Monday, April 18, 2011

12/04/2011 - 15/04/2011 * กองทุนรวมสินค้าเกษตร (Agriculture FIF)




เนื่องจากวันที่ 12 เมษายน เป็นวันทำการวันสุดท้ายของตลาดหลักทรัพย์ ตลาด TFEX และตลาด AFET ของไทยก่อนหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ดังนั้นในสัปดาห์นี้ลุงแมวน้ำจึงรายงานสภาพตลาดในที่เป็นของไทยจนถึงวันที่ 12 นี้เท่านั้น ส่วนวันที่ 13/04/2011 - 15/04/2011 เฉพาะข้อมูลของตลาดต่างประเทศ

และในเทศกาลสงกรานต์ปี 2554 นี้เป็นโอกาสครบรอบ 2 ปีของเว็บบล็อกลุงแมวน้ำ จึงนำเค้กมาตัดฉลองเสียหน่อย เผลอเดี๋ยวเดียวเวลาผ่านไป 2 ปีแล้ว และกำลังก้าวไปข้างหน้าสู่ปีที่ 3 โดยไม่คำนึงถึงจำนวนผู้เข้าชม (เขิน)



12/04/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1084.91 จุด เพิ่มขึ้น 8.58 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย HMPRO ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 42 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายถั่วเหลือง (S) เนื่องจากถั่วเหลืองมีอยู่ในพอร์ตจำลอง ลุงแมวน้ำจึงต้องทำอะไรสักอย่าง เนื่องจากลุงแมวน้ำประเมินว่าสินค้าเกษตรยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงปิดสัญญาซื้อแต่ไม่ได้เปิดสัญญาขาย สถานะของ S ในพอร์ตจำลองตอนนี้จึงเป็น NOACT คือไม่ได้มีสถานะคงค้างใดๆ

ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดแดง นำร่วงโดยเปรูอีกเช่นเคย ตามมาด้วยรัสเซียกับชีลี วันนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของหลายประเทศเกิดสัญญาณขาย ได้แก่ บราซิล แคนาดา ออสตรีย เนเธอแลนด์ ส่วนไทยเป็นเพียงตลาดไม่กี่ประเทศในโลกที่ปิดเขียวสวนกระแสได้

ในระยะนี้ตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในโลกค่อนข้างผันผวน ทั้งนี้ สำนักข่าวหลักๆในโลกไม่ได้เพียงแต่ในไทยต่างก็เตือนและตอกย้ำซ้ำๆกันในประเด็น 3 ประเด็น ก็คือ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก ปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลก และปัญหาวิกฤตหนี้ในทวีปยุโรป

บทความของสื่อกระแสหลักส่วนใหญ่วิเคราะห์ว่าปัญหาสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) ที่ถีบตัวสูงขึ้นทั้งจากความขาดแคลนในตัวสินค้าและจากการเก็งกำไร โดยเฉพาะราคาน้ำมันซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ตัวหลักจะส่งผลทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นทั่วโลก และปัญหาเงินเฟ้อจะส่งผลร้ายต่อการพัฒาทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตลาดที่พัฒนาแล้วหรือตลาดเกิดใหม่ก็ตาม รวมทั้งอาจทำให้เกิดปัญหาฟองสบู่แตกในหลายๆประเทศ อีกทั้งยังซ้ำเติมปัญหาวิกฤตหนี้ในทวีปยุโรปให้หนักหนาขึ้น นี่ลุงแมวน้ำสรุปเอาจากเนื้อข่าวและบทความที่อ่านมาในช่วงนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นในทำนองนี้

ลุงแมวน้ำมองตามปัจจัยทางเทคนิคผสมปัจจัยพื้นฐาน เห็นว่าราคาน้ำมันของกลับลงไปต่ำกว่า 100 ดอลลาร์/บาเรลได้ยากแล้ว คงมีแต่จะสูงขึ้นดังที่ลุงแมวน้ำได้วิเคราะห์ให้ฟังไปแล้ว


กองทุนรวมสินค้าเกษตร (Agriculture FIF)


สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ในภาคสินค้าเกษตรนั้นเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ลุงแมวน้ำมองว่าราคามีแต่จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันจะทรงตัวแต่ราคาสินค้าเกษตรก็น่าจะสูงขึ้น พูดง่ายๆว่าต่อไปน่าจะเป็นยุคข้าวยากหมากแพง

เราลองมาดูเหตุผลด้านปัจจัยพื้นฐานกันว่าทำไมสินค้าเกษตรจึงน่าจะมีราคาสูงขึ้น

  • สาเหตุแรกคือปัญหาด้านภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ผลจากภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้ฤดูกาลไม่เป็นปกติ พืชผลทางการเกษตรมีฤดูกาลและต้องการอุณหภูมิที่เหมาะสม การที่ฝนฟ้าแปรปรวนทำให้ผลผลิตเสียหายและได้ผลไม่ดี นอกจากนี้ ผลจากภูมิอากาศที่แปรปรวนทำให้เกิดภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ฝนแล้ง ไฟไหม้ป่า ยิ่งทำให้ผลผลิตเสียหาย
  • สาเหตุต่อมาคือผลจากภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้เกิดโรคอุบัติใหม่ขึ้น โรคอุบัติใหม่นี้เราเห็นผลทั้งในคน สัตว์ และพืช ไม่ใช่แต่เฉพาะเกิดผลกับสินค้าเกษตรเท่านั้น นอกจากโรคอุบัติใหม่แล้วการคุกคามของศัตรูพืชก็รุนแรงและมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ผลผลิตลดลง
  • พืชที่เป็นอาหารหลักหลายชนิดในกลุ่มที่ให้แป้ง น้ำมัน และน้ำตาล เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง พืชให้ความหวาน เหล่านี้ถูกนำไปใช้ในภาคพลังงานทดแทนด้วย ยิ่งทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนสำหรับการบริโภค

ทีนี้มาดูปัจจัยทางเทคนิคกันบ้าง กราฟต่อไปนี้เป็นกราฟอีทีเอฟสินค้าเกษตรชื่อ DB Agriculture (DBA) ที่เทรดในตลาดสหรัฐอเมริกา อีทีเอฟตัวนี้อิงกับดัชนีสินค้าเกษตร DBIQ Diversified Agriculture Index Excess Return (DBLCIX)



จะเห็นว่าขณะนี้กราฟราคาสินค้าเกษตรน่าจะอยู่ในคลื่น 3 และน่าจะไปต่อไปอีกไกลกว่าจะจบคลื่น 5

ทีนีลองมาดูดัชนีสินค้าเกษตรอีกตัวหนึ่ง นั่นคือดัชนี Dow Jones UBS Agriculture Index (DJUBSAG) ดังนี้



หน้าตาของกราฟสองภาพข้างบนอาจไม่เหมือนกันทีเดียวนักเนื่องจากองค์ประกอบของสินค้าเกษตรที่คำนวณเป็นดัชนีทั้งสองมีความแตกต่างกัน แต่ก็ทำให้พอมองเห็นภาพทิศทางของสินค้าเกษตรได้

ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงมองว่าสินค้าเกษตรเพื่อบริโภค (ของกิน) เป็นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่น่าลงทุนในระยะยาว ไม่เน้นการลงทุนในระยะสั้นเนื่องจากจะมีความผันผวนสูงตามธรรมชาติของสินค้าโภคภัณฑ์ แนวโน้มเท่าที่ลุงแมวน้ำมองในตอนนี้ยังน่าสนใจกว่าทองคำเสียอีกเนื่องจากมองปัจจัยพื้นฐานได้ในขณะที่ทองคำไม่มีปัจจัยพื้นฐาน พืชผลกินได้แต่ทองคำกินไม่ได้

ปกติการลงทุนในสินค้าเกษตรนั้นสามารถลงทุนในตลาดฟิวเจอร์สได้ แต่ตลาดฟิวเจอร์สสินค้าเกษตรของไทยนั้นขณะนี้มีเพียงยางพาราเท่านั้นที่มีปริมาณซื้อขายอยู่บ้าง แต่ยางพาราก็ไม่ใช่สินค้าเกษตรเพื่อบริโภค ทางเลือกของนักลงทุนไทยที่สามารถทำได้ก็คือการเทรดฟิวเจอร์สสินค้าเกษตรในตลาดต่างประเทศหรือลงทุนกับกองทุนรวมประเภท FIF ของไทยที่ลงทุนในสินค้าเกษตร

กองทุนรวมของไทยที่ลงทุนในสินค้าเกษตรมีสองแบบ แบบแรกคือลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์แบบหลากหลาย คือมีทั้งโลหะ พลังงาน สินค้าเกษตร ปนกัน โดยมีสินค้าเกษตรเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่ง กับอีกแบบหนึ่งคือกองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าเกษตรโดยเฉพาะ

สำหรับกองทุนรวมของไทยที่ลงทุนในสินค้าเกษตรของต่างประเทศโดยเฉพาะปัจจุบันมี 3 กองทุน คือ

  • K-AGRI อิงกับอัชนี Deutsche Bank Agriculture USD Index
  • TISCOAEF อิงกับดัชนี Deutsche Bank Agriculture EURO Index
  • ONE-AGRI อิงกับดัชนี Rogers International Commodity Index-Agriculture

สำหรับองค์ประกอบของดัชนีสินค้าเกษตรต่างๆลุงแมวน้ำสรุปเอาไว้ให้ดู ดังนี้




กองทุน ONE-AGRI ใช้ดัชนีที่มีองค์ประกอบตามหมายเลข 1 ส่วน K-AGRI กับ TISCOAEF มีองค์ประกอบของสินค้าตามดัชนีหมายเลข 3

ส่วนหมายเลข 2 นั้นเป็นองค์ประกอบของดัชนีของกองทุนอีทีเอฟ DBA นำมาให้ดูเฉยๆเพื่อการเปรียบเทียบ เท่าที่ทราบไม่มีกองทุน FIF ของไทยที่อิงดัชนีสินค้าเกษตรตัวนี้










13/04/2011

กลุ่มฟิวเจอร์สต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดเขียว เปรูยังร่วงแรงอยู่อันเป็นผลมาจากปัจจัยภายในประเทศเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี









14/04/2011

กลุ่มฟิวเจอร์สต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดแดงกระจายทั่วทุกภูมิภาค ดัชนีตลาดอาร์เจนตินาและนอร์เวย์เกิดสัญญาณขาย กลุ่มประเทศในเอเชียดูจะมีประเทศที่ปิดเขียวมากกว่าในทวีปอื่น









15/04/2011

กลุ่มฟิวเจอร์สต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกปิดคละเคล้ากัน ที่ปิดเขียวและที่ปิดแดงมีสัดส่วนพอๆกัน ดัชนีตลาดอิตาลี สเปน และเวียดนามเกิดสัญญาณขาย

ช่วงนี้ทั้งฟิวเจอร์สและตลาดหุ้นในต่างประเทศทยอยกันเกิดสัญญาณขาย ตลาดหุ้นในฝั่งยุโรปและอมเริกาส่วนใหญ่อยู่ในภาวะไร้ทิศทาง (sideway) ต่างกับตลาดหุ้นในย่านเอเชียโดยเฉพาะเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งตลาดส่วนใหญ่มีแนวโน้มขาขึ้น รวมทั้งไทยด้วย




No comments: