Tuesday, November 30, 2010

29/11/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1009.00 จุด เพิ่มขึ้น 17.29 จุด หุ้นขึ้นแรงอันเนื่องจากข่าวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BLA และมีสัญญาณขาย HANA ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 19 ตัวเท่าเดิม

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายโกโก้ (CC) และมีสัญญาณซื้อน้ำตาล (SB) ลุงแมวน้ำจึงปิดสัญญาขายและเปิดสัญญาซื้อน้ำตาลไป

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดต่างประเทศด้านเอเชียเขียวแดงคละกัน แต่ทางด้านยุโรปแดงกระจายทั่วเนื่องจากกังวลปัญหาหนี้ของไอร์แลนด์และประเทศอื่นๆที่จะตามมา ดัชนีอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ปรับตัวลงกันกว่า 2%

เดิมทีวันนี้ลุงแมวน้ำคิดเอาไว้ว่าจะเขียนเกี่ยวกับมุมมองของลุงแมวน้ำต่อเศรษฐกิจโลกและของประเทศต่างๆโดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค ดูรูปแบบราคาของดัชนีตลาดหลักทรัพย์สำคัญต่างๆในโลก แต่แล้วก็ทำไม่ทัน ขอผัดเอาไว้ก่อน

Monday, November 29, 2010

26/11/2010 * SET, RSS3, DJI, currencies, interest rate spread

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 991.71 จุด ลดลง 4.71 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ TTW ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 19 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขาย SET50 futures (S50) ลุงแมวน้ำจึงปิดสัญญาซื้อและเปิดสัญญาขาย S50 ไป โดนสัญญาณหลอกไป 2 ครั้งติดกันแล้ว ลองดูว่าคราวนี้จะเป็นอย่างไร

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ แดงกันเป็นส่วนใหญ่ มากบ้างน้อยบ้าง

วันนี้ S50 เกิดสัญญาณขายแต่ว่าดัชนี SET ยังไม่เกิดสัญญาณขาย ลองมาดูกราฟกัน




มาดูกันว่ากราฟดัชนี SET นั้นมีสัญญาณแนวโน้มกลับทิศ (trend reversal signal) อะไรบ้าง
  1. เกิด bearish convergence ระหว่างดัชนีกับ rsi
  2. ดัชนีหลุดกรอบ SEC (standard error channel)
  3. มีความสอดคล้องของระดับ fibonacci หลายชุด
  4. นับคลื่นย่อยได้ครบ
แม้ทางด้านสัญญาณที่เกี่ยวกับแท่งเทียนไม่มีอะไรบ่งชี้ แต่จากสัญญาณทั้งสี่ประการ ความน่าจะเป็นที่เดัชนี SET จบคลื่น 5 (สีน้ำตาล) ที่ระดัชดัชนีแถวๆนี้มีอยู่สูงทีเดียว

ทีนี้ลองมาดูยางพารา (RSS3) กันบ้าง ว่าเกิดสัญญาณแนวโน้มกลับทิศกี่ประการ



  1. เกิด bearish convergence
  2. สัญญาณแท่งเทียนเกิดแท่งเทียนดำใหญ่
  3. เกิด falling window อันเป็นช่องว่างราคากลังจากเกิด big black candle
จากภาพ สัญญาณแท่งเทียนมีน้ำหนักน้อย ส่วนคลื่นย่อยก็ยังนับได้ไม่ครบ ระดับ fibonacci ก็ยังไม่ได้ การทะลุกรอบ SEC ก็ยังไม่เกิด ดังนั้นความน่าจะเป็นที่ราคายางพาราจะจบคลื่น 5 (สีน้ำตาล) ที่ระดับราคาแถวๆนี้ยังมีอยู่ไม่มากนัก ลุงแมวน้ำประเมินความน่าจะเป็นที่จะจบคลื่นแถวนี้เพียงแค่ 50-50 แต่ถึงไม่จบแถวนี้ก็น่าจะใกล้จบคลื่นนี้เต็มทีแล้ว อาจไปจบแถวๆราคา 145-150 บาทก็ได้ และถึงแม้ว่าจะยังไม่จบคลื่นแถวนี้ แต่ราคาน่าจะแกว่งตัวรุนแรงเนื่องจากคงอยู่ในคลื่นย่อย 4

ลองมาดูด้านค่าเงินกันบ้าง



จากกราฟแสดงการเปรียบเทียบค่าเงินในสกุลต่างๆรวมทั้งทองคำเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ โดยถือว่าให้เงินดอลลาร์ สรอ มีค่า 100 หน่วยคงตัวเสมอ ค่าเงินสกุลอื่นๆจะอ่อนค่าหรือแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ ค่าเงินที่แสดงในกราฟ ตัวเลขน้อยแปลว่าเงินยิ่งแข็งค่า

จากภาพ เงินตราสกุลอื่นๆเริ่มอ่อนตัวลงบ้างในขณะที่ดอลลาร์ สรอ แข็งค่าขึ้น ทองคำทรงตัว ไม่ได้อ่อนสวนทางกับดอลลาร์ สังเกตว่าเงินยูโรอ่อนตัวค่อนข้างเร็ว



เมื่อดูกราฟของความถ่าง (spread) ของอัตราดอกเบี้ย LIBOR-OIS spread กับ TED spread ความถ่างของอัตราดอกเบี้ยทั้งสองชุดยังต่ำอยู่ แสดงว่าสภาพคล่องของเงินดอลลาร์ สรอ ยังมีอยู่เหลือเฟือ

ปกติเมื่อสภาพคล่องของเงินมีอยู่สูง เงินก็ต้องพยายามหาที่ไปเพื่อไปเอากำไร


เมื่อเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในขณะที่เงินตราสกุลอื่นๆอ่อนตัวลง อีกทั้งดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial index, DJI) ยังไม่น่าจบคลื่น 3 เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีการขายเงินสกุลต่างๆออกเพื่อเปลี่ยนมาเป็นดอลลาร์ สรอ และเงินดอลลาร์ดอลลาร์ สรอ เหล่านั้นกำลังจะไหลกลับไปเก็งกำไรในตลาดสหรัฐอเมริกาเองและตลาดหุ้นในย่านเอเชียที่ขึ้นแรงกำลังจะวาย อย่างน้อยก็ชั่วคราว?

พรุ่งนี้เราจะลองมาพิจารณาดัชนีของหลายๆตลาดในโลกกันเพื่อประเมินแนวโน้มและทิศทางของตลาดสำคัญต่างๆ ถือว่าเป็นมุมมองทางเทคนิคส่งท้ายปลายปี

Friday, November 26, 2010

25/10/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 996.42 จุด ลดลง 9.55 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย ADVANC, PTTEP ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 18 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

กองทุนรวมอีทีเอฟ ENGY เกิดสัญญาณขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดสหรัฐอเมริกาหยุดเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า ส่วนข้อมูลตลาดยุโรปลุงแมวน้ำทำไม่ทัน แล้วจะมาปรับปรุงให้อีกทีหนึ่ง

ตลาดย่านเอเชียวันนี้ส่วนใหญ่ปิดบวก จีนปิดบวกแรงหน่อย ส่วนไทยตอนเช้าทำท่าจะดี ตอนบ่ายกลับแดงเนื่องจากครอบครัว ปตท. ทั้งหุ้น PTT, PTTEP กดดัชนี SET

ลุงแมวน้ำได้รับฟอร์เวิร์ดอีเมลจากกลุ่มสงเคราะห์สัตว์ เป็นปฏิทินตั้งโต๊ะ 12 เดือน รูปหมาน่ารักปนซึ้ง ขายชุดละ 169 บาท รายได้ใช้เป็นทุนในการซื้ออาหาร ทำหมัน และรักษาหมาและแมวจรจัด เป็นกลุ่มลุงๆป้าๆที่สงเคราะห์สัตว์ช่วยกันทำขึ้นมา ปีนี้แม้จีดีพีจะขยายตัวตามรายงานของทางการ แต่เศรษฐกิจระดับชาวบ้านไม่ได้ดีไปด้วย สังเกตได้จากคนทิ้งสัตว์กันมาก ลุงๆป้าๆใกล้ถอดใจกันหลายรายแล้วเพราะขาดทุนทรัพย์ดังที่ลุงแมวน้ำเคยเล่าให้ฟัง ผู้ที่สนใจซื้อปฏิทินตั้งโต๊ะเอาไว้ใช้เองหรือเป็นของขวัญติดต่อได้ที่ โทร. 081 484 9893

ก่อนที่ลุงแมวน้ำจะโพสต์เรื่องปฏิทินนี้ก็คิดหนักอยู่เหมือนกัน เพราะเกรงจะถูกมองว่าลุงแมวน้ำโฆษณาขายสินค้า เว็บบล็อกนี้ลุงแมวน้ำไม่ได้ทำเืพื่อหาประโยชน์แต่ที่ทำก็เพราะต้องการแบ่งปัน และโครงการปฏิทินนี้ลุงแมวน้ำเห็นว่าเป็นการแบ่งปันกันอย่างหนึ่ง จึงช่วยประชาสัมพันธ์ให้









24/10/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1005.97 จุด ลดลง 3.50 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย PTT, SCC ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 20 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขาย PTTEP

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ฝั่งยุโรป อเมริกา บวกแรง ฝั่งเอเชียส่วนใหญ่ปิดบวก ยกเว้นอินเดียที่ลงแรงมาหลายวันแล้ว


Wednesday, November 24, 2010

23/10/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1009.47 จุด ลดลง 9.72 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ CPN ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 22 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้มีข่าวเกาหลีเหนือยิงกับเกาหลีใต้ หุ้นร่วงระนาว ตลาดทั้งหมดที่อยู่ในรายงานปิดลบทั้งหมด ยกเว้นญี่ปุ่นที่วันนี้หยุดทำการ ดัชนีหั่งเส็ง (Hang Seng Index, HSI) ของฮ่องกงเกิดสัญญาณขาย ดัชนี MSCI World Index ก็เกิดสัญญาณขาย


Tuesday, November 23, 2010

22/11/2010 * CSI300, DBA, RSS3 ตลาดหุ้นจีนและสินค้าเษตร

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1019.19 จุด เพิ่มขึ้น 10.42 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 21 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขาย ITD และฝ้าย (CT)

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีฟุตซี (FTSE100) ของอังกฤษเกิดสัญญาณซื้อขาย ตลาดหุ้นสำคัญขึ้นบ้างลงบ้างสลับกันไป แต่ทางฝั่งเอเชียโดยรวมแล้วเขียว ตลาดอินเดียขึ้นแรง ส่วนฝั่งตะวันตกโดยรวมแล้วแดง ตลาดบราซิลลงแรง

ตลาดโดยรวมดูไม่ดีเท่าที่ควร มีสัญญาณกลับทิศบ่งชี้ออกมาบางประการแล้ว รวมทั้งสินค้าเกษตรทั้งหลายและยางพาราด้วย ควรระมัดระวัง

วันนี้เป็นวันที่กองทุนอีทีเอฟชื่อ CHINA ซึ่งลงทุนในหุ้นจีนเข้าเทรดในตลาดเป็นวันแรก CHINA นี้อิงกับดัชนี CSI 300 ของจีน (คล้ายกับที่กองทุนอีทีเอฟ TDEX อิงกับดัชนี SET50) เดิมทีลุงแมวน้ำใช้ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต (Shanghai Composite Index) เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นจีนในรายงานประจำวันของลุงแมวน้ำ แต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะใช้ดัชนี CSI300 เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นจีนแทน จากรายงานของลุงแมวน้ำจะเห็นว่าขณะนี้ CSI 300 เป็นสัญญาณขายอยู่

ช่วงนี้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงแรง กราฟแท่งเทียนเกิดเป็นแท่งเทียนดำใหญ่ 2 แท่ง สาเหตุเกิดจากทางการจีนทยอยออกมาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์เพื่อชะลอความร้อนแรง รวมทั้งพยายามสกัดการเก็งกำไรอย่างรุนแรงในสิค้าโภคภัณฑ์ ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกปรับตัวลดลงเนื่องจากจีนเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภครายใหญ่ของโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลง

ดัชนี CSI 300 ของจีนเกิดแท่งเทียนดำใหญ่ 2 แท่งติดกัน เป็นสัญญาณกลับทิศแนวโน้มได้ประการหนึ่ง ควรติดตามดูสัญญาณกลับทิศแนวโน้มหรือ trend reversal signal อื่นๆว่ามีตามมาหรือไม่




กองทุนสินค้าเกษตร DBA เกิดช่องว่าง (gap) ใหญ่ซึ่งอาจเป็นสัญญาณ falling window รวมทั้งแท่งเทียนดำใหญ่ 3 แท่ง อาจเข้าลักษณะ three black crows ทั้งสองประการนี้ต่างก็เป็นสัญญาณกลับทิศแนวโน้ม ที่ลุงแมวน้ำใช้คำว่า อาจเข้าลักษณะ three black crows เนื่องจากแท่งเทียนไม่ยาวมากนัก ดูก้ำกึ่งว่าใช่หรือไม่ใช่กันแน่ นี่แหละความยากของการพิจารณารายละเอียดทางเทคนิค




ยางพารา RSS ก็ออกอาการไม่ค่อยดี เกิด bearish convergence เกิด falling window และเกิด big black candle ประกอบกับการนับคลื่น เป็นไปได้ว่าอาจจบคลื่น 5 (สีน้ำตาล) ไปแล้ว ตามรูป





Monday, November 22, 2010

19/11/2010 * กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (5)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1008.77 จุด เพิ่มขึ้น 4.05 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ CPF ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 21 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายถั่วเหลือง (S) ลุงแมวน้ำประเมินจากกราฟ การนับคลื่น และรูปแบบกราฟของสินค้าเกษตรตัวอื่นๆด้วย คาดว่าราคาถั่วเหลืองน่าจะยังเป็นขาขึ้นอยู่ ดังนั้นในคราวนี้ลุงแมวน้ำจึงปิดสัญญาซื้อเท่านั้น ยังไม่เปิดสัญญาขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ตลาดหุ้นสำคัญขึ้นบ้างลงบ้าง

กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (5)

ลุงแมวน้ำได้คุยให้ฟังเกี่ยวกับการประหยัดภาษีด้วยการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ LTF มาแล้วหลายตอน ได้กล่าวถึงเทคนิคในการลงทุนด้วยปัจจัยทางเทคนิคหลายๆแบบ มาวันนี้เรามาดูกันว่าเทคนิคแบบต่างๆที่เราลงทุนกันนั้นสรุปแล้วช่วยประหยัดภาษีและออกดอกออกผลเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากการประหยัดภาษีอย่างไรบ้าง

ลองดูในตารางต่อไปนี้ซึ่งเป็นตารางสรุปแนวทางการลงทุนใน LTF แบบต่างๆและผลตอบแทนที่ได้ ซึ่งมีทั้งผลตอบแทนจากกองทุนเอง (capital gain) และผลตอบแทนจากกองทุนรวมสิทธิประโยชน์จากภาษีด้วย เพราะว่าการลดรายจ่ายก็เท่ากับการเพิ่มรายได้ ภาษีส่วนหนึ่งที่ประหยัดได้จึงถูกนำมาบวกเข้ากับผลกำไรจากกองทุน รวมทั้งผลตอบแทนจากการลงทุนทางเลือกอื่นๆ


หากพิจารณาในแง่ผลตอบแทนจากเทคนิคการลงทุนในวิธีต่างๆ โดยไม่นำผลทางภาษีมาคำนวณด้วย ลุงแมวน้ำพอสรุปได้ดังนี้
  1. การเทรดกองทุน LTF แบบสับกองทุนด้วยระบบ PnT 1.10 ได้ผลไม่ดีนัก ได้ผลตอบแทนเพียง 0.82% ทั้งเหนื่อยและทั้งได้ผลตอบแทนต่ำ
  2. กลยุทธ์สับกองทุน LTF แบบนานๆสับกองทุนเสียทีหนึ่งตามแนวโน้มระยะยาวได้ผลกำไรดี (33.13% กับ 20.76%) แต่อัตราผลกำไรนี้มีความไม่แน่นอน ที่เห็นอยู่นี้คล้ายภาพลวงตาเนื่องจากจุดที่ตัดสินใจสับกองทุนนั้นต่างคนก็ต่างความคิด สับกองทุนต่างเวลากันก็ได้ผลตอบแทนต่างๆกัน ทุกคนที่เอาเทคนิคนี้ไปใช้จะไม่ได้ผลตอบแทนตามตัวเลขนี้ ผู้ที่ชำนาญในการนับคลื่นจะได้เปรียบ
  3. การลงทุนแบบทางเลือก (TDEX กับกองทุนตราสารหนี้) โดยไม่สนใจสิทธิประโนชน์ทางภาษี ให้ผลตอบแทนดี (58.48%) แต่ก็เป็นเช่นเดียวกับข้อ 2 นั่นคือแต่ละคนหากนำเทคนิคนี้ไปใช้จะไม่ได้อัตราผลตอบแทนตามนี้เนื่องจากนานาจิตตัง ดังนั้นจึงมีความไม่แน่นอน ผู้ที่ชำนาญในการนับคลื่นจะได้เปรียบ
  4. การเทรด TDEX ด้วยระบบ PnT 1.10 เหมือนเทรดหุ้นทั่วไป ไม่มีการสับกองทุน ให้ผลแน่นอนเป็นรูปธรรม ใครเทรดก็ได้แบบนี้ ได้ผลตอบแทนพอใช้ได้ (17.95%)
หากนำผลของการประหยัดภาษีมาคิดด้วย โดยถือเสมือนหนึ่งว่าภาษีที่ประหยัดได้คือกำไรที่ได้เพิ่มเติมมา จากตารางเราจะพบว่าผู้ที่มีเงินเดือน 20,600 บาท แม้มีสิทธิที่จะลงทุนใน LTF ได้แต่เมื่อลงทุนแล้วก็ไม่ได้ช่วยประหยัดภาษีแต่อย่างใดเนื่องจากระดับเงินเดือนนี้ไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว ส่วนผู้ที่มีเงินเดือนมากขึ้นก็ยิ่งเงินได้สุทธิตกอยู่ในช่วงที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตรา 30% แล้วละก็จะยิ่งเห็นผลมาก ทำให้ผลตอบแทนสุทธิ (รวมเอาภาษีที่ประหยัดได้มาเป็นผลกำไรด้วย) อยู่ในอัตราที่สูง ไม่ว่าใช้เทคนิคหรือระบบอะไรก็ตามมาลงทุนใน LTF หากเงินเดือนสูง อัตราผลตอบแทนจะดีกว่าเงินเดือนที่น้อยกว่า และที่แน่นอนก็คือ การลงทุนทางเลือกหรือการลงทุนที่ไม่ใช่ลงทุนในกองทุน LTF จะไม่มีกำไรส่วนเพิ่มจากภาษีที่ประหยัดได้

ทั้งหมดที่คุยมานี้ก็เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาลงทุนของเพื่อนนักลงทุนที่ต้องชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และท้ายที่สุดนี้ต้องไม่ลืมว่าการลงทุนกับ LTF เพื่อประหยัดภาษีนี้ก็มีความเสี่ยง อีกทั้งการประหยัดภาษีนี้ไม่ใช่เรื่องที่อยู่เฉยๆก็ได้มา แต่ผู้มีเงินได้ต้องเอาเงินอีกก้อนหนึ่งมาลงทุนเพื่อให้สามารถประหยัดภาษีก้อนนี้ได้ ดังนั้นการลงทุนเพื่อประหยัดภาษีเท่ากับเป็นการจัดสรรการลงทุนเพิ่มเติมหรือเป็นการเพิ่มพอร์ต ส่วนนี้ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าเราลงทุนมากเกินไปหรือยัง เราพร้อมที่จะเอาเงินลงทุนอีกก้อนหนึ่งมาลงในตลาดหุ้นเพื่อประหยัดภาษีหรือไม่ อย่ามองแต่โปรโมชันล่อใจหรือมองโลกแต่เพียงด้านดีเพียงด้านเดียว ลุงแมวน้ำคิดเสมอว่าตลาดหุ้นนั้นไม่มีอะไรแน่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ ขนาดพยายามไม่ประมาทก็ยังพลาดพลั้งได้ ดังนั้นการวาดภาพต้องมองทั้งสองด้านเอาไว้ ว่าหากได้กำไรจะได้แค่ไหน อย่างไร หากขาดทุนแล้วจะขาดทุนได้เลวร้ายที่สุดเพียงใด

สำหรับการลงทุนในกองทุน RMF เพื่อประหยัดภาษีนั้นมีความแตกต่างจากการลงทุนใน LTF ตรงที่กฎหมายกำหนดให้ LTF ต้องลงทุนให้หุ้นในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 65% ของพอร์ตกองทุน ส่วนกองทุน RMF นั้นไม่มีข้อจำกัดเช่นนี้ ดังนั้นผู้ลงทุนในกองทุน RMF เพื่อประหยัดภาษีหากต้องการลงทุนในกองทุนที่เป็นกองหุ้น (หมายถึงลงทุนในหุ้นในสัดส่วนสูง) ก็สามารถนำเทคนิคแบบ LTF ไปใช้ได้ แต่หากจะลงทุนใน RMF ที่ไม่ใช่กองหุ้น อย่างเช่น กองตราสารหนี้ กองทอง (หมายถึงลงทุนในทองคำ) ก็ต้องพิจารณาแตกต่างกันออกไป คงไม่ต้องใช้เทคนิคแบบ LTF

ที่จริงยังมีวิธีการลงทุนใน LTF อีกวิธีหนึ่ง นั่นคือวิธีถัวเฉลี่ยต้นทุน หรือที่เรียกว่า dollar cost averaging (DCA) หรือบางคนก็เรียกว่า baht cost averaging (BCA) ซึ่งวิธีนี้ไม่ใช่การลงทุนโดยปัจจัยทางเทคนิค และอีกประการ ผลตอบแทนที่ได้มีโอกาสเป็นภาพลวงตาได้สูง ดังนั้นจึงยังไม่นำมากล่าว แต่ลุงแมวน้ำจะนำมาคุยเป็นหัวข้อ dollar cost averaging ไปเลยในโอกาสต่อไป

ลุงแมวน้ำมีความเห็นโดยสรุปเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุนประหยัดภาษี LTF จากมุมมองของผู้ที่เทรดโดยใช้ระบบตามแนวโน้มและใช้ปัจจัยทางเทคนิค ดังนี้

  • การลงทุนมีความเสี่ยง การลงทุนใน LTF ต้องถือไว้เป็นระยะเวลา 5 ปีปฏิทินหรือนานกว่านั้น ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเมื่อถึงเวลาที่เราต้องการขายคืนหน่วยลงทุนภาวะตลาดในช่วงนั้นเป็นเช่นไร หากเป็นจังหวะที่ไม่ดี ภาษีที่ประหยัดได้อาจไม่คุ้มกับเงินต้นที่หดหายไปจากภาวะตลาดขาลง ดังนั้นหากเป็นผู้ที่ต้องเสียภาษีในฐานภาษี 20% หรือสูงกว่านั้น การลุงทุนใน LTF ก็ถือว่าน่าสนใจ แต่หากเป็นผู้ที่ต้องเสียภาษีในฐานภาษี 10% แล้วควรไตร่ตรองให้มากเพราะอาจไม่คุ้ม
  • ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุน LTF ที่ตนเองสนใจเป็นอย่างดี การลงทุนจำเป็นต้องมีความรู้ หากคิดว่ายังมีความรู้ไม่เพียงพอก็อย่าเพิ่งลงทุนดีกว่า ศึกษาให้ดีก่อนแล้วจึงลงทุนก็ไม่สาย อย่าลงทุนเพราะมีโปรโมชันหรือของแถม
  • การเลือกลงทุนใน LTF ไม่จำเป็นต้องลงทุนตอนปลายปี (ปัจจุบันนิยมลงทุนกันในช่วงปลายปี โดยเฉพาะเดือนธันวาคม) เพราะภาวะตลาดตอนปลายปีอาจไม่ใช่ช่วงที่ดีในการเข้าลงทุนเสมอไป ควรลงทุนตามจังหวะทางเทคนิค (ซึ่งต้องศึกษา) จะลดโอกาสขาดทุนลงได้ โดยประเมินคร่าวๆเอาไว้ก่อนว่าปีนี้ต้องเสียภาษีเท่าไร จากนั้นเลือกจังหวะลงทุนที่เหมาะสมซึ่งนักลงทุนอาจใช้ปัจจัยทางเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐานตามแต่ที่ตนถนัดมาพิจารณา ส่วนในปลายปีอาจลงทุนเพิ่มอีกเล็กน้อยเป็นยอดเก็บตก
  • ควรพิจารณากองทุน LTF ที่ใช้อนุพันธ์เอาไว้ด้วย สำหรับเอาไว้สับกองทุนเพื่อพักเงินในช่วงตลาดขาลง อนึ่ง ควรศึกษาหรือถามเจ้าหน้าที่ขายหน่วยลงทุนให้กระจ่างว่าการสับหน่วยลงทุนนี้มีค่าใช้อย่างเพิ่มเติมหรือไม่ เพราะค่าใช้จ่ายในการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนอาจมีหรือไม่มี หรือมีแล้วเปลี่ยนแปลงได้
ส่วนการลงทุนในกองทุน RMF นั้นลุงแมวน้ำอยากฝากข้อคิดเพิ่มเติมเอาไว้ดังนี้
  • การลงทุนในกองทุน RMF เป็นการลงทุนในระยะยาว มีกองทุนที่มีความเสี่ยงมากน้องต่างกันหลายระดับให้เลือก หากต้องการความปลอดภัยสูงก็ควรลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ของภาครัฐ แต่อย่างไรก็ดี เมื่อก่อนนี้เรามักคิดว่าตราสารหนี้ภาครัฐมั่นคงมาก แต่ในปัจจุบันจากปรากฏการณ์วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในหลายๆประเทศ ตราสารหนี้ภาครัฐที่อยู่ในสภาพง่อนแง่นก็มี ดังนั้นหากต้องการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศต้องมีความรู้ความเข้าใจพอสมควร ที่ง่ายที่สุดคือกองทุนตราสารหนี้ของทางการไทยเพราะติดตามสถานการณ์ได้ง่าย
  • หากต้องการลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น กองทุนรวมหุ้น กองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ ฯลฯ เหล่านี้ควรติดตามดูผลงานของกองทุนและดัชนีราคาหุ้นเอาไว้บ้าง ไม่ควรซื้อแล้วเก็บใส่ลิ้นชักเอาไว้โดยไม่สนใจอีกเลยเนื่องจากเห็นว่าเป็นการลงทุนระยะยาว เพราะาอาจพลาดพลั้งได้
  • หากต้องการลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีก็ควรเลือกลงทุนกับกองทุนที่มีกองทุนตราสารหนี้ให้สับเปลี่ยนได้อย่างคล่องตัว เนื่องจากในบางช่วงของการลงทุนอาจเป็นตลาดขาลง ซึ่งในช่วงนั้นควรย้ายเงินมาพักเอาไว้ในที่ปลอดภัยจะเป็นการดีกว่า

Friday, November 19, 2010

18/11/2010 * กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (4)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1004.72 จุด เพิ่มขึ้น 14.59 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BGH, EGCO, GLOW, SCB ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 20 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ยางพารา (RSS) รีบาวด์จนติดราคาเพดาน

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกรีบาวด์กันเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่รีบาวด์ดล็กน้อยไปจนระดับ 2%

ช่วงนี้ตลาดแกว่งแรง มีความเป็นไปได้ที่ดัชนี SET และดัชนีตลาดหุ้นอื่นๆจะจบคลื่นขาขึ้นไปแปล้วและเริ่มต้นคลื่น A แต่ตอนนี้ฝุ่นยังตลบอยู่ คงยังบอกอะไรชัดเจนไม่ได้ ควรอยู่เฉยๆและรถอดูสัญญาณกลับทิศให้ชัดเจนเสียก่อน



กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (4)

เมื่อวันก่อนเราคุยกันถึงเรื่องกลยุทธ์สับกองทุน LTF ในตลาดช่วงขาลง รวมทั้งนำเอาผลตอบแทนการลงทุนในช่วงเวลาต่างๆทั้งขาขึ้นและขาลงมาเปรียบเทียบกันดู ผลปรากฏว่ากลยุทธ์สับกองทุนให้ผลตอบแทนที่ดีทีเดียว แต่ปัญหาที่น่าคิดก็คือ ผลการทดสอบได้แบบนี้แล้วในชีวิตจรืงเราสามารถทำได้แบบนี้หรือไม่

กลยุทธ์สับกองทุน LTF ทฤษฎีกับชีวิตจริง

ในชีวิตจริงการลงทุนใน LTF ด้วยกลยุทธ์แบบสับกองทุนแบบถือยาว นานๆจึงจะสับกองทุนสักครั้งหนึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก สาเหตุเพราะ

ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อใดตลาดเป็นขาขึ้น และเมื่อใดเป็นขาลง ในการทดสอบที่เราดูผลกันมาแล้ว ลุงแมวน้ำเป็นผู้กำหนดว่าตลาดเมื่อใดเป็นขาขึ้นและเมื่อใดเป็นขาลง แต่ในชีวิตจริงของผู้ลงทุนแต่ละใครจะเป็นผู้บอกว่าเมื่อใดเป็นตลาดขาลง (ควรสับกองทุนจากกองหุ้นไปสู่กองหุ้นผสมอนุพันธ์) และเมื่อใดเป็นขาขึ้น (ควรสับกองทุนกลับมาเป็นกองหุ้นอีกครั้งหนึ่ง) การสับกองทุนแบบที่ลุงแมวน้ำทำตัวอย่างให้ดูนั้นเป็นการสับกองทุนแบบนานๆครั้ง ไม่ได้สับกองทุนตามสัญญาณซื้อขาย ซึ่งเมื่อดูกราฟย้อนหลัง ทุกอย่างก็ดูง่ายและชัดเจนไปหมด แต่เมื่อใดที่เป็นสถานการณ์ที่เป็นปัจจุบัน อะไรๆก็ดูจะฟันธงได้ยาก ผู้ที่จะสับกองทุนแบบนี้แล้วได้ผลตอบแทนที่ดีต้องเป็นผู้ที่ชำนาญเรื่องทฤษฎีคลื่นของอีเลียตอีกทั้งต้องนับคลื่นใหญ่เก่งเนื่องจากต้องมองคลื่นในภาพใหญ่ ไม่ใช่ในภาพย่อย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ืทุกคนจะทำได้ดี และถึงแม้แต่ละคนจะนับได้ จุดที่ตัดสินใจสับกองทุนก็จะมีต่างๆนานา ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนตามแนวคิดกลยุทธ์สับกองทุน LTF นี้ไม่สามารถได้ผลดีอย่างเช่นที่ดูกันในตัวอย่าง แต่จะได้หลากหลายต่างๆนานา รวมทั้งอาจถึงกับขาดทุนก็เป็นได้

กลยุทธ์สับกองทุนตามระบบ PnT 1.10

หากไม่ใช้การนับคลื่นใหญ่ นักลงทุนที่คุ้นเคยกับการเทรดในระบบ PnT 1.10 อาจเกิดความคิดขึ้นมาว่าถ้าเช่นนั้นทำไมไม่สับกองทุน LTF ตามจังหวะสัญญาณซื้อขายของระบบ PnT 1.10 ให้เหมือนกันการเทรดหุ้นไปเสียเลย ต้องการใช้สัญญาณซื้อขายเหมือนการเทรดหุ้น การสับกองทุนตามสัญญาณซื้อขายทำได้ยาก สาเหตุเพราะ
  • กองทุน LTF ค่ายไทยพาณิชย์นั้นในการสับกองทุนมูลค่า NAV ที่ได้รับจะเหลื่อมกัน 3 วัน (T+3) หมายถึงเมื่อออกจากกองทุนจะได้ NAV ของวันนี้ ส่วนกองทุนที่เข้าไปนั้นจะได้ NAV ที่ T+3 ซึ่งหากเทรดตามสัญญาณ การเหลื่อมวันเช่นนี้จะกระทบต่อผลตอบแทนได้มาก ที่ควรได้กำไรก็อาจกลายเป็นขาดทุนไป
  • หากคิดใช้คู่กองทุน LTF ของค่ายกสิกรไทย เมื่อดูจากเงื่อนไข T+0 คือสับกองทุนได้ NAV เป็นของวันเดียวกัน ดูไปก็น่าจะเหมาะดี แต่ในทางปฏิบัติก็ยังยาก เนื่องจากการสับกองทุน LTF แต่ละครั้งผู้ถือหน่วยลงทุนได้ไปทำธุรกรรมที่ธนาคารเอง จะทำผ่านตู้เอทีเอ็มหรือไซเบอร์แบงกิงไม่ได้ หากบางช่วงที่เป็นช่วงไร้ทิศทางอาจเกิดสัญญาณหลอกติดๆกัน ผู้ลงทุนอาจต้องเข้าออกธนาคารทุกสองสามวัน คงไม่ใช่เรื่องที่สะดวกนัก
ดังนั้นในทางปฏิบัติ การใช้ระบบ PnT 1.10 เทรดกองทุน LTF ก็ทำได้ยาก แต่หากจะพยายามทำ คู่กองทุนค่ายกสิกรไทยก็พอทำได้ในแง่ความเป็นไปได้ แต่ส่วนที่ว่าทำแล้วผลตอบแทนจะเป็นอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

กลยุทธ์สับกองทุน LTF พูดง่าย ทำยาก แล้วมีการลงทุนทางเลือกอื่นหรือไม่

จากที่คุยกันมาแล้ว พบว่ากลยุทธ์สับกองทุน LTF นั้นในทางทฤษฎีเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ในทางปฏิบัติทำได้ยากเนื่องจากมีข้อจำกัดในหลายๆด้าน เพื่อนนักลงทุนหลายคนอาจคิดใหม่ไปเลยว่าถ้าอย่างนั้นไม่ลงทุนในกองทุน LTF เสียเลยได้ไหม หากลงทุนอย่างอื่นแล้วได้ผลตอบแทนมากพอก็เอากำไรนั้นมาจ่ายภาษีไปก็แล้วกัน หรือพูดง่ายๆว่าเเอาเงินก้อนที่คิดจะซื้อกองทุน LTF มาลงทุนวิธีอื่น ยอมจ่ายภาษีไปก็ได้ แล้วไปหาทางอย่างอื่นให้ได้ผลตอบแทนมากกว่า อย่างนี้จะง่ายกว่าไหม

ลุงแมวน้ำก็เคยคิดอยู่เหมือนกัน และลองทำข้อมูลเอาไว้แล้วด้วย เรามาดูกันก่อนว่าการลงทุนทางเลือกหากไม่ต้องการลงทุนในกองทุน LTF แต่ก็อยากประหยัดภาษีนั้นพอมีช่องทางทำอะไรได้บ้าง
  1. หากมองในแง่ถือยาว นานๆสับกองทุนเสียทีหนึ่ง (ในกรณีนักลงทุนบางคนที่นับคลื่นเก่ง สามารถทำได้) แทนที่เราจะลงทุนใน LTF กองหุ้นและกองหุ้นผสมฟิวเจอร์ส เราลงทุนอย่างอื่นได้หรือไม่ ที่ลุงแมวน้ำคิดเอาไว้ก็คือลงทุนใน TDEX (กองทุนอีทีเอฟของ SET50) เมื่อตลาดขาขึ้น และเมื่อตลาดเป็นขาลงก็เเอาเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ เนื่องจากกองทุนตราสารหนี้ล้วนๆไม่มีหุ้นอยู่นั้นเมื่อหุ้นตกก็ไม่กระทบอะไร
  2. หากต้องการใช้ระบบ PnT 1.10 เทรด TDEX อย่างเดียวไปเลย ซื้อขายตามสัญญาณ จะได้ผลตอบแทนดีกว่ากลยุทธ์สับคู่กองทุน LTF หรือไม่

ผลการเทรดกองทุน LTF แบบสับกองทุนด้วย PnT 1.10 และการลงทุนทางเลือกอื่นๆ

เรามาดูผลการลงทุนในแบบต่างๆกัน ลุงแมวน้ำทดลองทำข้อมูลเอาไว้แล้ว ทั้งหมดต่อไปนี้เป็นผลการลงทุนในช่วงเวลาเดิม นั่นคือ 26 ส.ค. 2551 ถึง 7 ก.ย. 2552 ดังนี้

หากเป็นกรณีถือยาว การลงทุนทางเลือกของลุงแมวน้ำคือ เมื่อตลาดเป็นขาขึ้นให้ถือ TDEX และเมื่อตลาดเป็นขาลงให้ถือกองทุนตราสารหนี้ ในที่นี้ลุงแมวน้ำเลือกกองทุนตราสารหนี้ T-Global Bond อันเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้รัฐบาลทั่วโลก (Templeton Global Bond Fund) ลุงแมวน้ำเลือกแบบอินเตอร์หน่อย ผลการลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับการสับกองทุน LTF เป็นดังนี้


จะเห็นว่าให้ผลตอบแทนดีน่าสนใจทีเดียว (ผลตอบแทน 58.48%) ดีกว่าคู่กองทุน LTF อยู่พอสมควร ทั้งนี้ เนื่องจากกองทุนตราสารหนี้ได้รับผลกระทบน้อยมากยามหุ้นตก (ที่จริงควรไม่ได้รับผลกระทบ แต่ผลตอบแทนที่ขาดทุนเล็กน้อยในช่วงขาลงที่แสดงในตารางน่าจะเนื่องจากผลของอัตราแลกเปลี่ยน)

ทีนี้ลองมาดูผลการเทรดด้วยระบบ PnT 1.10 กัน ตารางข้างล่างนี้เป็นการเทรด TDEX ด้วยระบบ PnT 1.10 กับการเทรดคู่กองทุน LTF ค่ายกสิกรไทย KEQLTF และ KSDLTF ด้วยระบบ PnT 1.10 กล่าวคือ เมื่อเกิดสัญญาณซื้อก็ให้สับกองทุนจาก KSDLTF มาเป็น KEQLTF และเมื่อเกิดสัญญาณขายก็ให้สับกองทุนจาก KEQLTF มาเป็น KSDLTF

จะเห็นว่าการเทรด TDEX ตามสัญญาณระบบ PnT 1.10 ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว เทรดไป 11 ครั้ง (เกิดสัญญาณซื้อ 11 ครั้ง และเกิดสัญญาณขาย 11 ครั้ง) ให้ผลตอบแทน 17.95% ดีกว่าผลตอบแทนของการถือกองทุน LTF แบบถือยาวกองหุ้นอย่างเดียว (ไม่สลับกองทุน)

แต่ถ้าเทรดกองทุน LTF แบบสลับกองทุนด้วย PnT 1.10 ผลตอบแทนไม่ดีนัก เทียบได้พอๆกับการถือยาว LTF กองหุ้นอย่างเดียว (คือไม่สลับกองทุน) ดูไปแล้วการวิ่งเข้าวิ่งออกธนาคารเพื่อสับกองทุนจะได้ผลไม่คุ้มเหนื่อย

(ตอนต่อไปจะเป็นตอนสุดท้าย เป็นการสรุปผลการลงทุนในแบบต่างๆกับการประหยัดภาษี)


17/11/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 990.13 จุด ลดลง 10.60 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BGH, EGCO, GLOW, SCB ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 20 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ยางพารา (RSS) ลงหนักแต่ยังไม่มีสัญญาณขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ เนื่องจากตลาดหุ้นลงกจะจายไปทั่วโลก ดังนั้นในวันนี้ดัชนีอลลออร์ดิแนรีส์ (All Ordinaries) ของออสเตรเลย และดัชนีเซนเซ็กซ์ (SENSEX, BSESN) ของอินเดียจึงเกิดสัญญาณขายตามมาหลังจากที่หลายๆประเทศในภูมิภาคต่างๆเกิดสัญญาณขายไปแล้ว

Wednesday, November 17, 2010

16/11/2010 * CSI300, EEM, DBA, กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (3)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,000.73 จุด ลดลง 28.41 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย CPALL, KBANK, KTB, PTT, RATCH, SCCC, TCAP, TPIPL รวม 7 ตัว ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 24 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายข้าวโพด (C) ข้าวสาลี (W) และ KTB

กองทุนอีทีเอฟ EEM (ใช้ดูแทน MSCI Emerging Markets Index) และกองทุนสินค้าเกษตร DBA (Deutsch Bank Agriculture Fund) เกิดสัญญาณขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีโบเวสปา (IBOVESPA) ของบราซิล ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต (SSECI) ของจีน ดัชนี CSI 300 ของจีน ดัชนีเซนเซกซ์ (SENSEX, BSESN) ของอินเดีย และดัชนีคอสปี (KOSPI) ของเกาหลีใต้ล้วนเกิดสัญญาณขาย

วันนี้ตลาดลงหนัก สีแดงกระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดในแถบเอเชียที่ลงหนัก ทั้งจีน อินเดีย ที่ลงไป 2-4% ดัชนี SET ของไทยลงไป 2.8% จากนั้นตกบ่าย (เวลาประเทศไทย) ตลาดยุโรปเปิดก็แดงกระจาย ดัชนีลดลง 1-3% หลังจากนั้นเมื่อตลาดอเมริกาเปิดก็แดงกระจายอีก ทั้งแคนาดา สหรัฐอเมริกา ไล่ลงมาจนถึงบราซิล อาร์เจนตินา ลงไป 1-4%

สาเหตุของการตกของหุ้นทั่วโลกคงติดตามได้ทางข่าวทีวีและหนังสือพิมพ์ แต่ลุงแมวน้ำขอสรุปให้ฟังคร่าวๆก็คือสาเหตุเกิดจาก

  1. จีนประกาศกฎเกณฑ์ด้านสินเชื่อที่เพิ่มความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น รวมทั้งประกาศว่าจะควขคุมราคาสินค้าไม่ให้มีการกักตุนและเก็งกำไร (ยังไม่ได้บอกมาตรการ) พร้อมทั้งมีข่าวลือว่าจะเพิ่มอัตราดอกเบี้ย เพื่อต้องการควบคุมภาวะเงินเฟ้อ
  2. ด้านยุโรปก็ตึงเครียดกับปัญหาหนี้ของไอร์แลนด์ซึ่งอาจฉุดภาวะเศรษฐกิจของนานาประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปไปด้วย

สรุปแล้วก็คือปัญหาด้านอารมณ์กลัวและกังวลเป็นเหตุ ทำให้ดอลลาร์ก็แข็งค่าขึ้น ตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลง ทองคำและน้ำมันดิบก็ปรับตัวลดลง

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของจีน ทั้ง Shanghai composit index และ CSI 300 เกิดสัญญาณขาย มาดูกราฟกัน



ดัชนี MSCI Emerging Markets ก็เกิดสัญญาณขาย กราฟเป็นดังนี้



กองทุนอีทีเอฟด้านสินค้าเกษตร DBA ก็เกิดสัญญาณขาย



สัญญาณขายเหล่านี้จะเป็นสัญญาณหลอก (false signal) หรือเป็นการกลับทิศของแนวโน้มตอนนี้ยังบอกไม่ได้ คงต้องติดตามดูกันไปอีกสักระยะหนึ่ง



กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (3)

กองทุน LTF ที่ใช้อนุพันธ์มีอะไรบ้าง

กองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ LTF ในประเทศไทยมีอยู่นับสิบกองทุน แต่ที่ใช้อนุพันธ์ (ฟิวเจอร์ส) มาช่วยลดความผันผวนนั้น เท่าที่ลุงแมวน้ำทราบ ปัจจุบันมีอยู่เพียง 3 กองทุน นั่นคือ
  1. 1Smart-LTF (กองทุนเปิดวรรณเอเอ็มสมาร์ทหุ้นระยะยาว) ของ บลจ. วรรณ (1 A.M.)
  2. SCBLTS (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นระยะยาวสมาร์ท) ของ บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM)
  3. KSDLTF (กองทุนเปิดเค สตราทีจิค ดีเฟ็นซีฟหุ้นระยะยาวปันผล) ของ บลจ. กสิกรไทย จำกัด (Kasikorn Asset)
ทั้งสามกองทุนนี้มีการนำอนุพันธ์มาใช้ในสัดส่วนที่แตกต่างกันออกไปตามแต่นโยบายของแต่ละกองทุน แต่ถึงแม้ว่าจะใช้อนุพันธ์ในสัดส่วนที่เท่ากันก็ไม่ได้หมายความว่าผลตอบแทนของแต่ละกองทุนจะเท่ากัน ทั้งนี้ เนื่องจากว่าส่วนผสมของพอร์ตในกองทุน LTF นั้นไม่เหมือนกันนั่นเอง

ทางด้านความสะดวกคล่องตัวในการสับกองทุนนั้น 1Smart-LTF ให้สับกองทุนได้เพียงไตรมาสละ 1 ครั้งเมื่อสิ้นไตรมาสเท่านั้น ส่วน SCBLTS, KSDLTF ไม่มีข้อจำกัดเช่นนี้ สามารถสับกองทุนได้ทุกวันทำการ ซึ่งในการลงทุนจริงของนักลงทุนที่อิงกับปัจจัยทางเทคนิค เมื่อถึงเวลาที่จะต้องสับกองทุนก็ต้องสับในเวลานั้น จะไปรอจนถึงสิ้นไตรมาสไม่ได้ ดังนั้นในการทดสอบกลยุทธ์ที่จะกล่าวต่อไป ลุงแมวน้ำจึงเลือก SCBLTS, KSDLTF มาใช้ในการทดสอบ

การทดสอบกลยุทธ์สับกองทุน LTF ตามสภาวะตลาดและผลการทดสอบ

ในการทดสอบว่ากลุยุทธ์สับกองทุน โดยเมื่อตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นก็ลงทุนในกองทุน LTF ปกติ และเมื่อตลาดเป็นขาลงก็สับเปลี่ยนไปลงทุนในกองทุน LTF ที่ใช้ฟิวเจอร์ส ก่อนอื่นลุงแมวน้ำต้องกำหนดช่วงเวลาเสียก่อน ว่าเมื่อไรเป็นขาลง และเมื่อไรเป็นขาขึ้น ลองมาดูกราฟกัน



ลุงแมวน้ำกำหนดช่วงตลาดขาลง-ขาขึ้น เพื่อใช้ในการทดสอบ ดังนี้

  • ช่วงขาลงคือ 26 ส.ค. 2551 ถึง 27 ก.พ. 2552 รวมเวลาประมาณ 6 เดือน (ที่แรเงาสีแดง)
  • ช่วงขาขึ้นคือ 28 ก.พ. 2552 ถึง 7 ก.ย. 2552 รวมเวลาประมาณ 6 เดือน (ที่แรเงาสีเขียว)

โดยตลอดช่วงดังกล่าว ดัชนี SET อยู่ี่ที่ประมาณ 668 จุด จากนั้นไหลลงมาอยู่ที่ 431 จุด จากนั้นก็กลับขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 682 จุดอีก คิดคร่าวๆก็คือดัชนี SET ตั้งแต่ 26 ส.ค. 2551 ถึง 7 ก.ย. 2552 ไหลลงและกลับขึ้นมาอยู่ที่เดิมนั่นเอง เท่ากับเสมอตัว

การเปรียบเทียบผลตอบแทนการลงทุนของลุงแมวน้ำมี 4 กรณี คือ

  1. ถือกองทุน LTF ปกติไปโดยตลอด ทั้งขาลงและขาขึ้น
  2. ถือกองทุน LTF ที่ใช้อนุพันธ์ไปโดยตลอด ทั้งขาลงและขาขึ้น
  3. ถือกองทุน LTF ที่ใช้อนุพันธ์ ในตลาดขาลง และถือกองทุน LTF ปกติในตลาดขาขึ้น (แยกย่อยได้อีก 2 กรณี)

สำหรับการสับกองทุนใน ในวันที่ 26 ส.ค. 2551 ลุงแมวน้ำมองว่าตลาดเป็นขาลงแล้ว (เหตุใดจึงมองเช่นนั้นเอาไว้คุยกันอีกทีในภายหลัง ตอนนี้ว่ากันตามนี้ไปก่อน) จึงเข้าไปลงทุนในกองทุน LTF ที่ใช้ฟิวเจอร์ส จนถึงวันที่ 28 ก.พ. 2552 ลุงแมวน้ำเห็นว่าตลาดขาลงจบและเป็นขาขึ้นแล้ว (ขอให้เชื่อตามนี้ไปก่อนเ่ช่นกัน) จึงสับกองทุนเข้าไลงทุนในกองทุน LTF ปกติ

ผลตอบแทนการลงทุนเป็นดังนี้



  1. ดัชนี SET ในช่วงดังกล่าวให้ผลตอบแทน 2.04% (หมายถึงปรับตัวสูงขึ้น 2.04%)
  2. ถือกองทุน LTF ปกติไปโดยตลอด ทั้งขาลงและขาขึ้น SCBLT2 ให้ผลตอบแทน 4.23% ส่วน KEQLTF ให้ผลตอบแทน 0.54%
  3. ถือกองทุน LTF ที่ใช้อนุพันธ์ไปโดยตลอด ทั้งขาลงและขาขึ้น SCBLTS ขาดทุน 2.05% ส่วน KSDLTF ขาดทุน 7.39%
  4. มีการสับกองทุนในช่วงขาลงและขาขึ้น คู่กองทุน SCBLT2 และ SCBLTS ให้ผลตอบแทน 33.13%
  5. มีการสับกองทุนในช่วงขาลงและขาขึ้น คู่กองทุน KEQLT และ SCBLTS ให้ผลตอบแทน 20.76%

จะเห็นว่ากลยุทธ์การสับกองทุน LTF ให้ผลดูน่าพอใจ แม้ว่าต่างค่ายผลงานจะแตกต่างกันบ้าง แต่ก็ดีกว่าผลตอบแทนตามดัชนี SET อยู่ไม่น้อย

แต่ว่านี่คือข้อมูลจากการทดสอบที่ลุงแมวน้ำเลือกกำหนดช่วงเอง หากเป็นการลงทุนในชีวิตจริง กลยุทธ์สับกองทุน LTF ยังให้ผลตอบแทนน่าพอใจเช่นนี้หรือเปล่าเป็นเรื่องที่น่าคิด

(โปรดติดตามต่อในวันถัดไป)



Tuesday, November 16, 2010

15/11/2010 * GC, กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (2)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,029.14 จุด เพิ่มขึ้น 10.28 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 31 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อดัชนีดอลลาร์ สรอ (US dollar index, DX) ลุงแมวน้ำจึงเปิดสัญญาซื้อไป

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีไทเอกซ์ (Taiex) ของไต้หวันเกิดสัญญาณขาย

การที่ DX ขึ้นไปจนเกิดสัญญาณซื้อไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะหากค่าเงินดอลลาร์กลับทิศกลายเป็นแนวโน้มขาขึ้นแล้วละก็นั่นหมายความว่าคงเกิดผลกระทบมากทีเดียว ค่าของเงินสกุลอื่นๆจะอ่อนตัวลง ตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์อาจวาย ทองคำกับน้ำมันดิบอาจจบคลื่นขาขึ้นและเข้าสู่คลื่นขาลง A-B-C ฯลฯ ดังนั้นควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของ DX ไปอีกระยะหนึ่ง



จากกราฟราคาทองคำ (GC) ในภาพบน ลองมาดูกันว่ามีสัญญาณแนวโน้มกลับทิศ (trend reversal signal) อะไรที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง

  1. มีคอนเวอร์เจนซ์ระหว่างราคากับ rsi
  2. fibonacci ได้ระดับ 205% แต่ยังไม่มีความสอดคล้องของระดับ fibonacci หลายๆชุด
  3. คลื่นย่อยนับได้ครบ 5 คลื่น
  4. เกิดแท่งเทียนดำใหญ่
สัญญาณกลับทิศยังไม่ชัดเจนนัก แต่ก็ยังไม่ควรประมาท ในระยะสั้นๆที่ผ่านมา ทองคำแกว่งตัวแรง เรียกว่ามี volatility สูงขึ้น วันก่อนประธานธนาคารโลกแสดงความเห็นว่าระบบการเงินของสหรัฐอเมริกาควรกลับไปผูกกับมาตรฐานทองคำ ทองคำก็ขึ้นแรง พอ DX แข็งค่าขึ้น ทองคำก็ลงแรง ใครที่โดดเข้ามาเทรดทองคำในช่วงนี้คงใจหายใจคว่ำไม่น้อย volatility ที่สูงขึ้นนี้เป็นอาการที่มักเกิดขึ้นในปลายลูกคลื่น



กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (2)


เมื่อวานเราคุยกันค้างเอาไว้เรื่องกองทุน LTF ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนตลาดทุนของไทยโดยใช้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีมาจูงใจผู้มีเงินได้ให้หันมาลงทุนกันในตลาดทุน วันนี้เราจะมาคุยกันต่อ

กองทุน LTF ในตลาดขาลง

มาดูภาพนี้กันก่อน ภาพนี้เป็นกราฟของดัชนี SET ในช่วงสองปีก่อน ส่วนที่แรเงาสีชมพูเป็นช่วงวันที่ 26 สิงหาคม 2552 ถึง 27 กุมภาพันธ์ 2552 อันเป็นระยะเวลาที่ตลาดหุ้นอยู่ในคลื่นขาลง



ลุงแมวน้ำลองนำมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว 2 กองทุนมาแสดงให้ดูว่าเมื่อตลาดอยู่ในคลื่นขาลง ราคาหุ้นตก ค่า nav ของกองทุนเป็นอย่างไรบ้าง กองทุนที่ลุงแมวน้ำยกมานี้กองทุน SCBLT2 (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว พลัส, SCB STOCK PLUS LONG TERM EQUITY FUND) ค่ายไทยพาณิชย์ (SCBAM) ส่วนกองทุน KEQLTF (กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาว, K Equity LTF) เป็นของค่ายกสิกรไทย (K-AM) ลุงแมวน้ำเลือกสองกองทุนนี้มาแสดงเนื่องจากเป็นกองทุน LTF ที่ไม่มีการจ่ายปันผล (หากใช้กองทุนที่มีการจ่ายปันผล ค่า NAV ที่เปลี่ยนแปลงลดลงอาจเกิดจากการจ่ายเงินปันผลก็ได้)



จะเห็นว่าในช่วงดังกล่าวเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลดลงราว 35% มูลค่าของหน่วยลงทุน LTF ก็ลดลงตามไปด้วยในระดับที่ใกล้เคียงกับดัชนีเนื่องจากกองทุน LTF เน้นลงทุนในหุ้นเป็นส่วนใหญ่ ถ้ามองจากผลขาดทุนคงเห็นว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยง หากช่วงที่ต้องการขายคืนหน่วยลงทุนเป็นช่วงที่ตลาดเป็นขาลง ภาษีที่ประหยัดได้ไม่น่าคุ้มค่ากับเงินลงทุนที่หดหายไป และนี่เองเป็นอุปสรรคข้อหนึ่งที่ทำให้ผู้มีเงินได้ส่วนหนึ่งที่คุ้นเคยกับตลาดหุ้นดีพอควรไม่กล้าลงทุนในกองทุน LTF แม้ว่าจะช่วยประหยัดภาษีได้ก็ตาม

ต่อมาในวงการกองทุน LTF จึงมีการออกกองทุน LTF ที่ใช้ฟิวเจอร์สของ SET50 เข้ามาช่วยลดความผันผวนของราคาหุ้น ดังที่ลุงแมวน้ำได้คุยไปแล้วเมื่อวาน ว่ากองทุน LTF ประเภทนี้จะซื้อหุ้นและเปิดสัญญาขาย S50 ไปด้วย แต่ก็ครอบคลุมความเสี่ยงส่วนใหญ่เท่านั้น ไม่ได้ปิดความเสี่ยงทั้งหมด ดังนั้นเมื่อหุ้นตก NAV ชองกองทุน LTF ประเภทใช้ฟิวเจอร์สช่วยนี้ก็ลดลงบ้างแต่ไม่รุนแรงเท่ากองทุน LTF ที่ไม่ใช้ฟิวเจอร์ส ตารางต่อไปนี้เป็น NAV ของกองทุน SCBLTS (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวสมาร์ท, SCB SMART LONG TERM EQUITY FUND, ของ บลจ.ไทยพาณิชย์) กับ KSDLTF (กองทุนเปิดเค สตราทีจิค ดีเฟ็นซีฟหุ้นระยะยาวปันผล, K Strategic Defensive LTF ของบลจ.กสิกรไทย) ซึ่งใช้ฟิวเจอร์สลดความผันผวน จะเห็นว่าผลขาดทุนลดลง



กองทุนผสมฟิวเจอร์สนี้หากถือไปตลอด เมื่อตลาดเป็นขาขึ้นก็จะได้กำไรไม่มาก เมื่อตลาดเป็นขาลงก็จะขาดทุนน้อยลง ซึ่งผู้ลงทุนบางคนอาจเข้าใจผิดว่ากองทุนนี้เสมอตัวอยู่ตลอด ไม่ได้ไม่เสีย ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น

กลยุทธ์ LTF สับหน่วยลงทุนเมื่อแนวโน้มเปลี่ยน

ในมุมมองของนักลงทุนสายที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นเมื่อหุ้นลงไปถึง ณ ระดับราคาหนึ่งก็จะถึงจุดที่ต้องขายหุ้นออกไป ไม่ควรถือเอาไว้ ซึ่งจุดขายหุ้นหรือที่เรียกว่าจุดหยุดยั้งความเสียหาย (stop loss) นั้นมีวิธีคำนวณต่างๆนานา เช่น ใช้หลักราคาหลุดแนวรับ ใช้หลักราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ฯลฯ นักลงทุนสายเทคนิคเมื่อต้องการลงทุนใน LTF ก็คงอยากใช้หลักการเดียวกัน แต่มีข้อจำกัดสำหรับกองทุนประเภทนี้คือผู้ลงทุนจะขายตามใจไม่ได้ เพราะมีเงื่อนไขข้อกำหนดในการขายคืนค่อนข้างยุ่งยาก มิฉะนั้นจะต้องถูกเรียกสิทธิประโยชน์ทางภาษีคืนวุ่นวาย

ทางเลือกประการหนึ่งของนักลงทุนใน LTF ที่ยังไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ในยามที่ตลาดเกิดกลายเป็นขาลงพอดี นั่นก็คือ การสับกองทุน หลักการก็คือ

  1. ในยามตลาดขาขึ้น ลงทุนในกองทุน LTF ปกติ
  2. ในยามตลาดขาลง สับเปลี่ยนไปลงทุนในกองทุน LTF ที่ใช้ฟิวเจอร์ส และเมื่อยามตลาดกลับมาเป็นขาขึ้นจึงค่อยกลับไปลงทุนในกองทุน LTF ปกติ

ลองมาดูตัวอย่างกัน ลุงแมวน้ำทดลองทำข้อมูลของตลาดทั้งที่อยู่ในช่วงขาลง (26 ส.ค. 2551 ถึง 27 ก.พ. 2552) และตลาดในช่วงขาขึ้่น (27 ก.พ. 2552 ถึง 7 ก.ย. 2552) และลองเปรียบเทียบผลการลงทุน ทั้งในกองทุน LTF ปกติ กองทุน LTF แบบใช้ฟิวเจอร์ส และการลงทุนแบบสับกองทุนเมื่อตลาดเปลี่ยนแนวโน้ม ดังตารางต่อไปนี้ วันนี้ดูตารางกันไปก่อน แล้วลุงแมวน้ำจะอธิบายเพิ่มเติมในวันถัดไป


(โปรดติดตามอ่านในวันถัดไป)


Monday, November 15, 2010

12/11/2010 * RSS3, กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (1)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,018.86 จุด ลดลง 11.00 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BAY, BBL, ESSO, TCAP, TTW ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 31 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายน้ำตาลทราย (SB) ลุงแมวน้ำจึงปิดสัญญาซื้อและเปิดสัญญาขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

วันนี้เรียกได้ว่าเป็นวันแดงเดือด ตลาดทั่วโลกปรับตัวลดลง ทั้งราคาหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ ในระดับที่มากน้อยแตกต่างกัน ทางด้านตลาดหุ้นนั้น ตลาดจีนปรับตัวลงไปราว 5% ตลาดหลักอื่นๆปรับตัวลดลงประมาณ 1-2% ยกเว้นตลาดเยอรมนีที่ปิดบวกเล็กน้อยได้

ทางด้านสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลงแรงเช่นกัน ทองคำกับน้ำมันดิบลดลงประมาณ 3% ส่วนสินค้าเกษตรราคาลดลงประมาณ 3-5% ยกเว้นน้ำตาลทราย (SB) ที่ลงไปอีกประมาณ 10% ต่อจากเมื่อวาน รวมแล้วสองวันราคาน้ำตาลทรายปรับตัวลดลงไปราว 20% ส่วนราคายางพารานั้นปรับตัวลงมากเช่นกัน 3.5% ยางพาราของไทย (RSS3) ลดลงจนถึงราคาฟลอร์ ผู้ที่ต้องการปิดสถานะซื้อ (cover long position) ไม่สามารถทำได้

มีข่าวลือไปทั่วโลกในระหว่างการประชุม G20 ในช่วงนี้ว่าประเทศทางแถบเอเชียจะใช้ยาแรงหรือหมายถึงมาตรการสกัดเงินทุนไหลเข้าที่เข้มข้นยิ่งขึ้นเนื่องจากเกรงผลกระทบจากมาตรการพิมพ์เงินเพิ่มอัดฉีดเข้าไปในระบบของสหรัฐอเมริกา (QE2) โดยเฉพาะในประเทศจีนมีข่าวว่าทางการจีนจะคุมเข้มเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจลงบ้างด้วยการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนและตลาดอื่นๆปรับตัวลงแรง รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆในตลาดโลกรวมทั้งยางพาราด้วย ทั้งนี้ น่าจะเป็นเนื่องจากจีนเป็นตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่มาก หากจีนชะลอการบริโภค ดุลยภาพของอุปสงค์อุปทานก็จะเปลี่ยนไป

แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ยังเป็นข่าวลือ ยังไม่เห็นความชัดเจนอะไร แต่ก็สะท้อนว่าอารมณ์ตลาดอ่อนไหวมาก มีอะไรมากระทบก็ส่งผลต่อราคาอย่างมาก นี่เองที่ลุงแมวน้ำบอกว่าปัจจัยทางจิตวิทยานั้นมีความสำคัญยิ่ง และข้อมูลที่สะท้อนภาพได้ทั้งผลทางจิตวิทยาและผลทางปัจจัยพื้นฐานก็คือราคาที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง

ยางพารา (RSS) อาการดูไม่ดีเท่าไรนัก สัญญาณกลับทิศมาแล้ว 3 ประการ คือ คอนเวอร์เจนซ์ของราคากับ rsi, แท่งเทียนดำใหญ่ และเกิดช่องว่างราคา (gap) ที่เป็น falling window ซึ่งหากราคาดีดกลับมาปิดช่องว่างในวันต่อๆไปไม่ได้ น้ำหนักในการกลับทิศแนวโน้มจะมากยิ่งขึ้น

กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (1)

ลุงแมวน้ำเคยคุยเรื่องกลยุทธ์ LTF ให้ฟังไปบ้างแล้ว มาวันนี้ลุงแมวน้ำจะคุยถึงกลยุทธ์สำหรับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือที่เรียกย่อๆว่า LTF นี้ให้ละเอียดยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นมานานแล้ว หากนับคลื่นดูก็พบว่ามีโอกาสจบคลื่นและกลับทิศเป็นขาลงได้ทุกเมื่อ ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงปลายปีที่ผู้มีเงินได้ส่วนใหญ่นิยมซื้อกองทุน LTF กัน จึงอยากนำมาคุยให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง ว่าหากลงทุนในกองทุน LTF ไปแล้วตลาดเกิดกลับกลายเป็นขาลงนานๆแล้วจะทำอย่างไร ที่จริงวันสองวันมานี้นักลงทุนที่เพิ่งซื้อหุ้นไปก็ชักเริ่มหนาวๆกันบ้างแล้วเนื่องจากตลาดหุ้นค่อนข้างผันผวน ดังนั้นอาจเรียว่ากลยุทธ์ LTF 2010 ให้เท่ๆก็พอได้

ส่วน RMF นั้นแม้จะเป็นกองทุนที่เอาไว้ลงทุนเพื่อการประหยัดภาษีเช่นกัน แต่กฎหมายเื้อื้อให้มีความยืดหยุ่นในการลงทุนมากกว่า โดยไม่ต้องลงทุนให้หุ้นด้วยสัดส่วนที่เช่นที่กฎหมายบังคับกับกองทุน LTF แต่อย่างไรก็ดี หากเลือกลงทุนในกองทุน RMF ที่มีสัดส่วนของหุ้นสูงๆ สภาพการลงทุนของกองทุน RMF นั้นก็ไม่แตกต่างจากกองทุน LTF ดังนั้นจึงสามารถใช้แนวทางการลงทุนเดียวกันได้

ในตอนต้นลุงแมวน้ำจะพูดถึงแต่ LTF ไปก่อน หลังจากนั้นในตอนท้ายของบทความชุดนี้ลุงแมวน้ำจะสรุปเกี่ยวกับเรื่อง RMF กองหุ้นในส่วนที่แตกต่างกับ LTF ให้อีกครั้งหนึ่ง

LTF คืออะไร ทำไมต้อง LTF

ก่อนอื่นคงต้องขอเท้าความกันอย่างคร่าวๆก่อน ว่ากองทุน LTF คืออะไร และทำไมต้องลงทุนในกองทุน LTF ตามกฎหมายไทยในปัจจุบัน คนโสดที่ไม่มีภาระ มีเงินไิด้หรือคิดง่ายๆว่ามีเงินเดือนเดือนละ 20,600 บาทหรือน้อยกว่านั้นจะไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากเมื่อหักลดหย่อนและหักค่าใช้จ่าย หักสมทบประกันสังคมแล้วเหลือเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทให้คำนวณภาษี จึงไม่ต้องเสียภาษี ตัวเลข 20,600 บาทต่อเดือนนี้เป็นเพียงตัวเลขคร่าวๆ แต่ละคนต้องไปคำนวณอีกทีหากต้องการตัวเลขที่ละเอียด

หากผู้มีเงินได้เกินกว่าเดือนละ 20,600 บาทก็มีเงินได้สุทธิที่จะต้องนำไปคิดภาษีและจ่ายภาษีแล้ว อัตราภาษีขั้นต้นคือ 10% ของเงินได้สุทธิ หากมีเงินได้สุทธิมากก็ยิ่งต้องเสียภาษีมากไปถึงระดับ 20%, 30% ฯลฯ

ทีนี้หลายคนก็เกิดเสียดาย ไม่อยากจ่ายภาษีมากๆ รัฐก็ส่งเสริมโดยตั้งเงื่อนไขว่าใครที่ลงทุนในกองทุนประเภทที่เรียกว่ากองทุนรวมหุ้นระยะยาว LTF (long term mutual fund) นี้จะนำไปหักลดหย่อนภาษีได้เพิ่มเติมอีก พูดง่ายๆก็คือหากลงทุนในกองทุน LTF แล้วจะทำให้เสียภาษีน้อยลงหรือว่าประหยัดภาษีไปได้แล้ว มิหนำซ้ำอานิสงส์ที่ลงทุนกับกองทุนนี้อาจช่วยให้ผู้ลงทุนได้กำไรจากผลกำไรของกองทุนที่เติบโตขึ้นมาอีกด้วย เรียกว่าอาจได้กำไรสองเด้ง ทั้งนี้เพราะว่ารัฐต้องการส่งเสริมและพัฒนาตลาดทุนไทย จึงสร้างเงื่อนไขนี้เพื่อจูงใจให้ผู้มีเงินได้หันมาลงทุนในตลาดทุนด้วยกองทุน LTF

ประหยัดภาษีด้วย LTF แต่เงินลงทุนหดหายเพราะหุ้นตก จะมีทางออกหรือไม่

ด้วยเงื่อนไขและข้อจำกัดที่กฎหมายตีกรอบเอาไว้ กองทุน LTF จะต้องลงทุนใหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 65% เพื่อให้สมเจตนารมณ์ที่ต้องการให้นำเงินมาช่วยพัฒนาตลาดทุน หากไม่กำหนดเช่นนี้ กองทุนอาจนำเงินทุนไปลงทุนในตราสารหนี้หรือแม้แต่ลงทุนในตลาดต่างประเทศ ตลาดทุนไทยก็ไม่ได้เม็ดเงินนี้มาช่วยพัฒนาตามที่มุ่งหมายเอาไว้

ประเด็นสำคัญอีกข้อหนึ่งที่ผู้ลงทุนควรทราบเอาไว้ก็คือ การลงทุนในกองทุน LTF นี้มีเงื่อนไขด้านเวลาด้วย คือผู้ลงทุนต้องถือกองทุนเอาไว้อย่างน้อย 5 ปีปฏิทิน ไม่เช่นนั้นจะถือว่าผิดเงื่อนไข ซึ่งเวลา 5 ปีปฏิทินนั้นหากนับเป็นเวลาจริงแล้วอาจไม่ถึง 5 ปี และหากใช้เทคนิคนิดหน่อยเวลาก็จะยิ่งลดลง สมมติเช่น ลงทุนในเดือนธันวาคม ปี 2553 ก็จะสามารถขายได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2557 เป็นต้นไป ซึ่งหากคิดเป็นปีปฏิทินก็ 5 ปี หากคิดระยะเวลาจริงก็เพียง 3 ปีกับเศษอีกนิดหน่อยเท่านั้น

ปัญหาที่ผู้ลงทุนควรตระหนักก็คือ หากถือกองทุนเอาไว้นานถึง 3 ปีหรือนานกว่านั้น และกิดว่าเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาลง แล้วจะทำอย่างไร อย่าเพิ่งคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ ตลาดหุ้นไทยขึ้นไปสูงสุดในปี 2537 ที่ 1,800 กว่าจุด จนถึงบัดนี้ก็นานประมาณ 15 ปีแล้ว ตลาดก็ยังไม่สามารถกลับไปถึงจุดสูงสุดเดิมได้

แต่เดิมกองทุน LTF ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องการขาดทุนเมื่อหุ้นตกได้ ทั้งนี้ เนื่องจากข้อกฎหมายกำหนดเอาไว้ว่าต้องเป็นกองทุนหุ้น จึงดิ้นไปทำอย่างอื่นไม่ได้ ดังนั้นเมื่อหุ้นตก NAV (มูลค่าหน่วยลงทุน) ก็จะหดหายไปด้วย แต่ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา มีบางกองทุนใช้ฟิวเจอร์สเข้ามาช่วยลดความผันผวนของราคาหุ้น ทำให้กองทุนไม่ขาดทุนมากนักเมื่อหุ้นตก ต่างจากการถือหุ้นเอาไว้โดยไม่ใช้ฟิวเจอร์สช่วย

ดังที่ลุงแมวน้ำเคยคุยให้ฟังเอาไว้แล้วว่าฟิวเจอร์สนั้นสามารถใช้เก็งกำไรก็ได้ ใช้สำหรับลดความเสี่ยงก็ได้ ขึ้นอยู่กับเจตนาและวิธีการ ดังนั้นกองทุน LTF ในระยะหลังจึงมีบางกองทุนที่ผสมด้วยฟิวเจอร์สเพื่อช่วยลดความเสี่ยง โดยลุงแมวน้ำขอพูดอย่างง่ายๆเพื่อให้เห็นภาพ สมมติว่าซื้อหุ้นเอาไว้ที่ 700 จุด ในขณะเดียวกันก็เปิดสัญญาขายฟิวเจอร์สของ SET50 (S50) ไปด้วย ผลที่ควรจะเป็นก็คือ

เมื่อหุ้นขึ้น กองทุนก็จะได้กำไรจากหุ้น ในขณะเดียวกันก็จะขาดทุนจากฟิวเจอร์ส

เมื่อหุ้นตก กองทุนจะขาดทุนจากหุ้น (สมมติว่าถือเอาไว้ไม่ได้ขาย) และได้กำไรจากฟิวเจอร์ส

หากคำนวณสัดส่วนให้พอดีกัน เมื่อหุ้นขึ้นก็ไม่ได้เงินเพราะกำไรหุ้นหักล้างกับขาดทุนฟิวเจอร์ส กลายเป็นเสมอตัว เมื่อหุ้นตกก็ไม่ได้เงินเพราะว่าขาดทุนจากหุ้นแต่ได้กำไรจากฟิวเจอร์ส กลายเป็นเสมอตัวอีก

ถ้าเช่นนั้นแล้วกองทุน LTF ประเภทที่มีฟิวเจอร์สผสมนี้ดีตรงไหน หุ้นขึ้นก็ไม่มีกำไร หุ้นลงก็ไม่มีกำไร แล้วจะลงทุนไปทำไม

(โปรดอ่านต่อในวันต่อไป)


11/11/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,029.86 จุด ลดลง 12.42 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย TMB ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 36 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

วันนี้ตลาดในภาพรวมมีอาการแปลกๆ ตลาดหุ้นไทย อินเดีย เกาหลีปรับตัวลงค่อนข้างแรง ขณะที่ตลาดอื่นๆมีทั้งปิดบวกและปิดลบ แต่ที่น่าสังเกตคือกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (commodity) มีอาการปรับตัวลงขึ้นแรงลงแรงไปกันคนละทิศละทาง อย่างเช่น ข้าวสาลีปรับตัวขึ้นราว 5% น้ำตาลปรับตัวลงประมาณ 10% ยางพาราปรับตัวลงประมาณ 2.5% นักลงทุนในตลาด AFET ที่เทรดยางชักเริ่มอกสั่นขวัญแขวนเพราะตลาดแกว่งตัวแรง

ช่วงนี้ตลาดโดยรวมออกอาการแปลก ที่น่าเป็นห่วงคือเมื่อดูยอดการซื้อขายสุทธิ ปรากฏว่ารายย่อยรับเหมาหุ้นเอาไว้ในขณะที่กองทุนและต่างชาติขาย ใครที่ถือคติย่อแล้วให้รับควรพิจารณาอย่างรอบคอบและไม่ควรประมาท

Thursday, November 11, 2010

10/11/2010 * หุ้นจีนและการลงทุนในหุ้นจีน (2)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,042.28 จุด ลดลง 5.27 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 37 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแปลก ปกติหุ้นขึ้นแรงและยาวนานขนาดนี้โปรแกรมน่าจะซื้อหุ้นเอาไว้ใกล้เต็มพอร์ตแล้ว เพราะหุ้นจะขึ้นไปพร้อมๆกัน แต่นี่ถืออยู่เเพียง 37 ตัว แสดงว่าหุ้นหลายตัวไม่ยอมขึ้นตามดัชนีเลย


หุ้นจีนและการลงทุนในหุ้นจีน (2)

วันก่อนลุงแมวน้ำคุยถึงเรื่องกองทุนอีทีเอฟที่นำเงินของนักลงทุนชาวไทยไปลงทุนในหุ้นจีนนี้มีชื่อว่ากอง ทุน W.I.S.E KTAM CSI 300 China Tracker หรือมีชื่อย่อที่ใช้ในการเทรดว่า CHINA ถือว่าเป็นกรณีแรกของตลาดหุ้นไทยที่มีกองทุนลงทุนในหุ้นต่างชาติเข้ามาทำการ ซื้อขายได้เสมือนกับเป็นหุ้นตัวหนึ่ง และกำลังจะเข้าเทรดในตลาด SET เร็วๆนี้

วันนี้เรามาดูกันต่อว่าตลาดหุ้นจีนนั้นขณะนี้เป็นอย่างไรบ้างเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจจะเทรด CHINA เมื่อเข้าตลาดแล้ว

ตลาดหุ้นจีนนั้นมี 3 ตลาด นั่นคือ ตลาดเซี่ยงไฮ้ ตลาดเซินเจิ้น ฝั่งสองตลาดนี้อยู่ในแผ่นดินใหญ่ และตลาดหั่งเส็งซึ่งอยู่บนเกาะฮ่องกง

ตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นนั้นก็จะคล้ายกับตลาดหุ้น SET ในบ้านเรา นั่นคือ แบ่งเป็นกระดานท้องถิ่นที่ให้คนจีนเทรดกันเป็นเงินหยวนอันเป็นสกุลเงินท้องถิ่น กระดานนี้ชาวต่างชาติจะเทรดไม่ได้ ยกเว้นได้รับโควต้าพิเศษ มีหุ้นของบริษัทจดทะเบียนของจีนทั้งใหญ่ กลาง เล็ก รวมกันพันกว่าตัว หุ้นในกระดานท้องถิ่นของตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นนี้เราเรียกรวมกันว่า A Share

นอกจากนี้ตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นยังมีอีกกระดานหนึ่งสำหรับให้ชาวต่างชาติเทรดเป็นเงินดอลลาร์ สรอ ก็คล้ายกับกระดานต่างชาติ (foreign board) ของตลาดหุ้นในบ้านเรานั่นเอง หุ้นที่อยู่ในกระดานต่างชาตินี้เรียกว่า B share

นอกนั้นยังมีหุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหั่งเส็งอีก หุ้นจีนในตลาดหั่งเส็งนี้เทรดด้วยเงินสกุลดอลลาร์ฮ่องกงและชาวต่างชาติสามารถซื้อขายได้ เราเรียกหุ้นจีนในตลาดฮ่องกงนี้ว่า H share หุ้นจีนในตลาดหั่งเส็งนี้มีอยู่เพียงไม่กี่ร้อยตัวเท่านั้น

หุ้นที่เรียกว่า A share ซึ่งให้นักลงทุนท้องถิ่นซื้อขายกันนั้นโดยรวมแล้วเป็นหุ้นที่มีราคาถูกอยู่ หุ้นตัวเดียวกันเมื่อไปจดทะเบียนเป็น B share หรือ H share แล้วจะกลายเป็นหุ้นที่มีราคาแพงกว่าหุ้นตัวเดียวกันที่เป็น A share อีกทั้งหุ้น A share มีความหลากหลายให้เลือกเทรดได้มากมายกว่า H share มาก ดังนั้นหุ้น A share จึงเป็นยอดปรารถนาของนักลงทุนต่างชาติ แต่เนื่องจากโควตาที่อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเทรด A share มีจำกัด ดังนั้นช่องทางการลงทุนจึงถือว่าไม่ง่ายนัก ดังนั้นเมื่อจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่เกี่ยวกับหุ้นจีนจึงควรพิจารณารายละเอียดดูด้วยว่าเป็นหุ้นประเภทใด A share, B share หรือ H share ซึ่งมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนไม่เท่ากัน

เมื่อพูดถึงกลุ่มหุ้นจีนแล้ว ต่อไปก็คงต้องพิจารณากันว่าตัวชี้วัดหรือว่าดัชนีของหุ้นจีนนั้นมีอะไรบ้าง

ก่อนที่จะพูดถึงดัชนีหุ้นจีน เราลองมาดูดัชนีหุ้นไทยกันก่อน ดัชนีหุ้นของตลาด SET ในบ้านเรานั้นมีอยู่ถึง 10 ดัชนีให้เลือกใช้ ตั้งแต่ SET (นำหุ้นทั้งตลาดมาคำนวณดัชนี), SET100 (นำหุ้น 100 ตัวมาคำนวณดัชนี), SET50 (นำหุ้น 50 ตัวมาคำนวณดัชนี) อีกทั้งยังมีดัชนีหุ้นไทยในตระกูลดัชนีฟุตซี (TFTSE) อีก 7 ดัชนี ซึ่งกองทุนอีทีเอฟ TDEX ของเรานั้นเลือกใช้ดัชนี SET50 เป็นดัชนีอ้างอิง

ในทำนองเดียวกัน ดัชนีของตลาดหุ้นจีนก็มีอยู่หลายดัชนี ดัชนีหุ้นที่เก่าแก่ของจีนสำหรับหุ้น A share ที่เราคุ้นเคยนั้นคือดีชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตอินเด็กซ์ (Shanghai composite index) ที่เราเห็นรายงานกันในเว็บไซต์ยาฮูและกูเกิลนั่นเอง ดัชนีหุ้นจีนในรายงานประจำวันของลุงแมวน้ำก็ใช้ดัชนีตัวนี้

ส่วนดัชนีที่กองทุนอีทีเอฟ CHINA นี้ใช้อ้างอิงเป็นดัชนีที่เรียกว่า CSI 300 ซึ่งเป็นดัชนีที่คำนวณจากหุ้น A share ในตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นรวม 300 ตัว ดัชนีนี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ดังนั้นข้อมูลเก่าจึงยังมีไม่มากนัก แต่ถ้าดูในเว็บไซต์หรือทีวีช่อง Bloomberg จะเห็นรายงานของดัชนีตัวนี้

การจะมองว่าแนวโน้มตลาดหุ้นจีนเป็นอย่างไรนั้นก่อนอื่นคงต้องมองในภาพใหญ่กันก่อน ซึ่ง CSI 300 มีข้อมูลจำกัด มองเห็นภาพใหญ่ได้ไม่ดีเท่ากับ Shanghai composite index ซึ่งมีข้อมูลเก่ามากกว่า ดังนั้นเราจะมามองภาพใหญ่กันด้วย SSECI ก่อน ซึ่งในระดับภาพใหญ่นั้นดัชนีทั้งของดัชนีของจีนนี้สามารถใช้ดูแทนกันได้




จะเห็นว่าใระดับคลื่นใหญ่ ขณะนี้ตลาดหุ้นของจีนน่าจะอยู่ในคลื่นใหญ่ 3 ซึ่งการจะยืนยันว่าอยู่ในคลื่นใหญ่ 3 จริงคงต้องรอให้ผ่านยอดคลื่น 1 (สีน้ำตาล) หรือที่ระดับดัชนีประมาณ 3,500 จุดไปเสียก่อน

ทีนี้มาดูดัชนี CSI 300 กันบ้าง



จากภาพ ดัชนี CSI 300 ก็น่าจะกำลังอยู่ในคลื่น 3 (สีน้ำตาล) เช่นกัน และคงต้องดูที่ระดับ 3,787.03 จุดอันเป็นยอดคลื่นเดิม (ยอดคลื่น 1) หากดัชนีผ่านยอดคลื่นเดิมไปได้ โอกาสที่จะอยู่ในคลื่น 3 จริงๆก็มากยิ่งขึ้น ซึ่งหากเป็นคลื่น 3 โอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นจีนจะเติบโตต่อไปยังมีอีกมากเนื่องจากคลื่น 3 มักเป็นคลื่นที่ชันและลากยาวเกือบจะเรียกได้ว่าม้วนเดียวไปเลย

นี่เป็นมุมมองในเชิงเทคนิค ทีนี้มาพิจารณาในด้านความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีหุ้นจีนกับหุ้นไทย เหตุที่เราควรพิจารณาระดับความสัมพันธ์ด้วยเนื่องจากหากหุ้นจีนกกับหุ้นไทยมีความสัมพันธ์กันสูงมาก การลงทุนในหุ้นจีนก็ไม่แตกต่างจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทย อีกทั้งยังไม่เป็นการกระจายความเสี่ยงอีกด้วย เพราะการลงทุนควรมีความหลากหลายเพื่อการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน

การพิจารณาความสัมพันธ์เราดูจากค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ดังนี้



จากภาพ หากดูย้อนหลังไปในภาพรวม 4 ปี (ตั้งแต่ปี 2007) ภาพรวม 3 ปี และภาพรวม 2 ปี จะเห็นว่าหุ้นจีนกับหุ้นไทยมีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง แต่พอมาในปี 2010 หรือในปีนี้ การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจีนกับหุ้นไทยไม่มีความสัมพันธ์กัน แต่นี่คือการดูค่าแบบแห้งๆ เอาไปตีความใช้ประโยชน์ได้ยาก แต่หากพิจารณานับคลื่นไปด้วยจะเข้าใจดีขึ้น กล่าวคือ ในช่วงต้นปีถึงกลางปี ขณะที่ตลาดไทยอยู่ในคลื่น 3 แต่เป็นแบบค่อยๆขึ้น (sideway up) ตลาดจีนกำลังไหลลงเนื่องจากอยู่ในคลื่น 2 จึงทำให้ดูว่าไม่มีความสัมพันธ์กัน แต่ในขณะนี้จีนกำลังเข้าสู่คลื่น 3 และเราก็กำลังอยู่ในคลื่น 3 หรืออาจจะคลื่น 5 ต่อไปสัมประิสิทธิ์สหสัมพันธ์น่าจะกลับมามีค่าสูง ดังนั้นการจัดพอร์ตลงทุนไม่ควรทุ่มลงไปในหุ้นเป็นส่วนใหญ่ กระจายไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้หรืออื่นๆบ้างเพื่อรักษาความหลากหลายและลดความเสี่ยง

หวังว่าข้อมูลและการวิเคราะห์เหล่านี้คงเป็นประโยชน์แก่เพื่อนนักลงทุนบ้างตามสมควร

09/11/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,047.55 จุด ลดลง 2.24 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ RATCH และมีสัญญาณขาย TUF ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 37 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย


Tuesday, November 9, 2010

08/11/2010 * หุ้นจีนและการลงทุนในหุ้นจีน (1)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,049.79 จุด เพิ่มขึ้น 9.34 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 37 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

หุ้นจีนและการลงทุนในหุ้นจีน (1)

ดังที่เมื่อวานเราคุยกันไปแล้วว่าตลาดหุ้นไทยนั้นให้ผลตอบแทนในช่วงที่ผ่านมาดีมาก ส่วนตลาดหุ้นของจีนนั้นเมื่อเปรียบเทียบในช่วงระยะเวลาเดียวกันคือจากต้นปี ความสามารถในการทำกำไรยังห่างจากตลาดหุ้นไทยอยู่พอสมควร

แต่อย่างไรก็ตาม การนำผลตอบแทนในช่วงระยะเวลาเดียวกันมาเปรียบเทียบกันก็ต้องพิจารณาเปรียบเทียบด้วยความระมัดระวัง สมมติว่าตลาด ก กำลังอยู่ในคลื่นสอง ส่วนตลาด ข เข้าคลื่นสามไปแล้ว แน่นอนผลตอบแทนย่อมไม่เท่ากันเนื่องจากตลาดที่อยู่ในคลื่น 3 เมื่อเข้าสู่คลื่น 3 ลักษณะกราฟก็จะขึ้นอย่างแรง บางทีหุ้นขึ้น 10 วันติดๆกันก็ยังเป็นไปได้ แต่ผลตอบแทนที่ดีกว่าในปัจจุบันก็ไม่ได้หมายความว่าตลาดนี้ดีกว่าอีกตลาดหนึ่ง เพราะไม่แน่ว่าเมื่อตลาด ก เข้าสู่คลื่น 3 ตลาด ข อาจกำลังอยู่ในคลื่น 4 เมื่อเป็นเช่นนั้นผลตอบแทนของตลาด ก ย่อมเหนือกว่าตลาด ข ในช่วงนั้น

ดังนั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยแม้จะขึ้นแรงแต่ก็ต้องมีช่วงที่อยู่ในคลื่นขาลง การศึกษาศักยภาพและช่องทางการลงทุนในตลาดอื่นเอาไว้จึงไม่เสียหลายเนื่องจากเมื่อใดที่ตลาดหนึ่งยังไม่น่าสนใจเราก็สามารถย้ายไปเทรดในอีกตลาดที่น่าสนใจกว่าได้

การลงทุนในตลาดเกิดใหม่หรือที่เรียกว่า emerging market นั้นเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก สาเหตุประการหนึ่งก็คือตอนนี้เงินล้นโลก โดยเฉพาะเงินดอลลาร์นั้นพิมพ์ออกมามากมาย ไม่รู้จะเอาไปเก็บที่ไหน จะไปลงทุนในตลาดใหญ่ๆอันเป็นตลาดสำคัญของโลก เช่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฯลฯ ตลาดเหล่านี้ก็เติบโตไปมากแล้วจนเหลือที่ว่างให้เก็งกำไรได้น้อย คงมีแต่ตลาดเกิดใหม่และตลาดชายขอบ (frontier market) ต่างๆนี่แหละที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง มีช่องว่างให้เก็งกำไรอยู่อีกมาก ดังนั้นเงินทุนจากประเทศที่พัฒนาแล้วจึงไหลบ่าเข้ามาลงทุนและตักตวงในตลาดเกิดใหม่ ตัวอย่างของตลาดเกิดใหม่ อาทิ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ไทย บราซิล รัสเซีย

ผลของเงินต่างชาติที่ไหลบ่าเข้ามาเราก็คงเห็นกันดีแล้ว เพราะตลาดหุ้นของไทยก็กำลังเกิดเหตุการณ์นี้อยู่ แต่เมื่อเงินทุนไหลเข้ามาได้ก็ไหลออกไปได้ ดังนั้นเราควรเตรียมรับมือด้วยการหาช่องทางการลงทุนอื่นๆเอาไว้เพื่อกระจายความเสี่ยง

ในปัจจุบันนักลงทุนรายย่อยสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ด้วยการลงทุนผ่านกองทุนรวมของไทยซึ่งมีนโยบายนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า foreign investment fund (FIF) ยกตัวอย่างเช่นกองทุนทองคำทั้งหลายในบ้านเราก็เป็นการนำเงินไปลงทุนในกองทุนทองคำในต่างประเทศ หรืออย่างกองทุนตราสารหนี้บางกองก็ไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ เช่น TMB Global Bond Fund หรือบางกองทุนก็กระจายการลงทุนไปในหลักทรัพย์ทั่วโลก เช่น กองทุน K-Globe เป็นต้น

สำหรับประเทศจีนนั้นเรียกได้ว่าเป็นตลาดที่เนื้อหอมทีเดียว นานาชาติต่างก็ต้องการเข้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของจีนเนื่องจากคาดการณ์กันว่าตลาดจีนยังขึ้นไปได้อีกมาก ขณะนี้กองทุนรวมของไทยที่ไปลงทุนในหุ้นจีนก็มีอยู่หลายกองทุน อาทิ TMB China Equity กองทุน K-China กองทุน Tisco China Equity เป็นต้น ที่จริงยังมีกองทุนรวมของไทยที่ลงทุนในตลาดจีนอีกหลายกองทุน แต่ขอยกตัวอย่างให้ดูเพียงเท่านี้

เท่าที่ผ่านมาก นักลงทุนรายย่อยที่ต้องการลงทุนในต่างประเทศส่วนใหญ่จะมีช่องทางการลงทุนที่จำกัด การลงทุนผ่านกองทุนรวมถือได้ว่าสะดวกที่สุดแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การลงทุนกับกองทุนรวมก็ยังมีข้อติดขัดอยู่บ้าง เช่น การติดตามค่า NAV ที่ประกาศค่อนข้างช้า ค่าธรรมเนียมซื้อขายที่ถูกแพงไม่เท่ากัน รวมทั้งความไม่สะดวกในการสั่งซื้อสั่งขาย

แต่ต่อไปช่องทางการลงทุนในตลาดต่างประเทศของนักลงทุนรายย่อยจะมีมากขึ้น โดยเรากำลังจะมีกองทุนอีทีเอฟ (ETF, exchange traded fund) ที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีนเข้ามาซื้อขายในตลาด SET ของบ้านเรา นั่นคือ สามารถซื้อขายได้ในทำนองเดียวกับ Tdex, Tftse, Engy ซึ่งเป็นกองทุนอีทีเอฟที่เทรดกันอยู่แล้วในตลาด SET ของเรา โดยกองทุนอีทีเอฟที่นำเงินของนักลงทุนขาวไทยไปลงทุนในหุ้นจีนนี้มีชื่อว่ากองทุน W.I.S.E KTAM CSI 300 China Tracker หรือมีชื่อย่อที่ใช้ในการเทรดว่า CHINA ถือว่าเป็นกรณีแรกของตลาดหุ้นไทยที่มีกองทุนลงทุนในหุ้นต่างชาติเข้ามาทำการซื้อขายได้เสมือนกับเป็นหุ้นตัวหนึ่ง

สำหรับกองทุนนี้นักลงทุนคงได้ทราบข่าวมาบ้างแล้วเนื่องจากมีการประชาสัมพันธ์กันค่อนข้างมาก รายละเอียดเกี่ยวกับกองทุนลุงแมวน้ำไม่ขอพูดถึง แต่ประเด็นที่อยากจะคุยก็คือ ตลาดหุ้นจีนและก้าวต่อไปของตลาดหุ้นจีนจะเป็นอย่างไรมากกว่า โดยใช้มุมมองทางเทคนิค ไม่ใช่มุมมองทางปัจจัยพื้นฐาน



(โปรดติดตามอ่านในวันถัดไป)

Monday, November 8, 2010

05/11/2010 * ดัชนี SET และก้าวต่อไปของดัชนี

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1.040.45 จุด เพิ่มขึ้น 8.84 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BBL, TMB ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 37 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ ดัชนีนิกเกอิ (Nikkei, N225) ของญี่ปุ่นขึ้นแรงแลพเกิดสัญญาณซื้อ ตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดเขียว

วันนี้ ดัชนีดาวโจนส์ (DJI) ของสหรัฐอเมริกาพุ่งแรงถึง 219 จุด ค่าเงินดอลลาร์อ่อนยวบ ราคาทองคำ โลหะเงิน น้ำมันดิบ สินค้าเกษตร และสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) ต่างๆปรับตัวขึ้นแรง

ดัชนี SET และก้าวต่อไปของดัชนี

ในปี 2010 นี้ตลาดหุ้นไทยมีการเติบโตอย่างมากทีเดียว ดัชนี SET ขึ้นแบบลากยาวซึ่งเป็นลักษณะของคลื่น 3 หรือว่าคลื่น 5 นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ผลตอบแทนที่ดีกันถ้วนหน้า กองทุนต่างชาติที่มาลงทุนให้ตลาดหุ้นไทยนั้นทำกำไรมาตั้งแต่ต้นปี 2010 ได้มากโข อาจกล่าวได้ว่าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนดีที่สุดในบรรดาตลาดหุ้นของประเทศต่างๆในโลกก็ว่าได้ ลองมาดูสถิติกันอย่างคร่าวๆ ผลงานของกองทุนต่างชาติที่ลงทุนโดยอิงดัชนีนั้นได้ผลกำไรนับตั้งแต่ต้นปี 2010 มาจนถึงวันนี้ก็ประมาณ 50-60% แล้ว ในขณะที่กองทุนที่ลงทุนอิงดัชนีในตลาดเกิดใหม่ของประเทศอื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย โปแลนด์ ตุรกี ได้ผลตอบแทนอยู่ในระดับ 40%

การลงทุนแบบอิงดัชนีในประเทศอินเดีย แอฟริกาใต้ สิงคโปร์ได้ผลตอบแทนในระดับ 30% ส่วนการลงทุนในประเทศจีน รัสเซีย ได้ผลตอบแทนในระดับ 15% ส่วนการลงทุนในฟิลิปปินส์ได้ผลตอบแทนประมาณ 7% ในขณะที่การลงทุนในเวียดนามขาดทุนเล็กน้อย

ตัวเลขที่ลุงแมวน้ำยกมานี้เป็นเพียงตัวเลขคร่าวๆเพื่อให้เห็นศักยภาพในการลงทุนในประเทศต่างๆเป็นเชิงเปรียบเทียบในภาพรวม ทีนี้หากจะมาดูกันต่อไปว่าแนวโน้มของหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร ลุงแมวน้ำของวิเคราะห์ในเชิงเทคนิคซึ่งพิจารณาจากกราฟดัชนี SET นั่นเอง

หลังจากวิกฤติต้มยำกุ้ง ดัชนี SET ไต่อยู่ในระดับไม่กี่ร้อยจุดมานานหลายปี จนมาถึงต้นปี 2547 (2004) ที่ดัชนี SET สามารถทำจุดสูงสุดในรอบหลายปีได้ที่ 794.01 จุด (อีกนิดเดียวจะถึง 800 จุดแต่ก็ไม่ถึง) หลังจากนั้นมาอีกหลายปี เรามักใช้ค่า 794.01 จุดเป็นแนวต้านใหญ่หรือว่าเป็นระดับเปรียบเทียบที่พยายามจะไปให้ถึงอีกครั้งหนึ่ง

ต่อมาในช่วงปลายปี 2550 (2007) ดัชนี SET ก็สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 915.03 จุด หลังจากนั้นก็ร่วงลงมาเหลือเพียงเกือบ 400 จุด นับแต่นั้นเป็นต้นมาเราก็ยึดเอาระดับ 915.03 จุดเป็นระดับเปรียบเทียบเพื่อพยายามจะไปให้ถึงอีกครั้งหนึ่ง

มาถึงวันนี้ ในวันที่ดัชนี SET อยู่ที่กว่าหนึ่งพันจุด ระดับที่เราพยายามจะไปให้ถึงก็ต้องเปลี่ยนใหม่โดยอิงกับยอดคลื่นเดิม ซึ่งไม่ใช่ 1,100 จุด ไม่ใช่ 1,200 จุด หรือว่า 1,300 จุด แต่คือยอดคลื่นเดิมที่ระดับ 1,753.73 จุด

ในทางเทคนิค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวัดระดับ fibonacci ขณะนี้จุดเทียบต้องเปลี่ยนไปใช้ที่ 1,753,73 จุดแล้ว รวมทั้งการนับคลื่นก้ต้องนับกันใหม่ หากนับในระดับคลื่นใหญ่ระดับหลายๆปี ภาพน่าจะเป็นดังนี้



นั่นคือ ขณะนี้เรากำลังอยู่ในคลื่นใหญ่ 3 (สีดำ) ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงดัชนี SET ยังมีโอกาสขึ้นต่อไปได้อีกมากกว่าจะจบคลื่นใหญ่ 5 (สีดำ) และดังที่ลุงแมวน้ำเคยคุยให้ฟัิงแล้วว่าดัชนี SET นั้นโดยสถิติแล้วเป็นดัชนีที่มีโอกาสทำกำไรค่อนข้างดี กล่าวคือ มีความน่าจะเป็นในการซื้อแล้วได้กำไรอยู่ที่ 0.5 ในขณะที่ค่าความน่าจะเป็นในการซื้อแล้วได้กำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 0.4 ซึ่งค่าที่สูงกว่าหมายถึงมีโอกาสซื้อแล้วกำไรสูงกว่า

แต่อย่างไรก็ดี ในระดับคลื่นใหญ่แม้ว่าจะเป็นคลื่น 3 ก็จริง แต่ว่าอาจใช้เวลานาน 5 ถึง 15 ปีกว่าจะจบคลื่น ในคลื่นใหญ่ประกอบด้วยคลื่นในระดับรองลงมาแกว่งขึ้นๆลงๆอยู่ ดังนั้นอย่าคาดหวังว่าหุ้นจะขึ้นไปแบบม้วนเดียว ดังนั้นนักลงทุนจึงไม่ควรย่ามใจ เพราะการเคลื่อนไหวของคลื่นที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของเรานั้นไม่ใช่คลื่นใหญ่ แต่เป็นคลื่นย่อย พูดง่ายๆก็คือ ถึงแม้ว่าเราอาจจะอยู่ในคลื่นใหญ่ 3 ก็ตาม แต่การแกว่งตัวในระดับคลื่นย่อยก็ยังทำให้เราอกสั่นขวัญหาย รวมทั้งยังสามารถทำให้เราขาดทุนและอยู่บนยอดดอยได้ชั่วเวลาหนึ่งเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา

ตลาดหุ้นจีนก็มีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปได้เช่นเดียวกันเนื่องจากลุงแมวน้ำลองนับคลื่นดู คาดว่าน่าจะเพิ่งเริ่มต้นคลื่น 3 ใหญ่ ในวันต่อไปเราจะไปดูดัชนีหุ้นจีนและการลงทุนในตลาดหุ้นจีนกัน