Tuesday, September 20, 2011

19/09/2011 * ตลาดลงโดยปริมาณซื้อขายน้อยแปลว่าลงไม่จริงกระนั้นหรือ, portfolio

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,017.19 จุด ลดลง 16.15 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BIGC, TRUE ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 13 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้เกิดสัญญาณขายทองคำ (GC) และน้ำมันดิบ (CL) ลุงแมวน้ำปรับมุมมองสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งกลุ่มเป็นแนวโน้มขาลงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตร พลังงาน โลหะอุตสาหกรรม และโลหะมีค่า ดังนั้นจึงปิดสัญญาซื้อและเปิดสัญญาขายไป

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิก ยุโรป อเมริกาปรับตัวลดลงทั้งสามภูมิภาค ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงไม่มี ส่วนตลาดที่ลงแรง ได้แก่ แอฟริกาใต้ ตามด้วยกลุ่มยุโรป ตลาดเอเชียที่ลงแรงคือฮ่องกง

มาดูพอร์ตลงทุนของลุงแมวน้ำกัน นี่เป็นผลการดำเนินงานของพอร์ตลงทุนจำลอง ซื้อขายทุกสัญญาณ (autotrade) ขาดทุนจากน้ำมันดิบอย่างหนัก ส่วน S50 ก็ไม่ค่อยดี




ตลาดลงโดยปริมาณซื้อขายน้อยแปลว่าลงไม่จริงกระนั้นหรือ


การลงทุนไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้ มีสำนักให้ยึดอย่างชัดเจนและหาความรู้ตามแนวทางของสำนักนั้นๆ เช่น สายเทคนิคก็หาความรู้ด้านการลงทุนด้วยปัจจัยทางเทคนิค สายปัจจัยพื้นฐานก็หาความรู้ในแนวปัจจัยพื้นฐาน การซื้อขายตามคำแนะนำของผู้อื่นโดยที่ตนเองไม่สามารถวินิจฉัยได้เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ

ที่ลุงแมวน้ำกล่าวเช่นนี้เพราะในขณะที่ตลาดผันผวนเช่นนี้ มีคำแนะนำแก่นักลงทุนรายย่อยต่างๆนานามากมาย ทั้งแนะนำให้ซื้อ แนะนำให้ขาย แนะนำให้อยู่เฉยๆ หากนักลงทุนไม่มีแนวทางของตนเองคงสับสน โดยเฉพาะในช่วงนี้มีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับวอลุมหรือปริมาณซื้อขายในตลาดว่ามีน้อย พร้อมทั้งคำแนะนำว่าหากปริมาณซื้อขายหดหายแปลว่าตลาดลงไม่จริง แบบนี้ซื้อได้ ฯลฯ

มาคุยกันในเรื่องปริมาณซื้อขายเพียงประเด็นเดียวก่อน ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคมีการนำวอลุมหรือปริมาณซื้อขายมาวิเคราะห์ด้วย โดยจะเห็นได้จากมีการพัฒนาอินดิเคเตอร์ที่เกี่ยวกับปริมาณซื้อขายอยู่หลายชนิด แต่สายปัจจัยทางเทคนิคบางคนก็ใช้ปริมาณซื้อขาย บางคนก็ไม่ใช้ อย่างลุงแมวน้ำเองปกติไม่ได้ใช้ แค่ใช้ดูประกอบบางช่วงเท่านั้น

จากประสบการณ์ของลุงแมวน้ำ ตลาดที่ปริมาณซื้อขายหดหายมี 3 แบบ คือ

ตลาดลงแล้วปริมาณซื้อขายน้อยลง แต่เมื่อตลาดขึ้นปริมาณซื้อขายจะตามมา แบบนี้
โดยทั่วไปเรียกว่าอาการตลาดไม่อยากลง เป็นเพราะส่วนใหญ่ยังมองขึ้นอยู่ ดังนั้นเมื่อตลาดลงจึงอยู่เฉยๆ รอตลาดขึ้นจึงเข้า

ตลาดขึ้นโดยมีรปิมาณซื้อขายน้อย แต่เมื่อตลาดลงปริมาณซื้อขายจะมากตามมา แบบนี้โดยทั่วไปเรียกว่าอาการตลาดไม่อยากขึ้น เป็นเพราะส่วนใหญ่มองทางขาลง เมื่อตลาดขึ้นจึงอยู่เฉยๆ

ตลาดมีปริมาณซื้อขายน้อยทั้งเมื่อยามตลาดขึ้นและตลาดลง แบบนี้คือทุกคนยังไม่รู้จะไปทางใด รอดูความชัดเจนก่อน

จากประสบการณ์ของลุงแมวน้ำ เท่าที่สังเกตมา ไม่ว่าตลาดขึ้นหรือลง หากปริมาณซื้อขายน้อย ไม่ได้หมายความว่าตลาดอยากไปอีกทางหนึ่งแล้วจะไปได้สำเร็จ สมมติเช่น เมื่อตลาดลงแล้วปริมาณซื้อขายน้อย ไม่ได้แปลว่าต่อไปตลาดจะขึ้นแน่ หากตลาดขึ้นแล้วปริมาณซื้อขายมากตามมาแล้วไปต่อได้ก็ถือว่าขึ้นได้สำเร็จก็ดีไป แต่ตลาดที่ลงโดยปริมาณซื้อขายน้อยนั้น เมื่อตลาดลงเรื่อยๆไปถึงระดับหนึ่ง นักลงทุนจะทนไม่ไหวและถอดใจ จากนั้นตัดใจขาย เมื่อนั้นปริมาณซื้อขายด้านขาลงจะตามมา สุดท้ายก็กลับกายเป็นแนวโน้มขาลงอย่างนี้ก็มี

ขาขึ้นที่ปริมาณซื้อขายน้อยก็เป็นตรงข้ามกัน เมื่อตลาดขึ้นจนถึงสูงถึงระดับหนึ่งแล้วปริมาณซื้อขายจะตามมาเอง ก็เป็นได้เหมือนกัน

ดังนั้นเรื่องที่ว่าขึ้นแล้วปริมาณซื้อขายต่ำคือขึ้นไม่จริง ลงแล้วปริมาณซื้อขายต่ำคือลงไม่จริง ไม่ใช่เรื่องแน่นอนเสมอไป นักลงทุนควรใช้ความรู้ด้านเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักมากกว่า หากเข้าใจและใช้ปริมาณซื้อขายประกอบเป็นจึงค่อยใช้



No comments: