Monday, November 8, 2010

05/11/2010 * ดัชนี SET และก้าวต่อไปของดัชนี

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1.040.45 จุด เพิ่มขึ้น 8.84 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BBL, TMB ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 37 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ ดัชนีนิกเกอิ (Nikkei, N225) ของญี่ปุ่นขึ้นแรงแลพเกิดสัญญาณซื้อ ตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดเขียว

วันนี้ ดัชนีดาวโจนส์ (DJI) ของสหรัฐอเมริกาพุ่งแรงถึง 219 จุด ค่าเงินดอลลาร์อ่อนยวบ ราคาทองคำ โลหะเงิน น้ำมันดิบ สินค้าเกษตร และสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) ต่างๆปรับตัวขึ้นแรง

ดัชนี SET และก้าวต่อไปของดัชนี

ในปี 2010 นี้ตลาดหุ้นไทยมีการเติบโตอย่างมากทีเดียว ดัชนี SET ขึ้นแบบลากยาวซึ่งเป็นลักษณะของคลื่น 3 หรือว่าคลื่น 5 นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ผลตอบแทนที่ดีกันถ้วนหน้า กองทุนต่างชาติที่มาลงทุนให้ตลาดหุ้นไทยนั้นทำกำไรมาตั้งแต่ต้นปี 2010 ได้มากโข อาจกล่าวได้ว่าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนดีที่สุดในบรรดาตลาดหุ้นของประเทศต่างๆในโลกก็ว่าได้ ลองมาดูสถิติกันอย่างคร่าวๆ ผลงานของกองทุนต่างชาติที่ลงทุนโดยอิงดัชนีนั้นได้ผลกำไรนับตั้งแต่ต้นปี 2010 มาจนถึงวันนี้ก็ประมาณ 50-60% แล้ว ในขณะที่กองทุนที่ลงทุนอิงดัชนีในตลาดเกิดใหม่ของประเทศอื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย โปแลนด์ ตุรกี ได้ผลตอบแทนอยู่ในระดับ 40%

การลงทุนแบบอิงดัชนีในประเทศอินเดีย แอฟริกาใต้ สิงคโปร์ได้ผลตอบแทนในระดับ 30% ส่วนการลงทุนในประเทศจีน รัสเซีย ได้ผลตอบแทนในระดับ 15% ส่วนการลงทุนในฟิลิปปินส์ได้ผลตอบแทนประมาณ 7% ในขณะที่การลงทุนในเวียดนามขาดทุนเล็กน้อย

ตัวเลขที่ลุงแมวน้ำยกมานี้เป็นเพียงตัวเลขคร่าวๆเพื่อให้เห็นศักยภาพในการลงทุนในประเทศต่างๆเป็นเชิงเปรียบเทียบในภาพรวม ทีนี้หากจะมาดูกันต่อไปว่าแนวโน้มของหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร ลุงแมวน้ำของวิเคราะห์ในเชิงเทคนิคซึ่งพิจารณาจากกราฟดัชนี SET นั่นเอง

หลังจากวิกฤติต้มยำกุ้ง ดัชนี SET ไต่อยู่ในระดับไม่กี่ร้อยจุดมานานหลายปี จนมาถึงต้นปี 2547 (2004) ที่ดัชนี SET สามารถทำจุดสูงสุดในรอบหลายปีได้ที่ 794.01 จุด (อีกนิดเดียวจะถึง 800 จุดแต่ก็ไม่ถึง) หลังจากนั้นมาอีกหลายปี เรามักใช้ค่า 794.01 จุดเป็นแนวต้านใหญ่หรือว่าเป็นระดับเปรียบเทียบที่พยายามจะไปให้ถึงอีกครั้งหนึ่ง

ต่อมาในช่วงปลายปี 2550 (2007) ดัชนี SET ก็สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 915.03 จุด หลังจากนั้นก็ร่วงลงมาเหลือเพียงเกือบ 400 จุด นับแต่นั้นเป็นต้นมาเราก็ยึดเอาระดับ 915.03 จุดเป็นระดับเปรียบเทียบเพื่อพยายามจะไปให้ถึงอีกครั้งหนึ่ง

มาถึงวันนี้ ในวันที่ดัชนี SET อยู่ที่กว่าหนึ่งพันจุด ระดับที่เราพยายามจะไปให้ถึงก็ต้องเปลี่ยนใหม่โดยอิงกับยอดคลื่นเดิม ซึ่งไม่ใช่ 1,100 จุด ไม่ใช่ 1,200 จุด หรือว่า 1,300 จุด แต่คือยอดคลื่นเดิมที่ระดับ 1,753.73 จุด

ในทางเทคนิค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวัดระดับ fibonacci ขณะนี้จุดเทียบต้องเปลี่ยนไปใช้ที่ 1,753,73 จุดแล้ว รวมทั้งการนับคลื่นก้ต้องนับกันใหม่ หากนับในระดับคลื่นใหญ่ระดับหลายๆปี ภาพน่าจะเป็นดังนี้



นั่นคือ ขณะนี้เรากำลังอยู่ในคลื่นใหญ่ 3 (สีดำ) ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงดัชนี SET ยังมีโอกาสขึ้นต่อไปได้อีกมากกว่าจะจบคลื่นใหญ่ 5 (สีดำ) และดังที่ลุงแมวน้ำเคยคุยให้ฟัิงแล้วว่าดัชนี SET นั้นโดยสถิติแล้วเป็นดัชนีที่มีโอกาสทำกำไรค่อนข้างดี กล่าวคือ มีความน่าจะเป็นในการซื้อแล้วได้กำไรอยู่ที่ 0.5 ในขณะที่ค่าความน่าจะเป็นในการซื้อแล้วได้กำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 0.4 ซึ่งค่าที่สูงกว่าหมายถึงมีโอกาสซื้อแล้วกำไรสูงกว่า

แต่อย่างไรก็ดี ในระดับคลื่นใหญ่แม้ว่าจะเป็นคลื่น 3 ก็จริง แต่ว่าอาจใช้เวลานาน 5 ถึง 15 ปีกว่าจะจบคลื่น ในคลื่นใหญ่ประกอบด้วยคลื่นในระดับรองลงมาแกว่งขึ้นๆลงๆอยู่ ดังนั้นอย่าคาดหวังว่าหุ้นจะขึ้นไปแบบม้วนเดียว ดังนั้นนักลงทุนจึงไม่ควรย่ามใจ เพราะการเคลื่อนไหวของคลื่นที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของเรานั้นไม่ใช่คลื่นใหญ่ แต่เป็นคลื่นย่อย พูดง่ายๆก็คือ ถึงแม้ว่าเราอาจจะอยู่ในคลื่นใหญ่ 3 ก็ตาม แต่การแกว่งตัวในระดับคลื่นย่อยก็ยังทำให้เราอกสั่นขวัญหาย รวมทั้งยังสามารถทำให้เราขาดทุนและอยู่บนยอดดอยได้ชั่วเวลาหนึ่งเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา

ตลาดหุ้นจีนก็มีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปได้เช่นเดียวกันเนื่องจากลุงแมวน้ำลองนับคลื่นดู คาดว่าน่าจะเพิ่งเริ่มต้นคลื่น 3 ใหญ่ ในวันต่อไปเราจะไปดูดัชนีหุ้นจีนและการลงทุนในตลาดหุ้นจีนกัน



No comments: