Friday, March 19, 2010

18/03/2010 * รวยด้วยหุ้น (2)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 759.02 จุด ลดลง 6.52 จุด หุ้นขึ้นต่อเนื่องมาหลายวัน ต่างชาติซื้อสุทธิมา 18 วันแล้ว

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 โปรแกรมของลุงแมวน้ำวันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่ 44 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ถั่วเหลือง (S) เกิดสัญญาณซื้อ จึงเปิดสัญญาซื้อไป นอกจากนี้กาแฟ (KC) ก็เกิดสัญญาณซื้อ การที่สินค้าเกษตรเริ่มเกิดสัญญาณซื้อหลังจากที่เกิดสัญญาณขายมานานแล้วถือว่าเป็นสัญญาณที่น่าจับตา อาจเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าตลาดสินค้าเกษตรจะกลับมาอยู่ในภาวะ uptrend อีกครั้งหนึ่ง

ดัชนีต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

พอร์ตจำลองของลุงแมวน้ำขณะนี้มีกำไรจาก S50 อย่างต่อเนื่องเพราะดัชนี SET ขึ้นแบบม้วนเดียว แต่ต้องไม่ลืมว่าขณะนี้ SET น่าจะอยู่ในคลื่น 5 อย่าเพลิดเพลินกับกำไรจนลืมขายเมื่อเกิดสัญญาณขาย


รวยด้วยหุ้น รวยด้วยทอง รวยด้วยฟิวเจอร์ส ฯลฯ (2)

ผลการเทรดหุ้น 12 ปีในระบบตามแนวโน้ม

เราลองมาดูกันว่าหากลุงแมวน้ำเล่นหุ้นด้วยระบบตามแนวโน้มหรือ trend following system และใช้สัญญาณซื้อขายในระบบ PnT 1.10 เล่นหุ้นมาตั้งแต่ปลายปี 1996 (พ.ศ. 2539) จนถึงกลางปี 2009 (พ.ศ.2552) รวมระยะเวลา 12 ปีกว่านิดหน่อย หรือว่าคิดเป็นวันตามปฏิทิน (หมายถึงนับทั้งวันทำการและวันหยุด) ก็ประมาณ 4,600 กว่าวัน แล้วลุงแมวน้ำมีผลกำไรหรือขาดทุนอย่างไรบ้าง แล้วจะรวยด้วยหุ้นได้จริงหรือไม่ ดังตารางต่อไปนี้



ลุงแมวน้ำทดสอบดูกับหุ้นหลายๆตัวเพื่อให้เกิดความหลากหลาย รวมทั้งที่ใช้ช่วงระยะเวลาทดสอบนานกว่า 12 ปีก็เพราะต้องการให้ผ่านสถานการณ์เศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆกันให้ได้นานที่สุด หนทางไกลรู้กำลังม้า นานเวลาจึงรู้ความสามารถของระบบสัญญาณซื้อขาย

ลองมาดูค่าในตารางกันว่าอ่านค่าอย่างไรและนำไปใช้ตีความอย่างไร ดูตัวอย่างกันที่หุ้น ADVANC ค่อยๆอ่าน ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบ

หุ้น ADVANC นั้นเริ่มเทรดมาตั้งแต่ 9/12/1996 จนถึง 9/07/2009 รวมเวลา 4595 วัน (นับทั้งวันทำการและวันหยุด) เมื่อสัญญาณซื้อครั้งแรกเกิดขึ้นก็เข้าซื้อ โดยเริ่มต้นเข้าซื้อครั้งแรกที่ 25.80 บาท ถือว่าราคานี้เป็นราคาเริ่มต้น จากนั้นเมื่อเกิดสัญญาณขายก็ขายหุ้นไป เมื่อเกิดสัญญาณซื้อก็เข้าซื้อใหม่ ครั้งละ 1 หุ้นเสมอ มีการซื้อและขายรวม 117 ครั้ง (ซื้อหุ้นมาและขายหุ้นที่ซื้อออกไปถือเป็น 1 ครั้ง)

ผลจากการเทรดมาตลอด 12 ปีกว่าด้วยระบบ PnT 1.10 ลุงแมวน้ำขาดทุนสุทธิ 98.30 บาท (คิดค่าคอมมิชชัน 0.25% ไว้แล้ว) และเนื่องจากราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นราคาที่ซื้อและขายแต่ละครั้งจึงไม่เท่ากัน จึงใช้ราคาเฉลี่ยเพื่อให้เห็นภาพ เข้าใจง่าย และสะดวกในการคำนวณ ราคาซื้อเฉลี่ยของหุ้น ADVANC คือ 57.32 บาท และราคาขายเฉลี่ยคือ 57.05 บาท แปลว่าเฉลี่ยแล้วซื้อแพงขายถูกทุกครั้ง นั่นคือขาดทุนทุกครั้งนั่นเอง และเมื่อคิดเทียบเป็นร้อยละแล้วจะพบว่าในการซื้อขายแต่ละครั้งขาดทุนไป 0.56 บาทหรือ 0.97% (คิดค่าคอมมิชชันไ้ด้วยแล้ว)

เมื่อคำนวณระยะเวลาการขายเฉลี่ยเท่ากับ 39.27 วัน (หมายความว่าซื้อหุ้นครั้งหนึ่งถือไว้โดยเฉลี่ยนาน 39.27 วันกว่าจะขายออกไป) และอัตราการหมุนของสินค้าคือ 9.29 รอบต่อปี (หมายความว่าในหนึ่งปี ใช้ทุนก้อนเดียว นำซื้อๆขายๆหุ้นตัวนี้ได้ 9.29 รอบ) และเมื่อนำผลกำไร/ขาดทุนสุทธิต่อหนึ่งรอบของการซื้อขาย (0.97%) มาคิดเทียบเป็นกำไร/ขาดทุนสุทธิต่อปีแล้ว จะพบว่าหุ้น ADVANCE ให้ผลขาดทุนสุทธิ 9.01%

ส่วนหุ้น BANPU นั้นมีระยะเวลาการขายเฉลี่ย 42.51 วัน และมีอัตราการหมุนของสินค้าเท่ากับ 8.59 รอบต่อปี ราคาซื้อเฉลี่ย 112.02 บาท ราคาขายเฉลี่ย 116.16 บาท คิดแล้วได้กำไรครั้งละ 3.19% และหากนำทุนก้อนเดิมมาหมุนซื้อๆขายๆ 9.29 รอบตลอดปี ผลก็คือได้กำไรสุทธิปีละ 27.36%

วิธีดูตารางก็ดูกันในทำนองนี้ ทีนี้เราลองมาดูในภาพรวมกันว่าเป็นอย่างไร

จากหุ้นทั้งหมด 6 ตัว เราจะพอเห็นได้ว่าอายุการขายเฉลี่ยของหุ้นแต่ละตัวนั้นมีค่าใกล้เคียงกัน นั่นคือประมาณ 40 กว่าวัน อัตราหมุนของสินค้าก็ใกล้เคียงกัน แต่ว่าที่หลากหลายกันออกไปนั่นก็คือตัวเลขผลกำไร หุ้น ADVANC ขาดทุนบักโกรก ส่วนหุ้น BANPU, TTA ก็กำไรโข ซึ่งผลกำไร/ขาดทุนที่ไม่แน่นอนนั้นเกิดจากธรรมชาติของหุ้นแต่ละตัวรวมทั้งจังหวะเวลานั่นเอง แต่ถ้าลองจับเอาดัชนี SET50 มาเทรดเสมือนกับหุ้นตัวหนึ่งดู เราจะพบว่ามีกำไร 0.97% ต่อครั้ง การเอาดัชนี SET50 มาเทรดนั้นก็เหมือนกับว่าเราลงทุนในหุ้น 50 ตัวแล้วเอากำไรขาดทุนมาถัวเฉลี่ยกันนั่นเอง

จากผลการเทรดเหล่านี้เอามาแปลความได้ว่า หากเล่นหุ้นกันไปเรื่อยๆในระยะยาวแล้ว ผลกำไร/ขาดทุนจากหุ้นนั้นไม่แน่นอน ขึ้นกับว่าเราไปจับหุ้นตัวไหนมาเทรด กับหุ้นบางตัวเราก็เล่นหุ้น แต่ว่ากับหุ้นบางตัวเราก็โดนหุ้นเล่น บางตัวก็ทำให้รวยได้ บางตัวก็ทำให้ขาดทุนย่อยยับได้ แต่หากเราเดินทางสายกลางโดยการเทรดหุ้นหลายๆตัวเพื่อกระจายความเสี่ยง ผลกำไรโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 1% ต่อหนึ่งรอบการซื้อขายนั่นเอง

จากข้อมูลอัตรากำไรเหล่านี้เราคงพอให้คำตอบแก่ตัวเองได้แล้วว่ารวยด้วยหุ้นนั้นเป็นไปได้จริงหรือไม่ และอยู่ในวิสัยที่เราๆท่านๆจะทำได้หรือไม่

การเล่นหุ้นกับการขายอาหาร

จากผลการทดสอบในตารางดังกล่าว ทีนี้เราลองมาคิดต่อยอดกันดูต่อไปอีกหน่อย ดังที่บอกว่าเนื่องจากลุงแมวน้ำนอกจากแสดงละครสัตว์แล้วยังมีหัวทางการคำนวณอยู่บ้างนิดหน่อย จึงลองเอาผลดังกล่าวมาคิดต่อยอดดู

จากตัวอย่างเดิมที่ลุงแมวน้ำขายปากกา ต้นทุนด้ามละ 100 บาท ขายไปด้ามละ 110 บาท ได้กำไรด้ามละ 10 บาท ราว 30 วันหรือว่าหนึ่งเดือนจะขายได้สักด้ามหนึ่ง ก็เท่ากับว่าเงินทุน 100 บาทของลุงแมวน้ำนั้นปีหนึ่งสามารถนำมาหมุนซื้อๆขายๆปากกาได้ 12 ครั้ง

ทีนี้ลองสมมติใหม่ สมมติว่าลุงแมวน้ำขายอาหาร โดยทำข้าวหน้าปลาแซลมอนขาย มีทุนอยู่ 100 บาทเช่นเดิม ต้นทุนจานละ 100 บาท ขาย 110 บาท เอากำไรจานละ 10 บาท

แต่เนื่องจากอาหารเป็นของที่ต้องกินอยู่ทุกวัน ไม่เหมือนกับปากกา ดังนั้นแม้ลุงแมวน้ำจะขายได้วันละ 1 จาน (เพราะทุนจำกัด) แต่ลุงแมวน้ำขายได้ทุกวัน ตลอดเวลา 12 ปีกว่า 4,634 วันลุงแมวน้ำขายข้าวหน้าปลาแซลมอนได้ทุกวัน วันละหนึ่งจาน ดังนั้นระยะเวลาการขายเฉลี่ยของสินค้าตัวนี้จึงเป็น 1 วันและอัตราการหมุนของสินค้าจึงเป็น 365 รอบต่อปี ปรากฏว่าจากอัตราการหมุนของสินค้าที่สูงนี่เอง ทำให้ลุงแมวน้ำมีกำไรถึง 3,650% ต่อปี

ทีนี้ลองสมมติใหม่อีกที สมมติว่าลุงแมวน้ำขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป มีทุน 100 บาทซื้อเสื้อยืดมาขายได้หนึ่งตัว ขาย 110 บาทเอากำไร 10 บาทเช่นเดิม แต่คราวนี้ลุงแมวน้ำไม่ได้ขายทุกวัน ขายเฉพาะวันทำงาน วันหยุดก็หยุดขายเพราะว่าลุงแมวน้ำอยากพักผ่อน ดังนั้นตลอดเวลา 12 ปีกว่า ลุงแมวน้ำมีวันที่ขายได้จริงๆอยู่ 3,078 วัน ก็ขายได้วันละตัว

เมื่อคำนวณออกมาแล้ว เสื้อยืดของลุงแมวน้ำมีอายุการขายเฉลี่ยเท่ากับ 1.5 วัน (ที่จริงขายได้วันละตัว แต่เนื่องจากไม่ได้ขายทุกวัน ดังนั้นค่าเฉลี่ยที่ได้ออกมาจากกลายเป็น 1.5 วัน) อัตราหมุนของสินค้าเป็น 242.44 รอบต่อปี และมีอัตรากำไร 2,424% ต่อปี

หากมองในภาพรวมแล้วจะเห็นว่าการเล่นหุ้นนั้นกำไรเฉลี่ยไม่ได้ดีมากมายนักเมื่อเทียบกับการขายอาหารและเสื้อผ้า สาเหตุหนึ่งที่น่าจะพอมองกันออกก็คือเรื่องอายุการขายเฉลี่ยและอัตราการหมุนของสินค้านั้นมีผลมาก ในเมื่อเงินทุนน้อย แต่หากมีอัตราการหมุนของสินค้าสูง ผลกำไรก็มากได้เพราะเงินก้อนเดียวเอามาหมุนยิ่งมากรอบเท่าไรก็ยิ่งสร้างกำไรได้ทบทวี


คิดต่อยอด ขยายผล ในการเล่นหุ้น

หากจะคิดต่อยอดปรับปรุงการเล่นหุ้นให้ได้กำไรมากขึ้นควรทำอย่างไร ถ้ามองจากมุมมองด้านอายุการขายเฉลี่ยและอัตราหมุนของสินค้าแล้ว แนวทางการปรับปรุงการเทรดหุ้นให้ได้เงินมากขึ้นน่าจะทำได้ดังนี้

วิธีที่หนึ่ง เพิ่มทุนในการเทรดให้มากขึ้น ในเมื่ออัตราการทำกำไรจากการเล่นหุ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 7-8% ต่อปี ดังนั้นหากต้องการให้ได้เงินมากขึ้นเราก็ต้องใช้ทุนในการเทรดที่มากขึ้น ทุน 100 บาทสิ้นปีได้กำไร 7-8 บาทกว่า หากใช้ทุนล้านบาทสิ้นปีก็ได้เงินเจ็ดหมื่นกว่าถึงแปดหมื่น ข้อจำกัดของวิธีนี้ก็คือ หากใครที่มีทุนทรัพย์จำกัดก็คงใช้วิธีนี้ไม่ได้

วิธีที่สอง หาทางลดอายุการขายเฉลี่ยให้ต่ำลง จะทำให้อัตราการหมุนของสินค้าเพิ่มมากขึ้น อัตราการทำกำไรจะมากขึ้น นั่นคือ จากเดิมซื้อแล้วถือนานสี่สิบกว่าวันจึงจะขาย ต้องซื้อๆขายๆให้ได้ทุกวัน เหมือนกับการที่ลุงแมวน้ำขายอาหารได้ทุกวันนั่นเอง

วิธีที่สองนี้ดูไปก็น่าจะดี แต่ก็ดีแค่ตามทฤษฎีเท่านั้น เพราะในทางปฏิบัติแล้วเป็นเรื่องฝืนธรรมชาติของการเทรดด้วยระบบตามแนวโน้ม เพราะว่าการเทรดในระบบตามแนวโน้มนั้นต้องอาศัยเวลาพอสมควรในการรอให้เห็นแนวโน้มก่อน จากนั้นจึงจะตามแนวโน้มได้ถูก เปรียบเสมือนการขับรถตามรถคันข้างหน้า เราต้องทิ้งระยะห่างพอควร เมื่อรถคันหน้าเปลี่ยนทิศทางเราจะได้เปลี่ยนทัน หากขับตามกระชั้นชิดเมื่อคันหน้าเปลี่ยนทิศทางเราจะเปลี่ยนทิศไม่ทันและชนท้ายคันหน้าจนเกิดความเสียหาย

วิธีที่สาม เทรดฟิวเจอร์ส การเทรดฟิวเจอร์สจะทำให้เทรดได้ทั้งด้านขาขึ้น (ซื้อก่อนแล้วขายทีหลัง) และด้านขาลง (ขายก่อนแล้วซื้อทีหลัง) อีกทั้งการเทรดฟิวเจอร์สใช้วิธีการวางมาร์จิน คือวางเงินส่วนเดียว ไม่ต้องชำระค่าหุ้นเต็มจำนวน วิธีนี้จะช่วยปรับปรุงอัตรากำไรได้ 2 ถึง 4 เท่าโดยประมาณ เช่น จากเดิมได้กำไรปีละ 7-8% ก็อาจจะเพิ่มเป็นประมาณปีละ 14-30% ซึ่งลุงแมวน้ำคงยังไม่พูดรายละเอียดในที่นี้

วิธีที่สี่ ปรับปรุงระบบการเทรด หลักๆก็ต้องเน้นไปที่ลดการเกิด false signal หรือว่าลดสัญญาณหลอก การลด false signal ก็อาจทำได้ด้วยการปรับปรุงสูตรสัญญาณซื้อขาย หรือใช้การนับคลื่นเข้าช่วย หรือใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน

หากเทรดในระบบตามแนวโน้มและใช้วิธีที่สามและสี่ร่วมกันในการปรับปรุงอัตรากำไร ก็จะปรับปรุงอัตราการทำกำไรให้ขึ้นมาอยู่ในระดับประมาณ 20-50% ต่อปีได้ เต็มที่ก็คงได้แค่ประมาณนี้ รวมทั้งหากใช้วิธีที่หนึ่ง (ซึ่งหมายถึงการขยายพอร์ตการลงทุนนั่นเอง) เข้ามาช่วย ก็จะทำให้พอร์ตการลงทุนของเราสามารถมีรายได้เสริมที่พอสำหรับการใช้จ่ายหรือเพื่อการเก็บออมได้

อนึ่ง อัตรากำไรที่กล่าวมานี้ เป็นการคิดโดยวิธีนำกำไรตลอดปีมาเทียบกับทุนก้อนเดิมที่นำมาหมุนใช้ เช่น กำไรจาำการขายข้าวหน้าปลาแซลมอน 3,650 บาทในหนึ่งปี คิดเทียบกับต้นทุน 100 บาทที่นำมาหมุนใช้ ได้เป็นอัตรากำไร 3,650% ต่อปี เป็นต้น แต่หากคิดแบบบัญชีโดยคิดต้นทุนการขายทุกครั้ง แม้ว่าจะเป็นทุนก้อนเดิมที่นำมาหมุนใช้ก็ตาม กำไรก็จะต่ำกว่านี้มาก เช่นกรณีข้าวหน้าปลาแซลมอน กำไรจากการขายปีละ 3,650 บาท แต่หากคิดต้นทุนการขายทุกครั้ง ต้นทุนการขายจะเป็น 36,500 บาทต่อปี (ไม่ใช่ 100 บาทแล้ว) ดังนั้นหากคิดต้นทุนทุกครั้งจะได้กำไร 10% ต่อปี

ดังนั้นจะได้กำไรปีละ 3,650% หรือ 10% ทั้งๆที่เป็นเรื่องเดียวกัน ก็ขึ้นกับมุมมองและวิธีการคิดนั่นเอง

คำตอบอยู่ที่ใจของคุณ

จากที่ลุงแมวน้ำคุยให้ฟังมานี้เป็นการยกตัวอย่างด้วยเงื่อนไขที่ไม่ซับซ้อนเพื่อให้เข้าใจง่าย แม้ตัวเลขต่างๆที่ได้อาจคลาดเคลื่อนได้บ้างแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เห็นภาพในเชิงเปรียบเทียบได้

ผู้อ่านคงพอได้แนวความคิดว่าการเล่นหุ้นนั้นทำให้รวยได้จริงหรือไม่ มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดที่จะรวยจากหุ้นจากการเทรดในระบบตามแนวโน้มและใช้สัญญาณซื้อขาย บางท่านเมื่ออ่านแล้วอาจจะได้นำไปใช้ปรับทัศนคติในการเทรดหุ้นและฟิวเจอร์ส ความโลภนั้นเป็นเรื่องที่อันตราย เมื่อใดที่ความโลภหรือความกลัวเข้าครอบงำจะทำให้ปฏิบัติตามระบบไม่ได้ หรือว่าแหกระบบนั่นเอง เมื่อใดที่แหกระบบ เมื่อนั้นก็พัง หากเราเทรดด้วยใจที่ยึดทางสายกลาง คาดหวังแต่พอประมาณ แม้เราจะไม่รวยแต่ก็พอเสริมรายได้ เพื่อจะเป็นอิสระทางการเงินได้ หวังเอาไว้แค่นี้ก็พอ แล้วในที่สุดเราจะได้สมประสงค์ ลองติดตาม โครงการลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ บำนาญสร้างเองของลุงแมวน้ำ ไปเรื่อยๆจะทราบ ว่าเมื่อเทรดตามระบบไปเรื่อยๆ คาดหวังแต่พอประมาณ ประกอบกับการใช้เทคนิคในการจัดการพอร์ตลงทุนเข้ามาช่วย แล้วในที่สุดเราจะได้อะไรมาบ้าง


No comments: