Sunday, January 24, 2010

22/01/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 714.10 จุด ลดลง 4.89 จุด SET ร่วงติดต่อกันเป็นวันที่สี่ ทั้ง SET และ SET50 วันนี้เกิดสัญญาณขายแล้วหลังจากที่เมื่อวาน S50 เกิดสัญญาณขาย

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 โปรแกรมของลุงแมวน้ำวันนี้มีสัญญาณขาย CPN, ESSO, KTB, PTT, TOP ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวม 22 ตัว หุ้นถูกเทขายอย่างรุนแรง ทำให้เกิดสัญญาณขายติดต่อกันหลายวัน

สำหรับกลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายน้ำมันดิบ CL จึงปิดสัญญาไป พอร์ตจำลองของลุงแมวน้ำกลับมาขาดทุนน้ำมันดิบหนักทีเดียว ลุงแมวน้ำมีฟิวเจอร์สในพอร์ตจำลอง 9 ตัว ขณะนี้ปิดสัญญาซื้อไปแล้ว 6 ตัว เมื่อในภาพรวมเป็นเช่นนี้ ดูท่ายางพารา RSS3 และน้ำตาลทราย SB คงหนีไม่พ้นสัญญาณขายในเร็วๆนี้เช่นกัน

กลุ่มดัชนีต่างประเทศ วันนี้ดัชนี FTSE ของอังกฤษเกิดสัญญาณขาย

ขณะนี้ทั้งหุ้น ดัชนี และฟิวเจอร์ส ในตลาดสำคัญทั่วโลกเกิดสัญญาณขายกันจนฝุ่นตลบไปหมด การวิเคราะห์ทางเทคนิคยังดูยากอยู่ การนับคลื่นก็ยังดูให้ขาดได้ยาก นักลงทุนที่เทรดด้วยระบบตามใจฉันมักใจแกว่งในช่วงนี้ ยากที่จะตัดสินใจและจัดการกับสถานการณ์ได้ดี สิ่งที่ยังยึดได้อยู่ก็คือสัญญาณซื้อขาย ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการเทรดอย่างมีระบบนั้นช่วยได้มาก เมื่อสถานการณ์ฝุ่นตลบจนไม่มีอะไรให้ยึด ก็ยังเหลือสัญญาณซื้อขายที่คอยบอกเราอย่างซื่อสัตย์ไม่ว่าในภาวการณ์ใดๆและไม่มีอาการใจแกว่ง เพราะสัญญาณซื้อขายไม่ใช่คน

นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา จะเห็นว่าดัชนีต่างๆขึ้นมาตลอด ขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นนักลงทุนหลายๆคนจะย่ามใจ ยิ่งขึ้นยิ่งซื้อเพิ่ม จนในที่สุดต้นทุนเฉลี่ยจะสูงมาก เมื่อหุ้นร่วงแบบที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้จะขาดทุนหนัก

ลองเหลือบดูรายงานกำไรของพอร์ตจำลองลุงแมวน้ำก็จะเห็นว่าแม้ช่วงนี้ทั้งหุ้น ดัชนี และฟิวเจอร์สจะลงแรง แต่ลุงแมวน้ำก็ยังมีกำไรอยู่ เพราะว่าลุงแมวน้ำเทรดตามระบบ และไม่ได้ซื้อเพิ่มมากขึ้นๆ แม้จะขาดทุนกับน้ำมันดิบ แต่เมื่อรวมกันทั้งพอร์ตจำลองก็ยังมีกำไร ผู้ที่นิยมลงทุนแบบลุ้นโดยวัดดวงกับหุ้นหรือฟิวเจอร์สเพียงไม่กี่ตัวในพอร์ตด้วยคิดว่าถ้าโชคดีก็ฟันกำไรได้เต็มเหนี่ยว ถ้าพลาดก็มักบาดเจ็บหนัก

ดังนั้น จากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ ลุงแมวน้ำอยากให้เป็นเครื่องเตือนใจสำหรับนักลงทุนดังนี้

1. ระบบการเทรด
2. วินัย
3. ความโลภ/ความเมตตา
4. การกระจายการลงทุนในพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยง

สำหรับการวิเคราะห์กราฟนั้นขอเวลาอีกเล็กน้อย รอให้ฝุ่นจางก่อน แล้วจึงค่อยมาดูกัน

No comments: