Friday, September 30, 2011

30/09/2011 สรุปสถานการณ์สิ้นไตรมาส 3 , 2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 931.60 จุด ลดลง 10.0 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 2 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลงแรง เมื่อวานน้ำตาล SB#11 ราคาลดลงราว 6% วันนี้ราคาข้าวโพด (C) ข้าวสาลี (W) ถั่วเหลือง (S) และราคาสินค้าเกษตรอื่นปรับตัวลงแรงตามมา ดัชนีสินค้าเกษตร (DJUBSAG) ปรับตัวลดลงถึง -4.5% ยกเว้นยางพาราที่ปรับตัวขึ้น

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิกมีทั้งปิดบวกและปิดลบ ที่ปิดบวกก็บวกไม่มาก ส่วนตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลง ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงมีเพียงตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ส่วนตลาดที่ลงแรง ได้แก่ รัสเซีย ออสเตรีย เยอรมนี สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ฯลฯ

ลุงแมวน้ำรับปรุงรายงานเล็กน้อย โดยตัดฟิวเจอร์สของหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่องออกไป และเพิ่มฟิวเจอร์สของโลหะเงิน (SV) เข้ามา นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มฟิวเจอร์สของน้ำมันดิบเบรนต์ (Brent crude oil, BZ) เข้ามาด้วย เนื่องจากตลาด TFEX ของไทยเรากำลังจะมีฟิวเจอร์สของน้ำมันดิบมาให้เทรดกันในเดือนตุลาคมนี้ โดยเป็นฟิวเจอร์สที่อิงกับราคาน้ำมันดิบเบรนต์



สรุปสถานการณ์สิ้นไตรมาส 3 , 2011


ปี 2554 หรือ 2011 นี้ได้ผ่านไปสามในสี่ของปีหรือว่า 3 ไตรมาสแล้ว สถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดทุนของโลกในไตรมาสที่สามที่เต็มไปด้วยความสับสน โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในภูมิภาคยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกาดูเหมือนว่าจะลุกลามจนฉุดภูมิภาคอื่นๆไปด้วย

โลกในไตรมาสสามที่ผ่านมานี้จับความสนใจอยู่ที่ยุโรป โดยเฉพาะปัญหาหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศ PIIGS อันประกอบด้วยโปรตุเกส อิตาลี ไอร์แลนด์ กรีซ และสเปน แต่ที่กำลังเน้นมากเป็นพิเศษคือกรีซ รองลงมาคืออิตาลี เพราะปัญหาความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรรัฐบาลกรีซเป็นเสมือนกองไฟที่ลามใกล้เพื่อนบ้านเข้าไปทุกที แต่ประเทศอื่นใช่ว่าจะมีปัญหาเบาบางกว่า เพียงแต่ปัญหาของกรีซเฉพาะหน้ามากกว่า

หนี้พันธบัตรใกล้ถึงกำหนดนัดเข้ามาทุกที แต่รัฐบาลกรีซก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ลำพังการเงินภายในประเทศของกรีซเองก็ติดขัด ต้องพึ่งเงินกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารกลางของยุโรป (ECB) ซึ่งทั้งสองสถาบันนี้ร่วมกันปล่อยกู้แก่กรีซเป็นงวด โดยในแต่ละงวดจะมีการประเมินความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาของกรีซ เปรียบเสมือนต้องตรวจสอบความประพฤติของกรีซทุกสามเดือน เมื่อความประพฤติใช้ได้จึงจะให้เงินกู้งวดใหม่ หากยังใช้ไม่ได้ก็ต้องแก้ไขปรับปรุงก่อน เพราะทางฝ่ายเจ้าหนี้หากไม่เข้มงวดก็เกรงสูญเงินต้นไปเช่นกัน ดังนั้นเรื่องงวดเงินกู้ของกรีซจึงเป็นเรื่องที่เป็นข่าวให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนได้ทุกสามเดือน

นอกจากเรื่องเงินกู้แก่กรีซแล้ว ประเด็นที่เล่นเป็นข่าวและสร้างความผันผวนแก่ตลาดหุ้นในระยะนี้ก็คือเรื่องกองทุนเพื่อเสถียรภาพทางการเงินแห่งยุโรป (EFSF) ที่ประเทศต่างๆในกลุ่มยูโรโซน 17 ประเทศลงขันเงินกันตั้งเป็นกองทุนขึ้นเพื่อค้ำจุนเสถียรภาพทางการเงินของกลุ่ม กองทุนนี้เดิมมีเงินลงขันอยู่สองแสนห้าหมื่นล้านยูโร (0.25 ล้านล้านยูโร) ต่อมาก็ไม่เพียงพอ จึงต้องเจรจากันภายในกลุ่มเพื่อเพิ่มวงเงินกองทุนเป็นสี่แสนสี่หมื่นล้านยูโร (0.44 ล้านยูโร) ซึ่งแต่ละประเทศต้องให้สภาของตนยินยอมก่อนจึงจะลงขันขยายกองทุนได้ โดยเยอรมนีเป็นประเทศที่ลงขันเพิ่มเป็นหลัก ซึ่งก่อนที่สภาเยอรมนีจะให้การรับรอง ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ผันผวนอยู่ช่วงหนึ่ง

หลังจากที่สภาของเยอรมนีให้การรับรองเมื่อไม่กี่วันมานี้ ทำให้สามารถขยายขนาดกองทุนได้ ที่จริงแล้วกระบวนการยังไม่จบ ยังมีอีกหลายประเทศที่สภาของตนยังไม่รับรอง ยังต้องรอให้รับรองจนครบทั้งหมดเสียก่อน

และนอกจากนี้ กลุ่มยูโรโซนประเมินกันแล้วคิดว่าเงินกองทุนที่ขยายแล้วก็ยังไม่น่าเพียงพอ เพียงแค่ช่วยกรีซประเทศเดียวก็ยังยาก ดังนั้นจึงมีการหารือกันว่าอาจต้องขยายวงเงินกองทุนไปถึงขนาดสามล้านล้านยูโร (3 ล้านล้านยูโร) แต่เยอรมนีปฏิเสธที่จะลงขันเพิ่ม ดังนั้นข่าวดีจากเยอรมนีก็คือยอมลงขันเพิ่มในรอบสอง แต่ข่าวร้ายก็คือเยอรมนีจะไม่ลงขันเพิ่มในรอบสาม สรุปแล้วจึงไม่รู้ว่าเรื่อง EFSF นั้นเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายกันแน่ แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาและเยอรมนีปรับตัวลดลงในวันที่ 30 อันเป็นวันสิ้นไตรมาสสามถึง -2.5%

นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาสสาม มีเงินลงทุนเคลื่อนย้ายออกจากยุโรปเนื่องจากไม่แน่ใจสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและค่าเงินยูโร ส่งผลให้เงินดอลลาร์ สรอ แข็งค่าอย่างต่อเนื่องและเงินยูโรอ่อนค่าลง กองทุนต่างๆในสหรัฐอเมริกาลดการลงทุนในยุโรปและย้ายเงินทุนบางส่วนกลับ การอ่อนค่าของยูโรทำให้ดอลลาร์ สรอ และฟรังก์สวิสแข็งค่า ซึ่งทางการสวิสพยายามแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเต็มที่

ทางด้านสหรัฐอเมริกา ในไตรมาสสาม มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ ภาค 2 (QE 2) สิ้นสุดลงโดยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไม่ได้มากนัก อัตราการว่างงานยังไม่ลดลง สหรัฐอเมริกาเองก็มีปัญหาเรื่องหนี้สาธารณะ ประกอบกับก่อหนี้ไว้เต็มเพดานแล้ว ตราสารหนี้บางส่วนที่ใกล้ถึงกำหนดไถ่ถอนยังไม่สามารถหาเงินมารองรับการไถ่ถอนได้เนื่องจากก่อหนี้เพิ่มไม่ได้ ดังนั้นทางออกคือต้องผ่านกฎหมายขยายเพดานการก่อหนี้สาธารณะ ซึ่งประเด็นนี้เองเป็นจุดที่ทำให้เกิดความขัดแย้งของการเมืองภายในสหรัฐอเมริกาเอง ช่วงที่ร่างกฎหมายยังไม่ผ่าน ตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกล้วนแต่หวั่นไหวไปด้วย แต่ในที่สุดรัฐสภาอเมริกันก็ผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้สาธารณะได้ในนาทีสุดท้าย

หลังจากตลาดหุ้นหมดกังวลเรื่องการผ่านกฎหมายก็กลับมากังวลกับสภาพเศรษฐกิจต่อไป หลังจากมาตรการ QE 2 สิ้นสุดลง ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาหรือเฟดได้ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อมาด้วยการปรับพอร์ตตราสารหนี้ของเฟดเองเพื่อกดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ลดลง ที่เรียกว่ามาตรการ operation twist ที่ลุงแมวน้ำเคยเล่าให้ฟังแล้ว มาตรการนี้ไม่ได้มีการอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบ เป็นเพียงการใช้กลไกอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น นักเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็นเสมือนยาอ่อน เคยใช้ยาแรงมาแล้วยังไม่ได้ผล หากใช้ยาอ่อนก็ย่อมคาดได้ว่าผลจะเป็นอย่างไร เมื่อนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในสภาพเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาจึงปรับตัวลดลง

ทางด้านเอเชีย หลายๆประเทศในเอเชียมีอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นที่กำลังฟื้นตัวได้ก็ประสบภัยสึนามิจนโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งหนึ่งเสียหายจนถึงกับมีกัมมันตภาพรังสีรั่วออกมา ผลจากสึนามิและปัญหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทำให้สภาพเศรษฐกิจที่กำลังเริ่มดูดีกลับแย่ลง ประกอบกับปัญหาเงินเยนแข็งค่ามาก กระทบการส่งออก ทำให้ญี่ปุ่นเปรียบเสมือนคนที่เสียหลัก ส่วนจีนนั้นเศรษฐกิจโตเร็วเกินไปจนเงินเฟ้อในอัตราสูง ทางการจีนพยายามชะลอเศรษฐกิจของตนเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ ตลาดหุ้นจีนจึงได้รับผลกระทบ อินเดีย อินโดนีเซีย ก็ประสบปัญหาเงินเฟ้อในอัตราสูงเช่นกัน

ทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนในเอเชีย ค่าเงินสกุลเอเชียแปซิฟิกโดยรวมอ่อนค่าลง แสดงให้เห็นว่ามีเงินทุนเคลื่อนย้ายออกจากเอเชีย ข้อมูลเฉพาะในเดือนสิงหาคมระบุว่ามีเงินทุนไหลออกจากไทย ไต้หวัน เกาหลี อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และอินเดีย รวมกันมากถึง 16,000 บ้าน ดอลลาร์ สรอ สำหรับไทยนั้นในช่วงเดือนสิงหาคมมีเงินทุนไหลออกประมาณ 1,400 ล้านดอลลาร์ สรอ และเดือนกันยายนมีเงินไหลออก 600 ล้าน ดอลลาร์ สรอ มียกเว้นเพียงสกุลเดียวคือเงินเยนที่มีแนวโน้มแข็งค่า จนทางการญี่ปุ่นต้องเตรียมทุนสำรองเป็นจำนวนมากเพื่อสู้ค่าเงินอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

ในขณะที่เงินไหลออกจากเอเชียแปซิฟิกและยุโรป เงินดอลลาร์ สรอ จึงแข็งค่าขึ้น ประกอบกับตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ทำให้สินค้าโภคภัณฑ์รวมทั้งทองคำซึ่งเป็นทั้งสินทรัพย์มั่นคงและเป็นสินค้าเก็งกำไรในขณะเดียวกันก็ปรับตัวลดลงด้วย

ลองมาดูกราฟอัตราแลกเปลี่ยนของเงินตราสกุลสำคัญในโลกในระยะหลายเดือนที่ผ่านมา ดังภาพต่อไปนี้



จะเห็นว่ามีแต่เงินดอลลาร์ สรอ และเงินเยนที่มีแนวโน้มแข็งค่า เงินตราสกุลอื่นรวมทั้งทองอ่อนค่าลง

ลองมาดูสรุปอัตราแลกเปลี่ยนในรอบสัปดาห์ รอบเดือน และรอบปี ดังภาพต่อไปนี้


จากภาพ จะเห็นว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินแรนด์ของแอฟริกาใต้แข็งค่ามากที่สุด และเงินวอนเกาหลีอ่อนค่ามากที่สุด แต่หากเทียบในรอบปีที่ผ่านมา เงินเยนกับฟรังก์สวิสแข็งค่ามากที่สุด

จากอัตราแลกเปลี่ยน ลองมาดูด้านตลาดทุนกันบ้าง ในรอบไตรมาสที่ผ่านมา ตลาดหุ้นผันผวนในทิศทางขาลง ภาพต่อไปนี้เป็นการคำนวณว่าตลาดหุ้นแต่ละประเทศปรับตัวลดลงจากยอดคลื่นใหญ่ลงมาแล้วมากน้อยเพียงใด


จากภาพ จะเห็นว่าตลาดหุ้นในย่านเอเชียแปซิฟิกปรับตัวลงมามาก ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงปรับตัวลงมามากกว่าตลาดหุ้นเยอรมนีเสียอีก และหากสังเกตจากค่า P/E ratio หรือค่าอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น จะเห็นว่าตลาดหุ้นหลายแห่งมีค่าพีอีต่ำ เช่น อังกฤษและเยอรมนีมีค่าพีอีประมาณ 9 เท่า ส่วนฮ่องกงและสิงคโปร์ขณะนี้มีพีอีประมาณ 7 ถึง 8 เท่า แต่ตลาดหุ้นเหล่านี้ก็ยังมีแนวโน้มไหลลงต่อ

ทางด้านตลาดหุ้นไทย แนวโน้มทางเทคนิคอยู่ในขาลง เดือนกันยายนที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิรวม 16,506 ล้านบาท และหากนับจากต้นปี สามไตรมาสที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิทั้งสิ้น 35,351 ล้านบาท




29/09/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 926.21 จุด ลดลง 5.39 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 2 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิก ย่านยุโรป และอเมริกาส่วนใหญ่ปิดเขียว ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาก็คือสภาผู้แทนของเยอรมนีจะให้การรับรองต่อแผนการขยายเงินกองทุนเพื่อเสถียรภาพทางการเงินแห่งยุโรป (EFSF) หรือไม่ เมื่อปรากฏว่าสภารับรองตลาดหุ้นจึงขึ้นทั่วโลก ส่วนดัชนีแดกซ์ (DAX) ของเยอรมนีนั้นขึ้นแรงในตอนต้นตลาดแต่ไปอ่อนในท้ายตลาด

ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงในวันนี้คือ เกาหลีใต้ สวีเดน อิตาลี และเนเธอร์แลนด์ ส่วนตลาดหุ้นที่ลงแรงคือแอฟริกาใต้ ตลาดหุ้นเกาหลีช่วงนี้ผันผวนมากขึ้น



Thursday, September 29, 2011

28/09/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 931.60 จุด ลดลง 15.02 จุด ปริมาณซื้อขายลดน้อยลง

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 2 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ราคาโลหะเงิน (SI) ลงแรง -4%

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิกมีทั้งปิดบวกและปิดลบ ส่วนย่านยุโรปและอเมริกาปิดลบ ความกังวลกลับมาครอบงำยุโรปและสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหนึ่ง ตลาดหุ้นที่ขึ้้นแรงได้แก่กรีซและตุรกี

ในช่วงวันสองวันนี้หนังสือพิมพ์ภาษาไทยบางฉบับเริ่มลงสกู๊ปเกี่ยวกับค่าเงินดอลลาร์แล้ว โดยสรุปก็คือขณะนี้มีเงินไหลออกจากยุโรปโดยเฉพาะกองทุนต่างๆที่เข้าไปลงทุนในยุโรปเนื่องจากเกรงว่าปัญหาหนี้สาธารณะจะลามไปถึงภาคธนาคาร นอกจากนี้ยังเกิดจากเงินยูโรที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง จึงมีการแลกเงินดอลลาร์ สรอ และถอนเงินลงทุนออกจากยุโรป ขณะเดียวกัน การปล่อยกู้ระหว่างธนาคารทำได้ยากยิ่งขึ้นเพราะถือว่าความเสี่ยงสูงขึ้น ขณะนี้จึงเกิดภาวะเงินดอลลาร์ตึงตัว ดอลลาร์ สรอ จึงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง

เรื่องค่าเงินดอลลาร์เพิ่งเป็นข่าว แต่ในทางเทคนิคเราทราบล่วงหน้ามาระยะหนึ่งแล้ว ดังที่ลุงแมวน้ำเคยเขียนบทความเอาไว้ โดยลุงแมวน้ำประเมินจากปัจจัยทางเทคนิค ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่าเรื่องการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใด แต่เป็นไปตามกฎของดาว (Dow's theory) ที่กล่าวไว้ว่าราคาหุ้น (หรือราคาอะไรก็ตาม) รับรู้ข้อมูลข่าวสารเอาไว้แล้วทั้งหมด แม้แต่ข่าวสารหรือเรื่องที่เรายังไม่รู้เพราะติดตามไม่ทันก็ตาม อีกประการ ข่าวสารในโลกมีมากมาย รับรู้กันไม่ไหว น้ำหนักของข่าวสารแต่ละเรื่องก็ไม่เท่ากัน ยากแก่การประเมิน แต่การวิเคราะห์จากราคาเป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก และราคาประมวลข่าวสารและปัจจัยทางจิตวิทยาเอาไว้ทั้งหมด

มีเรื่องขำๆเกี่ยวกับข่าว ลุงแมวน้ำนำภาพหน้าจอของข่าวเศรษฐกิจจากเว็บไซต์ yahoo มาให้ดูกัน ตรงที่ระบายสีเหลืองเอาไว้ สองข่าวนี้ห่างกันประมาณ 4 ชั่วโมง ที่จริงไม่ได้อยู่เรียงกันแบบนี้ ข่าวล่างตกไปข้างล่างแล้ว แต่ลุงแมวนำตกแต่งนิดหน่อย เพื่อให้อยู่ด้วยกัน จะได้ดูได้สะดวก



จากภาพ จะเห็นว่าอารมณ์ของข่าวล่างและข่าวบนเป็นตรงกันข้ามกัน ทั้งๆที่เป็นตลาดหุ้นวันเดียวกัน เพียงห่างกันประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น นี่เป็นตัวอย่างที่ลุงแมวน้ำอยากชี้ให้เห็นว่านักลงทุนที่ติดตามข่าวสารมากๆอาจสับสนและไขว้เขวได้รวมทั้งอาจตกอยู่ในอารมณ์วิตกกังวลอยู่เสมอ ทำให้เสียสุขภาพจิต หากลองใช้การติดตามราคาและการวิเคราะห์ทางเทคนิคดูบ้างอาจทำให้ชีวิตง่ายขึ้นและมีความสุขขึ้น เพราะการวิเคราะหราคาไม่ค่อยทำให้หวั่นไหวหรือกังวลมากเช่นอารมณ์ของข่าว




27/09/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 946.62 จุด เพิ่มขึ้น 42.56 จุด ปริมาณซื้อขาย 35,926 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 597 ล้านบาท ตลาดหุ้นรีบาวด์แรงแต่ปริมาณซื้อขายลดลง

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย RATCH ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 2 ตัว ต่อไปอาจไม่มีหุ้นเหลืออยู่ในพอร์ตเนื่องจากขายไปทั้งหมด

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ราคาทองคำ (GC) รีบาวด์ 3.6% ราคายางพารา (RSS3) ก็รีบาวด์ 3.6% เช่นกัน

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกรีบาวด์อันเนื่องจากมาจากข่าวเกี่ยวกับประเทศในกลุ่มยูโรโซนที่พยายามช่วยเหลือประเทศกรีซเพื่อไม่ให้ผิดนัดชำระหนี้ ข่าวออกมาในทางมีความหวังที่ดี ตลาดหุ้นทั่วโลกจึงปรับตัวขึ้น ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงที่สุดได้แก่ตลาดหุ้นประเทศแอฟริกาใต้ 6.6% รองลงมาได้แก่ตลาดหุ้นในกลุ่มทวีปยุโรป รวมทั้งตลาดหุ้นไทยก็รีบาวด์เช่นกัน




26/09/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 904.06 จุด ลดลง 54.1 จุด ปริมาณซื้อขาย 47,630 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 3,069 ล้านบาท วันนี้ดัชนีลงไปต่ำสุดถึง -90.3 จุดหรือ -9.4%

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BGH, BH, DELTA ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 3 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ราคาทองคำ (GC) ปรับลดลง -2.7% ขณะนี้ต่ำกว่า 1,600 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์แล้ว ราคายางพารา (RSS3) ก็ร่วงแรงมาสองสามวันแล้ว วันนี้ราคาลดลงถึง -4%

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นผันผวนหนักต่อ ย่านเอเชียแปซิฟิกลงแรง ส่วนย่านยุโรปมีทั้งปิดบวกและปิดลบคละกัน ทางด้านฝั่งอเมริกาส่วนใหญ่ปิดบวก ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงได้แกาตลาดหุ้นยุโรปและอเมริกา อาทิ อิตาลี ออสเตรเลีย เยอรมนี สเปน สหรัฐอเมริกา เมกซิโก ส่วนตลาดที่ลงแรงได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย

วันนี้ตลาดหุ้นไทยลงแรงถึง -5.65% โดยคิดจากราคาของวันนี้เทียบกับเมื่อวาน แต่จุดที่ดัชนีไหลลงไปต่ำสุดอยู่ที่ -90.3 จุดหรือ -9.4% นอกจากนี้ ขณะที่ดัชนีไหลลงไปประมาณ -90 จุด จู่ๆระบบการซื้อขายก็หยุดทำงานชั่วคราวราว 5 นาทีโดยไม่มีผู้ใดทราบสาเหตุที่แท้จริง หนังสือพิมพ์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่าตลาดหุ้นปลั๊กหลุด

ตลาดหุ้นไทยลงรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ SETI ไหลลงมาจากจุดยอดคลื่นราว -21% แล้ว อันเป็นระดับใกล้เคียงกับเพื่อนบ้านย่านเอเชีย อาทิ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และอินเดีย



Monday, September 26, 2011

23/09/2011 * ตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมันดิบ สินค้าเกษตร จะลงไปลึกเพียงใด

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 958.16 จุด ลดลง 32.43 จุด ปริมาณซื้อขาย 50,000 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 3,154 ล้านบาท ตลาดลงพร้อมกับปริมาณซื้อขายที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว กรณีนี้ปริมาณซื้อขายใช้เป็นเครื่องยืนยันแนวโน้มขาลงได้

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BEC, CPN, HMPRO, LH, SCCC ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 6 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขาย LH ฟิวเจอร์สของโลหะเงิน (SV) ผันผวนหนักจนตลาดต้องหยุดซื้อขายชั่วคราว (ใช้ circuit breaker) เพื่อให้นักลงทุนตั้งหลักกันก่อน

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นผันผวนหนักต่อ ย่านเอเชียแปซิฟิกลงแรง ส่วนย่านยุโรปมีทั้งปิดบวกและปิดลบคละกัน ที่ผิดบวกเป็นบวกไม่มากแต่ที่ปิดลบลบหนัก ทางด้านฝั่งอเมริกาปิดบวกและลบคละกันแต่ขึ้นลงไม่รุนแรง



ตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมันดิบ สินค้าเกษตร จะลงไปลึกเพียงใด


ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั้งสามภูมิภาครวมแล้วผันผวนรุนแรง ในช่วงที่ผ่านมาสถาบันจัดอันดับต่างๆพากันลดอันดับเครดิตกันวุ่นวาย เริ่มด้วยมูดีส์ลดอันดับธนาคารใหญ่ของฝรั่งเศสสองแห่ง ต่อมามูดีส์ได้ลดอันดับธนาคารใหญ่ของสหรัฐอเมริกาสามแห่ง คือ ธนาคารแห่งอเมริกา (BOA) เวลส์ฟาร์โก และซีตี โดยเฉพาะ BOA ถูกลดอันดับถึงสองขั้น สาเหตุที่ลดอันดับธนาคารของสหรัฐอเมริกา มูดีส์ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะมีแนวโน้มว่าต่อไปทางการสหรัฐอเมริกาจะไม่อุ้มธนาคารแต่จะปล่อยให้ล้มไปเพราะเชื่อว่าจะไม่เกิดผลกระทบแบบโดมิโน (คือล้มไปตามๆกัน) และธนาคารที่ถูกลดอันดับเครดิตนี้อาจไม่สามารถเอาตัวรอดได้ถ้ารัฐไม่ช่วย

นอกจากนี้ มูดีส์ยังลดอันดับเครดิตพันธบัตรของสโลวีเนีย รวมทั้งเอสแอนด์พีลดอันดับตราสารหนี้ของธนาคารในอิตาลีถึง 7 แห่ง

เรื่องแปลกแต่จริง ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นฝั่งยุโรปปรับตัวลงไปมาก จนถึงวันนี้ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวลงไปราว -31% จากจุดยอดคลื่นใหญ่ที่ผ่านมา ส่วนเอเชียนั้นปรับตัวลดลงจากยอดคลื่นใหญ่ในช่วง -16% ถึง -25% แล้วแต่ประเทศ ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐอเมริกาซึ่งใช้เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาปรับตัวลงเพียง -15.6% ดังนั้นหากมองจากกราฟดัชนีตลาดหุ้น การที่เรามักได้ยินว่าตลาดหุ้นย่านเอเชียแข็งแรงนั้นอาจไม่เป็นเช่นนั้น แต่น่าจะเป็นว่าตลาดลงตามกันทุกภูมิภาคมากกว่า


สินค้าโภคภัณฑ์จะลงไปเท่าใด

ก่อนจะคุยกันเรื่องตลาดหุ้นมาดูตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กันก่อน ดังที่ลุงแมวน้ำปรับมุมมองตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหมดเป็นแนวโน้มขาลงตั้งแต่เดือนที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพลังงาน โลหะมีค่า โลหะอุตสาหกรรม และสินค้าเกษตร วันนี้เราลองมาดูกันว่าสินค้าโภคภัณฑ์จะไปลงมากน้อยเพียงใด


น้ำมันดิบ

มาดูที่ราคาน้ำมันดิบ WTI กันก่อน ดังภาพต่อไปนี้


ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงมาจากยอดคลื่นใหญ่ถึง -29.9% แล้ว ขณะนี้ยังจำแนกได้ยากว่าเราอยู่ในคลื่น C หรือคลื่น 5 กรณีที่กำลังอยู่ในคลื่น 5 ราคาน้ำมันดิบอาจปรับตัวลดลงไปถึง 65 ถึง 75 ดอลลาร์ สรอ/บาเรล จากนั้นขึ้นต่อเพื่อทำยอดคลื่น 5 แต่ก็ต้องระมัดระวังด้วยว่าคลื่น 5 นี้สามารถเป็นคลื่นล้มเหลว (failure wave หมายถึงคลื่นที่ยอดคลื่น 5 ต่ำกว่ายอดคลื่น 3) ได้

หากเป็นกรณีคลื่น C ราคาน้ำมันดิบอาจลงไปได้ถึง 35 ดอลลาร์ สรอ/บาเรล

ไม่ว่าจะเป็นคลื่น 5 หรือคลื่น C ก็ตาม ขณะนี้น่าจะกลับทิศแนวโน้มเป็นขาลงแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะคลื่นอะไรก็ยังคงต้องลงไปอีกช่วงหนึ่ง

ผลจากราคาน้ำมันที่ลดลงน่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจจริงโดยทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง ราคาสินค้าไม่ขยับขึ้น อัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้คงไม่ขึ้นไปกว่านี้ และราคาทองคำลดลง โดยทั่วไปเมื่อราคาน้ำมันดิบลดลง ราคาสินค้าเกษตรจะลดลงตามไปด้วย แต่ในปลายปีนี้เป็นต้นไป ไม่แน่ว่าราคาสินค้าเกษตรอาจสวนทางกับราคาน้ำมัน


ยางพารา

ราคายางพาราปรับตัวลงมาจากยอดคลื่นใหญ่เดิมถึง -32% แล้ว ดังภาพต่อไปนี้


จากภาพ ยังจำแนกคลื่นได้ยากว่าขณะนี้ยางพาราอยู่ในคลื่นใด ระหว่างคลื่น 4 หรือคลื่น A หากขณะนี้เป็นคลื่น 4 ราคายางพาราคงลงไปในช่วง 100 ถึง 120 บาท/กก แต่หากเป็นคลื่น A กว่าจะจบคลื่น C ราคายางพาราอาจลงไปได้ถึง 75 บาท/กก


สินค้าเกษตร

สินค้าเกษตรหมายถึงพืชผลการเกษตรที่เป็นอาหารการกิน ดัชนีสินค้าเกษตรขณะนี้ปรับตัวลดลงมาจากยอดคลื่นใหญ่เดิมถึง -17.8% แล้ว ดังภาพต่อไปนี้



ตอนนี้ลุงแมวน้ำถือว่าสินค้าเกษตรอยู่ในคลื่น 4 ไปก่อน แม้ว่าจะยังนับได้ไม่ชัดก็ตาม ปกติราคาสินค้าเกษตรจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมันดิบ หากราคาพลังงานลดลง ราคาสินค้าเกษตรก็ลดลง แต่ในระยะเวลาต่อไปข้างหน้านี้อาจเป็นข้อยกเว้น เนื่องจากแม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะลดลง แต่ผลผลิตสินค้าเกษตรอาจเสียหายมากจากความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ดังนั้นเป็นไปได้ที่เราอาจเข้าสู่ยุคน้ำมันไม่แพงแต่ข้าวยากหมากแพงได้

ลุงแมวน้ำประเมินว่าดัชนีสินค้าเกษตรอาจลงไปถึง 70 ถึง 75 จุด จากนั้นเข้าสู่คลื่น 5


ทองคำ

ทองคำแม้เป็นสินทรัพย์ต้านเงินเฟ้อ แต่ตัวมันเองก็ทำให้เกิดเงินเฟ้อได้หากมีราคาสูง ขณะนี้ทองคำมีดัชนีความผันผวน (volatility index, vi) ประมาณ 3.7% ซึงถือว่าสูง แต่ยังไม่มากมื่อเทียบกับราคาหุ้น แต่เรารู้สึกว่าทองคำผันผวนมากเนื่องจากทองคำมีราคาสูงนั่นเอง และหากเทียบกับความผันผวนของโลหะเงิน (vi = 7.3%) แล้วราคาทองคำยังผันผวนสู้โลหะเงินไม่ได้


ขณะนี้ทองคำมีสัญญาณกลับทิศแนวโน้มแล้วหลายประการ เช่น นับคลื่นย่อยได้ครบห้าลูก, เกิด bearish converence ระหว่างราคาทองคำกับ RSI, ราคาตัดทะลุกรอบ SEC ลงด้านล่าง, เกิดจุดยอดคลื่นที่ต่ำลง (lower peak), เกิดสัญญาณแท่งเทียนดำใหญ่ (big black candle), และได้ระดับ fibonacci อีกทั้งราคาลงมาจากยอดคลื่นใหญ่แล้ว -11.9% ดังนั้นแนวโน้มขาลงจึงมีน้ำหนักสูง

หากราคาทองคำเป็นแนวโน้มขาลงแล้ว คำถามที่สำคัญต่อมาคือขณะนี้ราคาทองคำอยู่ในคลื่นใหญ่ใด ลุงแมวน้ำอยากให้ดูในระดับคลื่นใหญ่เนื่องจากคลื่นใหญ่ส่งผลในระยะยาว 

หากจะพิจารณากันในระดับคลื่นใหญ่ คงต้องดูราคาทองคำกันตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน คือก่อน ค.ศ. 1770 ก่อนหน้านั้นราคาทองคำอยู่ในช่วง 20 ถึง 30 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์ หลัง ค.ศ. 1970 เป็นต้นมาราคาทองคำจึงผันผวนมากขึ้นและค่อยๆขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังภาพต่อไปนี้



จากภาพบน เป็นไปได้ว่าขณะนี้ราคาทองคำจบคลื่นใหญ่ 5 ไปแล้ว ขณะนี้เราอยู่ในคลื่นใหญ่ A หากเป็นกรณีนี้ กว่าจะจบคลื่น C ราคาทองคำอาจลงไปได้ถึง 750 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์ ซึ่งคงกินเวลานานหลายปีหรือหลายสิบปี

กับอีกกรณีหนึ่ง หากนับคลื่นแบบต่อไปนี้


ถ้านับแบบนี้ ราคาทองคำในขณะนี้น่าจะอยู่ในคลื่น 4 ซึ่งโดยทั่วไปแล้วคลื่น 4 เป็นคลื่นที่ผันผวน และต่อไปราคาจะผันผวนยิ่งไปกว่านี้ แม้เทรดตามสัญญาณเทคนิคก็อาจขาดทุนได้ เนื่องจากเกิดสัญญาณหลอกบ่อยครั้ง อีกทั้งราคาผันผวนแรงจนนักลงทุนถอดใจ

หากเป็นกรณีคลื่น 4 ราคาเป้าหมายของทองคำ น่าจะจบคลื่น 4 แถวๆ 1070 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์ หรืออย่างแย่ก็ 870 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์

หากมองในด้านสภาพเศรษฐกิจ หากเงินดอลลาร์ สรอ แข็งค่า ตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลงแรง นักลงทุนเสียหายและต้องการเงินสด เศรษฐกิจจริงหากเสียหายจากวิกฤติหนี้สาธารณะก็ทำให้กิจการต่างๆต้องการเงินสด ทำให้เกิดภาวะเงินตึง อีกทั้งน้ำมันดิบลด เงินเฟ้อลดลง ความต้องการทองคำน่าจะลดลงและหันไปหาดอลลาร์ สรอ มากกว่า



ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา

ดัชนีดาวโจนส์ขณะนี้ปรับตัวลดลงจากยอดคลื่น B ถึง -15.6% แล้ว ทำคลื่นย่อย 1-2 ไปแล้ว อีกไม่กี่วันนี้น่าจะเข้าสู่คลื่นย่อย 3 (สีน้ำตาล) ของคลื่น C ซึ่งน่าจะลงแรง ดังภาพต่อไปนี้



จากการวัดด้วยเทคเทคนิค fibonacci ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาอาจลงไปถึง 5,500 จุด (ดัชนีดาวโจนส์) ปกติคลื่น C มักลงเร็วและแรง แต่ปลายคลื่นลากหางยาว ดังนั้นขาลงแบบชันอาจกินเวลาไม่นาน เพียงปีหรือสองปี แต่หลังจากนั้นจะมีช่วงนิ่ง เปรียบเหมือนคนที่กลิ้งลงมาจากเขา เมื่อลงถึงเชิงเขาแล้วต้องสลบไปสักระยะหนึ่งจึงจะฟื้น เช่นเดียวกัน ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา รวมทั้งยุโรป ในช่วงต่อไปคงลงเร็วและแรง หลังจากนั้นอาจนิ่งไปนานนับปี รวมแล้วกว่าจะจบคลื่น 5 คงกินเวลาหลายปี


ตลาดหุ้นไทย

ลองดูกราฟ SETI ต่อไปนี้


จากภาพคงเห็นแล้วว่าคลื่นของตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยปกตินัก คือไม่ใช่รูปแบบพื้นฐาน ยากแก่การนับ แต่ลุงแมวน้ำคิดว่าในระดับคลื่นใหญ่ ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในคลื่นขาขึ้น เป็นคลื่น 5 (สีดำ) แต่แม้ว่าเป็นคลื่นใหญ่ขาขึ้น แต่ว่าขณะนี้คงเป็นคลื่นย่อยขาลง ขณะนี้ลุงแมวน้ำยังนับคลื่นย่อยไม่ถูก แต่ดัชนี SET ลงจากยอด 3 (สีน้ำเงิน) มา -16.3% แล้ว SETI อาจลงไปลึกได้ถึง 670 ถึง 780 จุด


อัตราแลกเปลี่ยน

มาดูค่าเงินกันบ้าง ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดอลลาร์ สรอ แข็งค่า เงินสกุลอื่นๆจึงอ่อนค่าไปหมด ยกเว้นเงินเยนที่ยังทรงตัวอยู่ แต่ในระยะต่อไป ดอลลาร์ สรอ จะแข็งค่าต่อไปอีก เงินสกุลอื่นๆน่าจะอ่อนค่าลง เงินบาทในที่สุดน่าจะอ่อนค่าและเกิน 31 บาท

ช่วงนี้ตลาดหุ้นคงผันผวนแต่เป็นทิศทางผันผวนลง ประกอบกับการประเมินว่าเศรษฐกิจจริงของยุโรปและสหรัฐอเมริกาคงเสียหายและกินเวลาอีกนานกว่าจะฟื้นตัวได้ ดังนั้นภาคเศรษฐกิจจริงของไทยคงกระทบกระเทือน ที่เริ่มเห็นแล้วก็คือกลุ่มอิเลกทรอนิกส์ เป็นต้น ต่อไปอัตราว่างงานของบ้านเราอาจสูงขึ้น นักลงทุนรายย่อยควรระมัดระวัง การดำเนินชีวิตในช่วงนี้ควรพยายามลดรายจ่าย พยายามอย่าก่อหนี้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เก็บเงินเอาไว้ดีกว่า เราไม่อาจรู้ได้ว่าวิกฤตนี้จะรุนแรงและยาวนานเพียงใด และจะส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจไทย รวมทั้งหน้าที่การงานของเรามากน้อยเพียงใดแม้ความเห็นนี้ในทางเศรษฐศาสตร์บอกว่าจะยิ่งทำให้เกิดผลเสีย เรียกว่าผลเสียของความมัธยัสถ์ (paradox of thrift) แต่ลุงแมวน้ำคิดว่าแต่ละคนคงต้องพึ่งตนเอง และการมัธยัสถ์อดออมก็เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถในการพึ่งตนเอง ในโอกาสต่อไปลุงแมวน้ำอาจคุยเรื่อง paradox of thrift แต่ขอเล่าเรื่องเปรอนให้จบเสียก่อน

การลดรายจ่ายเท่ากับเป็นการเพิ่มรายได้ การอยู่เฉยๆก็เท่ากับการลงทุนที่เกิดผลกำไรได้เช่นกัน






22/09/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 990.59 จุด ลดลง 39 จุด ปริมาณซื้อขาย 32,400 ล้านบาท (เปรียบเทียบกับเมื่อวานที่มีปริมาณซื้อขาย 17,400 บาทบาท) ต่างชาติขายสุทธิ 2,700 ล้านบาท

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย AOT, TPIPL ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 11 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อขายยางพารา (RSS3) ขณะนี้สินค้าเกษตรกลายเป็นแนวโน้มขาลงไปแล้วทั้งกลุ่ม ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงเปิดสัญญาขาย

วันนี้ตลาดหุ้นลงแรง แต่สังเกตว่าในระยะสั้นๆที่ผ่านมานี้หุ้นและฟิวเจอร์สมีสัญญาณขายเกิดขึ้นเพียงไม่กี่รายการ ที่เป็นเช่นนี้เพราะขณะนี้หุ้นและฟิวเจอร์สส่วนใหญ่เป็นสัญญาณขายอยู่แล้วนั่นเอง

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นทุกภูมิภาคปรับตัวลดอย่างรุนแรง เริ่มด้วยย่านเอเชียแปซิฟิกก่อนเพราะเป็นกลุ่มตลาดที่เปิดก่อนภูมิภาคอื่น จากนั้นตามด้วยส่วนตลาดยุโรปและอเมริกา ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มทวีปแอฟริกา ตลาดหุ้นในทุกภูมิภาคปรับตัวลดลงอยู่ในช่วง -2% ถึง -9% ที่ลงแรงที่สุดคืออินโดนีเซีย (-8.9%) รัสเซีย และชิลี ดัชนี MSCI All Country World (ดูแทนด้วย ACWI) -4.1% ดัชนี Dow Jones Global Index (W1DOW) -4.5% ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งไทยอยู่ในภาวะตื่นตระหนก ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีปริมาณซื้อขายด้านขาลงแล้ว แปลว่ายังลงได้อีก

ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลงแรง -6.3% ทองแดงอันเป็นโลหะอุตสาหกรรม -7.3% ทองคำ -3.7% ส่วนโลหะเงินลงแรงมาก -9.6%

เงินบาทอ่อนค่าจนเกิดสัญญาณขายแล้ว



Saturday, September 24, 2011

21/09/2011 * Operation Twist เมื่อเฟดปรับพอร์ตตราสารหนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ



วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,029.59 จุด เพิ่มขึ้น 3.31 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ DELTA ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 13 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อขายฝ้าย (CT) และมีสัญญาณซื้อ LH ขณะนี้สินค้าเกษตรกลายเป็นแนวโน้มขาลงไปแล้วทั้งกลุ่ม

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิก มีทั้งปิดบวกและปิดลบคละกัน ส่วนตลาดยุโรปนั้นปิดลบเป็นส่วนใหญ่จากเรื่องกังวลเดิมคือปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซและของประเทศอื่นๆในกลุ่มยูโรโซน ทางด้านสหรัฐอเมริกาเองนั้นในช่วงต้นตลาดและกลางตลาดมีการแกว่งตัวขึ้นลงตามปกติ แต่ในช่วงท้ายเวลาทำการของตลาดสหรัฐอเมริกา ธนาคารกลางของวหรัฐหรือเฟดก็ได้ประกาศใช้มาตรการ operation twist เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดดัชนีดาวโจนส์ (DJIA) ปิดตลาดโดยปรับตัวลดลงถึง 283 จุดหรือ -2.5%




Operation Twist เมื่อเฟดปรับพอร์ตตราสารหนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

วันนี้ในช่วงท้ายตลาดของสหรัฐอเมริกา ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา หรือ เฟด (FED) ได้ประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เรียกว่า operation twist โดยไม่ได้ใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินรอบสาม (QE3) เราลองมาดูกันว่า operation twist คืออะไร

ก่อนอื่นมาทบทวนเรื่องมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (quantitative easing, QE) หรือที่เรียกกันว่ามาตรการ QE กันก่อน มาตรการที่เรียกชื่อไพเราะว่ามาตรการผ่อนคลายทางการเงินนั้นเป็นมาตรการที่ธนาคารกลางของประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยเนื้อหาสาระหลักของมาตรการ QE นี้ก็คือพิมพ์เงินเพิ่มแล้วใส่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจโดยผ่านช่องทางระบบธนาคาร วิธีการของเฟดก็คือพิมพ์เงินเพิ่ม (อาจไม่ใช่การพิมพ์ธนบัตรเพิ่มจริงๆเพราะปัจจุบันใช้ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้ แต่นัยก็คือเพิ่มปริมาณเงินเข้าไปในระบบเสมือนกับการพิมพ์เงินเพิ่ม) แล้วนำเงินไปซื้อตราสารหนี้ที่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆถือครองอยู่ ผลก็คือธนาคารพาณิชย์จะมีเงินสดอยู่ในมือมากขึ้นอันเกิดจากการขายตราสารหนี้ให้แก่เฟด เฟดมีสมมติฐานว่าเมื่อธนาคารมีสภาพคล่องหรือว่ามีเงินสดมากขึ้นก็ย่อมจะปล่อยสินเชื่อแก่ประชาชนได้มากขึ้น เมื่อประชาชนขอสินเชื่อได้ก็จะมีเงินสดในครัวเรือนเอาไว้จับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เมื่อประชาชนมีเงินจับจ่าย เศรษฐกิจก็จะหมุนเวียนและในที่สุดจะพ้นจากสภาพเศรษฐกิจติดหล่มดังที่เป็นอยู่นี้ได้

มาตรการพิมพ์เงินเพิ่มใส่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจหรือมาตรการ QE นี้ส่งผลทำให้รัฐต้องขาดดุลงบประมาณ (เนื่องจากต้องทุ่มเงินไปซื้อพันธบัตร) และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น (เนื่องจากการพิมพ์เงินตราเพิ่มทำให้เงินตราด้อยค่าลง ผลก็คือเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น) ซึ่งเฟดคิดว่าต้องแลกกัน ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง หากจะกระตุ้นเศรษฐกิจก็ต้องยอมขาดดุลงบประมาณและยอมให้เงินเฟ้อ แต่ผลที่ได้ไม่เป็นไปตามคาด เงินเฟ้อเกิดขึ้นจริงแต่การกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นไม่ได้ผลเนื่องจากสภาพคล่องที่ธนาคารพาพาณิชย์มีเพิ่มขึ้นนั้นธนาคารเก็บเอาไว้เป็นส่วนใหญ่ การปล่อยสินเชื่อทำอย่างระมัดระวังมากเพราะเกรงหนี้เสีย ทำให้ปล่อยสินเชื่อได้น้อย ผลก็คือประชาชนยังไม่มีเงินสดไว้จับจ่าย ดังนั้นมาตรการ QE ทั้งรอบแรก (QE1) และรอบสอง (QE2) ก็ยังไม่สามารถเพิ่มอัตราการจ้างงาน รวมทั้งไม่สามารถฉุดเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ติดหล่มอยู่ให้ฟื้นขึ้นมาได้

หลังจากที่สิ้นสุดมาตรการ QE2 เศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น เฟดลังเลที่จะใช้มาตรการพิมพ์เงินเพิ่มรอบสามหรือว่า QE3 เพราะเกรงว่าจะไม่คุ้มค่าเหมือนเดิม นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องรัดเข็มขัดแล้วเนื่องจากปัญหาหนี้สาธารณะสูง จึงไม่สามารถทุ่มเงินเพื่อทำมาตรการ QE3 ได้อีก ดังนั้นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจที่เฟดพอจะใช้ได้ภายใต้ภาวะที่ต้องรัดเข็มขัดก็คือการใช้มาตรการที่เรียกว่า operation twist นั่นเอง

มาตรการ operation twist นั้นเป็นชื่อเรียกให้ฟังไพเราะ แต่ความหมายที่แท้จริงแล้วก็คือการปรับพอร์ตตราสารหนี้ของเฟดนั่นเอง

ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกานั้นก็มีพอร์ตตราสารหนี้อยู่ พอร์ตของเฟดมีไว้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ภายในพอร์ตประกอบด้วยตราสารหนี้ของรัฐอายุต่างๆ เช่น สามเดือน หกเดือน หนึ่งปี สามปี ห้าปี สิบปี สิบห้าปี และสามสิบปี ฯลฯ ตราสารหนี้แต่ละรุ่นอายุก็ให้ผลตอบแทนแตกต่างกัน สมมติเช่น ตราสารหนี้อายุหกเดือนให้ผลตอบแทน 0.01% ตราสารหนี้อายุสิบปีให้ผลตอบแทน 1.9% ตราสารหนี้อายุสามสิบปีให้ผลตอบแทน 2.9% เป็นต้น

จะเห็นว่าตราสารหนี้อายุยาวให้ผลตอบแทนกว่าตราสารหนี้อายุสั้น หากเปรียบตราสารหนี้เป็นหุ้นตัวหนึ่ง ตราสารหนี้อายุยาวสามสิบปีก็เปรียบได้กับหุ้นที่ราคาไม่แพงและจ่ายปันผลงาม ใครๆก็อยากซื้อเก็บไว้กินปันผล แต่ผลข้างเคียงที่ตามมาก็คือเงินลงทุนหรือว่าเงินต้นต้องนอนนิ่งอยู่นานนับสิบปีโดยไม่สามารถเอาไปใช้จ่ายได้ หากประชาชนถือตราสารหนี้อายุยาวกันมากๆ ในแง่ส่วนบุคคล เจ้าของเงินลงทุนก็จะรู้สึกว่าเงินนอนนิ่งปลอดภัย ไม่หายไปไหน อุ่นใจดี ในแต่เชิงเศรษฐกิจแล้วถือว่าเงินเหล่านี้เป็นเงินจม ไม่ก่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจเพราะไม่มีการนำไปใช้จ่าย

แนวคิดของเฟดก็คือเฟดต้องการกว้านซื้อตราสารหนี้อายุยาวมาเก็บไว้ให้มากขึ้นเพื่อกดอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อายุยาวให้ต่ำลง หากเปรียบเทียบกับหุ้นจะเข้าใจได้ง่ายกว่า สมมติว่าพันธบัตรอายุสามสิบปีเปรียบได้กับหุ้นชื่อ A ราคา 100 บาท และจ่ายปันผลรวมกันทั้งหมดตลอดสามสิบปีเป็นเงินรวมแล้ว 30 บาท กับตราสารหนี้อีกชนิดหนึ่งอายุสามปี เปรียบได้กับหุ้นชื่อ B ราคา 100 บาทและจ่ายปันผลรวมกันตลอดสามปีเป็นเงิน 2 บาท

ลุงแมวน้ำก็มองออกว่าลงทุนหุ้น A 100 บาทเป็นเวลาสามสิบปีแล้วได้ผลตอบแทน 30 บาท แต่หากมีใครที่อยากได้หุ้นตัวนี้ มากว้านซื้อในราคาสูง เช่น ยอมซื้อในราคาหุ้นละ 110 บาท หากลุงแมวน้ำยังต้องการได้หุ้น A ตัวนี้ก็ต้องยอมซื้อในราคาตลาด คือ 110 บาทเช่นกัน หรืออาจสูงกว่านั้นอีก

ลุงแมวน้ำมาคิดดูอีกที หากลงทุน 100 บาทแล้วได้ผลตอบแทน 30 บาทก็น่าสนใจ แต่หากจะให้ลงทุน 110 บาทแล้วได้ผลตอบแทน 30 บาทในเวลาอันยาวนานถึงสามสิบปี คิดไปคิดมาอาจจะไม่คุ้มเสียแล้ว อย่ากระนั้นเลย ลุงแมวน้ำไม่ซื้อหุ้นตัวนี้ดีกว่า เพราะไม่จูงใจแล้ว

ในขณะเดียวกัน หากมีใครที่ไม่อยากถือหุ้น B ยอมขายตัดราคา ไม่ขาย 100 บาทแล้ว แต่ขายในราคา 98 บาท หากหุ้น B มีราคา 100 บาทแล้วจ่ายผลตอบแทนตลอดสามปีเป็นเงิน 2 บาทอาจไม่น่าสนใจ แต่หากราคา 98 บาทแล้วจ่าย 2 บาทก็น่าสนใจมากขึ้น

ฉันใดก็ฉันนั้น การที่เฟดทุ่มซื้อพันธบัตรอายุยาวมาไว้ในพอร์ตจะทำให้ราคาซื้อขายตราสารหนี้อายุยาวในตลาดสูงขึ้น ผลตอบแทนก็จะไม่ดีเหมือนเดิม ประชาชนก็ไม่อยากได้เอาไว้ และในขณะเดียวกันเฟดระบายตราสารหนี้อายุสั้นออกมา ทำให้ราคาตราสารหนี้อายุสั้นในตลาดลดต่ำลง ดังนั้นเสมือนกับว่าตราสารหนี้อายุสั้นให้ผลตอบแทนมากขึ้น ทำให้ประชาชนเกิดความต้องการตราสารประเภทอายุสั้นมากขึ้น นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังขึ้นกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุยาวอีกด้วย ดังนั้น ผลรวมของการปรับพอร์ตตราสารหนี้ของเฟดที่คาดหวังเอาไว้ก็คือ ลดแรงจูงใจที่จะลงทุนในตราสารหนี้อายุยาวของประชาชน เพิ่มแรงจูงใจในการลงทุนในตราสารหนี้อายุสั้นๆ และกดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านให้ลดต่ำลง หากเป็นไปได้ตามนี้ เงินลงทุนจะไม่นอนนิ่งอยู่นาน แต่ต้องหมุนเวียนเปลี่ยนมือไปตามอายุตราสารหนี้ อีกทั้งลดแรงจูงใจในการออมระยะยาว หันมาจับจ่ายมากขึ้น หรืออาจนำไปลงทุนทางอื่นเพื่อให้มีผลตอบแทนมากขึ้น เช่น อาจนำไปลงทุนในหุ้น หรือลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์มาปล่อยเช่า หรืออย่างน้อยก็ทำให้เกิดการรีไฟแนนซ์สินเชื่อที่อยู่อาศัย ฯลฯ เท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ราคาอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัว เศรษฐกิจก็จะฟื้นได้ แต่ผลเสียก็มี เช่น ในผู้สูงอายุที่ต้องการเลี้ยงชีพจากดอกผล ไม่ต้องการให้เงินต้นมีความเสี่ยงจากการลงทุนประเภทอื่น หากพันธบัตรให้ผลตอบแทนต่ำคนเหล่านี้จะลำบากขึ้น เป็นต้น

มาตรการ operation twist นี้หากพูดด้วยภาษาวิชาการก็จะสรุปได้สั้นๆคือการปรับพอร์ตตราสารหนี้ของเฟดเพื่อทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนแบนราบลง (to flatten yield curve) นั่นเอง แสดงได้ด้วยภาพต่อไปนี้ (ตัวเลขอัตราผลตอบแทนในภาพเพียงเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างได้ชัด ไม่ใช่อัตราผลตอบแทนตลาดในขณะนี้)


หากเส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve) ชัน (เส้นประ) หมายถึงตราสารหนี้อายุยาวให้ผลตอบแทนดีกว่าตราสารหนี้ระยะสั้นมาก ประชาชนจะอยากออมและลงทุนในตราสารหนี้อายุยาว

หากเส้นอัตราผลตอบแทนไม่ชัน คือแบนหรือเกือบแบน (เส้นทึบ) ตราสารหนี้อายุยาวให้ผลตอบแทนดีกว่าตราสารหนี้อายุสั้นไม่มากนัก ทำให้ไม่จูงใจให้ลงทุน ลงทุนในตราสารหนี้อายุสั้นดีกว่า

เมื่อเฟดประกาศมาตรการนี้ ตลาดหุ้นน่าจะขึ้น ตามทฤษฎีควรจะเป็นแบบนั้น แต่ผลก็คือหลังจากเฟดประกาศตลาดหุ้นก็ลงแรง คงผิดคาดเฟด ขณะเดียวกัน yield curve แบนราบลงนิดหน่อยในทันทีทั้งๆที่เฟดแค่ประกาศ ยังไม่ทันได้ลงมือปฏิบัติ ดังภาพต่อไปนี้ เส้นเขียวคือเส้นอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้รัฐบาลของวันนี้ เปรียบเทียบกับเส้นสีส้มที่เป็นเส้นอัตราผลตอบแทนของเมื่อวาน



ที่เป็นเช่นนี้คงเป็นเพราะนักลงทุนขาดความมั่นใจในมาตรการของเฟด รวมทั้งนักลงทุนส่วนหนึ่งคงขายหุ้นเพื่อไปซื้อพันธบัตรระยะยาวไว้ก่อน เพื่อรอให้เฟดมากว้านซื้ออีกต่อหนึ่งนั่นเอง

เฟดเตรียมใช้วงเงิน 400,000 ล้านดอลลาร์ สรอ ในมาตรการนี้ โดยซื้อตราสารหนี้รัฐบาลที่มีอายุคงเหลือ 6 ถึง 30 ปีเป็นเงิน 400,000 ล้านดอลลาร์ สรอ และขายตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือไม่เกิน 3 ปีเป็นจำนวนเงินเท่าๆกัน และจะทยอยซื้อขายให้เสร็จสิ้นภายในมิถุนายน ปี 2012 ผลต่อตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ในวันนี้เป็นเพียงผลทางจิตวิทยา คือผลจากอารมณ์และความเชื่อมั่นเท่านั้น การที่จะเห็นผลในเชิงเศรษฐกิจจริงนั้นยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง





Friday, September 23, 2011

20/09/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,026.28 จุด เพิ่มขึ้น 9.09 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย MAKRO ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 12 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิก ยุโรป อเมริกามีทั้งปิดบวกและปิดลบคละกัน ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงได้แก่ตลาดหุ้นตุรกีและเยอรมนี



Tuesday, September 20, 2011

19/09/2011 * ตลาดลงโดยปริมาณซื้อขายน้อยแปลว่าลงไม่จริงกระนั้นหรือ, portfolio

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,017.19 จุด ลดลง 16.15 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BIGC, TRUE ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 13 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้เกิดสัญญาณขายทองคำ (GC) และน้ำมันดิบ (CL) ลุงแมวน้ำปรับมุมมองสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งกลุ่มเป็นแนวโน้มขาลงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตร พลังงาน โลหะอุตสาหกรรม และโลหะมีค่า ดังนั้นจึงปิดสัญญาซื้อและเปิดสัญญาขายไป

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิก ยุโรป อเมริกาปรับตัวลดลงทั้งสามภูมิภาค ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงไม่มี ส่วนตลาดที่ลงแรง ได้แก่ แอฟริกาใต้ ตามด้วยกลุ่มยุโรป ตลาดเอเชียที่ลงแรงคือฮ่องกง

มาดูพอร์ตลงทุนของลุงแมวน้ำกัน นี่เป็นผลการดำเนินงานของพอร์ตลงทุนจำลอง ซื้อขายทุกสัญญาณ (autotrade) ขาดทุนจากน้ำมันดิบอย่างหนัก ส่วน S50 ก็ไม่ค่อยดี




ตลาดลงโดยปริมาณซื้อขายน้อยแปลว่าลงไม่จริงกระนั้นหรือ


การลงทุนไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้ มีสำนักให้ยึดอย่างชัดเจนและหาความรู้ตามแนวทางของสำนักนั้นๆ เช่น สายเทคนิคก็หาความรู้ด้านการลงทุนด้วยปัจจัยทางเทคนิค สายปัจจัยพื้นฐานก็หาความรู้ในแนวปัจจัยพื้นฐาน การซื้อขายตามคำแนะนำของผู้อื่นโดยที่ตนเองไม่สามารถวินิจฉัยได้เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ

ที่ลุงแมวน้ำกล่าวเช่นนี้เพราะในขณะที่ตลาดผันผวนเช่นนี้ มีคำแนะนำแก่นักลงทุนรายย่อยต่างๆนานามากมาย ทั้งแนะนำให้ซื้อ แนะนำให้ขาย แนะนำให้อยู่เฉยๆ หากนักลงทุนไม่มีแนวทางของตนเองคงสับสน โดยเฉพาะในช่วงนี้มีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับวอลุมหรือปริมาณซื้อขายในตลาดว่ามีน้อย พร้อมทั้งคำแนะนำว่าหากปริมาณซื้อขายหดหายแปลว่าตลาดลงไม่จริง แบบนี้ซื้อได้ ฯลฯ

มาคุยกันในเรื่องปริมาณซื้อขายเพียงประเด็นเดียวก่อน ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคมีการนำวอลุมหรือปริมาณซื้อขายมาวิเคราะห์ด้วย โดยจะเห็นได้จากมีการพัฒนาอินดิเคเตอร์ที่เกี่ยวกับปริมาณซื้อขายอยู่หลายชนิด แต่สายปัจจัยทางเทคนิคบางคนก็ใช้ปริมาณซื้อขาย บางคนก็ไม่ใช้ อย่างลุงแมวน้ำเองปกติไม่ได้ใช้ แค่ใช้ดูประกอบบางช่วงเท่านั้น

จากประสบการณ์ของลุงแมวน้ำ ตลาดที่ปริมาณซื้อขายหดหายมี 3 แบบ คือ

ตลาดลงแล้วปริมาณซื้อขายน้อยลง แต่เมื่อตลาดขึ้นปริมาณซื้อขายจะตามมา แบบนี้
โดยทั่วไปเรียกว่าอาการตลาดไม่อยากลง เป็นเพราะส่วนใหญ่ยังมองขึ้นอยู่ ดังนั้นเมื่อตลาดลงจึงอยู่เฉยๆ รอตลาดขึ้นจึงเข้า

ตลาดขึ้นโดยมีรปิมาณซื้อขายน้อย แต่เมื่อตลาดลงปริมาณซื้อขายจะมากตามมา แบบนี้โดยทั่วไปเรียกว่าอาการตลาดไม่อยากขึ้น เป็นเพราะส่วนใหญ่มองทางขาลง เมื่อตลาดขึ้นจึงอยู่เฉยๆ

ตลาดมีปริมาณซื้อขายน้อยทั้งเมื่อยามตลาดขึ้นและตลาดลง แบบนี้คือทุกคนยังไม่รู้จะไปทางใด รอดูความชัดเจนก่อน

จากประสบการณ์ของลุงแมวน้ำ เท่าที่สังเกตมา ไม่ว่าตลาดขึ้นหรือลง หากปริมาณซื้อขายน้อย ไม่ได้หมายความว่าตลาดอยากไปอีกทางหนึ่งแล้วจะไปได้สำเร็จ สมมติเช่น เมื่อตลาดลงแล้วปริมาณซื้อขายน้อย ไม่ได้แปลว่าต่อไปตลาดจะขึ้นแน่ หากตลาดขึ้นแล้วปริมาณซื้อขายมากตามมาแล้วไปต่อได้ก็ถือว่าขึ้นได้สำเร็จก็ดีไป แต่ตลาดที่ลงโดยปริมาณซื้อขายน้อยนั้น เมื่อตลาดลงเรื่อยๆไปถึงระดับหนึ่ง นักลงทุนจะทนไม่ไหวและถอดใจ จากนั้นตัดใจขาย เมื่อนั้นปริมาณซื้อขายด้านขาลงจะตามมา สุดท้ายก็กลับกายเป็นแนวโน้มขาลงอย่างนี้ก็มี

ขาขึ้นที่ปริมาณซื้อขายน้อยก็เป็นตรงข้ามกัน เมื่อตลาดขึ้นจนถึงสูงถึงระดับหนึ่งแล้วปริมาณซื้อขายจะตามมาเอง ก็เป็นได้เหมือนกัน

ดังนั้นเรื่องที่ว่าขึ้นแล้วปริมาณซื้อขายต่ำคือขึ้นไม่จริง ลงแล้วปริมาณซื้อขายต่ำคือลงไม่จริง ไม่ใช่เรื่องแน่นอนเสมอไป นักลงทุนควรใช้ความรู้ด้านเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักมากกว่า หากเข้าใจและใช้ปริมาณซื้อขายประกอบเป็นจึงค่อยใช้



Monday, September 19, 2011

16/09/2011 * SET, agriculture, currencies

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,033.34 จุด ลดลง 2.87 จุด ตลาดหุ้นไทยไม่เป็นไปตามเพื่อนบ้าน

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 15 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้เกิดสัญญาณขายกาแฟ (KC) ส่วนยางพารา (RSS3) เกิดสัญญาณซื้อแต่เนื่องจากลุงแมวน้ำมองสินค้าเกษตรเป็นแนวโน้มขาลง จึงปิดสัญญาขายเท่านั้นโดยไม่เปิดสัญญาซื้อ

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิก ยุโรป อเมริกาส่วนใหญ่ปิดบวก ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงคือเกาหลีใต้ ส่วนตลาดหุ้นที่ลงแรงคือเวียดนาม

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา อารมณ์ตลาดหุ้นส่วนใหญ่จับอยู่ที่สถานการณ์หนี้สาธารณะในยุโรป โดยเฉพาะการทุ่มเงินเพื่อเข้าไปอุ้มประเทศกรีซให้รอดจากการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะช่วยให้ระบบธนาคารในยุโรปอยู่รอดปลอดภัยไปด้วย (เพราะหากพันธบัตรกรีซเป็นหนี้เสียจะมีธนาคารล้มตามมา) ตลาดหุ้นในยุโรปและสหรัฐอเมริกาปรับตัวเพิ่มขึ้นหลายวันติดต่อกันเนื่องจากการประชุมผู้นำยเยอรมนี ฝรั่งเศส และกรีซ ทำให้เกิดความหวังว่าชาติผู้นำในยุโรปจะช่วยเหลือกรีซต่อไป จึงเกิดปัจจัยบวกทางจิตวิทยา ส่วนตลาดย่านเอเชียปรับตัวขึ้นลงตามโลกฝั่งตะวันตก ยกเว้นไทยที่สัปดาห์นี้ไม่ค่อยตามเพื่อนบ้านและตามตลาดโลกนัก ส่วนเกาหลีใต้นั้นในช่วงที่ผ่านมาขึ้นลงแรงผิดสังเกต ผู้ที่ถือกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ควรใส่ใจติดตามค่า NAV อย่างสม่ำเสมอ

สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้น ในทางเทคนิค ดัชนี SETI เกิดช่องว่าง (gap) ขาลงหลายช่องซึ่งไม่สามารถดีดกลับไปปิดได้ ทำให้น้ำหนักของแนวโน้มขาลงมีมากยิ่งขึ้น



ทางด้านสินค้าเกษตร ดัชนีสินค้าเกษตร (DJUBSAG) และกองทุนอีทีเอฟ DBA รวมทั้งสินค้าเกษตรหลายชนิดเกิดสัญญาณขายไปแล้ว ช่วงนี้สินค้าเกษตรดูแปลก เนื่องจากกำลังก่อรูปแบบแนวโน้มขาขึ้น แต่จู่ๆก็ร่วงลงมา กลายเป็นว่าทำแนวโน้มขาขึ้นไม่สำเร็จ ลุงแมวน้ำยังประเมินเช่นเดิมว่าสินค้าเกษตรเป็นแนวโน้มขาลง ส่วนยางพารา RSS3 แม้ว่าขณะนี้มีสัญญาณซื้อ แต่ลุงแมวน้ำประเมินว่าในที่สุดคงเป็นไปตามแนวโน้มสินค้าเกษตรในภาพรวม คือเป็นแนวโน้มขาลง รอดูต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง



ทางด้านค่าเงิน ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดอลลาร์ สรอ แข็งค่าขึ้น แล้วย่อลงมาบ้าง ทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยนในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงค่อนข้างผันผวน แต่ลุงแมวน้ำมองว่าดอลลาร์ สรอ เป็นแนวโน้มขาขึ้นแล้ว เราคงไม่เห็นเงินบาทต่ำกว่า 30 บาท/ดอลลาร์ สรอ ไปอีกนาน อย่างน้อยก็หลายเดือน






15/09/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,036.21 จุด เพิ่มขึ้น 13.25 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย GLOW ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 15 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้เกิดสัญญญาณขายถั่วเหลือง (S) เนื่องจากลุงแมวน้ำปรับมุมมองสินค้าเกษตรเป็นแนวโน้มขาลงแล้ว ดังนั้นเมื่อมีสัญญาณขายถั่วเหลือง ลุงแมวน้ำจึงปิดสัญญาซื้อและเปิดสัญญาขายตามไป

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิก ยุโรป อเมริกาส่วนใหญ่ปิดบวก ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงส่วนใหญ่อยู่ในยุโรป เช่น สเปน อิตาลี สวีเดน โปแลนด์



14/09/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,022.96 จุด ลดลง 8.71 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BLA, BTS, CPALL, ROBINS, TOP ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 16 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ฟิวเจอร์สของไทยที่เกิดสัญญาณขายได้แก่ LH

ดัชนีสินค้าเกษตร (DJUBSAG) เกิดสัญญาณขาย

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกปิดแดงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนฝั่งยุโรปกับอเมริกาส่วนใหญ่ปิดเขียว ดัชนีตลาดหุ้นในยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นไปตามข่าวรายวัน ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงได้แก่ เยอรมนี สเปน อิตาลี ส่วนตลาดหุ้นที่ลงแรง ได้แก่ เกาหลีใต้



Thursday, September 15, 2011

13/09/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,031.67 จุด ลดลง 9.16 จุด ตลาดหุ้นไทยลงตามตลาดโลก ต่างชาติยังขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BCP, PS, TCAP, TISCO, TUF ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 21 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ฟิวเจอร์สของไทยที่เกิดสัญญาณขายได้แก่ QH

อีทีเอฟสินค้าเกษตร DBA เกิดสัญญาณขาย สินค้าเกษตรในระยะไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ปรับตัวลดลงวันละเล็กน้อยทุกวัน จนเกิดสัญญาณขาย

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกปิดคละกัน มีทั้งที่ปิดบวกและที่ปิดลบ ส่วนฝั่งยุโรปกับอเมริกาส่วนใหญ่ปิดบวก ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงได้แก่ตุรกี สเปน และอิตาลี ส่วนตลาดหุ้นที่ลงแรงได้แก่ไต้หวัน

ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในช่วงที่แคบลง อีกทั้งปริมาณซื้อขายประจำวันไม่สูง แสดงว่านักลงทุนยังรีรอดูสถานการณ์ แต่วันใดที่ดัชนีขึ้นแรงหรือลงแรง และปริมาณซื้อขายประจำวันไปถึงสี่หมื่นล้านบาทหรือมากกว่า แสดงว่าแนวโน้มคงไปในทิศทางนั้น  คิดว่าอีกไม่นานคงเห็นทิศทางของแนวโน้ม


Tuesday, September 13, 2011

12/09/2011 * S50, RSS3, GC, 10 yr US bond yield, Currencies

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,040.83 จุด ลดลง 21.54 จุด ตลาดหุ้นไทยลงตามตลาดโลก ต่างชาติยังขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง SETI เกิดสัญญาณขายหลังจากที่เกิดสัญญาณซื้อได้เพียง 2 วัน

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย SCB ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 26 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ฟิวเจอร์สของไทยที่เกิดสัญญาณขายได้แก่ S50, SCB, TTA ส่วนฟิวเจอร์สต่างประเทศที่เกิดสัญญาณขายคือโลหะเงิน (SI)

อีทีเอฟ TDEX เกิดสัญญาณขาย

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นแดงทั่วโลกอันเนื่องจากปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะของยุโรป เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกลางของสหภาพยุโรป (ECB) ลาออก สะท้อนถึงความขัดแย้งภายใน ต่อมาในช่วงสุดสัปดาห์ สำนักข่าวบลูมเบิร์กเผยแพร่ข่าวว่าบริษัทจัดอันดับเครดิตมูดีส์อาจปรับลดอันดับเครดิตธนาคารใหญ่ของฝรั่งเศสถึง 3 แห่งด้วยกัน จากนั้นก็ตามมาด้วยข่าวทางการเยอรมนีเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์ของเยอรมนีหากเกิดปัญหาจากการผิดนัดชำระหนี้ของพันธบัตรรัฐบาลกรีซ ซึ่งเหมือนกับบอกใบ้ว่าพันธบัตรรัฐบาลกรีซคงผิดนัดชำระหนี้แน่ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงแรงในวันนี้ รวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย

สำหรับตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกานั้นก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน ต่อมาตอนท้ายตลาดมีข่าวว่าจีนจะซื้อพันธบัตรของอิตาลี ดัชนีดาวโจนส์จึงสามารถปิดบวกได้ด้วยแรงซื้อในตอนท้ายตลาด

ตลาดหุ้นทั่วโลกหวั่นไหวไปกับข่าวสารต่างๆ ทำให้หุ้นขึ้นลงอย่างผันผวน วันนี้ตลาดหุ้นที่ลงแรงมีหลายประเทศ ส่วนใหญ่เป็นประเทศในยุโรป ทางฝั่งเอเชียที่ลงแรงก็เช่นฮ่องกง สิงคโปร์ การเทรดโดยอิงกับข่าวสารรายวันทำได้ยากเพราะไม่มีใครติดตามข่าวได้ทั้งหมด ลองมาดูปัจจัยทางเทคนิคกันดูบ้าง


ตลาดหุ้นไทยแม้จะมีดัชนีความผันผวน (volatility index) ไม่สูงมากนัก แต่ก็เกิดสัญญาณหลอกติดกันหลายครั้ง ระบบ PnT 1.10 เกิดสัญญาณหลอก (false signal) ไป 9 ครั้งแล้ว ยังไม่เกิดแนวโน้มเสียที ปริมาณซื้อขายในแต่ละวันไม่สูงนัก SET50 แกว่งตัวขึ้นลงในช่วง 700 กว่า ไม่ไปไหน แสดงว่านักลงทุนยังรีรอดูความชัดเจนอยู่



ทางด้านยางพารา (RSS3) แกว่งตัวในกรอบที่แคบลงเรื่อยๆ ราคากำลังเดินเข้าสู่ปลายสามเหลี่ยมชายธง ปริมาณซื้อขายลดลงไปมาก ยังดีที่เกิดสัญญาณหลอกน้อยครั้ง รอให้หลุดปลายชายธงคงจะเห็นแนวโน้มชัด แต่ลุงแมวน้ำประเมินว่าแนวโน้มขาลงเป็นไปได้มากกว่า



อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา อายุ 10 ปี (10 yr US bond yield) ลงต่ำกว่า 2.0% เป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี อัตราผลตอบแทนที่ลดต่ำเช่นนี้ตีความได้ว่านักลงทุนต้องการซื้อพันธบัตรมาก พันธบัตรมักเป็นที่ต้องการในยามที่ตลาดหุ้นตกต่ำ



ดัชนีดอลลาร์ สรอ (DX) พุ่งขึ้นอย่างแรง รูปแบบคล้ายเป็นคลื่น 1 หากเป็นคลื่น 1 จริงค่าเงินดอลลาร์ สรอ ยังขึ้นได้อีกไกล แต่เร็วๆนี้จะร่วงลงมาเพื่อทำคลื่น 2 เสียก่อน



ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปดูจะลุกลามมากยิ่งขึ้น เงินยูโรอ่อนค่าเป็นประวัติการณ์ เงินดอลลาร์ สรอ แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เงินตราสกุลอื่นๆจึงอ่อนค่าลง ประกอบการธนาคารกลางของหลายชาติแทรกแซงค่าเงินของตนองไม่ให้แข็งเกินไป เพราะจะกระทบกับการส่งออก เช่น สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ขณะนี้ทองคำยังเป็นเงินตราสกุลที่แข็งที่สุดอยู่ รองลงมาคือเงินเยน ฟรังก์สวิส และดอลลาร์ออสเตรเลีย



ราคาทองคำ (GC) แกว่งตัวแรง ค่า vi สูงขึ้นเรื่อยๆ ตลาดหุ้นตก ดอลลาร์ สรอ เป็นแนวโน้มขาขึ้น ผลตอบแทนพันธบัตรตกต่ำ เหล่านี้ส่อให้เห็นว่านักลงทุนต้องการถือครองเงินสดและพันธบัตรมากกว่าหุ้นหรือสินค้าโภคภัณฑ์อันเป็นสินทรัพย์เสี่ยง ปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้ทองคำอาจกลับทิศแนวโน้มได้