Wednesday, July 15, 2009

14/07/2009 * RSS, Stocks

วันนี้ SET ปิดที่ 577.75 จุด เพิ่มขึ้น 15.20 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้โปรมแกรมของลุงแมวน้ำไม่มีซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่ 19 ตัวเท่ากับเมื่อวาน

หุ้นที่ใกล้เกิดสัญญาณขาย ได้แก่ BEC, CPALL, EGCO ส่วนหุ้นที่ใกล้เกิดสัญญาณซื้อได้แก่ MAKRO, MBK, TPC

สำหรับกลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีการซื้อขาย พอร์ตจำลองขาดทุนจากทองคำมากขึ้นเพราะเมื่อวานราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น

ยางไทย RSS แม้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคจะบ่งบอกว่าอยู่ในสภาวะไร้ทิศทาง (sideway) แต่เมื่อดูจากกราฟราคายางจะเห็นว่าก้นของกราฟ (trough)ยกสูงขึ้นเรื่อยๆ หรือที่เรียกว่าเป็น rising trough ซึ่งเป็นสัญญาณขาขึ้นอย่างหนึ่ง เป็นไปได้ว่าแนวโน้มของราคายางอาจเข้าสู่คลื่น 3 แล้ว ต้องติดตามกันต่อไปอีกสักระยะเพื่อความแน่ใจ



วันนี้เรามาคุยกันต่อจากเมื่อวาน คุยกันวันละนิดละหน่อย จะได้ไม่เบื่อมาก

จากตารางแสดงการลงทุนและผลตอบแทนในหุ้นที่ดูกันไปเมื่อวาน (โปรดย้อนไปดูวันที่ 13/07/2009 ประกอบ) จากการลงทุนสิบสองปีกว่า ได้กำไรเมื่อคิดเป็นร้อยละแล้วบางตัวก็ได้ไม่มาก บางตัวก็ขาดทุน เหตุที่ลุงแมวน้ำเอาข้อมูลถึงสิบกว่าปีมาทดสอบให้ดูกันก็เพื่อให้เห็นว่าระบบที่ดีนั้นต้องทำงานได้ดีในระยะยาวด้วย เพราะการที่เข้าลงทุนเพียงหนึ่งหรือสองปีแล้วได้กำไรหรือขาดทุนอาจไม่สามารถสรุปอะไรเกี่ยวกับความสามารถของระบบได้ เพราะอาจเป็นเพียงแค่เข้าไม่ถูกจังหวะ แต่หากดูกันในระยะยาวสิบกว่าปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก หากยังได้กำไรอยู่จึงจะถือได้ว่าระบบนั้นมีความสามารถเพียงพอที่เราจะใช้งาน

จากข้อมูลในตารางของเมื่อวาน จะเห็นว่าระบบที่ลุงแมวน้ำเอามาทดสอบให้ดูทั้งสองระบบนั้นใช้งานได้ดี เพราะแม้จะมีขาดทุนบ้างในหุ้นบางตัว แต่ส่วนใหญ่ก็ได้กำไร

ทีนี้เราลองมาดูกันว่าเราจะปรับปรุงการลงทุนโดยใช้ระบบตามแนวโน้มที่ว่า แต่ว่าให้มีผลกำไรมากขึ้นได้อย่างไรบ้าง วีธีการหนึ่งที่เกริ่นไว้แล้วก็คือการใช้การนับลูกคลื่นเข้าช่วย

การจะนับลูกคลื่นได้นั้น นักลงทุนจำเป็นต้องรู้เกียวกับทฤษฎีคลื่นของอีเลียต (Elliott wave theory) เสียก่อน ซึ่งคงไม่นำมาพูดละเีอียดในที่นี้ แต่จะพูดเพียงในหลักการคร่าวๆเท่านั้น

ในทฤษฎีคลื่นของอีเลียตนั้นระบุว่าคลื่นของราคาจะประกอบด้วยขาหน้าและขาหลังของคลื่น ขาหน้าประกอบด้วย 5 คลื่นย่อย เรียกว่าคลื่น 1-2-3-4-5 ส่วนขาหลังของลูกคลื่นนั้นประกอบด้วย 3 คลื่นย่อย นั่นคือ A-B-C ดังภาพนี้



เนื่องจากการลงทุนในหุ้นนั้นกำไรมาจากการที่เราซื้อมาถูกและขายออกไปแพง เรียกว่าซื้อถูกขายแพง ดังนั้นการลงทุนต้องเลือกลงทุนในจังหวะที่เป็นขาหน้าของคลื่นเท่านั้น ถ้าไปลงทุนในขาหลังของลูกคลื่นจะขาดทุน จากภาพข้างบนเราคงพอเข้าใจแล้วว่าเหตุใดบางปีลงทุนแล้วจึงขาดทุนทั้งปีแม้จะมีระบบการลงทุนก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะว่าเข้าไปลงทุนในจังหวะที่เป็นขาหลังของคลื่นหรือเป็นคลื่น A-B-C นั่นเอง การซื้อขายหุ้นในขาลงแม้ระบบจะดีอย่างไรก็ต้องขาดทุนเพราะเหมือนกับไปฝืนธรรมชาติของตลาด

แต่อย่างไรก็ดี ในขาหน้าของคลื่นนั้นก็ไม่ใช่จะลงทุนได้ทุกคลื่นย่อย คลื่น 1 มักเข้าไม่ทันเพราะยังไม่ทันรู้ตัว ส่วนคลื่น 2 และ 4 ก็เป็นคลื่นขาลงในขาหน้า ซึ่งเป็นช่วงคืนกำไร ปกติก็ควรเลี่ยง ดังนั้นจึงมักเข้าซื้อกันในคลื่น 3 และ 5 เท่านั้น

หากนักลงทุนนับคลื่นได้และรู้จักเลือกลงทุนเฉพาะสัญญาณซื้อที่เกิดขึ้นในคลื่น 3 และ 5 เท่านั้นก็จะลดการคืนกำไรไปได้มาก การลดการคืนกำไรก็เท่ากับทำให้เราได้กำไรเพิ่มนั่นเอง หลักการนี้สามารถนำไปใช้กับการลงทุนในหุ้นหรือแม้แต่กับกองทุนที่อิงดัชนีต่างๆอีกด้วย แต่หากจะลงทุนกับกองทุนอาจต้องปรับกลยุทธ์ให้เป็นการถือยาวตลอดคลื่น 3-4-5 แล้วไปขายเอาเมื่อจบคลื่น 5 ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของกองทุนไม่เหมาะกับการซื้อขายที่รวดเร็ว เหมาะกับการถือนานๆมากกว่า

(ยังมีต่อ พรุ่งนี้จะคุยกันและเปรียบเทียบการลงทุนในฟิวเจอร์ส)

No comments: