หรือกองทุนที่มีราคาผันผวน (2)



เมื่อตอนที่แล้วเราดูกราฟราคาน้ำมันดิบ (CL) กันไปแล้วว่ามีผันผวนเพียงใด ผลของการแกว่งตัวแรงทำให้เกิดสัญญาณหลอกได้ง่ายขึ้น ทำให้ผลการเทรดขาดทุนหนัก แต่ก่อนที่จะคุยกันต่อไป ลุงแมวน้ำขอย้อนไปดูตารางที่แสดงถึงความผันผวนของสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ตารางนี้เราเคยดูกันไปแล้วแต่ลุงแมวน้ำนำมาแสดงเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง





จากตารางนี้เราจะเห็นว่าราคาน้ำมันดิบกับน้ำตาลทรายเบอร์ 11 (sugar #11, SB) นั้นต่างก็มีความผันผวนสูง แต่หากเหลือบไปดูพอร์ตจำลองของลุงแมวน้ำที่เสนอเป็นประจำทุกวันจะเห็นว่าพอร์ตจำลองนั้นได้กำไรจากการเทรดน้ำตาลมากทีเดียว เทรดน้ำมันดิบขาดทุนไปเกือบ 50,000 ดอลลาร์ ในขณะที่เทรดน้ำตาลกำไรเกือบ 30,000 ดอลลาร์ ถ้าเช่นนั้นความแตกต่างของสินค้าที่มีความผันผวนสูงสองตัวนี้อยู่ที่ไหน

คำตอบก็คือรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคานั่นเอง ลองมาดูกราฟราคาน้ำตาล SB กันก่อน




จะเห็นว่าแม้น้ำตาล SB จัดว่าเป็นสินค้าที่มีความผันผวนสูง ราคาขึ้นแรงลงแรง แต่ว่าการขึ้นแรงหรือว่าลงแรงนั้นเกิดในช่วงที่เป็นขาขึ้นอย่างแรง (คือ bullish trend มีกำลังแรง) หรือว่าเป็นขาลงอย่างแรง (คือ bearish trend มีกำลังแรง) ผลก็คือราคาน้ำตาลมีช่วงที่ขึ้นแบบม้วนเดียวหรือลงแบบม้วนเดียว แทบไม่เกิดสัญญาณหลอกในระหว่างทางเลย ดังนั้นการขึ้นแรงลงแรงแบบนี้จึงทำให้เกิดกำไร

แต่ขณะเดียวกันลองมาดูราคาน้ำมันดิบ ดังนี้




จะเห็นว่ากราฟราคาน้ำมันดิบไม่สวยเท่ากับน้ำตาล ช่วงที่เกิดแนวโน้มแรงๆจนราคาวิ่งแบบม้วนเดียวมีอยู่เพียงช่วงเดียวคือขาลงแรง (ที่แรเงาในภาพ) ส่วนอื่นนั้นเป็นการแกว่งแบบขึ้นๆลงๆ ทำให้เกิดสัญญาณหลอกบ่อยครั้ง เมื่อเทรดไปเรื่อยๆผลขาดทุนสะสมจึงมาก

แต่หากจะถามว่าสินค้าตัวใดที่มีความผันผวนแบบม้วนเดียวยาวๆเหมือนกับน้ำตาล คำตอบก็คือตอบไม่ได้ เนื่องจากรูปแบบของน้ำตาลนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ต่อไปราคาน้ำตาลอาจแกว่งขึ้นๆลงๆแบบน้ำมันดิบจนต้องคืนกำไรไปก็ได้ ไม่มีใครรู้แน่

เมื่อเข้าใจธรรมชาติของสินค้าที่มีความผันผวนแล้วก็มาดูเทคนิคในการเทรดกัน เทคนิคที่ลุงแมวน้ำใช้ในการเทรดสินค้าจำพวกนี้ก็คือ

เทคนิคที่ 1 หลีกเลี่ยง

หลีกเลี่ยง เปลี่ยนไปเทรดอย่างอื่นแทน พูดแล้วก็เหมือนกำปั้นทุบดิน แต่ก็เป็นความจริง สินค้าตัวใดที่ประวัติแรงดี มีกำไรสูง ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าต่อไปจะเป็นเช่นนั้น แต่สินค้าตัวใดที่ประวัติเก่าไม่ค่อยดี ให้ระวังเอาไว้ว่าอนาคตก็จะซ้ำรอยเดิม นี่คือแนวคิดของลุงแมวน้ำซึ่งถือหลักปลอดภัยเอาไว้ก่อน ผลิตภัณฑ์ในโลกการลงทุนมีให้เลือกเทรดมากมาย สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใดประวัติไม่ดีควรหลีกเลี่ยง อย่าไปทนเทรด ยกตัวอย่างเช่นน้ำมันดิบ CL ที่เห็นรายงานในพอร์ตจำลองขาดทุนหนักเป็นเวลานานก็เพราะว่าพอร์ตจำลองนั้นดำเนินไปเรื่อยๆเพื่อให้นักลงทุนเอาไว้ศึกษา แต่หากจะให้เทรดจริงๆลุงแมวน้ำเลือกเทรดอย่างอื่นดีกว่า ไม่จะเป็นต้องไปเสี่ยงกับสินค้าที่ประวัติไม่สวย


เทคนิคที่ 2 ใช้ระบบสัญญาณซื้อขายที่ช้าลง

ใช้ระบบสัญญาณที่ช้าลง แนวคิดนี้ก็คือการพยายามลดสัญญาณหลอกให้เหลือน้อยลงนั่นเอง การใช้ระบบสัญญาณที่มีความไวน้อยลงจะทำให้เกิดสัญญาณซื้อขายช้าลง เมื่อสัญญาณซื้อขายเกิดช้าลง โอกาสเกิดสัญญาณหลอกก็น้อยลงตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นแทนที่จะใช้ระบบ PnT 1 ที่ใช้เส้นซิกแซก 1% ก็เปลี่ยนมาใช้ PnT 3 หรือใช้เส้นซิกแซก 3% แทนนั่นเอง ลองดูผลเปรียบเทียบกัน ภาพต่อไปนี้เป็นการเทรดข้าวสาลี (W)




แท่งเขียวแท่งแดงคือการเกิดสัญญาณซื้อและขายในระบบ PnT 1 ส่วนริบบอน (แถบด้านล่าง) สีน้ำเงินกับสีแดงแทนการเกิดสัญญาณซื้อและขายในระบบ PnT 3

จากภาพ จะเห็นว่าทั้งสองระบบให้ผลกำไรพอๆกัน คือ 45 จุด แต่ที่แตกต่างกันก็คือระบบ PnT 1 ซื้อขายหลายครั้ง ส่วนระบบ PnT 3 นั้นขายเพียงครั้งเดียว ดังนั้นเสียค่าคอมมิชชั่นน้อยกว่า กำไรจากระบบ PnT 3 จึงมากกว่า

แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อเสียเกี่ยวกับระบบสัญญาณช้าที่ต้องทราบเอาไว้ 2 ข้อ คือ ข้อแรก ระบบที่มีความไวน้อยกว่า สัญญาณซื้อขายจะเกิดช้ากว่า คือสัญญาณซื้อก็เกิดช้ากว่า สัญญาณขายก็เกิดช้ากว่า ผลของการใช้ระบบสัญญาณช้าอาจทำให้ขาดทุนหนักได้ดังภาพต่อไปนี้




ส่วนที่แรเงาสีชมพูนั้น ระบบ PnT 1 เกิดสัญญาณซื้อและขายหลายครั้ง แต่ระบบ PnT 3 เกิดสัญญาณซื้อเพียงครั้งเดียวแล้วถือยาวไปขายเอาปลายเดือนมีนาคม ผลก็คือระบบ PnT 3 ให้ผลขาดทุนถึง -43 จุด

ข้อเสียข้อต่อมาของระบบสัญญาณช้าคือเสียสุขภาพจิต กล่าวคือ เนื่องจากระบบสัญญาณช้านั้นสัญญาณขายอยู่ลึก ขณะที่ยังไม่ถึงสัญญาณขายนั้นเป็นช่วงที่ทำใจได้ยากเพราะเราจะเห็นว่าพอร์ตของเรานั้นขาดทุน คืนกำไร หรือว่า draw down (แล้วแต่จะเรียก) ไปมาก ทำให้เสียสุขภาพจิต ผู้ที่ไม่เคยชินหรือไม่มีการฝึกฝนให้เทรดด้วยระบบสัญญาณช้ามาก่อน เมื่อใช้ระบบสัญญาณช้าแล้วพอร์ตเกิดการ draw down อาจเครียดมาก ทำให้เสียสุขภาพจิต

ข้อเสียของระบบที่ช้าจึงเป็นที่มาของเทคนิคข้อที่ 3 นั่นคือ


เทคนิคที่ 3 เข้าตั้งแต่คลื่นต้น

เทคนิคที่ 2 และ 3 นี้ต้องใช้ร่วมกันเสมอ คลื่นต้น คือ คลื่น 1 คลื่น 2 หรือว่าต้นคลื่น 3 เพราะหากใช้ระบบสัญญาณที่ช้าแต่ไปเข้าคลื่นหลัง เข้ากลางคลื่น หรือเข้าปลายคลื่น ผลขาดทุนจะหนักยิ่งกว่าใช้ PnT 1 เสียอีก ดังนั้นการเทรดด้วยระบบสัญญาณที่ช้าจำเป็นต้องเข้าตั้งแต่คลื่นต้นเสมอเพื่อให้สะสมกำไรได้มากพอในคลื่น 3 และรับมือการคืนกำไรในคลื่นหลังจากนั้น

ดังนั้นหากผู้ที่จะเทรดสินค้าผันผวนต้องมีความสุขุม อดทน หนักแน่น รู้จักรอเวลา และต้องนับคลื่นเป็น เพื่อจับจังหวะเข้าเทรดตอนคลื่นต้นได้

ลองดูตัวอย่า CL ที่เทรดด้วยเทคนิค 2 และ 3 ร่วมกัน เข้าเทรดประมาณเดือนเมษายน 2009 หลังจากที่จบขาลงยาวและมีสัญญาณกลับทิศเป็นขาขึ้นแล้ว ผลเป็นดังนี้





ช่วงที่แรเงาสีน้ำเงินนั้นเปรียบเทียบการเทรด 3 ระบบ คือ PnT 0.2 คือใช้เส้นซิกแซก 0.2% ซึ่งก็คือระบบซื้อขายไวนั่นเอง กับอีกสองระบบคือ PnT 1 และ PnT 3

จะเห็นว่าระบบที่ไวไม่เป็นผลดี เพราะแทนที่ความไวของระบบจะเท่าทันความผันผวนแต่ปรากฏว่าก็ยังไม่ทันอยู่ดี ทำให้ยิ่งเกิดสัญญาณหลอกมากครั้ง ขาดทุนถึง 18,790 ดอลลาร์ (ยังไม่รวมค่าคอมมิชชัน) เกิดการเทรดไป 39 ครั้ง หากรวมค่าคอมมิชชันเข้าไปด้วยจะยิ่งขาดทุนมากกว่านี้

ทั้งสามระบบคิดผลกำไรขาดทุนเป็นจำนวนเงินออกมาแล้วแม้จะใช้ระบบ PnT 3 ก็ยังขาดทุนแต่ว่าขาดทุนน้อยกว่า คือขาดทุน 1,800 ดอลลาร์ (ซื้อขาย 12 ครั้ง) ส่วนระบบ PnT 1 ขาดทุน 12,640 ดอลลาร์ (ซื้อขาย 26 ครั้ง ยังไม่รวมค่าคอมมิชชัน)


การเทรดกองทุนรวม

การเทรดกองทุนรวมต่างๆ โดยเฉพาะกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศหรือ FIF (foreign investment fund) นั้น ไม่เหมาะที่จะเทรดด้วยด้วยระบบสัญญาณ PnT 1 เนื่องจากกองทุนรวมมีข้อจำกัดหลายประการ คือ
  1. รายงานค่า NAV ล่าช้า โดยเฉพาะกองทุนรวม FIF กว่าจะรู้ค่า NAV ก็อาจจะหลายวันให้หลัง ทำให้คำนวณสัญญาณ ณ สิ้นวันทำการนั้นๆไม่ได้
  2. การชำระเงินอาจนาน กองทุนรวม FIF มักจ่ายเงินแก่ผู้ถือหน่วยช้า เช่น T+5 หรือบางกองทุนก็เเป็น T+7 ซึ่งกว่าจะได้เงินเข้ามาบางทีเกิดสัญญาณรอบใหม่ไปแล้ว ทำให้มีปัญหาเรื่องกระแสเงินสดที่จะเข้าซื้อขายตามสัญญาณ
  3. ผู้ลงทุนในกองทุนมักเป็นผู้ที่ต้องการลงทุนในช่วงเวลาที่ค่อนข้างนาน ระบบ PnT 1 เกิดสัญญาณซื้อขายค่อนข้างเร็ว ทำให้ฝืนกับนิสัยการลงทุนของผู้ลงทุนเอง
  4. กองทุนรวม FIF บางกองค่าคอมมิชชั่น (หรืออาจเรียกว่าค่า front end, back end) แพง คือแพงกว่าค่าคอมมิชชันซื้อขายหุ้นทั่วไป การซื้อขายบ่อยทำให้ขาดทุนได้

ด้วยเหตุนี้การเทรดกองทุนรวมต่างๆโดยเฉพาะ FIF จึงมักไม่เหมาะที่จะเทรดด้วยระบบ PnT 1 ควรใช้แนวคิดระบบที่ช้าลงและเข้าคลื่นต้นเหมือนกับการเทรดสินค้าผันผวนจึงจะเหมาะสมกว่า

สำหรับระบบที่ช้าลงนั้นก็มีได้หลายแบบ PnT 3 นั้นเป็นเพียงตัวอย่างที่ลุงแมวน้ำนำเสนอและคำนวณให้ดู แต่ในความเป็นจริงแล้วหากมีความรู้เกี่ยวกับระบบสัญญาณและการเขียนโปรแกรมเรายังสามารถออกแบบระบบหรือดัดแปลงระบบได้อีกหลายแนวทางให้ได้ระบบที่ช้าลงและข้ามสัญญาณหลอกไปได้ แม้แต่ PnT 5 (ใช้เส้น 5% zigzag) ซึ่งช่วงการ draw down ลึกมาก หากใช้ด้วยความเข้าใจและมีประสบการณ์ก็สามารถใช้กับการเทรดกองทุนรวมได้ แต่หากใช้อย่างไม่เข้าใจจะเสียสุขภาพจิตมาก





Monday, May 16, 2011

13/05/2011 - 17/05/2011 * การลงทุนในหุ้น อนุพันธ์ หรือกองทุนที่มีราคาผันผวน (1)

ตลาดหุ้น ตลาด AFET และ TFEX ของไทยทำการจนถึงวันที่ 13 จากนั้นเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ดังนั้นข้อมูลในวันที่ 16-17 จึงมีเพียงข้อมูลของตลาดต่างประเทศ

13/05/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,084.96 จุด ลดลง 1.31 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 30 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ฟิวเจอร์สของดัชนีนิกเกอิ (NK) เกิดสัญญาณขาย ดัชนีดอลลาร์ สรอ (US dollar index) ก็เกิดสัญญาณขาย

สำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั้นลุงแมวน้ำยังมองเช่นเดิมว่าในระดับคลื่นใหญ่เป็นขาขึ้นอยู่ ดังนั้นจึงเทรดด้านซื้อ (ด้าน long position) เพียงด้านเดียว จึงเพียงปิดสัญญาซื้อไป

ส่วนดัชนีดอลลาร์ สรอ นั้น หลังจากที่หลุดแนวรับใหญ่ไปแล้วลุงแมวน้ำมีความเห็นว่าน่าจะลงได้อีกยาว แต่ในทางการนับคลื่นยังถือว่าไม่ชัดเจนนัก ต้องถือข้อบ่งชี้ที่เป็นรูปธรรมเป็นหลักเนื่องจากความคิดอาจแฝงอคติได้ ดังนั้นยังคงใช้กลยุทธ์เดิมไปก่อนคือกลยุทธ์ขาขึ้น เทรดด้านซื้อเพียงขาเดียว เมื่อสัญญาณซื้อมาจึงเปิดสัญญาซื้อไป

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นแถบอเมริกาปิดแดงเป็นส่วนใหญ่ ด้านยุโรปปิดเขียวและแดงคละกัน และเอเชียปิดค่อนไปทางเขียว

ดัชนีในระดับภูมิภาควันนี้มีสัญญาณขาย ได้แก่ ดัชนี Dow Jone's Global Index (W1DOW) ดัชนียุโรปไม่รวมอังกฤษ (E2DOW) ก็เกิดสัญญาณขาย



การลงทุนในหุ้น อนุพันธ์ หรือกองทุนที่มีราคาผันผวน (1)

เมื่อสองสามเดือนก่อน ลุงแมวน้ำมีโอกาสเล็ดรอดเข้าไปฟังการสัมมนาเกี่ยวกับกองทุนรวมของ บลจ แห่งหนึ่ง ที่บอกว่าเล็ดรอดเพราะว่าปกติเขาไม่ให้แมวน้ำเข้าฟัง ลุงแมวน้ำก็ได้แต่แอบๆ ทำตัวเล็กๆ ซ่อนอยู่หลังผ้าม่านเพราะความอยากฟังเพื่อหาความรู้

หลังเลิกงาน ผู้เข้าฟังหลายท่านก็กรูกันเข้ามาซักถามผู้จัดการกองทุนเป็นการส่วนตัว ส่วนใหญ่เป็นเรื่องกองทุนน้ำมัน ช่วงนั้นกองทุนน้ำมันกำลังฮิตติดลม (ที่จริงช่วงนี้ก็ยังฮิตอยู่) คงยังจำกันได้ถึงช่วงที่ราคาน้่ำมันดิบ WTI แกว่งอยู่ในกรอบ 70-90 ดอลลาร์/บาเรล ช่วงนั้นแกว่งขึ้นแกว่งลงอยู่แถวนี้พักใหญ่ ใครเข้าที่ราคาสูงเมื่อถึงเวลาราคาน้ำมันลงก็ตกใจเพราะค่า NAV ของกองทุนหดหายไปพอสมควร

"คุณจ๊ะ" หญิงมีอายุคนหนึ่งพูดกับผู้จัดการกองทุน "ถือกองทุนน้ำมันมาหลายเดือนแล้ว ยังขาดทุนอยู่เลย แล้วอย่างนี้จะมีโอกาสได้กำไรไหม"

"คือ อ้า" ผู้จัดการกองทุนคิดอยู่นานก่อนตอบ "ที่จริงกองทุนน้ำมันนี่ต้องเล่นรอบครับ เทรดดิงน่ะครับ ขึ้นก็ขาย ลงก็ซื้อ"

"อ้าว แล้วทำไมตอนซื้อไม่เห็นมีใครบอก" หญิงสูงอายุพูดอีก "แล้วที่ว่าขึ้นขายลงซื้อน่ะ ตอนลงให้ซื้อที่ราคาเท่าไร ตอนขึ้นให้ขายที่ราคาเท่าไร ใครจะบอกฉันล่ะ ฉันจะได้ทำได้ถูก"

"เรื่องแบบนี้ต้องตัดสินใจเอาเองครับ ราคาน้ำมันผันผวน คงบอกล่วงหน้าไม่ได้ว่าต้องซื้อเมื่อไรต้องขายเมื่อไร" ผู้จัดการตอบ

"อ้าว บลา บลา บลา..."

สุดท้ายหญิงสูงอายุและกลุ่มที่ติดกองทุนน้ำมันอยู่ก็กลับไปทั้งๆที่ยังไม่หายข้องใจว่าเมื่อไรตนจะมีกำไร

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ลุงแมวน้ำยกเรื่องนี้ขึ้นมานอกจากเพื่อเป็นการเกริ่นถึงเรื่องการลงทุนในตลาดผันผวนแล้ว อีกส่วนหนึ่งก็อยากสะท้อนให้เห็นภาพการลงทุนของนักลงทุนไทยด้วยว่าทางฝ่ายผู้ลงทุนเองบางส่วนยังขาดความรู้ความเข้าใจที่เพียงพอ กับทางฝ่ายที่จัดการลงทุนหรือสนับสนุนการลงทุนบางส่วนก็ยังทำหน้าที่ให้ความรู้แก่ผู้ลงทุนได้ไม่เพียงพอเช่นกัน คงต้องช่วยๆกันพัฒนาต่อไปอีก การลงทุนของนักลงทุนรายย่อยจึงจะเป็นการลงทุนเพื่อความมั่นคงในชีวิตที่แท้จริง ไม่ใช่การวัดดวงหรือการพนัน


เมื่อวันก่อน ในบทความ 2 เรื่องก่อนหน้านี้ เราได้คุยกันไปถึงเรื่องที่ว่า ตลาดหุ้นในปัจจุบันผันผวนกว่าเมื่อก่อนหรือไม่ กับอีกเรื่องหนึ่งก็คือราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวนกว่าราคาหุ้นจริงหรือไม่ ก็คงได้คำตอบกันไปแล้วว่าตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันไม่ได้ผันผวนกว่าในอดีต แต่ว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวนกว่าตลาดหุ้นไทยจริง ที่เน้นว่าตลาดหุ้นไทยก็เพราะว่าลุงแมวน้ำแสดงข้อมูลเปรียบเทียบราคาสินค้าโภคภัณฑ์กับดัชนีเซ็ต ก็คงสรุปได้แค่นั้น จะไปตีความในเชิงกว้างว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวนกว่าตลาดหุ้นทั้งโลกไม่ได้เพราะว่าตลาดหุ้นแต่ละประเทศก็มีความผันผวนต่างกัน

ไม่ว่าสินค้าโภคภัณฑ์ หุ้น หรือกองทุนก็ตาม หากราคา (หรือ NAV ในกรณีกองทุน) ผันผวนมาก การกะเก็งจังหวะซื้อขายทำได้ยาก ยิ่งผู้ที่ลงทุนในกองทุนรวมส่วนหนึ่งเป็นพวกที่หลีกเลี่ยงความผันผวนจากตลาดหุ้น คิดว่ากองทุนรวมไม่ค่อยหวือหวา น่าอุ่นใจกว่า พอมาเจอราคาน้ำมันดิบและค่า NAV ของกองทุนน้ำมันก็ทำใจได้ยาก หากจะให้ทำแบบเทรดดิงโดยกะเก็งจังหวะซื้อๆขายๆคงทำได้ยากเพราะไม่มีความชำนาญ ประกอบกับยิ่งเป็นลักษณะกองทุนรวมที่ค่า NAV รายงานค่อนข้างล่าช้า กว่าจะรู้ค่า NAV ก็อีกหลายวันให้หลัง การคิดหรือตัดสินใจอะไรโดยดูจาก NAV ย่อมไม่ทันการ


การเทรดในตลาดที่ราคาผันผวนแม้จะมีระบบช่วยก็ยังถือว่ายาก การเทรดด้วยระบบตามแนวโน้ม (trend following system) จะให้ผลไม่ค่อยดีนักเนื่องจากระบบสัญญาณติดตามความผันผวนค่อยทัน ผลก็คือเกิดสัญญาณซื้อขายที่เป็นสัญญาณหลอกหรือ false signal ยิ่งเกิดสัญญาณหลอกบ่อยเพียงใด ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่พอร์ตลงทุนก็ยิ่งมากเท่านั้น อีกประการก็คือ การแกว่งตัวแรงของราคาทำให้เราต้องขายหรือปิดสัญญาในราคาที่ลึก ลองคิดดูว่าหากราคาหุ้นร่วงมาตลอดทั้งวัน เรารอไปขายหรือปิดสัญญาที่สิ้นวันตามระบบ ราคาที่ขายได้ในตอนท้ายตลาดอาจทำให้ขาดทุนได้ลึกมาก

ลองมาดูภาพนี้กัน



ภาพนี้เป็นราคาฟิวเจอร์สน้ำมันดิบ (CL) พร้อมกับรายงานพอร์ตลงทุนของลุงแมวน้ำ ลงทุนด้วยระบบสัญญาณลุงแมวน้ำ (ไม่ใช่ PNT 1.10 เนื่องจากลุงแมวน้ำไม่ได้ทำข้อมูล PNT 1.10 เอาไว้ แต่ก็น่าจะขาดทุนพอๆกัน จึงนำเอามาให้ดูแทน) พอร์ตลงทุนน้ำมันดิบนี้เทียบกันระหว่างสองกลยุทธ์ สีเหลืองคือเทรดด้านลอง (lomg position) เท่านั้น ไม่เทรดด้านชอร์ต ซึ่งคล้ายกับการซื้อขายหุ้น กับอีกช่องหนึ่งคือสีเนื้อ เป็นการเทรดทั้งด้านลองและด้านชอร์ต

จะเห็นว่ากลยุทธ์ที่เทรดด้านลองด้านเดียวนั้นขาดทุนไป 7,660 ดอลลาร์ ส่วนด้านที่ใช้กลยุทธ์เทรดทั้งด้านลองและด้านชอร์ตนั้นยิ่งขาดทุนหนัก คือ 51,050 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,500,000 บาท) ยิ่งเทรดก็ยิ่งขาดทุนหนัก

นี่ก็คือปัญหาของการเทรดตามระบบสัญญาณในตลาดที่มีความผันผวนสูง

แนวทางการแก้ระบบสัญญาณให้ไวขึ้นเพื่อเทรดในตลาดผันผวนนั้น อย่างเช่น จากระบบ PnT 1.10 ที่ใช้เส้นซิกแซก 1% (1% zigzag) ก็ลดลงมา อาจเหลือเพียงใช้ 0.5% zigzag สัญญาณซื้อขายจะได้เกิดไวขึ้น แนวคิดนี้ในความเห็นของลุงแมวน้ำคิดว่าไม่ช่วยแก้ปัญหา มีแต่จะขาดทุนหนักยิ่งขึ้นเนื่องจากระบบที่ไวขึ้นการเกิดสัญญาณหลอกก็จะถี่ยิ่งขึ้น ยิ่งสัญญาณหลอกมากเพียงใดก็ยิ่งขาดทุนมาก ลุงแมวน้ำจึงมองว่าการใช้ระบบสัญญาณให้ไวขึ้นคงแก้ปัญหาไม่ได้

เหตุผลอีกประการก็คือ ระบบการเทรดแบบตามแนวโน้มนี้หากใช้ราคาปิดของแต่ละวันเป็นข้อมูล หรือที่เรียกว่าใช้ข้อมูล end of day นั้นโดยธรรมชาติของระบบเองต้องการเวลาช่วงหนึ่งในการติดตามแนวโน้ม หากเปรียบระบบตามแนวโน้มด้วยข้อมูลราคาปิดของแต่ละวันเป็นเหมือนการขับรถเก๋งในถนน หากการจราจรไปช้าๆ (เปรียบได้กับตลาดที่ผันผวนน้อย) เมื่อเราขับรถเราก็ทิ้งช่วงห่างจากคันหน้าพอสมควร

แต่หากไปขับในทางหลวงระหว่างจังหวัดที่รถใช้ความเร็วสูง (เปรียบเหมือนตลาดที่ผันผวนสูง) การขับรถตามคันหน้าต้องเผื่อระยะให้มากยิ่งขึ้นไปอีก หากขับจ่อจี้ไปติดๆเมื่อรถคันหน้าเลี้ยงหรือเบรกเราจะหยุดไม่ทัน โอกาสชนท้ายมีสูงมาก

ฉันใดก็ฉันนั้น ระบบตามแนวโน้มด้วยข้อมูลราคาปิดรายวันนั้นต้องการระยะห่างพอสมควร หรือก็คือตัวระบบเองต้องมีความไวของสัญญาณอยู่ที่ระดับหนึ่ง จะไปเร่งรัดให้ไวยิ่งกว่านั้นอีกก็เป็นการฝืนธรรมชาติของระบบและอาจยิ่งก่อความเสียหาย

เทคนิคในการเทรดในตลาดที่ผันผวนสูงเป็นอย่างไร โปรดติดตามในวันถัดไป








16/05/2011


กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ฟิวเจอร์สของดัชนี S&P 500 เกิดสัญญาณขาย

ตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ปิดแดง ดัชนี S&P 500 (เป็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาตัวหนึ่งที่คำนวณจากบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ 500) และแนสแดก (Nasdaq) ของสหรัฐอเมริกาก็เกิดสัญญาณขาย (แต่ดัชนีดาวโจนส์ยังเป็นสัญญาณซื้ออยู่) กรีซยังร่วงแรงเนื่องจากเรื่องปัญหาของประเทศ

ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงมาหลายวัน ทำให้ดัชนีในระดับประเทศและในระดับภูมิภาคทยอยกันเกิดสัญญาณขาย สำหรับวันนี้ยังมีดัชนีของตลาดหุ้นนิกเกอิ (Nikkei) ของประเทศญี่ปุ่น และดัชนีคอสปี (Kospi) ของเกาหลีใต้ที่เกิดสัญญาณขาย

ในระดับภูมิภาค ดัชนีเอเชียใต้ (P3DOW) และดัชนีกลุ่มตะวันออกกลางกลุ่มจีซีซี (DJGCC50D) ก็เกิดสัญญาณขาย






17/05/2011


กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ฟิวเจอร์สของดัชนีดาวโจนส์ (DJ) และฟิวเจอร์สทองคำ (GC) เกิดสัญญาณขาย ทั้งตลาดหุนและสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวกันถ้วนหน้าในระยะนี้ แต่ลุงแมวน้ำนับคลื่นของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาแล้วคิดว่าน่าจะยังไม่จบคลื่นใหญ่ ดังนั้นจึงปิดสัญญาซื้อไปเท่านั้น ไม่ได้เปิดสัญญาขาย

ส่วนทองคำนั้นเดิมทีลุงแมวน้ำคิดว่าจบคลื่นไปแล้ว แต่ในที่สุดความจริงก็ออกมาว่ายังไม่จบ ขณะนี้ดูยากแล้วว่าทองคำ GC จบคลื่นใหญ่ไปแล้วที่ราคา 1,557 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ที่ผ่านมานี้หรือเปล่า ประเด็นนี้อาจต้องไปพิจารณาค่าเงินดอลลาร์ สรอ ประกอบด้วย หากเงินดอลลาร์กลับทิศเป็นขาขึ้น ทองคำอาจจบคลื่นได้ แต่หากเงินดอลลาร์ยังไม่ได้กลับทิศ คือยังเป็นแนวโน้มขาลงอยู่ เพียงแต่มีเด้งขึ้นมาบ้างเท่านั้น หากเป็นกรณีหลังทองคำก็ยังไม่น่าจบคลื่นใหญ่ ลุงแมวน้ำให้น้ำหนักไปทางอย่างหลังมากกว่า ดังนั้นจึงปรับมุมมองเกี่ยวกับทองคำเป็นว่ายังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอยู่ ดังนั้นขณะนี้จึงยังไม่เปิดสัญญาขายทองคำ

ตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ปิดแดง ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jone's Industrial Index, DJI) ของสหรัฐอเมริกา ดัชนีแดกซ์ (DAX) ของเยอรมนี และดัชนีฟุตซี 100 (FTSE 100) ของอังกฤษเกิดสัญญาณขาย

ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงมาหลายวัน ทำให้ดัชนีในระดับประเทศและในระดับภูมิภาคทยอยกันเกิดสัญญาณขาย สำหรับวันนี้ยังมีดัชนีของตลาดหุ้นนิกเกอิ (Nikkei) ของประเทศญี่ปุ่น และดัชนีคอสปี (Kospi) ของเกาหลีใต้ที่เกิดสัญญาณขาย

ในระดับภูมิภาค ดัชนีเอเชียใต้ (P3DOW) และดัชนีกลุ่มตะวันออกกลางกลุ่มจีซีซี (DJGCC50D) ก็เกิดสัญญาณขาย



12/05/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,086.27 จุด ลดลง 14.21 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย DCC ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 30 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นแถบอเมริกาปิดเขียวเป็นส่วนใหญ่ ด้านยุโรปและเอเชียปิดแดงเป็นส่วนใหญ่ ตลาดหุ้นกรีซกกับรัสเซียลงแรงกว่าเพื่อน ส่วนตลาดเปรูขึ้นแรง

ช่วงนี้ตลาดฝั่งยุโรปมีข่าวเกี่ยวกับเรื่องปัญหาหนี้ของประเทศในกลุ่ม PIIGS อันหมายถึงโปรตุเกส อิตาลี ไอร์แลนด์ กรีซ และสเปน ค่าเงินยูโรและตลาดหุ้นฝั่งยุโรปจึงดูอึมครึม และส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์ด้วย

ดัชนีในระดับภูมิภาคมีหลายตัวที่เกิดสัญญาณขาย ได้แก่ กลุ่มยุโรปเหนือ (E3DOW) กลุ่มเอเชียและแปซิฟิก (P1DOW) และดัชนีกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว (W3DOW)




Thursday, May 12, 2011

11/05/2011 * ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวนกว่าราคาหุ้นจริงหรือไม่ (2)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,100.48 จุด เพิ่มขึ้น 14.92 จุด ดัชนีปรับตัวขึ้นหลายวันติดต่อกันแล้ว

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 31 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายกาแฟ (KC) และมีสัญญาณซื้อ KBank

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นแถบอเมริกาปิดแดงเป็นส่วนใหญ่ ด้านยุโรปและเอเชียปิดเขียวและแดงคละกันแต่ดูเหมือนตลาดที่ปิดเขียวจะมีมากกว่าที่ปิดแดงเล็กน้อย


ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวนกว่าราคาหุ้นจริงหรือไม่ (2)


หลังจากที่ลิงชิมแปนซีได้ดูตารางแสดงการกระจายความถี่ของความเปลี่ยนแปลงในราคาทองคำแล้วตั้งแต่ปี 1991 เป็นต้นมา ความถี่ของราคาปิดที่เปลี่ยนแปลงในช่วง -1% ถึง 1% (ดูที่บรรทัด sum -1% to 1%) มีน้อยลง อันแสดงถึงว่าราคาปิดที่ขึ้นแรงหรือลงแรงกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์มีมากขึ้น ยิ่งในช่วงปี 2006 ถึง 2010 ค่าความถี่ในช่วงดังกล่าวได้ลดลงจนเหลือ 58.06% แสดงว่าผันผวนของราคาทองคำรุนแรงยิ่งกว่าที่เคยผ่านมา

ลิงชิมแปนซีดูตารางของลุงแมวน้ำ ทำเสียงจึ๊กจั๊กแล้วพูดว่า

“โอ้โฮ ยังงี้นี่เอง ที่แท้ราคาทองคำผันผวนมาก มิน่าล่ะ เห็นขึ้นลงทีละหลายสิบดอลลาร์”

ลุงแมวน้ำจึงล้วงเอากระดาษอีกใบหนึ่งออกมาจากหูกระต่าย

“นายจ๋อคงแปลกใจที่ลุงจะบอกว่าราคาทองคำไม่ได้ผันผวนอะไรมากมายนัก แค่ผันผวนพอๆกับหุ้นไทยเท่านั้นเอง ไม่เชื่อก็ลองไปดูตารางแสดงความผันผวนของดัชนีเซ็ตสิ แล้วจะเห็นว่ารูปแบบของการแจกแจงความถี่ไม่ได้ต่างกัน”

“ลุงๆ หูกระต่ายของลุงนี่ไปเอามาจากไหนน่ะ ดูแหล่มมากเลย” ลิงหันมาสนใจหูกระต่ายของลุงแมวน้ำแทน “ไหน มีข้าวผัดกระเพราสักจานไหม ล้วงออกมาให้กินหน่อยสิ”

“พูดเป็นเล่น จะมีได้ยังไง มีแต่กล้วยหอม เอ้า เอาไปกินก่อน” ว่าแล้วลุงแมวน้ำก็ล้วงกล้วยหอมออกมาจากหูกระต่ายให้ลิงชิมแปนซีกิน

“แล้วลุงมีอะไรให้ดูอีกบ้าง เอาออกมาให้หมดเลยดีกว่า ดึงมาทีละแผ่นไม่ทันใจวัยรุ่นเลย” ลิงบ่น

“เรื่องมากจริงนายจ๋อนี่” ลุงแมวน้ำบ่นบ้าง แต่ก็ล้วงเอากระดาษอีกหลายแผ่นออกมา พลางอธิบายทีละแผ่น

“แผ่นนี้คือตารางแสดงการกระจายความถี่ของราคาปิดโลหะเงินหรือซิลเวอร์ (silver, SI) แม้ว่าทองคำกับเงินจะเป็นโลหะมีค่าเหมือนกัน แต่นักลงทุนในบ้านเราอาจไม่ค่อยคุ้นเคยเท่ากับทองคำเนื่องจากในบ้านเราผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการลงทุนในทองคำมีมากกว่า ทั้งทองรูปพรรณ ทองแท่ง กองทุนทองคำ ตั๋วทอง ฟิวเจอร์สทองคำ ฯลฯ แต่อีกไม่นานเราก็จะมีฟิวเจอร์สเงินให้เทรดกันแล้ว ต่อไปเรานักลงทุนไทยคงคุ้นเคยกับโลหะเงินนี้มากขึ้น แต่ลองมาดูตารางนี้กันก่อน”



“เห็นไหมว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาราคาเงินก็ผันผวนกว่าทองคำ ดูได้จากค่า sum -1% to 1% และ sum -2% to 2% ไล่ตั้งแต่ปี 1991 มาก็เห็นว่าราคาเงินผันผวนกว่าแล้ว ยิ่งมาในช่วงปี 2006-2010 ราคาเงินยิ่งผันผวนหนัก ค่า sum -1% to 1% ลดลงเหลือประมาณ 40.10% เท่านั้น และดูการกระจายของความถี่ในช่วงร้อยละต่างๆจะเห็นว่าราคาเงินแกว่งแรงกว่าราคาทองคำมาก ซึ่งการแกว่งแรงแบบนี้หากใช้สัญญาณซื้อขายตามระบบมักเกิดสัญญาณหลอก รวมทั้งหากขาดทุนจะเข้าเนื้อลึกมาก ผลิตภัณฑ์อะไรที่ราคาแกว่งแรงเกินไปมักไม่เหมาะกับการเทรดตามระบบสัญญาณราคาปิด”

จากนั้นลุงแมวน้ำก็นำกระดาษอีก 3 แผ่นมาอธิบายต่อไป

“เอาละ เมื่อดูตารางการกระจายความถี่นี้จนคุ้นแล้ว คราวนี้ลองมาดูความผันผวนของราคาน้ำมันดิบ (CL) ยางพารา (Tocom rubber) กับข้าวสาลี (W) ดูบ้าง”









จากนั้นลุงแมวน้ำก็ล้วงเอากระดาษใบสุดท้ายออกมาจากหูกระต่าย

“สำหรับตารางสุดท้ายนี้คือตารางสรุป โดยลุงนำราคาผลิตภัณฑ์ต่างๆในช่วงปี 2006-2010 มาแจกแจงความถี่เทียบกัน จะได้เห็นได้ถนัดว่าใครแรงกว่าใคร มีผลิตภัณฑ์ที่นำมาเทียบกันก็คือ SETI, น้ำมันดิบ (CL), ยางพาราตลาดโตคอม, ทองคำ (GC), เงิน (SI), ข้าวสาลี (W), ข้าวโพด (C), และน้ำตาลทราย (SB) นายจ๋อลองบอกลุงหน่อยสิว่าใครแรงกว่าใคร”




ลิงดูกระดาษ พลิกกลับไปกลับมาชั่วครู่ แล้วทำหน้างง “ยังดูไม่รู้เรื่องเลยลุง ลุงสรุปให้หน่อยสิ”

“เฮ้อ กลุ้มใจ” ลุงแมวน้ำถอนหายใจ “ในความเห็นของลุง ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่นำมาเทียบกันนี้ ราคาทองคำกับดัชนี SETI ผันผวนพอๆกัน แล้วผันผวนน้อยกว่าเพื่อนในกลุ่ม ที่ผันผวนมากที่สุดในกลุ่มน่าจะเป็นข้าวสาลี ที่แรงรองลงมาได้แก่ น้ำมันดิบ เงิน และน้ำตาล ส่วนยางพารากับข้าวโพดแรงน้อยลงมาอีกนิด”

“โห นี่ขนาดยางพาราผมว่าแรงแล้วนะ ที่แท้ข้าวสาลีกับน้ำมันดิบผันผวนแรงกว่า สินค้าโภคภัณฑ์นี่น่ากลัวแฮะ” ลิงพูด

“ดังนั้นลุงจึงเห็นว่าน้ำมันดิบนั้นเทรดด้วยระบบสัญญาณซื้อขายได้ยาก ลองไปดูข้อมูลในพอร์ตจำลองที่เว็บบล็อกของลุงก็ได้ เทรดมาตั้งปีสองปี ป่านนี้ยังขาดทุนจมหูเลย” ลุงแมวน้ำพูด “หากจะเทรดสินค้าพวกแรงๆ เช่น น้ำมันดิบ ไม่ว่าจะถือฟิวเจอร์สหรือถือกองทุนก็ตาม ต้องมีเทคนิคเพิ่มเติมขึ้นมาอีก คนที่ลงทุนในกองทุนน้ำมันคงเข้าใจดีว่าน้ำมันนั้นเทรดยาก นักลงทุนที่ทนราคาผันผวนของกองทุนน้ำมันไม่ไหวยอมขายขาดทุนไปก็มาก”

“ไหนขาดทุนจมหู ลุงแมวน้ำมีหูกับเขาที่ไหน คริ คริ” ลิงชะโงกมองที่ศีรษะของลุงแมวน้ำแล้วหัวเราะ “ว่าแต่ใช้เทคนิคอะไรเทรดกองทุนน้ำมันล่ะลุง”

“ไม่บอกล่ะ” ลุงแมวน้ำพูด “วันนี้เมื่อยแล้ว เอาไว้วันหลังค่อยว่ากัน”