Sunday, January 3, 2010

30/12/2009 * DJI, HSKI, NIX, BSESN, SSECI, DAX, SET

วันนี้เป็นวันเทรดวันสุดท้ายของปี นอกจากการอัปเดตข้อมูลรายวันแล้วลุงแมวน้ำจะลองสรุปการลงทุนในรอบปี รวมทั้งสรุปทิศทางและแนวโน้มของตลาดโลกไปด้วย

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 734.54 จุด ลดลง 7.62 จุด วันนี้ตลาดสำคัญทั่วโลกไปกันคนละทาง ขึ้นก็มี ลงก็มี

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 โปรแกรมของลุงแมวน้ำวันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวม 44 ตัว

สำหรับกลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

กลุ่มดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้มีไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ลองมาดูฟิวเจอร์สหรือว่าผลิตภัณฑ์ที่ลุงแมวน้ำเทรดอยู่ในพอร์ตจำลองกันว่าในรอบปีที่ผ่านมาแต่ละตัวเป็นอย่างไร ที่จริงดูในรายงานก็มีสรุปให้ทุกวันอยู่แล้ว แต่วันนี้จะขอหยิบมาจัดลำดับและแสดงความเห็นเพิ่มเติมด้วย

ในบรรดาฟิวเจอร์ส์ทั้งหมด 9 ตัวที่อยู่ในพอร์ตจำลอง ระยะเวลาที่เริ่มเทรดคือต้นปี 2009 ใกล้เคียงกัน จะได้เปรียบเทียบกันได้ง่าย

ฟิวเจอร์สที่ทำกำไรได้มากที่สุดไม่ใช่สินค้าของนอกที่ไหน ยางพารา RSS ของตลาด AFET ไทยเรานี่เอง ทำกำไรได้มากถึง 782% เมื่อเทียบกับ initial margin ที่วางไปในตอนเริ่มต้น รูปแบบราคาของยางพาราแกว่งตัวรุนแรง บางทีติดซีลลิงหรือติดฟลอร์ 2-3 วันกว่าจะปิดสัญญาออกมาได้ เมื่ออยู่ในคลื่น 2 กับคลื่น 4 จะคืนกำไรไปได้มาก สร้างความอกสั่นขวัญแขวนแก่นักลงทุน แต่เมื่อถึงเวลาที่อยู่ในคลื่น 3 ก็ทำกำไรได้แรงมากเช่นกัน หากเทรดในระบบตามใจฉันหรือว่าไม่มีระบบมีแต่พังกับพัง แต่หากเทรดอย่างมีระบบก็จะมีกำไรได้ รวมแล้วกำไรมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในพอร์ตจำลองของลุงแมวน้ำ

สำหรับยางพารา RSS3 นั้นหากไม่มีระบบไม่แนะนำให้เล่น เพราะโอกาสพังยับเยินสูงมาก หากมีระบบก็เทรดได้แต่กำไรจะมากน้อยขึ้นกับระบบที่ใช้ น่าเสียดายที่ตลาด AFET ของเรายังเล็กมากอยู่ทั้งๆที่ให้ผลตอบแทนดี นอกจากนี้ ขณะนี้น่าจะยังไม่จบคลื่น 3 ยังมีโอกาสทำกำไรต่อไปได้เรื่อยๆอีก

ฟิวเจอร์สที่ทำกำไรดีในลำดับรองลงมาคือ ดัชนีดอลลาร์ สรอ (US dollar index, DX) ทำกำไรได้ถึง 717% เมื่อเทียบกับ IM เป็นความบังเอิญด้วย เพราะว่าในปีนี้ (2009) DX อยู่ในตลาดขาลงตลอดทั้งปี ก็เลยทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ เพราะอันที่จริงการเก็งกำไรค่าเงินทำกำไรได้ยากมาก โอกาสขาดทุนสูง แม้มีระบบก็ยังมีโอกาสขาดทุน

ฟิวเจอร์สตัวที่ทำกำไรอันดับ 3 คือ น้ำตาล SB ได้กำไรถึง 654% เมื่อเทียบกับ IM ขณะนี้ทำ all time high หรือว่าทำสถิติราคาสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีตไปเรียบร้อยแล้วและมีแนวโน้มว่าจะขึ้นต่อไปและทำสถิติใหม่ๆต่อไปได้อีก

ทางด้านฟิวเจอร์สยอดแย่ของพอร์ตจำลองของลุงแมวน้ำก็คือน้ำมันดิบ CL แกว่งตัวรุนแรง ได้กำไรมาก็คืนไปหมด รวมแล้วยังขาดทุนอยู่ แต่นี่ก็เป็นจังหวะเหมือนกัน เพราะว่าเมื่อวิเคราะห์จากกราฟแล้วตลอดปี 2009 ที่ผ่านมาเราน่าจะใช้เวลาอยู่ใน reactive wave เสียมาก แต่ต่อไปน่าจะทำกำไรได้ดีเช่นเดียวกับตัวอื่นๆ

ที่เหลือที่จะกล่าวต่อไปข้างล่างนี้ก็เป็นฟิวเจอร์สที่ทำกำไรได้ดีในอันดับรองลงมา กลุ่มนี้ที่จริงเป็นกลุ่มที่น่าเทรด เพราะว่าราคาไม่แกว่งตัวรุนแรง เทรดแล้วไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนมากนัก แต่อย่างไรก็ดี ยังต้องอาศัยการเทรดอย่างมีระบบเช่นกัน ถ้าหากเทรดแบบตามใจฉันก็คงพังเหมือนกัน

S50 หรือฟิวเจอร์สของ SET50 ได้กำไร 264% เมื่อเทียบกับ IM ได้กำไรระดับนี้ก็หรูแล้ว

ทองคำ (GC, GF) แกว่งตัวรุนแรง คืนกำไรไปมาก แต่ก็ัยังเหลือกำไรเอาไว้ถึง 227% สำหรับ GC

โปรดสังเกตว่าฟิวเจอร์สที่อยู่ในพอร์ตจำลองของลุงแมวน้ำมีทั้งฟิวเจอร์สของดัชนี สินค้าเกษตร และโภคภัณฑ์ แต่ไม่มีฟิวเจอร์สของหุ้นหรือที่เรียกว่า single stock futures เลย

พูดถึงเรื่องฟิวเจอร์สของหุ้น ที่จริงก็อยากจะนำฟิวเจอร์สของหุ้นไทยบางตัวเข้ามาอยู่ในพอร์ตจำลองอยู่เหมือนกัน แต่เนื่องจากฟิวเจอร์สหุ้นของบ้านเรายังอยู่ในระยะเริ่มต้น ตลาดยังเล็กมาก ปริมาณซื้อขายน้อย ทำให้ราคานิ่งหรือไม่ก็แกว่งตัวแรงไปเลย อีกทั้งเทรดไปแล้วอาจติดหรือว่าออกไม่ได้ หรือว่าออกได้ก็ขาดทุนหนักเพราะเสียราคาไปมาก ฯลฯ ก็เลยยังไม่คิดเทรดในตอนนี้ รอให้ผ่านไปอีกสักระยะ มีปริมาณซื้อขายมากพอ ก็จะลองนำเข้ามาเทรดในพอร์ตจำลองดู ส่วนทองคำนั้นแม้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เช่นกัน แต่ปริมาณซื้อขายมีมากพอ ลุงแมวน้ำจึงนำเข้ามาในพอร์ตจำลองได้เร็ว

ทีนี้มาดูสรุปดัชนีตลาดสำคัญของโลกในรอบปีกันบ้าง

ดัชนีดาวโจนส์

เริ่มกันที่ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones index, DJI) จากภาพข้างล่างนี้ DJI อยู่ในคลื่น B สีน้ำเงิน แต่ถ้าในระดับคลื่นที่ย่อยลงมาก็จะอยู่ในคลื่น 3 (สีน้ำตาล) ซึ่งขณะนี้ดูรูปการณ์แล้วยังไม่น่าจะจบคลื่น B ในเร็ววันนี้ ดังนั้นเทรดตามไปเรื่อยๆก่อนได้ คาดว่าคลื่น B น่าจะไปต่อได้ไม่เกินดัชนี 12,500 จุด หลังจากนั้นจะเข้าสู่คลื่น C (สีน้ำเงิน)



เนื่องจากดัชนีดาวโจนส์เป็นตัวบ่งชี้สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาได้ และเศรษฐกิจของ สรอ เป็นตัวบ่งชี้เศรษฐกิจของโลกได้ ดังนั้น DJI จึงเท่ากับเป็นดัชนีที่บ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจของโลกได้ด้วย

หากถามว่าทำไมลุงแมวน้ำจึงมองว่าตอนนี้ DJI อยู่ในคลื่น B ทั้งๆที่เศรษฐกิจของโลกก็ดูเหมือนจะฟื้นตัวแล้ว ภาวะถดถอยที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาน่าจะหมดไปแล้ว ดังนั้นเราน่าจะจบคลื่น C ไปแล้วมากกว่า ขณะนี้น่าจะกำลังอยู่ในคลื่น 1 (ระดับสีน้ำเงิน)

คำตอบก็คือ ลุงแมวน้ำพิจารณาไปตามรูปแบบของคลื่น ดูแล้วน่าจะเป็นรูปแบบที่อยู่ในคลื่น B มากกว่า และเหตุผลประกอบอื่นๆของลุงแมวน้ำก็คือ ลุงแมวน้ำมองว่าเศรษฐกิจของ สรอ อาจจะยังไม่ฟื้นจริงๆก็ได้ ทั้งนี้ เนื่องจากพิษร้ายของตราสารทางการเงินในโลกยุคใหม่ที่มีความสลับซับซ้อนจนคำนวณมูลค่ากันไม่ถูก อย่างเช่นพวก CDO ยังไม่น่าจะหมดพิษร้ายไป เท่าที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่การกวาดขยะไปไว้ใต้พรมเท่านั้น หากเป็นไปตามสมมติฐานนี้ก็เข้าเค้ากับรูปแบบของคลื่น เพราะตอนนี้กวาดขยะไปไว้ใต้พรม อะไรๆเลยดูเหมือนจะเรียบร้อย โลกก็เข้าสู่คลื่น B และเมื่อไรที่เปิดพรมออกมา โลกก็เข้าสู่คลื่น C ต่อไป ซึ่งคาดว่าภายในปี 2010 นี้น่าจะจบคลลื่น B หรืออย่างช้าก็ปี 2011

ดัชนี DAX ของเยอรมนี ดูภาพข้างล่าง ลุงแมวน้ำใช้ DAX เป็นตัวแทนของตลาดในกลุ่มสหภาพยุโรป ซึ่งอาจไม่ใช่ตัวแทนที่ดีนักแต่ว่าก็พอดูเป็นแนวทางได้ ดัชนี DAX น่าจะยังอยู่ในคลื่น B เช่นกัน


ดัชนีหั่งเส็ง

ดัชนีหั่งเส็งของฮ่องกง (HSKI) จากภาพข้างล่าง ก็น่าจะอยู่ในคลื่น B (สีน้ำเงิน) เช่นกัน แต่ในระดับคลื่นที่ย่อยลงมาคือระดับสีน้ำตาล น่าจะอยู่ในคลื่น 3 แต่ว่าปัญหาก็คือ คลื่น B นี้มีเพียง 3 คลื่นย่อย ถ้าเช่นนั้นการจบคลื่น 3 (สีน้ำตาล) หมายถึงการจบคลื่น B หรือยัง เพราะคลื่นระดับสีน้ำตาลอาจเป็นเพียงคลื่นย่อยของคลื่นย่อยอีกทีก็ได้ ความยากของการนับคลื่นจึงอยู่ที่ตรงนี้เอง เพราะว่าการจำแนกคลื่นใหญ่คลื่นย่อยบางทีก็ไม่ง่าย ต้องรอให้ความจริงเป็นเครื่องพิสูจน์


ดัชนีนิกเกอิ

ดัชนีนิกเกอิ (NIKKEI, NIX) ของญี่ปุ่น ดูภาพข้างล่าง จะเห็นว่ารูปแบบกราฟของดัชนีนิกเกอินี้แตกต่างจาก DJI, HSKI และดัชนีประเทศอื่นๆซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับ DJI แต่ทว่าดัชนี NIX นี้แสดงอาการถดถอยจบคลื่น 5 ใหญ่มาตั้งแต่ปี 1990 แล้ว รูปกราฟหน้าตาประหลาด จบคลื่น 5 แล้วยังนับ A-B-C ไม่ค่อยถูก คงต้องดูกันไปก่อน


ดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้

ตลาดจีน เราใช้ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ (SSECI) เป็นตัวแทนของตลาดประเทศจีน ความเก่าแก่ยังไม่เท่าตลาดหลักทรัพย์ของประเทศอื่นๆ แต่เป็นตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจ เพราะโอกาสที่ดัชนีจะเติบโตยังมีอีกมาก เนื่องจากเมื่อมองในระดับคลื่นยักษ์แล้วตลาดจีนยังเพิ่งอยู่ในขั้นคลื่น 1-2 เท่านั้นเอง


ดัชนีตลาดหุ้มมุมไบ

ดัชนีตลาดหุ้นมุมไบ (BSE SENSEX ตัวย่อคือ BSESN) กราฟของตลาดอินเดียนับคลื่นได้ง่ายกว่าของตลาดเซี่ยงไฮ้ จะเห็นว่าในระดับคลื่นยักษ์ ตลาดอินเดียอยู่ในคลื่น 3 ซึ่งเป็นคลื่นขาขึ้นที่มีโอกาสทำกำไรได้มาก น่าสนใจกว่าตลาดจีนเสียอีก นักลงทุนที่มองการณ์ไกลอาจมองช่องทางการลงทุนในตลาดอินเดียเอาไว้บ้าง เช่น กองทุนในบ้านเราที่ลงทุนในตลาดอินเดีย เป็นต้น


ดัชนี SET

ทางด้านตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ของไทยก็กำลังดำเนินอยู่ในในคลื่น B เช่นกัน แต่ถ้าจะมองดูกันในรายละเอียด อาจนับคลื่นย่อยได้เป็นหลายแบบ ขึ้นกับการนับของแต่ละคน สำหรับลุงแมวน้ำมองการนับคลื่นย่อยเป็น 2 แบบ ดังนี้

แบบแรก คลื่น B ประกอบด้วยคลื่นย่อย 1-2-3 (สีน้ำตาล) ซึ่งถ้านับแบบนี้ คาดว่าขณะนี้เราน่าจะอยู่ในคลื่นย่อย 5 (สีน้ำตาล) ซึ่งเมื่อจบคลื่นย่อย 5 (สีน้ำตาล) ก็จะเป็นการจบคลื่น 3 (สีน้ำเงิน) ซึ่งเป็นการจบคลื่น B และนั่นหมายความว่าอีกไม่นานเราจะเข้าสู่คลื่น C อันเป็นคลื่นขาลงที่รุนแรง ตามภาพต่อไปนี้


แบบที่สอง ถ้าหากจะนับอีกแบบ คลื่น B นี้ประกอบด้วยคลื่นย่อย 1-2-3 (สีน้ำเงิน) ขณะนี้เราใกล้จบคลื่นย่อย 5 (สีน้ำตาล) และใกล้จบคลื่น 1 (สีน้ำเงิน) เมื่อจบแล้ว ต่อไปจะเป็นคลื่น 2-3 (สีน้ำเงิน) เมื่อจบคลื่น 3 (สีน้ำเงิน) จึงจะจบคลื่น B ตามภาพนี้


ทีนี้เมื่อพิจารณาด้วยเครื่องมือด้าน fibonacci ลุงแมวน้ำประเมินว่าคลื่น B นี้ไม่น่าเกินดัชนี 800 ดังนั้น หากเราเอาเครื่องมือ fibonacci เข้ามาช่วยขยายรายละเอียด ก็จะได้ภาพว่า แม้จะนับคลื่นอย่างไร แต่คลื่น B น่าจะจบที่ดัชนีไม่เกิน 800 การใช้เครื่องมือที่ต่างกันมาช่วยกันก็จะทำให้เราประเมินในรายละเอียดได้มากขึ้น

จากภาพและคำอธิบาย จะเห็นได้ว่าการนับคลื่นนั้นนับกันได้หลากหลาย ขึ้นกับมุมมอง การตีความ ประสบการณ์ส่วนตัว ฯลฯ หลายๆอย่าง ซึ่งค่อนข้างเป็นเรื่องจิตวิสัย ดังนั้นการเทรดโดยการนับคลื่นจึงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะในการนับคลื่นนั้น หากเรานับเล่นสนุกๆ เมื่อนับผิด ต่อมาความจริงปรากฏเป็นอื่น เราก็นับใหม่ให้ตรงได้ ซึ่งเท่าที่ผ่านมาจะเห็นว่าลุงแมวน้ำมีการเปลี่ยนแปลงการนับหลายต่อหลายหนในเรื่องเดียวกัน นั่นคือ นับผิดก็นับใหม่ แต่ถ้านำการนับคลื่นไปใช้ในการเทรด เมื่อนับผิด เทรดผิด ก็ขาดทุนไปแล้ว เงินก็หมดไปแล้ว แล้วจะแก้ตัวได้อย่างไร อันนี้คือปัญหาของการเทรดด้วยการนับคลื่น อีกประการ เรื่องการนับคลื่นเป็นศิลปะ ต้องอาศัยความชำนาญและมีหัวทางนี้ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นแต่ละคนจึงนับคลื่นได้เก่งไม่เท่ากัน นี่ก็เป็นปัญหาอีกประการหนึ่ง

ดังนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา ลุงแมวน้ำจึงมักแนะนำให้เทรดด้วยการยึดระบบสัญญาณซื้่อขายเป็นหลัก และใช้การนับคลื่นเป็นสิ่งประกอบ สัญญาณซื้อขายเป็นวัตถุวิสัย ขึ้นกับข้อมูลราคาปิด และขึ้นกับสูตรคำนวณเท่านั้น แต่ไม่ขึ้นกับว่าผู้เทรดชำนาญเพียงใด เก่งกาจเพียงใด ถ้าเทรดถูกทางโปรแกรมก็จะถือไปเรื่อยๆ ทำกำไรไปได้เรื่อยๆ เมื่อไรที่ตลาดกลับทาง โปรแกรมก็จะรู้จักหยุดการขาดทุนให้ในระดับอันควร ขาดทุนก็ไม่มาก ไม่ต้องใช้การตัดสินใจของตัวผู้เทรดเอง จึงตัดปัจจัยด้านอารมณ์ ความโลภ และความกลัวออกไปได้ ใครๆก็เทรดได้ ความรู้น้อยหรือมากก็เทรดได้ ขอเพียงมีโปรแกรม สูตรคำนวณ และข้อมูลราคาปิด

ลองดูตัวอย่างสมมติกันก็ได้ สมมติว่าลุงแมวน้ำคาดว่าการนับคลื่นของดัชนี SET น่าจะเป็นแบบที่สอง กล่าวคือ เมื่อจบคลื่น 5 (สีน้ำตาล) ก็เท่ากับว่าจบคลื่น 1 (สีน้ำเงิน) ในคลื่น B (คลื่น B มี 1-2-3) ดังนั้นเมื่อดัชนีจบคลื่น 5 (สีน้ำตาล) แล้วร่วง ลุงแมวน้ำอาจยังไม่ขาย และคิดว่า 'แค่เป็นคลื่น 2 ถือเอาไว้ประเดี๋ยวก็เข้าคลื่น 3 ยังทำกำไรได้อีกมาก จะรีบขายไปทำไมให้เสียค่าคอม อีกทั้งหากรีบขาย เดี๋ยวเมื่อเข้าคลื่น 3 แล้วจะซื้อกลับไม่ทัน กลายเป็นตกรถ อดกำไรหมดเลย'

ทีนี้สมมติว่าลุงแมวน้ำนับผิด ที่่จริงมันเกิดเหตุการณ์ตามรูปแบบที่ 1 กล่าวคือ เมื่อจบคลื่น 3 (สีน้ำตาล) ก็เท่ากับจบคลื่น B แล้ว กลายเป็นว่าขณะนี้เรากำลังอยู่ในคลื่น C และเมื่อลุงแมวน้ำไม่ขาย เพราะนับผิด คลื่น C ก็จะพาดัชนีร่วงไปเรื่อยๆ ลุงแมวน้ำก็รอไม่กล้าขาย เพราะกลัวว่าเมื่อไรขายแล้วจะเด้งทันที ก็ถือไปเรื่อยๆ ทุนของลุงแมวน้ำก็จะจมหายไปหมดเหมือนเรือไททานิกตอนล่ม

แต่ถ้ามีระบบสัญญาณ ถึงจะนับผิด สัญญาณขายจะเป็นเหมือนฟิวส์ที่ตัดวงจร บังคับให้เราถอยออกมา ป้องกันไม่ให้ไฟไหม้บ้านทั้งหลัง ดังนั้นถึงนับคลื่นผิดก็ยังไม่เป็นไร นี่คือข้อดีของการใช้ระบบสัญญาณซื้อขาย

ในโอกาสขึ้นปีใหม่นี้ ลุงแมวน้ำไม่มีสิ่งใดจะอวยพร เพราะเป็นเพียงแค่แมวน้ำคณะละครสัตว์ตัวเล็กๆเท่านั้น แต่อยากฝากข้อคิดเอาไว้ว่า ตลาดนี้เป็น zero sum game เงินทุกบาทที่เรากำไรนั้นมาจากน้ำตาของผู้อื่น ดังนั้นควรเทรดด้วยใจที่เมตตา เมื่อเมตตาต่อผู้อื่นก็เท่ากับเมตตาต่อตนเองด้วย การเทรดด้วยความโลภเป็นเรื่องอันตราย ผิดพลั้งก็หมดตัว และยากที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้ ถ้ารู้จักเมตตาผู้อื่นและเทรดด้วยเมตตา ก็ทำให้เทรดแต่พอประมาณ พอแก่การยังชีพและการเป็นอิสระทางการเงินเท่านั้น ไม่ทุ่มเทรดจนเกินกำลัง ดังนั้นเมื่อถึงคราวเคราะห์ต้องขาดทุนก็กระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อย ไม่ถึงกับหมดเนื้อหมดตัว

3 comments:

Anonymous said...

ขอบคุณครับสำหรับข้อคิด ได้มาแอบอ่านอยู่นาน ขอขอบคุณความรู้ที่ลุงแมวน้ำให้เป็นทานนะครับ สวัสดีดีปีใหม่ด้วยครับ

mark said...

สวัสดีปีใหม่ครับ คิดว่าคงไม่สายไป เช่นกันครับผมแอบแวะเข้ามาดูทุกวัน แต่ก็อยากจะถามครับ ว่าใช้วิธีหรือสูตรไร ในการคำนวณ และสัญญาณมาไม่ว่าซื้อหรือขาย มันยังคงอยู่/ไม่กลับตรงกันข้าม นานแค่ไหน

Anonymous said...

ขอบคุณสำหรับคำอวยพรครับ

สูตรก็คือสมการคณิตศาสตร์ที่ใช้คำนวณว่า ณ ราคาไหนควรเข้าซื้อ และ ณ ราคาใดควรขาย สูตรนี่ก็แล้วแต่ใครคิดก็คิดได้ครับ แต่ต้องเอามาทดสอบก่อนว่าเทรดตามสมการคำนวณนี้แล้วมีโอกาสชนะตลาดได้จริงไหม หรือว่าแพ้ตลาดตลอดเลย ถ้าแพ้ตลาดหรือขาดทุนตลอดสูตรนั้นก็ไม่น่าใช้ครับ

หลักการของสูตรคำนวณในแนว trend following หรือว่าการเทรดตามแนวโน้มตลาด นั่นก็คือ

1. เมื่อราคากำลังขึ้นอยู่ ก็ถือไปเรื่อยๆ
2. เมื่อราคาตกลงมา จะต้องคำนวณว่าเมื่อตกถึงเท่าไรจึงจะขาย
3. เมื่อขายไปแล้ว ถ้าราคาตกต่อไปก็รอดูไปเรื่อยๆ
4. เมื่อราคากลับจากตกเป็นขึ้น จำต้องคำนวณว่าเมื่อขึ้นถึงราคาเท่าใดจึงจะเข้าซื้อ
5. ไปทำตามข้อ 1. ใหม่

แนวคิดก็จะวนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ทีนี้ก็อยู่ที่สูตรละครับว่าจะฉลาดแค่ไหน สูตรนี้จะคำนวณด้วยมือ หรือจะใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการเทรดหุ้น เช่น metastock, amiro แล้วป้อนสูตรให้ซอฟต์แวร์คำนวณให้ เป็นการทุ่นแรงก็ได้

ถ้าสูตรไม่ถึงกับแย่ คือเทรดแล้วำได้กำไร จะฉลาดน้อยฉลาดมากก็ไม่ค่อยสำคัญนัก เพราะวินัยในการเทรดสำคัญกว่า วินัยคือการรักษากติกาของการเทรด เช่น ซื้อขายตามสัญญาณ ห้ามเบี้ยว ห้ามแหกกฎ รวมทั้งเทคนิคในการจัดสรรเงินในการลงทุน การควบคุมอารมณ์ ไม่โลภจนเพิ่มเงินลงไป ไม่กลัวจนลดเงินในการเทรดกลางคัน ฯลฯ เหล่านี้สำคัญกว่าครับ

สรุปก็คือ หากจะเทรดอย่างเป็นระบบ จะต้องประกอบด้วย

1. วินัย
2. ความรู้การจัดสรรเงินลงทุน
3. ซอฟต์แวร์
4. สูตรคำนวณที่จะใช้กับซอฟต์แวร์

ลุงแมวน้ำ