Saturday, May 5, 2012
เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ พริกขี้หนูลดน้ำหนัก
เช้านี้ลุงแมวน้ำอารมณ์แจ่มใสเพราะว่าเป็นวันหยุดยาว อีกทั้งยังเป็นวันที่ 5/5/55 ดังนั้นลุงแมวน้ำคงต้องพยายามหัวเราะทั้งวัน
เช้านี้จะทำอะไรดีล่ะ มาปลูกต้นไม้กันดีกว่า ต้นไม้ที่ลุงแมวน้ำจะแนะนำวันนี้เป็นต้นไม้วิเศษ พูดจริงไม่ได้พูดเล่น อ่านต่อไปแล้วจะรู้ว่าต้นไม้นี้สารพัดประโยชน์จริงๆ
ต้นไม้วิเศษที่ว่านี้คือต้นแมวน้ำ เอ๊ย ไม่ใช่ ต้นพริกขี้หนู มีประโยชน์มากมาย แต่จะใช้สอยให้กวาดบ้าน ถูพื้น ล้างจาน ไม่ได้นะ หมายถึงประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น ^_^
เมื่อพูดถึงพริก แต่ละคนคงนึกถึงพริกในแง่มุมต่างๆกัน สาวๆอาจนึกถึงสารสกัดพริกที่ใช้ลดน้ำหนัก บางคนอาจนึกถึงน้ำพริกกะเหรี่ยงรสเผ็ด บางคนอาจนึกถึงพริกยอดสนคั่วกลิ่นหอมฉุยที่กินกับขนมจีนน้ำยาหรือกินกับข้าวซอย รวมทั้งบางคนอาจนึกถึงพริกชี้ฟ้าที่มีสีสันสดใส ใช้ประดับจานอาหารให้ดูน่ากิน
พวกพริกที่เป็นผลเรียวยาว (ไม่รวมพริกไทย) เป็นพืชในสกุลเดียวกัน นั่นคือ สกุลแคปสิคัม (Genus Capsicum) ซึ่งเป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก แปลว่าเผ็ดร้อน ว่ากันว่าถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของพริกอยู่ในทวีปอเมริกา มีการเพาะปลูกกันมาหลายพันปีแล้ว ต่อมาจึงกระจายไปตามภูมิภาคต่างๆของโลก
พริกมีผลเรียวยาว (ที่เห็นเป็นฝักสีเขียวๆแดงๆ หากเรียกให้ถูกคือผลพริก แต่ส่วนใหญ่เรามักเรียกว่าเม็ดพริก จำนวนนับในภาษาไทยเราก็นับพริกเป็นเม็ด ไม่ได้นับเป็นผล แต่เพื่อไม่ให้สับสน ลุงแมวน้ำขอเรียกว่าผลพริก) นี้หากแบ่งย่อยลงไปอีกก็จะแบ่งเป็นพริกรสเผ็ด กับพริกที่รสไม่เผ็ด พวกพริกที่มีรสเผ็ดส่วนมากมักมีผลเล็ก ได้แก่พวก พริกขี้หนู พริกกะเหรี่ยง พริกยอดสน ฯลฯ ส่วนพริกที่ไม่เผ็ดมักเป็นพริกผลใหญ่ นั่นคือ พริกหยวก พริกชี้ฟ้า พริกหวาน ฯลฯ นอกจากนี้แล้วยังมีชื่อพื้นเมือง ชื่อท้องถิ่นที่ใช้เรียกพริกอีกมากมาย
ที่ลุงแมวน้ำอยากเขียนถึงก็คือพริกขี้หนูซึ่งเป็นกลุ่มพริกรสเผ็ด พริกขี้หนูนี้มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Capsicum frutescens L. ซึ่งยังแยกเป็นสายพันธุ์ย่อยอีกมากมายเนื่องจากพริกนี้มีผู้นิยมผสมและคัดพันธุ์พริกกันค่อนข้างมาก ส่วนพริกชี้ฟ้านั้นมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Capsicum annuum L. คืออยู่ในสกุล (genus) เดียวกันแต่เป็นคนละชนิดพันธุ์ (species) กัน
จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่าสารที่ทำให้เกิดความเผ็ดร้อนในพริกนั้นมีคุณประโยชน์มากมาย โดยนักวิทยาศาสตร์เรียกสารที่ทำให้เกิดความเผ็ดร้อนในพริกว่าสารแคปไซซิน (capsaicin) ลองมาดูกันว่าประโยชน์ของแคปไซซินที่นักวิทยาศาสตร์วิจัยค้นคว้าออกมานั้นมีอะไรบ้าง
ผลต่อการขยายตัวของหลอดเลือด พบว่าสารแปคไซซินนี้ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว มีเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณนั้นมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเมื่อกินลงไปในกระเพาะก็จะทำให้เนื้อเยื่อของกระเพาะและลำไส้เล็กส่วนต้นมีเลือดไปเลี้ยงมากขึ้น ช่วยให้มีการดูดซึมสารต่างๆทำให้ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้น ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่าฤทธิ์ในด้านไบโออะเวลาบิลิตี (bioavailability เรียกยากจัง)แต่อย่างไรก็ดี ผลด้านการขยายตัวของหลอดเลือดคงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลไกด้าน bioavailability เท่านั้น
ช่วยในการละลายลิ่มเลือด ซึ่งลิ่มเลือดนี้เองที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงทำให้หัวใจวาย หรือภาวะลิ่มเลือดอุดตันในสมองก็ทำให้ร่ายกายเป็นอัมพฤกษ์ สารแคปไซซินช่วยละลายลิ่มเลือดและป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวเป็นลิ่มได้ ดังนั้นจึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะลิ่มเลือดอุดตันได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่ายก็ต้องระวังเพราะแคปไซซินจะยิ่งทำให้เลือดออกง่ายและหยุดได้ยาก
ช่วยเพิ่มเมตาโบลิซึมในร่างกาย หมายถึงช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญในร่าง ทำให้ร่างกายใช้พลังงานเพิ่มขึ้น และนี่เองคือจุดที่นักธุรกิจนำไปใช้เป็นจุดขายในผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก คือทำเป็นสารสกัดพริกขายโดยอ้างว่ากินแล้วผอมหรือกินแล้วหุ่นดี พวกสารที่กินแล้วผอมนี่ยังมีอีกตัวหนึ่ง นั่นคือกรดอะมิโนแอล คาร์นิทีน (L-carnitine) ที่นิยมเอาไปทำกาแฟลดน้ำหนักกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทั้งแคปไซซินและแอลคาร์นิทีนแม้จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้บ้างก็จริง แต่ช่วยเพิ่มได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น พฤติกรรมการบริโภคมีความสำคัญที่สุด หากยังกินมาก นอนมาก ออกกำลังน้อย สารเหล่านี้ก็ช่วยลดน้ำหนักไม่ได้อยู่ดี ซ้ำยังเป็นผลร้ายที่ทำให้เรายิ่งประมาท ไม่ระมัดระวังในการบริโภค เผลอๆจะอ้วนมากกว่าเดิมเสียอีก
ประโยชน์ประการต่อมาของแคบไซซินก็คือ ช่วยลดคอเลเตอรอล (cholesterol) และ ช่วยลดไขมันชนิดที่ไม่ดี (ที่เรียกว่า แอลดีแอล LDL) ในกระแสเลือด อีกทั้ง ช่วยเพิ่มปริมาณไขมันชนิดดี (คือไขมันชนิด HDL) ประโยชน์ข้อนี้ก็สำคัญ เพราะว่า LDL นั้นทำให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมสภาพ ขาดความยืดหยุ่น เพิ่มปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน แต่ก็อีกนั่นแหละ พฤติกรรมการบริโภคยังมีความสำคัญมากที่สุดอยู่ดี
ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด สารแคปไซซินช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ลดลงได้บ้าง ดังนั้นจึงมีประโยชน์สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานหรือต้องการคุมระดับน้ำตาลในในเลือด แต่ก็ต้องควบคู่ไปกับการจัดโภชนาการที่เหมาะสมด้วย ไม่ใช่กินเค้ก กินน้ำอัดลม กินทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เข้าไปตั้งกิโลแล้วมากินพริก อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
นอกจากประโยชน์ในด้านอาหารแล้ว ความเผ็ดร้อนของพริกยังช่วย บรรเทาอาการปวด ลดอาการบวม ตามข้อและกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี จึงมีการพัฒนาเจลพริกสำหรับนวดข้อและกล้ามเนื้อ รวมทั้งพริกยังสามารถ บรรเทาอาการหวัด เพราะว่าในพริกมีวิตามินซีสูง
และที่สำคัญ สารแคปไซซินในพริกยังช่วยกระตุ้นต่อมใต้สมองให้หลั่งสารเอนดอร์ฟิน (endorphin) ออกมา สารเอนดอร์ฟินนี้เรียกภาษาชาวบ้านว่าเป็นสารสร้างสุข คือเมื่อต่อมใต้สมองหลั่งสารนี้ออกมาจะทำให้มีอารมณ์แจ่มใส คล้ายกับหลังการออกกำลังกายนั่นเอง ดังนั้นใครที่เริ่มหดหู่ซึมเศร้า หากอาการไม่มากนักก็ออกกำลังกายบ้าง กินพริกบ้าง ก็ช่วยได้ แต่หากเป็นมากๆก็ไปพบแพทย์ดีกว่า อย่ามัวแต่กินพริก
เห็นไหมว่าประโยชน์ของพริกขี้หนูมีมากมาย ดังนั้นจึงเป็นต้นไม้ที่น่าปลูกมากอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งนอกจากเราจะกินผลพริกแล้วเรายังสามารถกินใบพริกได้อีกด้วย ในใบพริกก็มีสารแคปไซซินนิดหน่อย นำไปต้มแกงจืด ทำให้มีรสชาติเผ็ดนิดๆ เป็นแกงจืดที่จืดแต่อร่อยมากทีเดียว
เอาละ เรามาดูวิธีการปลูกพริกขี้หนูกันดีกว่า พริกขี้หนูนี้ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ก็คือต้องปลูกด้วยเมล็ดนั่นเอง ซึ่งเราอาจซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกก็ได้ หรือซื้อเป็นต้นเล็กๆมาเลี้ยงให้โตก็ได้ แล้วแต่สะดวก เนื่องจากพริกขี้หนูเองมีหลายสายพันธุ์อย่างที่ลุงแมวน้ำว่า เราสามารถหาพันธุ์มาปลูกได้ตามชอบใจ พริกขี้หนูพันธุ์แปลกๆ เช่น มีกลิ่นหอมก็มี เป็นพันธุ์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น แต่หากเอาง่ายที่สุดก็คือพริกขี้หนูสวน หรือหากจะเอาง่ายยิ่งกว่านั้นก็เดินดูตามข้างทาง หากเจอต้นพริกก็ขุดมาปลูกที่บ้านเราได้เลย แต่ต้องดูเป็นนะว่าใช่ต้นพริกแน่หรือเปล่า แล้วต้องดูว่าไม่มีเจ้าของจริงๆด้วย เดี๋ยวจะกลายเป็นขโมยของเขามา ที่ลุงแมวน้ำพูดแบบนี้ก็เพราะนกชอบกินผลพริก กินแล้วก็ถ่ายมูลที่มีเมล็ดพริกปนออกมา ดังนั้นนกถ่ายที่ไหนตรงนั้นก็จะมีต้นพริกงอกงามอยู่ สามารถขุดมาปลูกได้ แต่พริกอะไรก็ไม่รู้นะ เพราะนกกินไม่เลือก
พริกเป็นพืชที่เลี้ยงง่าย ชอบดินร่วน มีการระบายน้ำดี สามารถปลูกในกระถางขนาด 6 นิ้วได้สบายๆ สามารถปลูกที่ระเบียงคอนโดได้ หากปลูกในกระถางหกนิ้วต้นจะไม่โตนัก แต่หากปลูกลงดินหรือใช้กระถางใหญ่หน่อยก็จะได้ต้นที่โตขึ้น สามารถเก็บใบและผลกินได้ตลอดปี
ภาพบนสุดที่เห็นเป็นต้นพริกของลุงแมวน้ำที่ปลูกในกระถางขนาด 6 นิ้ว ใช้วัสดุปลูกไร้ดินที่น้ำหนักเบา ต้นนี้ลุงแมวน้ำขุดเอามาจากข้างทาง เป็นพริกขี้หนูที่นกอึเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าพริกขี้หนูสายพันธุ์อะไร แต่ว่าก็เผ็ดดี ผลเอามาปรุงอาหาร ใบเอามาต้มแกงจืดกิน และที่สำคัญคือทนทานทรหดมาก ลืมรดน้ำก็ยังเฉยๆ (^_^) ที่จริงลุงแมวน้ำมีหลายต้น ที่ซื้อมาก็มี แต่วันนี้เอามาอวดเพียงต้นเดียวเพราะว่าอาย หมู่นี้ไม่ค่อยได้ดูแล ต้นไม้เลยไม่ค่อยน่าดูนัก ต้นนี้ดีที่สุดแล้ว แต่ก็ใบเหลืองไปหน่อยเพราะขาดสารอาหารนั่นเอง
สำหรับผู้ที่ชอบกินแกงจืด ลุงแมวน้ำอยากแนะว่าต้นพริกขี้หนูนั้นมีใบหลายขนาด หากเน้นที่กินใบเวลาเลือกซื้อต้นพริกมาปลูกก็ดูใบเป็นสำคัญ บางคนชอบใบใหญ่หน่อยก็เลือกซื้อพันธุ์ที่ใบใหญ่ บางคนชอบใบเล็กหน่อยก็เลือกซื้อพันธุ์ที่ใบจิ๋วๆ สามารถเลือกได้ตามอัธยาศัย แต่หากเน้นที่ปลูกกินผลพริก ชอบเผ็ดมากเผ็ดน้อยก็มีให้เลือกได้อีกเช่นกัน
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment