Thursday, December 30, 2010

29/12/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1034.59 จุด เพิ่มขึ้น 6.26 จุด SET50 เกิดสัญญาณซื้อ

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้่อ PTTCH ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 30 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อทองคำ GC ลุงแมวน้ำจึงเปิดสัญญาซื้อไป

กองทุนอีทีเอฟ TDEX เกิดสัญญาณซื้อ

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ปิดบวกเล็กน้อย

Wednesday, December 29, 2010

28/12/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1028.33 จุด เพิ่มขึ้น 8.87 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย THAI และเกิดสัญญาณซื้่อ TTW ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 29 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายข้าว WBR5

กองทุนอีทีเอฟทองคำ GLD ของตลาดสหรัฐอเมริกาเกิดสัญญาณซื้อ

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ตลาดลอนดอนหยุดทำการ ดัชนี FTSE100 ที่เห็นเป็นดัชนีของวันก่อนหน้า ตลาดจีนยังลงแรงอยู่และลงต่อเนื่องมาระยะหนึ่งแล้ว ส่วนตลาดอื่นขึ้นลงไม่มากนัก

ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลหยุดยาว ตลาดหุ้นทั่วโลกแม้มีการขึ้นลงแต่ปริมาณซื้อขายน้อยกว่าปกติ หลังจากปีใหม่เมื่อเฉลิมฉลองกันเสร็จแล้วคงเห็นทิศทางได้ชัดเจนขึ้น และหากไม่มีอะไรผิดคาด ลุงแมวน้ำคงสามารถปรับปรุงเว็บบล็อกและนำรายงานรุ่นใหม่ออกมาใช้ได้ทันต้อนรับปีใหม่

27/12/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1019.46 จุด ลดลง 2.53 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย CPN ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 29 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ตลาดสำคัญหยุดหลายตลาดเนื่องในเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ตลาดเยอรมนี จีน บราซิล ลงแรงหน่อย ส่วนตลาดอื่นขึ้นนิดลงหน่อย

Monday, December 27, 2010

24/12/2010 * การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (DCA หรือ BCA) (6)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1021.99 จุด เพิ่มขึ้น 0.72 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ CPF, DTAC ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 30 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย วันนี้ตลาดสำคัญหยุดหลายตลาดเนื่องในเทศกาลคริสต์มาส รวมทั้งตลาดสหรัฐอเมริกา

การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (DCA หรือ BCA) (6)


จากที่เมื่อวานเราติดตามพอร์ตการลงทุนแบบเฉลี่ยนต้นทุนหรือ BCA ของลุงแมวน้ำที่ออมมา 14 ปี จนเพิ่งจะมามีกำไรในปี พ.ศ. 2550 (2007) จากนั้นก็กลับมาขาดทุนหลายหมื่นบาทอีกในปีถัดมาคือปี พ.ศ. 2551 (2008) ถ้าหากไม่ถอดใจสิ้นหวัง ออมต่อมาอีก หากนับจนถึงปีปัจจุบัน 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 (2010) (วันดังกล่าวไม่มีความหมายอะไรพิเศษ เพียงแต่ว่าลุงแมวน้ำทำข้อมูลเอาไว้ถึงวันนั้นเท่านั้นเอง) ที่ดัชนี 1,088.77 จุด ลุงแมวน้ำออมเงินทุกเดือน ซื้อหุ้นเดือนละ 1,000 บาท คิดเป็นเงินที่ซื้อหุ้นไว้ทั้งสิ้น 204,000 บาท และพอร์ตของลุงแมวน้ำมีกำไร 172,507 บาท หรือคิดเป็นผลตอบแทน 84.6%

ผลตอบแทนในระดับ 172,507 บาท หรือ 84.6% นี้อาจต้องแลกมาด้วยความรู้สึกกังวลและใจหายใจคว่ำมาตลอด 17 ปี และหากยังออมต่อไปอีกก็คงใจหายใจคว่ำต่อไปอีกเนื่องจากขนาดมีกำไรแสนกว่าบาทยังพลิกกลับมาขาดทุนได้ในปีถัดไป ไม่รู้เหมือนกันว่าปีหน้าปีโน้นจะเกิดอะไรขึ้น และกำไร 84.6% นี้จะยั่งยืนไปได้นานเท่าไร

ผลตอบแทนในระดับนี้หากคิดเปรียบเทียบกับการฝากเงินแบบสะสมทรัพย์ทุกเดือน เดือนละ 1,000 บาท หากได้รับอัตราดอกเบี้ย 5.5% ต่อปีและคิดดอกเบี้ยทบต้นให้ทุกเดือน เมื่อฝากเงินพร้อมๆกับที่เริ่มออมหุ้นเมื่อ 17 ปีก่อน มาจนถึงปัจจุบันก็ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกัน อีกทั้งไม่ต้องใจหายใจคว่ำอีกด้วย อัตราดอกเบี้ยในระดับ 5.5% ก็ใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร ดังนั้นจึงสรุปว่าเฉพาะในกรณีที่ยกมานี้หากออมเป็นพันธบัตรก็ได้ผลตอบแทนพอๆกันแต่น่าจะสบายใจกว่าไม่ต้องเครียด

ก่อนจะอ่านต่อไป ลุงแมวน้ำอยากตั้งคำถามให้เพื่อนนักลงทุนลองตอบดู คำถามของลุงแมวน้ำก็คือ จากตัวอย่างการลงทุนแบบ BCA ที่ยกมาให้ดูนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ถึง 2553 หากท่านต้องการขายหุ้นที่ออมไว้ออกไป ท่านจะขายอย่างไร จะขายเมื่อไร จะขายจำนวนเท่าไร และเหตุผลที่ขายคืออะไร ลองตอบตนเองดูก่อนจากนั้นจึงค่อยอ่านต่อไป


ทีนี้เอาใหม่ สมมติกันใหม่ว่าเริ่มออมหุ้นหรือซื้อหุ้นแบบเฉลี่ยต้นทุนเดือนละ 1,000 บาท เริ่มตั้งแต่ 30 ธันวาคม 2548 (2005) จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2553 ลุงแมวน้ำจะมีเงินลงทุน (เงินต้น) อยู่ 60,000 บาท และได้ผลตอบแทนจากการลงทุน 28,126 บาท หรือคิดเป็น 46.9% กราฟของผลตอบแทนแสดงไว้ในภาพต่อไปนี้




จากกราฟจะเห็นว่าในปี 2008 ก็มีช่วงที่ขาดทุนอยู่เหมือนกัน แต่หากเป็นกรณีนี้แล้วการออมแบบเฉลี่ยต้นทุนดูจะให้ผลตอบแทนที่น่าชื่นใจเนื่องจากช่วงเวลาการออมประมาณ 5 ปี ให้ผลตอบแทน 46.9% อีกทั้งในช่วงของการออมก็คงมีภาวะกดดันทางจิตใจไม่มากนัก มีเพียงช่วงปีเดียวที่หุ้นกลับเป็นขาลงเท่านั้น ถ้าเป็นในกรณีนี้การออมด้วยวิธี BCA ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากธนาคารหรือลงทุนในหุ้นกู้ พันธบัตรมากเลยทีเดียว

จากตัวอย่างการลงทุนแบบ BCA ที่ยกมาให้ดูทั้งสองกรณี คงพอทำให้เข้าใจเหตุผลกันแล้วว่าเหตุใดลุงแมวน้ำจึงบอกว่าผลการลงทุนแบบนี้อาจเป็นภาพลวงตาได้ เนื่องจากขึ้นกับว่าเริ่มลงทุนในช่วงใดและคำนวณผลตอบแทนแทนช่วงใด ซึ่งผลตอบแทนที่คำนวณได้อาจเป็นไปได้ต่างๆนานา ดังนั้นหากจะพิจารณาการลงทุนแบบ BCA จึงไม่ควรติดยึดอยู่ที่อัตราผลตอบแทนที่เห็น แต่ควรเข้าใจธรรมชาติของการลงทุนแบบนี้อย่างแท้จริงว่าเป็นอย่างไร

แนวคิดสำนัก BCA นั้นมีหลักที่แตกต่างจากสำนักการลงทุนอย่างเป็นระบบโดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค กล่าวคือ แนวคิดแบบการลงทุนเป็นระบบฯนั้นถือการหยุดยั้งความเสียหายเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ในการลงทุนต้องมีจุดหยุดความเสียหายหรือที่เรียกว่าจุด STOP LOSS เสมอ หากราคาต่ำกว่าจุดดังกล่าวจำเป็นต้องขายหุ้นออกไปเพื่อยับยั้งความเสียหายเนื่องจากเราไม่รู้ว่าหุ้นจะลงไปจนถึงเท่าใด หากถือต่อไปยิ่งลงมากก็ยิ่งเสียหายหนัก ส่วนแนวคิดแบบ BCA นั้นมองหุ้นขาลงเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้ซื้อหุ้นได้ในจำนวนที่มากขึ้น

ลองดูภาพต่อไปนี้ ภาพนี้เป็นภาพดัชนี SET และส่วนของเส้นที่เป็นสีเขียวหมายถึงสัญญาณซื้อ และส่วนสีแดงหมายถึงสัญญาณขาย ปกติแล้วเมื่อเกิดสีแดงขึ้นนักลงทุนที่ใช้การลงทุนอย่างเป็นระบบด้วยสัญญาณซื้อขายจะขายหุ้นทันที และตราบใดที่เส้นยังคงเป็นสีแดงอยู่ช่วงนั้นจะไม่มีการซื้อหุ้น จะซื้อก็ต่อเมื่อเกิดสัญญาณสีเขียว และตราบใดที่เส้นยังเป็นสีเขียวอยู่ก็จะยังไม่มีการขายหุ้น แต่จะถือไปเรื่อยๆ




ส่วนแนวคิดแบบ BCA นั้นไม่มีจุดหยุดยั้งความเสียหาย หุ้นตกเท่าใดก็ซื้อไปเรื่อยๆทุกเดือน ขึ้นก็ซื้อ ลงก็ซื้อ

จากที่กล่าวมาแล้ว พอสรุปได้ว่าจุดแข็งของการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนก็คือ
  1. สร้างวินัยการออม
  2. เมื่อหุ้นตก เงินก้อนที่เท่ากัน หากซื้อหุ้นตอนราคาตกจะทำให้ได้จำนวนหุ้นมากขึ้น
  3. การเฉลี่ยต้นทุนจะทำให้หุ้นที่ถืออยู่มีต้นทุนไม่สูงนัก

ส่วนจุดอ่อนนั้นลุงแมวน้ำพอสรุปได้ดังนี้
  1. การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนมีสมมติฐานว่าเงินทุนไม่จำกัด จะเหนื่อย จะล้า หรือจะหมดเงินไม่ได้ เพราะกระบวนการออมจะสะดุด
  2. แนวคิดนี้ไม่ได้พูดถึงกรณีเลวร้าย ว่าหากหุ้นตกเป็นระยะเวลานานๆจะเกิดอะไรขึ้นหรือควรทำอย่างไร ที่ลุงแมวน้ำยกกรณีออมหุ้นปี 2536 มานั้นหลายคนอาจคิดว่าลุงแมวน้ำมองโลกในแง่ร้าย เนื่องจากจงใจไปซื้อเอาที่ยอดดอยพอดี ใครจะโชคร้ายได้ขนาดนั้น แต่โชคร้ายนี้อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคนเพราะตลาดหุ้นไม่มีอะไรแน่นอน อีกทั้งพระท่านว่าสรรพสิ่งเป็นอนิจจังหรือไม่เที่ยง หากใช้วิธี BCA นี้กับการออมหุ้นในตลาดหุ้นญี่ปุ่นอาการจะหนักยิ่งกว่าหุ้นไทยเสียอีกเนื่องจากตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นขาลงต่อเนื่องมา 20 ปีแล้ว
  3. วิธีเฉลี่ยต้นทุนนี้บอกแต่ระบบการซื้อหุ้น แต่ไม่ได้บอกวิธีการขายเอาไว้ด้วยว่าควรขายเท่าไร เมื่อไร และอย่างไร เนื่องจากการมีผลตอบแทนการลงทุนที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับจังหวะการซื้อหรือว่าต้นทุนที่ซื้อเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่จังหวะการขายและวิธีการขายด้วย
  4. การขายหุ้นที่ออมด้วยวิธีเฉลี่ยต้นทุนนั้น หากขายทั้งหมดในคราวเดียวกันการคำนวณก็ยังไม่ยุ่งยากนัก แต่หากขายเพียงส่วนเดียว ส่วนที่เหลือเก็บเอาไว้ และยังมีการออมหุ้นต่อไปอีก วิธีการคำนวณจะซับซ้อน หากคำนวณผิดก็อาจทำให้เข้าใจผิดและรับรู้ผลตอบแทนการลงทุนอย่างผิดๆได้

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนที่มีชื่อเรียกกันหลายชื่อ ไม่ว่าจะเรียกว่า dollar cost averaging, dollar cost average, baht cost averaging, baht cost average, DCA, BCA ก็คือเรื่องเดียวกันทั้งสิ้น หวังว่าคงเป็นประโยชน์ตามสมควร หากคิดลงทุน ไม่ว่าจะใช้แนวคิดของสำนักใดหรือวิธีการอะไร นักลงทุนต้องศึกษาวิธีการเหล่านั้นมาเป็นอย่างดีก่อนจึงจะลงทุน อย่าลงทุนเพราะใครเขาว่าดี อย่าลงทุนเพราะเห็นการแสดงตัวเลขประกอบที่งดงามเพราะตัวเลขนั้นอาจเป็นภาพลวงตาได้ รวมทั้งอย่าเลือกลงทุนในวิธีใดเพราะคิดว่าวิธีนั้นเหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีความรู้ การลงทุนต้องลงทุนเพราะว่ามีความรู้ ไม่ใช่ลงทุนเพราะว่าไม่มีความรู้ มิฉะนั้นอาจพลาดพลั้งได้




Friday, December 24, 2010

23/12/2010 * currencies, การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (DCA หรือ BCA) (5)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1021.27 จุด เพิ่มขึ้น 2.13 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ GLOW และมีสัญญาณขาย PTTEP ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 28 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดสำคัญทั่วโลกที่มีอยู่ในรายงานส่วนใหญ่ปิดแบบเขียวนิดแดงหน่อยเช่นเมื่อวาน ไม่มีอะไรน่าหวือหวา น่าจะเป็นเพราะใกล้ช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่เป็นวันหยุดยาว ทุกคนเตรียมตัวพักผ่อน ทุกอย่างจึงดูทรงๆเพื่อรอให้ผ่านช่วงเทศกาลไปก่อน ส่วนดัชนีของจีนและหั่งเส็งของฮ่องกงยังลงต่อแต่ว่าไม่แรงนัก

ทางด้านค่าเงิน ช่วงนี้ค่าเงินดอลลาร์ สรอ ค่อยๆแข็งค่าขึ้น เมื่อดูจากรูปแบบทางเทคนิคแล้วน่าจะยังไปต่อได้อีก ส่วนค่าเงินสกุลอื่นๆรวมทั้งทองคำก็อ่อนค่าลงผกผันกับค่าเงินดอลลาร์ เงินดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) กับดอลลาร์แคนาดา (CAD) อ่อนค่าลงไม่มาก ผกผันกับดอลลาร์ สรอ ค่อนข้างน้อย ส่วนเงินยูโร (EUR) กับเงินปอนด์ของอังกฤษ (GBP) อ่อนค่าลงค่อนข้างเร็วและแรง




การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (DCA หรือ BCA) (5)

เมื่อวานลุงแมวน้ำคำนวณพอร์ตลงทุนที่ออมหุ้นด้วยวิธีเฉลี่ยต้นทุน (BCA) โดยออมเดือนละ 1,000 บาททุกเดือนจนเวลาผ่านไป 4 ปี พอร์ตของลุงแมวน้ำขาดทุนไป 61% เงินต้นที่ลงไป 49,000 บาทเหลืออยู่เพียง 19,000 บาทเนื่องจากดัชนีหุ้นเป็นขาลงมาโดยตลอด 4 ปี ดัชนีไหลจาก 1682.85 จุด จนเหลือ 372.69 จุด ซึ่งลุงแมวน้ำก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมีสักกี่คนที่อดทนต่อความกดดันทางจิตใจและรักษาวินัยเอาไว้ได้ หรือถึงแม้รักษาวินัยการออมเอาไว้ได้ลุงแมวน้ำก็ไม่แน่ใจว่าจะคุ้มกับสุขภาพจิตที่เสียไปหรือไม่

ทีนี้สมมติว่าลุงแมวน้ำอดทนออมมาได้ตลอดจนถึงปัจจุบัน คือเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553 (2010) ลองมาดูการสรุปพอร์ตในปลายปีแต่ละปีกันว่าในแต่ละปีพอร์ตของลุงแมวน้ำมีกำไรสะสมหรือขาดทุนสะสมเท่าไร ข้อมูลสรุปของแต่ละปีจะประกอบด้วย ปี ค.ศ. กำไร/ขาดทุนสะสมคิดเป็นจำนวนเงิน และกำไร/ขาดทุนสะสมคิดเป็นร้อยละ



และหากนำมาพล็อตเป็นกราฟกำไร/ขาดทุนสะสมเทียบกับดัชนี SET ก็จะได้เป็นภาพดังนี้



จะเห็นว่าพอร์ตของลุงแมวน้ำขาดทุนอย่างหนักมาจนถึงปี พ.ศ. 2543 (2000) คิดเป็นเวลาการออม 7 ปี หลังจากนั้นพอร์ตของลุงแมวน้ำจึงเริ่มขาดทุนน้อยลง (ยังขาดทุนอยู่แต่ว่าขาดทุนน้อยลง) จากนั้นในปี 2546 (2003) จึงเป็นปีแรกที่พอร์ตเริ่มมีกำไร ซึ่งเท่ากับว่าออมมาแล้ว 10 ปีจึงเริ่มมีกำไร

และที่น่าสังเกตอย่างยิ่งก็คือในปี 2550 (2007) เป็นปีที่พอร์ตของลุงแมวน้ำกลับมาทำกำไรได้ถึง 62% หรือคิดเป็นเิงินกำไรถึงแสนกว่าบาท ดัชนี SET ไปถึงระดับ 900 กว่าจุด แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ดัชนีจึงไหลลงไปอยู่ที่ระดับ 400 กว่าจุดในปี 2551 (2008) พอร์ตของลุงแมวน้ำที่กำไรอยู่แสนกว่าบาทกลับไปขาดทุนถึงเกือบ 30,000 บาท ซึ่งเหตุการณ์นี้เปรียบได้กับคนที่ชีวิตล้มลุกคลุกคลานมาตลอด 14 ปีแห่งการออม พอถึงคราวจะลืมตาอ้าปากได้บ้างเคราะห์กรรมก็มาซ้ำเติมจนล้มลงไปอีกครั้งหนึ่ง จะมีสักกี่คนที่จะทำใจยอมรับได้ว่าการออม 14 ปีที่ผ่านมาไม่เกิดผลและเหมือนกับว่าต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง (อย่าเพิ่งดูกราฟไปถึงปี 2009, 2010)

(โปรดติดตามตอนสุดท้ายในวันถัดไป ลุงแมวน้ำจะนำพอร์ตการออมแบบเฉลี่ยต้นทุนที่มีกำไรมาให้ดู)



Thursday, December 23, 2010

22/12/2010 * การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (DCA หรือ BCA) (4)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1019.14 จุด เพิ่มขึ้น 5.95 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BH, KSL ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 28 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดสำคัญทั่วโลกที่มีอยู่ในรายงานส่วนใหญ่ปิดแบบเขียวนิดแดงหน่อย ไม่มีอะไรน่าหวือหวา ยกเว้นจีนที่ปิดลงลงประมาณ 1%

การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (DCA หรือ BCA) (4)

หลังจากที่ลุงแมวน้ำซืิื้อหุ้นต้อนรับปีใหม่ไปเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2536 วันนั้น SETI ปิดที่ 1682.85 จุด ลุงแมวน้ำก็กลับไปฉลองปีใหม่ที่คณะละครสัตว์และผ่านช่วงเทศกาลปีใหม่ด้วยฝันหวานว่าเงินของลุงแมวน้ำจะได้ทำงานและให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ

หลังจากผ่านเทศกาลปีใหม่มา ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2537 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยก็ได้ทำสถิติคือทำจุดสูงสุดใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือดัชนี SET ปิดที่ 1753.73 จุด ดัชนีวิ่งขึ้นไปอีกถึง 70 จุดภายในวันเดียวหลังจากที่ลุงแมวน้ำลงทุน

“เห็นไหม ลุงแมวน้ำ บอกแล้วว่ามันหมูขนาดไหน ปาเป้ายังยากกว่า” ลิงชิมแปนซีคุยอย่างดีใจเพราะหุ้นของลิงเองก็ขึ้นเช่นกัน

5 มกราคม 2537 (1994) เป็นวันที่ลุงแมวน้ำยังได้เห็นดัชนีในระดับกว่า 1700 จุดอยู่ แต่หลังจากนั้นมาดัชนี SET ก็ร่วงเอาๆ บางวันลงไปถึง 90 จุด

12 มกราคม 2537 ดัชนีหล่นลงไปอยู่ที่ระดับ 1400 กว่าจุด ลุงแมวน้ำขาดทุนไปแล้วเกว่า 200 จุด จึงรีบไปหาลิงชิมแปนซีด้วยความร้อนใจ

“นี่ นายลิงชิมแปนซี ทำไมหุ้นมันถึงได้ร่วงเอาๆขนาดนี้ล่ะ” ลุงแมวน้ำถามด้วยความกังวล เงิน 1000 บาทที่ลงทุนเอาไว้ตอนนี้หดหายไปโข

“ดูๆไปก่อนน่าลุง” ลิงตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ดูลิงเองก็กังวลไม่แพ้กันเนื่องจากยังถือหุ้นเอาไว้ไม่ได้ขาย “จะให้มันขึ้นทุกวันได้ยังไง ก็ต้องปรับฐานบ้างสิ”

31 มกราคม 2537 ดัชนี SET อยู่ที่ระดับ 1493.45 จุด ลิงชิมแปนซีถนนถือหุ้นต่อไปไม่ไหวเนื่องจากขาดทุนไปมากอีกทั้งรอมาหนึ่งเดือนแล้วก็ยังไม่รีบาวด์ จึงตัดสินใจขายทำขาดทุน (ไมใช่ขายทำกำไร) ไป

“เสียดายไม่ได้ใช้วิธี BCA แบบลุง” ลิงพูดกับลุงแมวน้ำ “ซื้อเฉลี่ยไปเลยลุง ยิ่งถูกยิ่งต้องช้อนซื้อ อีกหน่อยขึ้นก็สบาย รวยไปเลย”

ลุงแมวน้ำจึงซื้อหุ้นเป็นเงินเดือนละ 1000 บาททุกเดือน และหุ้นก็ลงเอาๆอยู่ตลอด

30 พฤศจิกายน 2538 (1995) เวลาผ่านไป 2 ปี ตลาดหุ้นยังไม่ยอมขึ้น ดัชนี SET ร่วงมาอยู่ 1196.62 จุด ลุงแมวน้ำเครียดมากจึงไปปรับทุกข์กับลิงชิมแปนซีเรื่องหุ้นอีก

“นี่ นายลิง ลุงออมมาเกือบสองปีแล้วนะ ลงเงินไปทุกเดือน เดือนละหนึ่งพันบาท ตอนนี้ลงเงินไปแล้ว 24,000 บาท ซื้อทุกเดือนตลาดก็ลงทุกเดือน ตอนนี้ลุงขาดทุนอยู่ 11% แล้ว เป็นเงิน 2,641 บาท เอาไงดี”

นายลิงถอนหายใจ

“นี่ลุง วิธี DCA นี่น่ะสำหรับลงทุนระยะยาว” ลิงพูด

“นี่ก็เกือบ 2 ปีแล้วนะ ดีนะที่ลงเงินเดือนละไม่มาก ถ้าลงเดือนละหลายพันบาทตัวเลขขาดทุนจะยิ่งหนักกว่านี้อีก” ลุงแมวน้ำพูด

“ลองดูต่อไปอีกหน่อยน่าลุง ใช้วิธี DCA ต้องมีวินัยและต้องถือยาวๆ” ลิงได้แต่ปลอบใจ

30 ธันวาคม 2539 (1997) เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว 4 ปี ลุงแมวน้ำออมหุ้นทุกเดือนอย่างอดทน แม้จะเครียดแต่ก็พยายามรักษาวินัย แต่ดัชนีไม่ได้ดีขึ้นเลย ล่าสุดวันวันสิ้นปี 2539 ดัชนีลดลงมาอยู่ 372.69 จุด ดัชนี SET ลดลงเหลือประมาณหนึ่งในสี่จากวันที่ลุงแมวน้ำเริ่มลงทุน (1682.85 จุด)

“นี่ นายลิง ลุงไม่ไหวแล้วนะ” ลุงแมวน้ำพูดอย่างท้อแท้

“ตลาดยิ่งลงลุงก็ซื้อหุ้นได้จำนวนหุ้นที่มากขึ้นนะ เมื่อไรที่ขึ้นลุงจะรวย” ลิงปลอบใจ

“นี่มัน 4 ปีแล้วนะ ตลาดลงตลอดไม่มีขึ้น แล้วจะลงไปถึงไหนก็ไม่รู้ 4 ปียังลงได้ มันอาจจะลงไปถึง 10 ปีก็ได้ใครจะไปรู้ ลุงออมเงินไป 49,000 บาท แต่ขาดทุนไป 30,000 บาท หรือ 61% มันเหมือนอยู่ในอุโมงที่ไม่เห็นปลายอุโมงเลย ลุงไม่ใช่แมวน้ำที่ร่ำรวย ลุงทนดูเงินออมของลุงหดหายไปทุกวันไม่ไหวแล้ว ใครไม่มาอยู่ในฐานะแบบเดียวกันนี้คงไม่เข้าใจหรอก มันท้อแท้ไปหมด” ลุงแมวน้ำระบายออกมาอย่างทุกข์ใจ




ลองมาดูภาพดัชนี SET ในช่วงที่ลุงแมวน้ำออมหุ้นกัน จะเห็นว่าเมื่อวานตอนเริ่มลงทุนเป็นภาพลุงแมวน้ำกำลังเลี้ยงลูกบอลบนปลายจมูกอย่างร่าเริง แต่หลังจากปี 2536 เป็นต้นมาลุงแมวน้ำก็ต้องใส่เสื้อกันหนาวและผูกผ้าพันคอเนื่องจากอากาศบนยอดดอยหนาวเหน็บมาก



Wednesday, December 22, 2010

21/12/2010 * RSS, BO, SB, STA, KSL, TVO, การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (DCA หรือ BCA) (3)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1013.19 จุด เพิ่มขึ้น 6.68 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BANPU ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 30 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดสำคัญทั่วโลกที่มีอยู่ในรายงานส่วนใหญ่ปิดเขียว ยกเว้นจีนที่ปิดแดง

มีผู้เขียนถามลุงแมวน้ำมาว่าราคาฟิวเจอร์สของสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกบางชนิดกับราคาหุ้นไทยที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์นั้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เป็นอย่างไร คำตอบก็คือเท่าที่ตามมาในช่วงนี้ราคาไม่ค่อยตามกันเท่าไร ลองมาดูกราฟกัน

ราคาฟิวเจอร์สยางพาราของไทยนั้นอิงกับราคาของตลาดโตคอมในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอิงกับตลาดฟิวเจอร์สในประเทศจีนอีกทอดหนึ่ง เปรียบเทียบกับราคาหุ้น STA จะเห็นว่าไม่ค่อยตามกัน ยิ่งในช่วงสั้นๆที่ผ่านมานี้ยิ่งกลายเป็นสวนทางกันไปเลย ดังภาพต่อไปนี้ เส้นสีดำคือราคาหุ้น STA ส่วนแท่งเทียนคือราคาฟิวเจอร์ส RSS3




ราคาฟิวเจอร์สน้ำมันถั่วเหลือง (BO) กับราคาหุ้นน้ำมันพืชถั่วเหลือง TVO ก็ไม่ค่อยตามกัน คือตามบ้างไม่ตามบ้าง ยิ่งระยะนี้ยิ่งสวนทางกัน ดังภาพต่อไปนี้ เส้นสีดำคือราคา TVO




ราคาฟิวเจอร์สน้ำตาลกับราคาหุ้นโรงงานน้ำตาล KSL ก็ไม่ค่อยตามกัน ช่วงนี้ก็ส่วนทางกันเช่นกัน ดังภาพต่อไปนี้ เส้นสีดำคือราคา KSL



จากการเปรียบเทียบกราฟด้วยสายตาคงพอเห็นได้ว่าการเทรดหุ้นตามฟิวเจอร์สเป็นเรื่องยาก แม้แต่ใช้ดูแนวโน้มย่อยก็ยังใช้ไม่ได้ในบางช่วง หากจะใช้ก็คงพอใช้ได้แต่การดูแนวโน้มใหญ่ ทั้งนี้ เพราะหุ้นไทยก็มีปัจจัยภายในของเราเอง เช่น การควบคุมราคาหรือการแทรกแซงราคา รวมทั้งต้องพิจารณาให้ดีด้วยว่าหุ้นตัวที่ว่าทำธุรกิจในส่วนไหนของวงจรธุรกิจนั้น เป็นต้นน้ำ กลางน้ำ หรือว่าปลายน้ำของธุรกิจสินค้านั้น ผู้เล่นในแต่ละส่วนของวงจรธุรกิจอาจได้รับอานิสงส์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์นั้นๆต่างกันออกไป

นอกจากการพิจารณาความสัมพันธ์ด้วยกราฟและประเมินด้วยสายตาแล้ว ยังมีวิธีการทางสถิติศาสตร์ที่สามารถหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล 2 ชุดได้ นั่นก็คือการใช้สัมประสิทธฺ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson's correlation coefficient) ดังที่ลุงแมวน้ำเคยคุยให้ฟังไปแล้ว และยิ่งเมื่อใช้สัมประสิทธ์สหสัมพันธ์เคลื่อนที่ (moving correlation coefficient) ก็จะยิ่งเห็นชัดว่าระดับความสัมพันธ์ระหว่างฟิวเจอร์สสินค้าเกษตรกับราคาหุ้นของสินค้าตัวนั้นสัมพันธ์กันบ้าง ไม่สัมพันธ์กันบ้าง แล้วแต่ช่วงเวลา


การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (DCA หรือ BCA) (3)

มาคุยเรื่องการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนกันต่อ จากเดิมที่เราได้ลองทำพอร์ตจำลองเพื่อลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ไปนั้นเราคงพบว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนนี้เข้าท่าเลยทีเดียวเพราะให้ผลตอบแทนสูงน่าพอใจ

วันนี้ลุงแมวน้ำจะขอเล่านิทานเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนของลุงแมวน้ำ

เมื่อลุงแมวน้ำลงทุนออมหุ้นด้วยวิธี BCA

เมื่อนานมาแล้ว สมัยปี พ.ศ. 2536 (1993) ตอนนั้นลุงแมวน้ำเป็นดาราดังของคณะละครสัตว์ ขวัญใจของเด็กๆ (ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่) ในแต่ละเดือนลุงแมวน้ำนอกจากจะได้เงินเดือนแล้วยังได้ทิปจากเด็กๆที่มาชมการแสดงอีกด้วย ลุงแมวน้ำก็เก็บเล็กผสมน้อยเอาเนื่องจากเงินทิปของเด็กๆนั้นไม่มากนัก ปกติก็ใช้วิธีการฝากธนาคาร

วันหนึ่งลิงชิมแปนซีเจ้าปัญญา (ตัวเดียวกับที่มาช่วยลุงแมวน้ำทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั่นแหละ) ก็มาชวนลุงแมวน้ำลงทุนในหุ้นเนื่องจากเห็นว่าให้ผลตอบแทนอย่างงาม ใครที่ผ่านชีวิตการลงทุนในช่วงนั้นมาคงทราบดีว่าในปี พ.ศ. 2536 นั้นหุ้นขึ้นต่อเนื่องนานนับเดือน ดัชนี SET วิ่งตั้งแต่ประมาณ 900 จุดไปจนถึง 1,700 จุดในปีเดียวกันนั้นเอง ใครที่เทรดหุ้นล้วนแต่มีกำไรเริงร่า เล่นไม่เป็นหลับตาจิ้มรายชื่อหุ้นเอาจากหน้าหนังสือพิมพ์แล้วก็ไปซื้อหุ้นตัวนั้นถือไว้สองสามวันก็ได้กำไร ไม่มีใครขาดทุนเพราะหุ้นขึ้นแล้วขึ้นอีก ขึ้นอีกและขึ้นอีก...

วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ลิงชิมแปนซีชวนลุงแมวน้ำไปเยี่ยมชมโบรกเกอร์ค้าหลักทรัพย์รายหนึ่ง เห็นนักลงทุนในห้องค้าแน่นขนัด ส่งเสียงเอะอะเฮฮาราวกับมีงานปาร์ตี้เพราะว่าหุ้นขึ้นเอาๆ ทุกคนมีความสุขกันถ้วนหน้า

“ลุงแมวน้ำ ซื้อหุ้นกันเถอะน่า” ลิงชวน

“ไม่เอาดีกว่ามั้ง” ลุงแมวน้ำปฏิเสธเพราะได้ยินมาว่ารายย่อยเล่นหุ้นมีแต่เจ๊ง แต่ก็ลังเลอยู่เหมือนกันเพราะว่าภาพที่เห็นเบื้องหน้ามันตรงกันข้ามกับที่เคยคิดเอาไว้ ทำให้คิดว่าการเทรดหุ้นมันช่างง่ายอะไรเช่นนี้

“นี่นะลุงแมวน้ำ ถ้าลุงปาเป้ายังมีเข้าเป้าบ้างไม่เข้าเป้าบ้าง แต่เล่นหุ้นนี่มันเสี่ยงน้อยกว่าปาเป้าอีก หลับตาซื้อตัวไหนมันก็ขึ้น” ลิงชักชวน ปกติลิงตัวนี้เจ้าปัญญา ลุงแมวน้ำค่อนข้างเชื่อถือในความเห็นของเจ้าลิงตัวนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“มันขึ้นแล้วมันไม่มีลงบ้างหรือไง” ลุงแมวน้ำยังไม่วางใจ

“ก็เห็นหุ้นขึ้นมาหลายเดือนแล้วยังไม่ลงสักที ลุงแมวน้ำก็ซื้อแล้วถือเอาไว้สักสองสามวันก็ขายแล้ว มันคงยังไม่ลงตอนนี้หรอกน่า” ลิงชวนอีก “นะ ลุง ซื้อหุ้นด้วยกัน”

“ก็ถ้าเผื่อมันลงล่ะ” ลุงแมวน้ำยังกลัวกลายพันธุ์เป็นแมงเม่าอยู่

“ผมเห็นลุงแมวน้ำพยายามเก็บหอมรอมริบ ก็เลยอยากช่วยนะลุง ผมไม่ได้ค่านายหน้าหรือได้ผลประโยชน์อะไรด้วยนะ” ลิงพูด “ถ้ากลัวหุ้นตกก็ลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนหรือ dollar cost averaging ก็แล้วกัน ซื้อทุกเดือน เดือนละเท่าๆกัน ยิ่งหุ้นตก เงินก้อนเดียวกันนั้นก็ยิ่งซื้อได้หุ้นจำนวนมากขึ้น ถ้าแบบนี้ก็ไม่กลัวหุ้นตกแล้ว เพราะหากหุ้นตกก็เฉลี่ยต้นทุนตอนหุ้นตกไปเรื่อยๆ ยิ่งนานต้นทุนก็ยิ่งต่ำลง” ลิงเสนอแนะวิธีการใหม่

แม้ลุงแมวน้ำจะยังไม่วางใจในตลาดหุ้นนัก แต่ประการหนึ่งเพราะว่าเกรงใจลิงชิมแปนซีที่อุตส่าห์แนะนำด้วยความหวังดี อีกประการหนึ่งก็อยากให้เงินทำงานด้วย (ก็อยากได้เงินนั่นแหละ) จึงตัดสินใจเลือกลงทุนด้วยวิธีเฉลี่ยต้นทุน โดยลุงแมวน้ำจะซื้อหุ้น SET ทุกเดือน เงินลงทุนเดือนละ 1,000 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2536 (1993) เป็นต้นไป




(หมายเหตุ ดังที่ลุงแมวน้ำเกริ่นไว้แล้วว่าเรื่องนี้เป็นนิทาน ดังนั้นบางสิ่งบางอย่างจึงเป็นการแต่งเติมขึ้นมา อย่างเช่น การเทรดดัชนี SET ในสมัยนั้นก็ไม่มี แต่ลุงแมวน้ำก็สมมติเอาว่าดัชนี SET เป็นเสมือนหุ้นตัวหนึ่ง จึงลงทุนซื้อได้ นอกจากนี้ การคิดค่าคอมมิชชันในยุคนั้นยังมีขั้นต่ำอยู่ อย่างเช่น การเทรดแต่ละครั้งคิดค่าคอมมิชชันขั้นต่ำ 100 บาท แม้ว่าจะซื้อหุ้นเป็นเงินน้อยเท่าใดก็ตาม เป็นต้น ซึ่งในยุคนั้นหากออมหุ้นเดือนละ 1,000 บาท คงทำไม่ได้เนื่องจากไม่คุ้มกับค่าคอมมิชชันขั้นต่ำ แต่ว่าลุงแมวน้ำก็สมมติเอาว่าคิดค่าคอมมิชชันตามจริง ไม่มีขั้นต่ำ จึงทำให้สามารถซื้อหุ้นได้ทุกเดือน)



Tuesday, December 21, 2010

20/12/2010 * SET, การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (DCA หรือ BCA) (2)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1006.51 จุด ลดลง 15.95 จุด ทั้งเดัชนี SET และดัชนี SET50 เกิดสัญญาณขาย

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย PTT, TUF ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 31 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขาย S50 ลุงแมวน้ำจึงปิดสัญญาซื้อ (cover long position) และเปิดสัญญาขาย (open short position) ไป นอกจากนี้ฟิวเจอร์ส PTTEP เกิดสัญญาณขาย

กลุ่มกองทุนเปิดอีทีเอฟ TDEX เกิดสัญญาณขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดสำคัญทั่วโลกที่มีอยู่ในรายงานส่วนใหญ่ปิดแดง จีนและบราซิลปิดลดลงกว่า 1%

วันนี้ตลาดหุ้นของไทยติดลบเล็กน้อยมาตลอดช่วงเช้าและบ่ายต้นๆ แต่พอบ่ายแก่ๆดัชนี SET ก็ไหลลงอย่างรวดเร็ว ข่าวลือในห้องค้าว่ากันว่าตระหนกข่าวซ้อมรบของเกาหลีใต้ที่อาจเป็นชนวนสงครามเกาหลีรอบใหม่ ดัชนี SET, SET50 และ S50, TDEX เกิดสัญญาณขายในวันเดียวกัน สำหรับอนุพันธ์ S50 นี้เกิดสัญญาณหลอก (false signal) ไปถึง 4 ครั้งแล้ว ขาดทุนไปโข นี่เป็นตัวอย่างที่ลุงแมวน้ำอยากชี้ให้เห็นว่าตลาดหุ้นนั้นไม่มีอะไรแน่นอน มีความเสี่ยงสูง อะไรก็เกิดขึ้นได้ ที่ว่า S50 เป็นฟิวเจอร์สที่เทรดได้ง่ายได้ผลตอบแทนดีในอดีตก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากได้เหมือนกัน ดังนั้นหากไม่มีการจัดการพอร์ตลงทุนที่ดี ขาดวินัยในการลงทุน รวมทั้งหากลงทุนเกินตัว ในที่สุดก็จะเสียหายจนอาจมีเงินไม่พอเทรดต่อไปได้

ในช่วงคืนกำไรก็เป็นเช่นนี้เอง ตามสถิติแล้ว SET สามารถเกิดสัญญาณหลอกได้ถึง 6-7 ครั้งติดๆกัน แต่หากเกาะแนวโน้มเอาไว้ได้ เมื่อไรที่แนวโน้มมาถึงตอนนั้นก็เป็นช่วงเวลาให้ทำกำไรดังเช่นหลายเดือนที่ผ่านมาที่ดัชนี SET ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง สัญญาณซื้อเกิดนานนับเดือนโดยไม่มีสัญญาณขายที่เป็น false signal มาคั่นกลางเลย

มาดูกราฟของดัชนี SET กันว่ามีสัญญาณกลับทิศแนวโน้มเกิดขึ้นแล้วกี่ประการ
  1. เกิดคอนเวอร์เจนซ์ของดัชนีกับ RSI (bearish convergence)
  2. ดัชนีหลุดกรอบ SEC (standard error channel)
  3. คลื่นย่อยนับได้ครบ 5 ลูก
  4. fibonacci ได้ระดับ และมีความสอดคล้องของระดับ fibonacci



การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (DCA หรือ BCA) (2)

เมื่อวันก่อนเราคุยกันถึงเรื่องการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนโดยการทยอยซื้ออย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลานานๆ พร้อมทั้งทิ้งท้ายด้วยประเด็นที่ลุงแมวน้ำยังไม่กระจ่าง จึงลองทำพอร์ตจำลองเพื่อลงทุนแบบ BCA ขึ้นมา วันนี้เรามาดูกันต่อไป

ก่อนหน้านี้ลุงแมวน้ำคุยเรื่องกลยุทธ์การลงทุนในกองทุน LTF, RMF และลุงแมวน้ำได้คำนวณผลตอบแทนการลงทุนให้ดูกัน (ดูใน กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง) จากนั้นทิ้งท้ายเอาไว้ว่าปัจจุบันวิธีการลงทุนใน LTF, RMF ที่ปัจจุบันนิยมกันวิธีหนึ่งก็คือการลงทุนแบบ BCA โดย บลจ. เกือบทุกแห่งที่มีกองทุน LTF, RMF มักมีบริการซื้อหน่วยลงทุนให้ทุกเดือนโดยการตัดบัญชีธนาคารของลูกค้า มาในวันนี้ลุงแมวน้ำจะใช้ช่วงเวลาการลงทุนเดิมที่เคยใช้ในบทความเรื่อง LTF มาทำพอร์ตจำลองเพื่อจะได้นำผลตอบแทนมาเทียบกันกันได้

ช่วงเวลาในการลงทุนที่เราจะมาทำพอร์ตจำลองกันคือช่วง 26 สิงหาคม 2551 ถึง 7 กันยายน 2552 ช่วงนั้นดัชนี SET ไหลลงจาก 668 จุดลงมาอยู่ที่ 431 จุด จากนั้นกลับขึ้นไปที่ 682 จุดอีก ตามภาพต่อไปนี้




หากลงทุนในกองทุน LTF ที่ชื่อ KEQLTF อย่างสม่ำเสมอทุกเดือนกับทุกสองเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 เมื่อถึงเดือนกันยายน 2552 ผลตอบแทนการลงทุนจะเป็นดังนี้


หากลงทุนทุกเดือน ผลตอบแทน ณ เดือนกันยายน 2552 จะเป็น 34% แต่หากลงทุนทุกสองเดือน (คือซื้อ KEQLTF เดือนเว้นเดือน) ผลตอบแทนการลงทุน ณ ช่วงเวลาเดียวกันจะได้ 31.57%

และหากนำมาเปรียบเทียบกับกลยุทธ์การลงทุนใน LTF แบบอื่นๆ ผลตอบแทนที่เปรียบเทียบกันจะเป็นดังนี้




จะเห็นว่าผลตอบแทนการลงทุนด้วยวิธี DCA หรือ BCA นั้นน่าพอใจเลยทีเดียว สำหรับผู้ที่เพิ่งอ่านบทความนี้หากงงกับผลการเปรียบเทียบในตารางขอแนะนำให้ย้อนกลับไปอ่านเรื่อง กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง เสียก่อนเนื่องจากผลการเปรียบเทียบนี้เท้าความมาจากบทความเดิม

เมื่อเห็นผลตอบแทนแบบ BCA แล้วหลายคนอาจร้องว้าวว่าน่าสนใจมาก แต่ก็ดังที่ลุงแมวน้ำคุยกล่าวเอาไว้ว่าผลตอบการการลงทุนแบบ BCA นั้นมีโอกาสเป็นภาพลวงตาได้สูง ให้พึงระวัง

ที่ว่าจะเป็นภาพลวงตาได้อย่างไรนั้นเราจะมาคุยกันในวันต่อไป



17/12/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1022.46 จุด ลดลง 7.14 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BH และมีสัญญาณขาย DTAC, SCB, TCAP และ TTW ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 33 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

Friday, December 17, 2010

16/12/2010 * การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (DCA หรือ BCA) (1)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1029.60 จุด ลดลง 5.87 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย CPF และมีสัญญาณซื้อ RATCH, TCAP ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 36 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อขายทองคำ (GC) และมีสัญญาณซื้อ KTB

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดสำคัญทั่วโลกที่มีอยู่ในรายงานปิดบวกและลบคละกันไป ไม่มีอะไรหวือหวา

การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (DCA, BCA)

การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนนี้ก็คือการทยอยลงทุนในอะไรสักอย่างอย่างสม่ำเสมอซึ่งจะทำให้ต้นทุนของสิ่งนั้นมีหลายราคา ซื้อถูกบ้าง ซื้อแพงบ้าง ถัวเฉลี่ยกันไป ยกตัวอย่างเช่นการซื้อหุ้นหรือการซื้อหน่วยลงทุน ทยอยซื้อหุ้นเก็บเอาไว้อย่างสม่ำเสมอ ต้นทุนถูกบ้างแพงบ้างก็ถัวเฉลี่ยกันไป

วิธีการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนนี้ทางฝรั่งก็มีใช้กัน ในภาษาอังกฤษเรียกว่า dollar cost averaging (บางทีก็เรียก dollar cost average) หรือเขียนย่อว่า DCA ดังนั้นเมื่อเราใช้บางทีเราก็ติดปากเรียกตามฝรั่งว่า dollar cost averaging หรือ DCA ไปด้วยเช่นกันทั้งๆที่เราซื้อขายหุ้นเป็นเงินบาท บางคนก็เรียกว่า baht cost averaging (บางทีก็เรียก baht cost average) หรือ BCA เพื่อให้สอดคล้องกับระบบเงินตราของบ้านเรา ดังนั้นจึงขอให้เข้าใจว่า DCA กับ BCA นั้นก็คือวิธีการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนวิธีการเดียวกันนั่นเอง

แต่เดิมวิธีการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนโดยลงทุนอย่างสม่ำเสมอนั้นหากนักลงทุนจะทำต้องทำเอาเอง กล่าวคือ ต้องซื้อหุ้นหรือกองทุนเอาเอง แต่ในปัจจุบันเทคนิคนี้มีการนำมาใช้กันแพร่หลายขึ้น บริษัทหลักทรัพย์และ บลจ. บางแห่งนำวิธีการลงทุนนี้มาทำเป็นบริการให้แก่นักลงทุนเสียเลย นั่นคือ ทำเป็นโปรแกรมการลงทุนออมหุ้น หรือออมทอง หรือออมกองทุนรวม โดยอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน กำหนดวงเงินลงทุนให้เลือก จากนั้นบริการซื้อหุ้นหรือหน่วยลงทุนให้เป็นประจำทุกเดือนโดยการตัดบัญชีธนาคาร ทำให้นักลงทุนได้รับความสะดวกสบายขึ้นมาก

แนวคิดเกี่ยวกับ DCA หรือ BCA

ที่กล่าวมาเป็นวิธีการ BCA แบบย่อๆที่ลุงแมวน้ำสรุปให้ฟังด้วยคำพูดของลุงแมวน้ำเอง ส่วนที่ว่าวิธีการนี้มีแนวคิดหรือว่ามีหลักการและที่มาที่ไปอย่างไรนั้น เท่าที่ลองค้นหาดูในเว็บไซต์เกี่ยวกับการลงทุนที่น่าเชื่อถือได้หลายแห่งก็พบคำอธิบายแนวคิดของวิธีการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนพอสรุปได้ดังนี้

“เทคนิคการลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging (DCA) เป็นการลงทุนอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำในระยะยาวโดยมีการกำหนดช่วงเวลาสำหรับการลงทุนไว้อย่างแน่นอนเป็นงวดๆ เช่น ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ทุกไตรมาส ด้วยเงินลงทุนที่เท่าๆกันในแต่ละงวด

“สำหรับแนวคิดภายใต้เทคนิคการลงทุนแบบนี้มองว่า แทนที่จะลงทุนซื้อหน่วยลงทุนแบบทุ่มเป็นเงินก้อนใหญ่ (Lump - sum) ในทีเดียวก็ให้ทยอยลงทุนในหน่วยลงทุนเป็นจำนวนเงินคงที่เท่าๆกัน ตามระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้อย่างสม่ำเสมอโดยไม่สนใจว่าราคาหน่วยลงทุน ณ วันที่เข้าลงทุนนั้นจะเป็นเท่าใด ทั้งนี้ นักลงทุนจะได้รับจำนวนหน่วยลงทุนมากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงเวลาที่ได้ลงทุนไป หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือมีการกระจายการซื้อหน่วยลงทุนตลอดเวลาทั้งในยามที่ตลาดดีและตลาดไม่ดีด้วยเงินจำนวนเดียวกัน โดยหาก ณ เวลาที่ลงทุนปรากฏว่าราคาหน่วยลงทุนแพงก็ทำให้ซื้อได้จำนวนน้อยลง ในทางกลับกัน หากราคาหน่วยลงทุนถูกก็ซื้อได้มากขึ้น เป็นการถัวเฉลี่ยต้นทุนในการลงทุนให้ลดน้อยลง และเพิ่มเสถียรภาพของผลตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุนในระยะยาว นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยลดความกังวลใจเกี่ยวกับจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมและลดความเสี่ยงของการเข้าลงทุนผิดจังหวะด้วยเงินลงทุนก้อนใหญ่ในครั้งเดียว ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดวินัยในการลงทุนขึ้นอีกด้วย

“ทั้งนี้ เทคนิคการลงทุนแบบ DCA มีลักษณะการลงทุนที่ควรรู้ดังต่อไปนี้

  • ต้องเป็นการลงทุนในระยะเวลายาว เช่น 5 ปี 10 ปี เป็นต้น
  • ต้องพิจารณาว่า มีความสามารถในการลงทุนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอได้หรือไม่
  • ต้องมีการกำหนดช่วงเวลาสำหรับการลงทุนไว้อย่างแน่นอนเป็นงวดๆ เช่น ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ทุกไตรมาส เป็นต้น
  • ต้องมีการกำหนดจำนวนเงินที่ต้องใช้สำหรับการลงทุนเป็นจำนวนคงที่เท่าๆ กันในแต่ละงวด
  • ต้องมีวินัยในการลงทุน โดยไม่หวั่นไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะการลงทุนที่เกิดขึ้นในท้องตลาดแต่อย่างใด

“ดังนั้น จากลักษณะการลงทุนดังกล่าวข้างต้นจึงกล่าวได้ว่า เทคนิคการลงทุนแบบ DCA เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาหรือความรู้เพียงพอที่จะติดตามสภาวะการลงทุน และต้องการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด ตลอดจนรักษาผลตอบแทนให้ได้ในระดับที่เหมาะสมนั่นเอง”

“การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนเหมาะมาก ในภาวะตลาดผันผวน ราคาหลักทรัพย์หรือมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) เปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างรวดเร็ว และช่วยให้นักลงทุนไม่ตกขบวนด้วย”

แนวคิดเหล่านี้เป็นแนวคิดที่มักกล่าวถึงกันทั่วไป ดูจากหลายๆเว็บไซต์ก็เป็นในแนวทางนี้ รวมทั้งในเว็บไซต์ภาษาอังกฤษก็จะกล่าวถึงหลักการ DCA ในแนวนี้เช่นกัน ดังนั้นคงเป็นแนวคิดแบบภาพรวม ไม่ใช่แนวคิดของใครคนใดคนหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม จากแนวคิดเกี่ยวกับการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนนี้ทำให้ลุงแมวน้ำมีประเด็นที่ยังไม่กระจ่างอยู่หลายประการ ดังนี้

  • เหตุผลที่ว่า “เทคนิคการลงทุนแบบ DCA เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาหรือความรู้เพียงพอที่จะติดตามสภาวะการลงทุน” แต่ปกติเมื่อเราดูโฆษณาเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นหรือกองทุนใดๆก็ตาม มักมีข้อความปิดท้ายเพื่อเตือนเอาไว้ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน" ลุงแมวน้ำคิดว่าแนวคิดเกี่ยวกับระดับความรู้ความเข้าใจก่อนการลงทุนของผู้ลงทุนดูจะไม่สอดคล้องกันนัก วิธีการ DCA นั้นหากผู้ลงทุนต้องการจะใช้ก็ควรศึกษามาเป็นอย่างดีจึงเลือกใช้วิีธีนี้ มิใช่เลือกใช้วิธีนี้เพราะว่าขาดความรู้
  • ที่บอกว่า “การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนเหมาะมากในภาวะตลาดผันผวนนั้นตลาดแบบไหนที่เรียกว่าผันผวน เพราะการตีความว่าผันผวนของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน เมื่อตลาดไม่ผันผวนแล้วการลงทุนวิธีนี้ให้ผลเป็นอย่างไร รวมทั้งที่บอกว่า เหมาะกับการลงทุนระยะยาว เช่น 5 ปี 10 ปี สองข้อความนี้ดูจะไม่ค่อยสอดคล้องกันนัก เนื่องจากภาวะตลาดผันผวนมักหมายถึงช่วงเวลาอันจำกัด น่าจะกินเวลาไม่นานมากนัก แต่ก็มีบอกว่าเหมาะกับการลงทุนระยะยาวเอาไว้ด้วย ทำให้น่าสับสนเรื่องระยะเวลาในการลงทุนที่เหมาะสมของวิธี BCA นี้
  • แนวคิด BCA นี้บอกเกี่ยวกับการลงทุน คือบอกวิธีการการซื้อหุ้นซื้อหน่วยลงทุน แต่ไม่ได้บอกว่าเมื่อไรควรขาย ควรขายอย่างไร และขายเท่าไร ขายแบบทยอยขายหรือไม่ และหากเป็นการทยอยขาย นักลงทุนทั่วไปที่ไม่ถนัดเรื่องการคำนวณจะคิดกำไรขาดทุนที่แท้จริงอย่างไรในเมื่อมีต้นทุนซื้อและต้นทุนขายหลายรายการมากมายไปหมด
เืพื่อให้หายสงสัยและเกิดความกระจ่าง ลุงแมวน้ำจึงทดลองทำพอร์ตจำลองและทดลองซื้อขายแบบเฉลี่ยต้นทุนดู ในวันถัดไปเราลองมาดูกันว่าพอร์ตจำลองของลุงแมวน้ำเป็นอย่างไร



Thursday, December 16, 2010

15/12/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1035.47 จุด ลดลง 1.94 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 35 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

กองทุนอีทีเอฟ GLD ที่เป็นกองทุนทองคำกองทุนแม่ของกองทุนทองคำส่วนใหญ่ในไทยเกิดสัญญาณขาย ในขณะที่ฟิวเจอรส์ทองคำทั้งทองนอก (GC) และทองไทย (GF) ยังไม่เกิดสัญญาณขาย ต้องรอดูวันถัดไป สัญญาณขายของ GC ในวันถัดไปอยู่ที่ 1,381.45 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งก็ใกล้มากแล้ว

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีสเตรตส์ไทมส์ (Straits Times Index) ของสิงคโปร์เกิดสัญญาณขาย ดัชนีตลาดต่างประเทศอื่นๆส่วนใหญ่ปิดแดง ที่ปรับตัวลงมากหน่อยคือของบราซิลและฮ่องกง

Wednesday, December 15, 2010

14/12/2010 * GC

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1037.41 จุด เพิ่มขึ้น 4.09 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ EGCO ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 35 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ดัชนีตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ปิดบวก มากบ้างน้อยบ้าง

ทองคำ (GC) ดูแปลกๆ ทำท่าเหมือนกับจะจบยอดคลื่น 5 แถวๆนี้ ทองคำแกว่งตัวที่ระดับราคาแถวๆนี้มาสักพักแล้ว ทำให้เกิดภาวะไร้ทิศทาง ใกล้จะเกิดสัญญาณขายเต็มทีแล้ว หากประเมินตามระดับ fibonacci คลื่น 5 นั้นอาจจบที่ราคาประมาณ 1,500 ดอลลาร์/ออนซ์หรือไม่เช่นนั้นก็จบคลื่น 5 ที่ราคาแถวๆนี้คือที่ราคาเกือบๆ 1,400 ดอลลาร์/ออนซ์ไปเลย

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประกาศเปลี่ยนแปลงหลักทรัพย์ที่ใช้ในการคำนวณดัชนี SET50 ในรอบครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2554 โดยเพิ่มหุ้น BTS, DCC, KK, ROBINS, SSI เข้ามาและถอดหุ้น KSL, QH, BCP, PSL, TTA, HANA ออกจากการคำนวณ โดยเริ่มมีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2554 เป็นต้นไป


ช่วงนี้ตลาดหุ้นโดยรวมทั้งไทยและต่างประเทศยังไม่มีอะไรหวือหวา ลุงแมวน้ำอาศัยจังหวะในช่วงนี้เร่งปรับปรุงเว็บบล็อกใหม่รวมทั้งพยายามเขียนบทความเพิ่มเติมตามที่ได้เคยสัญญาเอาไว้ งานไปไม่ได้เร็วอย่างที่คิดเนื่องจากมีเพียงสองครีบแค่นี้เอง แต่จะพยายามรีบทำให้ทันต้อนรับปีใหม่


13/12/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1033.32 จุด ลดลง 2.53 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย TISCO ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 34 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ดัชนีส่วนใหญ่ปิดบวก ดัชนี CSI 300 ของจีนขึ้นแรง

Monday, December 13, 2010

09/12/2010 - 10/12/2010

09/12/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1035.85 จุด เพิ่มขึ้น 10.77 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ MINT, PTTEP, TPIPL ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 35 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อ PTTEP

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีออล ออร์ดิแนรีส์ (All Ordinaries, AORD) ของออสเตรเลียเกิดสัญญาณซื้อ




10/12/2010

วันนี้เป็นวันหยุดราชการของไทย ตลาดหลักทรัพย์ TFEX AFET หยุดทำการ

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีฟุตซี (FTSE 100) ของอังกฤษ (UK) เกิดสัญญาณซื้อ

08/12/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1025.08 จุด ลดลง 15.64 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ PSL และมีสัญญาณขาย BEC, CPALL, PTTCH ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 32 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

วันนี้ที่ SET index ของไทยปรับตัวลงแรงเนื่องจากมีการซื้อขายหุ้น PTTCH เป็นบิ๊กล็อต คือตกลงราคากันนอกกระดานแต่มาทำการซื้อขายกันในกระดาน ราคาที่ซื้อขายก็ต่ำกว่าราคาปิดของเมื่อวานอยู่พอควร มูลค่าหุ้นประมาณสามหมื่นกว่าล้านบาท ผลของการซื้อขายบิ๊กล็อตนี้ทำให้ดัชนี SET ลดลง นักลงทุนพลอยตกใจขายหุ้นตัวอื่นๆด้วย ดัชนีจึงไหลลงค่อนข้างแรง พร้อมกับปริมาณซื้อขายประจำวันสูงถึงกว่าเจ็ดหมื่นล้านบาท

Wednesday, December 8, 2010

07/12/2010 * CL, ปรับปรุงพอร์ตการลงทุนเืพื่อการเกษียณอายุ

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1040.72 จุด เพิ่มขึ้น 6.66 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ PTT ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 34 ตัว

กองทุนอีทีเอฟ ENGY เกิดสัญญาณซื้อ

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ตลาดต่างประเทศมีทั้งปิดเขียวและปิดแดงคละกันไป

ช่วงนี้คงเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อทั้งตลาดไทยและตลาดต่างประเทศ จะขึ้นต่อหรือว่าจะลงอีกไม่นานคงได้รู้กัน

ทางด้านน้ำมันดิบ (CL) ผ่านแนวต้านหรือว่าแนวของยอดคลื่นเดิมมาได้ แต่เมื่อพิจารณาจากกราฟจะเห็นว่ายังไม่สามารถทะลุกรอบ SEC ได้ ดังนั้นแม้ขาขึ้นก็ยังเป็น sideway up หรือเป็นลักษณะของต้นคลื่น 3 (หรือคลื่น 5) อยู่ ยังไม่ได้เข้าสู่กลางคลื่น 3 (หรืออาจเป็นกลางคลื่น 5) เมื่อได้ที่เข้าสู่กลางคลื่นเราจะเห็นราคาไปแบบแทบไม่มีพักเหมือนกับตลาดหุ้น SET และราคายางพาราที่ผ่านมา



ทางด้าน โครงการลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ บำนาญสร้างเองของลุงแมวน้ำ นั้น ในรอบเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาลุงแมวน้ำปรับพอร์ตการลงทุน ดำเนินการไปหลายอย่าง ตั้งแต่นำกำไรจากการเทรดฟิวเจอร์สยางพารา (RSS3) และขายกองทุน K-Agriculture มาเพิ่มการลงทุนในฟิวเจอร์ส SET50 (S50) จากนั้นนำเงินที่สำรองไว้เพื่อการเทรดฟิวเจอร์สส่วนหนึ่งมาพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ กองทุนเปิดกรุงศรีโทเทิลรีเทิร์นบอนด์ (KF-TRB) เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าฝากในบัญชีออมทรัพย์

และที่สำคัญก็คือ ลุงแมวน้ำแบ่งเงินกำไรส่วนหนึ่ง จำนวน 10,000 บาทไปซื้อ ปฏิทินสงเคราะห์สัตว์ - โครงการเพื่อนข้างถนน ได้ปฏิทินมาร้อยกว่าเล่ม เพื่อเอาไว้แจกเด็กๆที่มาชมการแสดงของลุงแมวน้ำถือเป็นของขวัญปีใหม่ รวมทั้งได้ช่วยเหลือสุนัขและแมวจรจัดด้วยอันเป็นการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขและแบ่งปันเพื่อช่วยเหลือชีวิตอื่นๆ ดังที่ลุงแมวน้ำเคยบอกเอาไว้ว่าเงินกำไรที่ได้มาจากการลงทุนในตลาดหุ้นหรือตลาดฟิวเจอร์สนั้นส่วนหนึ่งมาจากหยาดเหงื่อและน้ำตาของผู้อื่น ดังนั้นควรเทรดด้วยความเมตตา ควรรู้จักพอประมาณ รวมทั้งเมื่อได้มาแล้วควรมีการแบ่งปันด้วยจึงจะถือได้ว่าเป็นการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขกัน ไม่จำเป็นต้องรอให้รวยก่อนแล้วจึงค่อยช่วย เพราะการลงทุนแบบลุงแมวน้ำไม่ได้สร้างความร่ำรวย รวมทั้งอย่าคิดว่าขอให้กำไรเพิ่มขึ้นอีกหน่อยเสียก่อนจึงค่อยมาช่วย ทั้งนี้เพราะการแบ่งปันไม่จำเป็นต้องรอ มีน้อยก็แบ่งปันน้อย ถึงไม่แบ่งปันเป็นเงิน เราก็ยังสามารถแบ่งปันด้วยแรงงานของเราก็ได้ เช่น งานจิตอาสาต่างๆ เป็นต้น

ผลการลงทุนในเดือนพฤศจิกายนนี้ พอร์ตลงทุนของลุงแมวน้ำสามารถเลี้ยงลุงแมวน้ำหลังจากเกษียณไปแล้วเดือนละ 1,799 บาทเป็นเวลา 25 ปี เทียบกับเมื่อตอนเริ่มต้นโครงการเมื่อต้นปี 2009 ด้วยเงินลงทุน 120,000 บาท ซึ่งเท่ากับรายได้หลังเกษียณเดือนละ 400 บาทตลอด 25 ปี

อ่านรายละเอียดได้ที่ โครงการลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ บำนาญสร้างเองของลุงแมวน้ำ






Tuesday, December 7, 2010

03/12/2010 - 06/12/2010 * DX, 10 yr T-note yield

03/12/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1034.06 จุด เพิ่มขึ้น 2.09 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BAY, BGH, HANA, TMB ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 33 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อฝ้าย (CT)

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย



06/12/2010

วันตลาดของไทย ทั้งตลาด SET, TFEX, AFET หยุดทำการ มีรายงานเฉพาะตลาดต่างประเทศ

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อโกโก้ (CC) ขณะนี้กลุ่มสินค้าเกษตรในรายงานกลับกลายเป็นสัญญาณแล้วทั้งหมด

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ขณะนี้ประเด็นที่ทั่วโลกต่างจับตามองก็คือสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยุโรป อันส่งผลกระทบต่อค่าเงิน เดิมทีนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าผลจากมาตรการพิมพ์เงินเพิ่มและอัดฉีดเงินรอบสองหรือที่เรียกว่า QE2 ของสหรัฐอเมริกา รวมทั้งอัตราการว่างงานที่ใกล้ถึง 10% จะทำให้ค่าของเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง แต่กลับกลายเป็นว่าปัญหาวิกฤติหนี้ของกลุ่มสหภาพยุโรปทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลง เมื่อค่าเงินแข่งกันอ่อน ใครอ่อนมากกว่าก็ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งกลายเป็นแข็งค่าขึ้นมาโดยปริยาย ผลก็คือขณะนี้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมา ใครจะอ่อนใครจะแข็งการวิเคราะห์เชิงเศรษฐกศาสตร์คงตอบได้ยากเพราะขึ้นกับปัจจัยจำนวนมาก แต่หากมองรูปแบบกราฟค่าเงินและใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคแล้วเงินดอลลาร์น่าจะแข็งค่าต่อไปเนื่องจากอยู่ในคลื่นขาขึ้น



ปรากฏการณ์แปลกอีกประการณ์ที่ผิดความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์นั่นก็คือ ตั้งแต่มีการประกาศมาตรการ QE2 เมื่อต้นเพือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่าเมื่ออัดฉีดเงินเข้ามาในระบบจะทำให้มีสภาพคล่องมากขึ้นและอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะคงต่ำอยู่อย่างที่เป็นอยู่นี้ไปอีก ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจะทำให้ประชาชนพยายามถือครองพันธบัตรรัฐบาลเอาไว้เนื่องจากให้ผลตอบแทนดีกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก แต่กลับปรากฏว่าอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (10 year treasury note) กลับสูงขึ้น อันแปลความหมายได้ว่าคนไม่อยากเก็บพันธบัตรเอาไว้และพยายามขายออกไปเพื่อถือเงินสด (พันธบัตรก็ซื้อขายได้ในตลาดรองเหมือนกับหุ้น) สาเหตุอาจเป็นไปได้ว่านักลงทุนกำลังมองว่าอัตราดอกเบี้ยกำลังจะกลายเป็นขาขึ้น กับอีกสาเหตุหนึ่งก็คืออยากได้เงินสดเอาไว้ใช้จ่ายหรือต้องการนำเงินสดไปหา่ช่องทางลงทุนที่ดีกว่าการถือพันธบัตร ปรากฏการณ์นี้เป็นเรื่องที่ควรติดตามต่อไป แต่เรื่องหนึ่งที่ลุงแมวน้ำคิดก็คือตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาอาจจะขึ้นแรงได้อีกสักรอบหนึ่งในเร็วๆนี้เพื่อให้จบคลื่น B


ลุงแมวน้ำกำลังเตรียมบทความตอนใหม่อยู่ เป็นมุมมองของลุงแมวน้ำเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการลงทุนในปีต่อไป ดังที่เคยเกริ่นเอาไว้แล้ว คาดว่าอีกไม่กี่วันน่าจะทยอยนำเสนอได้


Friday, December 3, 2010

02/12/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1031.97 จุด เพิ่มขึ้น 14.77 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ AOT, ESSO, KBANK, SCB, TCAP ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 29 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

กองทุนอีทีเอฟ ACWI (ใช้ดูแทน MSCI World Index) และ EEM (ใช้ดูแทน MSCI Emerging Markets Index) เกิดสัญญาณซื้อ

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดต่างประเทศที่อยู่ในรายงานปิดเขียวกันหมด ดัชนีคอสปี (KOSPI) ของเกาหลีใต้เกิดสัญญาณซื้อหลังจากที่เสียหลักอยู่หลายวันอันเนื่องมาจากถูกเกาหลีเหนือโจมดี

แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะขึ้นแรงตามตลาดต่างประเทศ แต่ว่ามุมมองของลุงแมวน้ำืัที่มองว่าดัชนี SET กลับทิศและอยู่ในคลื่น A แล้วยังมีอยู่สูงเนื่องจากการขึ้นแรงในช่วงหลายวันที่ผ่านมายังไม่สามารถทำยอดคลื่นใหม่ที่สูงกว่าเดิมได้


Thursday, December 2, 2010

01/12/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1017.64 จุด เพิ่มขึ้น 12.52 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ CPALL, KTB, SCCC, TUF ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 24 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อข้าวโพด (C) ถั่วเหลือง (S) และข้าวสาลี (W) ลุงแมวน้ำจึงปิดสัญญาสัญญาซื้อถั่วเหลือง ไป ทางด้านฟิวเจอรส์ของ SET50 index futures (S50) ก็เกิดสัญญาณซื้อ ลุงแมวน้ำจึงปิดสัญญาขายและเปิดสัญญาซื้อไป ลุงแมวน้ำเจอสัญญาณหลอก (flase signal) จาก S50 มา 3 ครั้งติดกันแล้ว ครั้งล่าสุดเกิดสัญญาณขายได้เพียง 3 วันก็กลับมาเป็นสัญญาณซื้ออีก

กองทุนอีทีเอฟสินค้าเกษตร DBA (Deutsch Bank Agriculture) เกิดสัญญาณซื้อ

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดต่างประเทศที่อยู่ในรายงานปิดเขียวกันเกือบทั้งหมด ยกเว้นจีนที่ปิดลบนิดหน่อย ดัชนีไทเอกซ์ฺ (Taiex) ของไต้หวันเกิดสัญญาณซื้อ

สังเกตดูว่ากลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นทองคำ (GC) น้ำมันดิบ (CL) และสินค้าเกษตรอื่นๆ ขณะนี้อยู่ในภาวะไร้ทิศทาง (sideway) กันหมด ดัชนี SET ของไทย และดัชนีของอีกหลายประเทศก็อยู่ในภาวะไร้ทิศทาง รูปแบบราคาขณะที่อยู่ในภาวะไร้ทิศทางมีโอกาสเกิดสัญญาณหลอกได้ง่ายกว่าขณะที่มีทิศทาง

30/11/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1005.12 ลดลง 3.88 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BEC ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 20 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดต่างประเทศปิดแดงกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่มีสัญญาณซื้อขาย