Monday, May 27, 2013

27/05/2013 * พฤหัสทมิฬที่ญี่ปุ่น


เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตอนบ่ายๆ ขณะที่ลุงแมวน้ำกำลังชิมขนมอย่างเพลิดเพลินอยู่ที่งาน THAIFEX อันเป็นงานมหกรรมอาหารที่ใหญ่มาก ลุงก็เลือกชิมแต่พวกขนม มีขนมอร่อยๆเยอะเชียว ^_^ มาร์เก็ตติงตลาดสินค้าเกษตรก็โทรมาหา

"ฮัลโหล" ลุงแมวน้ำรับสาย

"ลุงแมวน้ำขา คุยสะดวกไหมคะ ทำไมเสียงตุ้ยๆชอบกล" มาร์เก็ตติงถาม

ลุงกำลังเคี้ยวขนมอยู่น่ะ เสียงเลยอู้อี้ คุยได้คร้าบ" ลุงแมวน้ำพูด

"อุ๊ย ขนมอะไรคะ ไม่แบ่งหนูเลยนะ" มาร์ต่อว่าเล็กน้อย

"ลุงกินเผื่อหนูอยู่นี่ไง" ลุงแมวน้ำเอาตัวรอด

"อ้อ ที่โทรมาจะบอกลุงว่าตอนนี้ยางพาราราคาไหลลงมาเกือบติดฟลอร์แล้วนะคะ" มาร์บอก

"อ้อ เหรอ เกิดอะไรขึ้นล่ะ" ช่วงนี้ยางพาราราคาปั่นป่วน เพราะน่าจะอยู่ในคลื่น 2 ย่อย

"หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดัชนีนิกเกอิของญี่ปุ่นร่วงไปกว่า 1000 จุด ลงไปกว่า 7% เชียวค่ะลุง ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สก็ร่วงร้อยกว่าจุด ตลาดหุ้นไทยก็ลงไป 30 กว่าจุดแล้ว" มาร์รายงาน

"นิกเกอิร่วงพันกว่าจุดเชียวเหรอ มันต้องมีสาเหตุสิ มีข่าวอะไรไหม" ลุงแมวน้ำถามอีก

"ก็มีข่าวเฟดอาจยุติมาตรการ QE แล้วก็มีข่าวอัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นพุ่งแตะ 1% หนูว่าน่าจะเกี่ยวกับสองข่าวนี้นะคะ หนูดูแต่สินค้าเกษตร เรื่องตลาดหุ้นหนูไม่ค่อยรู้หรอกค่ะ ทำไมลุงแมวน้ำไม่ถามมาร์หุ้นดูล่ะ" มาร์สินค้าเกษตรแนะนำ

ลุงก็ลองโทรไปถามมาร์เก็ตติงหุ้นดู ต่อตั้งนานกว่าจะติด สายไม่ว่างเลย กว่าจะติดก็เล่นเอาเมื่อยครีบ

"ฮัลโหล เกิดอะไรขึ้นละเนี่ย" ลุงแมวน้ำถามหลังจากที่มาร์รับสาย

"ตอนนี้คนสั่งขายหุ้นกันใหญ่เลยค่ะ ดัชนีนิกเกอิร่วงไปพันกว่าจุด ตลาดเอเชียแดงหมดทั้งแผงเลย" มาร์สร้างสีสันด้วยสีแดง

"แล้วมีสาเหตุไหมหนู" ลุงแมวน้ำถาม

"ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ว่ากังวลว่าอเมริกาจะยุติคิวอี แล้วก็ดัชนี PMI ของจีนที่เพิ่งประกาศออกมาร่วงต่ำกว่า 50 จุด เป็นสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัวค่ะ นักลงทุนเลยตื่นขายหุ้น" มาร์ตอบ

"แล้วดัชนีตลาดหุ้นจีนตอนนี้เท่าไรล่ะ" ลุงแมวน้ำถามอีก

"ดัชนีเซี่ยงไฮ้ประมาณ -3 จุดค่ะ" มาร์ตอบ

"เอ้อ ดัชนีการผลิต PMI ของจีนตก ตลาดหุ้นจีนลงไป 3 จุด แต่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นลงไปพันกว่าจุด แล้วตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะตกใจแทนตลาดหุ้นจีนไปทำไม ลุงไม่เข้าใจ" ลุงแมวน้ำงง

"นั่นสิคะ หนูก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ข่าวมันก็มีอยู่แค่นี้เอง" มาร์ตอบ

สรุปว่าวันนั้นเกิดอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าตลาดหุ้นไทยก็มีแรงขายออกมาด้วย ลุงแมวน้ำก็เลือกดูเอา ตัวไหนถึงสัญญาณขายก็ขายไป ตัวไหนยังไม่ถึงก็ถือเอาไว้ ตลาดตกใจโดยหาสาเหตุไม่ได้แบบนี้ ระบบสัญญาณซื้อขายจะช่วยลดความเสี่ยงได้

ตอนกลางคืน หลังจากที่ลุงแมวน้ำกลับมาที่โขดหินแล้ว ก็เลยลองหาข้อมูลดู ปรากฏว่าที่มาร์ยางพาราคาดนั้นใกล้เคียงกว่ามาร์หุ้น นั่นคือปัญหามาจากตลาดพันธบัตรของญี่ปุ่น

ยังจำได้ไหม บทความเมื่อวันก่อน ที่ลุงแมวน้ำบอกว่าให้ระวังตลาดพันธบัตร เพราะว่าตลาดพันธบัตรของอเมริกามีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่องมานับเดือนแล้ว ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกาสูงขึ้นมาโดยตลอด (หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือราคาพันธบัตรลดลงเรื่อยๆ)

การแถลงของลุงเบนต่อสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ยังคงความอึมครึมเช่นเดิม ประกอบกับความเห็นของกรรมการเฟดบางคนพูดไปในทำนองว่าน่าจะยุติคิวอีก่อนกำหนด ข่าวนี้ทำให้ตลาดหุ้นอเมริกาปรับตัวลงไม่เท่าไร แต่ตลาดพันธบัตรมีแรงขายออกมาทันที ดังรูปที่ลุงแมวน้ำเคยเอามาให้ดูแล้ว มาดูกันอีกทีก็ได้


ภาพบนนี้คือภาพที่เราเคยดูกันไปแล้ว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี ในวันที่ 22/05/2013 วันเดียวพุ่งๆไปกว่า 4%

ทีนี้เราไปดูตลาดพันธบัตรของญี่ปุ่นในวันที่ 23/05/2013 คือวันพฤหัสทมิฬกันบ้าง ดังภาพต่อไปนี้



จากภาพ จะเห็นว่าในระหว่างวันที่ 23 นั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น อายุ 10 ปี พุ่งจาก 0.8% กว่าๆ ไปทะลุ 1% ภายในเวลาเพียงชั่วโมงเดียว ซึ่งแปลว่ามีแรงเทขายพันธบัตรออกมามากในเวลาอันรวดเร็ว และนี่เองที่ทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วง เพราะตลาดตกใจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ประกอบกับตลาดหุ้นพุ่งแรงต่อเนื่องมาหลายเดือน ทุกคนก็พร้อมจะเทขายกันอยู่แล้ว ดังนั้นตลาดหุ้นจึงปรับตัวแรง ภายในวันเดียวดัชนีร่วงกว่า 1000 จุด




ภาพบนคือดัชนีนิกเกอิในระหว่างวันที่ 23

ไม่เพียงแต่ผลกระทบถึงตลาดหุ้นเท่านั้น อัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนก็กระทบแรงด้วย เงินเยนแข็งค่าอย่างรวดเร็ว จาก 103.5 เยน/ดอลลาร์ สรอ แข็งค่าไปต่ำกว่า 101 เยน/ดอลลาร์ สรอ หรือกว่า 2% ภายในวันเดียว




ดังที่ลุงแมวน้ำบอกว่าให้ระวังตลาดพันธบัตร ตอนนี้ตลาดพันธบัตรอาการแปลกๆ เริ่มจากอเมริกา ตามมาที่ญี่ปุ่น ที่จริงในสัปดาห์ที่แล้วพันธบัตรเอเชียได้รับผลกระทบหลายประเทศ มีแรงเทขายออกมาเช่นกัน

สำหรับตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น ปกติลุงแมวน้ำก็ไม่ค่อยได้สังเกต แต่ไปดูข้อมูลย้อนหลังดูก็พบว่ามีแรงขายพันธบัตรญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนแล้ว แรงขายเยอะทีเดียว เพราะภายในเวลาเพียงเดือนกว่าเท่านั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี พุ่งจาก 0.3% กว่าไปไปถึง 1% ดังภาพต่อไปนี้




จากภาพ วันที่มีวงรีวงเอาไว้ก็คือแท่งเทียนของพันธบัตรญี่ปุ่นในวันที่ 23/05/2013 นั่นเอง

ลุงแมวน้ำอ่านข่าวพิ่มเติมในภายหลัง ทำให้รู้ว่าหลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งพรวด ภายในวันนั้นเอง ธนาคารกลางของญี่ปุ่นก็แทรกแซง ด้วยการทุ่มเงินเข้าซื้อพันธบัตร อัตราผลตอบแทนกับอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงบ่ายจึงได้กลับเข้าที่เข้าทาง และตลาดหุ้นก็หยุดไหลในวันถัดมา


ย้อนมาที่อเมริกากันอีกที หากยกเลิก QE แบบปุบปับ ตลาดพันธบัตรคงพังก่อน แล้วลามมาที่ตลาดหุ้น ก็คนติดยาเสพย์ติดน่ะ จู่ๆจะเลิกยาเลยก็แย่กันพอดี ร่างกายรับไม่ไหว แต่หากค่อยๆทำเป็นขั้นตอน ตลาดพันธบัตรจะค่อยๆอ่อนตัวลง น่าจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์

วันนี้ลุงแมวน้ำเอาข้อเท็จจริงมาให้ดูกัน ที่จริงเมื่อวันที่ 23 ที่ผ่านมา ลุงว่านักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่าหุ้นตกแรง ถือว่าเป็นอุทธาหรณ์อีกบทหนึ่งสำหรับนักลงทุน ว่าเราควรจัดพอร์ตอย่างไรจึงจะลดความเสี่ยงลงได้ และควรรับมืออย่างไรเมื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น อะไรก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้น อย่าย่ามใจ อย่าลงทุนเกินตัว อย่าเอาเงินระยะสั้นมาเทรดหุ้น

อยากให้นักลงทุนซื้อขายหุ้นด้วยความรู้ ไม่ใช่ซื้อขายด้วยความไม่รู้ หรือว่าซื้อขายเพราะว่าแตกตื่นตกใจ

สถานการณ์ตอนนี้ยังฝุ่นตลบอยู่ สถานการณ์จากวันพฤหัสยังไม่นิ่ง ดังนั้นนักลงทุนควรติดตามดู อาจมีการปรับตัวลงเป็นคลื่นย่อยขาลงตามมาอีก เอาไว้พรุ่งนี้มาดูกันอีกทีคร้าบ

Sunday, May 26, 2013

26/05/2013 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ ทำต้มยำเจ/มังสวิรัติแนวสุขภาพกินเองง่ายๆ


เช้าวันนี้เป็นวันหยุดที่อากาศดี สวนข้างโขดหินของลุงเขียวสดใส กระรอกวิ่งไล่กันสนุกสนาน นกร้องเพลงกันเจื้อยแจ้ว

วันนี้ลุงแมวน้ำอยากกินต้มยำ แต่อากาศสดใสยามเช้าแบบนี้ทำให้ลุงไม่อยากหมกอยู่ในครัว อย่ากระนั้นเลย วันนี้เราจะไปทำครัวในสวนกัน

เมนูวันนี้เป็นต้มยำเจ/มังสวิรัติ ทำแบบง่ายๆ มีเพียงหม้อต้มใบเดียวก็ทำได้แล้ว หรือหากไม่มีหม้อต้ม จะใช้เตาไมโครเวฟทำก็ได้เช่นกัน ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ทำเสร็จแล้ว เหมาะกับเช้าอันแสนจะขี้เกียจ ไม่ต้องทำอะไรมาก จะได้ไม่ต้องล้างจานมาก ^_^

ที่ทำได้ง่ายก็เนื่องจากส่วนใหญ่ใช้ของสำเร็จรูป ชีวิตสมัยนี้สะดวกสบาย มีของสำเร็จรูปให้เลือกใช้มากมาย อย่างเช่นต้มยำหม้อนี้

ลุงแมวน้ำก็เตรียมวัตถุดิบนิดหน่อย จากนั้นก็ลากสายไฟกับโต๊ะเล็กๆ เอาไปทำในสวนเลย ทำไปก็ชื่นชมกับบรรยากาศในสวนไป สบายอารมณ์

ก่อนที่จะลงมือทำอาหารกัน ลุงแมวน้ำขอทำความเข้าใจกันก่อน คือเรื่องเมนูสูตรเจนั้น คำว่าเจเป็นคำที่ลุงติดปาก เพราะว่าสั้นๆ เรียกง่าย พิมพ์ก็ง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้วอาหารเจนั้นใช่ว่าเพียงไม่มีเนื้อสัตว์ก็เป็นเจแล้ว แต่อาหารเจมีรายละเอียดอื่นอีก เช่น ผักกลิ่นแรงก็ไม่ได้ อย่างกระเทียม เป็นต้น ดังนั้นอาหารใส่กระเทียมแม้จะไม่มีเนื้อสัตว์แต่ก็ไม่ใช่อาหารเจแล้ว

ที่จริงลุงแมวน้ำกินอาหารในแนวมังสวิรัติ ไม่กินนม ไม่กินไข่ มากกว่า พวกกระเทียมและผักกลิ่นแรงที่เป็นข้อห้ามของเจลุงก็กิน แต่บางเมนูก็จัดว่าเป็นอาหารเจได้ เพราะว่าไม่มีของต้องห้ามของเจ ดังนั้นต่อไปลุงก็เรียกรวมๆกันไปละกัน

สำหรับเมนูต้มยำวันนี้ที่จริงคือมังสวิรัติ เพราะว่ามีกระเทียม ลุงทำเป็นต้มยำน้ำข้น คือใส่กะทิ แต่หากตัดกะทิออกไปก็จะเป็นต้มยำน้ำใส แต่ถึงเป็นต้มยำกะทิก็ไม่ต้องห่วงเพราะว่าเมนูของลุงแมวน้ำในวันนี้เป็นเมนูสุขภาพ ใช้กะทิธัญพืชแทน

เรามาดูวัตถุดิบกันก่อน วัตถุดิบที่เราใช้ก็มีดังนี้ ดูตามรูปไปเลยนะคร้าบ







เรามาดูรายละเอียดวัตถุดิบปริมาณที่ใช้กัน ไม่ต้องมีทั้งหมดตามนี้ก็ได้ มีอะไรก็ใช้อย่างนั้น อะไรที่ไม่มีก็ได้ลุงจะเขียนบอกเอาไว้


  1. ใบมะกรูดสด ประมาณ 4-6 ใบ ลุงเด็ดจากต้นมะกรูดที่อยู่ในสวนนั่นเอง ช่วยให้กลิ่นของต้มยำหอมขึ้น หากไม่มีก็ไม่ต้องใส่
  2. แครอท ครึ่งหัว อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ราคาประมาณกิโลกรัมละ 25 บาท
  3. เห็ดนางฟ้า นิดหน่อย เห็ดนางฟ้านี้ใส่ได้ตามอัธยาศัย ราคาประมาณกิโลกรัมละ 50-120 บาท แล้วแต่เกรดของเห็ดและแล้วแต่ว่าซื้อที่ไหน บางที่ก็ขายแพงเว่อ ปกติต้มยำใช้เห็ดฟาง แต่ว่าเห็ดฟางแพง ลุงจะเอาประหยัด เลยใช้เห็ดนางฟ้าแทน ^_^
  4. ไส้หมูเจ 1 แท่ง เป็นโปรตีนจากข้าวสาลี (กลูเทน)  หายากหน่อย ไม่มีก็ไม่เป็นไร
  5. ไส้กรอกเจ 1  แท่งเป็นโปรตีนจากถั่วเหลือง (หากไม่มีไส้หมูเจก็ใส่ไส้รอกเจรวมเบ็ดเสร็จเป็น 2-3 แท่ง) 
  6. ข้าวโพดแห้ง ครึ่งถ้วย ไม่มีก็ไม่เป็นไร
  7. กะทิธัญพืช 50 มิลลิลิตร (ประมาณ 3 ช้อนโต๊ะครึ่ง) ก็คือกะทิปลอมนั่นเอง แต่เหมือนจริงมาก ทำจากน้ำมันรำข้าว มีกรดไขมันอิ่มตัวไม่เยอะ กรดไขมันไม่อิ่มตัวเยอะกว่า ดีต่อสุขภาพ 
  8. น้ำเปล่า 450 มิลลิลิตร (หากเตรียมด้วยถ้วยตวงก็รินกะทิให้ได้ 3.5 ช้อนโต๊ะ จากนั้นเติมน้ำตามไปจนได้น้ำ+กะทิ รวมแล้วเป็น 2 ถ้วย)
  9. เครื่องต้มยำสำเร็จรูป 1 ซอง เครื่องต้มยำนี้ลุงใช้ยี่ห้อกนกวรรณ ตามภาพนั่นแหละ ราคาซองละ 20 บาท ที่เลือกใช้ยี่ห้อนี้เพราะว่าดูส่วนผสมแล้วเป็นเครื่องต้มยำมังสวิรัติ คือไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ เครื่องต้มยำส่วนใหญ่มีส่วนผสมของน้ำปลาและกะปิ แต่ของกนกวรรณนี่ไม่มี


เอาละ ทีนี้ก็มาดูขั้นตอนการทำ

ลุงใช้หม้อต้มน้ำแบบไฟฟ้า แต่หากไม่มีจะต้มด้วยเตาอบไมโครเวฟก็ได้ ก็พลิกแพลงเอาหน่อย




ใส่กะทิ น้ำเปล่า ข้าวโพด ใบมะกรูด เครื่องต้มยำสำเร็จรูป ลงไปในหม้อ




จากนั้นต้มให้เดือด คนเรื่อยๆเพื่อให้เครื่องต้มยำละลาย ตอนนี้จะเริ่มได้กลิ่นหอมจากใบมะกรูดลอยนำมาก่อนเลย จากนั้นเป็นกลิ่นเผ็ดของเครื่องต้มยำลอยตามมา อูย น้ำลายไหล ^_^




พอเดือดได้สักพักแล้วก็ใส่เห็ดนางฟ้า ไส้กรอก ไส้หมู แครอท ที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วตามลงไป จากนั้นเคี่ยวให้เดือดต่อไปอีกระยะหนึ่ง




เอาละ เสร็จแล้ว ปิดไฟ หอมฉุยน่ากินเชียว กินกับข้าวสวยร้อนๆ หรือจะกินเป็นซุปโดยไม่กินข้าวเลยก็ได้




เคล็ดลับความอร่อย แถมอีกนิด หากใส่น้ำพริกเผาสูตรเจเพิ่มลงไป มากน้อยตามใจชอบ จะช่วยให้อร่อย แซ่บยิ่งขึ้น แต่หากไม่มีก็ไม่เป็นไร

ต้มยำกะทิเจ/มังสวิรัติ สูตรสุขภาพหม้อนี้กินได้ราว 2-3 คน แต่ถ้ากินคนเดียวก็ได้สัก 2-3 มื้อ ทำครั้งหนึ่งสบายไปได้หลายมื้อ วัตถุดิบทั้งหมดนี้หาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ต ยกเว้นไส้หมูเจที่หายากหน่อย แต่ก็ตัดออกได้ มีอะไรก็ใช้อย่างนั้นแหละ ลุงพยายามไม่ใช้วัตถุดิบที่หาง่าย จะได้อร่อยกันได้โดยไม่ลำบาก

เห็นลุงเขียนเสียยาว ที่จริงทำไม่ยากหรอกนะคร้าบ ลองทำกันดู วันหยุดกับเมนูง่ายๆ แถมได้ลดการเบียดเบียนอีกด้วย ^_^

Thursday, May 23, 2013

23/05/2013 * กระทิงอเมริกาวิ่งไล่กระทิงไทย ระวังตลาดพันธบัตร


อ่านชื่อหัวข้อแล้วงงไหม ถ้างงก็ไม่เป็นไร อ่านต่อไปแล้วก็จะหายงงไปเอง ^__^

เมื่อปีที่แล้ว ปี 2012 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น +35.8% หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือปีที่แล้วดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทน +35.8% ก็เยอะนะ เพราะว่าตลาดหุ้นไทยถือว่าเป็นตลาดเอเชียที่ให้ผลตอบแทนสูงมากในปีที่แล้ว ตลาดหุ้นตุรกีแรงสุด +62% ที่แรงพอๆกับไทยก็คือตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ +33% ตลาดหุ้นอื่นๆในเอเชียแปซิฟิกก็ลดหลั่นกันลงไป

ส่วนตลาดหุ้นอเมริกาในปี 2012 นั้น แม้ว่าเฟด โดยลุงเบน เฮลิคอปเตอร์ จะอัดฉีดทั้งมาตรการ QE 2 ต่อด้วย operation twist และตามด้วย QE 3 แต่ตลอดทั้งปี 2012 ตลาดหุ้นอเมริกา ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน +13.4% ส่วนดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJI) ให้ผลตอบแทน +7.3% ซึ่งถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับเงินอัดฉีดที่ลุงเบนทุ่มลงไป

แต่ว่าปี 2013 นี้สภาพการณ์ต่างกันออกไป หากนับกันตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อวานนี้ (22/05/2013) ดัชนี SET ให้ผลตอบแทน +17.2% ในขณะที่ดัชนี S&P 500 และ DJI ให้ผลตอบแทนพอๆกันคือประมาณ +17% ซึ่งก็ใกล้เคียงกับของตลาดหุ้นไทย และมากกว่าผลตอบแทนตลอดปีที่แล้วทั้งปีของ S&P 500 และ DJI เองเสียอีก ดังนั้นแนวโน้มในช่วง 5 เดือนแรกนี้น่าจะพอทำให้เห็นได้แล้วว่าตลาดหุ้นอเมริกาในปีนี้เริ่มมาแรงแล้ว

ลุงแมวน้ำมองว่าในช่วงที่เหลือของปี 2013 นี้ตลาดหุ้นของอเมริกาน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย หลายเดือนต่อจากนี้ไปกระทิงน่าจะวิ่งแรงทีเดียว และที่ควรระวังก็คือตลาดพันธบัตร ลองมาดูเหตุผลกัน

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี เมื่อวันที่ 22/05/2013 ผลตอบแทนปรับตัวขึ้น +4.2% ในคืนเดียว บ่งบอกถึงแรงขายพันธบัตร


ภาพบนนี้เป็นภาพอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี เฉพาะเมื่อคืน (เวลาบ้านเรา) คือวันที่ 22/05/2013 ของสหรัฐอเมริกา อัตราผลตอบแทนพุ่งในวันเดียวถึง +4.2% อันหมายถึงว่ามีแรงขายพันธบัตรออกมา สาเหตุก็เนื่องมาจากในวันดังกล่าวเฟดได้เปิดเผยรายงานการประชุมฉบับสิ้นเดือนเมษายน

เรื่องที่นักลงทุนกลัวอยู่ก็คือกลัวว่าเฟดจะยุติโครงการอัดฉีดเงิน QE ดังนั้นไม่ว่าเฟดมีประชุมหรือแถลงอะไร ทุกคนก็ให้ความสนใจว่าลุงเบนหรือเจ้าหน้าที่เฟดคนอื่นจะส่งสัญญาณอะไรออกมาบ้าง บางทีพูดคลุมเครือ ตลาดพันธบัตรก็ตกใจเทขายพันธบัตรออกมา จนอัตราผลตอบแทนพุ่ง

ส่วนตลาดหุ้นของอเมริกาในวันเดียวกันนี้ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง -0.5% ส่วนดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง -0.8% ชี้ให้เห็นว่าตลาดพันธบัตรอ่อนไหวและมีปฏิกิริยาต่อการยุติ QE รุนแรงกว่าตลาดหุ้นมาก

สาเหตุที่ความกังวลเรื่องการยุติ QE ส่งผลถึงตลาดพันธบัตรก็เพราะว่าเฟดทุ่มเงินซื้อพันธบัตรมาโดยตลอด ตามโครงการ operation twist กับ operation twist ส่วนขยาย (แต่หลายๆคนก็เรียกรวมๆกันว่า QE) ตลาดพันธบัตรก็มีการเก็งกำไรกันสูง เพราะว่ามีเฟดคอยทุ่มเงินซื้ออยู่ ผลก็คือราคาพันธบัตรสูงขึ้น (หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าอัตราผลตอบแทนลดลง ตรงนี้อย่างง ก็เหมือนกันซื้อหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลนั่นเอง ถ้าซือหุ้นมาในราคาสูง ก็หมายถึงว่าอัตราผลตอบแทนจากปันผลลดลงนั่นเอง)

ทีนี้หากเฟดยุติโครงการ QE จะเกิดอะไรขึ้น แน่นอน เฟดก็ต้องค่อยๆทยอยขายพันธบัตรซึ่งถืออยู่เป็นจำนวนมหาศาลออกมา เพราะหมดโครงการแล้วก็ไม่รู้ว่าจะถือไว้ทำไมมากมาย นักลงทุนก็เกรงกันว่าเมื่อขาใหญ่ขายพันธบัตรออกมาเป็นจำนวนมาก ราคาพันธบัตรย่อมต้องลดลง (คืออัตราผลตอบแทนปรับตัวสูงขึ้น) ซึ่งมันก็เหมือนกับหุ้นนั่นเอง เมื่อขาใหญ่ทิ้งหุ้นปันผล วงก็แตก ราคาหุ้นปันผลก็ต้องร่วง ก็ทำนองนั้นแหละ

นี่เองคือเรื่องที่เฟดเองก็ยังพะวง และยังแสดงความอึมครึมอยู่เสมอว่าจะยุติโครงการ QE เมื่อไรกันแน่ เพราะหากไม่มีมาตรการที่เป็นขั้นตอน ตลาดพันธบัตรต้องปั่นป่วนแน่

แล้วจะเกิดอะไรกับตลาดหุ้น???

ก่อนที่จะคุยกันต่อ ลุงแมวน้ำอยากให้ดูภาพนี้ก่อน

กราฟแสดงราคาฟิวเจอร์สของดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (YM) ราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกากันอายุ 10 ปี กับ 30 ปี และส่วนต่างของ YM กับ DJI


ภาพนี้มี 3 ส่วน ส่วนล่างคือราคาฟิวเจอร์สของดัชนีอุตามหกรรมดาวโจนส์ ตัวดัชนีใช้ตัวย่อว่า DJI  ส่วนฟิวเจอร์สของดัชนีใช้ตัวย่อว่า YM จะเห็นว่าตั้งแต่กลางปี 2011 เป็นต้นมา หลังจากที่เฟดใช้ operation twist ตลาดหุ้นอเมริกาก็ขึ้นมาเรื่อยๆโดยตลอด

เอาละ ทีนี้้มาดูภาพส่วนกลาง เป็นราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี กับ 30 ปี กราฟนี้คือราคานะ ไม่ใช่ผลตอบแทน ก็คือดูแบบราคาหุ้น ถ้าราคาสูงก็แปลว่าคนอยากได้และแย่งกันซื้อ ถ้าราคาตกก็แปลว่าคนแห่กันขาย ไม่อยากถือ

จะเห็นว่า หลังจากที่เฟดใช้มาตรการ operation twist (เริ่มประมาณกันยายน 2011) ราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ตลาดพันธบัตรมีการเก็งกำไรกันเพราะรู้ว่ามีขาใหญ่คอยรับซื้ออยู่

แต่สังเกตว่าตั้งแต่เดือนกันยายน 2012 เป็นต้นมา ราคาพันธบัตรอยู่ในกรอบแนวโน้มขาลง ที่เป็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะว่านักลงทุนเริ่มทยอยลดความเสี่ยงจากการยุติ QE ถือไปนานๆก็หนาว ก็เลยทยอยขายออกมาเรื่อยๆ ขณะเดียวกันตลาดหุ้นอเมริกาก็ขึ้นต่อไปเรื่อยๆ และกราฟยิ่งนานก็ยิ่งชันขึ้น

ที่ลุงแมวน้ำตั้งคำถามข้างบนไว้ว่าหากเฟดยุติ QE ตลาดหุ้นจะเกิดอะไรขึ้น หากวิเคราะห์จากกราฟแล้วลุงแมวน้ำเห็นว่าตอนนี้นักลงทุนทยอยขายพันธบัตรเพื่อลดความเสี่ยงและมีเงินจำนวนหนึ่งไหลเข้ามาในตลาดหุ้น ดังนั้นเหตุการณ์ข้างหน้าน่าจะเป็นว่าตลาดพันธบัตรอ่อนตัวลงเรื่อยๆ ในขณะที่ตลาดหุ้นยังคงขึ้นต่อไป เนื่องจากเงินในตลาดพันธบัตรย้ายมาเก็งกำไรในตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ

ทีนี้มาดูกราฟเส้นบนสุดในภาพ ที่เขียนไว้ว่า DJI future - DJI

กราฟเส้นนั้นคือผลต่างของราคาฟิวเจอร์สของดัชนี ลบด้วยราคาของดัชนี พูดง่ายๆก็คือจะดูว่าตอนนี้ฟิวเจอร์สของ DJI แพงกว่าตัวดัชนี DJI อยู่เท่าไรนั่นเอง

โดยปกติในตลาดกระทิง ฟิวเจอร์สมักแพงกว่าดัชนี แต่จากกราฟจะเห็นว่าฟิวเจอร์สส่วนใหญ่ราคาถูกกว่าดัชนีมาโดยตลอด แสดงถึงความกล้าๆกลัวๆ ยังไม่ใช่กระทิงเต็มที่ ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงเห็นว่าตลาดหุ้นของเมริกายังไปได้อีกพักใหญ่ ต่อไปเงินน่าจะไหลมาเข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น และตลาดเข้าสู่ภาวะกระทิงเต็มที่ ถึงตอนนั้นจะเห็นฟิวเจอร์สแพงกว่าดัวดัชนีต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆ ลุงแมวน้ำว่าภาวะที่ว่าน่าจะใกล้มาถึงแล้วล่ะ



ผลต่างของราคาฟิวเจอร์สเซ็ต 50 (S50) กับดัชนี SET50 เป็นไปได้ว่าตลาดหุ้นไทยกำลังเข้าภาวะกระทิงเต็มที่แล้ว

ทีนี้มาดูตลาดหุ้นไทยกันบ้าง ของเราก็มีฟิวเจอร์สเช่นกัน นั่นคือฟิวเจอร์สของดัชนีเซ็ต 50 (ใช้ตัวย่อว่า S50) ปีที่แล้ว 2012 ราคาฟิวเจอร์ส S50 ถูกกว่า SET50 เป็นส่วนใหญ่ แต่ว่าตอนนี้ราคาฟิวเจอร์สเริ่มแพงกว่าดัชนีแล้ว หากแพงกว่าอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานก็บ่งชี้ถึงภาวะกระทิงเต็มที่ได้ทางหนึ่ง ดังนั้นลุงแมวน้ำก็มองว่าตลาดหุ้นไทยยังไปต่อได้อีกเช่นกัน ประกอบกับว่าหากตลาดหุ้นอเมริกาวิ่งโลดจริง ตลาดหุ้นอื่นๆก็ย่อมได้อานิสงส์ไปด้วย

แต่... แต่... และแต่... การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง เหตุไม่คาดหมายอาจเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้น เมื่อได้อ่านบทความนี้ของลุงแมวน้ำ จะอย่างไรก็ต้องรักษาวินัยในการลงทุน อย่าเทรดเกินตัวเป็นอันขาด เพราะความประมาทย่อมทำให้เกิดความเสียหายที่ใหญ่หลวงได้ 



Tuesday, May 21, 2013

21/05/2013 * ตลาดหุ้นไปต่อ ลุ้นลดอัตราดอกเบี้ย และสรุปตลาดในรอบสัปดาห์ (13/05/2013 - 18/05/2013)


ในรอบสัปดาห์ที่แล้ว (13/05/2013 - 18/05/2013) ตลาดหุ้นในภาพรวมยังเดินหน้าต่อไป ไม่ค่อยมีอะไรหวือหวา ที่ขึ้นก็ขึ้นต่อไป ดูได้ง่ายๆ จากตารางรายงานด้านล่างก็พอจะเห็นว่ารายการในตารางเป็นสัญญาณซื้อเกือบทุกรายการ มีสัญญาณขายเพียงไม่กี่รายการเท่านั้น สะท้อนว่าตลาดทุนทั้งโลกเป็นขาขึ้นอยู่

ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 2.1% แม้ว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจบางตัวจะออกมาไม่ค่อยดีนัก อย่างเช่นยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานซึ่งมีมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ รวมทั้งดัชนีราคาบ้านในสัปดาห์ที่แล้วก็คงตัว ไม่ขยับขึ้น ทำให้หลายคนกเริ่มกังวลว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะไปต่อไหวไหม แต่ตลาดหุ้นก็ขึ้นต่อได้เพราะตลาดหุ้นเชื่อว่ามาตรการ QE 3 จะทำให้หุ้นขึ้นต่อไปได้นั่นเอง

เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในยุโรป แม้ว่าสัปดาห์ที่แล้วจะยังไม่มีข่าวดีอะไรใหม่ๆ แต่นักลงทุนคงถือคติว่าการไม่มีข่าวร้ายก็คือเป็นข่าวดีกระมัง ดังนั้นตลาดหุ้นในยุโรปจึงปรับตัวขึ้นต่อ ตอนนี้ตลาดหุ้นในยุโรปส่วนใหญ่เป็นแนวโน้มขาขึ้นแล้ว ตลาดหุ้นเยอรมนี ดัชนีแดกซ์ +1.4% ตลาดหุ้นกรีซ +11.4% ตลาดหุ้นออสเตรียและโปแลนด์บวกันไป +2.3% เท่าๆกัน เป็นต้น

ทางด้านตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิก ส่วนใหญ่ก็เป็นแนวโน้มขาขึ้นแล้วเช่นกัน คงมีบางตลาด เช่น ตลาดหุ้นรัสเซีย ที่ยังดูไม่ค่อยดี ในสัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิกเสียงแตก มีทั้งปรับตัวขึ้นและปรับตัวลง ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังขึ้นแรงต่อไป +3.6% ตลาดหุ้นจีนสัปดาห์ที่แล้วก็แรง +2%

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย +0.34% แต่ต่างชาติเริ่มซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่องแล้ว ปริมาณการซื้อขายที่ไม่สูงนักในสัปดาห์ก่อนหน้า เริ่มมีมากขึ้น เหล่านี้เป็นสัญญาณว่าตลาดหุ้นยังไปต่อได้ รวมทั้งในช่วงต่อไปน่าจะขึ้นแรงหากต่างชาติเข้ามาไล่ซื้ออย่างจริงจัง

นอกจากนี้ ในภาคเศรษฐกิจจริง ตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทยไตรมาสแรกไม่ค่อยดีนัก อัตราการเจริญเติบโตรวมทั้งยอดส่งออก ล้วนแต่ต่ำกว่าเป้าที่คาดเอาไว้ ดังนั้น ในสัปดาห์นี้ นักเศรษฐศาสตร์ รวมทั้งนักวิเคราะห์จากหลายโบรกเกอร์ ต่างก็มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงหนึ่งสลึงถึงสองสลึง ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ไม่ใช่เหตุผลจากเรื่องเงินบาทแข็งค่า แต่เป็นการลดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และหากมีการลดอัตราดอกเบี้ยจริง ก็จะมีผลดีต่อตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น บางโบรกเกอร์ก็เริ่มปรับเป้าดัชนี SET ณ สิ้นปีกันอีกแล้ว เช่น บางรายก็ให้ไว้ 1750 จุด

มาดูทางด้านตลาดตราสารหนี้กันบ้าง ตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐอเมริกา เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับสูงขึ้นตลอดทั้งเส้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุคงเหลือ 10 ปี อยู่ที่ 1.95% สูงขึ้น +2.6% หมายความว่ามีแรงขายพันธบัตรออกมาในทุกช่วงอายุ ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าเงินจากตราสารหนี้น่าจะไหลไปเข้าตลาดหุ้นนั่นเอง

ส่วนตลาดตราสารหนี้ของไทย สัปดาห์ที่แล้วเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Thai gov bond yield curve) ปรับตัวขึ้นตลอดทั้งเส้น พร้อมกับปริมาณซื้อขายที่ลดลง แสดงว่ามีเงินย้ายออกจากตลาดตราสารหนี้

ด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ สินค้าเกษตรยังไม่มา ตอนนี้ยังบอกว่าเป็นขาขึ้นไม่ได้ คงเป็นตลาดไร้ทิศทางอยู่ ต้องรอดูไปอีก

ราคาน้ำมันดิบเป็นแนวโน้มขาขึ้นแล้ว ราคาคงปรับตัวขึ้นต่อไปได้อีก

ราคาทองคำ สัมพันธ์กับค่าเงินดอลลาร์ สรอ ตอนนี้เงินดอลลาร์ สรอ เป็นแนวโน้มแข็งค่า ดังนั้นราคาทองคำน่าจะปรับตัวลง

ทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน สัปดาห์ที่แล้วค่าเงินไม่ค่อยผันผวนนัก เงินดอลลาร์ สรอ แข็งค่า เงินยูโรกับเงินเยนอ่อนค่า ส่วนเงินบาทก็อ่อนค่าลงนิดหน่อย ไม่ค่อยผันผวน

สำหรับสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทยยังเดินหน้าต่อไป ฝรั่งยังไม่เข้ามาซื้อเยอะๆเลย ตั้งแต่ต้นปีมีแต่ยอดขายสุทธิ ดังนั้นลุงแมวน้ำมองว่าตลาดยังไปต่อได้

ที่จริงตลาดหุ้นช่วงที่ผ่านมาขึ้นได้เพราะรายย่อยไทยทั้งนั้น ที่จริงแล้วรายย่อยนั่นแหละเป็นกลุ่มที่มีน้ำหนักต่อทิศทางตลาดมากที่สุด แต่การดูยอดซื้อสุทธิของต่างชาตินั้นช่วยสะท้อนภาพรวมของทิศทางตลาดโลกได้ส่วนหนึ่ง

ตลาดหุ้นอเมริกากับจีนดูดี น่าเข้าลงทุน ปีนี้สองตลาดนี้อาจแรงกว่าตลาดหุ้นไทย ส่วนของญี่ปุ่นนั้นไม่ต้องพูดถึง แรงอยู่แล้ว แต่ช่องทางการเข้าลงทุนมีน้อย ของอเมริกากับจีนหาช่องทางการเข้าลงทุนว่ายกว่ากันมาก

สัปดาห์นี้ วันพุธ จะมีการประชุมของเฟด ทุกคนรอดูว่าลุงเบนเครางามจะพูดถึงการเลิก QE3 หรือไม่ ตลาดอาจชะลอบ้างเพื่อรอฟังผลจากการประชุมนี้ แต่ลุงแมวน้ำว่า QE3 นี้เป็นยาเสพย์ติดไปแล้ว ถึงแม้ว่าอยากเลิกแต่ก็ใช่ว่าจะเลิกกันได้ง่ายๆ

ดัชนีตลาดหุ้นจีน น่าจะเข้าสู่คลื่น 3 แล้ว คราวนี้ไปได้อีกไกล


เงินดอลลาร์ สรอ แนวโน้มแข็งค่า ดัชนีดอลลาร์ สรอ ที่ระดับ 85.5 จุด คงได้เห็น และถ้าแรงมากอาจได้เห็น 87.5 จุด ซึ่งแปลว่าเงินยูโกับเงินเยนจะอ่อนค่าลงได้อีก รวมทั้งราคาทองคำก็ยังลงได้อีก ส่วนเงินบาทแนวโน้มของเงินบาทตอนนี้เป็นแนวโน้มอ่อนค่าอยู่ แต่ตอบยากว่าต่อไปจะอ่อนหรือจะแข็ง เพราะขึ้นอยู่กับเงินเยนด้วย หากมีเงินเยนไหลเข้ามามาก เงินบาทก็แข็งค่าได้แม้ว่าดอลลาร์อเมริกันจะแข็งค่า ก็เหมือนกับในช่วงที่ผ่านมานั่นเอง

ราคาน้ำมันดิบ WTI เป็นแนวโน้มขาขึ้นแล้ว แม้ว่าตอนนี้ภาพรวมของสินคาโภคภัณฑ์ทั้งกลุ่มยังดูไม่ค่ยน่าเข้าลงทุน แต่ว่าน้ำมันดิบนั้นเริ่มมาแล้ว โมเมนตัมด้านขาขึ้นเริ่มแรงขึ้น หากตัดทะลุกรอบสามเหลี่ยมชายธง (เส้นแดงด้านบน) ขึ้นไปได้ก็คงไปได้อีกไกล เตรียมจ่ายค่าน้ำมันแพงกันได้เลย


อัตราแลกเปลี่ยนสกุลสำคัญต่างๆและราคาทองคำในเชิงเปรียบเทียบ เมื่อเงินดอลลาร์ สรอ แข็ง เงินสกุลอื่นรวมทั้งทองคำก็อ่อนค่า โดยเฉพาะตอนนี้เงินดอลลาร์ออสเตรเลียกำลังอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว


 photo s5021052013weeklyreportcopy.gif

Sunday, May 19, 2013

19/05/2013 * เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ เมนูสุขภาพลดน้ำหนัก แกงจืดโปรตีน-แครอท



ในระยะหลังลุงแมวน้ำไม่ค่อยได้เขียนสารคดีวันหยุด ทั้งๆที่ใจจริงแล้วอยากจะเขียนและยังมีเรื่องที่อยากจะเขียนอยู่หลายเรื่อง แต่เนื่องจากลุงแมวน้ำหาเวลาทำไม่ค่อยได้ การเขียนสารคดีวันหยุดนอกจากเขียนตัวบทความแล้วยังต้องทำงานรูปอีก คือถ่ายรูปและเอาภาพถ่ายมาตัดต่อ ตกแต่ง ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างมาก ลุงแมวน้ำทำไม่ไหวก็เลยว่างเว้นไปบ้างระยะหนึ่ง

ที่จริงวันนี้ตั้งใจจะเขียนเรื่องเมนูสุขภาพที่เป็นข้าวอบต่างๆ เช่น ข้าวอบต้มยำ ข้าวอบแกงเขียวหวาน ข้าวอบแกงเผ็ดเป็ดย่าง ฯลฯ แต่ดูเวลาแล้วคิดว่าคงเขียนไม่ทัน ก็เลยเอาเมนูง่ายๆก่อนละกัน ลุงแมวน้ำค่อยๆปรับตัว พยายามจัดเวลามาเขียนให้มากขึ้น จะได้เขียนเรื่องยาวๆให้อ่านกัน

สำหรับเมนูสุขภาพในวันนี้เป็นอาหารมื้อเย็นที่ลุงแมวน้ำทำกินเอง ปกตินักโภชนาการมักเปรียบเปรยถึงการกินอาหาร 3 มื้อว่า มื้อเช้ากินอย่างราชา มื้อเที่ยงกินอย่างคนธรรมดา มื้อเย็นกินอย่างยาจก หมายความว่าการกินอาหารที่ถูกต้องนั้น มื้อเช้าควรเป็นอาหารมื้อหนัก เพราะว่าเราเพิ่งตื่นนอนมา ท้องว่างไม่มีอาหารมาตั้ง 8 ชั่วโมง ดังนั้นมื้อเช้ากินได้เยอะหน่อยเพื่อจะได้มีแรงไปทำงาน ส่วนส่วนมื้อเที่ยงเป็นมื้อที่กินปานกลาง เพราะว่ากินตุนไว้บางส่วนจากมื้อเช้าแล้ว อีกประการ ตอนบ่ายเหลือเวลาทำงานอีกไม่กี่ชั่วโมง ก็ไม่ต้องกินมากเกินไป ตอนบ่ายมักง่วงด้วยมั้ง กินเยอะก็หลับทั้งบ่าย ไม่ได้ทำงานกันพอดี ^_^

ส่วนมื้อเย็นนั้นควรเป็นมื้อเบาๆ เพราะยามกลางคืนไม่ได้ใช้พลังงานอะไรเนื่องจากเป็นเวลาพักผ่อน เดี๋ยวก็เข้านอนแล้ว

แต่ชีวิตคนเมืองในทางปฏิบัติก็ยาก ตื่นเช้ามาก็รีบจนหูตาเหลือกเพราะกลัวไปทำงานไม่ทัน เนื่องจากรถติดมาก แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปกินมื้อเช้าให้เป็นมื้อราชา ส่วนมื้อเที่ยงก็มีเวลาพักเพียงหนึ่งชั่วโมง  กินมื้อหนักคงลำบาก กินอย่างธรรมดาก็พอได้อยู่ ส่วนมื้อเย็นเป็นมื้อที่มีเวลามากที่สุด เนื่องจากหมดเวลาทำงานไปแล้ว ใช้เวลาได้ตามสบาย เหนื่อยมาทั้งวัน ใครจะยอมกินอย่างยาจก ดังนั้นปกติคนทำงานจึงมักกินมื้อเย็นเป็นมื้อราชา

เมื่อก่อนลุงแมวน้ำก็กินมื้อเย็นเป็นมื้อราชาเช่นกัน ส่วนมือเช้ากินแบบยาจก มื้อเที่ยงกินแบบธรรมดา ตามที่เวลาอำนวย แต่ต่อมาก็พยายามเปลี่ยน

คนเราพออายุเลย 40 ปีแล้ว ร่างกายใช้พลังงานน้อยลง คือพลังงานที่นำไปสร้างความเจริญเติบโตนั้นไม่ค่อยมีแล้ว เพราะร่างกายไม่เจริญเติบโตแล้ว พลังงานที่กินเข้าไปส่วนใหญ่นำไปใช้ในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ดังนั้นผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไปตามหลักแล้วควรกินน้อยลง ให้สังเกตง่ายๆคือ ให้พยายามควบคุมน้ำหนักให้ใกล้เคียงกับน้ำหนักเมื่อตอนอายุ 20 ปี สมมติว่าตอนที่อยู่ในวัยเรียนหนังสือน้ำหนักตัว 65 กิโลกรัม พออายุ 40 ปีขึ้นไปก็พยายามรักษาน้ำหนักอย่าให้เกิน 65 กิโลกรัม

คนเราส่วนใหญ่พออายุ 40 ปีขึ้นไปมักเป็นวัยที่ลงหลักปักฐานได้แล้ว ชีวิตมั่นคงแล้ว เมื่อก่อนต้องประหยัดเพราะอยากเก็บออม พอวัยนี้ตั้งตัวได้ก็เริ่มใช้จ่ายเยอะขึ้น มีเงินแล้วจะใช้จ่ายอะไรดี ส่วนหนึ่งก็คือใช้จ่ายไปกับความสุขในการกินนั่นเอง นั่นแหละ คือจุดเริ่มต้นขององค์กรซ่อนอ้วน บางคนก็อ้วนมาตั้งแต่อายุเลย 30 ปีเลยทีเดียว

ลุงแมวน้ำเองก็ไม่อยากให้ตุ้ยนุ้ยเกินไป เดี๋ยวเวลาแสดงจะไม่คล่องตัว แต่ผอมไปก็ไม่ดี เพราะว่าแมวน้ำผอมๆดูไม่น่ารัก ก็เลยลดอาหารมื้อเย็นลง เหลือเป็นเพียงกินผัก ผลไม้ เช่น มะละกอ มะเขือ ชมพู่ แอปเปิ้ล ก็ตามฤดูกาลน่ะ อะไรที่แพงก็ไม่กิน ผลไม้ที่หวานจัดก็กินแต่น้อย

เอาแต่กินผลไม้บางทีก็จำเจ เพราะลุงแมวน้ำไม่ใช่นายจ๋อ จึงอยากเปลี่ยนเมนูบ้าง อีกประการก็คือพวกผลไม้มีโปรตีนต่ำ หากตลอดทั้งวันกินแต่น้อยเพื่อระวังหุ่นจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร โดยเฉพาะโปรตีนที่จำเป็นสำหรับการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ลุงแมวน้ำก็เลยทำแกงจืดที่มีโปรตีนกินบ้าง

สำหรับเมนูในวันนี้เป็นเมนูสุขภาพสำหรับมื้อเย็น หรือจะกินในวันหยุดพักผ่อนที่นั่งๆนอนๆ ไม่ค่อยได้ใช้พลังงานก็ได้ เมนูในวันนี้คือแกงจืดโปรตีน-แครอท คือมีโปรตีนกับแครอทเป็นหลัก

ที่เรียกว่าเป็นเมนูสุขภาพเพราะให้พลังงานต่ำ ให้โปรตีนพอประมาณ อีกทั้งเป็นเมนูเจ/มังสวิรัติ คือเป็นโปรตีนจากพืช กินแล้วมีผลดีต่อสุขภาพ รวมทั้งยังได้เว้นกรรม ลดการเบียดเบียนอีกด้วย นอกจากนี้ แครอทกับเห็ดหอมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ

นอกจากนี้ ส่วนที่เป็นแป้งในเมนูนี้ยังเป็นแป้งเชิงซ้อน ย่อยได้ช้า ทำให้มีดัชนีน้ำตาลไม่สูง เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำตาลอีกด้วย

เอ้า ลงมือทำกันเลย เรามาดูกันว่าเมนูนี้ใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง




จากรูป ส่วนประกอบของอาหารมื้อนี้ประกอบด้วย

  1. แครอท 2/3 ของหัว
  2. หอมหัวใหญ่ 1/3 ของหัว
  3. เห็ดหอม 4-5 ดอก 
  4. สาหร่ายทำแกงจืด นิดหน่อย ประมาณหยิบมือหนึ่ง 
  5. โปรตีนถั่วเหลือง (โปรตีนเกษตร) 25 กรัม
  6. โปรตีนข้าวสาลี 25 กรัม
  7. น้ำเปล่า
  8. เครื่องปรุงอื่นๆ เช่น น้ำตาล ซีอิ๊ว พริกไทย 


ส่วนประกอบหลักก็มีเพียงไม่กี่อย่าง ส่วนใหญ่เป็นของที่หาซื้อได้ง่ายตามซูเปอร์มาเก็ตทั่วไป ราคาไม่แพง ลุงแมวน้ำมีติดไว้ในตู้เย็นอยู่แล้ว (ที่โขดหินมีตู้เย็นด้วยนะ ขอบอก) หยิบออกมาหั่นแล้วก็โยนใส่หม้อลงไป

สำหรับลุงแมวน้ำ วัตถุดิบพวกนี้ลุงซื้อจากตลาดสด ไม่ได้ซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ต แมวน้ำรุ่นเก่าก็เดินตลาดสด หนุ่มสาวสมัยนี้คงไม่ค่อยได้เดินตลาดสดกัน เพราะว่าตลาดสดก็คล้ายๆร้านโชวห่วย คือล้มหายตายจากไปตามยุคสมัย ในกรุงเทพฯเหลืออยู่ไม่มากแล้ว แต่ว่าหากใครซื้อของตามตลาดสดได้จะได้ราคาถูกกว่าในห้างพอสมควร

แครอทราคาตลาดสดนี่ กิโลกรัมละ 25 บาท ฟนึ่งกิโลกรัมได้ประมาณ 6 หัว เราใช้เพียง 2/3 (สองในสาม) หัวก็พอ

หอมหัวใหญ่ก็หัวละ 5 บาท โดยประมาณ ใช้เพียง 1/3 หัว

เห็ดหอม มีหลายราคา ราคาตามเกรด ตั้งแต่สามร้อยกว่าบาทจนสี่ห้าร้อยบาทต่อกิโลกรัม ขึ้นกับว่าดอกเห็ดสวยเพียงใด ลุงแมวน้ำซื้อมาประมาณกิโลกรัมละ 400 บาท ดอกโตปานกลาง

สาหร่าย สาหร่ายนี่ไม่ใช่สาหร่ายอบที่เป็นของกินเล่น สาหร่ายอบราคาแพง ที่ใช้นี่เป็นสาหร่ายสำหรับทำแกงจืด ราคาถูก ห่อหนึ่ง 15 บาท แบ่งทำได้หลายครั้ง แต่สาหร่ายนี้เป็นสินค้าจากจีน ลุงแมวน้ำก็เสียวเหมือนกัน อาหารจากจีนนี่กลัวๆอยู่

โปรตีนถั่วเหลือง หรือโปรตีนเกษตร หาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ต ตลาดสดหายาก ไม่ค่อยมี ถุงหนึ่ง 400 กรัม ราคา 48 บาท

โปรตีนข้าวสาลี โปรตีนนี้ทำจากข้าวสาลี หรือโปรตีนกลูเทน (gluten) นั่นเอง ตัวนี้หายากหน่อย ทั่วไปไม่มีขาย ต้องตามร้านขายอาหารเจจึงจะมี หาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ใครหาได้ก็ใช้ หาไม่ได้ก็ใช้โปรตีนเกษตรแทน

หากมีโปรตีนข้าวสาลี ก็ใช้โปรตีนเกษตรกับโปรตีนข้าวสาลีอย่างละ 25 กรัม หากไม่มีโปรตีนข้าวสาลีก็ใช้โปรตีนเกษตรอย่างเดียว 50 กรัมไปเลย

วิธีการทำก็ง่ายๆ เอาเห็ดหอมมาแช่น้ำให้นิ่มก่อน จากนั้นหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ส่วนน้ำแช่เห็ดหอมอย่าทิ้ง เอามาต้มแกงจืดต่อ ส่วนประกอบอื่นก็หั่นๆแล้วก็ใส่ลงในหม้อ โปรตีนเกษตรก็ใส่ลงในหม้อเช่นกัน จากนั้นก็เติมน้ำให้ท่วม แล้วต้มให้เดือด เมื่อเดือดแล้วก็ปรุงรสด้วยน้ำตาล ซีอิ๊ว พริกไทย ตามใช้ชอบ

แกงจืดโปรตีนแครอทที่ต้มเสร็จแล้วก็หน้าตาแบบในรูปข้างล่างนี้




ทั้งหม้อ ปริมาณเยอะเหมือนกันนะ คนเดียวกินมื้อเดียวไม่หมดหรอก พุงกางกันพอดี หากคนเดียวต้องแบ่งกินสักสองมื้อ ทั้งหม้อนี้ให้พลังงานประมาณ 200-300 แคลอรี ลุงคำนวณคร่าวๆ ไม่ได้คำนวณละเอียด เทียบกับข้าวผัดกะเพราหนึ่งจานที่ให้พลังงานประมาณ 500 แคลอรี

โปรตีนที่ได้จากแกงจืดหม้อนี้ก็ประมาณ 25 กรัม (คนเราวันหนึ่งควรได้รับโปรตีนประมาณ 60 กรัม) ส่วนข้าวผัดกะเพราให้โปรตีนประมาณ 10-15 กรัมเท่านั้น

ที่สำคัญคือเมนูน้ำทำง่าย เหมาะสำหรับวันอันแสนเกียจคร้าน ^_^

ถามว่าหากจะเปลี่ยนจากโปรตีนเกษตร โปรตีนข้าวสาลี เป็นเต้าหู้ได้ไหม ก็พอได้อยู่ แต่ว่าเต้าหู้มีปริมาณโปรตีนต่ำมาก หากใส่เต้าหู้ เมนูนี้แทบจะไม่มีโปรตีนเลย โปรตีนจากสาหร่ายก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเราใส่สาหร่ายลงไปไม่มาก ดังนั้นหากอยากได้โปรตีนควรใส่โปรตีนเกษตรดีกว่าคร้าบ


Tuesday, May 14, 2013

14/05/2013 * รถไฟสายดาวโจนส์ 19000 และสรุปตลาดในรอบสัปดาห์ (06/05/2013 - 10/05/2013)


สัปดาห์ที่ผ่านมา 06/05/2013 ถึง 10/05/2013 ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนมาก ทั้งนี้เพราะสงครามค่าเงิน รวมทั้งเงินบาทก็ผันผวนหนักไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ก่อนที่จะไปดูเรื่องค่าเงิน เราไปดูสถานการณ์ในโลกเศรษฐกิจควบคู่ไปกับตลาดหุ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมากันเสียก่อน

ทางฝั่งยุโรป สัปดาห์ที่แล้วตัวเลขเศรษฐกิจก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ยอดการค้าปลีกในเดือนมีนาคมหดตัวลงเป็นเดือนที่สอง ยิ่งสะท้อนถึงความถดถอยของกลุ่มยุโรป อัตราเงินเฟ้อของยุโรปยังต่ำอยู่ ดังนั้นธนาคารกลางของยุโรปยังสามารถลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก สถานการณ์อัตราดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ทำให้มีแรงเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยง ดังนั้นแม้ว่าภาคเศรษฐกิจจริงจะยังไม่มีความคืบหน้า แต่ว่าตลาดหุ้นในกลุ่มยุโรปปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะตลาดหุ้นกรีซกับอิตาลีปรับตัวขึ้นแรง

ทางด้านสหรัฐอเมริกา ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆเริ่มดีขึ้น ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาก็ทยอยประกาศออกมา หุ้นมาร์เก็ตแคบสูงในกลุ่ม S&P 500 มีผลประกอบการดีกว่าที่คาด

นอกจากนี้เฟดหรือธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาเริ่มพูดถึงเรื่องการวางแนวทางในการเลิกโครงการ QE3 กันแล้ว โดยประเด็นก็คือต้องมีตัวชี้วัดและขั้นตอนปฏิบัติในการค่อยๆลดการอัดฉีดลงอย่างชัดเจน ว่าจะลดอย่างไร ลดเมื่อไร และลดเท่าไร เพื่อให้ตลาดทุนรับรู้ล่วงหน้าเพื่อให้มีเวลาปรับตัว ป้องกันไม่ให้ตลาดทุนเกิดความตื่นตระหนก

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นของฝั่งอเมริกาเหนือ คือ สหรัฐเมริกาและแคนาดาปรับตัวขึ้นประมาณ 1% กว่าๆ ส่วนฝั่งอเมริกาใต้ส่วนใหญ่ปรับตัวลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะตลาดหุ้นอาร์เจนตินาที่ผันผวนมาพักหนึ่งแล้ว

ทางฝั่งเอเชีย ตัวเลขการส่งออกของจีนขยายตัวดีกว่าที่คาด คือขยายตัว 14.7% ธนาคารกลางของหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย เกาหลี อินเดีย ฯลฯ ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นในย่านเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น บางตลาดขึ้นแรง เช่น ญี่ปุ่น (+6.7%)

ทางด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ในสัปดาห์ที่แล้วสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ปรับตัวลง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพลังงาน โลหะ สินค้าเกษตร มีเพียงบางชนิดเท่านั้นที่ปรับตัวขึ้นได้ เช่น ทองแดง กาแฟ ถั่วเหลือง ฯลฯ ส่วนน้ำมันดิบ ทั้งเบรนต์และเวสต์เทกซัสปรับตัวขึ้นลงเพียงเล็กน้อย แต่สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางคือระหว่างอิสราเอลและซีเรียยังมีประเด็นอยู่ อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบขึ้นหรือลงแรงได้

ราคาทองคำผันผวนตามอัตราแลกเปลี่ยน รวมแล้วปรับตัวลดลงประมาณ -1.9% ตลอดสัปดาห์

ด้านอัตราแลกเปลี่ยน อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์ที่แล้วค่อนข้างหวือหวา การประชุมของกลุ่ม จี 7 ในสัปดาห์ที่แล้วไม่ได้มีการทัดทานการแทรกแซงค่าเงินเยนของญี่ปุ่น เมื่อไม่ห้ามก็แปลว่าไฟเขียว ดังนั้นหลังการประชุมจี 7 เงินเยนก็อ่อนค่าหนัก เงินยูโรอ่อนค่าตามไปด้วย ส่วนดอลลาร์ สรอ แข็งค่า

เงินเยนและยูโรซึ่งก่อนหน้านี้ก่อตัวเป็นรูปแบบทางเทคนิคส่อไปในทางแข็งค่า กลับทิศเป็นอ่อนค่าอย่างฉับพลัน ประกอบกับธนาคารกลางของหลายประเทศในเอเชียแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนร่วมกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ค่าเงินสกุลเอเชียค่อนข้างผันผวน เงินบาทก็ผันผวนเช่นกัน

ทางด้านตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐอเมริกา ในสัปดาห์ที่แล้ว กราฟอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันปรับตัวขึ้นเกือบตลอดทั้งเส้น หมายความว่ามีแรงขายพันธบัตร ซึ่งน่าจะเป็นการย้ายเงินลงทุนจากตลาดพันธบัตรเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่า


ทีนี้มาดูตลาดของไทยกันบ้าง ในสัปดาห์ที่แล้วมีเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นประเด็นที่ฝ่ายการเมืองกดดัน ธปท. อยู่ แต่ในที่สุดก็ยังไม่มีมาตรการพิเศษอะไรออกมาเนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าลงพอดี

ทางด้านตลาดหุ้นไทย สัปดาห์ที่แล้วเดินหน้าขึ้นต่อ ผลประกอบการไตรมาส 1 ที่ทยอยประกาศออกมา หุ้นในกลุ่มสื่อสาร พาณิชย์ ฯลฯ ผลงานดีกว่าคาด ดัชนี SET ปรับขึ้น +2.8% ส่วนดัชนี SET50  +3.2% แปลว่าหุ้นมาร์เก็ตแคปสูงหรือหุ้นฝรั่งเป็นตัวนำตลาด หุ้นในกลุ่ม SET50 เกิดสัญญาณซื้อไปแล้ว 35 ตัว

ทางด้านตราสารหนี้ไทย สัปดาห์ที่แล้วมีแรงซื้อเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ มูลค่าการซื้อขายตราสารหนี้เฉลี่ยถึงวันละ 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งมากขึ้นกว่าสัปดาห์ก่อนหน้า เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Thai Gov yield curve) ปรับตัวลดลงตลอดทั้งเส้น โดยเฉพาะลดลงมากหน่อยในกลุ่มตราสารอายุไม่เกิน 1 ปี หมายความว่ามีเงินไหลเข้ามาในตลาดพันธบัตรและซื้อพันธบัตรระยะสั้นไม่เกิน 1 ปีกันมากขึ้น

ลุงแมวน้ำใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค ยังมองเช่นเดิมว่าตลาดหุ้นไทยในคลื่นนี้เป็นคลื่นใหญ่ 5 ดังนั้นรถไฟสาย 1700 ยังเดินหน้าต่อไป ที่จริงลุงแมวน้ำไม่ได้มองเพียง 1700 จุด เพียงแต่ว่าตัวเลข 1700 มันกลมๆดี ที่จริงมองไว้เกินกว่า 1764 จุดซึ่งเป็นยอดคลื่น 3 เดิม

เรามาดูกราฟกัน ในกราฟแต่ละรูปลุงแมวน้ำจะมีคำอธิบายเพิ่มเติมด้วย



ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ยังขึ้นต่อได้อีกมาก ตอนนี้เพิ่งผ่านพ้นยอดคลื่น 3 มาได้ไม่นาน ตลาดยังกล้าๆกลัวๆอยู่ แต่เริ่มมีเงินย้ายจากตลาดตราสารหนี้เข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้นแล้ว ต่อไปจะแรงกว่านี้อีก รถไฟสายดาวโจนส์ หรือรถไฟสาย DJI นี้ลุงแมวน้ำประเมินว่าไปได้ถึง 19,000 จุด ดังนั้นจึงเรียกว่า
รถไฟสาย DJI 19000



สำหรับตลาดหุ้นไทย เป็นรถไฟสาย 1700 (ที่จริงคือ 1764) หลังจากนั้นยังอาจไปต่อได้อีก ตอนนี้เงินยังกระจุกอยู่ในตลาดพันธบัตรอยู่ แต่เมื่อไรที่เงินเหล่านี้ย้ายเข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น ตลาดหุ้นไทยก็จะเดินหน้าต่อไปได้อีก ตอนนี้เราก็เริ่มเห็นกันแล้วว่าเดิมฝรั่งทยอยขาย ตอนนี้กลับมาเป็นทยอยซื้อแล้ว



ราคานำมันดิบ เริ่มก่อตัวเป็นรูปแบบขาขึ้น แต่ยังไม่ค่อยมีแรง รอดูไปอีกหน่อยหนึ่ง



สินค้าเกษตรมีแนวโน้มว่าจะกลับทิศเป็นขาขึ้น แต่ยังไม่ชัด ก็ต้องรอดูไปอีกเช่นกัน 



ราคายางพารา น่าจะกลับทิศเป็นขาขึ้นแล้ว ปัจจัยส่วนหนึ่งเกิดจากเงินเยนอ่อนค่า อีกส่วนหนึ่งเกิดจากจีนมีการสั่งซื้อยางเข้าไปสำรองในสต็อกเพิ่มขึ้น 



ค่าเงินดอลลาร์ สรอ ภาพนี้คือดัชนีดอลลาร์ สรอ (USD index) เดิมทีทำแนวโน้มขาลง คือดอลลาร์อเมริกันมีแนวโน้มอ่อนค่า แต่เพียงไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ตัดทะลุเส้นแนวโน้มขาลงขึ้นไป ตอนนี้กลายเป็นว่าดอลลาร์อเมริกันมีแนวโน้มแข็งค่าแล้ว 



เงินยูโร เดิมทีมีแนวโน้มแข็งค่า แต่จู่ๆก็ลงแรงและเกิดสัญญาณขาย เริ่มก่อตัวเป็นแนวโน้มอ่อนค่า


ค่าเงินเยน วิ่งอยู่ในกรอบสามเหลี่ยมชายธงและตัดลงมาข้างล่าง แนวโน้มอ่อนค่า



อัตราแลกเปลี่ยนของเงินสกุลต่างๆและทองคำในเชิงเปรียบเทียบ จะเห็นว่าเงินสกุลต่างๆรวมทั้งทองคำมีแนวโน้มอ่อนค่า และเป็นการอ่อนค่าแบบผันผวน


ในประเด็นอัตราแลกเปลี่ยน จากกราฟคงเห็นแล้วว่าอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนมากในสัปดาห์ที่แล้ว เงินเยนกับยูโรพลิกผัน เดิมทำท่าจะแข็งค่า กลายเป็นอ่อนค่า ส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนสกุลอื่นๆและทองคำด้วย ขณะนี้แนวโน้มของเงินดอลลาร์อเมริกันแข็งค่า ส่วนเงินเยน ยูโร แนวโน้มอ่อนค่า และเงินสกุลอื่นๆรวมทั้งเงินบาทก็มีแนวโน้มอ่อนค่าด้วย แต่เป็นการอ่อนค่าแบบผันผวน รวมทั้งราคาทองคำก็จะผันผวนด้วยเช่นกัน

ความผันผวนแบบนี้เทรดยาก ลุงแมวน้ำแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการเทรดค่าเงินและทองคำไปก่อน พวกที่ใช้สัญญาณรายวัน (eod) เทรดไม่ทันกินหรอก เงินลงทุนจะโดนโดนสัญญาณหลอก (false signal) เอาไปกินหมด เทรดหุ้นสบายใจกว่า

หากจะเทรดจริงๆต้องใช้กรอบเวลาสั้นลง ทำเป็น intraday trade หรือนั่งเฝ้าจอเทรดนั่นเอง



 photo s5014052013weeklyreportcopy.gif




Friday, May 10, 2013

10/05/2013 * แนวคิดในการเฟ้นหาหุ้นเด่น (4) ตัดตัวเลือกด้วยปัจจัยพื้นฐาน


บทความตอนนี้เป็นตอนที่ 4 ของชุด แนวคิดในการเฟ้นหาหุ้นเด่น หรือว่าหุ้นในดวงใจ ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือขั้นแรก สแกนหุ้นทั้งหมด เลือกหุ้นที่อ่อนกว่าตลาดบ้างไปจนถึงหุ้นที่แรงกว่าตลาดบ้าง ถือว่าเป็นหุ้นที่มีศักยภาพ พวกหุ้นที่อ่อนกว่าตลาดมากๆหรือแรงกว่าตลาดมากๆเราไม่เอา

ขั้นที่สองก็เอาหุ้นที่ผ่านการคัดเลือกในกลุ่มแรกมาตัดให้เหลือตัวเลือกน้อยลงด้วยปัจจัยทางเทคนิค นั่นคือ การคัดหุ้นด้วยการดูกราฟทางเทคนิคนั่นเอง เราเลือกเอาหุ้นที่รูปแบบกราฟเป็นแบบพื้นฐาน ไม่ซับซ้อน และเพิ่งเริ่มเข้าคลื่น 3 หรือเพิ่งเริ่มเข้าคลื่น 5

ขั้นที่ 3 เอาหุ้นที่ผ่านการคัดเลือกในรอบที่ 2 มาตัดตัวเลือกให้เหลือน้อยลงไปอีก ด้วยข้อมูลปัจจัยพื้นฐาน จนเหลือเป็นหุ้นในดวงใจในที่สุด

ความเดิมจากตอนที่แล้ว เราทำงานกันมาแล้ว 2 ขั้น ผลจากขั้นที่สองเราได้หุ้นมา 5 ตัว เพื่อส่งเข้าประกวดในรอบที่ 3 นั่นคือ TTA, SVI, THAI, TOP, SCC

เอาละคร้าบ คราวนี้เรามาดูการคัดเลือกในขั้นที่ 3 กันได้เลย



การเฟ้นหาหุ้นเด่นขั้นที่ 3 ตัดตัวเลือกด้วยปัจจัยพื้นฐาน


เนื่องจากลุงแมวน้ำเป็นนักลงทุนที่ใช้ปัจจัยทางเทคนิคเป็นหลัก พูดง่ายๆคือเป็นสายปัจจัยทางเทคนิค ดังนั้นการใช้ข้อมูลปัจจัยพื้นฐานมาประกอบนั้น ลุงจึงเลือกใช้ข้อมูลทางงบการเงินของกิจการเพียงไม่กี่ประเด็นเท่านั้น ไม่ถึงกับแกะงบดุลดูในรายละเอียด หรือต้องไปคำนวณอะไรให้วุ่นวาย รวมทั้งข้อมูลต้องหาดูได้ง่าย เพื่อความสะดวกในการหาข้อมูลมาพิจารณา 

ขอมูลพื้นฐานที่ลุงแมวน้ำใช้ก็นำมาจากข้อมูลที่เผยแพร่โดยตลาดหลักทรัพย์นั่นเอง ลุงใช้แค่นี้ก็พอแล้ว 

เข้าไปที่ www.set.or.th จากนั้นคลิกไปที่เมนูดังในภาพต่อไปนี้




คลิกไปที่ข้อมูลรายบริษัท/หลักทรัพย์ จากนั้นก็จะมีรายชื่อหุ้นให้เลือก ก็เลือกรายชื่อหุ้นที่เราต้องการ จากนั้นข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนหรือว่าหุ้นที่เราต้องการจะปรากฏขึ้นมา คลิกไปที่แท็ป งบการเงิน/ผลประกอบการ เพื่อดูตัวเลขทางการเงินที่สำคัญบางรายการ

มาดูกันว่าปัจจัยพื้นฐานที่ลุงแมวน้ำใช้มีอะไรบ้าง


1. ส่วนของผู้ถือหุ้นต้องไม่ติดลบ 





ข้อมูลทางการเงินที่สำคัญที่ตองดูก่อนเป็นอย่างแรกในงบการเงินก็คือ ส่วนของผู้ถือหุ้น คำว่าส่วนของผู้ถือหุ้นนี้หมายถึงทุนที่ผู้ถือหุ้นใส่ลงไปนั่นเอง (ไม่รวมทรัพย์สินของกิจการที่เป็นเงินกู้ต่างๆ)

หากส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบเมื่อไร ก็แสดงว่ามีการขาดทุนสะสมมากจนเกินทุน หมายถึงว่าขาดทุนจนเกินกว่าทุนที่ใส่ลงไป หรือขาดทุนจนล้นพ้นตัว หากเลิกกิจการขึ้นมา ทรัพย์สินต่างๆที่บริษัทมีอยู่ ส่วนใหญ่มักต้องเอาไปขายใช้หนี้คืนเจ้าหนี้จนหมด มักไม่มีเหลือมาคืนผู้ถือหุ้น ดังนั้นกิจการใดที่มีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ หรือว่าดูงบการเงินหลายปีติดต่อกัน ดูแล้วส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงเรื่อยๆจนมีแนวโน้มว่าจะติดลบได้ ก็ไม่ควรเข้าลงทุนในหุ้นนั้นเป็นอันขาด

ภาพข้างบนเป็นตัวอย่างของงบการเงินที่แสดงส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ ปี 52 ส่วนของผู้ถือหุ้นเริ่มร่อแร่ พอปี 53 ก็ติดลบ ปี 54 ยิ่งติดลบหนัก 

หุ้นตัวนี้ท้ายที่สุดก็หยุดดำนินกิจการไป และตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมายห้ามซื้อขาย ใครถือหุ้นอยู่ก็ถูกขังลืม


2. กำไรสุทธิต่อหุ้นต้องดีวันดีคืน

ข้อมูลทางการเงินนี้สำคัญ เพราะธุรกิจที่น่าลงทุนคือธุรกิจที่มีกำไร หากธุรกิจขาดทุนเราจะไปลงทุนทำไม ดังนั้นการดูกำไรสุทธิต่อหุ้นติดต่อกันหลายปีจะช่วยบอกความสามารถในการทำกำไรของกิจการ หากดีวันดีคืนก็แสดงว่ากิจการนี้ก้าวหน้าไปได้ดี หากกำไรสุทธิต่อหุ้นน้อยลงทุกปี หรือถึงกับติดลบ (คือขาดทุน) ก็ไม่น่าลงทุน หรือหากอยากลงทุนก็ต้องมีเหตุผลที่ดีพอว่าทำไมกิจการมีผลขาดทุนแล้วจึงน่าลงทุน


3. ดูค่า P/E ปัจจุบัน ต้องไม่เว่อ 

ค่าพีอี (P/E, price per earning ratio) คือสัดส่วนของราคาหุ้นกับกำไรสุุทธิต่อหุ้น เป็นตัวเลขที่สำคัญที่ผู้ลงทุนควรทราบ เพราะค่า P/E นั้นบ่งชี้ว่าราคาหุ้นตัวนั้นแพงเว่อเพียงใดเมื่อเทียบกับผลกำไรที่บริษัททำได้ ปกติเราใช้ค่าพีอีเทียบกับพีอีของตลาดหุ้น หรือค่าพีอีของหุ้นตัวนั้นเทียบกับค่าพีอีของหุ้นตัวอื่นที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน เพื่อเปรียบเทียบว่าอะไรแพง อะไรถูก 

หลักในการดูง่ายๆก็คือ หากค่า P/E ของหุ้นหากต่ำกว่า 10 ถือว่าถูก หากอยู่ในช่วง 10 ถึง 15 ก็ถือว่าปานกลาง ไม่แพง หากพีอีอยู่ในช่วง 15 ขึ้นไปถึง 30 ก็ถือว่าแพง แต่ทั้งนี้ ต้องดูศักยภาพในการทำกำไรหรือแนวโน้มธุรกิจของหุ้นตัวนั้นด้วย หากหุ้นตัวนั้นมีอนาคตที่สดใส ระดับพีอีที่ 15 ถึง 30 ก็ยังพิจารณาลงทุนได้

หุ้นที่มีพีอีเกินกว่า 40 ลุงแมวน้ำถือว่าแพงเว่อแล้ว แพงเกินเลยศักยภาพในการทำกำไรไปมาก ไม่น่าเข้าลงทุน กรณียกเว้นก็มีอยู่บ้าง อย่างเช่นบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจ และคาดหวังผลกำไรที่เพิ่มมากขึ้นอย่างมากมาย แต่ข้อยกเว้นนี้มีโอกาสเกิดน้อย ส่วนใหญ่หุ้นที่มีพีอีเกิน 40 จะเกิดจากการเก็งกำไรอย่างเลยเถิดมากกว่า 


4. ดูค่า P/BV ปัจจุบัน ต้องไม่สูง

ค่าพีบี (P/B หรือ P/BV, price per book value ratio) เป็นตัวเลขการเงินที่สำคัญตัวหนึ่งที่ผู้ลงทุนควรสนใจ ตัวเลขนี้สะท้อนถึงราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีของกิจการนั้น คิดง่ายๆว่าในกรณีเลวร้ายที่บริษัทเลิกกิจการ หากมีการขายทรัพย์สินแล้วเอาเงินมาเฉลี่ยคืนผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นจะได้เงินคืนสักเท่าไรกัน ความหมายของค่า P/BV ก็คือทำนองนี้

ลุงแมวน้ำดูง่ายๆ หากค่าพีบีต่ำกว่า 1 ถือว่าหุ้นมีราคาถูก ค่าระหว่าง 1 ถึง 2 ถือว่าปานกลาง หากเกิน 2 ก็เริ่มแพงแล้ว 

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ต้องเข้าใจว่าค่า P/BV สะท้อนให้เห็นราคาหุ้นเทียบกับมูลค่าทางบัญชี แต่ไม่ได้สะท้อนความสามารถในการทำกำไรของกิจการ ดังนั้นเราไม่ควรตัดสินใจเลือกหุ้นจากค่า P/BV ต่ำเพียงปัจจัยเดียว ใช้ดูประกอบเท่านั้น เพราะหุ้นที่มีค่าพีบีต่ำอาจมีความสามารถทำกำไรต่ำก็ได้ หากซื้อไปราคาหุ้นก็แป้ก ไม่ไปไหน ค่าพี่บีต่ำก็ไม่มีประโยชน์  


5. ค่า ROA ดูเทียบระหว่างหุ้นในธุรกิจเดียวกัน

ค่า ROA ย่อมาจาก return on asset หมายถึงสัดส่วนระหว่างกำไรสุทธิกับมูลค่าสินทรัพย์ เป็นการดูความสามารถในการใช้สินทรัพย์ของกิจการเพื่อก่อให้เกิดรายได้ ปกติเรามักใช้ใช้ ROA เปรียบเทียบระหว่างหุ้นในธุรกิจเดียวกัน 

หากค่า ROA ต่ำมักสะท้อนว่ากิจการมีสินทรัพย์ที่จมอยู่โดยไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของกิจการ เวลาลุงแมวน้ำดูค่านี้ก็มักเทียบกับหุ้นตัวอื่นในกิจการเดียวกัน หากไม่มีหุ้นตัวอื่นให้เปรียบเทียบ ลุงก็ไม่ค่อยได้ใช้ค่านี้นัก 


เอาละ ทีนี้เราลองมาดูตัวอย่างการนำไปใช้งานจริงกันบ้าง 


กรณีศึกษา ผู้เข้าประกวดรอบ 3 หุ้น TTA


หุ้นที่เราส่งเข้าประกวดในรอบ 3 มี TTA, SVI, THAI, TOP, SCC ลุงแมวน้ำเลือก TTA มาดูกันก่อนละกัน

หุ้น TTA เป็นหุ้นธุรกิจเดินเรือ อยู่ในกลุ่ม SET 100 เราก็เข้าไปที่ www.set.or.th ดูข้อมูลของหุ้น TTA ว่าลักษณะการทำธุรกิจเป็นอย่างไร มีเรื่องราวหรือสตอรี่อะไรบ้าง จากนั้นก็เข้าไปดูงบการเงิน

มาดูที่งบการเงินกัน




ส่วนของผู้ถือหุ้นหลายปีติดต่อกันก็ไม่มีติดลบ รวมทั้งยังไม่มีแนวโน้มจะติดลบ 

กำไรสุทธิต่อหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปี จนปีล่าสุดติดลบ คือผลประกอบการขาดทุน ผลประกอบการดูไม่ค่อยดีเท่าไร

ค่า P/E ปี 2552 พอใช้ได้ แต่มาปี 2554 พีอีมีค่าเป็น 100 ถือว่าสูงมาก แสดงว่าเก็งกำไรกันสุดๆ ส่วนปี 2555 ไม่มีค่าพีอีเพราะผลประกอบการขาดทุน (ต้องมีกำไรถึงจะมีค่าพีอี) ปัจจุบันก็ไม่มีค่าพีอี

ด้านค่าพีบีหรือพีบีวี ค่าต่ำกว่า 1 มาโดยตลอดหลายปี คือมีสินทรัพย์อยู่เยอะ นี่สะท้อนว่าสินทรัพย์มากแต่นำเอาไปสร้างรายได้ไม่ได้ เมื่อดูค่า ROA ที่ลดลงทุกปีจนติดลบประกอบก็ยิ่งย้ำความสามารถในนำสินทรัพย์ไปหารายได้ กรณีนี้เป็นตัวอย่างที่ว่าค่า P/BV แม้จะต่ำ ดูดี แต่ก็ไม่ค่อยน่าสนใจเข้าลงทุน เพราะกิจการไม่ทำกำไร

ลุงแมวน้ำมีข้อมูลพิเศษอีกชุดหนึ่ง ข้อมูลนี้แล้วแต่กรณี หาได้ก็ใช้ หาไม่ได้ก็ไม่ใช่ กรณีหุ้นสายการเดินเรือนี้ลุงแมวน้ำดูดัชนีบอลติกดรายอินเดกซ์ (Baltic Dry Index) ซึ่งเป็นดัชนีค่าระวางการเดินเรือสากล สามารถสะท้อนสภาพธุรกิจการเดินเรือได้ มาพิจารณาประกอบ


ค่าระวางตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ยังย่ำอยู่กับที่ ไม่ได้ไปไหน แสดงว่าแนวโน้มการขนส่งทางเรือยังไม่ฟื้นตัว

ทีนี้ก็มาดูกราฟราคาหุ้นในปัจจุบันกันบ้าง 


หุ้น TTA ราคาในปัจจุบันอยู่ที่ 18.1 บาท รูปแบบทางเทคนิคในปัจจุบันก็ไม่เอื้ออำนวยให้เข้าลงทุน เพราะหากเข้าคลื่น 3 แล้วจริง ราคาควรผ่าน 28.9 ไปแล้ว หรืออย่างน้อย ควรผ่าน 20.7 บาทไปก่อน

สรุปว่าจากการพิจารณาปัจจัยพื้นฐาน ประกอบกับปัจจัยทางเทคนิค ณ ราคาปัจจุบัน และแนวโน้มของการเดินเรือของสากลที่ยังไม่ฟื้นตัว ลุงแมวน้ำคิดว่าหุ้นตัวนี้ไม่ผ่านรอบ 3 คือให้ตกรอบ 3 ไป


กรณีศึกษา ผู้เข้าประกวดรอบ 3 หุ้น THAI

มาดูกรณีศึกษาหุ้นอีกตัวหนึ่งกัน ลุงแมวน้ำเลือกหุ้น THAI การบินไทย รักคุณเท่าฟ้า ผู้ประกอบธุรกิจสายการบิน หุ้น THAI นี้อยู่ในกลุ่ม SET 50 

มาดูงบการเงินกันก่อน


ส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ติดลบและยังไม่มีแนวโน้มว่าจะติดลบ

ด้านกำไรสุทธิต่อหุ้น ปี 52, 53 มีกำไร ส่วนปี 54 ขาดทุนนิดหน่อย ปี 55 กลับมามีกำไร แต่ยังไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน

ค่า P/E ทำไมบางปีไม่มีก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ไม่ได้ขาดทุน แต่ P/E ณ ปัจจุบัน 11.04 เทียบกับ P/E ของตลาดหุ้น SET ปัจจุบันที่ 18 กว่าๆ ถือว่าเป็นหุ้นที่ P/E ยังต่ำอยู่

ค่า P/BV ปัจจุบัน 1.0 ก็ใช้ได้ ถือว่าปานกลาง

มาดูข้อมูลพิเศษกัน ดูกราฟต่อไปนี้



กราฟที่เห็นนี้คือ Global Airline Index หรือดัชนีสายการบินในภาพรวมระดับโลก จะเห็นว่าค่าดัชนีสายการบิน ปี 2009 (2552) กับ 2010 (2553) ธุรกิจสายการบินในภาพรวมทั่วโลกเริ่มมีการฟื้นตัว และมาร่วงในปี 2011 (2554) ซึ่งเป็นปีที่การบินไทยมีผลประกอบการขาดทุน ส่วนปี 2013 นี้ดัชนีพุ่งแรงเพราะอยู่ในคลื่น 3 

จะเห็นว่า THAI มีผลประกอบการเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดโลก ปีไหนตลาดโลกดีก็ดีด้วย ปีไหนตลาดโลกแย่ก็แย่ด้วย

ทีนี้ก็มาดูกราฟราคาหุ้น THAI ณ ปัจจุบันกัน




 จากภาพ จะเห็นว่ากราฟ THAI เข้าสู่คลื่น 3 แล้ว เพราะผ่านยอดคลื่น 1 ที่ประมาณ 27 บาทมาได้แล้ว ซึ่งรูปแบบกราฟสอดคล้องกับรูปแบบของ Global Airline Index

พิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยแนวโน้มธุรกิจ ปัจจัยทางเทคนิค ลุงแมวน้ำให้ THAI เป็นหุ้นที่ผ่านรอบ 3 ได้


ลุงแมวน้ำยกตัวอย่างมาให้ดูเป็นกรณีศึกษาเพียง 2 หุ้น แต่เชื่อว่าน่าจะพอได้แนวทางในการนำแนวคิดเหล่านี้ไปเลือกหุ้นในดวงใจของแต่ละคน

ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางในการเลือกหุ้นที่ลุงแมวน้ำใช้ คือใช้ปัจจัยทางเทคนิคเป็นหลัก ประกอบด้วยปัจจัยพื้นฐาน ผสมด้วยแนวโน้มในระดับตลาดโลก หวังว่าผู้อ่านคงนำไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ในการลงทุนได้








Thursday, May 9, 2013

09/05/2013 * แนวคิดในการเฟ้นหาหุ้นเด่น (3) แนวโน้มตลาดหุ้นปัจจุบัน

ลุงแมวน้ำเขียนบทความเรื่องแนวคิดในการเฟ้นหาหุ้นเด่น ตอนที่ 1 และ 2 ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2012 ก็ประมาณครึ่งปีมาแล้ว ที่จริงยังไม่จบ แต่ลุงก็เขียนค้างเอาไว้ ไม่ได้เขียนต่อจนจบ จนมีคนมาทวงนี่แหละ ก็เลยมีแรงเขียนขึ้นมา ก็ต้องขออภัยด้วยที่เขียนแล้วค้างเอาไว้เสียนาน

ความเดิมในสองตอนแรกอยู่ที่นี่ครับ ไปตามลิงก์ได้เลย

แนวคิดในการเฟ้นหาหุ้นเด่น (1)

แนวคิดในการเฟ้นหาหุ้นเด่น (2)

โดยแนวคิดในการเฟ้นหาหุ้นเด่น ตอนที่ 1 อยู่ที่การสแกนหุ้น เป็นการดูหุ้นทั้งหมดอย่างคร่าวๆโดยการสังเกตความแรงของหุ้นแต่ละตัวเมื่อเทียบกับดัชนี SET หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือตัวใดแรงกว่าตลาดและตัวใดอ่อนกว่าตลาดนั่นเอง ตัวที่แรงกว่าตลาดถือว่าน่าสนใจเพราะว่ามีความสามารถในการทำกำไรดีกว่าตลาด ส่วนตัวที่อ่อนกว่าตลาดบ้างไม่มากนัก ก็อยู่ในข่ายที่น่าสนใจ เพราะว่าหุ้นอ่อนกว่าตลาดบ้างไม่ได้แปลว่าหุ้นแย่ แต่บางหุ้นก็อาจเป็นหุ้นที่เพิ่งวิ่งทีหลัง ก็ได้

แนวคิดในการเฟ้นหาหุ้นเด่นตอนที่ 2 อยู่ที่การตัดตัวเลือกด้วยกราฟ คือการนำหุ้นที่คัดได้จากขั้นที่ 1 นำมาพิจารณากราฟในเชิงเทคนิค แล้วเลือกเอาหุ้นตัวที่รูปแบบกราฟดูง่าย ไม่ซับซ้อน อีกทั้งยังเป็นหุ้นที่เริ่มเข้าคลื่น 3 หรือเริ่มเข้าคลื่น 5

สำหรับแนวคิดในการเฟ้นหาหุ้นเด่นขั้นตอนที่ 3 ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ลุงจะนำเสนอต่อไปเป็นการตัดตัวเลือกที่ได้มาจากขั้นที่ 2 ให้เหลือน้อยลงไปอีก ด้วยการใช้ปัจจัยพื้นฐานมาช่วย

แต่ก่อนที่ลุงแมวน้ำจะคุยถึงเรื่องการเฟ้นหาหุ้นเด่น หลายคนคงอาจสงสัยว่ามาหาหุ้นเด่นตอนนี้ไม่สายไปหรือไง ตลาดหุ้นไทยขึ้นไป 1600 กว่าจุดแล้ว ยังเข้าลงทุนได้หรือ ดังนั้นก่อนที่เราจะคุยเรื่องการเฟ้นหาหุ้นเด่นต่อ เรามาดูสถานการณ์ตลาดหุ้นกันก่อนว่าจะไปต่อได้หรือไม่ได้

เรามาดูกันที่ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ลุงแมวน้ำใช้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJI) เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นอเมริกา ดังภาพต่อไปนี้



ตลาดหุ้นอเมริกาเพิ่งจะผ่านจุดสูงสุดตลอดกาลเดิม (คือยอดคลื่น 3) ที่ 14,300 จุดโดยประมาณ ไปได้ไม่นานมานี้เอง ตอนนี้ผ่านจะผ่าน 15,000 จุด ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ตอนนี้ในระดับคลื่นใหญ่ยังนับไม่ถูก ที่ลุงนับไว้ในภาพอย่าเพิ่งไปสนใจ แต่ดูในเบื้องต้น คลื่นในปัจจุบันน่าจะเป็นคลื่น 5 แบบคลื่นขยาย (extended wave) คือไม่ใช่คลื่น 5 ปกติแต่มีการยืดยาวออกไป คือหมายถึงตลาดขึ้นยาวนานเป็นพิเศษ ซึ่งคลื่นนี้ยังไม่น่าจบเร็วๆนี้

ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ลุงแมวน้ำคิดว่าตลาดหุ้นอเมริกายังไปต่อไปได้อีกไกลพอสมควร ก็เนื่องจากการอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบหรือที่เรียกว่าการผ่อนคลายเชิงปริมาณ QE นั่นเอง ตอนนี้อยู่ในโครงการ QE3 ซึ่งลุงแมวน้ำมองว่าวัตถุประสงค์ของการอัดฉัดเงินด้วย QE นั้นทางเฟด (FED) ต้องการทำให้เกิดการเก็งกำไรในตลาดทุนและอสังหาริมทรัพย์ เพราะเมื่ออัดฉีดเงินปริมาณมากก็จะเกิดเงินเฟ้อ เมื่อเงินเฟ้อเงินก็ด้อยค่าลง คนที่มีเงินเก็บก็ต้องการเอาเงินเก็บมาลงทุนเพื่อให้งอกเงย ส่วนใหญ่ก็คือการเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์และหุ้นนั่นเอง

เมื่อราคาบ้านขึ้น ราคาหุ้นขึ้น เศรษฐกิจก็เดินหน้าต่อไปได้ แม้ว่าวิธีการนี้คนรวยจะได้ประโยชน์มากกว่าคนจนก็ตาม แต่เฟดมองว่าก็น่าจะช่วยฉุดเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากหล่มได้ ตอนนี้ตลาดหุ้นและราคาบ้านในอเมริกายังฟื้นไม่เต็มที่ ลุงแมวน้ำคาดว่า QE3 จะส่งผลให้เกิดการเก็งกำไรในตลาดหุ้นได้อีกนานพอสมควร ควบคู่ไปกับการฟื้นตัวของราคาบ้าน

ทีนี้มาดูทางยุโรปกันบาง เรามาดูที่ตลาดหุ้นเยอรมนีกัน โดยลุงแมวน้ำใช้ดัชนีแดกซ์ (DAX) เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นเยอรมนี




จากภาพ เดิมลุงแมวน้ำคิดว่าตลาดหุ้นเยอรมนีอยู่ในคลื่น B แต่ตอนนี้ต้องปรับมุมมองใหม่แล้วเพราะว่าดัชนีทำลายสถิติจุดสูงสุดตลอดกาล 8105.69 จุด ของตลาดหุ้นเยอมนีไปได้เช่นกัน ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงต้องปรับมุมมองใหม่เป็นว่าตอนนี้ตลาดหุ้นเยอรมนีอยู่ในคลื่น 5 ซึ่งน่าจะเป็นคลื่นแบบคลื่นขยายที่ยืดยาวออกไปเป็นพิเศษ ประกอบกับทางยุโรปก็มีการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงคาดว่าตลาดหุ้นเยอรมนีรวมทั้งตลาดหุ้นอื่นๆในยุโรปยังขึ้นต่อไปได้อีกไกลพอควร

ทีนี้มาดูตลาดหุ้นไทยกันบ้าง ดูกราฟดัชนี SET ในภาพต่อไปนี้




จุดสูงสุดตลอดกาลของตลาดหุ้นไทยคือยอดคลื่น 3 ในปี 2537 ตอนนั้นดัชนีไปสูงสุดที่ 1763.78 จุด ในวันนี้ ผลจากการที่ตลาดหุ้นยุโรปและอเมริกาเดินหน้าต่อไปได้จะทำให้ตลาดหุ้นขึ้นตามกันทั่วโลก และทำให้ลุงแมวน้ำคิดว่าตลาดหุ้นไทยก็ยังไปต่อได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นคาดว่าเราน่าจะอยู่ในคลื่น 5 ซึ่งหมายความว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะผ่าน 1763.78 จุดไปได้ และควรจะไปไกลกว่านั้นอีก

ประกอบกับในช่วงนี้ ที่ดัชนีเซ็ตฝ่าด่าน 1600 จุดไปได้ ช่วงนี้ตลาดหุ้นขึ้นแต่ปริมาณซื้อขายน้อย ประมาณวันละ 4-5 หมื่นล้านบาท อีกทั้งต่างชาติยังขายสุทธิบ้างในบางวัน ลุงแมวน้ำว่าตลาดหุ้นไทยยังขึ้นต่อได้จนกว่าฝรั่งจะเข้ามาซื้อเยอะๆและปริมาณซื้อขายสูงๆแล้วนั่นแหละ อย่างน้อยก็อีกหลายเดือน ถึงตอนนั้นค่อยมาดูกันอีกทีว่าเมื่อไรตลาดจะวาย

สรุปว่าปี 2013 นี้ลุงว่าตลาดหุ้นไทยยังไปต่อได้ แต่หากพูดถึงความแรงยังไม่แน่ใจ เพราะว่าเมื่อปี 2012 ตลาดหุ้นย่านเอเชียรวมทั้งไทยมาแรง ปีนี้อาจเป็นปีที่ตลาดหุ้นฝั่งยุโรปและอเมริกามาแรงก็ได้ แต่ถึงอย่างไรตลาดหุ้นไทยก็คงไม่ถึงกับขี้เหร่เพราะว่าอยู่ในคลื่น 5

นี่ก็เป็นมุมมองของลุงแมวน้ำต่อสถานการณ์ตลาดหุ้นในช่วงต่อไปข้างหน้า

ยังเหลืออีกตอนหนึ่งนะคร้าบ โปรดคอยติดตามอ่าน




Tuesday, May 7, 2013

07/05/2013 * ตลาดหุ้นทำสถิติใหม่ สินค้าโภคภัณฑ์กำลังมา และสรุปตลาดในรอบสัปดาห์ (29/04/2013 - 03/05/2013)

สัปดาห์สิ้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์ของการทำจุดสูงสุดใหม่จริงๆ ก่อนที่่ลุงแมวน้ำจะพูดเรื่องตลาดหุ้น เราไปดูตัวเลขทางเศรษฐกิจบางตัวไปพร้อมๆกัน

เริ่มด้วยทางฝั่งยุโรปก่อน สัปดาห์ที่แล้ว มีการประกาศดัชนีฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของเยอรมนี ประเดือนเมษายนออกมา ปรากฏว่าดัชนี PMI เมื่อเดือนมีนาคมอยู่ที่ 49.0 จุด ส่วนเดือนเมษายนร่วงลงมาอยู่ที่ 48.1 จุด ลำพังแค่ดัชนีนี้มีค่าต่ำกว่า 50 จุดก็แย่แล้ว เพราะถือว่าเศรษฐกิจหดตัว นี่ตัวเลขยังลดอีกด้วย

อัตราการว่างงานในกลุ่มยูโรโซนก็พุ่งสูงขึ้น เมื่อเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 12% แต่เดือนมีนาคมอยู่ที่ 12.1% และหากไปดูในรายประเทศจะพบว่าแม้แต่ในเยอรมนีเองที่เป็นประเทศพี่ใหญ่ของกลุ่มยูโรโซนก็มีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น ส่วนประเทศกรีซตอนนี้อัตราว่างงานอยู่ที่ 27.2% โปรตุเกสมีอัตราว่างงาน 17.5% ซึ่งวัยแรงงานที่ตกงานกันมากอยู่กลุ่มที่มีอายุน้อย พูดง่ายๆคือพวกวัยรุ่น หนุ่มสาว ว่างงานค่อนข้างมาก ซึ่งจะเป็นปัญหาสังคมต่อไปอีกด้วย

นอกจากนี้ ทางธนาคารกลางของยุโรปหรือ ECB ก็ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงมา -0.25% เหลือ 0.50% ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์มีความเห็นว่าเพียงแค่การลดอัตราดอกเบี้ยคงช่วงเยียวยาเศรษฐกิจไม่ไหวแล้วหากไม่มีมาตรการอื่นๆมาช่วย ดังนั้นลดลงมาอีกก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

แม้สภาพเศรษฐกิจจริงของยุโรปจะยังย่ำแย่อยู่ แต่ตลาดหุ้นเยอรมนีกลับสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ โดยดัชนี DAX ของเยอรมนีผ่านจุดสูงสุดตลอดกาลเดิม 8,105.69 จุด ไปปิดที่ 8,112.08 จุดได้ ตอนนี้ตลาดหุ้นยเอรมนีไม่ใช่คลื่น B แล้ว น่าจะเป็นคลื่น 5 ซึ่งเป็นคลื่นแบบมีส่วนขยายออกมา (extended wave) คือไม่ใช่คลื่น 5 ปกติ ส่วนตลาดหุ้นอื่นๆในยุโรปก็ปรับตัวขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นจะเห็นว่าบางครั้งเศรษฐกิจจริงเรื่องหนึ่ง ตลาดหุ้นก็อีกเรื่องหนึ่ง ในกรณีนี้ก็เช่นกัน

มาดูทางด้านสหรัฐอเมริกา ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เด่นที่สุดที่ฉุดให้ตลาดหุ้น สรอ พุ่งขึ้นมาก็คืออัตราการว่างงานที่ลดลงเหลือเพียง 7.5% จากเดือนก่อน 7.6% ซึ่งอัตราการว่างงานนี้ต่ำสุดในรอบ 4 ปี แม้ว่าในขณะเดียวกันมีการประกาศตัวเลขดัชนีฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต ประจำเดือนเมษายนของสหรัฐอเมริกาออกมา ว่าหล่นลงมาอยู่ที่ 50.7 (เดือนมีนาคมอยู่ที่ 51.3 จุด) แต่ถึงกระนั้นตลาดหุ้นเลือกตอบสนองตัวเลขอัตราการว่างงานมากกว่า ดังนั้นดัชนี S&P 500 จึงฝ่าด่าน 1600 ขึ้นมาได้ เป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลใหม่ ส่วนดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJI) ก็เช่นกัน ทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องและใกล้แตะ 15,000 จุดแล้ว

มาดูทางด้านจีน แม้ว่าดัชนีฝ่ายจัดซื้อภาคบริการของจีน ประจำเดือนเมษายน จะลดลงเหลือ 54.5 จุด (เดือนก่อนหน้าอยู่ที่ 55.6) อันบ่งชี้ถึงเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง แต่ตลาดหุ้นจีนในสุปดาห์ที่แล้วก็ปรับตัวขึ้นได้ +1.86% ทั้งนี้เพราะการคาดการณ์กันว่าทางการจีนต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา

สรุปแล้วในสัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในทุกภูมิภาค ขึ้นกันเกือบทุกตลาด ท่ามกลางปัจจัยทางเศรษกิจที่ไม่เอื้ออำนวยนัก แต่ตลาดหุ้นอยู่ได้ด้วยความหวังมากกว่าความจริง เมื่อคาดว่าต่อไปจะดีขึ้น ตลาดก็ขึ้นต่อไปได้

สำหรับตลาดหุ้นไทย สัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้นไทยประตัวลง -0.25% ยังไม่สามารถฝ่าด่าน 1,600 จุดไปได้ ด้านอัตราแลกเปลี่ยน สัปดาห์ที่แล้วเงินบาทอ่อนค่าอย่างฮวบฮาบถึง -0.75% ในขณะที่เงินตราสกุลเอเชียและยุโรปส่วนใหญ่แข็งค่าขึ้น เนื่องจากฝ่ายการเมืองกดดันธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างหนักเพื่อให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ทำให้มีการเก็งกำไรเงินบาทในทางอ่อนค่า และขณะเดียวกัน มีเงินไหลเข้าไปในตลาดพันธบัตรเนื่องจากซื้อเพื่อดักหน้าการลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลลดลงตลอดทั้งเส้น โดยเฉพาะมีการซื้อตราสารหนี้อายุสั้นกับอายุยาว 1-3 ปีกันมาก

นอกจากนี้ ลุงแมวน้ำยังสังเกตว่าสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันดิบ กับสินค้าเกษตร กำลังเริ่มมีสัญญาณกลับทิศ เป็นไปได้ว่าสินค้าโภคภัณฑ์จะถึงเวลาเทรดกันอีกครั้งหนึ่ง แต่ประเด็นนี้ยังไม่ชัดนักเพราะว่าสัญญาณเพิ่งก่อตัว ให้ติดตามดูกันต่อไป

ที่ยกเว้นก็คือทองคำ ทองคำดูยาก ทางกองทุน SPDR ยังทยอยขายทองคำออกมา แต่ทองคำรูปพรรณที่เยาวราชกลับเกลี้ยงตลาด ลุงแมวน้ำว่ามีผลิตภัณฑ์อย่างอื่นตั้งเยอะแยะ ทำไมมามัวรอแต่ทองคำ ไปเทรดอย่างอื่นก่อนก็ได้ ^__^

ทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน เงินดอลลาร์ สรอ เป็นแนวโน้มขาลง ใกล้เกิดสัญญาณขายแล้ว ส่วนเงินยูโรกับเงินเยนเกิดสัญญาณซื้ออยู่ ดังนั้นคาดว่าในช่วงต่อไปยูโรกับเยนจะแข็งค่าขึ้น ส่วนเงินบาทน่าจะอ่อนค่าต่อไป

ิเอาละคร้าบ คราวนี้มาดูกราฟรายตัวกัน ลุงแมวน้ำอธบายตามภาพไปเลยก็แล้วกัน

ดัชนี DAX ของเยอรมนีทำจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ตอนนี้ต้องปรับมุมมองอย่างเป็นทางการแล้วว่าตลาดหุ้นเยอรมนีอยูในคลื่นใหญ่ 5 (ไม่ใช่คลื่น B) คลื่นใหญ่ 5 นี้คาดว่ายังไปต่อได้อีก

ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ในคลื่น 5 เช่นกัน ดัชนี S&P 500 ยืนอยู่เหนือ 1,600 จุดได้ ส่วน DJI ก็กำลังฝ่าด่าน 15,000 จุด ซึ่งหากทำได้ก็จะเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีตลาดหุ้นอเมริกามาเลยเชียว ลุงแมวน้ำคาดว่าแนวโน้มผ่านได้และไปต่อ


ตลาดหุ้นจีน ร่วงลงมาถึงระดับฟิโบนาชชี 50% แล้วเด้งขึ้น อาจจะจบคลื่น 2 ไปแล้วและกำลังเข้าคลื่น 3 แม้ว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจจะยังไม่ค่อยดีก็ตาม แต่ตลาดหุ้นก็ขึ้นได้เพราะความหวังและความเชื่อมั่น

หากเข้าคลื่น 3 จริงละก็ตลาดหุ้นจีนน่าเข้าลงทุน ยังไปได้อีกไกลทีเดียว 


ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ส่อเค้าว่ากำลังกลับทิศ อาจจะกำลังเข้าสู่คลื่น 3 ย่อย คลื่นใหญ่ยังนับไม่ชัด ลุงเลยนับแต่คลื่นย่อยดูไปก่อน แต่ก็เป็นคลื่นระดับที่พอเทรดได้หากเข้าสู่คลื่น 3 จริง ดูไปอีกหน่อยก็รู้


เมื่อน้ำมันกำลังมา สินค้าเกษตรก็ดูเหมือนกำลังกลับทิศเป็นขาขึ้นด้วย สัญญาณยังน้อยอยู่แต่ว่าก็มีโอกาสกลับทิศได้ รอดูไปอีกหน่อย


ยางพาราก็อาจกำลังกลับทิศเช่นกัน สินค้าโภคภัณฑ์พวกนี้มักตามกันทั้งกลุ่ม


ทองคำดูยาก อาจไม่ขึ้นตามกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์แต่จะลง เมื่อดูยาก เลี่ยงไปดูตัวอื่นก็น่าจะดีกว่า

ตลาดหุ้นไทย กำลังฝ่าด่าน 1600 จุด ซึ่งลุงแมวน้ำคาดว่าน่าจะผ่านไปได้ในเร็ววันนี้ เพราะขึ้นตามตลาดหุ้นทั่วโลก ยกเว้นจะมีเหตุการณ์พิเศษ


ตอนนี้เงินดอลลาร์ สรอ กำลังอ่อนค่า เพราะเป็นแนวโน้มขาลงอยู่ แต่ยังไม่เกิดสัญญาณขาย จวนแล้วละ

เงินเยนตอนนี้กำลังป่วนเอเชีย รวมทั้งป่วนค่าเงินบาทด้วย เงินเยนกำลังก่อรูปแบบสามเหลี่ยมชายธง อีกไม่นานก็จะรู้ว่าจะขึ้นแรงหรือจะลงแรง แต่ลุงแมวน้ำคาดว่าน่าจะเป็นแนวโน้มแข็งค่ามากกว่า 

เงินบาท ตอนนี้กำลังเป็นแนวโน้มอ่อนค่า และเกิดสัญญาณซื้้อแล้ว (แปลว่าอ่อนค่า)  น่าจะอ่อนค่าต่อไปได้อีก 


เปรียบเทียบค่าเงินสกุลต่างๆและทองคำ สัปดาห์ที่แล้วเงินบาทอ่อนค่า พร้อมกับเงินเยน ส่วนเงินสกุลยุโรปแข็งค่าขึ้น ขณะนี้เงินสกุลแกร่งที่สุดรองจากทองคำคือดอลลาร์ออสเตรเลีย แต่ก็มีข่าวแว่วมาว่าจอร์ช โซรอส กำลังเตรียมเข้าเก็งกำไรค่าเงินออสเตรเลียอยู่


 photo s5003052013weeklyreport.gif