Monday, December 31, 2012

31/12/2012 * เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ สุขีปีใหม่ เรื่องประทับใจ

บุฟเฟต์อลังการ มื้อเคาต์ดาวน์ ราคาตั้งแต่ 500 บาทไปจนถึง 300,000 บาทต่อหัว สะท้อนถึงกำลังในการบริโภค

การลงทุน เชื่อกันว่าเป็นวิถีแห่งความร่ำรวยในโลกทุนนิยม ดังนั้นจึงมีผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เกี่ยวกับความร่ำรวยจากการลงทุนออกมามากมาย


วันนี้เป็นวันสิ้นปี 2012 ปีปัจจุบันกำลังจะจากไป ปีใหม่ 2013 กำลังย่างกรายมา

ยังดีที่โลกไม่แตกเสียก่อนเมื่อวันที่ 21/12/2012 ลุงแมวน้ำขุดรูอยู่ที่ข้างโขดหินเตรียมไว้แล้ว ตั้งใจว่าหากโลกแตกก็จะหนีลงรู ขอหลบไปตั้งหลักก่อน แต่เมื่อไม่แตกก็คงไม่ต้องใช้ ^__^ และก็ดีที่โลกไม่แตก ไม่อย่างนั้นลุงแมวน้ำคงไม่ทันได้เห็นดัชนีตลาดหุ้นไทยทะลุ 1400 จุด แม้ว่าจะยังยืนไม่อยู่ก็ตาม แต่ก็ดีที่ได้เห็นละน่า

ตลอดปีที่ผ่านมานี้ลุงแมวน้ำก็วุ่นวายหลายอย่าง ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ถึงคราวจะวุ่นก็หาเวลาว่างไม่ได้เลย ถึงคราวจะว่างก็หาอะไรทำไม่ได้เลยก็มี แต่ปีนี้ส่วนใหญ่จะไปทางวุ่นเสียมากกว่า แมวน้ำขวัญใจมหาชนก็แบบนี้แหละ ^__^

ขณะนี้ย่านสยามสแควร์ ราชดำริ ราชประสงค์ มีการตกแต่งประดับไฟอย่างอลังการ ได้ข่าวมาว่าคืนวันสิ้นปีนี้จะปิดถนนพระราม 1 ตั้งแต่หน้าสนามกีฬาไปจนถึงชิดลม และปิดถนนราชดำริตั้งแต่แยกประตูน้ำไปจนถึงเอยูเอ เพื่อใช้เป็นถนนคนเดินฉลองเคาต์ดาวน์ ลุงแมวน้ำเองก็ยังไม่มีโอาสได้ไปดูเลยแต่หลายๆคนบอกว่างามตระการตามาก โดยเฉพาะคืนวันสิ้นปีคงยิ่งงามเป็นพิเศษ

ตลอดปีที่ผ่านมาลุงแมวน้ำสังเกตเห็นว่าประชาชนมีการบริโภคที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่ดูจากตัวเลขทางเศรษฐกิจด้วยและจากการสังเกตของลุงแมวน้ำเองด้วย พบว่าประชาชนกล้าจับจ่ายใช้สอย เห็นได้ชัดๆก็จากโครงการรถคันแรกที่มีผู้สมัครเข้าใช้สิทธิ์เพื่อซื้อรถใหม่มากมาย รวมทั้งหากไปตามต่างจังหวัดก็จะเห็นโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมีเนียม ผุดขึ้นในต่างจังหวัดในอัตราที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างเช่น ขอนแก่น อุดรธานี มีการก่อสร้างเยอะมากทีเดียว และจากการสังเกตตามร้านอาหารต่างๆ โดยเฉพาะร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า ร้านเหล่านี้คนแน่นตลอด บางร้านคนไปเข้าคิวกันราวกับมีงานบุญแจกอาหารฟรี เหล่านี้ล้วนสะท้อนภาพให้เห็นว่าประชาชนมีการบริโภคที่เพิ่มมากขึ้น

และข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งที่ลุงแมวน้ำอยากพูดถึงก็คือ เทศกาลฉลองเคาต์ดาวน์ในคืนวันสิ้นปี 2012 ซึ่งก็คือคืนนี้นั่นเอง ลุงแมวน้ำอ่านหนังสือพิมพ์เห็นโฆษณาอาหารค่ำหรือดินเนอร์ฉลองเคาต์ดาวน์ตามโรงแรมและห้องอาหารต่างๆในราคาที่น่าตื่นตาตื่นใจ

ลุงแมวน้ำอ่านหนังสือพิมพ์ ดูราคาบุฟเฟต์มื้อเคาต์ดาวน์ไปเรื่อยๆ ที่ถูกที่สุดราคาประมาณ 500 บาทต้นๆ จากนั้นก็เป็นราคาเกือบๆ 1,000 บาท กลุ่มนี้ถือว่าราคาถูกสุดเท่าที่เห็นแล้ว ถัดจากนั้นก็เป็นกลุ่มราคาหลักพัน ก็อ่านไปเรื่อง มี 1,800 บาท, 2,500 บาท, 3900 บาท, 4900 บาท โอ๊ะ ชักจะแพงแฮะ

ยังไม่หมด อ่านไปอีก 6,500 บาท, 7,800 บาท, 9,500 บาท จากนั้นก็โดดไปที่ 15,000 บาท, 25,000 บาท แล้วก็ 30,000 บาทขึ้นไปก็มี อูย เขากินอะไรกันเนี่ย คำตอบก็คือกินบรรยากาศ ไม่ได้กินแต่อาหาร แปลว่าบรรยากาศราคาแพงมากเลยล่ะสิ ทำไมบรรยากาศแถวโขดหินของลุงแมวน้ำไม่แพงอย่างนี้บ้างนะ ^__^

ยังไม่หมด สุดท้ายอ่านไปพบดินเนอร์บุปเฟต์ฉลองเคาต์ดาวน์ ในราคาระดับสุดไฮโซ แถวย่านราชประสงค์ ราคาหัวละ 300,000 บาท ลุงแมวน้ำแสดงละครสัตว์ตลอดปีจนปวดหลังยังเก็บค่าทิปไปซื้อบุตเฟต์นี้ไม่ได้เลย แต่ถึงซื้อได้เขาก็อาจไม่ให้เข้า เพราะว่าคงกลั่นกรองลูกค้า เมื่อดูจากราคาอาหารที่เพิ่มมากขึ้นแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการย่อมมั่นใจในกำลังซื้อและกำลังการบริโภค ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าตั้งราคากันแบบนี้



เมื่อมีการบริโภคมากขึ้น แน่นอน เศรษฐกิจก็ย่อมดีขึ้น จีดีพีก็ย่อมสูงขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจส่วนตัวของแต่ละคนจะดีขึ้นไปด้วย หลายๆคนที่มีกำลังซื้อในปัจจุบันนี้ก็เพราะเอาเงินในอนาคตมาใช้ พูดง่ายๆก็คือกู้เขามาจับจ่ายใช้สอยนั่นเอง ดังนั้นบางคนที่เราเห็นแต่งตัวหรู อยู่คอนโดแพงๆ แต่ที่จริงแล้วอาจจะหมุนเงินจากบัตรเครดิตมือเป็นระวิง รูดใบนั้นมาจ่ายใบนี้ รูดใบนี้มาจ่ายใบโน้น ก็ย่อมเป็นไปได้

ความเป็นอยู่หรือว่าไลฟต์สไล์นั้นสังคมยอมรับกันว่าเป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงฐานะหรือว่าเป็น symbol of status การที่จะยกระดับชั้นทางเศรษฐกิจของตนเองให้มีสถานะสูงขึ้นได้ก็จำเป็นจะต้องมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นผู้ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมจึงมักมีเป้าหมายในการแสวงหาความร่ำรวย ทั้งนี้ เพราะค่านิยมของสังคมในระบบทุนนิยมหล่อหลอมให้คิดว่าเป้าหมายของชีวิตคือการมีสถานะทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น ดังนั้นคนเราส่วนใหญ่จึงดิ้นรนไขว่คว้าหาความรวย รวย และรวย คนรุ่นก่อนมีเป้าหมายในชีวิตคือความสุข และถือว่าความรวยคือวิธีที่จะได้มาซึ่งความสุข ดังนั้นจึงไขว่คว้าหาความร่ำรวย แต่คนรุ่นใหม่กลับมองว่าเป้าหมายในชีวิตคือความร่ำรวย และใช้การทำมาหากินกับลงทุนเป็นวิธีในการที่จะได้มาซึ่งความร่ำรวย แต่ละคนจึงทำงานหนัก มีชีวิตที่เร่งรีบ วุ่นวายกับการทำมาหากินและการลงทุน โดยลืมคิดไปว่าเมื่อรวยแล้วได้อะไรตอบแทนมาบ้าง บางคนรวยแล้วได้สิ่งตอบแทนคือโรคภัยไข้เจ็บมากมายอันเนื่องจากการใช้ชีวิตกินอยู่แบบคนเมือง สุดท้ายเงินทองมากมายก็เอาไปจ่ายบิลโรงพยาบาลเสียมาก ความสุขก็ไม่มีเพราะโรคภัยรุมเร้า

ทีนี้มาถึงเรื่องการลงทุนกันบ้าง เมื่อเราส่วนใหญ่คิดกันว่าการลงทุนคือวิถีทางหนึ่งของความร่ำรวย และการมีเงินเยอะๆ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มีคนจำนวนมากเดินอยู่ในเส้นทางของการลงทุน เมื่อมีอุปสงค์ก็มีอุปทาน (อุปทานนะ ไม่ใช่อุปาทาน) เมื่อมีคนลงทุนเพื่ออยากรวย ผู้ประกอบการก็เสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนต่างๆเพื่อตอบสนองความอยากรวย ดังนั้นเมื่อเราไปงานสัมมนาด้านการลงทุน หรืองานนิทรรศการด้านการลงทุนต่างๆ เราจึงพบแต่คำว่า รวย มั่งคั่ง เศรษฐี ล้าน พันล้าน หมื่นล้าน ฯลฯ เต็มไปหมด แต่หลายคนก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าเท่าไรจึงจะเรียกว่ารวย หรือรวยเท่าไรจึงจะพอได้แล้ว

ในวันส่งท้ายปีเก่า 2012 ต้อนรับปีใหม่ 2013 นี้ ลุงแมวน้ำอยากจะขอเสนอภาพชีวิตในบางแง่บางมุม ลองมาดูกัน


ศิลปินข้างถนน ใช้ถังสีคว่ำเป็นกลองชุด


ภาพนี้ลุงแมวน้ำถ่ายที่หน้าหอศิลป์ กรุงเทพฯ ตรงสี่แยกปทุมวัน เป็นศิลปินเปิดหมวกที่หาเลี้ยงชีพด้วยการโชว์ฝีมือการตีกลอง เข้าใจว่าคงจะทุนน้อยจึงไม่ได้ซื้อกลองที่เป็นเครื่องดนตรีมาใช้ แต่กลับใช้ถังสีคว่ำมาเป็นกลอง ลุงแมวน้ำเห็นศิลปินคนนี้นั่งรัวกลองตอนบ่ายสองโมง แดดกำลังสาดจ้า  รัวจนเหลื่อไหลไคลย้อย เสียงดังมาก ฝีมือรัวกลองก็เร้าใจดี แต่ไม่เห็นใครหยอดกระปุกให้เลย มีแต่รีบเดินผ่านไป



หญิงชราขาพิการ ต่อสู้กับชีวิตอย่างทรหด เดินทางเองด้วยรถวีลแชร์ สองมืออ่อนล้า หมุนล้อลำบาก ต้องใช้ไม้ถ่อช่วยดันรถ เป็นภาพชีวิตที่ลุงแมวน้ำเห็นแล้วต้องอึ้งและต้องยอมรับนับถือในความทรหดสู้ชีวิตของหญิงชราผู้นี้


ภาพนี้ลุงแมวน้ำถ่ายได้แถวๆสี่แยกอโศก เป็นหญิงชรา อายุคงในราว 60-70 ปี ในหน้าเต็มไปด้วยริ้วร้อยเหี่ยวย่น เส้นผมขาว หญิงชราคนนี้ขาพิการ แกมีวีลแชร์ที่เก่ามากคันหนึ่งเป็นพาหนะ บนรถมีข้าวของวางเต็มไปหมด คล้ายๆกับบ้านเคลื่อนที่ของแก หรือไม่ก็แกคงมีอาชีพเก็บของเก่าเพื่อไปขาย

หญิงชราคนนี้ไม่ได้นั่งขอทานอย่างสบาย ตอนที่ลุงแมวน้ำเห็นนั้นแกกำลังพยายามขับวีลแชร์ของแกจากในถนนสุขุมวิทเลี้ยวเข้าไปในซอย 19 ท่ามกลางรถเก๋งและมอเตอร์ไซค์ที่ล้อมหน้าล้อมหลัง ลุงแมวน้ำดูแล้วก็เสียวไส้แทน วีลแชร์คันนั้นเก่ามากแล้ว ดูสภาพทรุดโทรม คนก็แก่ รถก็เก่า ทั้งคนและรถคงอยู่บนเส้นทางชีวิตมาอย่างยาวนาน หญิงชราเคลื่อนวีลแชร์ไปช้าๆเท่าที่เรี่ยวแรงจะมี สังเกตดูในภาพจะเห็นว่าแกไม่ได้ใช้สองมือหมุนล้อเพื่อขับวีลแชร์ แต่แกใช้ไม้เท้ายันพื้นถนนต่างถ่อเพื่อขับเคลื่อนวีลแชร์ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะหมุนล้อไม่ไหวเพราะการหมุนล้อวีลแชร์นั้นกินแรงพอสมควร แต่หากใช้ถ่อค้ำจะกินแรงน้อยกว่า

ภาพนี้เป็นภาพชีวิตที่ลุงแมวน้ำเห็นแล้วรู้สึกสะท้อนใจ และต้องยอมรับนับถือในความทรหดสู้ชีวิตของหญิงชราผู้นี้ ขณะที่ถ่ายภาพ ลุงแมวน้ำเกิดคำถามขึ้นในใจมากมาย เช่น หญิงชราที่มีอายุปูนนี้อีกทั้งยังพิการ ทำไมยังต้องมาตรากตรำชีวิตในท้องถนนเมืองกรุงแบบนี้ ทำไมแกไม่เลือกที่จะขอทาน แกมีลูกหลานหรือไม่ ถ้ามีแล้วลูกหลานดูแลแกบ้างหรือไม่ สังคมของเราจะช่วยเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขให้แกได้มากน้อยเพียงใด ฯลฯ




ชายคนนี้เล่นกับแมวเหมียวข้างสถานีรถไฟฟ้าอย่างสบายอารมณ์ ไม่สนใจกับคนที่เดินผ่านไปมาหรือเวลาที่เสียไป เป็นชีวิตที่ง่ายๆ สบายๆ ไม่วุ่นวาย มีความสุขแม้กับเรื่องราวและสิ่งเล็กน้อยที่อยู่รอบตัว เป็นชีวิตที่น่าอิจฉาทีเดียว


ภาพนี้เป็นชายในวัยกลางคน ลุงแมวน้ำคิดว่าน่าจะอายุกว่า 50 ปีแล้ว สังเกตจากผมขาว ลุงแมวน้ำเห็นแกที่สถานีรถไฟฟ้าที่มีคนพลุกพล่านแห่งหนึ่ง ที่สถานีนี้จะมีแมวเหมียวสีน้ำตาล หน้าตาน่ารักอยู่สองตัว คิดว่าเป็นแมวมีเจ้าของเพราะว่ามีปลอกคอและด้านหลังเป็นตลาดด้วย ลุงแมวน้ำก็เดาเอาว่าเป็นแมวในตลาดที่ออกมาเที่ยวเล่น

ชายคนนี้แต่งกายดี เหมือนกับว่ากำลังเดินทางไปทำงาน ลุงแมวน้ำเห็นแกแวะเล่นกับแมวเหมียวอยู่เป็นประจำ ครั้งละนานพอสมควร นั่งกันบนพื้นถนนอย่างเป็นกิจจะลักษณะเลยทีเดียว น้องเหมียวก็นอนให้แกเกาพุงอย่างสบายอารมณ์ ดังที่เห็นในภาพ ที่จริงข้างๆตัวแกมีเครื่องดื่มอยู่ถ้วยหนึ่ง นั่งเล่นกับแมวไปก็ดื่มเครื่องดื่มไป บางวันก็ติดหนังสือพิมพ์มาด้วย เกาพุง (แมว) ไปอ่านหนังสือพิมพ์ไปสบายอารมณ์ ใครเดินผ่านไปมาแกก็ไม่สนใจ ในขณะที่คนจำนวนมากที่เดินผ่านแกไปมานั้นกำลังรีบร้อนเพื่อจะไปธุระหรือไปทำงาน แต่ละคนก็มีใบหน้าที่เคร่งเครียด แต่ดูแกไม่รีบร้อนอะไร เป็นชีวิตที่อิสระเสรี และมีความสุขกับเรื่องราวและสิ่งเล็กน้อยรอบข้างได้อย่างน่าอิจฉา ถ้าลุงแมวน้ำจะอิจฉาใครสักคนก็ขออิจฉานายคนนี้แหละ


แล้วก็มาถึงบุคคลคนสุดท้ายที่ลุงแมวน้ำอยากจะกล่าวถึงในบทความส่งท้ายปีเก่านี้ ลองมาดูกัน

























ข้างบนนี้เป็นวีดิโอที่เล่าเรื่องราวของหญิงชราคนหนึ่ง ชื่อคุณยายยิ้ม เป็นหญิงชราในวัยแปดสิบกว่าปี ที่อาศัยอยู่ในป่าเพียงลำพังมานานกว่ายี่สิบปี สาเหตุที่คุณยายไปอยู่ในป่าเพียงลำพังนานขนาดนั้นเพราะว่าแกมีความตั้งใจจะสร้างฝายกั้นน้ำเพื่อให้นกและสัตว์ป่าได้ใช้เป็นแหล่งน้ำ เนื่องจากแถบนั้นในหน้าแล้วขาดน้ำ แกตั้งใจจะช่วยในหลวงสร้างฝายเพราะรู้ว่าในหลวงใส่พระทัยเรื่องแหล่งน้ำเนื่องจากน้ำเป็นปัจจัยสำคัญต่อความเป็นอยู่ของทั้งคน สัตว์ และพืช

ด้วยวัยที่ชรา ด้วยหลังที่โค้งงอเนื่องจากภาวะกระดูกพรุน และด้วยเรี่ยวแรงที่ลดน้อยถอยลง แต่แกก็ทำของแกไปเรื่อย ทำทุกวันไม่เคยหยุด ชีวิตเรียบง่าย ทรัพย์สมบัติมีเพียงของใช้ประจำวันนิดหน่อย ความตั้งใจในการเป็นผู้ให้ของคุณยายยิ้มนั้นเกินร้อย ความสุขของแกคือการเดินข้ามเขาไปเข้าวัดทุกวันพระ ไปวัดครั้งหนึ่งก็กินเวลาหลายวันเพราะว่าอยู่ไกล หลายคนคิดว่าแกเพี้ยน แต่ลุงแมวน้ำกลับอยากให้โลกนี้มีคนเพี้ยนแบบนี้เยอะๆ

วีดิโอคลิปนี้มี 7 ตอน ลุงแมวน้ำอยากให้ดูกันจนจบ ใจเย็นๆ ค่อยๆดูไปทุกตอน สังเกตการดำเนินชีวิต คำพูด ความคิด และทัศนคติต่อโลกและชีวิตของคุณยายยิ้ม ลุงแมวน้ำไม่อยากเล่ามาก แต่อยากให้แต่ละคนชมและค้นพบด้วยตนเองมากกว่า หากใครดูแล้วรู้สึกอิ่มเอมใจ ก็ถือเสียว่าเป็นของขวัญปีใหม่จากลุงแมวน้ำ หลายคนอาจคิดว่าของขวัญปีใหม่ของลุงแมวน้ำไม่ลงทุนเลยเนอะ แต่เอาละน่า ของบางอย่างด้อยราคาแต่สูงด้วยคุณค่าคร้าบ ^__^



วันนี้ลุงแมวน้ำเล่าอะไรไปเรื่อยเปื่อย ลุงแมวน้ำคงไม่สรุปอะไร เพราะว่าคำตอบอยู่ที่ใจของแต่ละคนเองอยู่แล้ว

ขอให้มีความสุขในปีใหม่ 2013 นี้คร้าบ ^__^

Thursday, December 27, 2012

27/12/2012 * ทองคำพักผ่อน หุ้น น้ำมัน ยางพารา ไปต่อ

วันนี้ลุงแมวน้ำมาอัปเดตนิดๆหน่อยๆ ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาล นักลงทุนทางตะวันตกหยุดกันเยอะแล้ว ดังนั้นปริมาณการซื้อขายหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกซบเซาลง นี่เป็นเรื่องตามปกติที่เกิดขึ้นทุกปี

แต่แม้ว่านักลงทุนจะหยุด แต่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้หยุดไปด้วย โปรแกรมติดตามราคาและสั่งซื้อขายยังคงทำงานอยู่ หลายปีมานี้โปรแกรมเหล่านี้มีบาทบาทต่อตลาดมากขึ้น ทำให้ราคาซื้อขายผันผวนเนื่องจากโปรแกรมเหล่านี้ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก ถึงจุดขายก็สั่งขายในปริมาณตามที่กำหนด โดยไม่คำนึงว่าราคาร่วงไปแล้วเท่าไร ดังนั้นในภาวะที่ตลาดมีปริมาณซื้อขายน้อย หากโปรแกรมเหล่านี้ทำงานสั่งซื้อขายยิ่งมีผลกระทบทำให้ตลาดผันผวนมากยิ่งขึ้น ซึ่งผลจากการเทรดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์นี้มีส่วนทำให้ระบบเทรด PNT 1.1 (Peak and trough 1.1) เทรดแล้วแพ้ตลาด คือเกิดสัญญาณหลอก (false signal) บ่อยครั้ง ทำให้นักลงทุนขาดทุน เนื่องจากระบบนี้ใช้ได้ดีกับตลาดผันผวนน้อยถึงปานกลาง หากผันผวนสูงจะทำงานไม่ค่อยดีแล้ว ลองสังเกตดูได้จากการใช้ระบบนี้กับสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวนสูง เช่น ยางพารา น้ำมันดิบ ฯลฯ ก็จะพอเห็นได้

พูดถึงน้ำมันดิบ วันนี้มาอัปเดตราคาน้ำมันดิบกันหน่อย ลองดูกราฟราคาน้ำมันดิบเบรนต์ (BZ) ต่อไปนี้


ราคาน้ำมันดิบเบรนต์


จากภาพ จะเห็นว่าราคาน้ำมันดิบเบรนต์ค่อยๆขยับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคืนก็เกิดแท่งเทียนขาวใหญ่ คือขึ้นไปได้แรงพอควร ในทางเทคนิค หากผ่าน 112 ดอลลาร์ สรอ/บาเรล ไปได้ก็น่าจะเห็นราคาน้ำมันดิบไปเกิน 117 ดอลลาร์ สรอ


ต่อมาก็มาดูราคายางพารากัน ดังภาพต่อไปนี้

ราคายางพารา RSS3

ราคายางพาราค่อยๆขึ้นแบบปริมาณซื้อขายน้อย มาร์เกตติงตลาดสินค้าเกษตรเล่าให้ฟังว่าเดี๋ยวนี้ต้องเอานิยายหรือเอาไหมมาถักโครเชต์แก้เซ็ง ที่ว่านั่งตบยุงหรือแมลงวันนั้นไม่มีแล้วเนื่องจากยุงกับแมลงวันไม่มีเหลือให้ตบนานแล้ว ว่าไปโน่น 

ในทางเทคนิค หากราคาผ่าน 106 บาทไปได้แสดงว่าอยู่ในคลื่น 3 ค่อนข้างแน่ ซึ่งจะไปได้อีกไกล ประกอบกับช่วงนี้ยาเริ่มผลัดใบ น้ำยางออกน้อยแล้วด้วย ตามฤดูกาลแล้วช่วงนี้ราคาก็มักปรับตัวสูงขึ้นอยู่แล้ว

ราคาทองคำตอนนี้พักผ่อนอยู่ ยังไม่ไปไหน แต่คาดว่าคงพักผ่อนไม่ได้นาน

จากนั้นก็มาดูตลาดหุ้นไทยกันบ้าง




หุ้นตัวนี้นับคลื่นได้ค่อนข้างชัด ขณะนี้น่าจะอยู่ในคลื่น 5 ซึ่งยังไปต่อได้อีก ถือเป็นตัวแทนหุ้นมาร์เกตแคปสูงได้ ประกอบกับราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวขึ้นเรื่อยๆจะทำให้ราคาหุ้นพลังงานของไทยค่อยๆขยับตัวขึ้นเช่นกัน ดังนั้น ลุงแมวน้ำมองว่า ระยะเวลาถัดจากนี้ไป ตลาดหุ้นไทยจะขึ้นได้ด้วยหุ้นมาร์เก็ตแคปสูง หรือหุ้นตัวใหญ่นั่นเอง

ผู้ที่ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นไทยอาจลองพิจารณากองหุ้นของตนเองดู เพราะกองทุนรวมหุ้นนั้นมีการจัดพอร์ตหุ้นต่างๆนานา บางกองทุนลงทุนในหุ้นตัวกลางกับตัวเล็ก (mid cap, small cap) ซึ่งราคาหุ้นตัวกลางกับเล็กในปี 2555 นี้ขึ้นไปมาก ทำให้กองทุนรวมหุ้นเหล่านี้ผลประกอบการดีมากๆ ส่วนกองทุนรวมหุ้นที่เป็นหุ้นตัวใหญ่จะมีผลประกอบการณ์สู้ไม่ได้

แต่ต่อจากนี้ไปลุงแมวน้ำมองว่ากองทุนรวมพวกหุ้นตัวใหญ่จะสลับมาทำผลงานได้ดีกว่า ส่วนพวกตัวกลางกับตัวเล็กจะไม่ค่อยแรงแล้ว

Saturday, December 22, 2012

22/12/2012 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ ทำขนมปังช็อกโกแลตขิงสูตรเจ





ลุงแมวน้ำไม่ได้เขียนสารคดีวันหยุดมาเดือนกว่าทีเดียว คิดถึงสารคดีวันหยุดนี้จัง ลุงแมวน้ำมีเรื่องที่อยากเล่าหลายเรื่องทีเดียว แต่จนแล้วจนรอดก็หาเวลาเขียนไม่ได้สักที อย่าว่าแต่สารคดีวันหยุดเลย สารคดีวันธรรมดาเรื่องการลงทุน ลุงแมวน้ำก็ยังห่างๆไปบ้าง ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไปละเนอะ ไม่มีอยู่อะไรคงที่หรือว่าแน่นอน

ช่วงนี้ใกล้ปีใหม่แล้ว ลุงแมวน้ำจึงเข้าครัวเพื่อทำอะไรกินฉลองปีใหม่เสียหน่อย เห็นภาพข้างบนแล้วใช่ไหม วันนี้ลุงแมวน้ำสลัดบทบาทนักแสดง นักลงทุน และเถ้าแก่ มีสวมบทบาทเชฟ กลายเป็น เชฟแมวน้ำ แต่วันนี้แต่งรูปภาพได้ไม่ค่อยเนียนนักเพราะว่ารีบทำ  ^__^

จะทำอะไรเป็นของกินปีใหม่ดีล่ะ ช่วงนี้เป็นเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ฝรั่งตะวันตกมักทำขนมปังขิงหรือคุกกิ้ขิงกัน ขนมปังจะเป็นแนวขนมปังกรอบ ลุงแมวน้ำก็คิดว่าจะทำขนมปังขิงบ้างเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศเทศกาล แต่ว่าเนื่องจากลุงแมวน้ำชอบอะไรที่ง่ายๆ จะทำขนมปังกรอบหรือคุกกี้ก็ต้องวุ่นวายไปเปิดเตาอบ อย่ากระนั้นเลย ทำขนมปังขิงที่เป็นขนมปังปอนด์นุ่มๆดีกว่า จะได้ใช้เครื่องทำขนมปังได้

ขนมปังขิงที่ลุงแมวน้ำจะทำในวันนี้เป็น ขนมปังช็อกโกแลตขิงสูตรเจ เป็น สูตรสุขภาพ ตามสมควร คือไม่ถึงกับสุขภาพจ๋า จะได้อร่อยลิ้นหน่อย สุขภาพจ๋าเกินไปก็ไม่อร่อย

เหตุที่ลุงแมวน้ำทำขนมปังช็อกโกแลตขิง ไม่ใช่ขนมปังขิงเฉยๆนั้นก็เพราะว่าช็อกโกแลตกับขิงเป็นรสที่เข้ากันได้ดี ลุงว่าน่าจะอร่อยกว่าขนมปังขิงอย่างเดียว ก็เลยทำเป็นขนมปังช็อกโกแลตขิง

วันนี้ลุงแมวน้ำเข้าครัวตั้งแต่ตีสอง ตีสองจริงๆ ง่วงชะมัด ^__^ แต่ก็ต้องทำเวลานี้เพราะว่าต้องการให้เสร็จตอนเช้ามืด กลางวันยังมีเรื่องที่ต้องทำอีก หากไม่ทำตั้งแต่ตีสองจะมีเวลาไม่พอ

ลุงแมวน้ำแก้ง่วงด้วยการกินกาแฟ ไปได้กาแฟโบราณมาจากยะลา ลุงไม่ได้ไปซื้อที่ยะลาหรอก ซื้อมาจากงานโอท็อปที่กำลังจัดอยู่ตอนนี้นี่เอง คนขายก็สูงอายุพอสมควร คนขายเล่าให้ฟังว่านี่เป็นกาแฟพันธุ์อาราบิก้าท้องถิ่นของยะลา ผลิตด้วยวิธีการของคนสมัยก่อน คือคั่วด้วยกระทะแล้วบดด้วยการใส่ครกตำ จากนั้นเอามาคลุกกับน้ำตาลอ้อย เวลาดื่มก็ดื่มแบบคนรุ่นก่อนที่ดื่มกัน นั่นคือชงน้ำร้อนแล้วกินทั้งยังงั้นเลย หมายถึงว่ากินกากกาแฟเข้าไปด้วย ไม่ได้ใช้เครื่องกรองหรือกระดาษกรองกากกาแฟแต่อย่างใด

อะไรโบราณๆย้อนยุคนี่ลุงชอบ ก็ลุงแมวน้ำเป็นแมวน้ำรุ่นเก่านี่นา ก็ต้องชอบอะไรเก่าๆ พอได้ยินว่าคั่วกระทะแล้วตำด้วยครกเท่านั้นก็รีบซื้อมาเลย เพิ่งจะได้ลองชิมก็ตอนที่แก้ง่วงระหว่างทำขนมปังนี่แหละ รสชาติของกาแฟหอม อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว แถมกากกาแฟยังละเอียดมาก นึกถึงตอนตำกาแฟจนได้กากกาแฟเนื้อละเอียดขนาดนี้คงใช้แรง เวลา และความตั้งใจไปมากทีเดียว ลุงแมวน้ำก็กินลงไปด้วยเลยเพราะรู้สึกว่ามันมีคุณค่า ทิ้งกากก็เสียดาย ก็อร่อยดี ^__^

ว่าจะเล่าเรื่องทำขนมปัง แต่ไหงเลยไปเล่าเรื่องกาแฟ วันหยุดก็ขอทำตัวช้าๆ สบายๆ สักหน่อยก็แล้วกัน แวะคุยตรงโน้นตรงนี้บ้างอย่าคิดว่าเสียเวลาเลย

มาเข้าเรื่องขนมปังช็อกโกแลตขิงกันต่อ ลุงแมวน้ำบรรยายตามภาพ ดูภาพแล้วอ่านคำบรรยายตาม คุยกันไปเรื่อยๆก็แล้วกันนะคร้าบ





ขนมปังช็อกโกแลต ขิง สูตรเจ และเป็นสูตรสุขภาพ นั้นใช้วัตถุดิบตามภาพข้างบน วัตถุดิบจะหลายอย่างหน่อยแต่ก็คุ้มเหนื่อยเพราะว่าเป็นผลดีต่อสุขภาพ มาดูสูตรกัน สูตรนี้ทำแล้วได้ขนมปังหนักประมาณ 1,000 กรัม (1 กิโลกรัม)


      1. แป้งขนมปัง 375 กรัม
      2. แป้งโฮลวีต 80 กรัม
      3. แป้งข้าวไรย์ดำ 15 กรัม
      4. น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี 90 กรัม
      5. ผงโกโก้ 40 กรัม
      6. ยีสต์ผงแบบสำเร็จรูป (instant yeast) 10 กรัม
      7. เกลือ 6 กรัม
      8. น้ำมันมะกอก 30 กรัม
      9. นมถั่วเหลืองเจ แบบจืดหรือแบบน้ำตาลต่ำ 440 กรัม
      10. ขิงอ่อนสับละเอียด 70 กรัม


ลุงแมวน้ำถนัดใช้สูตรชั่ง ไม่ถนัดใช้สูตรตวง วันนี้ยังแปลงน้ำหนักเป็นสูตรตวงไม่ทัน เอาแต่สูตรชั่งน้ำหนักไปก่อนละกัน

แป้งโฮลวีตกับแป้งข้าวไรย์ดำนั้นช่วยเพิ่มใยอาหาร วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ อีกทั้งยังช่วยลดค่าดัชนีน้ำตาล (glycemic index) ลงได้บ้าง

นมถั่วเหลืองนั้นจะใช้นมถั่วเหลืองกล่องหรือน้ำเต้าหู้ที่ต้มขายตามแผงก็ได้ ตามแต่สะดวก ควรใช้รสจืดที่ไม่เติมน้ำตาล หรือหากหารสจืดไม่ได้ก็ใช้สูตรน้ำตาลต่ำ เพราะเรามีน้ำตาลในสูตรขนมปังอยู่แล้ว ที่ใส่นมถั่วเหลืองเพราะต้องการให้ขนมปังมีคุณประโยชน์จากโปรตีนด้วย หากใช้น้ำเปล่า ขนมปังที่ได้จะมีปริมาณโปรตีนค่อนข้างต่ำ อย่างที่ลุงแมวน้ำใช้นี้ก็เป็นนมถั่วเหลืองสูตรเจ น้ำตาลต่ำ เท่าที่เห็นในท้องตลาด นมถั่วเหลืองกล่องไม่มีรสจืดเลย มีแต่หวานมากกับหวานน้อย แต่ถ้าซื้อน้ำเต้าหู้ตามแผงละก็หารสจืดที่ไม่เติมน้ำตาลได้

ขิง เลือกใช้ขิงอ่อน

น้ำตาล ใช้นำตาลทรายไม่ฟอกสี สูตรนี้ใช้น้ำตาล 90 กรัม ได้ขนมปังที่หวานปะแล่ม คือหวานน้่อย หากต้องการให้หวานมากขึ้นก็เพิ่มน้ำตาลลงไปได้อีก






ลุงแมวน้ำเล่าเรื่องขิงเพิ่มเติมอีกหน่อย ขิงที่ใช้ทำขนมปังควรเป็นขิงอ่อน เพราะว่าหั่นง่าย และเคี้ยวง่าย หากใช้ขิงแก่จะสับให้ละเอียดได้ยากกว่าเพราะเนื้อขิงจะแข็ง และทำให้ขนมปังมีเนื้อที่เคี้ยวยากอีกด้วย

ที่เห็นในภาพข้างบนคือเครื่องทุ่นแรงของลุงแมวน้ำ ไม่อยากสับขิงให้เมื่อยครีบเลยใช้เครื่องสับแบบมือหมุน ดังที่เห็นสีเขียวๆในภาพ ลุงแมวน้ำซื้อมา 120 บาทเอง หั่น สับ วัตถุดิบเช่นหอม กระเทียม ขิง ข่า ฯลฯ ได้ดีทีเดียว หมุนไปหมุนมาเดี๋ยวเดียวก็ได้แล้ว







ขั้นตอนต่อจากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก คือ ใส่ทุกอย่างลงไปในถังของเครื่องทำขนมปัง จากนั้นกดปุ่มให้เครื่องทำขนมปังทำงาน เครื่องก็จะทำงานของมันไป ส่วนลุงแมวน้ำก็ไปนอนกระดิกครีบรอ

มีข้อสังเกตอยู่หน่อยหนึ่ง นั่นคือ เรื่องความหนืดของแป้ง ซึ่งความหนืดของแป้งที่นวดนี้ต้องพอดี คือนวดแป้งแล้วแป้งตั้งตัวขึ้นมาเป็นก้อนได้ตามในภาพ หากเหลวเป๋วตั้งเป็นก้อนไม่ได้แสดงว่าใส่น้ำมากเกินไป ขนมปังจะแฉะ ไม่น่ากิน ดังนั้นเวลาเราได้สูตรมา ปกติควรเติมน้ำให้ต่ำกว่าสูตรสักหน่อย หากนวดแป้งแล้วแป้งข้นมากก็ค่อยๆเติมน้ำลงไปทีละหน่อย จนได้ที่ แต่หากใส่น้ำแล้วมากเกินไปแล้วทางแก้คือใส่แป้งเพิ่มเพื่อปรับความหนืดให้พอดี แต่ก็เพิ่มต้นทุน รวมทั้งสัดส่วนทางโภชนาการยังเปลี่ยนไปด้วย






หลังจากที่ไปนอนกระดิบครีบรอ พอเครื่องอบเสร็จก็จะส่งเสียงร้องเรียก ลุงแมวน้ำก็ไปเปิดฝาแล้วหยิบขนมปังออกมา ได้มาตามภาพข้างบนนี้ สีเข้ม กลิ่นก็เข้มเพราะเป็นกลิ่นของช็อกโกแลตผสมกับกลิ่นเผ็ดของขิง






ปล่อยให้ก้อนขนมปังให้เย็นตัวลงจนเท่าอุณหภูมิห้อง จากนั้นก็เอามาหั่นเป็นแผ่น ลองสังเกตดูในภาพจะเห็นเนื้อขิงแทรกอยู่ในเนื้อขนมปังด้วย



ก็เป็นอันว่าเสร็จ ง่ายๆเพียงแค่นี้ลุงแมวน้ำก็ได้ขนมปังช็อกโกแลตขิงไว้กินฉลองคริสต์มาสแล้ว

ในการทำครั้งแรกคงต้องลองผิดลองถูกกันหน่อย อย่างเช่นว่ารสเผ็ดจากขิงนั้นเผ็ดถูกใจหรือยัง หากยังไม่ถูกใจก็ปรับปริมาณขิงในครั้งต่อไป เรื่องขิงนี่พูดยาก เพราะขิงอ่อนที่แต่ละคนได้มาทำขนมปังอาจมีความเผ็ดไม่เท่ากัน ดังนั้นที่ลุงแมวน้ำใช้ในสูตรว่าขิง 70 กรัมก็เป็นปริมาณกลางๆเท่านั้น

ส่วนเรื่องความหวานนั้น ตามสูตรนี้จะได้ขนมปังที่รสหวานนิดหน่อย คือหวานน้อย หากต้องการให้หวานมากขึ้นเป็นแนวขนมปังหวานก็ใส่น้ำตาลเพิ่มขึ้นได้ แต่เมื่อเพิ่มน้ำตาลลงไปเท่าไรก็ต้องไปลดแป้งขนมปังลงเท่านั้น สมมติว่าเพิ่มน้ำตาลอีก 30 กรัม (กลายเป็นน้ำตาล 90+30 =  120 กรัม) ก็ต้องไปลดแป้งในสูตรลง 30 กรัม (กลายเป็นปริมาณแป้ง 375-30 = 335 กรัม) เป็นต้น


ลุงแมวน้ำทำเสร็จและลองชิมดูแล้ว อร่อยใช้ได้นะ ได้บรรยากาศของเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่อีกต่างหาก ยามเช้าอากาศเย็นๆ กินขนมปังช็อกโกแลตขิงกับกาแฟร้อนๆ มีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว ^__^

Tuesday, December 18, 2012

14/12/2012 สรุปภาวะการลงทุนรอบสัปดาห์ (10/12/2012 - 14/12/2012) * หุ้นขาขึ้น สินค้าโภคภัณฑ์รอเวลา

วันนี้ลุงแมวน้ำมาอัปเดตภาวะการลงทุนในรอบสัปดาห์กัน

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นขึ้นในทุกภูมิภาค เฉลี่ยทั้งโลกก็ปรับตัวขึ้นประมาณ +0.6% ตลาดที่ขึ้นแรงสุดคือตลาดหุ้นอาร์เจนตินา +8.75% ถัดมาเป็นตลาดหุ้นอียิปต์ +5.24% แรงลำดับสามคือตลาดหุ้นจีน +4.86% ส่วนตลาดหุ้นไทย SETi ปรับตัวขึ้นไป +1.76%

หากลองสังเกตดูในตารางข้างล่างที่ลุงแมวน้ำนำมาให้ดูกัน จะเห็นว่าตลาดหุ้นเกือบทุกตลาดเกิดสัญญาณซื้อเกือบหมดแล้ว แม้แต่ตลาดหุ้นกลุ่มยุโรปก็เป็นสัญญาณซื้อ มีเพียงบางตลาดเท่านั้นที่ยังเป็นสัญญาณขาย แต่ก็มีการปรับตัวขึ้นมา ในที่สุดก็อาจเกิดสัญญาณซื้อตามมาได้ ภาพใหญ่ที่เห็นนี้บ่งบอกชัดเจนว่าผลจากมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง ทั้งของสหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ ทำให้เกิดการเก็งกำไรในทรัพย์สินเสี่ยง ตลาดหุ้นตอนนี้เป็นแนวโน้มขาขึ้น แรงน้อยแรงมากแตกต่างกันไป แต่ดูว่าตลาดทางเอเชียค่อนข้างแรงกว่ากลุ่มยุโรปและสหรัฐอเมริกา เศรษฐกิจจริงจะเป็นอย่างไรไปว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง

ตลาดหุ้นยุโรปที่มีข่าวเขย่าขวัญทุกวันว่าเศรษฐกิจถดถอย แต่พิจารณาจากกราฟทางเทคนิค ขณะนี้ดัชนีตลาดหุ้นเยอรมนีเป็นแนวโน้มขาขึ้นที่มีกำลัง


ตลาดหุ้นจีนลงแล้วลงอีก จนนว่ากลัวว่าจะหลุด 2,000 จุด แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้มีสัญญาณทางเทคนิคที่น่าสนใจ นั่นคือแท่งเทียนขาวใหญ่ หากตลาดหุ้นจีนกลับทิศได้จริงก็น่าสนใจทีเดียว และตลาดหุ้นเอเชียคงเก็งกำไรคึกคักยิ่งกว่าปัจจุบันเสียอี


ทางด้านสินค้าโภคภัณฑ์ หากดูจากตารางด้านล่าง จะเห็นว่าสินค้าโภคภัณฑ์เกิดสัญญาณขายเกือบทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดิบ โลหะมีค่า สินค้าเกษตร มีสัญญาณซื้อเพียงโลหะอุตสาหกรรม ซึ่งเพิ่งเกิดสัญญาณซื้อไปไม่นาน ตอนนี้แรงเก็งกำไรยังกระจุกตัวอยู่ในตลาดหุ้น แต่ว่าต่อไปก็จะย้ายมาเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์ด้วย ต่อไปสินค้าโภคภัณฑ์ก็น่าจะเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นด้วย คอยติดตามดูกัน

ทางด้านตลาดตราสารหนี้ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกันปรับตัวสูงขึ้นเฉพาะพันธบัตรอายุยาว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกัน 10 ปี ปรับตัวขึ้น 8 จุดเบสิส ส่วนเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับตัวขึ้นตลอดทั้งเส้น โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 5 จุดเบสิส ในขณะที่ตลาดหุ้นขึ้น สะท้อนว่ามีการขายพันธบัตรเพื่อมาเก็งกำไรในตลาดหุ้น

ทางด้านตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินดอลลาร์ สรอ อ่อนตัว ทำให้เงินตราสกุลอื่นแข็งค่าขึ้น เงินสกุลยุโรปและเอเชียแข็งค่าขึ้นมากน้อยไม่เท่ากัน ยกเว้นเงินเยนที่อ่อนค่าลงจากการแทรกแซงของธนาคารกลางของญี่ปุ่น



ค่าเงินดอลลาร์ สรอ ดูจาก ดัชนีดอลลาร์ สรอ ขณะนี้กำลังอ่อนค่าลงมาติดแนวรับ ลุงแมวน้ำคาดว่าเงินดอลลาร์จะหลุดแนวรับนี้และอ่อนค่าต่อไป

เงินเยนอ่อนค่าหนัก อันเป็นผลจากการแทรกแซง 



ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนมากทีเดียว เพราะผลจากการอัดฉีดสภาพคล่องของประเทศต่างๆ หากพิจารณาด้านความผันผวนจะเห็นว่าทองคำ เงินดอลลาร์ สรอ เงินสกุลยุโรป (เช่น เงินยูโร เงินฟรังก์สวิส ฯลฯ) ช่วงนี้สกุลที่ค่อนข้างเสถียรคือเงินบาทกับดอลลาร์สิงคโปร์ แต่แนวโน้มเงินบาทก็แข็งค่าเช่นกัน



ลองสังเกตดูในตารางอีกครั้ง จะเห็นว่ายางพาราตลาดญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นมากในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ยางพาราของไทยปรับตัวขึ้นน้อย นั่นเป็นเรพาะผลจากอัตราแลกเปลี่ยน เงินเยนอ่อนค่า ทำให้ราคายางพาราไทยขึ้นไม่ได้มากเท่ากับยางญี่ปุ่น ดังนั้นช่วงนี้การลงทุนใดๆในสกุลเงินต่างประเทศหรือสินค้านั้นๆอิงกับสกุลเงินต่างประเทศ ต้องระวังเรืองผลจากอัตราแลกเปลี่ยนให้ดี


Photobucket

Thursday, December 13, 2012

13/12/2012 * ลุงแมวน้ำขึ้นรถไฟสาย 1700

วันนี้มาอัปเดตกันหน่อยนะครับ

ช่วงนี้ลุงแมวน้ำก็วุ่นวายตามเคย ชีวิตทำงานหลายอย่าง ตั้งแต่แสดงละครสัตว์งานประจำ ยังเป็นเถ้าแก่แมวน้ำอีคอมเมิร์ซ แล้วยังจะเป็นเชฟแมวน้ำสอนทำเบเกอรี่อีก ^_^ ลุงแมวน้ำไปซื้อหมวกเชฟมาแล้ว กับผ้ากันเปื้อนผืนใหม่ เวลาถ่ายรูปประกอบการทำอาหารจะได้ดูมีมาดเชฟแมวน้ำหน่อย

แต่ถึงจะวุ่นวายอย่างไร ลุงแมวน้ำก็ยังไม่ลืมมิตรรักแฟนเพลงนักลงทุนรายย่อยทุกคน ที่ช่วงนี้อัปเดตน้อยลงไปบ้างเพราะว่ายังไม่มีอะไรใหม่ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ คือตอนนี้ก็ยังเป็นอะไรเดิมๆดังที่ลุงแมวน้ำเคยกล่าวไปแล้ว ยังไม่เปลี่ยนความคิด ก็เลยห่างๆไปบ้าง แต่ถ้ามีอะไรสำคัญจะรีบมาบอก

เมื่อคืน 12/02/2012 ลุงเบน เบอร์นันกี ประธานเฟด หรือธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา ให้ข่าวจากการประชุมเฟดครั้งล่าสุดว่า จะอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจเดือนละ 85,000 ล้านดอลลาร์ สรอ    โดยแบ่งเป็นเงินจากมาตรการ QE3 เดือนละ 40,000 ล้านดอลลาร์ กับเงินจากมาตรการ operation twist เดือนละ 45,000 ล้านดอลลาร์ เรื่อง opreration twist นั้นจะหมดอายุโครงการเดือนนี้ แต่เมื่อหมดอายุแล้วก็ยังมีมาตรการซื้อพันธบัตรต่อไป ก็เท่ากับต่ออายุดครงการออกไปนั่นเอง

ลุงแบนจะอัดฉีดไปเรื่อยๆจนกว่าอัตราการว่างงานจะเหลือ 6.5% ซึ่งเรืองอัตราการว่างงานนี้ขณะนี้ค่อยๆลดลง แต่ว่าไม่ได้ลดลงจากคนมีงานทำมากขึ้น หากแต่ลดลงจากคนถอดใจเลิกหางานทำ นี่เป็นเรื่องของคณิตศาสตร์

สมมติง่ายๆ แรงงาน 10 คน มีว่างงาน 3 คน อัตราว่างงานคือ 3 ใน 10 หรือ 30%

ทีนี้เอาใหม่ สมมติว่าคนว่างงานถอดใจเลิกหางานไป 2 คน เหลือคนที่ยังดิ้นรนหางานอยู่เพียง 1 คน คนที่ถอดใจไปก็ไม่นับเป็นคนว่างงานแล้ว แรงงานทั้งหมดจึงไม่ได้มี 10 คน แต่มีเพียง 8 คน

ดังนั้นคนที่ว่างงานจริงๆ (คือตกงานแล้วยังดิ้นรนหางานทำอยู่) ก็เหลือเพียงคนเดียว จากแรงงานทั้งหมด 8 คน นั่นคือ อัตราว่างงาน 1 ใน 8 หรือ 12.5%

เห็นไหม แค่นั่งคิดเลขใหม่ อัตราว่างงานก็เปลี่ยนไปแล้ว ทั้งๆที่ไม่ได้มีตำแหน่งงานเพิ่มขึ้น ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงบอกว่าตัวเลขนี้บางทีก็หลอกให้เราเข้าใจผิดได้ ต้องไปดูรายละเอียดลึกๆอีกทีหนึ่ง

เอาละ มาว่าเรื่องลุงเบนกันต่อ เมื่อลุงเบนประกาศเช่นนี้ เงินดอลลาร์ สรอ ก็อ่อน ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาก็อ่อนตัวลงเช่นกัน สาเหตุที่เงินดอลลาร์อ่อนเพราะภายใต้สถานการณ์อัดฉีดเช่นนี้ คือการพิมพ์เงินเพิ่มเข้ามาในระบบมากๆ ผลจะทำให้เงินเฟ้อและค่าเงินลดลง นักลงทุนก็ชิงขายเงินดอลลาร์ออกมา ส่วนตลาดหุ้นนั้นลุงแมวน้ำมองว่าน่าจะไปต่อ เพราะภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ส่งผลให้เงินด้อยค่า หากต้องการรักษามูลค่าของเงินในกระเป๋าเอาไว้ก็ต้องเอาไปลงทุนให้เกิดผลกำไรมากๆ เพื่อให้ชนะเงินเฟ้อ  ซึ่งนั่นก็คือแรงจูงใจให้เงินจำนวนมากเหล่านี้เข้าไปเก็งกำไรในทรัพย์สินเสี่ยงต่างๆทั่วโลก ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงมองว่าตลาดหุ่นกับสินค้าโภคภัณฑ์คงขึ้นทั้งโลก เพียงแต่ว่าภูมิภาคไหนจะแรงกว่ากันเท่านั้นเอง

สำหรับภูมิภาคเอเชีย ตอนนี้ประเทศที่ตลาดหุ้นขึ้นดีมีอยู่ 3 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย ไทย และฟิลิปปินส์

ลุงแมวน้ำจะสรุปจากภาพ ดูตามภาพไปเรื่อยๆนะคร้าบ

เงินดอลลาร์ สรอ หลุดจากกรอบ SEC ใหญ่ (สีดำ) ลงมา ขณะนี้แนวโน้มย่อยเป็นขาขึ้นซึ่งก็เหมือนการรีบาวด์ของขาลง ลุงแมวน้ำคาดว่าเงินดอลลาร์ สรอ ต้องอ่อนค่าต่อไปตามแนวโน้มใหญ่ในที่สุด

เงินบาท หลุดจากกรอบใหญ่ SEC มาแล้ว แนวโน้มแข็งค่าต่อไป


ทองคำ เด้งอยู่ในกรอบสามเหลี่ยมชายธง ใกล้สุดปลายชายธงแล้ว ช่วงนี้มีกองทุนเก็งกำไรขายทองคำออกมา ทำให้ราคาร่วงและอยู่ในภาวะไร้ทิศทาง หากเงินดอลลาร์ สรอ อ่อนตัวลงอีก ทองคำก็ต้องขึ้น ลุงแมวน้ำมองว่าปลายชายธงนี้มีโอกาสขึ้นต่อมากกว่าลงต่อ ตอนนี้แนวโน้มขาขึ้นยังอ่อนกำลัง ให้รอดูสัญญาณซื้อเสียก่อน

ราคาทองคำ ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่ง ฟิวเจอร์สทองคำ อีทีเอฟทองคำ ภายใต้ภาวะเงินบาทแข็ง ดอลลาร์ สรอ อ่อน หากเทรดเป็นเงินบาทจะเสียกำไรจากค่าเงินไปโข ทางออกคือกองทุนทองคำที่ปิดความเสี่ยงค่าเงินเอาไว้ หรือนักลงทุนเทรดทองคำแล้วชอร์ตฟิวเจอร์สของดอลลาร์ สรอ ไปด้วย


น้ำมันดิบ นักวิเคราะห์บอกว่าราคาน้ำมันเป็นทิศทางขาลง เพราะเศรษฐกิจไม่ดี การบริโภคน้ำมันลดลง แต่ตามเทคนิคเป็นขาขึ้น ลุงแมวน้ำประเมินว่าโอกาสขึ้นต่อมีมากกว่าลง แต่อย่างไรก็ดี ตอนนี้แนวโน้มขาขึ้นยังอ่อนกำลัง ต้องรอสัญญาณซื้อเสียก่อน การเทรดน้ำมันดิบเป็นเงินบาทก็เสียเปรียบอัตราแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกับทองคำ ทางออกก็เช่นเดียวกัน คือกองทุนน้ำมันดิบที่มีการเฮดจ์ค่าเงินหรือนักลงทุนชอร์ต usd futures ไว้ด้วย

น้ำมันดิบ wti ก็เช่นกัน ตอนนี้ดูจากเส้นแนวโน้มเป็นขาขึ้น แต่ว่ายังอ่อนกำลัง ต้องรอสัญญาณซื้อ


ยางพารา ตอนนี้ทุกคนกลัวยางพารา เพราะปัจจัยพื้นฐานมองว่าเป็นขาลง แต่ในทางเทคนิคเห็นได้ค่อนข้างชัดว่าเป็นคลื่นขาขึ้น ตอนนี้กำลังเข้าคลื่น 3 ประกอบกับหลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ราคายางพาราค่อยๆขึ้นแบบซื้อขายกันน้อยมาก คือมูลค่าการซื้อขายต่ำ ลุงแมวน้ำประเมินว่าอีกไม่นานวอลุ่มจะมา แล้วเข้าสู่คลื่น 3 เต็มตัว 



ตลาดหุ้นไทย ผ่านแนวต้าน 1,330 จุด (โดยประมาณ) มาแล้ว ไม่เหลือแนวต้านระยะสั้นแล้ว  แนวต้านถัดไปคือ 1400 จุด, 1450, 1550, 1700 จุด ซึ่งเป็นแนวต้านใหญ่ของเมื่อ 16 ปีกว่ามาแล้วทั้งสิ้น

ตั้งแต่วันที่ 28 พย. ที่ผ่านมา ต่างชาติกลับลำ จากขายสุทธิอย่างต่อเนื่องมานานนับเดือน มาเป็นซื้อสุทธิ 9 วันทำการที่ผ่านมา ฝรั่งขายแค่วันเดียว อีก 8 วันเป็นซื้อสุทธิ หุ้นมาร์เก็ตแคปสูงปรับตัวขึ้น ตัวเล็กตัวน้อยไม่ขึ้น แสดงว่าฝรั่งก็น่าจะกำลังเข้าซื้อ หากฝรั่งเข้าก็ซื้อเป็นเดือนเช่นเดียวกันกับตอนขาย ช่วงนี้ต้องเทรดหุ้นที่ฝรั่งลงทุน ว่าไปตามน้ำดีกว่า
สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้น ไม่ควรซื้อเพียงตัวหรือสองตัว ควรกระจายสัก 5-7 ตัว คนละกลุ่มกัน ทำแบบนี้จะช่วยให้พอร์ตการลงทุนเสถียร ลดความผันผวนจากภาวะตลาดได้ส่วนหนึ่ง ในทางวิชาการคือการเพิ่มค่าอัลฟาของหุ้นด้วยการซื้อหุ้นเป็นกลุ่มนั่นเอง รวมทั้งการจัดพอร์ตหุ้นหลายตัวให้กระจายกลุ่มมักให้ผลตอบแทนดีกว่าลงทุนในดัชนีอีกด้วย

และอย่าลืมว่าหุ้นไม่ได้ขึ้นทุกวัน ดังนั้นอย่าซื้อเพลินเชียว ต้องรักษาวินัยในการเทรดและทบทวนกลยุทธ์การลงทุนไว้เสมอ ^_^






Thursday, December 6, 2012

06/11/2012 สรุปภาวะการลงทุนประจำเดือนพฤศจิกายน (11/2012)

วันนี้ลุงแมวน้ำนำสรุปภาวะตลาดในรอบเดือนมาให้ดูกัน

ในรอบเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกเฉลี่ยแล้วปรับตัวขึ้นไม่มาก ประมาณ 1% กลุ่มที่ขึ้นแรงกว่าเพื่อนคือกลุ่มยูโรโซน ประมาณ +3% ตามมาด้วยกลุ่มเอเชีย ส่วนสหรัฐอเมริกานั้นปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ส่วนไทยนั้นปรับตัว +1.9%

สำหรับจีนนั้น แม้ว่าดัชนีภาคการผลิต (PMI) ของจีนจะเกินกว่า 50% ต่อเนื่องกันสองเดือนแล้ว คือถ้าต่ำกว่า 50% ถือว่าถดถอย นี่ถือว่าเกือบจะหลุดจากภาวะถดถอยแล้ว แต่ว่าดัชนีตลาดหุ้นของจีนไม่ตอบสนองเลย เดือนที่ผ่านมานี้ดัชนี CSI 300 ของจีนปรับตัวลงไป -5% และยังทำจุดต่ำสุดใหม่อีก ไม่ตอบสนองต่อข่าวนี้เลย ดัชนี PMI ที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นภาวะชั่วคราวก็ได้เนื่องจากภาคการผลิตมักมีการผลิตสินค้าเพิ่มมากขึ้นเพื่อรับเทศกาลปีใหม่และตรุษจีน พ้นจากตรุษจีนแล้วอาจถดถอยลงไปอีก ส่วนดัชนีการผลิตของสหรัฐอเมริกาก็ดีขึ้นเช่นกัน แต่ก็อีกนั่นแหละ อาจเป็นเพราะเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ก็ได้ ดังนั้นจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่าเศรษฐกิจของ จีน และ สรอ ฟื้นตัวแล้ว

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ กลุ่มน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น โลหะก็ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนสินค้าเกษตรปรับตัวลดลง

ด้านอัตราแลกเปลี่ยน เดือนที่แล้วเงินดอลลาร์ สรอ แข็งค่าขึ้นนิดหน่อย เงินเยนอ่อนค่า เงินบาททรงตัว

ด้านตลาดพันธบัตร เดือนที่แล้วพันธบัตรอเมริกัน อายุ 10 ปี มีอัตราผลตอบแทนลดลง ส่วนเส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยนั้น ถ้าเป็นพันธบัตรอายุยาว 3 ปีขึ้นไป เส้นอัตราผลตอบแทนปรับสูงขึ้น ส่วนที่ต่ำกว่า 3 ปีเส้นอัตราผลตอบแทนปรับลดลง หมายความว่ามีกาารขายพันธบัตรอายุยาวออกไป น่าจะเป็นเพราะต้องการนำไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างอื่นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า  ส่วนพันธบัตรอายุสั้นและกลางที่มีอัตราผลตอบแทนต่ำลงนั้นเพราะว่าเงินไหลมาพักในพันธบัตรอายุสั้นและกลางเพื่อรอจังหวะย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างอื่นนั่นเอง



Photobucket

Tuesday, November 27, 2012

27/11/2012 สรุปภาวะการลงทุนรอบสัปดาห์ (19/11/2012 - 23/11/2012) * แนวโน้มขาขึ้นเริ่มมีกำลัง


อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอเมริกัน อายุ 10 ปี เกิดสัญญาณซื้อ และน่าจะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น บ่งชี้ว่าเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรมาเก็งกำไรในตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ นี่เป็นสัญญาณประการหนึ่งที่บ่งชี้ภาวะเก็งกำไร แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มใหญ่ของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรน่าจะยังเป็นขาลงอยู่เพราะเฟดต้องการกดอัตราดอกเบี้ยเอาไว้


ดัชนีดอลลาร์ สรอ (USD index) อ่อนตัวในช่วงปลายสัปดาห์ เกิดเป็นรูปแบบแท่งเทียนที่เรียกว่าหน้าต่างขาลง (falling window) และแท่งเทียนดำใหญ่ (big black candle) เงินดอลลาร์ สรอ อาจกำลังกลับทิศแนวโน้มเป็นขาลง


ช่วงนี้ลุงแมวน้ำยุ่งกับเรื่องเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซครับ เดือนพฤศจิกายนนี้งานอีคอมเมิร์ซไม่ค่อยคืบหน้าเอาเลย พอปลายเดือนก็เริ่มเป็นห่วง ขอเวลาไปทุ่มงานอีคอมเมิร์ซสักระยะนะคร้าบ การอัปเดตอาจจะล่าช้าไปบ้าง แต่ต้นเดือนธันวาคมคงเข้าที่เสียที ก็จะได้กลับมาอัปเดตเว็บบล็อกให้ถี่ขึ้น

ช่วงนี้วุ่นจนแทบไม่มีเวลาหายใจ เว่อไปไหม ^__^ เอาเป็นว่าวุ่นจนน้ำหนักขึ้นก็ได้

มาดูอัปเดตในรอบสัปดาห์กันเลยคร้าบ สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดการลงทุนสดใส ทั้งหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ขยับขึ้นกันแรงทีเดียว ส่วนตลาดพันธบัตรก็ซบเซาลงไป นอกจากนี้ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนที่ทรงตัวมาหลายสัปดาห์ เริ่มหวือหวาขึ้นบ้างแล้ว 

สถานการณ์โลกในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้านสหรัฐอเมริกา ปัญหาหน้าผาการคลังก็ยังวนไปวนมาเช่นเดิม เดี๋ยวกังวล เดี๋ยวก็ไม่กังวล ตลาดหุ้นก็เลยขึ้นๆลงๆ เหมือนอารมณ์แปรปรวน  แต่ในสัปดาห์ที่แล้วดูเหมือนจะเป็นช่วงอารมณ์ดี เพราะว่านักวิเคราะห์และสื่อต่างๆส่วนใหญ่วิเคราะห์ในทำนองว่าในที่สุดพรรคเดโมแครตกับรีพับลิกันก็ต้องตกลงกันจนได้ ส่วนลุงเบน เฮลิคอปเตอร์ ประธานเฟด ก็บอกว่ารอให้ผ่านเรื่องหน้าผาการคลังก่อน จะอัดฉีดสภาพคล่องให้หนำใจ 

ด้านยุโรป เรื่องกรีซ กับเงินกู้เสริมสภาพคล่องงวดใหม่ยังไม่ลงตัว มาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลกรีซออกฤทธิ์หนัก สภาพภายในประเทศค่อนข้างวุ่นวาย ผู้คนประท้วง ก่อความวุ่นวาย และฆ่าตัวตายเพราะหมดหนทางในชีวิต แต่ตลาดหุ้นกรีซดูเหมือนจะไม่กังวลกับเรื่องเงินกู้กับสภาพความวุ่นวายภายใน เพราะตลาดหุ้นกรีซขึ้นไป +6.9% ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสถูกมูดีส์ลดอันดับเครดิต แต่ยุโรปสัปดาห์นี้ก็ไม่กังวลเช่นกัน ตลาดหุ้นยุโรปขึ้นแรง เฉลี่ยแล้วกว่า 6% ทีเดียว 

ตลาดหุ้นเอเชียสัปดาห์ที่ผ่านมากลับไม่แรง โดยเฉลี่ยแล้วขึ้นประมาณ 2% กว่าๆ แต่บางตลาดที่ลงก็มี ญี่ปุ่นมีปัญหาเรื่องบริษัทยักษ์ใหญ่ถูกลดอันดับเครดิต เช่น ชาร์ป พานาโซนิก แต่ดัชนีนิกเกอิก็ขึ้นได้แรงพอควร ส่วนจีนนั้นแม้ดัชนี HSBC PMI อันเป็นดัชนีบ่งชี้การผลิตของจีนจะโงหัวมาเกิน 50% อยู่ที่ 50.4% แต่ตลาดหุ้นจีนดูไม่มีแรงเอาเลย ลุงแมวน้ำคิดว่าตอนนี้เศรษฐกิจจีนน่าจะมีปัญหาหนักที่ไม่มีใครรู้ซ่อนอยู่

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นแรง ทองคำ +2.14% โลหะเงิน +5.67% น้ำมันดิบเบรนต์ +2.23% สินค้าเกษตร +1.7%

ด้านตลาดพันธบัตร เส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอเมริกันปรับตัวขึ้นตลอดทั้งเส้น คือปรับขึ้นทุกช่วงอายุนั่นเอง ส่วนเส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรไทยคงตัว อัตราผลตอบแทนพันธบัตร สรอ อายุ 10 ปี ดูจากกราฟเหมือนกำลังเป็นแนวโน้มขาขึ้น นั่นเป็นสัญญาณบ่งชี้ประการหนึ่งที่บ่งชี้ถึงการเก็งกำไรในตลาดหุ้นกำลังเริ่มขึ้น เนื่องจากเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรเข้าไปเก็งกำไรในตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ ลองตามดูอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกันไปเรื่อยๆจะเห็นชัดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มขาขึ้นนี้น่าจะเป็นเรื่องชั่วคราว เนื่องจากเฟดได้ต่ออายุมาตรการ operation  twist ออกไป อีกทั้งยังอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจด้วยมาตรการ QE3 ซึ่งเฟดหวังผลเพื่อกดอัตราดอกเบี้ยในระบบการเงินให้ต่ำลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นในที่สุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะถูกกดให้ต่ำลงมาอีก เป็นการทำลายแรงจูงใจในการออมด้วยพันธบัตร แต่ไปสร้างแรงจูงใจให้เกิดการเก็งกำไรในตลาดทุน คือ ตลาดหุ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์แทน ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงเห็นว่าตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์น่าจะยังไปต่อได้ เพราะวัตถุประสงค์ของเฟดและลุงเบนเองก็คือต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการสร้างแรงจูงใจในการใช้จ่าย ลงทุน และเก็งกำไร นั่นเอง

สำหรับอัตราแลกเปลี่ยน เงินดอลลาร์ สรอ เริ่มอ่อนตัวในตอนท้ายสัปดาห์  USD index หลุด 81 หน่วยลงมาแล้ว ให้ระวังการกลับทิศแนวโน้ม หากดอลลาร์ สรอ กลับทิศ แปลว่าเงินสกุลเอเชียจะแข็งค่าขึ้นอีก 



Photobucket

Thursday, November 22, 2012

22/11/2012 * ตลาดยังไร้ทิศทาง ปริมาณซื้อขายน้อย



มาอัปเดตตลาดกันคร้าบ

เมื่อวาน 21/11/2012 ตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียปิดกระจายตัวกัน มีทั้งปิดเขียว ปิดแดง และทรงตัว ตลาดหุ้นไทยปิดแบบทรงตัว พร้อมกับต่างชาติซื้อสุทธิเล็กน้อย 131 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายค่อนข้างต่ำ

ทางฝั่งยุโรปก็ปิดกระจายตัว มีทั้งเขียวและแดง ฝรั่งเศสถูกลดอันดับเครดิต แต่ก็ยังปิดบวกได้

ส่วนฝั่งสหรัฐอเมริกา ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 0.38% ปริมาณซื้อขายน้อย

ค่าเงินดอลลาร์ สรอ ขยับในกรอบแคบ USD index พยายามจะยืนอยู่เหนือ 81.0 จุดแต่ก็ยืนไม่ไหว

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เมื่อวานทองคำกับน้ำมันดิบปิดเขียว ราคาทองคำขยับนิดหน่อยแต่โลหะเงินแรงกว่า น้ำมันดิบปรับตัวขึ้นต่ออีกแม้ว่าอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยอมหยุดยิงชั่วคราว

ช่วงนี้ตลาดต่างๆปริมาณซื้อขายน้อยลง การเคลื่อนไหวก็ไม่หวือหวา เพียงปรับตัวในกรอบแคบ แนวโน้มส่วนใหญ่ยังไร้ทิศทาง ได้แต่รอไปก่อน ^_^

Tuesday, November 20, 2012

20/11/2012 สรุปภาวะการลงทุนรอบสัปดาห์ (12/11/2012 - 16/11/2012) * หน้าผาการคลังยังฉุดตลาด จีนน่าเป็นห่วง


ไฟสงครามคุกรุ่น อิสราเอลกับปาเลสไตน์เปิดศึกครั้งใหญ่ ถล่มกันด้วยขีปนาวุธ ทั้งสองฝ่ายต่างเสียชีวิตกันไปจำนวนไม่น้อย ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น สถานการณ์จะบานปลายหรือไม่ยังตอบได้ยาก

ดัชนีตลาดหุ้นจีนทำจุดต่ำสุดใหม่ ต้อนรับผู้นำคนใหม่ ยังไม่น่าเข้าลงทุนเพราะยังไม่รู้ว่าก้นเหวอยู่ที่ไหน


เรามาดูสรุปภาวะตลาดในรอบสัปดาห์กัน

สัปดาห์ที่ผ่านมา 12/11/2012 - 16/11/2012 ตลาดหุ้นทั่วโลกยังไหลลงต่อ สาเหตุก็มาจากเรื่องเดิมๆคือเรื่องหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ของสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีโอบามา สมัยที่ 2 ยังคงทำงานติดขัดเพราะว่าฝ่ายนิติบัญญัติเป็นคนละพรรคกัน

ทางด้านสถานการณ์ต่างประเทศ สัปดาห์ที่แล้วมีเหตุการณ์ที่น่าสนใจหลายเรื่อง นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นตอบรับด้วยสีเขียว ขณะเดียวกันทางด้านจีนก็ประกาศผลการคัดเลือกผู้นำใหม่เช่นกัน แต่ตลาดหุ้นจีนตอบรับด้วยสีแดง

ด้านตะวันออกกลางค่อนข้างระอุ อิสราเอลกับปาเลสไตน์ถล่มกันหนัก นักวิเคราะห์บางรายมีความเห็นว่าอิสราเอลกำลังจะมีการเลือกตั้ง ต้องเรียกคะแนนเสียงกันหน่อยด้วยการเปิดศึกกับเพื่อนบ้านเพื่อแสดงความแข็งแกร่งเรียกคะแนนนิยม นักวิเคราะห์บางรายก็บอกว่าศึกครั้งนี้อาจบานปลายกลายเป็นการเรียกแขก หมายความว่าสหรัฐอเมริกาถือหางอิสราเอลอยู่ ส่วนโลกมุสลิมหลายประเทศก็ถือหางปาเลสไตน์อยู่ ทั้งยังมีเรื่องอิหร่านอีก ดังนั้นหากกลุ่มผู้ถือหางถูกดึงเข้ามาตะลุมบอนด้วยเรื่องจะบานปลาย ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบมีการตอบสนองต่อสถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดยปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ถึงกับพุ่งแรง

สำหรับตลาดหุ้นไทย สัปดาห์ที่ผ่านมายังคงปรับตัวลงต่อ แต่ว่าไม่มากนัก เพียง -0.83% ถือว่าลงไม่มาก แต่ต่างชาติยังขายสุทธิอยู่ ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซียถือว่าแข็งแกร่งทนแดดทนฝน ส่วนจีน อินเดีย ออสเตรเลีย สิงคโปร์ เสียศูนย์

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์สัปดาห์ที่ผ่านมาค่อนข้างแกว่ง คือลงแล้วขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ สินค้าเกษตรก็ปรับตัวขึ้นลงตามราคาน้ำมันดิบ ทองคำปรับตัวในกรอบ ยังไม่แรง

ด้านอัตราแลกเปลี่ยน เงินดอลลาร์ สรอ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เงินสกุลอื่นก็อ่อนตัวลงเล็กน้อย ไม่มีอะไรหวือหวา

ตลาดตราสารหนี้ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกันปรับตัวลดลง ส่วนเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับตัวขึ้น พันธบัตรไทย อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 7 จุดเบสิส มาอยู่ที่ 3.49%

สำหรับสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นแล้ว ราคายางพารากับสินค้าเกษตรขยับตามราคาน้ำมันดิบ ส่วนทองคำแนวโน้มขาขึ้นก็มีกำลังพอสมควรแล้วเช่นกัน น่าจะขึ้นต่อ ส่วนดอลลาร์ สรอ สัปดาห์นี้น่าจะอ่อนตัว และเงินบาทน่าจะแข็งค่าขึ้น

ตอนนี้มีกระแสแนะนำให้ลงทุนในหุ้นจีนกันค่อนข้างหนาหู สาเหตุพราะว่าดัชนีหุ้นจีนลงมาต่ำมากแล้ว น่าลงทุนได้ แต่ในความเห็นของลุงแมวน้ำ ขนาดจีนเปลี่ยนผู้นำ ตลาดยังไม่ตอบสนองในทางดี ตรงข้าม กลับไหลลงต่อ และทำจุดต่ำสุดใหม่อีก ในทางเทคนิคถือว่ายังมีโอกาสลงได้อีก ไม่ควรเข้าลงทุนในตอนนี้ อีกทั้งจีนจะเป็นเหมือนตัวชี้วัดของเอเชีย หากเศรษฐกิจของจีนชะลอตัวหนัก ในที่สุดจะส่งผลกระทบถึงเอเชียโดยรวมด้วย


Photobucket

Tuesday, November 13, 2012

13/11/2012 สรุปภาวะการลงทุนรอบสัปดาห์ (05/11/2012 - 09/11/2012) * โลหะมีค่าและน้ำมันดิบรีบาวด์

น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเวนิส ประเทศอิตาลี เมืองเวนิสเป็นเกาะ ภายในเมืองมีคูคลอง พระราชวัง และที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองก็คือเรือกอนโดลา เวนิสถือเป็นเมืองสำคัญของอิตาลีทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และความงดงาม แต่ภัยคุกคามของเมืองนี้คือระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นทุกปี มาในปีนี้ยังเจอฝนตกหนักอีก ซึ่งพายุฝนครั้งนี้ไม่ได้ตกเฉพาะในเมืองเวนิส แต่ยังตกหนักทั่วทั้งแคว้นทัสคานีของอิตาลี ทำให้เกิดน้ำท่วมหลายแห่ง สำหรับน้ำท่วมเมืองเวนิสในครั้งนี้ถือว่าเป็นน้ำท่วมใหญ่ครั้งที่ 6 ในรอบ 150 ปี บางจุดท่วมสูงถึง 150 ซม. ในภาพนี้เป็นภาพที่ถ่ายหน้าจัตุรัสเซนต์มาร์ก (St. Mark's square) ซึ่งปกติเป็นจุดที่มีร้านค้าและนักท่องเที่ยวล้นหลาม ตอนนี้นักท่องเที่ยวหายไปหมดเพราะระดับน้ำสูงถึงขนาดท่วมโต๊ะกาแฟ แผ่นดินในเมืองและทะเลกลายเป็นแผ่นน้ำผืนเดียวกันหมด เมืองนี้โรแมนติกจริงๆ พระราชวังโบราณก็สวยมาก ปกติน้ำท่วมเป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่ แต่ครั้งนี้ท่วมหนัก





วันนี้ลุงแมวน้ำมีรายงานทั้งสรุปประจำสัปดาห์และประจำวัน เรามาดูสรุปประจำสัปดาห์กันก่อน

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (05/11/2012 - 09/11/2012) ตลาดหุ้นปรับตัวลง ดัชนี Dow Jones Global Index (W1DOW) ปรับตัวลง -2.10% กลุ่มที่ฉุดตลาดเป็นกลุ่มยุโรป กรีซยังไม่ได้รับเงินกู้งวดต่อไป จึงเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ได้อีก สถานการณ์ในประเทศกรีซก็คุกรุ่น ประท้วงรัฐบาลกันวุ่นวาย แต่ดัชนีตลาดหุ้นของกรีซกลับทรงตัว ที่ลงหนักเป็นอิตาลีกับสเปน ตอนนี้ที่อิตาลีกำลังเผชิญภัยธรรมชาติ ฝนตกน้ำท่วม เมืองเวนิสจมบาดาล มองไม่เห็นถนนหรือคูคลอง เห็นแต่ผืนน้ำเต็มไปหมด

กลุ่มที่ฉุดตลาดกลุ่มถัดมาคือสหรัฐอเมริกานั่นเอง เรื่องหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ที่มาตรการช่วยเหลือและลดหย่อนภาษีต่างๆ จะสิ้นสุดลงในสิ้นปีนี้ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อ เพราะว่าฝ่ายบริหารกับสภายังตกลงกันไม่ได้ ขณะนี้ประธานาธิบดีเป็นเดโมแครต สภาเป็นรีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ดังนั้นสถานการณ์คล้ายๆกับตอนที่แก้กฎหมายเพื่อไม่ให้พันธบัตรรัฐบาลอเมริกันผิดนัดชำระหนี้ดังที่ผ่านมาแล้ว คือฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติเป็นคนละพรรคกัน ทำให้การบริหารประเทศยากยิ่งขึ้นหากคุยกันไม่รู้เรื่อง ปีหน้า สรอ ก็ต้องมีการขึ้นภาษีและตัดงบประมาณกันยกใหญ่

ส่วนทางด้านเอเชียนั้นตลาดก็ร่วงเช่นกัน ที่ลงแรงได้แก่ตลาดหุ้นประเทศญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง รัสเซีย ทางญี่ปุ่นนั้นกำลังปวดหัวกับปัญหาเศรษฐกิจ บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ขาดทุนหนัก เช่น พานาโซนิก ฯลฯ ทางรัฐบาลบอกว่าจะไม่อุ้ม ให้เป็นไปตามธรรมชาติ คือให้บริษัทหาทางแก้เอาเอง แก้ไม่ได้ก็ล้มไป จึงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นญี่ปุ่น ส่วนจีนนั้นแม้ว่าเปลี่ยนผู้นำแล้ว แต่ตลาดยังไม่ได้ตอบสนองในทางบวกเลย ยังคงลงต่อเนื่องเช่นเดิม

สำหรับตลาดหุ้นไทย สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีเซ็ต SET index ปรับตัวลง -1.21% ลงมากกว่าสิงคโปร์นิดหน่อย ต่างชาติยังขายต่อเนื่อง มีซื้อสุทธิสลับบ้างในบางวันเท่านั้น แต่ลุงแมวน้ำสังเกตว่ามีแรงซื้อหุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่ๆเข้ามาบ้างแล้ว และแม้ว่าดัชนีตลาดจะปรับตัวขึ้นลงไม่มากนัก แต่หากดูหุ้นรายตัวพบว่าหุ้นในกลุ่ม SET50 ผันผวนเอาการ คือแกว้่งตัวค่อนข้างแรง อีกทั้งไปกันคนละทิศคนละทาง ขึ้นแรงก็มี ลงแรงก็มี อย่างเช่น BTS ขึ้นประมาณ +12% ส่วน MAKRO ลงประมาณ -10%

ด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ กลุ่มโลหะมีค่า คือทองคำ และเงิน กับน้ำมันดิบรีบาวด์ โลหะเงิน +5.65% น้ำมันดิบเบรนต์ +3.29% แต่โลหะอุตสาหกรรมไม่ขึ้นตาม รวมทั้งก๊าซก็ไม่ขึ้น สินค้าเกษตรลง -1.5%

ด้านค่าเงินหรือตลาดอัตราแลกเปลี่ยน สัปดาห์ที่ผ่านมาดอลลาร์ สรอ แข็งค่าได้ทั้งๆที่ทองคำขึ้น ปกติมักจะสวนทางกัน เงินยูโรและสกุลยุโรปอื่นๆอ่อนค่าจึงทำให้ดอลลาร์ สรอ แข็งค่าขึ้น

ด้านเงินสกุลเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่แข็งค่า เงินเยนแข็งค่าแม้ว่าทางการญี่ปุ่นพยายามกดค่าเงินให้อ่อน ส่วนเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย +0.26%

ด้านตลาดตราสารหนี้ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกันลดลงตลอดเส้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุคงเหลือ 10 ปี ลงมาอยู่ 1.61% ลดลง 12 จุดเบสิส (basis point, bp) ส่วนพันธบัตรรัฐบาลไทยเส้นอัตรผลตอบแทนลดลงเฉพาะพันธบัตรอายุคงเหลือ 5 ปีและน้อยกว่านั้น ส่วนที่อายุคงเหลือมากกว่า 5 ปี อัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ส่วนอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี อยู่ที่ 3.42% เพิ่มขึ้น 5 จุดเบสิส

สำหรับเมื่อวาน 12/11/2012 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเล็กน้อย แต่ต่างชาติขายสุทธิ ตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆมีทั้งขึ้นและลง กระจายกันไป ส่วนตลาดหุ้นยุโรปและสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเท่านั้น แทบไม่ไปไหน สินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลงทั้งหมด ไม่ว่าโลหะ ปิโตรเลียม สินค้าเกษตร โดยเฉพาะสินค้าเกษตรตัวหลัก คือ ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ลงหนัก

ด้านอัตราแลกเปลี่ยน เมื่อวาน 12/11/2012 ส่วนใหญ่ปรับตัวในกรอบแคบ ดัชนีดอลลาร์ สรอ (usd index) ทรงตัว เงินบาทไม่ขยับ ส่วนพันธบัตรรัฐบาลไทย อายุคงเหลือ 10 ปี มีอัตราผลตอบแทนสูงขึ้น 4 จุดเบสิส



Photobucket

Sunday, November 11, 2012

11/11/2012 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ: จีน ห้องเช่ารูหนู เศรษฐกิจที่รุดหน้าบนความเหลื่อมล้ำ


เมื่อไม่กี่วันมานี้จีนมีการเปลี่ยนผู้นำ เช้าวันหยุดวันนี้ลุงแมวน้ำอยากคุยเรื่องเมืองจีนสักหน่อย ลุงแมวน้ำจะไม่เล่าแบบบรรยายวิชาประวัติศาสตร์ แต่จะหยิบเอาบางแง่บางมุมในประวัติศาสตร์ของจีนมาคุยกันฟังเท่านั้น ก็อยากคุยน่ะ ^__^

ประเทศจีนมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3000 ปี ในอดีต จีนปกครองด้วยระบบกษัตริย์ ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบสาธารณรัฐคอมมิวนิสต์ในปี ค.ศ. 1949 หรือเมื่อกว่า 60 ปีมาแล้ว โดยวันชาติของจีนในปัจจุบันคือวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี ก็คือวันที่เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองนั่นเอง

สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองก็เพราะในปลายยุคราชวงศ์ชิงนั้นเกิดความเสื่อม การบริหารราชการแผ่นดินอ่อนแอ ความเหลื่อมล้ำขึ้นอย่างรุนแรงในสังคม พวกศักดินาหรือผู้มีฐานะก็ร่ำรวยสุขสบายอย่างล้นเหลือ ส่วนชาวนา คนยากจน ก็จนแบบหนังท้องกิ่วจนไปติดกระดูกสันหลัง ดังนั้นประชาชนจึงลุกฮือขึ้นทำการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองจนสำเร็จและสถาปนาเป็นสาธารณรัฐในปี ค.ศ. 1912

ช่วงเปลี่ยนผ่านนั้นกินเวลานานหลายปี กว่าที่จีนจะตั้งหลักในระบบสาธารณรัฐได้ทุกฝ่ายต้องจ่ายคุณค่าแลกเปลี่ยนไปไม่น้อยในสงครามกลางเมืองระหว่างคนจีนด้วยกันเองแต่ต่างอุดมการณ์ แต่ในที่สุดประชาชนก็เป็นใหญ่ในแผ่นดินจนได้ ภายใต้การนำของเหมา เจ๋อ ตุง หรือที่เรียกกันว่าท่านประธานเหมานั่นเอง ประเทศจีนเปลี่ยนจากการปกครองอีกครั้งจากสาธารณรัฐทุนนิยมกลายเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ในที่สุด ในปี ค.ศ. 1949

เมื่อรัฐคอมมิวนิสต์หรือสาธารณรัฐประชาชนจีน ถูกสถาปนาขึ้น โครงสร้างทางสังคมก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ทรัพย์สินทุกอย่างเป็นของรัฐทั้งหมด ประชาชนไม่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินใดๆ เพื่อจะได้เท่าเทียมกัน คือไม่มีอะไรเหมือนๆกันนั่นเอง ที่ดินถูกยึดมาเป็นของรัฐ คนรวยบ้างก็ถูกประชาทัณฑ์จนตาย บ้างก็หนีไปอยู่ในประเทศต่างๆ อย่างเช่น ประเทศไทย บ้างก็ถูกจับไปอบรมลัทธิคอมมิวนิสต์และทำงานในค่ายหรือที่เรียกว่าคอมมูน แม้แต่จักรพรรดิ์พระองค์สุดท้ายของจีนในที่สุดก็กลายเป็นคนเฝ้าอุทยาน

ลุงแมวน้ำเกริ่นย้อนยุคไปหลายสิบปี ต่อไปนี้ลุงแมวน้ำจะเล่าเรื่องราวของจีนด้วยภาพ เชิญติดตามได้คร้าบ ^__^



ภาพนี้ถ่ายในยุคที่สถาปนารัฐคอมมิวนิสต์ได้ไม่นาน ในราวทศวรรษ 1950s หรือเมื่อ 60 ปีมาแล้ว  ปัจจัยการผลิตเป็นของรัฐทั้งหมด ทุกคนทำงานให้รัฐ ทำเพื่อรัฐและได้รับการตอบแทนคือ มีอาหารกิน มีที่อยู่ มีความเท่าเทียมกันในสังคม เพราะทุกคนก็ไม่มีอะไรเหมือนๆกันหมด ชาวนาที่เสียที่ดินให้นายทุนไปชอบมากเพราะความเป็นอยู่ดีขึ้น รัฐเลี้ยงดูไม่ให้อดอยากแร้นแค้นเหมือนเมื่อก่อน แต่เศรษฐีไม่ชอบเพราะเหมือนตกจากสวรรค์เลยทีเดียว ต้องมาทำงานหนักเพื่อแลกกับอาหารและที่อยู่อาศัย ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร ทุกคนเป็นสหายกัน คนจีนในสมัยก่อนจึงเรียกผู้อื่นด้วยคำนำหน้าว่าสหาย สหายนั่น สหายนี่ สหายในภาษาจีนใช้คำว่าถงจื้อ

ภาพนี้ถ่ายในปี 1958 ลักษณะการทำงานในยุคนั้นจะทำกันเป็นยูนิต หรือที่เรียกว่าคอมมูน หนึ่งคอมมูนคือหนึ่งชุมชน มีเจ้าหน้าที่ควบคุม จะทำอะไร จะผลิตอะไร รัฐจะเป็นผู้บอก และทำไปตามนั้น ไม่ต้องคิดเอง ในภาพเป็นโรงอาหารในคอมมูน ในยุคนั้นปัจจัยการครองชีพจะได้รับการปันส่วนหมด แต่ละคนจะได้ชุดมาตรฐาน ปีละจำนวนหนึ่ง ไม่แน่ใจว่ากี่ชุดเหมือนกัน แล้วก็บุหรี่อีกจำนวนหนึ่ง บุหรี่เป็นเครื่องหย่อนใจเพียงอย่างเดียวของคนในยุคนั้น ดังนั้นเราจึงเห็นคนจีนรุ่นเก่าติดบุหรี่ทั้งหญิงและชาย ก็มีที่มาจากยุคคอมมูนนี่เอง และที่เราเห็นคนจีนรุ่นเก่าชอบขากถุย ไอดังๆ ก็เพราะว่าสูบบุหรี่มากๆแล้วทำให้เป็นหลอดลมอักเสบ คนที่เป็นหลอดลมอักเสบจะระคายคอตลอดเวลา ต้องขาก ถ่ม และไออยู่ตลอด


จีนในยุคท่านประธานเหมานั้นมีแต่ความไม่ไว้วางใจกัน เพราะในยุคที่เริ่มการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ใหม่ๆ สถานการณ์ยังไม่ลงตัวดีนัก ต้องระวังว่าพวกระบอบเก่าจะพยายามฟื้นอำนาจขึ้นมา ดังนั้น ในคอมมูนเดียวกัน ปากก็เรียกสหาย แต่ที่จริงไม่ไว้ใจกัน พวกอดีตคนจนก็เฝ้าระวังอดีตเศรษฐี พวกอดีตเศรษฐีก็ระแวงอดีตคนจน ถ้าใครถูกรายงานว่ามีพฤติกรรมน่าสงสัยก็คือจบเห่ ดังนั้นคนจีนรุ่นเก่าจึงมีนิสัยไม่พูด ไม่แสดงความในใจออกมา เงียบเฉยอย่างเดียว คล้ายคนรัสเซียในยุคหนึ่ง เพราะสถานการณ์คล้ายๆกัน

แต่อย่างไรก็ดี ความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงไม่มีในโลกหรอก แม้อยู่ในระบอบคอมมิวนิสต์ซึ่งมีอุดมการณ์ของความเท่าเทียมกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ได้เท่าเทียมกันทั้งหมด ชนชั้นปกครองก็มีความเป็นอยู่ดีกว่าประชาชนทั่วไปอยู่ดี

ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960s ก็ประมาณปี พ.ศ. 2503 เป็นต้นมา ผู้นำในพรรคคอมมิวนิสต์ก็เริ่มมีแนวทางที่แตกต่างกัน ที่ชัดๆมีสองกลุ่มคือกลุ่มของประธานเหมาที่ยังมีแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์ดั้งเดิม ประเภทที่ว่าเมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน กับอีกขั้วหนึ่งคือกลุ่มของหลิวเซ่าฉี เติ้งเสี่ยวผิง ที่มีแนวคิดต่อยอดการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปอีกด้วยแนวคิดแบบทุนนิยม ต่อมากลุ่มแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์ดั้งเดิมหรือกลุ่มประธานเหมาเริ่มเสื่อมความนิยมลงและแนวคิดแบบทุนนิยมเริ่มเข้มแข็งขึ้น ประธานเหมาเห็นท่าไม่ดีจึงปฏิวัติตนเองอีกครั้งหนึ่ง โดยเรียกว่าเป็นการปฏิวัติวัฒนธรรม และได้กวาดล้างผู้นำในพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีแนวคิดต่างออกไปจนสิ้น ในยุคนี้เองที่มีการทำลายศิลปวัฒนธรรม ศิลปวัตถุ วัดวาอาราม ฯลฯ รวมทั้งบุคลากรทางศิลปวัฒนธรรมของจีนไปมากมาย มีผู้เสียชีวิตในการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งนี้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งหลิวเซ่าฉีและเติ้งเสียวผิงก็ถูกกวาดล้างจนหลุดจากอำนาจไป


ยุคปฏิวัติวัฒนธรรมเริ่มขึ้นในปี 1966 ผู้นำในยุคนี้เรียกว่าแก๊งสี่คน ชื่อแก๊งสี่คนนี้เราคงคุ้นหูกันดี คือประธานเหมา มาดามเจียงชิง หลินเปียว และเฉินป๋อต๋า ชื่อที่คุ้นหูอีกชื่อหนึ่งคือเรดการ์ด (red guard) อันเป็นชื่อของกองกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนแนวคิดปฏิวัติวัฒนธรรมนี้ ในยุคนี้เศรษฐี ผู้ดี ปัญญาชน จากยุคราชวงศ์ ที่อยู่รอดได้ในยุคคอมมูน มาถึงยุคนี้กลับเอาตัวไม่รอด ถูกจับไปฆ่าเป็นจำนวนมาก เกิดความหวาดระแวงไปทั่วไม่เว้นแม้แต่ในครอบครัวเดียวกัน เพราะไม่รู้ว่าใครจะรายงานใครว่าเป็นพวกหัวทุนนิยม ใครที่ถูกรายงานก็ตายแน่

ในยุคนี้เป็นยุคที่ทุกคนต้องเปิดเผย ไม่มีความลับต่อกัน เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ ดังนั้นใครจะพูดอะไรต้องพูดดังๆ คือให้คนอื่นได้ยินด้วยจะได้ไม่ถูกรายงาน ดังนั้นคนจีนที่ผ่านยุคนี้มาจึงมีนิสัยพูดเสียงดัง คุยกันก็เหมือนทะเลาะกัน




นี่ก็เป็นกิจกรรมในคอมมูน ถ่ายในปี 1968 อันเป็นช่วงที่มีการปฏิวัติวัฒนธรรม สังเกตขุดเขียวขี้ม้าและหมวกแก๊ป นี่แหละชุดมาตรฐานในยุคนั้น ไม่ต้องรีดด้วย เพราะไม่เอาเท่ ซักแล้วตากให้แห้ง สวมใส่ได้เลย


แต่ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่มีใครหนีพ้นวัฏสงสารหรือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ ในตอนท้าย หลินเปียวในแก๊งสี่คนพยายามยึดอำนาจจากประธานเหมาซึ่งเป็นแก๊งสี่คนด้วยกัน คือชิงอำนาจกันเอง หลินเปียวถูกกวาดล้างและเสียชีวิตในระหว่างหลบหนี ดังนั้น ในท้ายที่สุด เมื่อผู้สืบทอดตัวเต็งเสียชีวิตไป ประธานเหมาแทบไม่มีตัวเลือกเหลืออยู่เลย ดังนั้นก็ต้องเลือกแบบจำใจ ผู้ที่สืบทอดอำนาจต่อจากประธานเหมาคือโจวเอนไหล ซึ่งเป็นพวกแนวคิดทุนนิยม โดยเป็นผู้วางหลักสี่ทันสมัยและเป็นผู้ที่สนับสนุนเติ้งเสี่ยวผิง

ต่อมา ปี 1975 โจวเอนไหลเสียชีวิต และปี 1976 เหมาเจ๋อตุงก็เสียชีวิต แก๊งสี่คนก็ถูกกวาดล้าง ยุคของการปฏิวัติวัฒธรรมจึงปิดฉากลง พร้อมกับการก้าวเข้าสู่ยุคทุนนิยมแบบจีนๆภายใต้การนำของเติ้งเสี่ยวผิง อันเป็นรากฐานของจีนในทุกวันนี้


ภาพนี้ถ่ายในปี 1977 ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ชายหนุ่มในภาพเป็นใครก็ไม่รู้เหมือนกัน เพียงให้ดูบรรยากาศปี 1977 เท่านั้น ยุคนี้เป็นที่เติ้งเสี่ยวผิงเป็นผู้นำประเทศและขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความทันสมัยด้วยการนำแนวคิดแบบทุนนิยมมาผสมกับสังคมนิยม ทำให้เป็นทุนนิยมแบบจีนขึ้นมา คือ ประชาชนทำการธุรกิจได้ มีเงินทองได้ แต่ที่ดินทั้งหมดยังเป็นของรัฐ ก็แปลกๆดี มีเกร็ดเล่ากันว่าพ่อค้านักธุรกิจในยุคแรกๆหลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรมคือพวกที่ติดคุกติดตะราง พวกไม่เอาไหน เพราะว่าประชาชนส่วนใหญ่เคยชินกับการทำงานให้รัฐในแบบเดิมๆ ไม่มีใครกล้าออกมาทำธุรกิจ มีแต่พวกที่มีต้นทุนในชีวิตต่ำ ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว พวกเหล่านี้จึงกล้าออกมาทำการค้า นี่เป็นเกร็ดที่เล่ากันมา จริงเท็จอย่างไรไม่ยืนยัน


นี่เป็นภาพถ่ายในยุคทศวรรษ 1980s ยุคที่เศรษฐกิจแบบทุนนิยมของจีนเริ่มขับเคลื่อน ประชาชนเริ่มมีการยกระดับรายได้ขึ้น ในภาพนี้กำลังหอบหิ้วโทรทัศน์ขาวดำที่เพิ่งซื้อมาจากร้านค้า โทรทัศน์เป็นสัญลักษณ์ของฐานะประจำยุคนี้ สัญลักษณ์ทางฐานะของจีนคิดกันง่ายๆก็คือ ยุค 1960s คือนาฬิกาข้อมือ ใครมีถือว่าเท่และมีฐานะ ก็อย่างที่บอกคือความเท่าเทียมกันก็ไม่จริงเสียทั้งหมด นาฬิกาข้อมือก็คือสัญลักษณ์แอบรวยของคนในยุคฟ้าสีทองผ่องอำไพ ส่วนยุค 1970s คือจักรยาน ใครมีก็ถือว่ามีฐานะ ใครไม่มีก็ขอให้ญาติพี่น้องจากเมืองไทยส่งเงินไปให้ซื้อ จะได้มีหน้ามีตากับเขาบ้าง ส่วนยุค 1980s คือโทรทัศน์ และยุค 1990s คือเครื่องซักผ้า


ผู้พันมาแล้ว ร้านผู้พันไก่ทอดเปิดสาขาแรกในเมืองจีนในปี 1987 ดูคิวเสียก่อน ท้ายแถวอยู่ไหนมองไม่เห็นเลยเพราะว่าแถวยาวมาก ปัจจุบัน ปี 2012 มีร้านเคเอฟซีในจีนประมาณ 4000 สาขา



โดยทั่วไปแล้วความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ควบคู่ไปกับเศรษฐกิจระบบทุนนิยม เพราะอำนาจของทุนยิ่งทำให้ได้เปรียบทางเศรษฐกิจ ใครมีทุนมากก็ได้เปรียบมาก เมื่อมีความได้เปรียบเสียเปรียบกัน แน่นอน ย่อมทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจขึ้น ยิ่งเศรษฐกิจดี แม้ว่าค่าเฉลี่ยจีดีพีต่อหัวของประชากร (GDP per capita) สูง แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนรวยเท่ากัน ตรงกันข้าม ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนก็มากยิ่งขึ้น ในประเทศจีน ก่อนปี ค.ศ. 1985 ความเหลื่อมล้ำในสังคมยังมีน้อยอยู่ ยิ่งยุค 1950s ก็ยิ่งน้อย แต่ในยุคที่จีนใช้ระบบทุนนิยมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำก็ค่อยๆเพิ่มมากขึ้น ดูได้จากค่าสัมประสิทธิ์จีนี (Gini coefficient) ค่าน้อยแปลว่าความเหลื่อมล้ำน้อย ค่าสูงแปลว่าความเหลื่อมล้ำสูง ภาพนี้เป็นค่าสัมประสิทธิ์จีนีของจีนตั้งแต่ปี 1980 ถึงปี 2000 จะเห็นว่าความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของจีนเพิ่มขึ้นโดยตลอดตั้งแต่ปี 1985 เป็นต้นมา 



ค่าสัมประสิทธิ์จีนี แสดงความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ เศรษฐกิจยิ่งพัฒนา ความเหลื่อมล้ำก็ยิ่งมาก ดูอย่างประเทศบราซิลซึ่งเป็นประเทศในกลุ่มละตินอเมริกา ใช้นโยบายประชานิยม ความเหลื่อมล้ำอยู่ในระดับสูงมาก เนื่องจากนโยบายประชานิยมมุ่งหวังผลทางการเมือง ไม่ได้หวังผลในด้านลดความเหลื่อมล้ำอย่างแม้จริง ประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนาแต่ความเหลื่อมล้ำอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง คือประเทศญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมนี ที่เป็นเช่นนี้เพราะประเทศญี่ปุ่น กลุ่มยุโรปตะวันตก และยุโรปเหนือ เหล่านี้ใช้นโยบายทางสังคมนิยมควบคู่ไปกับระบบทุนนิยม นั่นคือ รัฐมีการจัดการด้านสวัสดิการสังคมให้แก่ประชาชนค่อนข้างมาก จึงพอช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้ 



ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของจีนในยุคปัจจุบันก็เป็นอย่างที่เห็นในรูปนี้  ค่าสัมประสิทธิ์จีนีของจีน ในปี 2009 ตามข้อมูลของ CIA's The World Fact Book อยู่ที่ 0.48 หรือ 48% ซึ่งจัดว่ามีความเหลื่อมล้ำสูง และจากข้อมูลล่าสุดของทางการจีนเอง ค่าสัมประสิทธิ์จีนีของจีนในปี 2010 อยู่ที่ 0.61 ซึ่งหมายความว่ามีความเหลื่อมล้ำที่สูงมาก ติดอันดับต้นๆของโลกเลยทีเดียว 
นิตยสารฟอร์บส์ (Forbes Magazine) ได้จัดอันดับคนรวยที่สุดในโลก 100 คนแรก  ของปี 2011 ในจำนวนนั้นมีคนฮ่องกง 4 คน และคนจีนแผ่นดินใหญ่ 1 คน รวมแล้วเป็นคนจีนที่ติดอันดับรวยที่สุดในโลก 100 คนอยู่ถึง 5 คน



ตรงกันข้ามกับคนรวย คนยากจนชาวจีนมีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก เศรษฐกิจยิ่งดีคนจนกลับลำบากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เพราะปัจจุบันค่าที่พักอาศัยในเมืองใหญ่แพงมาก ค่าครองชีพทั่วไปก็สูง คนยากจนที่เข้ามาทำมาหากินหรือแสวงโชคในเมืองใหญ่อยู่อย่างแร้นแค้น ในภาพนี้เป็นห้องพักแบบแคปซูลในย่านกรุงปักกิ่ง เป็นห้องขนาดกว้าง 0.7 เมตร ลึก 2.4 เมตร รวมแล้วขนาด 1.7 ตารางเมตรเท่านั้น ญี่ปุ่นมีโรงแรมแคปซูล ส่วนจีนก็มีห้องเช่าแคปซูล แต่คุณภาพต่างกันมาก



ห้องเช่านี้เปิดให้บริการในปี 2010 ค่าเช่าในตอนนั้นเดือนละ 200 - 250 หยวน (1,000 - 1,250 บาท) เหมาะสำหรับคนหนุ่มสาวที่เพิ่งจบและกำลังหางานทำหรือว่าผู้ที่มีรายได้น้อย  ซ้ายมือในภาพเป็นผู้เช่า ส่วนคนขวาคือเจ้าของห้องเช่านี้



ห้องเช่าแคปซูลนี้มีพื้นที่ส่วนกลางต่างหาก ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องซักรีด ใช้ของส่วนกลาง ซึ่งก็มีขนาดเล็กเช่นกัน 



ห้องพักแคปซูลหรือว่าห้องพักรูหนูที่ปักกิ่งนี้ยังจัดว่ามีสภาพดี ลองมาดูห้องเช่าในเมืองอื่นกันบ้าง 3 ภาพต่อไปนี้เป็นที่พักในเมืองอู่ฮั่น ถ่ายในปี 2012 นี่เอง


ภาพนี้เป็นที่พักแคปซูลหรือที่พักรูหนูในเมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย ของจีน อันเป็นเมืองเศรษฐกิจเมืองหนึ่ง ดังนั้นค่าครองชีพจึงสูง ชายสองคนนี้เป็นเซลส์แมนขายวัสดุก่อสร้าง เช่าห้องพักแคปซูลนี้ในราคาเดือนละประมาณ 400 หยวน (2,200 บาทโดยประมาณ) พักสองคนจะได้ประหยัดยิ่งขึ้น ออกคนละ 200 หยวน ในห้องนี้มีครบหมดทุกอย่าง ห้องน้ำ ห้องส้วม ห้องนอน ห้องทำงาน ห้องครัว ฯลฯ ในขนาดที่พัก 4.5 ตารางเมตร ภาพนี้ไม่ค่อยน่าดูนัก สังเกตดูส้วม แต่ก็เป็นความจริงของชีวิต และสังเกตอีกอย่างคือถึงจะประหยัด ลำบาก แต่อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้คืออุปกรณ์เทคโนโลยี นั่นคือคอมพิวเตอร์ 


คนนี้ประกอบอาชีพเซลส์แมนเช่นกัน กำลังกินแฮมเบอร์เกอร์ข้างๆส้วมนั่นเอง ห้องเช่าที่อู่ฮั่นเช่นกัน


นี่ก็ห้องเช่าที่อู่ฮั่น สาวน้อยกำลังสระผม แต่สังเกตด้านซ้ายเป็นเครื่องครัว เลยไม่รู้ว่าเป็นห้องอะไรกันแน่ ห้องน้ำหรือห้องครัว สังเกตว่าห้องเล็กๆนี้ยังแบ่งซอยออกเป็นสองชั้นเพื่อให้เก็บค่าเช่าได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ค่าเช่าห้องชั้นบนกับห้องชั้นล่างราคาไม่เท่ากัน ห้องชั้นราคาบนถูกกว่าเพราะว่ายืนไม่ได้ ส่วนห้องชั้นล่างแพงกว่าเพราะว่าสามารถยืนได้



ที่เห็น 3 ภาพก่อนหน้านี้เป็นที่พักแบบคนมีการศึกษา หากเป็นพ่อค้าแม่ค้าเร่ คือพวกความรู้น้อย ทำการค้าเล็กๆน้อยๆ มาจากชนบทมาอยู่ในเมืองใหญ่ สภาพที่พักจะแย่ยิ่งกว่านี้เสียอีก แย่จนเรานึกไม่ออกว่าเป็นยังไง เราไปดูกัน 3 ภาพต่อไปนี้ถ่ายในปี 2012 นี่เอง



นี่เป็นบ้านรูหนู คือเป็นห้องเช่าในเมืองกุ้ยหยาง มณฑลกุ้ยโจว แม่ลูกคู่นี้พักอาศัยอยู่ในรูที่มีประตูขนาดสูง 1 เมตร เด็กคนนี้อายุ 6 ขวบ เดินเข้าไปได้ แต่ว่าแม่ต้องมุดเข้าไป รูนี้เป็นซอกข้างตึก


แม่มีอาชีพแม่ค้าเร่ขายอาหาร กลางวันเวลาแม่ออกไปขายของก็จะล็อกห้องขังลูกชายอยู่ในห้อง


ภาพภายในห้อง ซึ่งต้องมุดและคลานลงมา ภายในห้องมีแต่ของใช้ที่พังและถูกทิ้ง แม่ลูกคู่นี้ก็เก็บเอามาใช้ต่อ


สุดท้าย ลุงแมวน้ำจะพาไปดูที่พักของคนยากคนจนในฮ่องกง เมืองที่ราคาอสังหาริมทรัพย์แพงมาก และผลจาก QE3 จะยิ่งทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกง รวมทั้งเมืองอื่นๆในเอเชีย ขยับสูงขึ้นไปอีก



ฮ่องกงเป็นเมืองที่ค่าครองชีพสูงติดอันดับโลก จากการสำรวจในปี 2012 ค่าครองชีพของฮ่องกงอยู่อันดับ 9 ของโลก รองจากโตเกียว โอซากา เจนีวา ซูริค ฯลฯ แต่ไม่ใช่หมายความว่าฮ่องกงไม่มีคนยากจน ตรงกันข้าม คนจนในฮ่องกงยิ่งแร้นแค้น คนจนในฮ่องกงมักอยู่ในตึกเก่าๆชานเมือง ซึ่งบ้านหรือว่าห้องพักของชาวฮ่องกงที่ยากจนนั้นครอบครัวหนึ่งอยู่กันในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ หนึ่งยูนิตอาจมีสองสามห้อง แต่ละห้องขนาดเล็กและเก่าทรุดโทรม ผนังหาสีเดิมไม่เจอเพราะเต็มไปด้วยคราบสกปรกและคราบน้ำมันจากการทำครัว ภาพนี้เป็นย่านคนจนของฮ่องกง ถ่ายเมื่อหลายปีมาแล้ว


ฮ่องกงในปัจจุบัน ประมาณปี 2010 ที่พักในฮ่องกงแพงขนาดคนยากคนจนพักในห้องที่เป็นยูนิตไม่ไหว บางคนรายได้น้อยก็ต้องพักในห้องกรง ในภาพนี้คือที่พักห้องกรง (cage home) จริงๆที่อยู่ในฮ่องกง นอนกันขาเลยกรงออกมาแบบนี้แหละ พื้นที่กรงประมาณ 1.4 ตารางเมตร กลางวันก็ล็อกกรง เก็บของไว้ข้างใน แล้วไปทำงาน กลางคืนก็กลับมานอน 


ห้องกรงนี้ราคาไม่ถูก ค่าเช่าประมาณ 2000 บาทต่อเดือน (คิดเป็นเงินไทยแล้ว) ชายคนนี้อายุ 78 ปี ป่วยเป็นโรคทางสมองด้วย ถูกไล่ที่ออกมาจากตึกที่พักเดิมซึ่งกำลังจะถูกรื้อและสร้างใหม่ให้เป็นอาคารทันสมัย เมื่อไม่มีที่พักก็ต้องมาอาศัยห้องกรงอยู่แบบนี้ อยู่ในห้องกรงทั้งวันเพราะไม่ได้ทำงานและไม่มีที่ไป


กางเกงในไม่มีที่ตาก แขวนไว้หน้ากรงนี่แหละ จะหายไหมเนี่ย


พื้นที่ส่วนกลางของผู้อาศัยในห้องกรงก็มีที่นั่งเล่นนิดหน่อย ครัวนิดหน่อย ห้องน้ำรวม ในภาพ ชายชรากำลังนั่งอย่างทอดอาลัย ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปต่อได้ยังไง



นี่แหละ ผลพวงของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมือใครยาวสาวได้สาวเอา และนี่ก็คือภาพชีวิตของจีนในบางมุมที่แตกต่างจากที่เราเคยเห็น ประเทศที่มีจีดีพีเติบโตปีละกว่า 10%  ประเทศที่รายได้ประชากรต่อหัวสูงขึ้นทุกปี ประเทศที่กำลังการบริโภคมหาศาลและคนชั้นกลางขึ้นไปมีเพิ่มมากขึ้นทุกปี เราเห็นร้านขายกระเป๋าหลุยที่แสนแพงและคลับไฮโซสุดหรูหราในเมืองเซี่ยงไฮ้ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ในบางซอกมุมของประเทศจีน ยังมีชีวิตด้านที่ลำบากยากแค้นอยู่ ซึ่งภาพทำนองนี้ไม่ได้มีอยู่แต่ใประเทศจีนเท่านั้น แต่ความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ล้วนมีอยู่ในทุกดินแดน ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศจะดูแลจัดการกันอย่างไร ประเทศไทยก็มีเช่นกัน คนเร่ร่อนใต้สะพาน คนจรนอนสนามหลวง ฯลฯ เหล่านี้เราก็มี และในอนาคต แม้ว่าเศรษฐกิจของไทยจะดีขึ้นกว่านี้ แต่ภาพเหล่านี้ก็คงไม่หมดไป เพราะยิ่งเศรษฐกิจดีก็ยิ่งเหลื่อมล้ำ การแก้เราต้องแก้กันในเชิงโครงสร้างเลยทีเดียว