Wednesday, June 25, 2014

25/06/2014 การลงทุนหุ้นและกองทุนรวมในอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพ (healthcare industry) (4)



กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ของหุ้นในซับเซ็กเตอร์โรงพยาบาล ยา และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ดีกว่าซับเซ็กเตอร์ไบโอเทคเสียอีก อีกทั้งความผันผวนน้อยกว่า



หลังจากที่ลุงแมวน้ำดูดน้ำปั่นจนชื่นใจแล้วจึงคุยต่อ

“เมื่อกี้เราคุยกันถึงไหนแล้วล่ะ” ลุงแมวน้ำถาม

“ลุงดูดน้ำปั่นทีไรเป็นลืมเรื่องที่เราคุยกันทุกที” ลิงบ่น “ลุงบอกว่าในอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพยังมีซับเซ็กเตอร์อื่นที่ให้ผลตอบแทนดีและเสียวไส้น้อยกว่าซับเซ็กเตอร์ไบโอเทคโนโลยีไง”

“อ้อ ใช่ ลุงเล่าค้างไว้ตรงนั้นเอง” ลุงแมวน้ำพูดพลางดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากหูกระต่าย จากนั้นคลี่ออกแล้วพูดต่อ “เอ้า นายจ๋อ มาดูนี่



หุ้นโรงพยาบาล หุ้นยา และหุ้นวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์


“ตารางนี้เป็นข้อมูลทางปัจจัยพื้นฐานของซับเซ็กเตอร์ต่างๆในอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพ ข้อมูลนี้ลุงเอามาจาก Yahoo Industry Center ซึ่งทางยาฮูก็มีการจัดแบ่งซับเซ็กเตอร์ในอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพแตกต่างไปจากที่ลุงแมวน้ำเคยยกตัวอย่างมาให้ดู แต่ก็ไม่เป็นไร แม้จะแบ่งซับเซ็กเตอร์ไม่เหมือนกัน แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่ สามารถใช้ดูเป็นแนวทางได้

“ตารางนี้แสดงซับเซ็กเตอร์พร้อมกับขนาดมาร์เก็ตแคป ค่าพีอีเฉลี่ยของซับเซ็กเตอร์ รวมทั้งยังแสดงค่า ROE, dividend yield, และค่า net profit margin เฉลี่ยของซับเซ็กเตอร์อีกด้วย”

“แล้วดูยังไงล่ะลุง” ลิงถาม “มีแต่ตัวเลขเต็มไปหมด ผมดูไม่ค่อยเข้าใจ”

“เมื่อนายจ๋อซื้อหุ้น เรื่องที่นายจ๋อให้ความสำคัญที่สุดในการเลือกหุ้นคืออะไรล่ะ” ลุงแมวน้ำถาม

“ก็ผลกำไรน่ะสิลุง ถามได้” ลิงตอบ

“ใช่แล้ว สิ่งที่นักลงทุนสนใจมากที่สุดก็คือเงินที่ลงทุนไปนั้นให้ผลตอบแทนได้มากน้อยเพียงใด” ลุงแมวน้ำตอบ “ในเชิงการเทรด ก็หมายถึงการที่เราซื้อหุ้นในราคาถูกแล้วขายได้ในราคาแพงๆ แต่ในเชิงการทำธุรกิจ ก็หมายถึงว่าธุรกิจนั้นเอาเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นไปดำเนินธุรกิจแล้วธุรกิจนั้นมีกำไรเมื่อเทียบกับเงินลงทุนแล้วเป็นอย่างไร”

“ก็ยังงงอยู่เลยลุง” ลิงทำหน้างงๆ

“ไม่เป็นไร ในชั้นนี้ลุงสรุปง่ายๆก็แล้วกันว่า เมื่อนักลงทุนพิจารณาหุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐาน ตัวเลขทางการเงินค่าหนึ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจก็คือค่า ROE (return on equity) ซึ่งค่านี้แสดงกำไรสุทธิของกิจการหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น ค่านี้ถือกันว่ายิ่งสูงก็ยิ่งดี โดยทั่วไปนักลงทุนมักหาหุ้นที่มีค่า ROE เกินกว่า 15%  เพราะนั่นแปลว่าเงินลงทุนของเราให้ผลตอบแทนที่ดี” ลุงแมวน้ำพูด

“ลุงพูดสั้นๆ ง่ายๆ แบบนี้แต่แรกก็หมดเรื่อง” ลิงจ๋อยิ้มออกมาได้ พลางก้มหน้าดูในตาราง “ไหน ลุง แล้วกลุ่มไหนมีค่า ROE สูงๆบ้างล่ะ”

“นายจ๋อดูที่ซับเซ็กเตอร์ไบโอเทคโนโลยีก่อน เห็นไหมว่า ROE ของซับเซ็กเตอร์นี้เฉลี่ยแล้วมีค่า 4.7% ในทางปัจจัยพื้นฐานถือว่าผลตอบแทนต่อเงินลงทุนยังไม่สูงนัก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าหุ้นในกลุ่มนี้แตกต่างกันมากนั่นเอง บางบริษัทก็ขาดทุนหนัก บางบริษัทก็กำไรมาก เฉลี่ยแล้วจึงได้ตัวเลขที่ดูไม่น่าประทับใจนัก” ลุงแมวน้ำอธิบาย “ทีนี้ลองดู 3 บรรทัดบนสุดของตารางนี้ เห็นไหมว่าค่า ROE เป็นอย่างไร”

“ว้าว” ลิงอุทาน “ซับเซ็กเตอร์โรงพยาบาล ค่า ROE สูงดีจัง ตั้ง 78.9%”

“สามบรรทัดแรกของตารางคือ 3 ซับเซ็กเตอร์ที่มีค่า ROE สูง คือให้ผลตอบแทนต่อเงินลงทุนสูง จะเห็นว่าโรงพยาบาลให้ผลตอบแทนดีมาก คือ 78.9% รองลงมาคือซับเซ็กเตอร์ผู้ผลิตยารายใหญ่ มีค่า ROE 24.9% และตามด้วยซับเซ็กเตอร์ผู้ผลิตวัสดุทางการแพทย์ พวกที่ใช้แล้วทิ้งไป เช่น ชุดตรวจเบาหวาน ชุดตรวจการตั้งครรภ์ สายยาง เข็ม หลอดฉีดยา ฯลฯ ให้ค่า ROE 14.5% สามกลุ่มนี้ก็น่าลงทุนเช่นกัน” ลุงแมวน้ำพูด “หากดูจากตัวเลข สามกลุ่มที่ลุงว่านี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อเงินลงทุนดีกว่ากลุ่มไบโอเทคอีก และราคาก็ผันผวนน้อยกว่า ผู้ที่ไม่ชอบความหวือหวาก็คงชอบ เพราะไม่ค่อยเสียวไส้ แต่หากชอบความตื่นเต้นผจญภัยก็ต้องไปกลุ่มไบโอเทค”

“เดี๋ยวก่อน ลุง นี่เป็นข้อมูลของตลาดหุ้นอเมริกานี่” ลิงจ๋อทักท้วง “แล้วผมจะเอามาใช้ประโยชน์อะไรได้ล่ะ”

“ได้สิ อย่าลืมว่านี่คือเมกะเทรนด์หรือเป็นกระแสโลก ตลาดหุ้นอื่นๆก็ยังสามารถยึดแนวทางนี้ได้ นั่นคือ หุ้นในกลุ่ม โรงพยาบาล ยา วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดี” ลุงแมวน้ำตอบ “และนอกจากนี้ เรายังสามารถใช้เป็นแนวทางในการเลือกหุ้นและกองทุนรวมได้อีกด้วย”

“งั้นเหรอครับ ถ้ายังงั้นขยายความต่อเลยลุง” ลิงจ๋อพูด “พูดถึงกำไรแล้วผมหายง่วงเลย”

“เดี๋ยวก่อน ลุงคอแห้ง...” ลุงแมวน้ำพูด แต่ยังไม่ทันจบประโยค

“โอ๊ย ไม่ต้องหยุดดูดน้ำปั่นแล้ว ลุงเล่าต่อก่อน กำลังอยากรู้” ลิงจ๋อดุ “ทำไมคอแห้งบ่อยจริง”

“อ้อ อ้อ อ้อ ยังไม่ดูดน้ำปั่นก็ได้ เฮ้อ...” ลุงแมวน้ำจ๋อย “ก็นี่แหละ ในตลาดหุ้นบ้านเราไม่มีหุ้นไบโอเทค มีแต่หุ้นโรงพยาบาล แต่จากข้อมูลนี้ลุงก็กำลังจะบอกว่าหุ้นโรงพยาบาลนี้ก็เป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีไง ก็เลือกลงทุนได้ และนอกจากนี้ ตอนนี้เรายังมีหุ้นผู้ผลิตยา วิตามิน และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแล้วด้วย ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน  นอกจากนี้ เรายังมีกองทุนรวมในธีมสุขภาพที่ไปลงทุนในต่างประเทศด้วย 3 กองทุน เราก็ใช้หลักนี้ในการพิจารณาเลือกลงทุนได้”

“อ้อ ถ้ายังงั้นในบ้านเราก็มีหุ้นและกองทุนในอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพให้เลือกพอสมควรเลยสินะ ถ้ายังงั้นมีหุ้นและกองทุนอะไรที่น่าลงทุนบ้างละลุง” ลิงจ๋อถาม

“ถามกันตรงๆแบบนี้เลยรึ” ลุงแมวน้ำหัวเราะ “ตอบตรงๆไม่ได้หรอก แต่เอาเป็นว่าลุงจะเล่าภาพกว้างของอุตสาหกรรมนี้ในเมืองไทยให้ฟังก็แล้วกัน”

“คร้าบ เชิญเลยลุง” ลิงจ๋อตอบ

“พูดถึงกลุ่มยา วิตามิน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก่อนก็แล้วกัน เพราะมีหุ้นเพียงไม่กี่ตัว กลุ่มนี้เท่าที่ลุงนึกออกก็มีเพียง 2 หุ้น

หุ้น MEGA ผลิตยา ไวตามิน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หุ้นนี้ทาง MSCI เลือกเข้าไปคำนวณดัชนี MSCI Small Cap Index ด้วย ตลาดหลักทรัพย์จัดให้ MEGA อยู่ในกลุ่มพาณิชย์ ดังนั้นบางคนจึงอาจนึกไม่ถึงว่าในอีกมุมหนึ่งก็เป็นหุ้นในอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์

“กับอีกหุ้นหนึ่งคือ หุ้น APCO นี่ผลิตพวกผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จัดอยู่ในกลุ่ม MAI ก็อยู่ในข่ายเฮลท์แคร์เช่นกัน”

“แล้วหุ้นโรงพยาบาลล่ะลุง บ้านเรามีหุ้นโรงพยาบาลอยู่ไม่น้อย แล้วจะเลือกยังไง” ลิงถาม

“ใช่แล้ว ตลาดหลักทรัพย์บ้านเรามีหุ้นโรงพยาบาลอยู่ไม่น้อย โดยจัดอยู่ในกลุ่มการแพทย์ นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลที่อยู่ในกลุ่ม MAI ด้วย ปัจจุบันมีโรงพยาบาลในตลาดหลักทรัพย์ 16 แห่ง และที่ชวนให้งุนงงก็คือ หุ้นโรงพยาบาลเหล่านี้ถือหุ้นไขว้กันไปไขว้กันมาอีกด้วย กลายเป็นหุ้นในลักษณะเครือข่ายหรือพันธมิตรกัน” ลุงแมวน้ำพูด

“มีเครือข่ายไหนบ้างละครับ” ลิงจ๋อถาม

“ตอนนี้คนในวงการโรงพยาบาลก็พูดกันเล่นๆว่า โรงพยาบาลเอกชนมีอยู่แค่ 2 เครือข่าย คือ กลุ่มดุสิต กับกลุ่มนันดุสิต (non-dusit) คือหากจะมองกว้างๆก็มีแค่สองเครือข่ายแค่นี้แหละ คือ BGH และโรงพยาบาลที่ BGH ไปเทคโอเวอร์มาหรือไปถือหุ้นบางส่วน พวกนี้คือเครือดุสิต กับโรงพยาบาลอื่นๆที่กลุ่มดุสิตไม่ได้ถือหุ้น หรือถืออยู่น้อย ไม่ได้มีส่วนควบคุมการบริหาร ก็เรียกว่าเป็น non-dusit

“แต่ถ้าหากจะมองเป็นก๊กใหญ่ๆ ตอนนี้ก็น่าจะเป็น 3 ก๊ก คือ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ (BGH) อันประกอบด้วยโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) บำรุงราษฎร์ (BH) และโรงพยาบาลอื่นๆทั้งที่อยู่ในและนอกตลาดหลักทรัพย์อีกนับสิบโรงพยาบาล

“กับอีกกลุ่มคือ เครือโรงพยาบาลวิภาวดี (VIBHA) ประกอบด้วย โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม (CMR) ศิขรินทร์ (SKR) วิภาราม แพทย์ปัญญา สินแพทย์ คือมีทั้งโรงพยาบาลทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน

“อีกกลุ่มคือ เครือบางกอกเชน (BCH) คือกลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ การุญเวช และ WMC (World medical center)

“ข้อมูลเหล่านี้ไม่นิ่งนะนายจ๋อ กลุ่ม ก๊ก สัดส่วน เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพราะตอนนี้กลุ่มโรงพยาบาลไทยเทคโอเวอร์กันสนั่น หุ้นโรงพยาบาลเดิมทีเป็นหุ้นกลุ่มที่ทนต่อสภาพเศรษฐกิจ (defensive stock) โตไม่เร็วแต่ก็ไม่ลงแรง แต่ตอนนี้หุ้นโรงพยาบาลต้องนิยามกันใหม่แล้วว่าเป็นหุ้นเติบโตเร็ว (growth stock)  โรงพยาบาลใหญ่ มีโรงพยาบาลในเครือมาก พวกนี้บริหารแพทย์ บริหารต้นทุนได้ดี กำไรมาจากการลดต้นทุนด้วย พวกนี้ก็ราคาหุ้นขึ้นดีเพราะว่ากำไรเติบโตดี


เปรียบเทียบราคาหุ้นในรอบ 5 ปีของหุ้นโรงพยาบาลกรุงเทพฯ (BGH) เกษมราษฎร์ (BCH) และวิภาวดี (VIBHA) เทียบกันดัชนีเซ็ต (SET index) จะเห็นว่าหุ้นโรงพยาบาลให้ผลตอบแทนหลายเท่าตัว ดีกว่าดัชนี ดังนั้น ในปัจจุบัน หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลไม่ใช่หุ้นตั้งรับหรือ defensive stock แล้ว แต่ว่าเป็นหุ้นเติบโตสูง (growth stock)


“ส่วนพวกโรงพยาบาลเล็ก หรือโรงพยาบาลเดี่ยว ไม่มีเครือข่าย แม้ว่าผลประกอบการไม่ค่อยดี เนื่องจากต้นทุนสูง บริหารบุคลากรและบริหารต้นทุนให้ต่ำได้ยาก แต่ราคาหุ้นก็วิ่งดีเหมือนกัน เนื่องจากคาดหมายกันว่าสักวันหนึ่งอาจถูกเทคโอเวอร์ วันนี้ลุงพูดเฉพาะในภาพใหญ่ก่อน ลงรายละเอียดในตอนนี้ไม่ไหวเพราะว่าเยอะเหลือเกิน”

“ไม่เป็นไรครับลุง ผมฟังแล้วยังงงอยู่เหมือนกัน ลุงแมวน้ำพูดถึงกองทุนรวมด้วยดีกว่า” ลิงจ๋อซักต่อ



กองทุนรวมสุขภาพ (กองทุนรวมเฮลท์แคร์)


“กองทุนรวมโดยทั่วไปที่ลงทุนในหุ้นไทยมักมีหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลอยู่ด้วย แต่ กองทุนรวมที่ลงทุนในอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์โดยตรง ตอนนี้มีเพียง 2 กองทุน และเป็นกองทุนประเภท FIF (foreign investment fund) คือไปลงทุนในต่างประเทศทั้งสองกองทุนเลย นั่นคือ กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์ (BCARE) ของค่ายบัวหลวง กับ กองทุนเปิดภัทร โกลบอล เฮลธ์แคร์ (PHATRA GHC) และ กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลเฮลธ์แคร์อิควิตี้ปันผล (KF-HEALTHD)

“รายละเอียดเป็นยังไงบ้างละลุง สามกองทุนนี้ต่างกันยังไง” ลิงจ๋อถาม

“โอย ลุงคอแห้ง ไม่ไหวแล้ว ขอดูดน้ำปั่นก่อนค่อยเล่าต่อ” ลุงแมวน้ำพูด

No comments: