วันนี้ตลาดยุโรป อเมริกา และเอเชียอีกหลายชาติหยุดทำการเนื่องในวัน Good Friday
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,105.29 จุด ลดลง 4.63 จุด
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BLA, TUF และมีสัญญาณซื้อ EGCO ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 44 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย แต่ลุงแมวน้ำสังเกตพบว่าอนุพันธ์ของ SET50 กลับมามีเบสิส (basis) เป็นลบหลังจากที่ไม่ได้เห็นปรากฏการณ์เช่นนี้มานานแล้ว
เบสิสก็คือราคาของ SET50 ลบด้วยราคาอนุพันธ์นั่นเอง ปกติที่เราเห็นกันเบสิสมักเป็นบวก อันหมายความว่าราคาฟิวเจอร์สต่ำกว่าดัชนี SET50 หรือราคาฟิวเจอร์สไล่หลังราคาสปอต แต่ในวันนี้แม้เป็นวันที่ตลาดแดงแต่เบสิสก็เป็นลบ (หมายถถึงราคาฟิวเจอร์สนำหน้าราคาสปอตไปแล้ว) อันหมายถึงว่านักลงทุนในอนุพันธ์มองว่าตลาดเป็นขาขึ้นอย่างแรงจึงไล่ราคาอนุพันธ์กัน แต่มีข้อสังเกตคือ OI ของอนุพันธ์ไม่ได้เพิ่มมากนัก แสดงว่าไม่ค่อยมีเงินใหม่เข้ามาในอนุพันธ์
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดทำการ ดังนั้นจึงค่อยเห้นความเคลื่อนไหวอะไรมากนัก
ตลาดหุ้นผันผวนมากขึ้นและเทรดยากกว่าเมื่อก่อนจริงหรือไม่ (1)
เมื่อวันก่อน ขณะที่ลุงแมวน้ำกำลังทำสวนครัวอยู่ที่หลังคณะละครสัตว์ ก็เห็นลิงชิมแปนซีโหนเถาวัลย์ผ่านลุงแมวน้ำไป เจ้าลิงตัวนี้คือลิงชิมแปนซีเจ้าปัญญาตัวเดิมที่ลุงแมวน้ำเคยเล่าให้ฟังไปแล้วในเรื่องฟิวเจอร์สและเรื่อง dollar cost averaging (DCA) นั่นเอง
“เป็นไงบ้างนายลิงจ๋อ” ลุงแมวน้ำทักทาย
ลิงชิมแปนซีหยุดโหนเถาวัลย์และกระโดดลงมายืนข้างแปลงสวนครัวของลุงแมวน้ำ
“ก็สบายดีลุง” ลิงตอบ พลางเอื้อมมือไปปลิดกล้วยจากต้นกล้วยที่ลุงแมวน้ำปลูกเอาไว้มากิน หน้าตาของเจ้าลิงไม่ได้บ่งบอกว่าสบายเลยแม้แต่น้อย
“แต่ดูสีหน้าแล้วลุงว่าไม่เป็นยังงั้นเลย” ลุงแมวน้ำพูด “แล้วข่วงนี้หุ้นเป็นไงบ้าง ได้กำไรไหม”
ลิงชิมแปนซีถอนหายใจเฮือก “ก็พอได้กำไรอยู่”
“สงสัยจะโดนหุ้นเล่นมากกว่ามั้ง” ลุงแมวน้ำดักคอ
“จะว่ายังงั้นก็ได้” ลิงถอนหายใจอีกปู้ดหนึ่งพร้อมกับพูดอึกอัก “ว่าแต่ทำไมลุงรู้ล่ะ”
“สีหน้าเบื่อโลกขนาดนี้ลุงก็เดาได้ว่าขาดทุนหุ้นมาอีกแล้ว” ลุงแมวน้ำพูด “ก็เห็นเป็นแบบนี้ทุกที ได้กำไรก็คุยฟุ้ง พอขาดกลับอุบเงียบ แล้วปกติลุงเห็นนายได้กำไรทีละร้อยแต่ขาดทุนทีละพัน”
ลิงรีบเอานิ้วชี้แตะริมฝีปาก
“อย่าพูดดังสิลุง ขาดทุนแล้วมันเสียหน้า ใครจะบอกกันล่ะ เขาก็คุยอวดแต่ตอนได้ที่กำไรกันทั้งนั้น”
“หุ้นขึ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว นึกว่านายจ๋อกำไรบาน ซื้อกล้วยกินสบายใจไปแล้วเสียอีก” ลุงแมวน้ำพูดอีก
ลิงจ๋อส่ายหางพลางถอนใจ “หุ้นขึ้นแต่ผมไม่ได้กำไรเลย ทีก่อนซื้อละดูดี พอซื้อแล้วถือได้วันสองวันหุ้นก็ร่วง ต้องรีบขายทิ้งไปก่อน เป็นแบบนี้ทุกที ตลาดหุ้นสมัยนี้ผันผวนกว่าเมื่อก่อนมาก ขนาดเข้าเร็วออกเร็วแล้วนะ ไม่กล้าถือนานยังขาดทุนเลย เล่นยากจริงๆ”
ลิงชิมแปนซีเป็นดาราที่อยู่ในคณะละครสัตว์มานานหลายปีแล้ว แม้จะเป็นลิงเจ้าปัญญาแต่มีนิสัยชอบซื้อขายหุ้นบ่อยๆ ไม่ยอมถือนานๆ อาจเป็นเพราะนิสัยยุกยิกอยู่ไม่สุขก็เป็นได้จึงทำให้ชอบซื้อขายบ่อยๆ
หลังจากที่คุยกับลิงชิมแปนซีแล้วทำให้ลุงแมวน้ำอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าในช่วงหลายปีหลังๆนี้ตลาดหุ้นดูเหมือนจะผันผวนมากขึ้น วันหนึ่งขึ้น วันหนึ่งลง อีกทั้งการขึ้นลงก็แรงดูน่ากลัว ต่างจากเมื่อก่อน เมื่อตลาดผันผวนมากขึ้น การเทรดให้ได้กำไรก็ย่อมน่าจะยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเทรดด้วยระบบสัญญาณซื้อขายทางเทคนิด หากตลาดยิ่งผันผวนโอกาสเกิดสัญญาณหลอกก็ยิ่งสูงขึ้น
แต่เมื่อมาคิดอีกที นี่ก็เป็นเพียงความรู้สึก ในทางจิตวิทยานั้นเราทราบกันแล้วว่าบางครั้งความทรงจำหรือประสบการณ์ในอดีตก็หลอกเราได้ ดังนั้นหากจะให้รู้แน่จริงๆก็ต้องหาทางพิสูจน์เพื่อให้ได้ข้อมูลมายืนยัน ดังนั้นเมื่อว่างจากการแสดงลุงแมวน้ำจึงพยายามใช้วิธีการทางสถิติเพื่อหาคำตอบนี้
ก่อนอื่นก็ต้องมากำหนดกันก่อนว่าคำว่า ผันผวน นั้นเอาอะไรมาวัดและจะวัดอย่างไร ในที่นี้ลุงแมวน้ำคิดจะใช้ราคาปิดของดัชนีเซ็ต (SETI) มาเป็นตัววัด กล่าวคือ วัดจากเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของราคาปิดของดัชนีในวันนี้เมื่อเทียบกับวันก่อน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทำความเข้าใจได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อวานดัชนีปิดที่ 1000 จุด วันนี้ปิดที่ 1010 จุด เราก็บอกว่าวันนี้ดัชนีเปลี่ยนแปลงไป +1.0% (บวกหนึ่งเปอร์เซ็นต์) หรือหากเมื่อวานดัชนีปิดที่ 1000 จุด และวันนี้ปิดที่ 980 จุด เราก็บอกว่าวันนี้ดัชนีเปลี่ยนแปลงไป -2.0% (ลบสองเปอร์เซ็นต์) หากหุ้นผันผวนอย่างที่ลิงชิมแปนซีว่ามาจริง เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของ SETI ในยุคนี้จะต้องมากกว่าเมื่อหลายปีก่อน
ลุงแมวน้ำนำข้อมูลย้อนหลังของดัชนีเซ็ตมาวิเคราะห์ดูเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงว่าเป็นอย่างไร วิธีการของลุงแมวน้ำก็คือเอาการเปลี่ยนแปลงของ SETI ที่ว่าปิดบวกเท่าไร ปิดลบเท่าไร นี้มาจัดกลุ่ม เช่น วันที่ดัชนีปิดแล้วเปลี่ยนแปลง +0.01% ถึง +1.0% ก็แยกเป็นกลุ่มหนึ่ง วันที่ราคาปิดเปลี่ยนแปลง +1.01 ถึง +2.00% ก็นับแยกเอาไว้อีกกลุ่มหนึ่ง ดัชนีวันที่ปิดเป็นลบก็ทำเช่นเดียวกัน จากนั้นเอามาแยกเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มละ 5 ปีอีกที เช่น กลุ่มย่อยในช่วง ค.ศ. 1976-1980 กลุ่มย่อยในช่วง ค.ศ. 1981-1985 กลุ่มย่อยในช่วง 1986-1990 เป็นต้น
หากอ่านแล้วรู้สึกงงก็ไม่เป็นไร ลองมาดูตารางที่ลุงแมวน้ำแยกแยะจัดกลุ่มข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้วดีกว่า ดังนี้
วิธีดูตารางนี้ก็อย่างเช่น ในช่วงปี 1976-1980 (รอบห้าปี) นั้นมีจำนวนวันที่ดัชนีปิดบวกในช่วงตั้งแต่ 0.01% ถึง 1.00% อยู่ 443 วัน (หรือ 443 ครั้ง ความหมายเดียวกัน)
ในช่วงปี 2006-2010 (รอบห้าปีอีกรอบหนึ่ง) นั้นมีจำนวนวันที่ดัชนีปิดลบในช่วงตั้งแต่ -1.01% ถึง 0. 00% อยู่ 358 วัน
ในช่วงปี 1996-2000 นั้นมีจำนวนวันที่ดัชนีปิดบวกในช่วง 3.01% ถึง 4.00% อยู่ 47 วัน
เป็นต้น
ผลการแจกแจงที่ลุงแมวน้ำทำมาดูแล้วทำให้เราได้ทราบอะไรบ้าง ลองดูกันไปก่อน แล้วเรามาคุยกันต่อในวันต่อไป
(โปรดติดตามอ่านในวันต่อไป)
No comments:
Post a Comment