“วู้ ลุงแมวน้ำอยู่มั้ยคร้าบ”
เช้าวันหนึ่ง ลุงแมวน้ำได้ยินเสียงลิงจ๋อเรียกอยู่ที่ใกล้ๆโขดหิน
“ลุงแมวน้ำ ลุงแมวน้ำอ้วน ลุงแมวน้ำอ้วนอุ้ยอ้าย ฮิฮิ สงสัยไม่อยู่”
“ลุงอยู่นี่ หลบอยู่ข้างโขดหิน” ลุงแมวน้ำชะโงกหน้าออกไปตอบ
“อะจ๊าก อยู่ก็ไม่บอก แอบล้อลุงเสียเต็มเหนี่ยว” ลิงจ๋อปรากฏตัวขึ้นที่ข้างโขดหิน พร้อมกับพูดเสียงอ่อย
“ลุงไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรเลยในเมื่อที่นายจ๋อพูดไม่ใช่เรื่องจริง หุ่นลุงออกจะเพรียวสเลนเดอร์” ลุงแมวน้ำหัวเราะ
“คร้าบ เส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากันตลอดทั้งตัวเนี่ยนะผอมเพรียว เอาเถอะ ผมยอมลุงแล้ว” ลิงหัวเราะเช่นกัน “ว่าแต่ลุงมาหลบอยู่ข้างโขดหินทำไมละเนี่ย ทำไมไม่นอนผึ่งพุงบนโขดหินเหมือนเคย หลบเจ้าหนี้เหรอ”
“ไม่ได้หลบเจ้าหนี้ แต่ว่าหลบลมหนาว อากาศบนโขดหินหนาวจะแย่ ลุงเลยหลบมาอยู่ข้างล่าง” ลุงแมวน้ำตอบ
“เอ๊ะ นั่นลุงดูอะไรอยู่น่ะ” ลิงทักถึงแท็บเล็ตที่วางอยู่บนพุงของลุงแมวน้ำ
“กำลังดูละครทีวีอยู่” ลุงแมวน้ำตอบ
“หา ลุงเนี่ยนะติดละครทีวี ซีรีส์เกาหลีเหรอ” ลิงทำสีหน้าแปลกใจเนื่องจากรู้ว่าปกติลุงแมวน้ำไม่ค่อยดูละคร
“ละครไทยนี่แหละ” ลุงแมวน้ำตอบ
ลิงชะโงกดูภาพที่ปรากฏบนจอแท็บเล็ต
“โอย อยากหัวเราะฟันหลุด ลุงแมวน้ำดูแอบรักออนไลน์” ลิงหัวเราะขำกลิ้ง
ลิงหัวเราะขำได้เพียงเดี๋ยวเดียวก็หยุดกึก
“เอ มันชักจะยังไงๆแล้วล่ะลุง หรือว่านี่เป็นสัญญาณอันตรายจริงๆ” ลิงพูดพึมพำ
“นายจ๋อพูดอะไรแปลกๆ ลุงดูละครเนี่ยนะเป็นสัญญาณอันตราย” ลุงแมวน้ำขำกับท่าทีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของลิงจ๋อ “นายจ๋อไม่สบายหรือเปล่า ทำไมดูอารมณ์แปรปรวน”
“ไม่ใช่อารมณ์แปรปรวน” ลิงตอบ “แต่กำลังนึกถึงเรื่องหนึ่งที่ช่วงนี้พูดถึงกันหนาหูทีเดียว เรื่องสัญญาณตลาดหุ้นวายน่ะ ที่จริงวันนี้ผมก็ตั้งใจจะแวะมาถามลุงเรื่องนี้นั่นแหละ”
“อ้อ” ลุงแมวน้ำชักสนใจ “แล้วสัญญาณที่นายจ๋อว่าตลาดหุ้นจะวายน่ะมีอะไร มีอะไรบ้าง เล่าให้ลุงฟังหน่อย”
“เท่าที่คุยกันในเครือข่ายสังคมออนไลน์ รวมทั้งที่คุยกันในวงสัมมนาต่างๆ รวมทั้งสภากาแฟ ก็จะเป็นว่าปรากฏการณ์หลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าวิกฤตต้มยำกุ้ง กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้เช่นกัน เหมือนเป็นสิ่งบอกเหตุว่าตลาดหุ้นกำลังร้อนแรงเกินไป และประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอยเดิม” ลิงจ๋อตอบ
“สัญญาณเหล่านี้มีอะไรบ้างล่ะ” ลุงแมวน้ำถามอีก
“ก็เช่น ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปที่เดิมไม่เคยสนใจเรื่องหุ้นก็หันมาคุยเรื่องหุ้น ไปไหนก็มีแต่คนคุยกันเรื่องหุ้น นิตยสารต่างๆก็เอาเรื่องราวของเศรษฐีหุ้นมานำเสนอ แม้แต่ละครทีวีก็ยังวางท้องเรื่องให้อยู่ในแวดวงการค้าหุ้น ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และอีกอย่างหนึ่งนะลุง เขาพูดกันว่าเมื่อใดที่หุ้นเล็กหุ้นน้อยร้อนแรง นั่นแหละ ไม้สุดท้ายแล้ว ยิ่งดัชนีตลาดมาใกล้ 1700 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ตอนนี้ดูเหมือนองค์ประกอบทุกอย่างซ้ำรอยกับเหตุการณ์ในครั้งต้มยำกุ้งเป๊ะเลยนะลุง พูดไปแล้วผมก็ชักหนาว จะล้างพอร์ตดีไหมเนี่ย” ลิงร่ายยาว “ลุงไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาเลยหรือไง”
“ก็ได้ยินได้ฟังอยู่” ลุงแมวน้ำตอบ “ที่จริงยังมีอีกนะ อย่างเช่น สมัยก่อนมีสูตรอยู่ว่าหุ้นไฟแนนซ์วิ่งเมื่อไร เมื่อนั้นก็คือจบรอบ ตลาดจะวายแล้ว”
“อ้อ แล้วยังมีอีก ลุงพูดแล้วทำให้ผมนึกเพิ่มได้อีก นั่นก็คือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ว่ากันว่าช่วงก่อนวิกฤตต้มยำกุ้งวงการอสังหาบูมมาก ก่อสร้างกันจนล้นตลาด ขายไม่ออก ในที่สุดก็กลายเป็นฟองสบู่แตก เหมือนตอนนี้เลยลุง ข่าวหนังสือพิมพ์บอกว่าตอนนี้บ้านคอนโดล้นตลาด เหลือบานเบอะ” ลิงจ๋อพูดอีก
“สรุปก็คือนายจ๋อมองว่าตลาดหุ้นไทยใกล้ฟองสบู่แตกแล้ว ว่ายังงั้นใช่ไหม” ลุงแมวน้ำถาม
“ก็น่าจะใช่นะลุง เพราะเหตุการณ์ต่างๆหลายอย่างในตอนนี้สอดคล้องกับเหตุการณ์ในตอนนั้น” ลิงตอบแบบลังเล “ลุงแมวน้ำคิดยังไงบ้างล่ะครับ”
“สัญญาณบอกเหตุที่นายจ๋อว่ามานั้น หากจะพูดถึงเหตุการณ์แล้วบางเรื่องมันก็พ้องกันกับเมื่อสมัยก่อนต้มยำกุ้งจริงนั่นแหละ จะว่าไปสัญญาณเหล่านี้ก็คืออินดิเคเตอร์นั่นเอง นายจ๋อใช้ปัจจัยทางเทคนิคก็คงรู้นี่ว่าการเลือกใช้อินดิเคเตอร์ต้องรู้ว่าอะไรควรใช้เมื่อไร คือต้องใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ รวมทั้ง ต้องเข้าใจคุณสมบัติของอินดิเคเตอร์นั้นด้วยว่าใช้บ่งชี้เรื่องอะไร มีความน่าเชื่อถือระดับใด
“เหตุการณ์หลายอย่างพ้องกันกับเมื่อก่อนละก็ใช่ แต่ทว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของสมัยนี้กับสมัยเมื่อ 20 ปีก่อน คือยุคก่อนต้มยำกุ้งนั้นก็แตกต่างกันมาก ดังนั้น การตีความก็อาจไม่จำเป็นต้องตีความในแบบเดิมๆ เรื่องแบบนี้ต้องพิจารณาให้ดี”
“ยังไงกันครับลุง ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ” ลิงยกหางขึ้นเกาหัว เกาคาง
ลุงแมวน้ำล้วงเอาภาพชุดหนึ่งออกมาจากหูกระต่าย ยื่นให้ลิงจ๋อดู
“พอดีลุงมีภาพสยามสแควร์ที่ถ่ายในยุคต่างๆ นายจ๋อลองดูสิ”
“แล้วภาพนี้เกี่ยวกับที่เราคุยกันไหมเนี่ย” ลิงจ๋อยิ่งสงสัยหลังจากได้ดูภาพ
“ไม่ต้องงงไป ลุงจะอธิบายภาพชุดนี้ให้ฟัง ค่อยๆฟัง ใจเย็นๆ” ลุงแมวน้ำพูด “ลุงจะเล่านิทานให้ฟัง”
“นิทานอีกแล้ว” ลิงหัวเราะ “น่าจะเรียกกระต่ายน้อยมาฟังด้วย รายนั้นชอบฟังนิทาน”
“ความคิดของนายจ๋อดีทีเดียว ลุงคิดว่าพวกเราหลายๆตัวก็อาจกังวลใจอยู่เหมือนกันว่าตลาดหุ้นจะเกิดฟองสบู่แตกหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยพร้อมกันดีกว่า เย็นนี้เจอกันที่ศาลาชมสวนก็แล้วกัน” ลุงแมวน้ำพูด
“ยังงั้นก็ดีครับ จะได้ฟังกันหลายๆคน” ลิงตอบ
เย็นวันนั้น ที่ศาลาชมสวน บรรดาสิงห์สาราสัตว์ที่เปิดพอร์ตหุ้นต่างก็มาชุมนุมกันพร้อมหน้า หลังจากที่ลุงแมวน้ำเท้าความให้ฟังถึงเรื่องที่คุยกับลิงจ๋อในตอนเช้า ลุงแมวน้ำก็เริ่มเข้าเรื่อง โดยยกภาพถ่ายให้ทุกคนได้ชมกันอีกรอบหนึ่ง
“ลุงเริ่มคุยเลยก็แล้วกัน ลองดูภาพนี้ ภาพนี้มี 3 ภาพย่อย เป็นภาพถ่ายของสี่แยกปทุมวันและสยามสแควร์ทั้งสามภาพ แต่ว่าถ่ายในยุคที่แตกต่างกัน ภาพนี้มีความหมายไม่น้อยทีเดียว ลุงจะเล่าเรื่องราวเก่าๆในภาพเหล่านี้ให้พวกเราฟัง”
“เย้ มีนิทานฟังแล้ว” กระต่ายน้อยพูดอย่างร่าเริง “กดไลค์ให้ 10 อันเลยฮะลุง”
ลุงแมวน้ำเริ่มเล่า
“เรามาดูที่ภาพย่อยแรกกันก่อน ภาพบนสุด ภาพนี้เป็นภาพสี่แยกปทุมวันและสยามสแควร์ที่ถ่ายในปี พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) หรือเมื่อสี่สิบกว่าปีมาแล้ว”
บรรดาสมาชิกฮือฮากันใหญ่ เพราะว่าไม่เคยเห็นสยามสแควร์ในสภาพเช่นนี้มาก่อน
“โห ถ้าไม่บอกไม่มีทางจำได้เลย” ลิงพูด
“ภาพนี้จุดที่ตั้งกล้องคือด้านสนามกีฬาแห่งชาติ มองไปทางราชประสงค์ ก็จะเห็นสี่แยกปทุมวัน และไกลออกไปจากสี่แยกก็คือสยามสแควร์
ที่จริงในยุคนั้น ตรงพญาไท ราชเทวี และปทุมวัน ไม่ได้เป็นสี่แยกดังในปัจจุบันหรอกนะ สมัยก่อนนั้น คือเมื่อห้าสิบปีก่อน เป็นวงเวียนมีน้ำพุอยู่ตรงกลางทั้งสามแห่ง เรียกว่าวงเวียนปทุมวัน วงเวียนราชเทวี และวงเวียนพญาไท แต่ต่อมาก็รื้อวงเวียนและน้ำพุออกไป กลายเป็นสี่แยกไปจนหมด จนกลายเป็นสี่แยกปทุมวัน สี่แยกราชเทวี และสี่แยกพญาไท ในภาพนี้วงเวียนปทุมวันเพิ่งถูกรื้อออกไป และกำลังจะทำเป็นสี่แยก เรายังเห็นแนววงเวียนอยู่เลย
ในปี พ.ศ. 2513 นั้นศูนย์การค้าสยามสแควร์เพิ่งเปิดดำเนินการได้ไม่นาน ตึกรามก็มีที่ฝั่งโรงหนังสยาม ลิโด้ สกาล่าเท่านั้น ฝั่งตรงข้ามยังไม่มีอะไรเลย พูดง่ายๆก็คือ พื้นตรงที่เป็นสยามดิส สยามเซ็นเตอร์นั้น ในยุคนั้นยังมีแต่ต้นไม้
“ว้าว โบราณจริงๆ” ลิงอุทาน
“ทีนี้ดูภาพต่อมา เป็นภาพสี่แยกปทุมวันและย่านสยามสแควร์ในปี 2531 ภาพนี้จุดตั้งกล้องน่าจะอยู่ที่ตึก MBK เห็นอาคารศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์สีเขียวๆนั่นไหม นั่นคือรูปโฉมดั้งเดิม สมัยก่อน เมื่อแรกมีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเริ่มมีการซื้อขายหุ้นในปี 2518 ที่ทำการของตลาดหลักทรัพย์และห้องค้าหุ้นก็อยู่ในตึกสยามเซ็นเตอร์นั่นเอง ต่อมาจึงได้ย้ายออกไป
“ส่วนพื้นที่สีเขียวๆข้างสยามเซ็นเตอร์นั้น สมัย 252x ตรงนั้นจัดเป็นลานเบียร์ในช่วงฤดูหนาว เป็นลานเบียร์แห่งแรกเลยมั้ง หนุ่มสาวยุคนั้นนิยมกันมาก ต่อจากนั้นจึงได้กลายเป็นสยามดิสคัฟเวอรี่
“ทีนี้มาดูภาพล่างสุด เป็นสี่แยกปทุมวันและสยามสแควร์ที่ถ่ายจากมุมสูง ในปี 2556 ภาพนี้เห็นตึกสูงเต็มไปหมดทั่วทั้งบริเวณ อีกทั้งยังมีรถไฟฟ้าอีกด้วย
“ลุงนำเอาภาพสยามสแควร์ตลอดช่วงเวลา 50 ปีมาให้ดูกัน เพื่อให้เห็นว่าสยามสแควร์เปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด เครื่องเสียงของวัยรุ่นในยุคของภาพแรกคือวิทยุทรานซิสเตอร์ ส่วนวัยรุ่นในภาพสองพูดถึงวิทยุเทปวอล์กแมน ส่วนวัยรุ่นในภาพสามพูดกันเรื่องไอโฟน
“วัยรุ่นในภาพแรกกินขนมครกจากรถเข็นป้าปากซอย วัยรุ่นในภาพกลางกินวาฟเฟิลที่ร้าน A&W ส่วนวัยรุ่นในภาพสามกินขนมที่ร้านอาฟเตอร์ยู
การเทรดหุ้นในยุคที่ยังใช้ระบบมือ หรือที่เรียกว่าระบบเคาะกระดาน |
การเทรดหุ้นในปัจจุบันใช้ระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ สามารถส่งคำสั่งได้ด้วยโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ซื้อขายได้ทุกที่ ทุกเวลา |
“มาดูที่พัฒนาการของตลาดหุ้นกันบ้าง สมัยก่อน เมื่อ 30 ปีก่อน การซื้อขายยังทำด้วยระบบมือ คือต้องโทรศัพท์ไปสั่งที่ดบรกเกอร์ จากนั้นโบรกเกอร์จะสั่งไปที่เจ้าหน้าที่ในห้องค้าอีกทีหนึ่ง การซื้อขายก็ใช้เคาะกระดาน เขียนกระดาน ตะโกนกันโหวกเหวก ใช้กล้องส่องทางไกล ซึ่งหนุ่มสาวสมัยนี้คงไม่มีใครได้เห็นเนื่องจากไม่ทันนั่นเอง ปัจจุบันการซื้อขายหุ้นใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด แถมยังออนไลน์อีกด้วย เรียกว่าซื้อขายกันง่ายแค่ปลายนิ้ว หนุ่มสาวในยุคนี้นึกไม่ออกว่าเมื่อ 30 ปีก่อนเทรดกันยังไง คนในยุค 30 ปีก่อนก็นึกไม่ออกว่าอีก 30 ปีต่อมาจะเทรดกันยังไงเช่นกัน
“สภาพสังคม การศึกษา สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ สมัยก่อนป่วยก็กินยาหม้อ ยาผีบอก สมัยนี้ล้ำไปถึงขั้นซ่อมแซมยีนกันแล้ว ตอนนี้แตกต่างจากเมื่อ 20 ปีก่อนไปมากทีเดียว ดังนั้นต้องระวังว่าสูตรเดิมๆอาจใช้ไม่ได้ สัญญาณต่างๆอยู่ภายใต้บริบทที่แตกต่างกันก็อาจต้องตีความกันใหม่ สมัยนี้ชาวบ้านร้านตลาดพูดเรื่องหุ้นลุงก็ว่าไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่คุยเรื่องหุ้นจะให้คุยเรื่องอะไรล่ะ” ลุงแมวน้ำพูด
“สรุปว่าลุงแมวน้ำคิดว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่มีสัญญาณฟองสบู่แตก” ลิงคาดคั้นเอาคำตอบ
“ลุงยังไม่เห็นแบบนั้นนะ” ลุงแมวน้ำตอบ “และยิ่งไปกว่านั้น ลุงยังมองตรงกันข้าม”
“ตรงกันข้ามยังไงฮะลุง” กระต่ายน้อยถามบ้าง
“ลุงพอจำสถิติได้นิดหน่อย ตลาดหุ้นปี 2528 หรือเมื่อราวๆ 30 ปีก่อน ตอนนั้นมูลค่าตลาด (market cap) ประมาณ 50,000 ล้านบาท มีหุ้นสามัญให้เทรดในตลาดประมาณ 100 หุ้น นี่ปัดเอาตัวเลขกลมๆนะ ไม่ได้เอาตัวเลขละเอียด
“ในปี 2557 ตลาดหุ้นมีมูลค่าถึง 14,000,000 ล้านบาท (อ่านว่า 14 ล้านล้านบาท) มีหุ้นสามัญให้เทรด 700 หุ้น ยังไม่รวมผลิตภัณฑ์อื่นๆอีก
“นอกจากนี้ ปัจจุบันเรายังเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นมาเลเซียและสิงคโปร์ สามตลาดสามารถเทรดหุ้นระหว่างกันได้โดยระบบอาเชียนลิงเกจ นอกจากนี้ เรายังเชื่อมโยงกับตลาดหลักทรัพย์ GMS คือลาว กัมพูชา เวียดนาม ที่เราสามารถซื้อหุ้นในตลาดเหล่านี้ผ่านโบรกเกอร์ไทยได้
“และในปี 2558 นี้ ตลาดหลักทรัพย์ไทยจะเริ่มรับกิจการของประเทศเพื่อนบ้านให้เข้ามาจดทะเบียนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยได้อีกด้วย
“เห็นไหมว่าตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันต่างจากเมื่อก่อนมาก นอกจากตลาดหุ้นแล้ว สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของเราก็เปลี่ยนไปมากด้วยเช่นกัน เรากำลังทะยานไปสู่พรมแดนใหม่ที่เราไม่เคยไปถึงมาก่อนต่างหาก อย่างที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า toward a new frontier”
“โห ลุงฮะ” กระต่ายน้อยทำตากลมโต “ลุงดูหนังสตาร์เทรกมากไปหน่อยหรือเปล่า”
“ลุงก็ชอบดูนะ หนังชุดสตาร์เทรก (Star Trek) เนี่ย แต่ที่ลุงพูดมานี้ไม่ใช่หนัง แต่ว่าเรากำลังก้าวไปแบบนั้นจริงๆ ดังนั้นลุงจึงไม่แปลกใจถ้าเราจะเห็นดัชนีตลาดหุ้นของเราไต่ระดับไปถึง 2,000 จุด และ 3,000 จุด” ลุงแมวน้ำพูด
“ขนาดนั้นเลยหรือลุง” ลิงหัวเราะ “นี่แหละ นักลงทุนสายจิน ของแท้เลย”
“ลุงไม่ได้เอาแต่จิตนาการลมๆแล้งๆ ลุงมีเหตุผลประกอบเยอะแยะมากมายทีเดียว รวมทั้งเรื่องอสังหาฯ ตอนนี้มีฟองสบู่หรือไม่ จะลงเอยเหมือนต้มยำกุ้งหรือไม่ ลุงก็มีเหตุผลประกอบ อยากฟังไหมล่ะ” ลุงแมวน้ำถาม
“อยากฟังสิลุง หากตลาดหุ้นไทยไปขนาดนั้นจริง ผมคงได้ผลตอบแทนงดงามไม่น้อยเลยทีเดียว” ลิงพูด
“ถ้าอย่างนั้นเรามาฟังกันต่อในวันหลัง ลุงจะทยอยเล่าให้ฟัง” ลุงแมวน้ำสรุป
No comments:
Post a Comment