Tuesday, October 2, 2012

02/10/2012 สรุปภาวะการลงทุนประจำเดือนกันยายน (09/2012)



ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในประเทศกรีซเนื่องจากการรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนเดือดร้อนและไม่พอใจมาก


วันนี้เรามาอัปเดตสถานการณ์เศรษฐกิจและการลงทุนในรอบเดือนกันยายนที่ผ่านมากัน

เดือนกันยายน 2012 มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหลายเรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบเศรษฐกิจของตน ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งเราคุยรายละเอียดกันไปพอสมควรแล้ว ซึ่งผลก็คือตลาดหุ้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดพันธบัตร และตลาดอัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงตอบรับข่าวนี้ทันที ซึ่งจะว่าขึ้นรับข่าวทันทีก็ไม่ได้ เพราะว่าเมื่อดูจากกราฟดัชนีต่างๆแล้วจะพบว่าตลาดหลักทั้งสี่ตลาดที่ว่ามามีอาการบ่งชี้มาก่อนหน้าแล้ว ตลาดหุ้นขึ้นมาเรื่อยๆตั้งแต่เดือนมิถุนายน ทำนองเดียวกับราคาทองคำในเดือนมิถุนายนก็ค่อยๆปรับตัวขึ้น ส่วนดอลลาร์ สรอ ค่อยๆอ่อนค่าลงในช่วงเดือนสิงหาคม และอัตราผลตอบพันพันธบัตรอเมริกันก็เริ่มขยับสูงขึ้นในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ฯลฯ

แต่อย่างไรก็ตาม ในภาคเศรษฐกิจจริง ไม่ได้สวยงามดังเช่นดัชนีตลาดหุ้น ดูทางด้านเอเชีย ดัชนีทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่แนวโน้มไม่ค่อยดี โดยเฉพาะดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหรือที่เรียกว่า PMI (Purchasing Manager Index) ทั้งของจีนและญี่ปุ่นไม่ดี ต่ำกว่า 50 มาอย่างต่อเนื่อง เวียดนามเองตอนนี้ก็อาการหนัก ดัชนีตลาดหุ้นตกรูด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเวียดนามอายุ 5 ปี อยู่ที่ 10.19% แล้ว เป็นต้นทุนการเงินที่สูงมาก


ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงว่า 10% สะท้อนอาการทางเศรษฐกิจของประเทศ ต้นทุนการเงินของประเทศที่สูงบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของเวียดนาม



ส่วนทางยุโรปนั้นแม้ว่าข่าวจะออกมาดูดีว่าธนาคารแห่งยุโรปหรือ ECB จะเข้าซื้อพันธบัตรของประเทศที่มีปัญหาเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน แต่ในความเป็นจริงสถานการณ์ก็ไม่ดี ยอดการนำเข้าลดลง ส่งผลกระทบถึงเอเชียที่เป็นผู้ส่งออกสู่ตลาดยุโรป นอกจากนี้เศรษฐกิจของเยอรมนีที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มยูโรก็เริ่มดูไม่ดี ประเทศกรีซกลุ่มยูโรช่วยกันอุ้มดูเหมือนจะสบายแต่ก็ไม่สบาย คนในชาติประท้วงก่อความรุนแรงกันวุ่นวายเพราะมาตรการรัดเข็มขัด หลายประเทศมีอัตราการว่างงานที่สูงมาก

ทางด้านสหรัฐอเมริกา อัตราการว่างงานและคาดการณ์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็ไม่ดี อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่าที่ประเมินเอาไว้ จึงเป็นที่มาของการออก QE3 รวมทั้งสัญญาณทางเศรษฐกิจบางตัวก็สับสน เช่น ยอดขายบ้านมือสองมีจำนวนลดลงแต่ราคาเฉลี่ยของบ้านที่ขายได้สูงขึ้น ฯลฯ

รวมความแล้วในภาคเศรษฐกิจจริงทั่วโลกดูไม่ดีนัก แต่อย่างไรก็ตาม ในวิกฤตก็เป็นโอกาสสำหรับบางคน ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ หากเราติดตามข่าวทางเศรษฐกิจคงทราบเกี่ยวกับดีลยักษ์ขนาดช้างสารชนกัน ที่แย่งกันซื้อหุ้นทุ่มเงินระดับแสนล้านเพื่อหวังขยายอาณาจักรด้วยวิธีการที่รวบรัด นั่นคือการครอบงำกิจการ สุดท้ายก็ยอมตกลงกันได้ ไม่อย่างนั้นคงต้องซื้อของแพงกันทั้งคู่ จากการวิจัยต่างๆที่ทำเกี่ยวกับเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจต่างก็บ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่าภายใต้ระบบทุนนิยมกระแสหลัก ความเหลื่อมล้ำนับวันจะสูงขึ้น นั่นคือ คนทีรวยอยู่แล้วจะรวยมากยิ่งขึ้นและครอบครองทรัพยากรได้มากยิ่งขึ้น ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยมีแต่ยิ่งถ่างออก

เมื่อเราดูภาคเศรษฐกิจจริงกันไปแล้ว ทีนี้เรามาดูในด้านการลงทุนกันบ้าง ดูตามตารางใหญ่ที่ประกอบในบทความนี้ได้เลย

ทางด้านตลาดหุ้น ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้น ดัชนี Dow Jones Global Index ตลอดทั้งเดือนปรับตัวขึ้น +3% ส่วนตลาดหุ้นไทย SET index +5%

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โลหะมีค่าคือทองคำปรับตัวขึ้น +5% เนื่องมาจากดอลลาร์ สรอ อ่อนตัว ส่วนราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง น้ำมันดิบ WTI -4% สินค้าเกษตรก็ปรับตัวลงประมาณ -3% ถึง -4% สำหรับน้ำมันดิบกับสินค้าเกษตรผันผวนค่อนข้างมาก

ตลาดตราสารหนี้ ในรอบเดือนที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกัน อายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 8 จุดเบสิส มาอยู่ที่ 1.64% แกว่งตัวผันผวน ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้น 16 จุดเบสิส มาอยู่ที่ 3.59%

ด้านอัตราแลกเปลี่ยน USD index อ่อนตัวลง -1.47% เงินตราสกุลอื่นๆแข็งค่าขึ้น เงินยูโรแข็งค่า +2.17% เงินบาทแข็งค่า +1.69% พอๆกับดอลลาร์สิงคโปร์ ส่วนเงินเยนแข็งค่าเพียงเล็กน้อยเพราะช่วงนี้ญี่ปุ่นแทรกแซงค่าเงินเยน

ทีนี้จากตาราง ลุงแมวน้ำอยากให้ลองสังเกตดูค่า vi หรือ volatility index อันเป็นค่าความผันผวน จะเห็นว่าราคาหรือค่าดัชนีในตารางส่วนใหญ่มี vi ไม่สูง บางกลุ่มก็ไม่ถึง 1.0% บางกลุ่มก็อยู่ในช่วง 1.0-2.0% มีส่วนน้อยที่เกิน 2%

ลองมาดูตัวอย่างพวกที่สูงๆ อย่างเช่น ดัชนีตลาดหุ้นกรีซ vi=3.2% ดัชนีตลาดหุ้นสเปนกับอิตาลี 2.4% พันธบัตรอเมริกันก็ผันผวน vi=3.7% สินค้าเกษตรกลุ่มธัญพืช (grains) ก็ผันผวน 2.2% ส่วนทองคำผันผวนนิดหน่อยเท่านั้น และตลาดหุ้นไทยความผันผวนต่ำ 0.9%

ค่าความผันผวนนี้หากดูทั้งกลุ่มในภาพใหญ่จะช่วยบอกอะไรเราได้พอสมควรทีเดียว นั่นคือ ตอนนี้ตลาดต่างๆอยู่ในขาขึ้นที่ค่อยๆขึ้น ไม่ค่อยหวือหวานัก ยกเว้นแค่บางประเทศหรือบางสินค้า ปกติแล้วหากเป็นช่วงที่ใกล้มีการกลับทิศแนวโน้ม คือจากขาขึ้นเป็นขาลง หรือขาลงเป็นขาขึ้น ค่า vi มักสูง แสดงว่าตอนนี้ตลาดค่อนไปในทางมีทิศทางและมีเสถียรพอสมควร ตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงกลับทิศแนวโน้ม หากเป็นลักษณะเช่นนี้ในทางเทคนิคก็น่าจะเทรดตามแนวโน้มไปได้เรื่อยๆ แล้วตามค่า vi ไป แม้สักวันจะต้องถึงจุดกลับทิศแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้

แต่หากมองด้วยปัจจัยพื้นฐาน หลายๆตัวก็อาจไม่น่าลงทุน เพราะว่าเกินเลยปัจจัยพื้นฐานไปแล้ว ดังนั้นหลักการหรือวิธีการเทรดที่แต่ละคนยึดถือมีความสำคัญ ใช้หลักใดก็ใช้หลักนั้น อย่าเอาความรู้ข้ามสำนักมาผสมกันโดยไม่เข้าใจ ไม่อย่างนั้นจะสับสนเอง




เปรียบเทียบค่าเงินสกุลต่างๆบางสกุลและทองคำในรอบ 1 เดือน


อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกันอายุ 10 ปี ช่วงนี้ผันผวนเอาการ



ราคาข้าวสาลีตลาดโลก


ราคาถั่วเหลืองตลาดโลก



ราคาข้าวโพดตลาดโลก

Photobucket

No comments: