Monday, December 31, 2012

31/12/2012 * เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ สุขีปีใหม่ เรื่องประทับใจ

บุฟเฟต์อลังการ มื้อเคาต์ดาวน์ ราคาตั้งแต่ 500 บาทไปจนถึง 300,000 บาทต่อหัว สะท้อนถึงกำลังในการบริโภค

การลงทุน เชื่อกันว่าเป็นวิถีแห่งความร่ำรวยในโลกทุนนิยม ดังนั้นจึงมีผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เกี่ยวกับความร่ำรวยจากการลงทุนออกมามากมาย


วันนี้เป็นวันสิ้นปี 2012 ปีปัจจุบันกำลังจะจากไป ปีใหม่ 2013 กำลังย่างกรายมา

ยังดีที่โลกไม่แตกเสียก่อนเมื่อวันที่ 21/12/2012 ลุงแมวน้ำขุดรูอยู่ที่ข้างโขดหินเตรียมไว้แล้ว ตั้งใจว่าหากโลกแตกก็จะหนีลงรู ขอหลบไปตั้งหลักก่อน แต่เมื่อไม่แตกก็คงไม่ต้องใช้ ^__^ และก็ดีที่โลกไม่แตก ไม่อย่างนั้นลุงแมวน้ำคงไม่ทันได้เห็นดัชนีตลาดหุ้นไทยทะลุ 1400 จุด แม้ว่าจะยังยืนไม่อยู่ก็ตาม แต่ก็ดีที่ได้เห็นละน่า

ตลอดปีที่ผ่านมานี้ลุงแมวน้ำก็วุ่นวายหลายอย่าง ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ถึงคราวจะวุ่นก็หาเวลาว่างไม่ได้เลย ถึงคราวจะว่างก็หาอะไรทำไม่ได้เลยก็มี แต่ปีนี้ส่วนใหญ่จะไปทางวุ่นเสียมากกว่า แมวน้ำขวัญใจมหาชนก็แบบนี้แหละ ^__^

ขณะนี้ย่านสยามสแควร์ ราชดำริ ราชประสงค์ มีการตกแต่งประดับไฟอย่างอลังการ ได้ข่าวมาว่าคืนวันสิ้นปีนี้จะปิดถนนพระราม 1 ตั้งแต่หน้าสนามกีฬาไปจนถึงชิดลม และปิดถนนราชดำริตั้งแต่แยกประตูน้ำไปจนถึงเอยูเอ เพื่อใช้เป็นถนนคนเดินฉลองเคาต์ดาวน์ ลุงแมวน้ำเองก็ยังไม่มีโอาสได้ไปดูเลยแต่หลายๆคนบอกว่างามตระการตามาก โดยเฉพาะคืนวันสิ้นปีคงยิ่งงามเป็นพิเศษ

ตลอดปีที่ผ่านมาลุงแมวน้ำสังเกตเห็นว่าประชาชนมีการบริโภคที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่ดูจากตัวเลขทางเศรษฐกิจด้วยและจากการสังเกตของลุงแมวน้ำเองด้วย พบว่าประชาชนกล้าจับจ่ายใช้สอย เห็นได้ชัดๆก็จากโครงการรถคันแรกที่มีผู้สมัครเข้าใช้สิทธิ์เพื่อซื้อรถใหม่มากมาย รวมทั้งหากไปตามต่างจังหวัดก็จะเห็นโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมีเนียม ผุดขึ้นในต่างจังหวัดในอัตราที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างเช่น ขอนแก่น อุดรธานี มีการก่อสร้างเยอะมากทีเดียว และจากการสังเกตตามร้านอาหารต่างๆ โดยเฉพาะร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า ร้านเหล่านี้คนแน่นตลอด บางร้านคนไปเข้าคิวกันราวกับมีงานบุญแจกอาหารฟรี เหล่านี้ล้วนสะท้อนภาพให้เห็นว่าประชาชนมีการบริโภคที่เพิ่มมากขึ้น

และข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งที่ลุงแมวน้ำอยากพูดถึงก็คือ เทศกาลฉลองเคาต์ดาวน์ในคืนวันสิ้นปี 2012 ซึ่งก็คือคืนนี้นั่นเอง ลุงแมวน้ำอ่านหนังสือพิมพ์เห็นโฆษณาอาหารค่ำหรือดินเนอร์ฉลองเคาต์ดาวน์ตามโรงแรมและห้องอาหารต่างๆในราคาที่น่าตื่นตาตื่นใจ

ลุงแมวน้ำอ่านหนังสือพิมพ์ ดูราคาบุฟเฟต์มื้อเคาต์ดาวน์ไปเรื่อยๆ ที่ถูกที่สุดราคาประมาณ 500 บาทต้นๆ จากนั้นก็เป็นราคาเกือบๆ 1,000 บาท กลุ่มนี้ถือว่าราคาถูกสุดเท่าที่เห็นแล้ว ถัดจากนั้นก็เป็นกลุ่มราคาหลักพัน ก็อ่านไปเรื่อง มี 1,800 บาท, 2,500 บาท, 3900 บาท, 4900 บาท โอ๊ะ ชักจะแพงแฮะ

ยังไม่หมด อ่านไปอีก 6,500 บาท, 7,800 บาท, 9,500 บาท จากนั้นก็โดดไปที่ 15,000 บาท, 25,000 บาท แล้วก็ 30,000 บาทขึ้นไปก็มี อูย เขากินอะไรกันเนี่ย คำตอบก็คือกินบรรยากาศ ไม่ได้กินแต่อาหาร แปลว่าบรรยากาศราคาแพงมากเลยล่ะสิ ทำไมบรรยากาศแถวโขดหินของลุงแมวน้ำไม่แพงอย่างนี้บ้างนะ ^__^

ยังไม่หมด สุดท้ายอ่านไปพบดินเนอร์บุปเฟต์ฉลองเคาต์ดาวน์ ในราคาระดับสุดไฮโซ แถวย่านราชประสงค์ ราคาหัวละ 300,000 บาท ลุงแมวน้ำแสดงละครสัตว์ตลอดปีจนปวดหลังยังเก็บค่าทิปไปซื้อบุตเฟต์นี้ไม่ได้เลย แต่ถึงซื้อได้เขาก็อาจไม่ให้เข้า เพราะว่าคงกลั่นกรองลูกค้า เมื่อดูจากราคาอาหารที่เพิ่มมากขึ้นแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการย่อมมั่นใจในกำลังซื้อและกำลังการบริโภค ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าตั้งราคากันแบบนี้



เมื่อมีการบริโภคมากขึ้น แน่นอน เศรษฐกิจก็ย่อมดีขึ้น จีดีพีก็ย่อมสูงขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจส่วนตัวของแต่ละคนจะดีขึ้นไปด้วย หลายๆคนที่มีกำลังซื้อในปัจจุบันนี้ก็เพราะเอาเงินในอนาคตมาใช้ พูดง่ายๆก็คือกู้เขามาจับจ่ายใช้สอยนั่นเอง ดังนั้นบางคนที่เราเห็นแต่งตัวหรู อยู่คอนโดแพงๆ แต่ที่จริงแล้วอาจจะหมุนเงินจากบัตรเครดิตมือเป็นระวิง รูดใบนั้นมาจ่ายใบนี้ รูดใบนี้มาจ่ายใบโน้น ก็ย่อมเป็นไปได้

ความเป็นอยู่หรือว่าไลฟต์สไล์นั้นสังคมยอมรับกันว่าเป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงฐานะหรือว่าเป็น symbol of status การที่จะยกระดับชั้นทางเศรษฐกิจของตนเองให้มีสถานะสูงขึ้นได้ก็จำเป็นจะต้องมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นผู้ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมจึงมักมีเป้าหมายในการแสวงหาความร่ำรวย ทั้งนี้ เพราะค่านิยมของสังคมในระบบทุนนิยมหล่อหลอมให้คิดว่าเป้าหมายของชีวิตคือการมีสถานะทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น ดังนั้นคนเราส่วนใหญ่จึงดิ้นรนไขว่คว้าหาความรวย รวย และรวย คนรุ่นก่อนมีเป้าหมายในชีวิตคือความสุข และถือว่าความรวยคือวิธีที่จะได้มาซึ่งความสุข ดังนั้นจึงไขว่คว้าหาความร่ำรวย แต่คนรุ่นใหม่กลับมองว่าเป้าหมายในชีวิตคือความร่ำรวย และใช้การทำมาหากินกับลงทุนเป็นวิธีในการที่จะได้มาซึ่งความร่ำรวย แต่ละคนจึงทำงานหนัก มีชีวิตที่เร่งรีบ วุ่นวายกับการทำมาหากินและการลงทุน โดยลืมคิดไปว่าเมื่อรวยแล้วได้อะไรตอบแทนมาบ้าง บางคนรวยแล้วได้สิ่งตอบแทนคือโรคภัยไข้เจ็บมากมายอันเนื่องจากการใช้ชีวิตกินอยู่แบบคนเมือง สุดท้ายเงินทองมากมายก็เอาไปจ่ายบิลโรงพยาบาลเสียมาก ความสุขก็ไม่มีเพราะโรคภัยรุมเร้า

ทีนี้มาถึงเรื่องการลงทุนกันบ้าง เมื่อเราส่วนใหญ่คิดกันว่าการลงทุนคือวิถีทางหนึ่งของความร่ำรวย และการมีเงินเยอะๆ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มีคนจำนวนมากเดินอยู่ในเส้นทางของการลงทุน เมื่อมีอุปสงค์ก็มีอุปทาน (อุปทานนะ ไม่ใช่อุปาทาน) เมื่อมีคนลงทุนเพื่ออยากรวย ผู้ประกอบการก็เสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนต่างๆเพื่อตอบสนองความอยากรวย ดังนั้นเมื่อเราไปงานสัมมนาด้านการลงทุน หรืองานนิทรรศการด้านการลงทุนต่างๆ เราจึงพบแต่คำว่า รวย มั่งคั่ง เศรษฐี ล้าน พันล้าน หมื่นล้าน ฯลฯ เต็มไปหมด แต่หลายคนก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าเท่าไรจึงจะเรียกว่ารวย หรือรวยเท่าไรจึงจะพอได้แล้ว

ในวันส่งท้ายปีเก่า 2012 ต้อนรับปีใหม่ 2013 นี้ ลุงแมวน้ำอยากจะขอเสนอภาพชีวิตในบางแง่บางมุม ลองมาดูกัน


ศิลปินข้างถนน ใช้ถังสีคว่ำเป็นกลองชุด


ภาพนี้ลุงแมวน้ำถ่ายที่หน้าหอศิลป์ กรุงเทพฯ ตรงสี่แยกปทุมวัน เป็นศิลปินเปิดหมวกที่หาเลี้ยงชีพด้วยการโชว์ฝีมือการตีกลอง เข้าใจว่าคงจะทุนน้อยจึงไม่ได้ซื้อกลองที่เป็นเครื่องดนตรีมาใช้ แต่กลับใช้ถังสีคว่ำมาเป็นกลอง ลุงแมวน้ำเห็นศิลปินคนนี้นั่งรัวกลองตอนบ่ายสองโมง แดดกำลังสาดจ้า  รัวจนเหลื่อไหลไคลย้อย เสียงดังมาก ฝีมือรัวกลองก็เร้าใจดี แต่ไม่เห็นใครหยอดกระปุกให้เลย มีแต่รีบเดินผ่านไป



หญิงชราขาพิการ ต่อสู้กับชีวิตอย่างทรหด เดินทางเองด้วยรถวีลแชร์ สองมืออ่อนล้า หมุนล้อลำบาก ต้องใช้ไม้ถ่อช่วยดันรถ เป็นภาพชีวิตที่ลุงแมวน้ำเห็นแล้วต้องอึ้งและต้องยอมรับนับถือในความทรหดสู้ชีวิตของหญิงชราผู้นี้


ภาพนี้ลุงแมวน้ำถ่ายได้แถวๆสี่แยกอโศก เป็นหญิงชรา อายุคงในราว 60-70 ปี ในหน้าเต็มไปด้วยริ้วร้อยเหี่ยวย่น เส้นผมขาว หญิงชราคนนี้ขาพิการ แกมีวีลแชร์ที่เก่ามากคันหนึ่งเป็นพาหนะ บนรถมีข้าวของวางเต็มไปหมด คล้ายๆกับบ้านเคลื่อนที่ของแก หรือไม่ก็แกคงมีอาชีพเก็บของเก่าเพื่อไปขาย

หญิงชราคนนี้ไม่ได้นั่งขอทานอย่างสบาย ตอนที่ลุงแมวน้ำเห็นนั้นแกกำลังพยายามขับวีลแชร์ของแกจากในถนนสุขุมวิทเลี้ยวเข้าไปในซอย 19 ท่ามกลางรถเก๋งและมอเตอร์ไซค์ที่ล้อมหน้าล้อมหลัง ลุงแมวน้ำดูแล้วก็เสียวไส้แทน วีลแชร์คันนั้นเก่ามากแล้ว ดูสภาพทรุดโทรม คนก็แก่ รถก็เก่า ทั้งคนและรถคงอยู่บนเส้นทางชีวิตมาอย่างยาวนาน หญิงชราเคลื่อนวีลแชร์ไปช้าๆเท่าที่เรี่ยวแรงจะมี สังเกตดูในภาพจะเห็นว่าแกไม่ได้ใช้สองมือหมุนล้อเพื่อขับวีลแชร์ แต่แกใช้ไม้เท้ายันพื้นถนนต่างถ่อเพื่อขับเคลื่อนวีลแชร์ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะหมุนล้อไม่ไหวเพราะการหมุนล้อวีลแชร์นั้นกินแรงพอสมควร แต่หากใช้ถ่อค้ำจะกินแรงน้อยกว่า

ภาพนี้เป็นภาพชีวิตที่ลุงแมวน้ำเห็นแล้วรู้สึกสะท้อนใจ และต้องยอมรับนับถือในความทรหดสู้ชีวิตของหญิงชราผู้นี้ ขณะที่ถ่ายภาพ ลุงแมวน้ำเกิดคำถามขึ้นในใจมากมาย เช่น หญิงชราที่มีอายุปูนนี้อีกทั้งยังพิการ ทำไมยังต้องมาตรากตรำชีวิตในท้องถนนเมืองกรุงแบบนี้ ทำไมแกไม่เลือกที่จะขอทาน แกมีลูกหลานหรือไม่ ถ้ามีแล้วลูกหลานดูแลแกบ้างหรือไม่ สังคมของเราจะช่วยเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขให้แกได้มากน้อยเพียงใด ฯลฯ




ชายคนนี้เล่นกับแมวเหมียวข้างสถานีรถไฟฟ้าอย่างสบายอารมณ์ ไม่สนใจกับคนที่เดินผ่านไปมาหรือเวลาที่เสียไป เป็นชีวิตที่ง่ายๆ สบายๆ ไม่วุ่นวาย มีความสุขแม้กับเรื่องราวและสิ่งเล็กน้อยที่อยู่รอบตัว เป็นชีวิตที่น่าอิจฉาทีเดียว


ภาพนี้เป็นชายในวัยกลางคน ลุงแมวน้ำคิดว่าน่าจะอายุกว่า 50 ปีแล้ว สังเกตจากผมขาว ลุงแมวน้ำเห็นแกที่สถานีรถไฟฟ้าที่มีคนพลุกพล่านแห่งหนึ่ง ที่สถานีนี้จะมีแมวเหมียวสีน้ำตาล หน้าตาน่ารักอยู่สองตัว คิดว่าเป็นแมวมีเจ้าของเพราะว่ามีปลอกคอและด้านหลังเป็นตลาดด้วย ลุงแมวน้ำก็เดาเอาว่าเป็นแมวในตลาดที่ออกมาเที่ยวเล่น

ชายคนนี้แต่งกายดี เหมือนกับว่ากำลังเดินทางไปทำงาน ลุงแมวน้ำเห็นแกแวะเล่นกับแมวเหมียวอยู่เป็นประจำ ครั้งละนานพอสมควร นั่งกันบนพื้นถนนอย่างเป็นกิจจะลักษณะเลยทีเดียว น้องเหมียวก็นอนให้แกเกาพุงอย่างสบายอารมณ์ ดังที่เห็นในภาพ ที่จริงข้างๆตัวแกมีเครื่องดื่มอยู่ถ้วยหนึ่ง นั่งเล่นกับแมวไปก็ดื่มเครื่องดื่มไป บางวันก็ติดหนังสือพิมพ์มาด้วย เกาพุง (แมว) ไปอ่านหนังสือพิมพ์ไปสบายอารมณ์ ใครเดินผ่านไปมาแกก็ไม่สนใจ ในขณะที่คนจำนวนมากที่เดินผ่านแกไปมานั้นกำลังรีบร้อนเพื่อจะไปธุระหรือไปทำงาน แต่ละคนก็มีใบหน้าที่เคร่งเครียด แต่ดูแกไม่รีบร้อนอะไร เป็นชีวิตที่อิสระเสรี และมีความสุขกับเรื่องราวและสิ่งเล็กน้อยรอบข้างได้อย่างน่าอิจฉา ถ้าลุงแมวน้ำจะอิจฉาใครสักคนก็ขออิจฉานายคนนี้แหละ


แล้วก็มาถึงบุคคลคนสุดท้ายที่ลุงแมวน้ำอยากจะกล่าวถึงในบทความส่งท้ายปีเก่านี้ ลองมาดูกัน

























ข้างบนนี้เป็นวีดิโอที่เล่าเรื่องราวของหญิงชราคนหนึ่ง ชื่อคุณยายยิ้ม เป็นหญิงชราในวัยแปดสิบกว่าปี ที่อาศัยอยู่ในป่าเพียงลำพังมานานกว่ายี่สิบปี สาเหตุที่คุณยายไปอยู่ในป่าเพียงลำพังนานขนาดนั้นเพราะว่าแกมีความตั้งใจจะสร้างฝายกั้นน้ำเพื่อให้นกและสัตว์ป่าได้ใช้เป็นแหล่งน้ำ เนื่องจากแถบนั้นในหน้าแล้วขาดน้ำ แกตั้งใจจะช่วยในหลวงสร้างฝายเพราะรู้ว่าในหลวงใส่พระทัยเรื่องแหล่งน้ำเนื่องจากน้ำเป็นปัจจัยสำคัญต่อความเป็นอยู่ของทั้งคน สัตว์ และพืช

ด้วยวัยที่ชรา ด้วยหลังที่โค้งงอเนื่องจากภาวะกระดูกพรุน และด้วยเรี่ยวแรงที่ลดน้อยถอยลง แต่แกก็ทำของแกไปเรื่อย ทำทุกวันไม่เคยหยุด ชีวิตเรียบง่าย ทรัพย์สมบัติมีเพียงของใช้ประจำวันนิดหน่อย ความตั้งใจในการเป็นผู้ให้ของคุณยายยิ้มนั้นเกินร้อย ความสุขของแกคือการเดินข้ามเขาไปเข้าวัดทุกวันพระ ไปวัดครั้งหนึ่งก็กินเวลาหลายวันเพราะว่าอยู่ไกล หลายคนคิดว่าแกเพี้ยน แต่ลุงแมวน้ำกลับอยากให้โลกนี้มีคนเพี้ยนแบบนี้เยอะๆ

วีดิโอคลิปนี้มี 7 ตอน ลุงแมวน้ำอยากให้ดูกันจนจบ ใจเย็นๆ ค่อยๆดูไปทุกตอน สังเกตการดำเนินชีวิต คำพูด ความคิด และทัศนคติต่อโลกและชีวิตของคุณยายยิ้ม ลุงแมวน้ำไม่อยากเล่ามาก แต่อยากให้แต่ละคนชมและค้นพบด้วยตนเองมากกว่า หากใครดูแล้วรู้สึกอิ่มเอมใจ ก็ถือเสียว่าเป็นของขวัญปีใหม่จากลุงแมวน้ำ หลายคนอาจคิดว่าของขวัญปีใหม่ของลุงแมวน้ำไม่ลงทุนเลยเนอะ แต่เอาละน่า ของบางอย่างด้อยราคาแต่สูงด้วยคุณค่าคร้าบ ^__^



วันนี้ลุงแมวน้ำเล่าอะไรไปเรื่อยเปื่อย ลุงแมวน้ำคงไม่สรุปอะไร เพราะว่าคำตอบอยู่ที่ใจของแต่ละคนเองอยู่แล้ว

ขอให้มีความสุขในปีใหม่ 2013 นี้คร้าบ ^__^

No comments: