วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,092.31 จุด ลดลง 9.04 จุด แต่ต่างชาติยังซื้อมากกว่าขาย พร้อมกันนั้นเบสิสของ SET50 futures เป็นลบทั้ง series M และ series U
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BANPU ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 40 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ฟิวเจอร์สของข้าวโพด (C) เกิดสัญญาณขาย ทางด้านฟิวเจอร์สหุ้นของไทย BANPU ก็เกิดสัญญาณขาย
กลุ่มอีทีเอฟของต่างประเทศ DBA อันเป้นกองทุนรวมอีทีเอฟสินค้าเกษตรเกิดสัญญาณขาย
ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ทั้งด้านอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ปิดบวกและลบคละกันไป
Saturday, April 30, 2011
Friday, April 29, 2011
27/04/2011
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,101.35 จุด เพิ่มขึ้น 4.40 จุด แต่ต่างชาติยังซื้อมากกว่าขาย พร้อมกันนั้นเบสิสของ SET50 futures เป็นลบทั้ง series M และ series U
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BGH ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 41 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ฟิวเจอร์สของดัชนีนิกเกอิ (NK) ลุงแมวน้ำจึงเปิดสัญญาซื้อไป นอกจากนี้ฝ้าย (CT) และ KBANK เกิดสัญญาณซื้อ
ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ทั้งด้านอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ปิดบวกและลบคละกันไป
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BGH ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 41 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ฟิวเจอร์สของดัชนีนิกเกอิ (NK) ลุงแมวน้ำจึงเปิดสัญญาซื้อไป นอกจากนี้ฝ้าย (CT) และ KBANK เกิดสัญญาณซื้อ
ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ทั้งด้านอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ปิดบวกและลบคละกันไป
Wednesday, April 27, 2011
26/04/2011 * DX หลุดแนวรับ 74.325 หน่วยแล้ว, ตลาดหุ้นผันผวนมากขึ้นและเทรดยากกว่าเมื่อก่อนจริงหรือไม่ (2)
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,096.95 จุด ลดลง 8.48 จุด แต่ต่างชาติยังซื้อมากกว่าขาย พร้อมกันนั้นเบสิสของ SET50 futures เป็นลบทั้ง series M และ series U
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย KBANK, KK ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 40 ตัว
กองทุนอีทีเอฟ CHINA ที่ลงทุนในหุ้นจีนโดยอิงดัชนี CSI 300 เกิดสัญญาณขาย นอกจากนี้กองทุนอีทีเอฟ ENGY ก็เกิดสัญญาณขาย
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ฟิวเจอร์สของดัชนี S&P 500 (SP) เกิดสัญญาณซื้อ
กลุ่มตลาดต่างประเทศ ตลาดในกลุ่มอเมริกาและยุโรปส่นใหญ่ปิดบวก ตลาดเอเชียส่วนใหญ่ปิดลบ ตลาดหุ้นเปรูยังลงแรง
มาดูด้านค่าเงินกันบ้าง ดัชนีดอลลาร์ สรอ (dollar index, DX) อันเป็นดัชนีที่บ่งชี้ถึงระดับของเงินดอลลาร์ได้หลุดแนวรับสำคัญที่ 74.325 หน่วยมาหลายวันแล้วและยังไม่สามารถดีดกลับได้ ดังภาพต่อไปนี้
ลุงแมวน้ำประเมินว่าโอกาสไหลลงมีมากกว่าขึ้น คราวนี้ DX คงไหลลงไปทดสอบ 71.645 หน่วยต่อไป น้ำมันดิบ โลหะมีค่า (ทอง เงิน) และสินค้าเกษตรคงมีราคาแพงขึ้นไปอีกอันเป็นผลจากค่าเงินดอลลาร์อ่อน
ตลาดหุ้นผันผวนมากขึ้นและเทรดยากกว่าเมื่อก่อนจริงหรือไม่ (2)
เมื่อวันก่อนเราคุยกันเรื่องที่ว่าตลาดหุ้นในยุคนี้ผันผวนและเทรดยากกว่าเมื่อก่อนหรือไม่ และเราได้ดูตารางกันไปแล้วตารางหนึ่งพร้อมกับที่ลุงแมวน้ำแนะนำวิธีการดูตาราง วันนี้เรามาดูตารางนั้นกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อจะได้ไม่ต้องพลิกย้อนกลับไปดู ตารางของเมื่อวันก่อนเป็นการแจกแจงข้อมูลจำนวนวันที่ดัชนี SET ปิดลบและปิดบวก ดังนี้
เมื่อดูผลในรูปจำนวนวันอาจเปรียบเทียบแต่ละช่วงปีกันได้ยาก เนื่องจากแต่ละช่วง 5 ปีนั้นมีจำนวนวันเทรดไม่เท่ากัน (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวันหยุดของตลาดที่ในแต่ละปีอาจไม่เท่ากัน รวมทั้งข้อมูลที่อาจขาดหายไปบ้าง จึงทำให้จำนวนวันเทรดในแต่ละรอบ 5 ปีมีไม่เท่ากัน)
เพื่อให้ดูสะดวกขึ้นลุงแมวน้ำจึงคำนวณการแจกแจงที่เดิมแสดงเป็นจำนวนวันให้อยู่ในรูปร้อยละ ตารางที่คำนวณให้อยู่ในรูปร้อยละจะเป็นดังต่อไปนี้
คราวนี้เราจะสามารถเปรียบเทียบค่าของแต่ละเซลล์ได้ง่ายขึ้นเพราะอยู่ในรูปร้อยละทั้งหมด
ลองดูแถวสองแถวที่อยู่ในกรอบสีแดง สองแถวนั้นแถวหนึ่งคือวันที่ดัชนีปิดลบโดยปิดต่ำกว่าวันวานไม่เกิน -1% อีกแถวหนึ่งคือวันที่ปิดบวกไม่เกิน 1% รวมสองแถวนี้คือจำนวนวันที่ดัชนีปิดไม่เกินช่วง -1% ถึง +1% นั่นเอง ซึ่งลุงแมวน้ำจะถือว่าหากดัชนีปิดไม่เกินช่วง -1% ถึง +1% จะถือว่าตลาดไม่ผันผวนนัก ปิดบวกหรือลบไม่รุนแรง หากปิดลบหรือบวกด้วยเปอร์เซนต์ที่มากกว่านั้น เช่น -2%, -3% หรือ +2%, +4% จึงจะถือว่าผันผวนรุนแรงขึ้นตามลำดับ
ลองสังเกตดูในคอลัมน์ปี 1981-1985 ในรอบ 5 ปีนั้นตลาดมีความผันผวนน้อยมาก ดูได้จากดัชนีส่วนปิดอยู่ในช่วง -1% ถึง 1% มีมากถึง 94.32% (49.96+44.36 = 94.32)
ส่วนในปี 1996-2000 ช่วงนั้นตลาดผันผวนมาก สังเกตได้จากดัชนีส่วนปิดอยู่ในช่วง -1% ถึง 1% มีเพียง 43.68% เท่านั้น (23.63+20.05 = 43.68) แสดงว่าตลาดมีความผันผวนมาก ซึ่งช่วงนั้นก็คือช่วงที่ดัชนี SET ร่วงจาก 1,700 จุดและร่วงไม่หยุดเป็นเวลาหลายปีนั่นเอง
ส่วนในปี 2006-2010 ดัชนีส่วนปิดอยู่ในช่วง -1% ถึง 1% มีอยู่ 60.82% ตั้งแต่ช่วงปี 1986 ถึง 2010 ก็มีค่าประมาณนี้ (คือประมาณ 60%) ยกเว้นช่วงปี 1996-2000 เท่านั้น
ดังนั้นจึงพอกล่าวได้ว่าตลาดหุ้นในปัจจุบันไม่ได้ผันผวนมากไปกว่าเมื่อก่อน ช่วงปี 1996-2000 ช่วงนั้นจึงเป็นช่วงที่ตลาดผันผวนมาก
และนอกจากนี้ จากตารางราอาจพบข้อสังเกตอื่นๆได้อีก เช่นว่า ช่วงปี 1996-2000 จำนวนวันที่ดัชนีปิดลบมีมากกว่าจำนวนวันที่ดัชนีปิดบวก แสดงว่าตลาดไหลลงเรื่อยๆ ส่วนในช่วงปี 2001-2010 จำนวนวันที่ดัชนีปิดบวกมีมากกว่าจำนวนวันที่ตลาดปิดลบอยู่นิดหน่อย คิดคร่าวๆคือประมาณ 52:48 ซึ่งแทบจะกล่าวได้ว่าเฉลี่ยแล้วปิดเขียววันหนึ่งปิดแดงวันหนึ่งเลยทีเดียว
ในตอนต่อไปลุงแมวน้ำจะนำดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jone's Industrial Average, DJI) มาวิเคราะห์ดูบ้าง ลองดูว่าตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกากับไทยมีพฤติกรรมคล้ายกันหรือแตกต่างกัน
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย KBANK, KK ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 40 ตัว
กองทุนอีทีเอฟ CHINA ที่ลงทุนในหุ้นจีนโดยอิงดัชนี CSI 300 เกิดสัญญาณขาย นอกจากนี้กองทุนอีทีเอฟ ENGY ก็เกิดสัญญาณขาย
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ฟิวเจอร์สของดัชนี S&P 500 (SP) เกิดสัญญาณซื้อ
กลุ่มตลาดต่างประเทศ ตลาดในกลุ่มอเมริกาและยุโรปส่นใหญ่ปิดบวก ตลาดเอเชียส่วนใหญ่ปิดลบ ตลาดหุ้นเปรูยังลงแรง
มาดูด้านค่าเงินกันบ้าง ดัชนีดอลลาร์ สรอ (dollar index, DX) อันเป็นดัชนีที่บ่งชี้ถึงระดับของเงินดอลลาร์ได้หลุดแนวรับสำคัญที่ 74.325 หน่วยมาหลายวันแล้วและยังไม่สามารถดีดกลับได้ ดังภาพต่อไปนี้
ลุงแมวน้ำประเมินว่าโอกาสไหลลงมีมากกว่าขึ้น คราวนี้ DX คงไหลลงไปทดสอบ 71.645 หน่วยต่อไป น้ำมันดิบ โลหะมีค่า (ทอง เงิน) และสินค้าเกษตรคงมีราคาแพงขึ้นไปอีกอันเป็นผลจากค่าเงินดอลลาร์อ่อน
ตลาดหุ้นผันผวนมากขึ้นและเทรดยากกว่าเมื่อก่อนจริงหรือไม่ (2)
เมื่อวันก่อนเราคุยกันเรื่องที่ว่าตลาดหุ้นในยุคนี้ผันผวนและเทรดยากกว่าเมื่อก่อนหรือไม่ และเราได้ดูตารางกันไปแล้วตารางหนึ่งพร้อมกับที่ลุงแมวน้ำแนะนำวิธีการดูตาราง วันนี้เรามาดูตารางนั้นกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อจะได้ไม่ต้องพลิกย้อนกลับไปดู ตารางของเมื่อวันก่อนเป็นการแจกแจงข้อมูลจำนวนวันที่ดัชนี SET ปิดลบและปิดบวก ดังนี้
เมื่อดูผลในรูปจำนวนวันอาจเปรียบเทียบแต่ละช่วงปีกันได้ยาก เนื่องจากแต่ละช่วง 5 ปีนั้นมีจำนวนวันเทรดไม่เท่ากัน (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวันหยุดของตลาดที่ในแต่ละปีอาจไม่เท่ากัน รวมทั้งข้อมูลที่อาจขาดหายไปบ้าง จึงทำให้จำนวนวันเทรดในแต่ละรอบ 5 ปีมีไม่เท่ากัน)
เพื่อให้ดูสะดวกขึ้นลุงแมวน้ำจึงคำนวณการแจกแจงที่เดิมแสดงเป็นจำนวนวันให้อยู่ในรูปร้อยละ ตารางที่คำนวณให้อยู่ในรูปร้อยละจะเป็นดังต่อไปนี้
คราวนี้เราจะสามารถเปรียบเทียบค่าของแต่ละเซลล์ได้ง่ายขึ้นเพราะอยู่ในรูปร้อยละทั้งหมด
ลองดูแถวสองแถวที่อยู่ในกรอบสีแดง สองแถวนั้นแถวหนึ่งคือวันที่ดัชนีปิดลบโดยปิดต่ำกว่าวันวานไม่เกิน -1% อีกแถวหนึ่งคือวันที่ปิดบวกไม่เกิน 1% รวมสองแถวนี้คือจำนวนวันที่ดัชนีปิดไม่เกินช่วง -1% ถึง +1% นั่นเอง ซึ่งลุงแมวน้ำจะถือว่าหากดัชนีปิดไม่เกินช่วง -1% ถึง +1% จะถือว่าตลาดไม่ผันผวนนัก ปิดบวกหรือลบไม่รุนแรง หากปิดลบหรือบวกด้วยเปอร์เซนต์ที่มากกว่านั้น เช่น -2%, -3% หรือ +2%, +4% จึงจะถือว่าผันผวนรุนแรงขึ้นตามลำดับ
ลองสังเกตดูในคอลัมน์ปี 1981-1985 ในรอบ 5 ปีนั้นตลาดมีความผันผวนน้อยมาก ดูได้จากดัชนีส่วนปิดอยู่ในช่วง -1% ถึง 1% มีมากถึง 94.32% (49.96+44.36 = 94.32)
ส่วนในปี 1996-2000 ช่วงนั้นตลาดผันผวนมาก สังเกตได้จากดัชนีส่วนปิดอยู่ในช่วง -1% ถึง 1% มีเพียง 43.68% เท่านั้น (23.63+20.05 = 43.68) แสดงว่าตลาดมีความผันผวนมาก ซึ่งช่วงนั้นก็คือช่วงที่ดัชนี SET ร่วงจาก 1,700 จุดและร่วงไม่หยุดเป็นเวลาหลายปีนั่นเอง
ส่วนในปี 2006-2010 ดัชนีส่วนปิดอยู่ในช่วง -1% ถึง 1% มีอยู่ 60.82% ตั้งแต่ช่วงปี 1986 ถึง 2010 ก็มีค่าประมาณนี้ (คือประมาณ 60%) ยกเว้นช่วงปี 1996-2000 เท่านั้น
ดังนั้นจึงพอกล่าวได้ว่าตลาดหุ้นในปัจจุบันไม่ได้ผันผวนมากไปกว่าเมื่อก่อน ช่วงปี 1996-2000 ช่วงนั้นจึงเป็นช่วงที่ตลาดผันผวนมาก
และนอกจากนี้ จากตารางราอาจพบข้อสังเกตอื่นๆได้อีก เช่นว่า ช่วงปี 1996-2000 จำนวนวันที่ดัชนีปิดลบมีมากกว่าจำนวนวันที่ดัชนีปิดบวก แสดงว่าตลาดไหลลงเรื่อยๆ ส่วนในช่วงปี 2001-2010 จำนวนวันที่ดัชนีปิดบวกมีมากกว่าจำนวนวันที่ตลาดปิดลบอยู่นิดหน่อย คิดคร่าวๆคือประมาณ 52:48 ซึ่งแทบจะกล่าวได้ว่าเฉลี่ยแล้วปิดเขียววันหนึ่งปิดแดงวันหนึ่งเลยทีเดียว
ในตอนต่อไปลุงแมวน้ำจะนำดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jone's Industrial Average, DJI) มาวิเคราะห์ดูบ้าง ลองดูว่าตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกากับไทยมีพฤติกรรมคล้ายกันหรือแตกต่างกัน
25/04/2011
วันนี้ตลาดต่างประเทศบางแห่งยังหยุดทำการอยู่
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,105.43 จุด เพิ่มขึ้น 0.14 จุด
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย TCAB, TMB ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 42 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อขายถั่วเหลือง (soybean,S) เนื่องจากลุงแมวน้ำประเมินทางเทคนิคว่า S ยังเป็นขาขึ้นอยู่ จึงเพียงปิดสถานะไปเท่านั้น
กลุ่มตลาดต่างประเทศ ที่ปรับตัวลงแรงที่สุดในวันนี้คือเปรู ตามมาด้วยจีน ส่วนตลาดเวียดนาม ฟิลิปปินส์ขึ้นแรง
วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นของจีน (CSI 300) เกิดสัญญาณขายแต่คาดว่าน่าจะเป็นสัญญาณหลอก
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,105.43 จุด เพิ่มขึ้น 0.14 จุด
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย TCAB, TMB ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 42 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อขายถั่วเหลือง (soybean,S) เนื่องจากลุงแมวน้ำประเมินทางเทคนิคว่า S ยังเป็นขาขึ้นอยู่ จึงเพียงปิดสถานะไปเท่านั้น
กลุ่มตลาดต่างประเทศ ที่ปรับตัวลงแรงที่สุดในวันนี้คือเปรู ตามมาด้วยจีน ส่วนตลาดเวียดนาม ฟิลิปปินส์ขึ้นแรง
วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นของจีน (CSI 300) เกิดสัญญาณขายแต่คาดว่าน่าจะเป็นสัญญาณหลอก
Sunday, April 24, 2011
22/04/2011 * ตลาดหุ้นผันผวนมากขึ้นและเทรดยากกว่าเมื่อก่อนจริงหรือไม่ (1)
วันนี้ตลาดยุโรป อเมริกา และเอเชียอีกหลายชาติหยุดทำการเนื่องในวัน Good Friday
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,105.29 จุด ลดลง 4.63 จุด
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BLA, TUF และมีสัญญาณซื้อ EGCO ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 44 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย แต่ลุงแมวน้ำสังเกตพบว่าอนุพันธ์ของ SET50 กลับมามีเบสิส (basis) เป็นลบหลังจากที่ไม่ได้เห็นปรากฏการณ์เช่นนี้มานานแล้ว
เบสิสก็คือราคาของ SET50 ลบด้วยราคาอนุพันธ์นั่นเอง ปกติที่เราเห็นกันเบสิสมักเป็นบวก อันหมายความว่าราคาฟิวเจอร์สต่ำกว่าดัชนี SET50 หรือราคาฟิวเจอร์สไล่หลังราคาสปอต แต่ในวันนี้แม้เป็นวันที่ตลาดแดงแต่เบสิสก็เป็นลบ (หมายถถึงราคาฟิวเจอร์สนำหน้าราคาสปอตไปแล้ว) อันหมายถึงว่านักลงทุนในอนุพันธ์มองว่าตลาดเป็นขาขึ้นอย่างแรงจึงไล่ราคาอนุพันธ์กัน แต่มีข้อสังเกตคือ OI ของอนุพันธ์ไม่ได้เพิ่มมากนัก แสดงว่าไม่ค่อยมีเงินใหม่เข้ามาในอนุพันธ์
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดทำการ ดังนั้นจึงค่อยเห้นความเคลื่อนไหวอะไรมากนัก
ตลาดหุ้นผันผวนมากขึ้นและเทรดยากกว่าเมื่อก่อนจริงหรือไม่ (1)
เมื่อวันก่อน ขณะที่ลุงแมวน้ำกำลังทำสวนครัวอยู่ที่หลังคณะละครสัตว์ ก็เห็นลิงชิมแปนซีโหนเถาวัลย์ผ่านลุงแมวน้ำไป เจ้าลิงตัวนี้คือลิงชิมแปนซีเจ้าปัญญาตัวเดิมที่ลุงแมวน้ำเคยเล่าให้ฟังไปแล้วในเรื่องฟิวเจอร์สและเรื่อง dollar cost averaging (DCA) นั่นเอง
“เป็นไงบ้างนายลิงจ๋อ” ลุงแมวน้ำทักทาย
ลิงชิมแปนซีหยุดโหนเถาวัลย์และกระโดดลงมายืนข้างแปลงสวนครัวของลุงแมวน้ำ
“ก็สบายดีลุง” ลิงตอบ พลางเอื้อมมือไปปลิดกล้วยจากต้นกล้วยที่ลุงแมวน้ำปลูกเอาไว้มากิน หน้าตาของเจ้าลิงไม่ได้บ่งบอกว่าสบายเลยแม้แต่น้อย
“แต่ดูสีหน้าแล้วลุงว่าไม่เป็นยังงั้นเลย” ลุงแมวน้ำพูด “แล้วข่วงนี้หุ้นเป็นไงบ้าง ได้กำไรไหม”
ลิงชิมแปนซีถอนหายใจเฮือก “ก็พอได้กำไรอยู่”
“สงสัยจะโดนหุ้นเล่นมากกว่ามั้ง” ลุงแมวน้ำดักคอ
“จะว่ายังงั้นก็ได้” ลิงถอนหายใจอีกปู้ดหนึ่งพร้อมกับพูดอึกอัก “ว่าแต่ทำไมลุงรู้ล่ะ”
“สีหน้าเบื่อโลกขนาดนี้ลุงก็เดาได้ว่าขาดทุนหุ้นมาอีกแล้ว” ลุงแมวน้ำพูด “ก็เห็นเป็นแบบนี้ทุกที ได้กำไรก็คุยฟุ้ง พอขาดกลับอุบเงียบ แล้วปกติลุงเห็นนายได้กำไรทีละร้อยแต่ขาดทุนทีละพัน”
ลิงรีบเอานิ้วชี้แตะริมฝีปาก
“อย่าพูดดังสิลุง ขาดทุนแล้วมันเสียหน้า ใครจะบอกกันล่ะ เขาก็คุยอวดแต่ตอนได้ที่กำไรกันทั้งนั้น”
“หุ้นขึ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว นึกว่านายจ๋อกำไรบาน ซื้อกล้วยกินสบายใจไปแล้วเสียอีก” ลุงแมวน้ำพูดอีก
ลิงจ๋อส่ายหางพลางถอนใจ “หุ้นขึ้นแต่ผมไม่ได้กำไรเลย ทีก่อนซื้อละดูดี พอซื้อแล้วถือได้วันสองวันหุ้นก็ร่วง ต้องรีบขายทิ้งไปก่อน เป็นแบบนี้ทุกที ตลาดหุ้นสมัยนี้ผันผวนกว่าเมื่อก่อนมาก ขนาดเข้าเร็วออกเร็วแล้วนะ ไม่กล้าถือนานยังขาดทุนเลย เล่นยากจริงๆ”
ลิงชิมแปนซีเป็นดาราที่อยู่ในคณะละครสัตว์มานานหลายปีแล้ว แม้จะเป็นลิงเจ้าปัญญาแต่มีนิสัยชอบซื้อขายหุ้นบ่อยๆ ไม่ยอมถือนานๆ อาจเป็นเพราะนิสัยยุกยิกอยู่ไม่สุขก็เป็นได้จึงทำให้ชอบซื้อขายบ่อยๆ
หลังจากที่คุยกับลิงชิมแปนซีแล้วทำให้ลุงแมวน้ำอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าในช่วงหลายปีหลังๆนี้ตลาดหุ้นดูเหมือนจะผันผวนมากขึ้น วันหนึ่งขึ้น วันหนึ่งลง อีกทั้งการขึ้นลงก็แรงดูน่ากลัว ต่างจากเมื่อก่อน เมื่อตลาดผันผวนมากขึ้น การเทรดให้ได้กำไรก็ย่อมน่าจะยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเทรดด้วยระบบสัญญาณซื้อขายทางเทคนิด หากตลาดยิ่งผันผวนโอกาสเกิดสัญญาณหลอกก็ยิ่งสูงขึ้น
แต่เมื่อมาคิดอีกที นี่ก็เป็นเพียงความรู้สึก ในทางจิตวิทยานั้นเราทราบกันแล้วว่าบางครั้งความทรงจำหรือประสบการณ์ในอดีตก็หลอกเราได้ ดังนั้นหากจะให้รู้แน่จริงๆก็ต้องหาทางพิสูจน์เพื่อให้ได้ข้อมูลมายืนยัน ดังนั้นเมื่อว่างจากการแสดงลุงแมวน้ำจึงพยายามใช้วิธีการทางสถิติเพื่อหาคำตอบนี้
ก่อนอื่นก็ต้องมากำหนดกันก่อนว่าคำว่า ผันผวน นั้นเอาอะไรมาวัดและจะวัดอย่างไร ในที่นี้ลุงแมวน้ำคิดจะใช้ราคาปิดของดัชนีเซ็ต (SETI) มาเป็นตัววัด กล่าวคือ วัดจากเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของราคาปิดของดัชนีในวันนี้เมื่อเทียบกับวันก่อน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทำความเข้าใจได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อวานดัชนีปิดที่ 1000 จุด วันนี้ปิดที่ 1010 จุด เราก็บอกว่าวันนี้ดัชนีเปลี่ยนแปลงไป +1.0% (บวกหนึ่งเปอร์เซ็นต์) หรือหากเมื่อวานดัชนีปิดที่ 1000 จุด และวันนี้ปิดที่ 980 จุด เราก็บอกว่าวันนี้ดัชนีเปลี่ยนแปลงไป -2.0% (ลบสองเปอร์เซ็นต์) หากหุ้นผันผวนอย่างที่ลิงชิมแปนซีว่ามาจริง เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของ SETI ในยุคนี้จะต้องมากกว่าเมื่อหลายปีก่อน
ลุงแมวน้ำนำข้อมูลย้อนหลังของดัชนีเซ็ตมาวิเคราะห์ดูเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงว่าเป็นอย่างไร วิธีการของลุงแมวน้ำก็คือเอาการเปลี่ยนแปลงของ SETI ที่ว่าปิดบวกเท่าไร ปิดลบเท่าไร นี้มาจัดกลุ่ม เช่น วันที่ดัชนีปิดแล้วเปลี่ยนแปลง +0.01% ถึง +1.0% ก็แยกเป็นกลุ่มหนึ่ง วันที่ราคาปิดเปลี่ยนแปลง +1.01 ถึง +2.00% ก็นับแยกเอาไว้อีกกลุ่มหนึ่ง ดัชนีวันที่ปิดเป็นลบก็ทำเช่นเดียวกัน จากนั้นเอามาแยกเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มละ 5 ปีอีกที เช่น กลุ่มย่อยในช่วง ค.ศ. 1976-1980 กลุ่มย่อยในช่วง ค.ศ. 1981-1985 กลุ่มย่อยในช่วง 1986-1990 เป็นต้น
หากอ่านแล้วรู้สึกงงก็ไม่เป็นไร ลองมาดูตารางที่ลุงแมวน้ำแยกแยะจัดกลุ่มข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้วดีกว่า ดังนี้
วิธีดูตารางนี้ก็อย่างเช่น ในช่วงปี 1976-1980 (รอบห้าปี) นั้นมีจำนวนวันที่ดัชนีปิดบวกในช่วงตั้งแต่ 0.01% ถึง 1.00% อยู่ 443 วัน (หรือ 443 ครั้ง ความหมายเดียวกัน)
ในช่วงปี 2006-2010 (รอบห้าปีอีกรอบหนึ่ง) นั้นมีจำนวนวันที่ดัชนีปิดลบในช่วงตั้งแต่ -1.01% ถึง 0. 00% อยู่ 358 วัน
ในช่วงปี 1996-2000 นั้นมีจำนวนวันที่ดัชนีปิดบวกในช่วง 3.01% ถึง 4.00% อยู่ 47 วัน
เป็นต้น
ผลการแจกแจงที่ลุงแมวน้ำทำมาดูแล้วทำให้เราได้ทราบอะไรบ้าง ลองดูกันไปก่อน แล้วเรามาคุยกันต่อในวันต่อไป
(โปรดติดตามอ่านในวันต่อไป)
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,105.29 จุด ลดลง 4.63 จุด
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BLA, TUF และมีสัญญาณซื้อ EGCO ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 44 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย แต่ลุงแมวน้ำสังเกตพบว่าอนุพันธ์ของ SET50 กลับมามีเบสิส (basis) เป็นลบหลังจากที่ไม่ได้เห็นปรากฏการณ์เช่นนี้มานานแล้ว
เบสิสก็คือราคาของ SET50 ลบด้วยราคาอนุพันธ์นั่นเอง ปกติที่เราเห็นกันเบสิสมักเป็นบวก อันหมายความว่าราคาฟิวเจอร์สต่ำกว่าดัชนี SET50 หรือราคาฟิวเจอร์สไล่หลังราคาสปอต แต่ในวันนี้แม้เป็นวันที่ตลาดแดงแต่เบสิสก็เป็นลบ (หมายถถึงราคาฟิวเจอร์สนำหน้าราคาสปอตไปแล้ว) อันหมายถึงว่านักลงทุนในอนุพันธ์มองว่าตลาดเป็นขาขึ้นอย่างแรงจึงไล่ราคาอนุพันธ์กัน แต่มีข้อสังเกตคือ OI ของอนุพันธ์ไม่ได้เพิ่มมากนัก แสดงว่าไม่ค่อยมีเงินใหม่เข้ามาในอนุพันธ์
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดทำการ ดังนั้นจึงค่อยเห้นความเคลื่อนไหวอะไรมากนัก
ตลาดหุ้นผันผวนมากขึ้นและเทรดยากกว่าเมื่อก่อนจริงหรือไม่ (1)
เมื่อวันก่อน ขณะที่ลุงแมวน้ำกำลังทำสวนครัวอยู่ที่หลังคณะละครสัตว์ ก็เห็นลิงชิมแปนซีโหนเถาวัลย์ผ่านลุงแมวน้ำไป เจ้าลิงตัวนี้คือลิงชิมแปนซีเจ้าปัญญาตัวเดิมที่ลุงแมวน้ำเคยเล่าให้ฟังไปแล้วในเรื่องฟิวเจอร์สและเรื่อง dollar cost averaging (DCA) นั่นเอง
“เป็นไงบ้างนายลิงจ๋อ” ลุงแมวน้ำทักทาย
ลิงชิมแปนซีหยุดโหนเถาวัลย์และกระโดดลงมายืนข้างแปลงสวนครัวของลุงแมวน้ำ
“ก็สบายดีลุง” ลิงตอบ พลางเอื้อมมือไปปลิดกล้วยจากต้นกล้วยที่ลุงแมวน้ำปลูกเอาไว้มากิน หน้าตาของเจ้าลิงไม่ได้บ่งบอกว่าสบายเลยแม้แต่น้อย
“แต่ดูสีหน้าแล้วลุงว่าไม่เป็นยังงั้นเลย” ลุงแมวน้ำพูด “แล้วข่วงนี้หุ้นเป็นไงบ้าง ได้กำไรไหม”
ลิงชิมแปนซีถอนหายใจเฮือก “ก็พอได้กำไรอยู่”
“สงสัยจะโดนหุ้นเล่นมากกว่ามั้ง” ลุงแมวน้ำดักคอ
“จะว่ายังงั้นก็ได้” ลิงถอนหายใจอีกปู้ดหนึ่งพร้อมกับพูดอึกอัก “ว่าแต่ทำไมลุงรู้ล่ะ”
“สีหน้าเบื่อโลกขนาดนี้ลุงก็เดาได้ว่าขาดทุนหุ้นมาอีกแล้ว” ลุงแมวน้ำพูด “ก็เห็นเป็นแบบนี้ทุกที ได้กำไรก็คุยฟุ้ง พอขาดกลับอุบเงียบ แล้วปกติลุงเห็นนายได้กำไรทีละร้อยแต่ขาดทุนทีละพัน”
ลิงรีบเอานิ้วชี้แตะริมฝีปาก
“อย่าพูดดังสิลุง ขาดทุนแล้วมันเสียหน้า ใครจะบอกกันล่ะ เขาก็คุยอวดแต่ตอนได้ที่กำไรกันทั้งนั้น”
“หุ้นขึ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว นึกว่านายจ๋อกำไรบาน ซื้อกล้วยกินสบายใจไปแล้วเสียอีก” ลุงแมวน้ำพูดอีก
ลิงจ๋อส่ายหางพลางถอนใจ “หุ้นขึ้นแต่ผมไม่ได้กำไรเลย ทีก่อนซื้อละดูดี พอซื้อแล้วถือได้วันสองวันหุ้นก็ร่วง ต้องรีบขายทิ้งไปก่อน เป็นแบบนี้ทุกที ตลาดหุ้นสมัยนี้ผันผวนกว่าเมื่อก่อนมาก ขนาดเข้าเร็วออกเร็วแล้วนะ ไม่กล้าถือนานยังขาดทุนเลย เล่นยากจริงๆ”
ลิงชิมแปนซีเป็นดาราที่อยู่ในคณะละครสัตว์มานานหลายปีแล้ว แม้จะเป็นลิงเจ้าปัญญาแต่มีนิสัยชอบซื้อขายหุ้นบ่อยๆ ไม่ยอมถือนานๆ อาจเป็นเพราะนิสัยยุกยิกอยู่ไม่สุขก็เป็นได้จึงทำให้ชอบซื้อขายบ่อยๆ
หลังจากที่คุยกับลิงชิมแปนซีแล้วทำให้ลุงแมวน้ำอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าในช่วงหลายปีหลังๆนี้ตลาดหุ้นดูเหมือนจะผันผวนมากขึ้น วันหนึ่งขึ้น วันหนึ่งลง อีกทั้งการขึ้นลงก็แรงดูน่ากลัว ต่างจากเมื่อก่อน เมื่อตลาดผันผวนมากขึ้น การเทรดให้ได้กำไรก็ย่อมน่าจะยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเทรดด้วยระบบสัญญาณซื้อขายทางเทคนิด หากตลาดยิ่งผันผวนโอกาสเกิดสัญญาณหลอกก็ยิ่งสูงขึ้น
แต่เมื่อมาคิดอีกที นี่ก็เป็นเพียงความรู้สึก ในทางจิตวิทยานั้นเราทราบกันแล้วว่าบางครั้งความทรงจำหรือประสบการณ์ในอดีตก็หลอกเราได้ ดังนั้นหากจะให้รู้แน่จริงๆก็ต้องหาทางพิสูจน์เพื่อให้ได้ข้อมูลมายืนยัน ดังนั้นเมื่อว่างจากการแสดงลุงแมวน้ำจึงพยายามใช้วิธีการทางสถิติเพื่อหาคำตอบนี้
ก่อนอื่นก็ต้องมากำหนดกันก่อนว่าคำว่า ผันผวน นั้นเอาอะไรมาวัดและจะวัดอย่างไร ในที่นี้ลุงแมวน้ำคิดจะใช้ราคาปิดของดัชนีเซ็ต (SETI) มาเป็นตัววัด กล่าวคือ วัดจากเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของราคาปิดของดัชนีในวันนี้เมื่อเทียบกับวันก่อน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทำความเข้าใจได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อวานดัชนีปิดที่ 1000 จุด วันนี้ปิดที่ 1010 จุด เราก็บอกว่าวันนี้ดัชนีเปลี่ยนแปลงไป +1.0% (บวกหนึ่งเปอร์เซ็นต์) หรือหากเมื่อวานดัชนีปิดที่ 1000 จุด และวันนี้ปิดที่ 980 จุด เราก็บอกว่าวันนี้ดัชนีเปลี่ยนแปลงไป -2.0% (ลบสองเปอร์เซ็นต์) หากหุ้นผันผวนอย่างที่ลิงชิมแปนซีว่ามาจริง เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของ SETI ในยุคนี้จะต้องมากกว่าเมื่อหลายปีก่อน
ลุงแมวน้ำนำข้อมูลย้อนหลังของดัชนีเซ็ตมาวิเคราะห์ดูเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงว่าเป็นอย่างไร วิธีการของลุงแมวน้ำก็คือเอาการเปลี่ยนแปลงของ SETI ที่ว่าปิดบวกเท่าไร ปิดลบเท่าไร นี้มาจัดกลุ่ม เช่น วันที่ดัชนีปิดแล้วเปลี่ยนแปลง +0.01% ถึง +1.0% ก็แยกเป็นกลุ่มหนึ่ง วันที่ราคาปิดเปลี่ยนแปลง +1.01 ถึง +2.00% ก็นับแยกเอาไว้อีกกลุ่มหนึ่ง ดัชนีวันที่ปิดเป็นลบก็ทำเช่นเดียวกัน จากนั้นเอามาแยกเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มละ 5 ปีอีกที เช่น กลุ่มย่อยในช่วง ค.ศ. 1976-1980 กลุ่มย่อยในช่วง ค.ศ. 1981-1985 กลุ่มย่อยในช่วง 1986-1990 เป็นต้น
หากอ่านแล้วรู้สึกงงก็ไม่เป็นไร ลองมาดูตารางที่ลุงแมวน้ำแยกแยะจัดกลุ่มข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้วดีกว่า ดังนี้
วิธีดูตารางนี้ก็อย่างเช่น ในช่วงปี 1976-1980 (รอบห้าปี) นั้นมีจำนวนวันที่ดัชนีปิดบวกในช่วงตั้งแต่ 0.01% ถึง 1.00% อยู่ 443 วัน (หรือ 443 ครั้ง ความหมายเดียวกัน)
ในช่วงปี 2006-2010 (รอบห้าปีอีกรอบหนึ่ง) นั้นมีจำนวนวันที่ดัชนีปิดลบในช่วงตั้งแต่ -1.01% ถึง 0. 00% อยู่ 358 วัน
ในช่วงปี 1996-2000 นั้นมีจำนวนวันที่ดัชนีปิดบวกในช่วง 3.01% ถึง 4.00% อยู่ 47 วัน
เป็นต้น
ผลการแจกแจงที่ลุงแมวน้ำทำมาดูแล้วทำให้เราได้ทราบอะไรบ้าง ลองดูกันไปก่อน แล้วเรามาคุยกันต่อในวันต่อไป
(โปรดติดตามอ่านในวันต่อไป)
Friday, April 22, 2011
21/04/2011
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,109.92 จุด เพิ่มขึ้น 2.56 จุด
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 45 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้เงินเยนของญี่ปุ่น (JY) หลังจากที่อ่อนค่าไปได้ไม่นานก็กลับมาแข็งค่าอีกและเกิดสัญญาณซื้อ ลุงแมวน้ำจึงเปิดสัญญาซื้อไป
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดเขียวกระจายไปในทุกภูมิภาค ที่ปรับตัวขึ้นแรงๆมีกรีซ ไต้หวัน และแอฟริกาใต้ ดัชนีตลาดของไต้หวันเกิดสัญญาณซื้อ รวมทั้งดัชนี S&P 500 (GSPC) ของสหรัฐอเมริกาก็เกิดสัญญาณซื้อเช่นกัน คาดว่าดัชนีตลาดอื่นๆของสหรัฐอเมริกา เช่น ดัชนีแนสแดค 100 (NDX) และดัชนีดาวโจนส์ (DJI) ก็น่าจะเกิดสัญญาณซื้อในอีกไม่กี่วันนี้
ดัชนีในระดับภูมิภาคทยอยกลับกลายเป็นสัญญาณซื้อหลังจากที่เกิดสัญญาณขายได้เพียงไม่กี่วัน ได้แก่ MSCI All Country World, ดัชนีกลุ่มยูโรโซน (ดูแทนด้วย EZU), และดัชนีกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว (W3DOW)
เงินดอลาร์ สรอ ยังอ่อนต่อ โดยปิดที่ 74.180 หน่วย ดังที่ลุงแมวน้ำเคยคุยให้ฟังแล้วว่าหาก DX ร่วงต่ำกว่า 74.325 โอกาสที่ขณะนี้เราไม่ได้อยู่ในคลื่น 2 แต่อยู่ในคลื่น C ก็มีสูงขึ้น อาการของค่าเงินดอลลาร์ สรอ จึงดูน่าเป็นห่วง
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 45 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้เงินเยนของญี่ปุ่น (JY) หลังจากที่อ่อนค่าไปได้ไม่นานก็กลับมาแข็งค่าอีกและเกิดสัญญาณซื้อ ลุงแมวน้ำจึงเปิดสัญญาซื้อไป
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดเขียวกระจายไปในทุกภูมิภาค ที่ปรับตัวขึ้นแรงๆมีกรีซ ไต้หวัน และแอฟริกาใต้ ดัชนีตลาดของไต้หวันเกิดสัญญาณซื้อ รวมทั้งดัชนี S&P 500 (GSPC) ของสหรัฐอเมริกาก็เกิดสัญญาณซื้อเช่นกัน คาดว่าดัชนีตลาดอื่นๆของสหรัฐอเมริกา เช่น ดัชนีแนสแดค 100 (NDX) และดัชนีดาวโจนส์ (DJI) ก็น่าจะเกิดสัญญาณซื้อในอีกไม่กี่วันนี้
ดัชนีในระดับภูมิภาคทยอยกลับกลายเป็นสัญญาณซื้อหลังจากที่เกิดสัญญาณขายได้เพียงไม่กี่วัน ได้แก่ MSCI All Country World, ดัชนีกลุ่มยูโรโซน (ดูแทนด้วย EZU), และดัชนีกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว (W3DOW)
เงินดอลาร์ สรอ ยังอ่อนต่อ โดยปิดที่ 74.180 หน่วย ดังที่ลุงแมวน้ำเคยคุยให้ฟังแล้วว่าหาก DX ร่วงต่ำกว่า 74.325 โอกาสที่ขณะนี้เราไม่ได้อยู่ในคลื่น 2 แต่อยู่ในคลื่น C ก็มีสูงขึ้น อาการของค่าเงินดอลลาร์ สรอ จึงดูน่าเป็นห่วง
20/04/2011 * อาลัย ดร.ปัญญา เปรมปรีด์
ผลงานหนังสือของ ดร.ปัญญา เปรมปรีด์ เจ้าของเว็บไซต์ www.drpunya.com
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,107.36 จุด เพิ่มขึ้น 11.48 จุด ในที่สุดก็ผ่านหลัก 1,100 จุดไปได้ พร้อมกับปริมาณซื้อขายกว่า 40,000 ล้านบาท
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 45 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดเขียวอีก ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของเยอรมนีและแอฟริกาใต้ขึ้นแรง โดยเฉพาะดัชนีแดกซ์ (DAX) ของเยอรมนีเกิดสัญญาณซื้อ
เงินดอลาร์ สรอ ยังอ่อนต่อ
นานแล้วที่ลุงแมวน้ำไม่ได้เห็นวอลุ่มของดัชนี SET ขนาดกว่า 40,000 ล้านบาท การที่ปริมาณซื้อขายมีเพิ่มมากขึ้นอย่างปุบปับ (volume spike) เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการกลับทิศของแนวโน้มได้อย่างหนึ่ง แต่ในกรณีนี้ปริมาณซือขายค่อยๆเพิ่มขึ้นมาจากระดับสองหมื่นล้าน สามหมื่นล้าน จนมาถึงสี่หมื่นล้าน ดังนั้นจึงไม่ใช่กรณี volume spike ตรงกันข้ามปริมาณซื้อขายที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นนี้เป็นสัญญาณสนับสนุนแนวโน้มได้อย่างหนึ่ง
อาลัย ดร. ปัญญา เปรมปรีด์
เมื่อวานลุงแมวน้ำได้เข้าไปในกระดานสนทนาของเว็บไซต์ www.drpunya.com อันเป็นเว็บไซต์ที่ ดร.ปัญญา เปรมปรีด์ หรืออาจารย์ปัญญาทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้แก่นักลงทุน ลุงแมวน้ำไม่ได้เข้าดูเว็บไซต์และกระดานสนทนาที่นี่มานานพอสมควรเนื่องจากทราบมาว่าท่านอาจารย์ไม่ค่อยแข็งแรงนักและไม่ได้ปรับปรุงเว็บไซต์มาเกือบหนึ่งปีแล้ว
การเข้าไปดูกระดานสนทนาในครั้งนี้จึงทำให้ลุงแมวน้ำเพิ่งได้ทราบว่าท่านอาจารย์ปัญญาได้จากไปแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคม 2554 ที่ผ่านมา ลุงแมวน้ำไม่ได้รู้จักอาจารย์ปัญญาเป็นการส่วนตัว แต่ได้อาศัยการศึกษาจากเว็บไซต์ของอาจารย์เป็นประจำ รวมทั้งอ่านหนังสือที่อาจารย์เขียนเกี่ยวกับหุ้น ดังนั้นแม้ว่าลุงแมวน้ำจะเป็นเพียงแค่แฟนคลับเว็บไซต์ของอาจารย์แต่ก็ถือว่าอาจารย์ปัญญาเป็นครูท่านหนึ่งของลุงแมวน้ำ
หลายปีที่ติดตามหาความรู้จากเว็บไซต์ของอาจารย์ปัญญาทำให้ลุงแมวน้ำมีความรู้เกี่ยวกับการลงทุนด้วยการใช้ปัจจัยทางเทคนิค รวมทั้งทำให้ลุงแมวน้ำมีทัศนคติที่ถูกต้องในการลงทุน ลุงแมวน้ำชอบบทความและการเขียนของอาจารย์ปัญญาที่อยู่ในเว็บไซต์ ความประทับใจอย่างหนึ่งก็คือการสอนให้ลงทุนก็เพื่อให้มีผลตอบแทนดีกว่าฝากธนาคารหรือสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ ได้กำไรพอสมควร แต่ไม่ได้ชี้นำให้เกิดความโลภ ไม่ได้ปลูกฝังความคิดที่ว่าเทรดแล้วจะรวยให้แก่ผู้อ่าน ตรงกันข้าม กลับสอนให้ไม่ประมาท เท่าที่ทราบอาจารย์ใช้เวลาพอสมควรทีเดียวในการปรับปรุงเว็บไซต์ในแต่ละวัน เนื่องจากต้องป้อนข้อมูลหุ้นเข้าไปเองหลังจากที่ตลาดปิด จากนั้นรันโปรแกรม นำผลของโปรแกรมมาจัดทำรายงาน เขียนความเห็น และโพสต์ลงในเว็บไซต์ในตอนค่ำให้แฟนคลับได้อ่านกัน ทำอยู่อย่างนี้นานนับปีโดยไม่ได้หยุด เว็บบล็อกของลุงแมวน้ำก็ได้แนวความคิดมาจากเว็บไซต์ของอาจารย์ปัญญานั่นเอง ดังจะเห็นได้จากแนวทางในการนำเสนอรายงานประจำวันนั้นมีหลักการที่คล้ายคลึงกัน
อาจารย์ปัญญายังเป็นครูที่ใจดี ผู้ที่ติดตามเว็บไซต์ของอาจารย์เมื่อมีปัญหาจะเขียนถามก็ได้ โทรไปคุยก็ได้ มิหนำซ้ำไปหาที่บ้านก็ยังได้ เมื่อก่อนอาจารย์เคยเปิดบ้านเพื่อให้นักลงทุนที่ติดตามผลงานของอาจารย์มาเรียนรู้ในเรื่องโปรแกรมวิเคราะห์หุ้นของอาจารย์โดยที่ไม่หวงวิชาความรู้
บัดนี้อาจารย์ปัญญาหรือ ดร.ปัญญา เปรมปรีด์ ได้จากไปแล้ว ลุงแมวน้ำขออุทิศบทความในวันนี้เพื่อระลึกถึงและแสดงความไว้อาลัยแก่ครูท่านนี้
Wednesday, April 20, 2011
19/04/2011 * ปรับมุมมองหุ้นไทย (SETI), ดอลลาร์ สรอ (DX) และทองคำ (GC) ถึงหัวเลี้ยวหัวต่อ
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,095.88 จุด เพิ่มขึ้น 5.21 จุด ใกล้ 1,100 จุดเข้าไปทุกทีแล้ว
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ THAI ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 45 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายยางไทย (RSS3) แต่ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็คือ วันนี้ราคายางพาราลงติดพื้นอีกและแทบไม่มีการเทรดเนื่องจากมีแต่ตั้งขายแต่ไม่มีใครกล้าตั้งซื้อ ดังนั้นนักลงทุนที่เปิดสัญญาซื้อเอาไว้จึงขังถูกขังต่อไป
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดเขียวอันเป็นการรีบาวด์จากเมื่อวาน ที่เมื่อลงแรงวันนี้ก็ขึ้นแรง เช่น อียิปต์ ตุรกี
ปรับมุมมองหุ้นไทย
ที่จริงลุงแมวน้ำเคยเกริ่นเอาไว้ตั้งแต่ก่อนสงกรานต์แล้วว่าได้ปรับมุมมองหุ้นไทยและดัชนี SET เสียใหม่ที่จากเดิมมองว่ายอดคลื่น 5 (สีน้ำตาล) อยู่ที่ SETI ประมาณ 1,150 จุด และหลังจากนั้นตลาดหุ้นน่าจะเข้าสู่คลื่น a-b-c (สีน้ำตาล) ที่อาจลงได้ลึก ดังภาพต่อไปนี้
แต่หลังจากดัชนีผ่านระดับ 1,150 จุดมาได้ ลุงแมวน้ำก็ต้องปรับมุมมองใหม่ เพราะแสดงว่าคลื่น 5 (สีน้ำตาล) ยังไม่จบ และตอนนี้ยังเป็นคลื่นขาขึ้น 5 (สีน้ำตาล) อยู่ ซึ่งต้องนับคลื่นย่อยใหม่ ลุงแมวน้ำขอเวลาดูอีกสักระยะหนึ่งจึงจะปรับการนับคลื่นเสียใหม่
อย่างไรก็ดี ภาพในระยะยาวหรือมุมมองของดัชนี SET และตลาดหุ้นไทยในภาพใหญ่นั้นลุงแมวน้ำยังมองเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือ ขณะนี้เราอยู่ในคลื่นใหญ่ 5 (สีดำ) ดังนี้
สำหรับในระยะสั้นนั้นดัชนี SET คงยังไม่จบคลื่น 5 (สีน้ำตาล) เพราะดูจากค่าเงินสกุลต่างๆในเอเชียแบบเรียลไทม์เมื่อตอนเช้าของวันที่ 20 เม.ย. เงินบาทไทย (THB) นั้นแข็งค่ามาอย่างต่อเนื่องในระยะนี้ ขณะเดียวกันเงินดอลลาร์สิงคโปร์ (SGD) เงินรูเปียะของอินโดนีเซีย (INR) และเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) ก็แข็งค่าขึ้นอย่างชัดเจน อันแสดงว่ามีเงินไหลเข้าในประเทศต่างๆที่กล่าวมา ดังภาพต่อไปนี้ (คลิกที่ภาพเพื่อดูในขนาดขยาย)
เมื่อเงินเข้ามาแล้วก็ต้องทำอะไรสักอย่างหรือหลายๆอย่าง เช่น ซื้อตราสารหนี้ หรือลงทุนในตลาดหุ้น ฯลฯ ดังนั้นในระยะสั้นๆหุ้นไทยน่าจะขึ้นต่อไปได้ รวมทั้งตลาดหุ้นของประเทศทั้งสี่ที่ลุงแมวน้ำกล่าวมาน่าจะแข็งกว่าตลาดโดยรวมของภูมิภาค
ดอลลาร์ สรอ (DX) และทองคำ (GC) ถึงหัวเลี้ยวหัวต่อ
นอกจากตลาดหุ้นไทยที่ค่อนข้างแรงในช่วงนี้แล้ว ที่มาแรงอย่างต่อนื่องอีกอย่างหนึ่งก็คือทองคำ ราคาทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่อยู่เรื่อยๆโดยไม่หยุดจนมาถึงเกือบๆ 1,500 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ ก่อนที่จะพูดถึงทองคำต่อไปมาดูค่าเงินดอลาร์ของสหรัฐอเมริกากันก่อน โดยพิจารณาจากค่าดัชนีดอลลาร์ สรอ (dollar index, DX) ดังภาพต่อไปนี้
จะเห็นว่า DX นั้นป้วนเปี่ยนอยู่แถวนี้มาะยะหนึ่งแล้ว แนวรับที่สำคัญมากก็คือที่ 74.325 และ 71.645 หน่วยตามลำดับ อันเป็นท้องคลื่นที่มีความสำคัญ ที่ 74.325 หน่วยนั้นนับเป็นจุดสิ้นสุดของคลื่น 2 (สีน้ำเงิน) หาก DX ลงต่ำกว่าจุดนี้อาจตีความได้ 2 อย่าง คือ DX ยังไม่จบคลื่น 2 (สีน้ำเงิน) หรือ DX กำลังอยู่ในคลื่น C (สีน้ำเงิน)
และถ้าเมื่อไรที่ DX หลุดต่ำกว่า 71.645 หน่วยก็ค่อนข้างแน่ว่าค่าเงินดอลลาร์อยู่ในคลื่นขาลง C (สีน้ำเงิน) ไม่ใช่คลื่น 2
ผลจากสองเหตุการณ์ดังกล่าวก็คือ หากค่า DX อยู่ในคลื่น 2 เมื่อจบคลื่น 2 ก็จะเข้าสู่คลื่น 3 เมื่อนั้นราคาทองคำจะกลับทิศแนวโน้มเป็นขาลงและจบคลื่น 5 (แปลว่าต่อไปราคาทองคำคงลงได้ยาว)
แต่หาก DX อยู่ในคลื่น C แปลว่าราคาทองคำจะไม่หยุดเพียงแค่นี้ แต่จะขึ้นต่อไปอีกไกล และคงต้องปรับการนับคลื่นของทองคำกันใหม่
ค่าเงินดอลลาร์และราคาทองคำจะเป็นเช่นไรอีกไม่นานน่าจะมีคำตอบ
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ THAI ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 45 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายยางไทย (RSS3) แต่ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็คือ วันนี้ราคายางพาราลงติดพื้นอีกและแทบไม่มีการเทรดเนื่องจากมีแต่ตั้งขายแต่ไม่มีใครกล้าตั้งซื้อ ดังนั้นนักลงทุนที่เปิดสัญญาซื้อเอาไว้จึงขังถูกขังต่อไป
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดเขียวอันเป็นการรีบาวด์จากเมื่อวาน ที่เมื่อลงแรงวันนี้ก็ขึ้นแรง เช่น อียิปต์ ตุรกี
ปรับมุมมองหุ้นไทย
ที่จริงลุงแมวน้ำเคยเกริ่นเอาไว้ตั้งแต่ก่อนสงกรานต์แล้วว่าได้ปรับมุมมองหุ้นไทยและดัชนี SET เสียใหม่ที่จากเดิมมองว่ายอดคลื่น 5 (สีน้ำตาล) อยู่ที่ SETI ประมาณ 1,150 จุด และหลังจากนั้นตลาดหุ้นน่าจะเข้าสู่คลื่น a-b-c (สีน้ำตาล) ที่อาจลงได้ลึก ดังภาพต่อไปนี้
แต่หลังจากดัชนีผ่านระดับ 1,150 จุดมาได้ ลุงแมวน้ำก็ต้องปรับมุมมองใหม่ เพราะแสดงว่าคลื่น 5 (สีน้ำตาล) ยังไม่จบ และตอนนี้ยังเป็นคลื่นขาขึ้น 5 (สีน้ำตาล) อยู่ ซึ่งต้องนับคลื่นย่อยใหม่ ลุงแมวน้ำขอเวลาดูอีกสักระยะหนึ่งจึงจะปรับการนับคลื่นเสียใหม่
อย่างไรก็ดี ภาพในระยะยาวหรือมุมมองของดัชนี SET และตลาดหุ้นไทยในภาพใหญ่นั้นลุงแมวน้ำยังมองเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือ ขณะนี้เราอยู่ในคลื่นใหญ่ 5 (สีดำ) ดังนี้
สำหรับในระยะสั้นนั้นดัชนี SET คงยังไม่จบคลื่น 5 (สีน้ำตาล) เพราะดูจากค่าเงินสกุลต่างๆในเอเชียแบบเรียลไทม์เมื่อตอนเช้าของวันที่ 20 เม.ย. เงินบาทไทย (THB) นั้นแข็งค่ามาอย่างต่อเนื่องในระยะนี้ ขณะเดียวกันเงินดอลลาร์สิงคโปร์ (SGD) เงินรูเปียะของอินโดนีเซีย (INR) และเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) ก็แข็งค่าขึ้นอย่างชัดเจน อันแสดงว่ามีเงินไหลเข้าในประเทศต่างๆที่กล่าวมา ดังภาพต่อไปนี้ (คลิกที่ภาพเพื่อดูในขนาดขยาย)
เมื่อเงินเข้ามาแล้วก็ต้องทำอะไรสักอย่างหรือหลายๆอย่าง เช่น ซื้อตราสารหนี้ หรือลงทุนในตลาดหุ้น ฯลฯ ดังนั้นในระยะสั้นๆหุ้นไทยน่าจะขึ้นต่อไปได้ รวมทั้งตลาดหุ้นของประเทศทั้งสี่ที่ลุงแมวน้ำกล่าวมาน่าจะแข็งกว่าตลาดโดยรวมของภูมิภาค
ดอลลาร์ สรอ (DX) และทองคำ (GC) ถึงหัวเลี้ยวหัวต่อ
นอกจากตลาดหุ้นไทยที่ค่อนข้างแรงในช่วงนี้แล้ว ที่มาแรงอย่างต่อนื่องอีกอย่างหนึ่งก็คือทองคำ ราคาทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่อยู่เรื่อยๆโดยไม่หยุดจนมาถึงเกือบๆ 1,500 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ ก่อนที่จะพูดถึงทองคำต่อไปมาดูค่าเงินดอลาร์ของสหรัฐอเมริกากันก่อน โดยพิจารณาจากค่าดัชนีดอลลาร์ สรอ (dollar index, DX) ดังภาพต่อไปนี้
จะเห็นว่า DX นั้นป้วนเปี่ยนอยู่แถวนี้มาะยะหนึ่งแล้ว แนวรับที่สำคัญมากก็คือที่ 74.325 และ 71.645 หน่วยตามลำดับ อันเป็นท้องคลื่นที่มีความสำคัญ ที่ 74.325 หน่วยนั้นนับเป็นจุดสิ้นสุดของคลื่น 2 (สีน้ำเงิน) หาก DX ลงต่ำกว่าจุดนี้อาจตีความได้ 2 อย่าง คือ DX ยังไม่จบคลื่น 2 (สีน้ำเงิน) หรือ DX กำลังอยู่ในคลื่น C (สีน้ำเงิน)
และถ้าเมื่อไรที่ DX หลุดต่ำกว่า 71.645 หน่วยก็ค่อนข้างแน่ว่าค่าเงินดอลลาร์อยู่ในคลื่นขาลง C (สีน้ำเงิน) ไม่ใช่คลื่น 2
ผลจากสองเหตุการณ์ดังกล่าวก็คือ หากค่า DX อยู่ในคลื่น 2 เมื่อจบคลื่น 2 ก็จะเข้าสู่คลื่น 3 เมื่อนั้นราคาทองคำจะกลับทิศแนวโน้มเป็นขาลงและจบคลื่น 5 (แปลว่าต่อไปราคาทองคำคงลงได้ยาว)
แต่หาก DX อยู่ในคลื่น C แปลว่าราคาทองคำจะไม่หยุดเพียงแค่นี้ แต่จะขึ้นต่อไปอีกไกล และคงต้องปรับการนับคลื่นของทองคำกันใหม่
ค่าเงินดอลลาร์และราคาทองคำจะเป็นเช่นไรอีกไม่นานน่าจะมีคำตอบ
18/04/2011
วันนี้ตลาดหุ้นไทยเปิดทำการหลังจากหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ดัชนี SET ปิดที่ 1090.67 จุด เพิ่มขึ้น 5.76 จุด
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BEC ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 43 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายยางโตคอม (Tocom rubber) ทองแดง (HG) ฟิวเจอร์สของดัชนีนิกเกอิ (NK) และฟิวเจอร์สของดัชนี S&P 500 (SP) ยางพางราตลาด AFET (RSS3) แม้ยังไม่เกิดสัญญาณขายแต่ราคาร่วงติดพื้น วอลุ่มหาย นักลงทุนถูกขังยังปิดสัญญาไม่ได้
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดแดง ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงพร้อมกับเกิดสัญญาณขายในหลายประเทศต่อเนื่องจากวันก่อน ที่เกิดสัญญาณขายในวันนี้ ได้แก่ ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐอเมริกา (แต่ดัชนีดาวโจนส์ยังไม่เกิดสัญญาณขาย) ตลาดเยอรมนี สวีเดน อังกฤษ (UK) รัสเซีย ด้านตลาดอียิปต์ร่วงแรงนื่องจากปัญหาความไม่สงบกลับมาคุกรุ่นอีก
ดัชนีที่บ่งชี้ในระดับภูมิภาคและระดับโลกก็เกิดสัญญาณขาย ได้แก่ MSCI All Country World (ดูแทนด้วย ACWI) ดัชนีตลาดพัฒนาแล้ว (W3DOW) และดัชนีตลาดเกิดใหม่กลุ่มชายขอบ (BKNFR) ก็เกิดสัญญาณขาย ดัชนีในระดับโลกและภูมิภาคบ่งชี้ให้เห็นแรงขายที่เกิดกระขายทั่วไปหมด วันนี้ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย ปิดบวกสวนกระแสได้
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BEC ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 43 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายยางโตคอม (Tocom rubber) ทองแดง (HG) ฟิวเจอร์สของดัชนีนิกเกอิ (NK) และฟิวเจอร์สของดัชนี S&P 500 (SP) ยางพางราตลาด AFET (RSS3) แม้ยังไม่เกิดสัญญาณขายแต่ราคาร่วงติดพื้น วอลุ่มหาย นักลงทุนถูกขังยังปิดสัญญาไม่ได้
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดแดง ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงพร้อมกับเกิดสัญญาณขายในหลายประเทศต่อเนื่องจากวันก่อน ที่เกิดสัญญาณขายในวันนี้ ได้แก่ ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐอเมริกา (แต่ดัชนีดาวโจนส์ยังไม่เกิดสัญญาณขาย) ตลาดเยอรมนี สวีเดน อังกฤษ (UK) รัสเซีย ด้านตลาดอียิปต์ร่วงแรงนื่องจากปัญหาความไม่สงบกลับมาคุกรุ่นอีก
ดัชนีที่บ่งชี้ในระดับภูมิภาคและระดับโลกก็เกิดสัญญาณขาย ได้แก่ MSCI All Country World (ดูแทนด้วย ACWI) ดัชนีตลาดพัฒนาแล้ว (W3DOW) และดัชนีตลาดเกิดใหม่กลุ่มชายขอบ (BKNFR) ก็เกิดสัญญาณขาย ดัชนีในระดับโลกและภูมิภาคบ่งชี้ให้เห็นแรงขายที่เกิดกระขายทั่วไปหมด วันนี้ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย ปิดบวกสวนกระแสได้
Monday, April 18, 2011
12/04/2011 - 15/04/2011 * กองทุนรวมสินค้าเกษตร (Agriculture FIF)
เนื่องจากวันที่ 12 เมษายน เป็นวันทำการวันสุดท้ายของตลาดหลักทรัพย์ ตลาด TFEX และตลาด AFET ของไทยก่อนหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ดังนั้นในสัปดาห์นี้ลุงแมวน้ำจึงรายงานสภาพตลาดในที่เป็นของไทยจนถึงวันที่ 12 นี้เท่านั้น ส่วนวันที่ 13/04/2011 - 15/04/2011 เฉพาะข้อมูลของตลาดต่างประเทศ
และในเทศกาลสงกรานต์ปี 2554 นี้เป็นโอกาสครบรอบ 2 ปีของเว็บบล็อกลุงแมวน้ำ จึงนำเค้กมาตัดฉลองเสียหน่อย เผลอเดี๋ยวเดียวเวลาผ่านไป 2 ปีแล้ว และกำลังก้าวไปข้างหน้าสู่ปีที่ 3 โดยไม่คำนึงถึงจำนวนผู้เข้าชม (เขิน)
12/04/2011
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1084.91 จุด เพิ่มขึ้น 8.58 จุด
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย HMPRO ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 42 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายถั่วเหลือง (S) เนื่องจากถั่วเหลืองมีอยู่ในพอร์ตจำลอง ลุงแมวน้ำจึงต้องทำอะไรสักอย่าง เนื่องจากลุงแมวน้ำประเมินว่าสินค้าเกษตรยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงปิดสัญญาซื้อแต่ไม่ได้เปิดสัญญาขาย สถานะของ S ในพอร์ตจำลองตอนนี้จึงเป็น NOACT คือไม่ได้มีสถานะคงค้างใดๆ
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดแดง นำร่วงโดยเปรูอีกเช่นเคย ตามมาด้วยรัสเซียกับชีลี วันนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของหลายประเทศเกิดสัญญาณขาย ได้แก่ บราซิล แคนาดา ออสตรีย เนเธอแลนด์ ส่วนไทยเป็นเพียงตลาดไม่กี่ประเทศในโลกที่ปิดเขียวสวนกระแสได้
ในระยะนี้ตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในโลกค่อนข้างผันผวน ทั้งนี้ สำนักข่าวหลักๆในโลกไม่ได้เพียงแต่ในไทยต่างก็เตือนและตอกย้ำซ้ำๆกันในประเด็น 3 ประเด็น ก็คือ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก ปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลก และปัญหาวิกฤตหนี้ในทวีปยุโรป
บทความของสื่อกระแสหลักส่วนใหญ่วิเคราะห์ว่าปัญหาสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) ที่ถีบตัวสูงขึ้นทั้งจากความขาดแคลนในตัวสินค้าและจากการเก็งกำไร โดยเฉพาะราคาน้ำมันซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ตัวหลักจะส่งผลทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นทั่วโลก และปัญหาเงินเฟ้อจะส่งผลร้ายต่อการพัฒาทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตลาดที่พัฒนาแล้วหรือตลาดเกิดใหม่ก็ตาม รวมทั้งอาจทำให้เกิดปัญหาฟองสบู่แตกในหลายๆประเทศ อีกทั้งยังซ้ำเติมปัญหาวิกฤตหนี้ในทวีปยุโรปให้หนักหนาขึ้น นี่ลุงแมวน้ำสรุปเอาจากเนื้อข่าวและบทความที่อ่านมาในช่วงนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นในทำนองนี้
ลุงแมวน้ำมองตามปัจจัยทางเทคนิคผสมปัจจัยพื้นฐาน เห็นว่าราคาน้ำมันของกลับลงไปต่ำกว่า 100 ดอลลาร์/บาเรลได้ยากแล้ว คงมีแต่จะสูงขึ้นดังที่ลุงแมวน้ำได้วิเคราะห์ให้ฟังไปแล้ว
กองทุนรวมสินค้าเกษตร (Agriculture FIF)
สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ในภาคสินค้าเกษตรนั้นเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ลุงแมวน้ำมองว่าราคามีแต่จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันจะทรงตัวแต่ราคาสินค้าเกษตรก็น่าจะสูงขึ้น พูดง่ายๆว่าต่อไปน่าจะเป็นยุคข้าวยากหมากแพง
เราลองมาดูเหตุผลด้านปัจจัยพื้นฐานกันว่าทำไมสินค้าเกษตรจึงน่าจะมีราคาสูงขึ้น
- สาเหตุแรกคือปัญหาด้านภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ผลจากภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้ฤดูกาลไม่เป็นปกติ พืชผลทางการเกษตรมีฤดูกาลและต้องการอุณหภูมิที่เหมาะสม การที่ฝนฟ้าแปรปรวนทำให้ผลผลิตเสียหายและได้ผลไม่ดี นอกจากนี้ ผลจากภูมิอากาศที่แปรปรวนทำให้เกิดภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ฝนแล้ง ไฟไหม้ป่า ยิ่งทำให้ผลผลิตเสียหาย
- สาเหตุต่อมาคือผลจากภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้เกิดโรคอุบัติใหม่ขึ้น โรคอุบัติใหม่นี้เราเห็นผลทั้งในคน สัตว์ และพืช ไม่ใช่แต่เฉพาะเกิดผลกับสินค้าเกษตรเท่านั้น นอกจากโรคอุบัติใหม่แล้วการคุกคามของศัตรูพืชก็รุนแรงและมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ผลผลิตลดลง
- พืชที่เป็นอาหารหลักหลายชนิดในกลุ่มที่ให้แป้ง น้ำมัน และน้ำตาล เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง พืชให้ความหวาน เหล่านี้ถูกนำไปใช้ในภาคพลังงานทดแทนด้วย ยิ่งทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนสำหรับการบริโภค
ทีนี้มาดูปัจจัยทางเทคนิคกันบ้าง กราฟต่อไปนี้เป็นกราฟอีทีเอฟสินค้าเกษตรชื่อ DB Agriculture (DBA) ที่เทรดในตลาดสหรัฐอเมริกา อีทีเอฟตัวนี้อิงกับดัชนีสินค้าเกษตร DBIQ Diversified Agriculture Index Excess Return (DBLCIX)
จะเห็นว่าขณะนี้กราฟราคาสินค้าเกษตรน่าจะอยู่ในคลื่น 3 และน่าจะไปต่อไปอีกไกลกว่าจะจบคลื่น 5
ทีนีลองมาดูดัชนีสินค้าเกษตรอีกตัวหนึ่ง นั่นคือดัชนี Dow Jones UBS Agriculture Index (DJUBSAG) ดังนี้
หน้าตาของกราฟสองภาพข้างบนอาจไม่เหมือนกันทีเดียวนักเนื่องจากองค์ประกอบของสินค้าเกษตรที่คำนวณเป็นดัชนีทั้งสองมีความแตกต่างกัน แต่ก็ทำให้พอมองเห็นภาพทิศทางของสินค้าเกษตรได้
ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงมองว่าสินค้าเกษตรเพื่อบริโภค (ของกิน) เป็นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่น่าลงทุนในระยะยาว ไม่เน้นการลงทุนในระยะสั้นเนื่องจากจะมีความผันผวนสูงตามธรรมชาติของสินค้าโภคภัณฑ์ แนวโน้มเท่าที่ลุงแมวน้ำมองในตอนนี้ยังน่าสนใจกว่าทองคำเสียอีกเนื่องจากมองปัจจัยพื้นฐานได้ในขณะที่ทองคำไม่มีปัจจัยพื้นฐาน พืชผลกินได้แต่ทองคำกินไม่ได้
ปกติการลงทุนในสินค้าเกษตรนั้นสามารถลงทุนในตลาดฟิวเจอร์สได้ แต่ตลาดฟิวเจอร์สสินค้าเกษตรของไทยนั้นขณะนี้มีเพียงยางพาราเท่านั้นที่มีปริมาณซื้อขายอยู่บ้าง แต่ยางพาราก็ไม่ใช่สินค้าเกษตรเพื่อบริโภค ทางเลือกของนักลงทุนไทยที่สามารถทำได้ก็คือการเทรดฟิวเจอร์สสินค้าเกษตรในตลาดต่างประเทศหรือลงทุนกับกองทุนรวมประเภท FIF ของไทยที่ลงทุนในสินค้าเกษตร
กองทุนรวมของไทยที่ลงทุนในสินค้าเกษตรมีสองแบบ แบบแรกคือลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์แบบหลากหลาย คือมีทั้งโลหะ พลังงาน สินค้าเกษตร ปนกัน โดยมีสินค้าเกษตรเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่ง กับอีกแบบหนึ่งคือกองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าเกษตรโดยเฉพาะ
สำหรับกองทุนรวมของไทยที่ลงทุนในสินค้าเกษตรของต่างประเทศโดยเฉพาะปัจจุบันมี 3 กองทุน คือ
- K-AGRI อิงกับอัชนี Deutsche Bank Agriculture USD Index
- TISCOAEF อิงกับดัชนี Deutsche Bank Agriculture EURO Index
- ONE-AGRI อิงกับดัชนี Rogers International Commodity Index-Agriculture
สำหรับองค์ประกอบของดัชนีสินค้าเกษตรต่างๆลุงแมวน้ำสรุปเอาไว้ให้ดู ดังนี้
กองทุน ONE-AGRI ใช้ดัชนีที่มีองค์ประกอบตามหมายเลข 1 ส่วน K-AGRI กับ TISCOAEF มีองค์ประกอบของสินค้าตามดัชนีหมายเลข 3
ส่วนหมายเลข 2 นั้นเป็นองค์ประกอบของดัชนีของกองทุนอีทีเอฟ DBA นำมาให้ดูเฉยๆเพื่อการเปรียบเทียบ เท่าที่ทราบไม่มีกองทุน FIF ของไทยที่อิงดัชนีสินค้าเกษตรตัวนี้
13/04/2011
กลุ่มฟิวเจอร์สต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดเขียว เปรูยังร่วงแรงอยู่อันเป็นผลมาจากปัจจัยภายในประเทศเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี
14/04/2011
กลุ่มฟิวเจอร์สต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดแดงกระจายทั่วทุกภูมิภาค ดัชนีตลาดอาร์เจนตินาและนอร์เวย์เกิดสัญญาณขาย กลุ่มประเทศในเอเชียดูจะมีประเทศที่ปิดเขียวมากกว่าในทวีปอื่น
15/04/2011
กลุ่มฟิวเจอร์สต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกปิดคละเคล้ากัน ที่ปิดเขียวและที่ปิดแดงมีสัดส่วนพอๆกัน ดัชนีตลาดอิตาลี สเปน และเวียดนามเกิดสัญญาณขาย
ช่วงนี้ทั้งฟิวเจอร์สและตลาดหุ้นในต่างประเทศทยอยกันเกิดสัญญาณขาย ตลาดหุ้นในฝั่งยุโรปและอมเริกาส่วนใหญ่อยู่ในภาวะไร้ทิศทาง (sideway) ต่างกับตลาดหุ้นในย่านเอเชียโดยเฉพาะเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งตลาดส่วนใหญ่มีแนวโน้มขาขึ้น รวมทั้งไทยด้วย
11/04/2011
Monday, April 11, 2011
08/04/2011 * จับหุ้น ลุ้นน้ำมัน ดันทอง
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1082.69 จุด ลดลง 6.52 จุด
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 43 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อทองแดง (HG) ขณะเดียวกันก็มีสัญญาณขายก๊าซธรรมชาติ (NG)
ทองแดงนั้นเป็นโลหะอุตสาหกรรม แตกต่างจากทองคำที่ถือเป็นโลหะมีค่า หลังจากที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ราคาโลหะอุตสาหกรรมก็ค่อยๆปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอด ราคาโลหะอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้นมาไม่ได้น้อยหน้าทองคำและเงินที่เป็นโลหะมีค่าเลย คนในวงการที่เกี่ยวข้องกับโลหะอุตสาหกรรมทราบกันดี ส่วนก๊าซธรรมชาตินั้นแม้มีสัญญาณขายแต่ก็เป็นแนวโน้มในระยะสั้นเท่านั้น ในระยะกลางและยาวน่าจะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นในทวีปอเมริกาปิดคละกันทั้งเขียวและแดง ส่วนยุโรปและเอเชียส่วนใหญ่ปิดเขียว
จับหุ้น ลุ้นน้ำมัน ดันทอง
วันนี้ลุงแมวน้ำพาดหัวบทความประจำวันให้ดูตื่นเต้นหน่อยเพื่อความมีสีสัน เรื่องของเรื่องก็คือลุงแมวน้ำอยากพูดถึงแนวโน้มราคาทองคำ (GC) และน้ำมัน (CL) พร้อมกับไขข้อสงสัยว่าราคาน้ำมันดิบ ราคาหุ้นพลังงาน ราคาทองคำ และค่าเงินดอลลาร์ มีความสัมพันธ์กันหรือไม่
มาดูราคาทองคำกันก่อน ดังภาพต่อไปนี้
ทองคำ (GC) ขณะนี้อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ลุงแมวน้ำคาดว่าอยู่ในคลื่น 5 ใหญ่ (สีน้ำเงิน) ซึ่งดำเนินมาไกลแล้ว พร้อมที่จะจบคลื่นได้ทุกเมื่อ แต่ถึงลุงแมวน้ำนับคลื่นผิด หากไม่ใช่คลื่น 5 ก็น่าจะเป็นคลื่น 3 ซึ่งหลังจากคลื่น 5 ก็เป็นคลื่น A หรือหลังจากคลื่น 3 ก็เป็นคลื่น 4 ซึ่งล้วนแต่เป็นคลื่นขาลง ดังนั้นแม้ว่าราคาทองคำอยู่ใมคลื่นขาขึ้นแต่ก็มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงเนื่องจากไม่ใช่ต้นคลื่นแล้ว การจะประเมินว่าจะจบคลื่นเมื่อใดตนั้นตอบได้ยากเพราะไม่มีใครรู้อนาคตที่แม้จริง คงได้แต่คาดการณ์เท่านั้น ซึ่งหากประเมินด้วยเครื่องมือ fibonacci ก็คงต้องตามดูกันไปทีละขั้นตามระดับของค่า fibonacci ขั้นถัดไปนี้รอดูที่ประมาณ 1,500 ดอลลาร์/ออนซ์็ ว่าจะจบคลื่นใหญ่ที่แถวๆนี้หรือไม่ หากประเมินด้วยเครื่องมืออื่นก็ว่ากันไปตามหลักของการใช้เครื่องมือทางเทคนิคนั้นๆ
มาดูราคาน้ำมันดิบกันบ้าง ดังภาพต่อไปนี้
จากภาพ ราคาน้ำมันดิบก็อยู่ในทิศทางขาขึ้นเช่นเดียวกัน หากมองในระดับคลื่นใหญ่ หากไม่ใช่คลื่น 5 (สี้น้ำเงิน) ก็คงอยู่ในคลื่น A (สีน้ำเงิน)
การประเมินว่าราคาน้ำมันจะไปถึงเท่าใดนั้น หากใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น fibonacci และการนับคลื่นเข้ามาช่วย หากขณนะนี้ราคาน้ำมันอยู่ในคลื่น 5 ราคาน้ำมันดิบก็น่าจะไปได้ไกลอย่างน้อยถึงประมาณ 150 ดอลลาร์/บาเรล หากผ่านราคานี้ไปได้ ระดับราคาเป้าหมายถัดไปก็อาจเป็นที่ 215 ดอลลาร์/บาเรล (ที่ระดับ fibonacci 161.8% นั่นเอง)
แม้ว่าลุงแมวน้ำจะลงทุนด้วยปัจจัยทางเทคนิคเป็นหลัก แต่ปัจจัยทางเทคนิคกกับปัจจัยพื้นฐานนั้นแยกกันไม่ขาด พวกปัจจัยพื้นฐานบางครั้งก็อาศัยปัจจัยทางเทคนิคในการกำหนดจุดซื้อจุดขาย ส่วนพวกปัจจัยทางเทคนิคบางครั้งก็ต้องใช้ปัจจัยพื้นฐานประกอบ เช่น ใช้ในการประเมินแนวโน้มในระยะยาว ดังนั้นลุงแมวน้ำเองบางครั้งก็นำปัจจัยพื้นฐานมาพิจารณาด้วยเหมือนกัน
เนื่องจากค่าของทองคำนั้นเป็นการสมมติขึ้นมาเพื่อการอ้างอิงของระบบเงินตรา ดังนั้นตัวทองคำเองจึงไม่มีปัจจัยพื้นฐาน ต่างจากน้ำมันดิบซึ่งมีปัจจัยพื้นฐานเพราะเป็นสินค้าอุปโภคที่เราจำเป็นต้องใช้
หากพิจารณาในแง่ปัจจัยพื้นฐาน ลุงแมวน้ำมองว่าน้ำมันดิบคงมีราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆในระยะยาว ทั้งนี้ เนื่องจากกรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมา ไดอิจิ (Fukushima Daiji nuclear power plant) ในประเทศญี่ปุ่นที่เกิดปัญหาขึ้นมาตามหลังภัยพิบัติแผ่นดินไหวและสึนามิ ทำให้มีสารกันมันตภาพรังสีรั่วกระจายออกมาในสภาพแวดล้อม กรณีนี้ทำให้เกิดกระแสต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขึ้นมาทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศญี่ปุ่นเอง
ท่ามกลางความหวาดกลัวโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกือบทั้งโลกคงถูกระงับหรือชะลอออกไปก่อน และความต้องการใช้ไฟฟ้าเพื่อป้อนอุตสาหกรรมและธุรกิจอันหมายถึงการขยายตัวของจีดีพียังต้องดำเนินต่อไป ดังนั้นจึงแทบไม่มีทางเลือกอื่นเลยที่โลกทุนนิยมจะต้องเดินหน้าต่อไปก่อนด้วยพลังงานหลักอื่นๆที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ ซึ่งนั่นก็คือพลังงานจากถ่านหิน น้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติ ส่วนพลังงานทางเลือกอื่นนั้นยังเป็นแหล่งพลังงานหลักไม่ได้ เป็นได้แค่แหล่งพลังงานสมทบเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ลุงแมวน้ำมองว่าการใช้ถ่านหิน น้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติจะเพิ่มมากขึ้นภายในระยะหลายปีต่อไปข้างหน้านี้ จนกว่ากระแสความกลัวนิวคลียร์จะบรรเทาเบาบางลงไป ซึ่งหมายถึงว่าราคาของพลังงานเหล่านี้คงปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ นี่ยังไม่มองปัจจัยด้านความไม่สงบของโลกอาหรับเอง นอกจากนี้ ราคาสินค้าเกษตรที่เกี่ยวกับน้ำมัน (เช่น ปาล์ม) แป้ง (เช่น ข้าวโพด) และน้ำตาล (เช่น อ้อย) ก็น่าจะมีราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆเนื่องจากพืชเหล่านี้สามารถนำมาผลิตเป็นไบโอดีเซลหรือแอลกอฮอล์อันใช้เป็นแหล่งพลังงานทดแทนได้
ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเช่นนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าหากน้ำมันดิบขึ้นราคาแล้ว หากไม่ลงทุนในน้ำมันโดยตรงแต่ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับน้ำมันจะได้ผลดีหรือไม่ ลองมาดูภาพต่อไปนี้กัน
ภาพบนนี้เป็นราคาน้ำมันดิบ ทองคำ อีทีเอฟสินค้าเกษตร (DBA) และราคาหุ้น PTTEP นำมาพลอตกราฟเทียบกัน แต่ดูแล้วก็คงประเมินให้เป็นรูปธรรมได้ยากว่าราคาตามกันมากน้อยเพียงใด ลุงแมวน้ำจึงใช้การคำนวณหาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพื่อดูระดับความสัมพันธ์ของราคาทองคำ น้ำมันดิบ ค่าเงิน และหุ้น PTT, PTTEP เปรียบเทียบกันแบบรายปีตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา นำมาแสดงให้ดูกันดังนี้
วิธีดูก็คงเ็นเช่นเดียวกับบทความตอนก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่า ราคาหุ้น ปตท. ปตท.สผ. ในช่วงปี 2007-2009 นั้นมีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมันดิบในระดับที่สูง แต่พอมาในปี 2010-2011 ระดับความสัมพันธ์ระหว่างราคาหุ้นทั้งสองกับราคาน้ำมันดิบมีน้อยลง
และถ้าสังเกตให้ดีก็จะยิ่งทำให้เห็นความสัมพันธ์ในภาพกว้าง นั่นก็คือ ลองสังเกตดูความสัมพันธ์ของราคาผลิตภัณฑ์ 2 ตัวที่นำมาเทียบกันจะแตกต่างกันในแต่ละปี เช่น ราคาน้ำมันดิบกับราคาหุ้น PTTEP ก็มีระดับความสัมพันธ์ไม่ได้เท่ากันทุกปี บางปีมาก บางปีน้อย ค่าเงินดอลลาร์ (DX) กับราคาน้ำมันดิบก็เช่นกัน ระดับความสัมพันธ์ในแต่ละปีแตกต่างกันพอสมควรทีเดียว บางปีสวนทางกันมาก บางปีสวนทางกันน้อย
ทางด้านราคาทองคำกับน้ำมันดิบก็เช่นกัน บางปีก็ตามกันมาก บางปีก็ตามกันน้อย
จากข้อมูลที่ลุงแมวน้ำนำมาคงพอเห็นว่าราคาน้ำมันดับกับราคาหุ้นพลังงานนั้นตามกันมากหรือน้อยแล้วแต่ช่วงเวลา ไม่ได้ตามกันติดๆเสมอไป ดังนั้นที่พูดกันว่าน้ำมันขึ้นให้ซื้อหุ้นน้ำมันแทนนั้น เพื่อนนักลงทุนคงพอหาคำตอบได้แล้วว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นอย่างไร
ส่วนราคาทองคำนั้น หากต่อไปราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นด้วยหรือไม่ หากพิจารณาจากความสัมพันธ์ในตาราง ลุงแมวน้ำมีความเห็นว่าบนคลื่นลูกปัจจุบันนี้ราคาน้ำมันดิบน่าจะไปแรงกว่าราคาทองคำ
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 43 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อทองแดง (HG) ขณะเดียวกันก็มีสัญญาณขายก๊าซธรรมชาติ (NG)
ทองแดงนั้นเป็นโลหะอุตสาหกรรม แตกต่างจากทองคำที่ถือเป็นโลหะมีค่า หลังจากที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ราคาโลหะอุตสาหกรรมก็ค่อยๆปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอด ราคาโลหะอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้นมาไม่ได้น้อยหน้าทองคำและเงินที่เป็นโลหะมีค่าเลย คนในวงการที่เกี่ยวข้องกับโลหะอุตสาหกรรมทราบกันดี ส่วนก๊าซธรรมชาตินั้นแม้มีสัญญาณขายแต่ก็เป็นแนวโน้มในระยะสั้นเท่านั้น ในระยะกลางและยาวน่าจะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นในทวีปอเมริกาปิดคละกันทั้งเขียวและแดง ส่วนยุโรปและเอเชียส่วนใหญ่ปิดเขียว
จับหุ้น ลุ้นน้ำมัน ดันทอง
วันนี้ลุงแมวน้ำพาดหัวบทความประจำวันให้ดูตื่นเต้นหน่อยเพื่อความมีสีสัน เรื่องของเรื่องก็คือลุงแมวน้ำอยากพูดถึงแนวโน้มราคาทองคำ (GC) และน้ำมัน (CL) พร้อมกับไขข้อสงสัยว่าราคาน้ำมันดิบ ราคาหุ้นพลังงาน ราคาทองคำ และค่าเงินดอลลาร์ มีความสัมพันธ์กันหรือไม่
มาดูราคาทองคำกันก่อน ดังภาพต่อไปนี้
ทองคำ (GC) ขณะนี้อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ลุงแมวน้ำคาดว่าอยู่ในคลื่น 5 ใหญ่ (สีน้ำเงิน) ซึ่งดำเนินมาไกลแล้ว พร้อมที่จะจบคลื่นได้ทุกเมื่อ แต่ถึงลุงแมวน้ำนับคลื่นผิด หากไม่ใช่คลื่น 5 ก็น่าจะเป็นคลื่น 3 ซึ่งหลังจากคลื่น 5 ก็เป็นคลื่น A หรือหลังจากคลื่น 3 ก็เป็นคลื่น 4 ซึ่งล้วนแต่เป็นคลื่นขาลง ดังนั้นแม้ว่าราคาทองคำอยู่ใมคลื่นขาขึ้นแต่ก็มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงเนื่องจากไม่ใช่ต้นคลื่นแล้ว การจะประเมินว่าจะจบคลื่นเมื่อใดตนั้นตอบได้ยากเพราะไม่มีใครรู้อนาคตที่แม้จริง คงได้แต่คาดการณ์เท่านั้น ซึ่งหากประเมินด้วยเครื่องมือ fibonacci ก็คงต้องตามดูกันไปทีละขั้นตามระดับของค่า fibonacci ขั้นถัดไปนี้รอดูที่ประมาณ 1,500 ดอลลาร์/ออนซ์็ ว่าจะจบคลื่นใหญ่ที่แถวๆนี้หรือไม่ หากประเมินด้วยเครื่องมืออื่นก็ว่ากันไปตามหลักของการใช้เครื่องมือทางเทคนิคนั้นๆ
มาดูราคาน้ำมันดิบกันบ้าง ดังภาพต่อไปนี้
จากภาพ ราคาน้ำมันดิบก็อยู่ในทิศทางขาขึ้นเช่นเดียวกัน หากมองในระดับคลื่นใหญ่ หากไม่ใช่คลื่น 5 (สี้น้ำเงิน) ก็คงอยู่ในคลื่น A (สีน้ำเงิน)
การประเมินว่าราคาน้ำมันจะไปถึงเท่าใดนั้น หากใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น fibonacci และการนับคลื่นเข้ามาช่วย หากขณนะนี้ราคาน้ำมันอยู่ในคลื่น 5 ราคาน้ำมันดิบก็น่าจะไปได้ไกลอย่างน้อยถึงประมาณ 150 ดอลลาร์/บาเรล หากผ่านราคานี้ไปได้ ระดับราคาเป้าหมายถัดไปก็อาจเป็นที่ 215 ดอลลาร์/บาเรล (ที่ระดับ fibonacci 161.8% นั่นเอง)
แม้ว่าลุงแมวน้ำจะลงทุนด้วยปัจจัยทางเทคนิคเป็นหลัก แต่ปัจจัยทางเทคนิคกกับปัจจัยพื้นฐานนั้นแยกกันไม่ขาด พวกปัจจัยพื้นฐานบางครั้งก็อาศัยปัจจัยทางเทคนิคในการกำหนดจุดซื้อจุดขาย ส่วนพวกปัจจัยทางเทคนิคบางครั้งก็ต้องใช้ปัจจัยพื้นฐานประกอบ เช่น ใช้ในการประเมินแนวโน้มในระยะยาว ดังนั้นลุงแมวน้ำเองบางครั้งก็นำปัจจัยพื้นฐานมาพิจารณาด้วยเหมือนกัน
เนื่องจากค่าของทองคำนั้นเป็นการสมมติขึ้นมาเพื่อการอ้างอิงของระบบเงินตรา ดังนั้นตัวทองคำเองจึงไม่มีปัจจัยพื้นฐาน ต่างจากน้ำมันดิบซึ่งมีปัจจัยพื้นฐานเพราะเป็นสินค้าอุปโภคที่เราจำเป็นต้องใช้
หากพิจารณาในแง่ปัจจัยพื้นฐาน ลุงแมวน้ำมองว่าน้ำมันดิบคงมีราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆในระยะยาว ทั้งนี้ เนื่องจากกรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมา ไดอิจิ (Fukushima Daiji nuclear power plant) ในประเทศญี่ปุ่นที่เกิดปัญหาขึ้นมาตามหลังภัยพิบัติแผ่นดินไหวและสึนามิ ทำให้มีสารกันมันตภาพรังสีรั่วกระจายออกมาในสภาพแวดล้อม กรณีนี้ทำให้เกิดกระแสต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขึ้นมาทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศญี่ปุ่นเอง
ท่ามกลางความหวาดกลัวโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกือบทั้งโลกคงถูกระงับหรือชะลอออกไปก่อน และความต้องการใช้ไฟฟ้าเพื่อป้อนอุตสาหกรรมและธุรกิจอันหมายถึงการขยายตัวของจีดีพียังต้องดำเนินต่อไป ดังนั้นจึงแทบไม่มีทางเลือกอื่นเลยที่โลกทุนนิยมจะต้องเดินหน้าต่อไปก่อนด้วยพลังงานหลักอื่นๆที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ ซึ่งนั่นก็คือพลังงานจากถ่านหิน น้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติ ส่วนพลังงานทางเลือกอื่นนั้นยังเป็นแหล่งพลังงานหลักไม่ได้ เป็นได้แค่แหล่งพลังงานสมทบเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ลุงแมวน้ำมองว่าการใช้ถ่านหิน น้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติจะเพิ่มมากขึ้นภายในระยะหลายปีต่อไปข้างหน้านี้ จนกว่ากระแสความกลัวนิวคลียร์จะบรรเทาเบาบางลงไป ซึ่งหมายถึงว่าราคาของพลังงานเหล่านี้คงปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ นี่ยังไม่มองปัจจัยด้านความไม่สงบของโลกอาหรับเอง นอกจากนี้ ราคาสินค้าเกษตรที่เกี่ยวกับน้ำมัน (เช่น ปาล์ม) แป้ง (เช่น ข้าวโพด) และน้ำตาล (เช่น อ้อย) ก็น่าจะมีราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆเนื่องจากพืชเหล่านี้สามารถนำมาผลิตเป็นไบโอดีเซลหรือแอลกอฮอล์อันใช้เป็นแหล่งพลังงานทดแทนได้
ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเช่นนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าหากน้ำมันดิบขึ้นราคาแล้ว หากไม่ลงทุนในน้ำมันโดยตรงแต่ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับน้ำมันจะได้ผลดีหรือไม่ ลองมาดูภาพต่อไปนี้กัน
ภาพบนนี้เป็นราคาน้ำมันดิบ ทองคำ อีทีเอฟสินค้าเกษตร (DBA) และราคาหุ้น PTTEP นำมาพลอตกราฟเทียบกัน แต่ดูแล้วก็คงประเมินให้เป็นรูปธรรมได้ยากว่าราคาตามกันมากน้อยเพียงใด ลุงแมวน้ำจึงใช้การคำนวณหาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพื่อดูระดับความสัมพันธ์ของราคาทองคำ น้ำมันดิบ ค่าเงิน และหุ้น PTT, PTTEP เปรียบเทียบกันแบบรายปีตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา นำมาแสดงให้ดูกันดังนี้
วิธีดูก็คงเ็นเช่นเดียวกับบทความตอนก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่า ราคาหุ้น ปตท. ปตท.สผ. ในช่วงปี 2007-2009 นั้นมีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมันดิบในระดับที่สูง แต่พอมาในปี 2010-2011 ระดับความสัมพันธ์ระหว่างราคาหุ้นทั้งสองกับราคาน้ำมันดิบมีน้อยลง
และถ้าสังเกตให้ดีก็จะยิ่งทำให้เห็นความสัมพันธ์ในภาพกว้าง นั่นก็คือ ลองสังเกตดูความสัมพันธ์ของราคาผลิตภัณฑ์ 2 ตัวที่นำมาเทียบกันจะแตกต่างกันในแต่ละปี เช่น ราคาน้ำมันดิบกับราคาหุ้น PTTEP ก็มีระดับความสัมพันธ์ไม่ได้เท่ากันทุกปี บางปีมาก บางปีน้อย ค่าเงินดอลลาร์ (DX) กับราคาน้ำมันดิบก็เช่นกัน ระดับความสัมพันธ์ในแต่ละปีแตกต่างกันพอสมควรทีเดียว บางปีสวนทางกันมาก บางปีสวนทางกันน้อย
ทางด้านราคาทองคำกับน้ำมันดิบก็เช่นกัน บางปีก็ตามกันมาก บางปีก็ตามกันน้อย
จากข้อมูลที่ลุงแมวน้ำนำมาคงพอเห็นว่าราคาน้ำมันดับกับราคาหุ้นพลังงานนั้นตามกันมากหรือน้อยแล้วแต่ช่วงเวลา ไม่ได้ตามกันติดๆเสมอไป ดังนั้นที่พูดกันว่าน้ำมันขึ้นให้ซื้อหุ้นน้ำมันแทนนั้น เพื่อนนักลงทุนคงพอหาคำตอบได้แล้วว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นอย่างไร
ส่วนราคาทองคำนั้น หากต่อไปราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นด้วยหรือไม่ หากพิจารณาจากความสัมพันธ์ในตาราง ลุงแมวน้ำมีความเห็นว่าบนคลื่นลูกปัจจุบันนี้ราคาน้ำมันดิบน่าจะไปแรงกว่าราคาทองคำ
07/04/2011
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1089.21 จุด เพิ่มขึ้น 13.08 จุด
หุ้นในกลุ่ม SET50 แม้ตลาดหุ้นของไทยจะขึ้นแต่วันนี้มีสัญญาณขาย BGH
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ราคาทองคำ (GC) และน้ำมันดิบ (CL) ยังปรับตัวเพิ่ม
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นในทวีปอเมริกาและยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลงส่วนตลาดเอเชียมีทั้งขึ้นและลงคละกัน
หุ้นในกลุ่ม SET50 แม้ตลาดหุ้นของไทยจะขึ้นแต่วันนี้มีสัญญาณขาย BGH
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ราคาทองคำ (GC) และน้ำมันดิบ (CL) ยังปรับตัวเพิ่ม
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นในทวีปอเมริกาและยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลงส่วนตลาดเอเชียมีทั้งขึ้นและลงคละกัน
Subscribe to:
Posts (Atom)