Sunday, September 30, 2012

30/09/2012 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ ขนมปังเจสุขภาพ สูตรลุงแมวน้ำ


อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลกินเจกันอีกแล้ว ปีหนึ่งผ่านไปไวเหมือนโกหก ปีความรู้สึกเหมือนกับว่าเทศกาลกินเจเพิ่งผ่านไปเมื่อไม่นานมานี้เอง

ปีนี้ฝนตก น้ำท่วม ผักเริ่มแพงแล้ว ถึงตอนเทศกาลกินเจผักคงแพงยิ่งกว่านี้อีก อย่ากระนั้นเลย ผักแพงเรามากินอย่างอื่นสลับบ้างดีกว่า ถือเป็นการเฉลี่ยต้นทุน ไม่ใช่แต่การซื้อหุ้นอย่างเดียวที่มีการเฉลี่ยต้นทุน แต่ในชีวิตประจำวันของเราก็ใช้หลักการเฉลี่ยต้นทุนได้เช่นกัน

ปกติลุงแมวน้ำไม่ได้กินเจ เพราะว่าแมวน้ำย่อมกินปลาเป็นอาหาร รวมทั้งในเทศกาลกินเจลุงแมวน้ำก็ไม่ได้กินเจกับเขา เพราะว่าของแพง อีกอย่างก็คืออาหารเจมักใส่น้ำมันเยอะ ลุงกลัวไขมันในเลือดสูงน่ะ แต่ลุงแมวน้ำก็พยายามทำให้ทุกวันของลุงเป็นวันที่ลดการเบียดเบียนชีวิตอื่น ดังนั้นตลอดปีลุงแมวน้ำจึงกินเนื้อค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ก็ทำนู่นทำนี่กินเอง ต่อไปคงเลิกได้จนหมด

ในเมื่ออาหารเจแพง อีกทั้งมันจัด ที่จริงก็ไม่ใช่อาหารเจที่มันหรอก อาหารคนเมืองที่เรากินนอกบ้านทั่วไปส่วนใหญ่ก็มันๆทั้งนั้น น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารที่เราซื้อกินนอกบ้านส่วนใหญ่มักเป็นน้ำมันปาล์มเพราะว่ามีราคาถูก อีกทั้งเป็นน้ำมันที่เหมาะแก่การทำอาหารทอด เพราะน้ำมันปาล์มทนความร้อนสูง แต่น้ำมันปาล์มนี้มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง และให้พลังงานสูง กินมากๆก็อ้วน และทำให้ไขมันในหลอดเลือดสูง นานวันเข้าไขมันเหล่านี้ก็ตกตะกอนเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดลเลือดตีบและไม่ยืดหยุ่น เหมือนท่อน้ำที่ขึ้นสนิมจนท่ออุดตันนั่นเอง ความดันก็จะสูง เห็นไหม อะไรๆก็สูงไปหมด ดังนั้นหากลดไขมันได้ก็ลดๆลงบ้าง จะได้ไม่อ้วน และหลอดเลือดจะได้มีอายุใช้งานอยู่กับเราไปได้นานๆ ลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดตีบและความดันโลหิตสูงด้วย

อาหารอย่างหนึ่งที่กินง่าย ทำสะดวก และราคาประหยัด สามารถทำกินเองที่บ้านรวมทั้งห่อไปกินในที่ทำงานก็ได้ด้วย นั่นคือ ขนมปัง หากเราหอบข้าวกล่องไปกินมื้อกลางวันที่ที่ทำงานบางทีเราอาจรู้สึกเขินๆอยู่บ้าง กลัวคนดูแคลน แต่หากเอาแซนด์วิชไปกินนี่กลับดูเท่ ลุงแมวน้ำเองเวลาไปไหนมาไหนก็พกขนมปังใส่กล่องไป ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง ไม่ได้ไปขอใครเขากินนี่ ที่จริงของกินเราคุณภาพดีกว่าเสียอีกด้วย

วันนี้เรามาทำ ขนมปังเจสูตรสุขภาพ กินกันดีกว่า สามารถกินได้ทั้งในช่วงเจและนอกช่วงเจ เพราะว่าวัตถุดิบหาไม่ยาก มีขายตลอดทั้งปี อีกทั้งเป็นอาหารที่ไขมันและพลังงานไม่สูงนัก อีกทั้งมีโปรตีนพอควร เหมาะสำหรับชีวิตคนเมืองที่ส่วนใหญ่มักทำงานนั่งโต๊ะ แต่ละวันใช้พลังงานน้อย ดังนั้นจึงไม่ควรกินพลังงานเข้าไปมากนัก และที่สำคัญก็คือ ขนมปังเจสุขภาพนี้ไม่มีกลิ่นถั่วเหลืองปน

ขนมปังเจสูตรที่ลุงแมวน้ำจะทำในวันนี้เป็น ขนมปังเจสูตรสุขภาพ เป็น ขนมปังโฮลวีตน้ำมันมะกอก ใส่งาและเมล็ดทานตะวัน ทำด้วยเครื่องทำขนมปัง วิธีทำก็แสนง่าย เพียงแต่เอาวัตถุดิบใส่ลงไปในถังอบขนมปัง จากนั้นก็ไปนอนรอ แล้วเครื่องจะนวดและอบให้เองจนขนมปังเสร็จ เราก็มาเอาออกไปกิน ไม่ต้องนวดขนมปังเองให้เมื่อยครีบ ต้นทุนวัตถุดิบแผ่นละ 6 บาทเอง หากใครจะเอาสูตรนี้ไปดัดแปลงทำขายเป็นขนมปังสุขภาพก็ได้ มามามา ลองมาทำขนมปังกินกัน

ก่อนอื่น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องมี เครื่องทำขนมปัง แต่หากใครที่ไม่มีเครื่องทำขนมปังก็ไม่ต้องท้อใจ หากมีเตาอบก็สามารถเอาสูตรนี้ไปทำได้เพียงแต่ว่าต้องนวดขนมปังเองเท่านั้น จะนวดด้วยเครื่องผสมอาหารแล้วเอาเข้าเตาอบก็ได้ หรือจะนวดด้วยมือแล้วเอาเข้าเตาอบก็ได้ ตามแต่จะพลิกแพลง



สูตรขนมปังเจสุขภาพ


เอาละ เรามาดูสูตรกันก่อน สูตรนี้เมื่ออบเสร็จแล้วจะได้ขนมปังหนักประมาณ 1.1 กิโลกรัม หรือกว่า 1 กิโลกรัมกับอีก 1 ขีด ปกติลุงแมวน้ำใช้สูตรชั่ง คือหมายถึงปรุงส่วนผสมต่างๆด้วยการชั่งน้ำหนัก แต่บางคนอาจถนัดสูตรตวง คือปรุงส่วนผสมด้วยการใช้ถ้วยตวงและช้อนตวง ลุงแมวน้ำก็วงเล็บสูตรตวงไว้ให้ด้วยแล้ว

สูตรนี้ถือว่าเป็นสูตรพื้นฐาน เราสามารถนำเอาสูตรนี้ไปพลิกแพลงได้อีกหลายอย่างเลยทีเดียว

ส่วนผสมของขนมปังสุขภาพ เจ สูตรลุงแมวน้ำมีอะไรบ้าง ดูได้ตามภาพเลย ของพื้นๆหาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งนั้น


ส่วนที่เป็นของเหลว

1. น้ำมันมะกอก 40 กรัม (¼ ถ + ½ ชช)
2. นมถั่วเหลือง (ไวตามิลค์โลว์ชูการ์ เจ) 400 กรัม (400 มล) หมายเหตุ ถ้าไม่พอสามารถเติมได้อีกตอนนวดแป้ง


ส่วนที่เป็นแป้งและเป็นผง

3. แป้งสาลีสำหรับทำขนมปัง (แป้งห่าน) 300 กรัม (3 ถ)
4. แป้งข้าวไรย์ดำ 15 กรัม (1/3 ถ)
5. แป้งโฮลวีต 100 กรัม (1 ถ)
6. ยีสต์ 10 กรัม (1 ชต + ½ ชช)
7. สารปรับปรุงคุณภาพ (U99) 8 กรัม (1 ชต + ½ ชช)
8. เกลือ 6 กรัม (½ ชต)
9. น้ำตาลทรายแดง 30 กรัม (¼ ถ)



ส่วนผสมอื่น

10. เมล็ดทานตะวัน 80 กรัม (1 ถ)
11. งา 40 กรัม ((¼ ถ)

12. ลูกเกด 140 กรัม (1½ ถ)


หมายเหต ถ = ถ้วย,  ชต=ช้อนโต๊ะ,  ชช=ช้อนชา


ลุงแมวน้ำขออธิบายรายละเอียดของส่วนผสมบางรายการก่อน

นมถั่วเหลือง ปกติขนมปังทั่วไปมักมีนมวัวเป็นส่วนประกอบ นมวัวนอกจากให้เพิ่มรสชาติแก่ขนมปัง ทำให้มีรสหอม มัน อร่อย แล้ว โปรตีนในนมยังเป็นแหล่งโปรตีนสำหรับร่างกายด้วย เมื่อเป็นสูตรเจก็ไม่ใช้นมวัว จึงเลี่ยงมาใช้นมถั่วเหลืองสูตรเจแทน นมถั่วเหลืองมีทั้งสูตรเจและไม่เจ หากจะทำขนมปังเจก็ควรเลือกสูตรเจ ที่จริงเรื่องสูตรน้ำตาลต่ำนั้นก็ไม่ค่อยจำเป็นนัก แต่ว่าลุงแมวน้ำมีนมถั่วเหลืองแบบนี้ตุนอยู่หลังโขดหิน เพราะว่าใช้ทำโยเกิร์ตเป็นประจำ จึงหยิบเอามาทำขนมปังเสียเลย ขอแนะนำว่าหากยังไม่สันทัดในการทำขนมปังก็ทำตามสูตรลุงแมวน้ำให้ใช้นมชนิดนี้ไปก่อน เพราะหากเปลี่ยนไปใช้นมถั่วเหลืองสูตรน้ำตาลสูงต้องคำนวณน้ำตาลในสูตรใหม่หมด ก็วุ่นนิดหน่อย

น้ำมันมะกอก ทำไมลุงแมวน้ำใช้น้ำมันมะกอก เพราะว่าน้ำมันมะกอกมีกลิ่นเฉพาะตัว ลุงแมวน้ำว่าหอมดี อีกทั้งเป็นน้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fat) สูงที่สุดในบรรดาน้ำมันปรุงอาหาร รวมทั้งยังมีราคาแพงที่สุดด้วย ซึ่งไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวนี้เป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพ น้ำมันที่ดีรองลงมาคือน้ำมันคาโนลา (canola oil) ราคาไม่แพง ไม่มีกลิ่นเฉพาะตัวด้วย คือไม่มีกลิ่นน่ะ ผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นน้ำมันมะกอกเปลี่ยนใช้น้ำมันคาโนลาแทนได้ หากไม่อยากใช้น้ำมันคาโนลาจะใช้น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว ก็ได้

อ้อ ลืมบอกไป สูตรนี้ลุงแมวน้ำใช้น้ำมันในปริมารพอสมควร แต่ไม่ถึงกับเยิ้มแบบที่ขายกันหรอกนะ เหตุที่ต้องใช้น้ำมันบ้างพอสมควรเพราะว่าน้ำมันให้รสชาติมัน อร่อย ทำให้อาหารน่ากิน โดยเฉพาะขนมปังหากใส่น้ำมันลงไปจะทำให้เนื้อขนมปังนุ่มนวลขึ้น

อีกอย่างที่สำคัญก็คือไขมันทำให้รู้สึกอิ่มท้องได้นาน หากอาหารที่มีไขมันน้อยกินไปแล้วทำให้รู้สึกท้องโหวงๆ ไม่อิ่มท้อง หิวไว ทำนองนั้นแหละ ดังนั้นตอนคิดสูตรต้องชั่งใจ หากน้ำมันมากไปคนกินก็อ้วนแย่เพราะได้รับพลังงานเยอะแยะ หากน้อยไปก็ไม่อิ่มท้อง เดี๋ยวก็กินอีก กินหลายรอบก็ทำให้อ้วนได้เหมือนกัน สูตรของลุงแมวน้ำใช้น้ำมันแต่พอควร

นอกจากนี้ เบเกอรี่ที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นขนมปังหรือเค้ก ควรหลีกเลี่ยงการใช้มาการีนหรือว่าเนยเทียม เนื่องจากมาการีนที่ขายในท้องตลาดส่วนใหญ่มีไขมันทรานส์ (trans fat) ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดี

แป้งสาลีทำขนมปัง แป้งสาลีที่วางขายในบ้านเรามีหลายชนิด บางชนิดใช้ทำขนมปัง บางชนิดใช้ทำเค้ก บางชนิดใช้ทำซาละเปา บางชนิดเป็นแป้งเอนกประสงค์ฯลฯ เวลาซื้อต้องดูให้ดี ในที่นี้ลุงแมวน้ำใช้แป้งสำหรับทำขนมปัง บางทีก็เรียก bread flour หากระบุเป็นตราสินค้า ลุงแมวน้ำใช้แป้งตราหงส์ ดังที่เห็นในรูป ที่จริงตราสินค้านี้เป็นรูปหงส์ แต่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมักนิยมเรียกว่า แป้งห่าน ดังนั้นเมื่อใครพูดถึงแป้งห่านก็หมายถึงแป้งตราหงส์ที่ใช้ทำขนมปังนั่นเอง ไม่ต้องงงไป

แป้งโฮลวีต (whole wheat flour) เป็นแป้งที่โม่ข้าวสาลีทั้งเปลือก ดังนั้นจึงได้กากใยมาทั้งหมด ช่วยเพิ่มใยอาหาร อีกทั้งให้วิตามินและเกลือแร่ต่างๆด้วย

แป้งข้าวไรย์ดำ (dark rye flour) เป็นแป้งสาลีชนิดหนึ่ง ทำจากข้าวไรย์ดำบดทั้งเปลือก เป็นแหล่งของไวตามิน เกลือแร่ และกากใยอาหาร แป้งข้าวไรย์ดำนี้มีรสชาติแปร่งๆนิดหน่อย ใส่มากจะทำให้ขนมปังไม่อร่อย แต่มีข้อดีคือ แป้งข้าวไรย์ดำนี้มีดัชนีน้ำตาล (glycemic index) ต่ำ ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงใส่ลงไปบ้างเพื่อไปช่วยลดไกลซีมิกโหลด (glycemic load) ของขนมปัง พูดแล้วยาว เอาเป็นว่าแป้งนี้ดีกับผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลก็แล้วกัน

ยีสต์ (baker’s yeast) เอาไว้ทำให้ขนมปังฟู และเนื้อขนมปังพรุน

สารปรับปรุงคุณภาพ (bread improver) บางทีก็เรียกว่าสาร U99 คำว่า U99 นี้เป็นยี่ห้อ สินค้าชนิดนี้ยี่ห้ออื่นก็มี สารปรับปรุงคุณภาพนี้ เป็นเอนไซม์และกรดบางตัว ช่วยทำให้เนื้อขนมปังนุ่มเนียนขึ้น จะไม่ใช้ก็ได้



เรียนการทำขนมปังเจด้วยภาพ ทำเองก็ได้ง่ายจัง


เอาละ เรามาลงมือทำขนมปังกันเลยดีกว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ลุงบรรยายด้วยภาพเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ภาพมาก่อน คำบรรยายตามหลังนะคร้าบ





นี่คือรายการวัตถุดิบที่ใช้ในการทำขนมปังสุขภาพเจ




สิ่งที่ขาดไม่ได้คือตาชั่ง ลุงแมวน้ำชอบใช้สูตรชั่ง




ขั้นแรกก็เติมนมถั่วเหลืองลงไปในถังทำขนมปังก่อน หลักการของเครื่องทำขนมปังคือต้องใส่ของเหลวลงไปก่อน นมถั่วเหลืองนี่ใช้ถ้วยตวงแบบตวงของเหลว ที่มีปริมาณบอกเป็นขีดๆอยู่ข้างถ้วย หน่วยเป็นมิลลิลิตร ตวงมา 400 มล




จากนั้นก็ตวงน้ำมันมะกอกใส่ลงไปในถังทำขนมปัง




จากนั้นก็เป็นขั้นตอนการใส่แป้ง สูตรนี้มีแป้งอยู่ 3 ชนิด ลองดูว่าหน้าตาของแป้งแต่ละชนิดเป็นอย่างไร




เติมแป้งลงไปในถังทำขนมปัง จากนั้นเติมส่วนประกอบอื่นๆที่เป็นผงตามลงไป ยกเว้น หมวดส่วนผสมอื่นๆ ข้อ 10, 11 ยังไม่เติมในตอนนี้ เก็บไว้ก่อน




เมื่อเติมครบ จากข้อ 1-9 แล้วก็นำถังทำขนมปังใส่ลงในเครื่อง วางให้ลงล็อก




เมื่อเลือกโปรแกรมทำงานและเปิดสวิตช์ เครื่องก็เริ่มทำงาน ด้วยการนวดส่วนผสมต่างๆ จะเห็นว่าแรกๆจะยังเหมือนโคลน ไม่น่าดู




เมื่อนวดไปสักครู่ ส่วนผสมจะริ่มจับตัวกันเป็นก้อน มีความเหนียวคล้ายหมากฝรั่ง ถ้ายังเหลวเป๋วนอนอยู่ก้นถังแสดงว่าใส่น้ำเยอะไป แต่ถ้าข้นคลั่กก็แสดงว่าน้ำน้อยเกินไป ในสูตรนี้ลุงแมวน้ำให้นมถั่วเหลืองค่อนข้างน้อยเอาไว้ก่อน ตอนนวดต้องสังเกตดูเนื้อแป้ง (ต้องอาศัยความชำนาญนิดหน่อย) ถ้าแป้งหนืดเกินไปก็ค่อยๆรินนมถั่วเหลืองเติมลงไปทีละหน่อย จนแป้งหนืดได้ที่




เมื่อนวดไปสักพัก เครื่องจะร้องบี๊บเตือนให้เราใส่ ส่วนผสมอื่นๆ ลงไป ส่วนผสมอื่นๆนี้มักเป็นพวกถั่วหรือเมล็ดต่างๆ ในที่นี้ตามสูตรของเราเป็นเมล็ดดอกทานตะวัน งา และลูกเกด




เครื่องจะนวดสลับกับการตีไล่แก๊ส (degas) ใช้เวลาประมาณ 1 ขั่วโมงกว่าๆ เมื่อนวดเสร็จจะพักปล่อยให้ขนมปังขึ้นฟูอีกประมาณ 1 ชั่วโมง




ขนมปังเมื่ออบเสร็จแล้ว




ขนมปังที่อบแล้วเมื่อแกะออกจากถังทำขนมปัง




เมื่อทิ้งให้เย็นก็ลงมือเลื่อนด้วยเลื่อยไฟฟ้า ควรใช้เลื่อยไฟ้าเพราะจะทำให้รอยหั่นของขนมปังเรียบสวย ขนมปังไม่มีรอยยุ่ยจากการหั่น พูดว่าเลื่อยฟังแล้วน่ากลัว ที่จริงคือที่หั่นเนื้อที่ใช้ไฟฟ้าน่ะ แต่ถ้าไม่มีก็ช้มีดเล่มใหญ่ที่คม หั่นแล้วรอยจะได้สวย หากใช้มีดเล่มเล็กเนื้อขนมปังจะลุ่ยกระจายออกมามาก



แอ่นแอ๊น นี่คือขนมปังที่ได้ ทั้งก้อนหั่นได้ 13 แผ่น รสชาติหวานนิดๆ มันหน่อยๆ หอมละมุน กรุ่นกลิ่นมะกอกอ่อนๆ ความหวานของขนมปังนี้ไม่ได้หวานที่เนื้อขนมปัง แต่หวานที่ลูกเกด




คุณค่าทางโภชนาการของขนมปังเจสุขภาพ สูตรลุงแมวน้ำ



เราลองมาดูกันว่าขนมปังของลุงแมวน้ำมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างไร




ขนมปังสุขภาพ เจ สูตรลุงแมวน้ำ ที่ใส่เมล็ดทานตะวัน (ที่ระบายสีเหลือง) 1 แผ่นให้แคลอรีประมาณ 254 กิโลแคลอรี มีคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ประมาณแผ่นละ 32, 8.1, 10.3 กรัมตามลำดับ หากไม่หิวมากมายอะไรนักก็กินแผ่นเดียว นั่งทำงานออฟฟิสอยู่ได้สบายๆ หรือหากหิวก็ กิน 2 แผ่น จะได้พลังงานและโภชนาการเท่ากับกินอาหารจานเดียว 1 จาน โดยประมาณ ต้นทุนวัตถุดิบของขนมปังปอนด์นี้อยู่ที่แผ่นละ 6 บาท กินสองแผ่นก็ 12 บาทเท่่านั้น ประหยัดมาก กินเปล่าๆนี่แหละ ไม่ต้องทาแยมหรือทาอะไร หากอยากทาก็ได้ แต่จะได้รับพลังงานจากแยมเพิ่มเข้าไปอีก

หากอยากให้ขนมปังมีปริมาณไขมันต่ำกว่านี้บ้างก็ตัดเมล็ดทานตะวันออกไป เพราะส่วนผสมนี้มีน้ำมันอยู่เยอะ หากตัดเมล็ดทานตะวันออกไป ขนมปังหนึ่งแผ่นจะให้พลังงานเพียง 216 กิลโลแคลอรี และมีปริมาณไขมันลดลงเหลือเพียง 7.2 กรัมต่อแผ่น (เดิมหากมีเมล็ดทานตะวันอยู่ที่ 10.3 กรัม ตามตาราง



การพลิกแพลงสูตรขนมปังเจสุขภาพ



สูตรขนมปังข้างบนนี้ หากเติมใบโรสแมรี (rosemarry leaves) ลงไปด้วยนิดหน่อย จะได้ขนมปังกลิ่นมะกอก-โรสแมรี หอมคลาสสิก เป็นเอกลักษณ์ เหมือนกับกินขนมปังอยู่ในสปาหรือในอุทยานเลย อธิบายไม่ถูก สูตรมะกอก-โรสแมรีนี่ลุงชอบเป็นพิเศษเลยแหละ

เนื่องจากสูตรนี้เป็นสูตรสุขภาพจึงใส่แป้งโฮลวีตและข้าวไรย์ดำไปมากพอควร แต่ผลที่ตามมาก็คือเนื้อของขนมปังอาจฟูน้อยและเนื้อขนมปังค่อนข้างร่วน กระด้างนิดหน่อย ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการลดปริมาณแป้งโฮลวีตและแป้งข้าวไรย์ให้น้อยลง แต่ไม่ใช่ลดดื้อๆ ลดแป้งโฮลวีตและข้าวไรย์ดำออกไปเท่าไรให้เติมแป้งห่านลงไปแทน (เช่น ลดแป้งข้าวไรย์ดำลง 5 กรัม ลดแป้งโฮลวีตลง 20 กรัม ก็เติมแป้งห่านลงไป 25 กรัมเพื่อทดแทน เป็นต้น) ลองผิดลองถูกดูสักครั้งสองครั้งก็จะได้สูตรที่ถูกปากถูกใจ

หากไม่ชอบกลิ่นและรสชาติของแป้งข้าวไรย์ดำ จะเปลี่ยนแป้งข้าวไรย์ดำในสูตรเป็นข้าวโอ๊ตแทนก็ได้ ข้าวโอ๊ตก็ให้กลิ่นรสที่หอมน่ากินไปอีกแบบ หรือจะเปลี่ยนเป็นแป้งโฮลวีตก็ได้เช่นกัน หรือจะเปลี่ยนเป็นแป้งห่านแทนก็ย่อมได้ หากเปลี่ยนเป็นแป้งห่านความเป็นขนมปังสุขภาพก็ลดลงไปบ้างแต่ว่าอร่อยขึ้น

ทีนี้การพลิกแพลงอย่างอื่น เราเปลี่ยนส่วนผสมอื่นๆจากเมล็ดทานตะวันและงาเป็นอย่างอื่นได้อีกมากมาย เช่น ข้าวโพด เติมลงไป 120-150 กรัม แทนที่เมล็ดทานตะวันและงา ก็ได้ ขนมปังข้าวโพด อร่อยดี พลังงานจากไขมันก็หายไปโข กลายเป็นสูตรพลังงานค่อนข้างต่ำไป ก็ต้องไปคำนวณแคลอรีกันใหม่

หรือจะเติมเป็นฟักทองบดก็ได้ ขนมปังฟักทอง รสชาติอร่อย แถมยังได้สารต้านอนุมูลอิสระจากฟักทองด้วย กล้วยหอมบดหรือกล้วยไข่บดก็ได้ ขนมปังกล้วยหอม ขนมปังกล้วยไข่ อร่อยเช่นกัน

หรือจะเปลี่ยนเป็นมะพร้าวอบแห้งก็ได้ เป็น ขนมปังมะพร้าว แต่มันจัดนะ อร่อยมาก ขอบอก แต่อ้วน

หรือจะเติมเป็น เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดอัลมอนด์ ฯลฯ ก็ได้

หากชอบแนวหวาน จะเปลี่ยนเป็น ลูกเกด หรือ ผลไม้เชื่อม ก็ได้

หรือหากเติม ไส้กรอกเจ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆลงไป ก็จะได้ ขนมปังไส้กรอก ได้ปริมาณโปรตีนเพิ่มขึ้นอีก

ข้อสำคัญคืออย่าใส่ผลไม้สด เพราะขนมปังจะเสียเร็ว

และข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การปรับเปลี่ยนสูตรมักต้องปรับปริมาณนมถั่วเหลืองตามด้วย เพื่อให้ความหนืดของเนื้อแป้งได้ที่ ดังนั้นในการปรับเปลี่ยนส่วนผสมใดๆก็ตาม ให้เริ่มใส่นมถั่วเหลืองลงไปก่อน 300 กรัม ใส่น้อยๆเอาไว้ก่อน แล้วสังเกตดูในขณะที่นวด จากนั้นค่อยๆเพิ่มนมถั่วเหลืองลงไป ความหนืดได้ที่ก็หยุดเติม

นี่แหละคร้าบ ขนมปังเจ สูตรเว้นกรรม สูตรสุขภาพ ตำรับลุงแมวน้ำ ลองเอาไปดัดแปลงทำกันดู

อูย พูดแล้วหิว ขอแว่บไปกินขนมปังก่อน ไปละคร้าบ ^__^





Friday, September 28, 2012

28/09/2012 คิวอี (QE) แบบไม่อั้น เมื่อเงินจะล้นโลก





เช้าวันนี้นายจ๋อ ลิงเจ้าปัญญาประจำคณะละครสัตว์ ผู้รักการลงทุนระยะสั้นเป็นชีวิตจิตใจ ชอบซื้อหุ้นแบบโดดเข้าโดดออกเพื่อหากำไรเป็นค่ากล้วยหอม ลิงจ๋อมาหาลุงแมวน้ำ ขณะนั้นลุงแมวน้ำกำลังจัดของอยู่บนโขดหิน ในมือนายจ๋อมีกล้วยหอมอยู่หวีหนึ่ง

“นั่นลุงแมวน้ำทำอะไรน่ะ” ลิงถาม

“จัดของน่ะสิ” ลุงแมวน้ำตอบ “ก็เห็นๆอยู่”

“เห็นน่ะเห็นอยู่” ลิงยังไม่หายสงสัย “แต่อยากรู้เหตุผลว่าจัดทำไม”

“นี่สินค้าทั้งนั้น” ลุงแมวน้ำพูดพลางใช้ครีบทำงานไปด้วย “ซื้อมาแล้วกองระเกะระกะไปหมด จนลุงไม่มีที่นอนผึ่งแดดแล้ว เพิ่งจะมีโอกาสจัดนี่แหละ อ้อ เอาไว้สะดวกเวลาหนีน้ำท่วมด้วย”

“แหม ปีนี้เอาอยู่หรอก” ลิงจ๋อยังอารมณ์ดีกับชีวิต

“อยู่ไม่อยู่ลุงก็เตรียมเอาไว้ก่อน กันไว้ย่อมดีกว่าแก้ เสียดายย่อมดีกว่าเสียใจ” ลุงแมวน้ำพูด

“เอ๊ะ คุ้นๆ ประโยคหลังนี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องจัดของใช่ไหม” ลิงถาม

“แล้วแต่นายจ๋อจะคิดสิ” ลุงแมวน้ำตอบ “ว่าแต่มาหาลุงนี่มีอะไรเหรอ เอาปลามาฝากลุงใช่ไหม”

“แหม มีแต่กล้วยหอมน่ะ กินแทนปลาไปก่อนละกันนะ” ลิงจ๋อยื่นกล้วยให้ “ว่าจะมาถามอะไรลุงหน่อย”

ลุงแมวน้ำรับกล้วยมาวางไว้บนโขดหิน ให้ก็เอา กล้วยหอมก็อร่อยดี “แล้วจะถามอะไรล่ะ”

“ก็อยากรู้ว่าเมื่อสหรัฐอเมริกาออก QE3 แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป” ลิงถามเข้าประเด็น “หุ้นจะขึ้นใช่ไหม ใครๆก็พูดกันยังงั้น”

“ฟังเขาเล่าว่าแล้วเชื่อตามนั้นได้ไง ต้องใช้กาลามสูตร ต้องรู้ที่มาที่ไปก่อนสิ แล้วพิจารณาลงทุนด้วยความรู้ ไม่ใช่ลงทุนด้วยความไม่รู้ เพราะนั่นอันตรายมาก”

ลิงจ๋อหยิบธนบัตรยี่สิบบาทออกมาพร้อมทั้งกิ๊บหนีบผ้าอันหนึ่ง จากนั้นหนีบเงินด้วยกิ๊บไว้ที่ครีบลุงแมวน้ำ

“นั่นทำอะไรน่ะ” ลุงแมวน้ำสงสัย

“ติดกัณฑ์เทศน์ไง สาธุ” ลิงจ๋อพนมมือ “เอ้า เริ่มเทศน์ได้”

“เอาละ ไม่บ่นก็ได้” ลุงแมวน้ำหัวเราะ “คุยเรื่องคิวอีกันเลยละกัน”

“คำว่าคิวอีนั้นก็คือการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจนั่นเอง แต่เรียกให้สวยๆว่า QE (quantitative easing) แปลว่าการผ่อนคลายเชิงปริมาณ แต่จะเรียกอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจนั้นก่อให้เกิดผลอะไรบ้าง” ลุงแมวน้ำหยุดจัดของและคุยกับนายจ๋ออย่างเป็นเรื่องเป็นราว

“เดือนกันยายน 2012 นี้เป็นเดือนที่มีเรื่องราวสำคัญเกิดขึ้นหลายอย่างในแง่เศษฐกิจ เริ่มตั้งแต่ธนาคารกลางของยุโรปหรือ ECB ออกมาตรการซื้อพันธบัตรอย่างไม่จำกัดเพื่อช่วยประเทศในกลุ่มยูโรโซนที่มีปัญหา ซึ่งเดิมทีธนาคารกลางแห่งยุโรปพยายามหลีกเลี่ยงการใช้มาตรนี้มาตลอด ต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องที่สหรัฐอเมริกาประกาศมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบเศรษฐกิจด้วยการซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คำประกัน ที่เรียกว่า MBS หรือ mortgage backed securities นั่นเอง โดยการอัดฉีดนี้ผ่านระบบธนาคาร เดือนละ 40,000 ล้านดอลลาร์ สรอ เพื่อกดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านให้ต่ำลง และจะอัดฉีดไปเรื่อยๆจนกว่าอัตราการว่างงานจะดีขึ้นจนน่าพอใจ ซึ่งการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกานี้ทางเฟดมีหลักคิดอยู่ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกามีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงมาก รวมทั้งเป็นตลาดที่มีการจ้างงานสูง เมื่อตลาดอสังหาฯดีขึ้นก็จะมีการจ้างงานมากขึ้น อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านที่ลดลงก็จะทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อดีขึ้น ดังนั้นเมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ดีขึ้น เศรษฐกิจของประเทศก็จะพ้นจากหล่มได้

“นอกจากนี้ ประเทศญี่ปุ่นก็อัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเองเช่นกัน เพราะว่าเงินเยนแข็งค่ามากอันเป็นผลจากการอัดฉีดสภาพคล่องของยุโรปและสหรัฐอเมริกาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้เงินดอลลาร์ สรอ และยูโรอ่อนค่า เงินบางส่วนจึงหนีร้อนมาพึ่งเยน (ก็ทั้งหนีร้อนมาพึ่งเย็นและมาพึ่งเยนนั่นแหละ) ทำให้อุตสาหกรรมของญี่ปุ่นที่ปกติก็แข่งขันได้ยากอยู่แล้วเพราะโดนสินค้าเกาหลี จีน ไต้หวันตีตลาด เมื่อเงินเย็นแข็งก็ยิ่งเสียเปรียบ เศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ติดหล่มมาประมาณ 20 ปีและดูมีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาได้แล้วก็กลับทรุดลงไปอีก ช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ธนาคารกลางของญี่ปุ่นอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและรักษาสภาพคล่องไปหลายรอบ รวมเป็นจำนวนไม่น้อยแล้ว

“ทางด้านประเทศจีน จีนได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากฝั่งตะวันตกมากทีเดียวเพราะเป็นประเทศที่พึ่งพิงการส่งออกสูง เมื่อฝั่งตะวันตกลดการใช้จ่าย อุตสาหกรรมของจีนก็ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้จีนยังมีปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศของตนเอง เช่น เรื่องฟองสบู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น ราคาอสังหาริทรัพย์ตกลงอย่างต่อเนื่อง ช่วงในวิกฤติแฮมเบอร์กอร์ จีนอัดฉีดสภาพคล่องไปแล้วสี่ล้านหยวนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ จนในช่วงหลังจีนไม่กล้าอัดฉีดเพิ่มอีกมากนักเพราะเกรงปัญหาเงินเฟ้อ แต่พยายามใช้มาตรการอื่นๆแทน

“แต่แล้วในที่สุด เมื่อวานนี้เอง (27/09/2012) ทางการจีนก็ประกาศอัดฉีดเงินอีกประมาณ 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ และอาจต้องอัดฉีดเพิ่มติมอีก ตามแต่สถานการณ์ สรุปแล้วตอนนี้ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ต่างก็เลือกใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องกัน

“ธนาคารของประเทศต่างๆอัดฉีดสภาพคล่องแล้วเอาเงินมาจากไหน คำตอบก็คือพิมพ์เงินเพิ่ม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อนนั่นเอง ที่ว่าพิมพ์เงินนั้นคงเป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพ เพราะระบบเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันใช้เงินอิเล็กทรอกนิกส์คือไม่ต้องใช้เงินกระดาษ แต่ลุงแมวน้ำก็ขอเรียกรวมๆว่าการพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อให้เรียกง่ายและเห็นภาพ”

“อ้าว นึกว่ามีแต่สหรัฐอเมริกาที่อัดฉีด ที่แท้ประเทศใหญ่อื่นๆก็เอากับเขาด้วย” ลิงจ๋อพูด “เมื่อประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ต่างก็พิมพ์เงินเพิ่ม แล้วผลจะเป็นอย่างไรละลุง”

“เราลองมาดูที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปกันก่อน ตั้งต้นกันที่ฝั่งตะวันตกก่อน เมื่อ สรอ และกลุ่มยูโรโซนพิมพ์เงินดอลลาร์ สรอ และเงินยูโรเพิ่มจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ลุงแมวน้ำหยุดนิดหนึ่งแล้วเล่าต่อไป

“ปกติแล้วการอัดฉีดสภาพคล่อง รัฐโดยธนาคารชาติมักเติมสภาพคล่องผ่านทางระบบธนาคาร แล้วให้ธนาคารเอาไปปล่อยกู้ ไม่ใช่เอาเงินไปใส่มือประชาชนโดยตรง ยูโรโซนและ สรอ ก็เช่นกัน แต่ในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดี ธนาคารแต่ละแห่งจะปล่อยกู้ก็ต้องคิดหนัก เพราะเกรงหนี้สูญ ดังนั้น ในสภาพความเป็นจริงก็คือเงินกองอยู่ในระบบธนาคารโดยไม่ถึงมือประชาชน ธนาคารมีสภาพคล่องสูงแต่ประชาชนกระเป๋าแฟบ หรือที่มักพูดกันว่าเงินล้นธนาคารนั่นเอง

“การที่นำเงินในอนาคตมาใช้นั้นทำให้ความเชื่อมั่นในเงินตราสกุลนั้นๆลดลง ผลก็คือ เงินสกุลนั้นๆจะอ่อนค่าลง เมื่อดอลลาร์ สรอ และยูโรอ่อน ผลก็คือเงินตราสกุลอื่นๆแข็งค่าขึ้นเพราะอัตราแลกเปลี่ยนนั้นสัมพันธ์กัน”

“แล้วเงินตั้งเยอะแยะนอนอยู่ในธนาคารจริงๆเหรอ” ลิงถาม

“ก็ไม่จริงเสียทั้งหมด เพราะการที่ธนาคารมีเงินอยู่ในธนาคารมากๆก็มีต้นทุนทางการเงิน ดังนั้นจำเป็นต้องหาทางทำให้เกิดดอกออกผล ธนาคารไม่กล้าปล่อยกู้แก่รายย่อยแต่กล้าปล่อยกู้แก่นักลงทุนรายใหญ่ เช่น พวกกองทุน ฯลฯ นักลงทุนก็กู้เงินไปลงทุนในตลาดพันธบัตรบ้าง ตลาดหุ้นบ้าง ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์บ้าง ไปซื้อกิจการอื่นๆบ้าง ฯลฯ เมื่อเงินไม่มีที่ไปก็ต้องหาทางไปจนได้นั่นแหละ จาก QE1 และ QE2 ที่ผ่านมาผลก็บ่งชี้เช่นนั้น เพราะตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง”


ผลจากมาตรการ QE1 และ QE2 ทำให้ตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกปรับตัวขึ้น รวมทั้งทำให้สินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นทองคำ พลังงาน และสินค้าเกษตรปรับตัวขึ้นทั่วโลกด้วยเช่นกัน


“อ้อ ยังงี้นี่เอง” ลิงจ๋อพูด

“ยังไม่ใช่เท่านี้ เงินยูโรอ่อนค่าลงเรื่อยๆใช่ไหม เงินดอลลาร์ สรอ อ่อนค่าลงเรื่อยๆใช่ไหม อย่ากระนั้นเลย เอาไปซื้อเป็นเงินตราสกุลอื่นดีกว่า เงินประเทศตนเองอ่อนค่าลงเรื่อยๆก็หนีไปถือเงินสกุลอื่นหรือไม่ก็ถือโลหะมีค่าเช่น ทองคำที่มีสภาพเป็นเงินตราสกุลหนึ่งด้วย” ลุงแมวน้ำพูดต่อ

“สมมติกรณีเงินยูโร หากเงินยูโรล้นธนาคารยุโรป ธนาคารและนักลงทุนก็จะหาช่องทางเอาเงินยูโรเงินไปแลกเป็นเงินสกุลอื่น เช่น เงินเยนของญี่ปุ่น เมื่อเอาเงินยูโรไปซื้อเงินเยน เงินเยนก็เลยแข็งค่าขึ้นเพราะว่ามีความต้องการเงินเยนเพิ่มมากขึ้น อันเป็นกลไกอุปสงค์อุปทานธรรมดา เมื่อเงินเยนแข็งค่ามากขึ้น เจ้าของเงินยูโรที่ไปซื้อเงินเยนก็ได้กำไรดี คนอื่นๆที่ถือยูโรอยู่เห็นแล้วก็เอาตามบ้าง แห่กันเข้าไปซื้อเงินเยน ผลก็คือ ยูโรอ่อนลง ส่วนเงินเยนแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ การกู้เงินยูโรที่มีต้นทุกถูกแล้วไปหากำไรในเงินสกุลอื่น ทำอย่างนี้เรียกว่า ยูโรแครีเทรด (Euro carry trade) นั่นเอง”

“ต่อเลย ต่อเลย ลุงแมวน้ำ กำลังสนุก” ลิงจ๋อพูด

“นี่ไม่ใช่นิยาย ไม่สนุกหรอก แต่เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง” ลุงแมวน้ำพูด “สมมติอีกที คราวนี้เป็นสหรัฐอเมริกา เงินล้นธนาคารใน สรอ เช่นกัน ค่าเงินก็อ่อนลงเรื่อยๆ ทำอย่างไรดี คำตอบก็คือไปลงที่เมืองไทยดีกว่า เงินดอลลาร์ สรอ ก็ไหลมาซื้อเงินบาทและนอนอยู่ในเมืองไทย เมื่อมีความต้องการเงินบาทมากขึ้น เงินบาทก็แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ แรงขายเงินดอลลาร์ สรอ มาซื้อเงินบาทก็ยิ่งมากขึ้น เพราะเห็นว่าได้กำไรดีจากอัตราแลกเปลี่ยน การกู้เงินดอลลาร์ สรอ ต้นทุนถูกไปหากำไรในเงินสกุลอื่น ทำอย่างนี้ก็เรียกว่า ดอลลาร์แครีเทรด (Dollar carry trade) นั่นเอง”

“เงินยูโรแปลงเป็นเยน เงินดอลลาร์แปลงเป็นบาท แปลงแล้วเงินไปอยู่ที่ไหน” ลิงยังสงสัยต่อไป

“เงินที่แปลงแล้วก็ต้องเอาไปลงทุนอะไรสักอย่าง จะนอนเฉยๆไม่ได้หรอก ที่เสี่ยงน้อยหน่อยก็คือคือไปลงทุนซื้อตราสารหนี้ของประเทศนั้นๆ ที่ปลอดภัยก็คือพันธบัตรรัฐบาล นักลงทุนที่เป็นผู้ชำนาญก็อาจไปลงทุนในหุ้นกู้เอกชน หรือไม่อย่างนั้นก็ลงทุนในตลาดหุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์ พวกนี้จะได้กำไรสองเด้ง คือกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน กับกำไรจากผลตอบแทนพันธบัตรหรือผลตอบแทนตลาดหุ้น สบายพุงไปเลย ดังนั้นสรุปก็คือผลจากการที่เงินทุนเคลื่อนย้ายไปได้ทั่วโลก การอัดฉีดสภาพคล่องของสหรัฐอเมริกาและยุโรปทำให้ตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง” ลุงแมวน้ำตอบ

“ถ้าเงินไหลเข้าแบบที่ลุงแมวน้ำว่า ก็แสดงว่าเงินบาทต้องแข็งค่า คนไทยก็มีอำนาจซื้อมากขึ้นด้วยสิ น่าจะเป็นเรื่องดี ชิมิ” ลิงจ๋อใช้ภาษาวัยรุ่น “หุ้นขึ้นก็ดีสิ ทุกคนก็มีกำไร”

“มันก็ไม่เชิงหรอก” ลุงแมวน้ำตอบ “เพราะว่าเมื่อเงินบาทแข็ง สมมติกรณีเงินบาทนะ เมื่อเงินบาทแข็ง การส่งออกของเราที่ฝืดเคืองอยู่แล้วก็จะยิ่งฝืดหนักขึ้น เงินเยนกับญี่ปุ่นเองก็เจอปัญหานี้เช่นกัน แต่การนำเข้าจะดีอย่างที่นายจ๋อว่า เพราะว่าผู้นำเข้าซื้อของได้ถูกลงเนื่องจากเรามีอำนาจซื้อมากขึ้น”

“ฮ่าๆ ผมก็รู้เหมือนกันนำ” ลิงจ๋อคุย

“แต่” ลุงแมวน้ำขัด “ก็มีแต่อีกนั่นแหละ เพราะว่าในแง่เศรษฐกิจของประเทศไม่ได้รับผลดี เนื่องจากแม้เงินบาทแข็ง แต่สินค้าโภคภัณฑ์ก็ถูกปั่นให้แพงขึ้นด้วย ซึ่งหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญมากคือกลุ่มพลังงาน แม้เงินบาทแข็งแต่เราก็ต้องซื้อพลังงานแพง สินค้าก็ขึ้นราคา เงินก็เฟ้อได้ สุดท้ายเงินคงเฟ้อไปทั่วโลก คนมีเงินอาจทำมาค้าขายได้กำไร แต่คนจนที่เงินในชีวิตส่วนใหญ่หมดไปกับค่าอาหารในชีวิตประจำวัน พวกนี้เดือดร้อนแน่เพราะว่าสินค้าแพงขึ้น

“ยังมีอีก” ลุงแมวน้ำพูดต่อ “เงินนอกที่เข้าประเทศมา มาไล่ซื้อหุ้น ไล่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ เงินพวกนี้จะทำให้เกิดฟองสบู่ในตลาดทุนและในภาคอสังหาริมทรัพย์ได้ เงินพวกนี้มาเร็ว เคลมเร็ว ไปเร็ว เมื่อวันใดที่เงินเหล่านี้ไหลออกไป ฟองสบู่ในประเทศของเราก็จะแตก นี่แหละลุงแมวน้ำถึงได้บอกว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าและน่าเป็นห่วงมากกว่าเรื่องน่าดีใจ

“เรื่องเงินเฟ้อแบงก์ชาติต้องเอาอยู่สิ” ลุงจ๋อพูด รู้สึกว่าชอบคำนี้เสียจริง “ขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปเล้ย ผมก็พอรู้นะ”

“ขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ไง” ลุงแมวน้ำพูด ว่าแล้วก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากหูกระต่ายมากางให้นายจ๋อดู “ลองดูตารางนี้ก่อน”




“อะไรน่ะลุง” ลิงถาม

“ตารางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบางอายุ 10 ปีของประเทศต่างๆ” ลุงแมวน้ำพูด “นายจ๋อดูสิ “ประเทศตะวันตกที่เครดิตดีๆ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส สวีเดน เดนมาร์ก ฯลฯ ล้วนแต่ผลตอบแทนพันธบัตรต่ำกว่าของไทยทั้งนั้น หากเราขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ เงินทุนก็จะยิ่งไหลเข้ามามากมายยิ่งกว่านี้ คราวนี้ยิ่งป่วน แต่หากปรับอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อลดการไหลเข้าของเงิน คราวนี้เงินก็เฟ้อ ค่าครองชีพก็สูงยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นมันเป็นสถานการณ์ที่ธนาคารกลางขยับตัวทำอะไรได้ยาก” ลุงแมวน้ำพูด

“อ้อ เหรอ” ลิงจ๋อนึกไม่ถึง

“และยิ่งไปกว่านั้น” ลุงแมวน้ำพูดต่อ “ธนาคารกลางของแต่ละประเทศมีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพของค่าเงินอย่างที่นายจ๋อว่า ดังนั้นหากมีเงินไหลเข้ามามาก ธนาคารกลางก็ต้องรักษาสเถียรภาพของเงินตรา ต้องออกพันธบัตรมารับสภาพคล่องพวกนี้เอาไว้ คือดูดเงินออกไปจากตลาดบ้างไม่ให้มีมากเกินไป แล้วธนาคารแห่งประเทศไทยดูดเงินเหล่านี้ออกมาจากตลาดแล้วเอาไปเก็บไว้ที่ไหน เงินพวกนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องจ่ายดอกเบี้ยให้เขาทั้งนั้น ตามอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร ดูดซับเงินเข้ามามากธนาคารกลางก็ยิ่งขาดทุนมาก”

“แบงก์ชาติก็เอาเงินไปลงทุนสิ” นายจ๋อรีบพูดทันที “จะปล่อยให้ขาดทุนทำไม”

“ก็นี่ไง ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ใช่วาณิชธนกิจ ดังนั้นการลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนจึงมีกรอบเข้มงวดมาก ไปลงทุนหุ้นอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอก ที่ทำได้คือไปซื้อพันธบัตรที่มีเครดิตสูงสุด อย่างเช่นพันธบัตรอเมริกัน แล้วนายจ๋อคิดดูสิ เงินดอลลาร์จากอเมริกาเข้ามาป่วนในไทยเพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่าในบ้านตนเอง แต่แล้วธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเอาเงินพวกนั้นนั่นแหละ หอบกลับไปซื้อพันธบัตรอเมริกันเอาไว้ ดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปีบ้านเรา 3.8% ต่อปี เงินต่างชาติเข้ามานอนกินดอกเบี้ยในบ้านเราในอัตรานี้ แต่ธนาคารชาติของเราต้องเอาเงินพวกนี้หอบไปซื้อพันธบัตรอเมริกาที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 1.7% ขาดทุนทั้งขึ้นทั้งล่อง เจ็บไหมล่ะ แล้วผลขาดทุนของธนาคารแห่งประเทศไทยคือหนี้สาธารณะ คนไทยทั้งชาติต้องรับเอาไว้ คนจนหรือคนรวยรับไว้เท่าเทียมกัน แล้วคนจนเสียเปรียบหนักไหมล่ะ ค่าครองชีพสูงขึ้น แล้วยังแบกหนี้เท่ากับคนรวยอีก” ลุงแมวน้ำสาธยาย

“ฮื่อ” ลิงจ๋อคราง “น่าเป็นห่วงและน่าเศร้าจริงๆด้วย”

“และยิ่งกว่านั้น เท่าที่ผ่านมา การที่โลกตะวันตกพิมพ์เงินเพิ่มแต่แล้วก็แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ ผลที่ตามมาก็คือเศรษฐกิจตะวันตกเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจไปทั่วโลก ประเทศต่างๆในที่สุดก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบเศรษฐกิจของตนบ้าง สุดท้าย ทุกฝ่ายต่างก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อน ปัญหายิ่งซ้อนปัญหาเข้าไปอีก ยุ่งเป็นลิงแก้แหอย่างที่เป็นอยู่นี้ไง”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ ผมไม่ได้แก้แห ผมพยายามแก้ขาดทุน ฮึ” ลิงพูด “ขอบคุณมากนะลุงแมวน้ำ คราวนี้หุ้นขึ้นแน่ ผมจะได้มีกำไรเอาอาไปซื้อกล้วยหอมกินสักที”

“นายจ๋ออย่าประมาท ในอดีตเป็นอย่างนั้นไม่ได้เป็นหลักประกันว่าอนาคตจะต้องเป็นเช่นเดิมอย่างแน่นอน หากมีปัจจัยพิเศษเข้ามาแทรก เช่น อุกกาบาตถล่มโลก สงครามนิวเคลียร์ โรคระบาดทั้งทวีป ฯลฯ ผลลัพธ์อาจจะเปลี่ยนไปเลยก็ได้ ตลาดหุ้นไม่เคยปรานีใคร นายจ๋อลงทุนต้องรู้จักควบคุมความเสี่ยงให้ได้ด้วยการจัดพอร์ตลงทุน”

“แหม ตัวอย่างของลุงนี่เว่อเหลือเกิน ฮิ” ลิงหัวเราะขำ “มันจะเกิดขนาดนั้นได้ยังไง”

“นั่นลุงยกตัวอย่างหมายความว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้นายจ๋อ”  ลุงแมวน้ำพูด “ที่สำคัญคือต้องรู้จักการจัดการลงทุน เมื่อมีเหตุไม่คาดหมายนายจ๋อต้องถอนตัวออกมาได้ และแม้ว่าขาดทุนก็ต้องมีทุนเหลือพอที่จะกลับเข้าไปในลงทุนใหม่ได้เมื่อโอกาสมาถึง พูดง่ายๆว่าถึงพลาดชีวิตกต้องเดินต่อไปได้ ไม่ใช่ล้มไปเลย อย่าลืมล่ะ”


Tuesday, September 25, 2012

25/09/2012 สรุปภาวะการลงทุนรอบสัปดาห์ (17/08/2012 - 12108/2012) * ย่อลงหลังตอบรับข่าว

สัปดาห์ก่อนหน้านี้เมื่อประกาศ QE3 ออกมาทั้งตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ก็วิ่งกันฝุ่นตลบ ค่าเงินดอลลาร์ สรอ อ่อนตัวหนัก แต่ในสัปดาห์ที่แล้วสถานการณ์กลับเป็นตรงกันข้าม พอฝุ่นเริ่มหายตลบ สัปดาห์ที่แล้วก็เริ่มมาตั้งสติกันว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี

มาดูฝั่งตะวันตกกันก่อนก็แล้วกัน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์ในยุโรปกลับมาอึมครึม เนื่องจากเยอรมนีกับฝรั่งเศสยังตกลงเรื่องการจัดตั้งสหภาพธนาคารยุโรปไม่ได้ ดังนั้นการแก้ปัญหาต่างๆจึงยังไม่คืบ ซึ่งในความเป็นจริงก็ควรเป็นเช่นนั้น ปัญหาหมักหมมมานานจะแก้วันในช่วงเวลาสั้นๆคงไม่ได้ ดังนั้นเรื่องวิกฤตยุโรปถึงอย่างไรก็เป็นภาพยนตร์เรื่องยาวมาก

ทางด้านสหรัฐอเมริกาก็ยังไม่ค่อยมีอะไรหวือหวาตามมาอีก แต่ความอึมครึมเริ่มกลับเข้ามาอีกครั้ง นักลงทุนก็เริ่มพูดถึงหน้าผาทางการคลัง fiscal cliff อันหมายถึงมาตรการทางการคลังหลายๆอย่างจะสิ้นสุดลงภายในปีนี้ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

ทางด้านเอเชีย ญี่ปุ่นประกาศอัดฉีดสภาพคล่องบ้าง ทั้งนี้ เพื่อต้องการทำให้เงินเยนอ่อนตัวลง และช่วยให้ธุรกิจต่างๆขับเคลื่อนต่อไปได้ ช่วงหลังบริษัทต่างๆในญี่ปุ่นขาดทุนกันทีละเยอะๆทีเดียว เพราะเสียเปรียบการแข่งขัน ค่าเงินเยนที่แข็งก็เป็นส่วนหนึ่ง

ส่วนจีน จีนนี่ไม่ปกติ ลุงแมวน้ำขอเก็บไว้เล่าในวันถัดไป เรื่องเรื่องยาวอยู่เหมือนกัน เขียนเป็นรื่องต่างหากเลยดีกว่า

สรุปแล้วในสัปดาห์ที่แล้ว ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงทุกภูมิภาค ส่วนตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้ยเล็กน้อย +0.79% ต่างชาติซื้อและขายสุทธิสลับกัน สงสัยว่าฝรั่งเองคงงงเหมือนกันว่าจะเอาอย่างไรต่อดี

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ก็ปรับตัวลง สินค้าเกษตรกับน้ำมันดิบลงแรง ทองคำเฉยๆ ทรงตัว

ด้านพันธบัตรหรือตลาดตราสารหนี้ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกันปรับตัวลงขึ้นเล็กน้อย หมายถึงมีแรงซื้อพันธบัตรกลับเข้ามาอีก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกัน 10 ปี ลดลง 11 จุดเบสิส มาอยู่ที่ 1.76% ช่วงนี้พันธบัตรอเมริกันราคาผันผวนมากทีเดียว ส่วนเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับตัวขึ้นเล็กน้อยตลอดทั้งเส้น หมายความว่ามีแรงขายพันธบัตรออกมาบ้าง พันธบัตรไทยอายุ 10 ปี มีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 3.71% ปรับตัวขึ้น 5 จุดเบสิส ลุงแมวน้ำได้ข้อมูลมาแล้ว ที่วันก่อนมีคนถาม ขณะนี้มีเงินทุนไหลเข้ามามากแค่ไหน หากดูจากพันธบัตร ตั้งแต่ต้นปีมามีเงินต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิพันธบัตรไทย 7.5 แสนล้านบาทแล้ว

ด้านอัตราแลกเปลี่ยน สัปดาห์ที่แล้วเงินดอลลาร์ สรอ กลับแข็งค่าขึ้นมา เงินตราสกุลอื่นๆจึงอ่อนค่าลงไปบ้าง รวมทั้งเงินเยนอ่อนตัวจากการแทรกแซงของธนาคารชาติญี่ปุ่น แต่ลุงแมวน้ำคิดว่าญี่ปุ่นคงทานไม่อยู่ ต่อไปค่าเงินเยนคงแข็งอีก

ลุงแมวน้ำยังปรับพอร์ตตัวเองไม่เสร็จเลย ยุ่งนั่นยุ่งนี่หลายอย่าง พอร์ตเล็กแต่วุ่นวายราวกับพอร์ตร้อยล้าน เพราะว่าลุงแมวน้ำค่อยๆดู ค่อยๆเข้า ค่อยๆเลือก พวกสินค้าโภคภัณฑ์ลุงแมวน้ำลงทุนในกองทุนรวมที่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน เพราะทำกำไรได้ดีกว่ากรณีดอลลาร์ สรอ อ่อนตัว ไม่ไปเสียกับอัตราแลกเปลี่ยน ผลตอบแทนจึงดีกว่าลงทุนในฟิวเจอร์ส อีทีเอฟ ดังที่ลุงแมวน้ำเคยเล่าให้ฟังไปแล้ว ซื้อกองทุนรวมนี่ก็วุ่นวายนิดหน่อย แต่ก็อาศัยพวกโบรกเกอร์ตลาดกองทุนรวม ทำให้ซื้อขายได้ง่ายขึ้นเยอะเลย







Photobucket

Sunday, September 23, 2012

23/09/2012 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ : ทีวีช่องลุงแมวน้ำ









คอลัมน์เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำนับวันชักจะไม่ค่อยเช้า บางทีก็มาเที่ยง มาบ่าย มาดึกๆก็เคย ^__^

มีภาพมาฝาก อยู่ข้างบนนี้ไง สองภาพนี้ภาพบนเป็นภาพน้ำตกแห่งหนึ่งในประเทศเวียดนาม ชื่อน้ำตก Ponggour falls บางแห่งก็เขียนว่า Pongua falls เป็นภาษาเวียดนาม ลุงแมวน้ำอ่านออกเสียงไม่ถูกเหมือนกัน แต่ว่าเป็นน้ำตกเจ็ดชั้น เป็นน้ำตกที่ใช้ปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง

ส่วนภาพล่างเป็นน้ำตกเหมือนกัน แต่ว่าเป็นน้ำตกเทียมที่เกิดจากน้ำท่วม อยู่ในประเทศไทยนี่เอง จังหวัดสุโขทัย ภาพล่างนี้ได้มาจากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์


วันนี้คุยเรื่องเบาๆก็แล้วกันเนอะ เรื่องเบาๆนี่ไม่ใช่เรืองนุ่น แต่หมายถึงเรื่องที่ไม่เคร่งเครียด ที่จริงลุงแมวน้ำว่าจะเขียนเรื่องธุรกิจต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว แต่เปลี่ยนใจ ไม่เอาดีกว่า วันนี้ลุงเองก็อยากสบายๆเช่นกัน ช่วงนี้กำลังผ่อนตัวเองลงบ้าง อะไรที่ไม่ทันก็ปล่อยๆไปบ้าง พยายามพักผ่อนให้มากขึ้น อย่างวันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้ เมื่อวานลุงแมวน้ำก็ไปเดินสวนจตุจักรมา ที่ว่าจะไม่ซื้อสินค้ามาตุนแล้วก็ทำไม่ได้ ต้องไปหามาตุนอีกหน่อย แล้วก็ไม่มีอะไรแล้ว ทำตัวให้ว่างๆ ตอนเย็นก็ดูหนังเกาหลี หมู่นี้ชักติดหนังเกาหลีเหมือนกัน

ส่วนวันนี้วันอาทิตย์ ก็ขอพักผ่อนอยู่บนโขดหินไม่ออกไปไหนสักวัน เดี๋ยวเขียนคอลัมน์เสร็จว่าจะจัดโขดหินให้หายรกสักหน่อย แล้วก็จะหัดเต้นกังนัมสไตล์ แมวน้ำเต้นท่าควบม้าคงเก๋ดี ^__^ ตอนนี้โขดหินของลุงแมวน้ำมีสินค้าวางระเกะระกะเต็มไปหมด ให้คนอื่นจัดให้ก็ไม่ได้เพราะเดี๋ยวลุงเองจะสับสน ตอนนี้ก็เริ่มสับสนบ้างแล้วเพราะว่ามีสินค้าหลายชิ้นที่ลุงแมวน้ำลืมจดราคาต้นทุนเอาไว้ ตอนนี้ก็นึกไม่ออกแล้ว คงต้องตั้งราคาขายแบบเดาสุ่ม หวังว่าคงไม่ขาดทุน

เรื่องการจัดหาสินค้าของลุงแมวน้ำนั้นใช้เวลาค่อนข้างมาก ก็ดังที่บอกว่าลุงแมวน้ำอยากทำธุรกิจตาม แนวคิดทุนนิยมที่เอื้ออาทรต่อกัน (compassionate capitalism) อย่างที่ลุงฝันเอาไว้ ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงมีวางสเป็กเอาไว้อย่างที่ใจต้องการ นั่นคือ ลุงแมวน้ำไม่ขายสินค้าที่เกี่ยวกับสัตว์ อย่างเช่น เครื่องหนังไม่ขาย (กระเป๋าหนังขายดีเสียด้วย แต่ลุงก็ไม่เสียดายหรอก) อาหารที่เป็นผลิตภัณฑ์จากสัตว์ นม ไข่ ก็ไม่ขาย พยายามเน้นสินค้าที่มีค่าคาร์บอนฟู้ตพรินต์ต่ำ (low carbon footprint) ย่อยสลายได้ในธรรมชาติ สนับสนุนผลิตภัณฑ์คนพิการหรือผู้ด้อยโอกาส โอย... สเป็กแบบนี้แล้วจะหาสินค้ามาขายได้ไหมเนี่ย ก็ถึงบอกว่ายากไง แต่ลุงก็พอหาได้หลายอย่างแล้ว และที่สำคัญคือลุงแมวน้ำไม่สนับสนุนการบริโภคที่ล้นเกิน อยากให้ซื้อแต่พอควร ไม่ต้องซื้อมาก พออ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงคิดในใจว่าธุรกิจลุงแมวน้ำไม่รอดแน่ ขายของแล้วบอกลูกค้าว่าไม่ต้องซื้อมาก... ก็คงต้องดูกันต่อไป ลุงแมวน้ำเพิ่งเริ่มต้น ต้องสู้กันต่อไป

ร้านค้าออนไลน์ของลุงแมวน้ำค่อยๆไปอย่างช้า ช้ามากๆเลยแหละ เมื่อได้ทำแล้วจึงได้รู้แจ้งเห็นจริงว่าการเป็นผู้ประกอบการรายเล็กนั้นยากกว่าเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่มาก หากเป็นรายใหญ่ก็มีเงินจ้างลูกน้อง ใครถนัดอะไรก็เอาอย่างนั้นไปทำ แต่ผู้ประกอบการรายย่อยหรือรายเล็กๆนั้นต้องทำเองหมดทุกอย่างตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ งานแอดมิน งานบัญชี การเงิน สต็อกสินค้า การตลาด การติดต่อ ฯลฯ แม้แต่ถูพื้นออฟฟิสก็ต้องทำเอง อย่างนี้ไม่เรียกว่าอัจฉริยะแล้วจะให้เรียกว่าอะไร แต่ก็อีกนั่นแหละ เพราะว่าไม่มีใครเก่งไปหมดทุกอย่าง คนเราก็เก่งได้เพียงไม่กี่อย่าง ดังนั้นการเป็นผู้ประกอบการรายย่อยจึงอยู่รอดได้ค่อนข้างยากเนื่องจากก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ไปไม่ได้ เพราะโดยสภาพการณ์แล้วจำเป็นต้องเก่งหมดทุกอย่าง แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น รวมทั้งต่อไปเมื่อเปิดเสรีเออีซี (AEC) หรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เศรษฐกิจแบบทุนนิยมกระแสหลักไม่ได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ แต่ตรงกันข้าม มีงานวิจัยมากมายที่ชี้ให้เราเห็นว่าเศรษฐกิจแบบทุนนิยมกระแสหลักเอื้อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น นั่นคือ ยิ่งทำให้รวยกระจุก จนกระจายนั่นเอง

ลุงแมวน้ำเห็นว่าต่อไปผู้ประกอบการรายกลางจะถูกรายใหญ่เทกโอเวอร์ไปเป็นส่วนใหญ่ ส่วนรายเล็กก็คงล้มหายตายจากไปค่อนข้างมากเนื่องจากแข่งขันไม่ไหว สายป่าน ความรู้ และปัจจัยเกื้อหนุนต่างๆก็สู้รายใหญ่ไม่ได้ อีกทั้งรายเล็กจะไม่มีคนทำงานด้วย คือหาพนักงานไม่ได้นั่นเอง
แล้วจะอยู่ยังไงไหว ดังนั้นต่อไปธุรกิจส่วนใหญ่คงเป็นรายใหญ่กับรายจิ๋ว คือเหลือแต่ปลาใหญ่กับเหาฉลามเท่านั้น อ้อ ยังเหลืออยู่อีกชนิดหนึ่งที่น่าจะรอดได้ นั่นคือแมวน้ำไง คุยเขื่องเสียอีก ^__^

ช่วงที่ผ่านมารถติดมาก ฝนตกรถติด ไปไหนมาไหนใช้เวลาเยอะมาก เหนื่อยกว่าเดิมเยอะเลย เสียดายพลังงานที่ถูกเผาไปในท้องถนนจัง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ลุงแมวน้ำเองก็พยายามลดการเดินทางลง จะไปไหนทีก็พยายามแวะไปหลายๆที่ จะได้ประหยัดการเดินทาง บางวันจะได้ไม่ต้องออกไปไหน เสียดายเวลาเนอะ เอาไปไปออกกำลังกายดีกว่า หรือแม้แต่นอนเล่นพักผ่อนก็ยังได้ประโยชน์กว่าไปนั่งหรือยืนรถติดอยู่บนท้องถนน

พูดถึงการออกกำลังกาย ลุงแมวน้ำอยากเป็นกำลังใจให้พวกเราออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างลุงแมวน้ำเองจัดลำดับความสำคัญของการออกกำลังกายอยู่ต้นๆเลย ชอบไปสวนลุม แต่ช่วงนี้ฝนตกรถติดก็ไปยากขึ้น ก็หย่อนๆลงมาบ้าง การมีสุขภาพทีดีนั้นการออกกำลังกายสำคัญเป็นที่สอง ในความคิดของลุงแมวน้ำ สิ่งสำคัญอันดับแรกคือเรื่องการบริโภค หากกินมากออกกำลังเท่าไรก็เผาไม่ทัน นอกจากนี้ หากพยายามออกกำลังกายอย่างหนักเพื่อเผาแคลอรี่ที่กินเข้าไปมาก สุดท้ายก็แก่เร็วนะจะบอกให้ ลองสังเกตดูสิ พวกนักเพาะกล้าม นักกีฬาอาชีพ ฯลฯ พวกที่ต้องออกกำลังกายหนัก ส่วนใหญ่มักแก่เร็ว ที่เป็นอย่างนี้อธิบายได้ด้วยทฤษฎีความชราของเซลล์ ใช้งานมากก็เสื่อมมาก ดังนั้นการออกกำลังกายหนักหรือหักโหม หรือทำงานหนักหักโหม ล้วนแต่ไม่ดีต่อสุขภาพ อะไรที่เกินไปก็ไม่ดี

สัปดาห์ที่แล้วลุงแมวน้ำกลับเข้าไปลงทุนในตลาดอีก ครั้งนี้ลุงระวังตัวมากทีเดียว เพราะดูอะไรๆมันไม่ค่อยชอบมาพากลเท่าไรนัก ดังนั้นต้องพยายามกระจายการลงทุน ครั้งนี้ลุงแมวน้ำลงทุนในตราสารหนี้ในสัดส่วนสูงเพราะระวังตัวมาก ที่จริงลุงแมวน้ำยังไม่ได้เปลี่ยนมุมมองเลย คือยังมองในระยะยาวว่าเป็นคลื่น C เช่นเดิม ยังไม่เปลี่ยนมุมมองระยะยาวเพราะว่ายังไม่ถึงจุดที่จะเปลี่ยน แต่ที่เข้าลงทุนเพราะว่าระยะสั้นกับระยะกลางน่าจะเป็นขาขึ้น การเทรดด้วยระบบสัญญาณจะใช้แนวโน้มระยะยาวมาตัดสินใจลงทุนไม่ได้ ต้องใช้แนวโน้มระยะสั้นเป็นหลัก และแนวโน้มระยะกลางประกอบ

อ้อ เกือบลืมบอกไป ตอนนี้ลุงแมวน้ำมีช่องทีวีเป็นของตนเองแล้วนะ ทีวีช่องลุงแมวน้ำ uncaseal channel เท่จริงๆ ดูได้ทางยูทูป ตอนนี้เพิ่งโพสต์คลิปไปได้คลิปเดียว แต่ต่อไปก็มีเพิ่มเติม ช่วงที่ผ่านมาลุงแมวน้ำแบ่งเวลาไปหัดทำคลิป ทั้งการตัดต่อ ใส่คำบรรยาย ใส่เสียงประกอบ ฯลฯ สนุกดีเหมือนกัน นอกจากนี้ลุงยังหัดใช้งานโปรแกรมบัญชีอีกด้วย ไม่ใช่นักบัญชีแต่ก็ต้องทำบัญชีเอง อันนี้ไม่ค่อยสนุก แต่ก็ต้องทนๆไป

ทีวีช่องลุงแมวน้ำอยู่ด้านบนคร้าบ คลิปแรกนี้เป็นวงดนตรีบุคคลพิเศษ ถ่ายทำจากตลาดนัดสวนจตุจักร เมื่อวานนี้เอง ยังร้อนๆอยู่เลย เสียงร้องใช้ได้นะ มีความสามารถทีเดียว



วันนี้คุยสบายๆ ไม่มีสาระอะไรมากมาย พรุ่งนี้ลุงแมวน้ำต้องเดินทาง รับจ๊อบงานแสดงเอาไว้ที่โคราช ไม่อยากไปเลย ฝนตกถนนลื่น อันตรายอยู่เหมือนกัน พยายามเลี่ยงแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ ก็คงต้องไปนั่นแหละ แต่ยังไงก็ตามพรุ่งนี้จะอัปเดตเรื่องการลงทุนทาง FB ส่วนเว็บบล็อกจะอัปเดตอีกครั้งวันอังคาร

ไปละคร้าบ ^__^

Tuesday, September 18, 2012

18/09/2012 สรุปภาวะการลงทุนรอบสัปดาห์ (10/08/2012 - 14/08/2012) * ขึ้นกระจายรับ QE3



สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์แห่งความผันผวนจริงๆ ผลจากการประกาศมาตรการเข้าซื้อพันธบัตรกลุ่มยูโณโซนของ ECB กับการประกาศ QE3 ของสหรัฐอเมริกา ทำให้ตลาดหุ้นขึ้นกันกระจาย บางตลาดขึ้นถึงประมาณ +7% ทีเดียว ส่วนสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำกกับน้ำมันดิบขึ้นไม่มาก +2% ถึง +3% โดยประมาณ สินค้าเกษตรขึ้นแรงเป็นบางชนิด เช่น กาแฟ ยางพารา ประมาณ +10% l่วนสินค้าเกษตรหลัก ได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวโพด ถั่วเหลือง ขึ้นเพียงนิดหน่อยเท่านั้น

อัตราแลกเปลี่ยนก็ผันผวน เงินดอลลาร์ สรอ อ่อน เงินสกุลอื่นแข็งค่ากันถ้วนหน้า แต่หากดูในรายละเอียดจะพบว่าเงินสกุลเอเชียแข็งค่ากว่าสกุลยุโรป นั่นคือ เงินดอลลาร์ออสเตรเลีย ดอลลาร์สิงคโปร์ เงินบาท แข็งค่ามากกว่าเงินสกุลมั่นคงของยุโรป เช่น ฟรังก์สวิส สวีเดนโครน นอร์เวย์โครนา ส่วนเงินยูโรนั้น +2.45% แปละเงินรูเบิลรัสเซีย +3.5% สองสกุลนี้ผันผวนหนัก

เงินบาทแข็งค่าถึง +1.5% ในสัปดาห์เดียว ต่อไปธุรกิจส่งออกคงลำบากขึ้นอีกเพราะค่าเงินบาทแข็งอีกทั้งคงยังไม่นิ่ง ลุงแมวน้ำขายสินค้าต่างประเทศก็คงลำบากขึ้นเหมือนกัน แต่ก็ยังต้องสู้ต่อไป ลุงแมวน้ำเฮดจ์ค่าเงินไว้ที่ 31.0 บาท/ดอลลาร์ สรอ ด้วยการเปิดสัญญาขาย (open short position) ฟิวเจอร์สของดอลลาร์ สรอ (USD futures) ไว้จำนวนหนึ่ง ดังนั้นต่อไปลุงแมวน้ำขายของก็คิดค่าเงินคงตัวที่ 31.0 บาท/ดอลลาร์ สรอ ก็พอ ไม่ต้องคอยปรับราคาขายตามอัตราแลกเปลี่ยน และช่วยให้ราคาสินค้าของลุงแมวน้ำไม่แพงนักด้วย

ตลาดหุ้นไทยก็ขึ้นได้พอควร +2.4% ต่างชาติซื้อบ้าง ขายบ้าง แต่ช่วงหลังดูจะซื้อมากกว่าขาย แต่หากพูดถึงเงินเข้าตอนนี้เงินต่างชาติยังอยู่ในประเทศไทยอยู่มาก โดยอยู่ในตลาดพันธบัตร คงต้องตามดูความเปลี่ยนแปลง

ทางด้านตลาดตราสารหนี้ การประกาศมาตรการ QE3 ทำให้มีแรงขายตราสารหนี้ออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่พอคาดเดาได้ เนื่องจากทุกคนต่างก็คิดไปในทางเดียวกันว่าผลจาก QE ทั้งในภาคยูโรและในภาคสหรัฐอเมริกาจะทำให้เงินเฟ้อ ผลตอบแทนพันธบัตรอาจไม่เพียงพอที่จะสู้เงินเฟ้อ เงินจึงไหลไปสู่สินทรัพย์เสี่ยงเพื่อเก็งกำไรในตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกันที่อายุมากกว่า 5 ปีปรับตัวสูงขึ้น และเช่นเดียวกับเส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรไทยที่มีอัตราผลตอบแทนสูงขึ้นตลอดทั้งเส้น โดยเฉพาะในกลุ่มพันธบัตรไทยที่อายุ 7 ปีขึ้นไปนั้นอัตราผลตอบแทนสูงขึ้น 10-20 จุดเบสิส


มาดูกราฟบางตัวกันดีกว่า แต่แนวโน้มคงเปลี่ยน ลุงเบนเฮลิคอปเตอร์สั่ง QE3 ผลคงทำให้ตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น เงินเฟ้อคงเพิ่มสูงขึ้นตามมา คิดว่าคงต้องนับคลื่นใหญ่กันใหม่ ตลาดขาขึ้นในครั้งนี้ (หากเกิดขึ้นจริง) ลุงแมวน้ำเข้าลงทุนด้วยความสลดหดหู่ใจ นี่พูดจากใจจริง ไม่ได้ดราม่า คนรวยจะรวยยิ่งขึ้น ส่วนคนจนจะยิ่งจนลง ลุงแมวน้ำไม่คิดว่าลุงเบนสามารถใช้วิธีนี้แก้ปัญหาปากท้องของคนจนได้ มีแต่จะยิ่งจนลง รวมทั้งยังกระทบถึงประเทศอื่นๆให้ปั่นป่วนไปด้วย

ตอนนี้สหรัฐอเมริกากับยูโรโซนคือคนขับรถบรรทุกที่ง่วงนอนแล้วไม่ยอมนอนพักผ่อน กินกาแฟไปสองสามแก้วแล้วก็ยังง่วงอยู่ จึงตัดสินใจกินยาบ้าลงไป กินแล้วตาสว่าง ขับรถต่อได้ ต่อไปเมื่อคนขับรถคนนี้ฝืนไม่ไหวก็จะลืมตาขับแต่สมองไม่สั่งการ คือหลับในนั่นเอง แล้วอุบัติเหตุก็จะเกิดขึ้น รถบรรทุกคันนี้คงชนรถคันอื่นหรือชนคนเดินถนน หรือทะลวงเข้าไปในร้านค้าข้างทาง จะมีผู้บริสุทธิ์ต้องมารับเคราะห์กรรมไปด้วยเพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดของคนขับรถบรรทุกนี้




ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาผ่านแนวต้านสำคัญไปได้แล้ว



ตลาดหุ้นไทยก็ผ่านแนวต้านสำคัญไปได้ ทำสถิติสูงสุดในรอบ 16 ปี



สินค้าเกษตร ถั่วเหลือง ทำราคาสูงสุดตลอดกาลใหม่ ช่วงปลายเดือนสิงหาคมกับต้นเดือนกันยายน ถั่วเหลืองกับข้าวโพดทำสถิติราคาสูงสุดใหม่ พร้อมกับภาวะเงินเฟ้อในเดือนสิงหาคมที่เพิ่งสูงขึ้นในหลายๆประเทศ






Photobucket

Sunday, September 16, 2012

16/09/2012 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ : ลุงแมวน้ำทำธุรกิจ (2)



เมื่อสัปดาห์ที่แล้วไม่มีสารคดีวันหยุด เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ เนื่องจากลุงแมวน้ำลาป่วยเนื่องจากปวดตา สาเหตุก็มาจากทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป ขอพักผ่อนสายตาสักหน่อย ที่จริงอาการปวดตาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะเป็นสัญญาณเตือนให้ลุงแมวน้ำรู้ตัวว่าทำอะไรเกินความพอดีไปแล้ว

ช่วงนี้ลุงแมวน้ำหักโหมงานมากเกินไปเนื่องจากพยายามจะเปิดร้านค้าออนไลน์เพื่อทำอีคอมเมิร์ซให้ได้โดยเร็วที่สุด ความตั้งใจที่เกินพอดีบางครั้งก็มีข้อเสีย ที่ลุงไม่สบายในครั้งนี้ทำให้ลุงแมวน้ำได้คิดในหลายๆเรื่องที่ลืมคิดไป ตอนนี้ก็เลยผ่อนตัวเองลงมาบ้าง พยายามทำตัวให้อยู่ในทางสายกลางมากขึ้น อะไรที่ทำเต็มที่แล้วยังไม่ทันตามเป้าก็ต้องทบทวนกันใหม่ พยายามไม่หักโหมจนเกินกำลังอีก ช่วงนี้ลุงแมวน้ำจึงพักผ่อนมากขึ้นอีกนิด นอนเยอะขึ้นอีกหน่อย สัปดาห์ที่ผ่านมาจึงอาจสังเกตได้ว่าลุงแมวน้ำห่างหายจากเว็บบล็อกและเฟซบุ๊กไปบ้าง ไม่ได้เรียกว่าเกียจคร้านหรอกนะ เรียกว่าพักผ่อนเยอะขึ้น โปรดอย่าเข้าใจผิด ^__^

นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่อง QE3 ขึ้นมาอีกด้วย การทำ QE3 คงทำให้พฤติกรรมการลงทุนของมหาชนเปลี่ยนไป ซึ่งส่งผลให้ความเคลื่อนไหวของราคาเปลี่ยนแปลงไป และทำให้รูปแบบทางเทคนิคเปลี่ยนแปลงไป อาจต้องนับคลื่นระยะกลางกับคลื่นระยะยาวกันใหม่ ขอเวลาดูผลอีกสักระยะหนึ่ง ตอนนี้ลุงแมวน้ำเตรียมเข้าลงทุนอีกแล้วเพราะสถานการณ์เปลี่ยน เดิมทีลุงแมวน้ำพักการลงทุนหลักมาเป็นเวลานานหลายเดือนแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมาจึงต้องมาวางแผนการลงทุนใหม่

เอาละ วันหยุดไม่คุยเรื่องการลงทุน เพียงแค่เล่าความเปลี่ยนแปลงให้ฟังเท่านั้น มาคุยเรื่องสบายๆกันดีกว่า นั่นคือลุงแมวน้ำจะเล่าเรื่องทำธุรกิจให้ฟังกันต่อจากคราวที่แล้ว

ทวนกันนิดหน่อย คราวที่แล้วลุงแมวน้ำเล่าให้ฟังว่าเลือกลงทุนในธุรกิจอีคอมเมิร์ซเพราะใช้การลงทุนเริ่มต้นต่ำ รวมทั้งมีการกระจายความเสี่ยงทั้งในแนวตั้งและในแนวราบ การกระจายความเสี่ยงในแนวตั้งคือการลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงต่างระดับกัน ส่วนการการจายความเสี่ยงในแนวราบคือการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีระดับความเสี่ยงพอๆกัน โดยเลือกลงทุนในสินทรัพย์หลายตัว ไม่กระจุกในสินทรัพย์เพียงตัวเดียว

การทำอีคอมเมิร์ซหรือพาณิชย์อิเล็กทรอนิกนั้นสามารถทำได้อย่างอย่าง แต่ลุงแมวน้ำจะขอแบ่งตามความเข้าใจของลุงแมวน้ำเองเป็น 2 รูปแบบหลัก นั่นคือ

รูปแบบแรก ไม่มีสินค้าหรือบริการเป็นของตนเอง การทำอีคอมเมิร์ซในรูปแบบนี้ผู้ทำไม่มีสินค้าหรือบริการเป็นของตนเอง แต่ช่วยคนอื่นขาย พูดง่ายๆก็คือเป็นนายหน้าขายสินค้า/บริการให้แก่ผู้อื่นนั่นเอง ซึ่งในทางอีคอมเมิร์ซมักเรียกว่าการเป็น พันธมิตรธุรกิจ (affiliate)

รูปแบบนี้มีการลงทุนด้านทรัพย์สินต่ำ คือหมายความว่าไม่ต้องมีสต็อกสินค้าเอง แต่การเป็นพันธมิตรธุรกิจช่วยเขาขายสินค้านนั้นใช่ว่าไม่ต้องลงทุนอะไร ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านกำลังสมองหรือเป็นการลงทุนด้านความคิดมากกว่า นั่นคือ จะเชียร์สินค้าอย่างไรให้ขายได้ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยความสามารถเช่นกัน

วิธีการดำเนินงานของการทำธุรกิจแบบพันธมิตรก็คือ เราต้องเปิดเว็บไซต์หรือเว็บบล็อกของเราขึ้นมา แล้วก็เลือกสินค้าหรือบริการที่เรามีความสันทัด จากนั้นก็เขียนบทความแนะนำสินค้าตัวนั้น จากนั้นก็แนะนำไว้ในบทความว่าหากจะซื้อสินค้าตัวนี้ให้ไปซื้อที่นี่ ตามลิงก์ที่เราแนะนำ เมื่อผู้ซื้อคลิกเข้าไปซื้อตามลิงก์ที่เราระบุเอาไว้ พันธมิตรก็จะได้ส่วนแบ่งจากการขายหรือว่าค่านายหน้าจากการขาย แต่หากผู้ซื้ออ่านบทความของพันธมิตรแล้วไม่ได้คลิกลิงก์เข้าซื้อ แต่ไปซื้อที่อื่น พันธมิตรก็ไม่ได้อะไรเหมือนกัน

การทำอีคอมเมิร์ซแบบพันธมิตรธุรกิจเป็นที่นิยมกันมาก ขายได้ทั้งสินค้ามีตัวตน เช่น ทีวี รถยนต์ หนังสือ ฯลฯ อะไรก็ได้ บางทีขายของที่มีราคาสูงได้ก็ได้ส่วนแบ่งมาหลายเงินอยู่เหมือนกัน ก็พอเลี้ยงตัวได้ หรือจะเป็นสินค้าไม่มีตัวตน เช่น ขายอีบุ๊ก ซอฟต์แวร์ ก็ได้ หรือจะเป็นพันธมิตรขายบริการ เช่น แนะนำโรงแรม สปา หลักสูตรการเรียน ฯลฯ ก็ได้

ที่จริงการเป็นนายหน้าซื้อขายนอกจากการเป็นพันธมิตรธุรกิจแล้วปัจจุบันยังมีอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นคือ ที่เรียกว่าดรอปชิป (dropshipping) ซึ่งลุงแมวน้ำยังไม่พูดถึงดีกว่า เดี๋ยวจะยืดยาวเกินไป

อีคอมเมิร์ซอีกรูปแบบหนึ่ง นอกจากการทำพันธมิตรธุรกิจแล้ว ก็เป็นการ ซื้อขายสินค้าหรือบริการโดยตรง นั่นเอง การทำอีคอมเมิร์ซแบบซื้อขายรูปแบบนี้ผู้ขายต้องลงทุนด้านสินค้าหรือบริการด้วยตนเอง เช่น หากเป็นสินค้ามีตัวตนก็ต้องมีสต็อกสินค้าของตนเอง ใครมาซื้อจะได้พร้อมขาย หากเป็นสินค้าไม่มีตัวตน เช่น อีบุ๊ก ก็ต้องไปซื้อสิทธิ์จากผู้ทรงสิทธิ์เพื่อเอามาขาย หากเป็นบริการก็ต้องมีบริการไว้รองรับลูกค้าจริงๆ เช่น มีร้านสปาอยู่จริง เป็นต้น อีคอมเมิร์ซในรูปแบบซื้อขายนี้ก็ต้องใช้ทุนมากหน่อย สินค้า/บริการบางชนิดมีราคาแพงก็ยิ่งต้องใช้ทุนมาก การลงทุนนอกจากต้องลงทุนในตัวสินค้า/บริการ ที่จะขายแล้วยังต้องลงทุนในตัวระบบประกอบการขายต่างๆอีกด้วย เช่น มีซอฟต์แวร์ร้านค้าออนไลน์ มีระบบบัญชี มีระบบจัดส่งสินค้า ฯลฯ

อีคอมเมิร์ซสองรูปแบบหลัก คือ เป็นพันธมิตรธุรกิจ กับแบบเปิดร้านขายสินค้า/บริการ สองรูปแบบหลักนี้ทำให้เกิดธุรกิจต่อเนื่องขึ้นมาอีกมากมาย เช่น ธุรกิจเว็บโฮสติง ธุรกิจออกแบบ ธุรกิจที่ปรึกษา ธุรกิจรับเขียนซอฟต์แวร์ ธุรกิจรับจ้างเขียนบทความ รับทำ seo ฯลฯ

สำหรับลุงแมวน้ำ ลุงแมวน้ำเลือกที่จะทำธุรกิจซื้อขายสินค้าที่มีตัวตนครับ หากจะถามว่าทำไมเลือกแบบนี้ก็คงต้องตอบว่าแล้วแต่ความชอบ ลุงแมวน้ำคิดว่าตนเองถนัดที่จะทำธุรกิจซื้อขายสินค้า รวมทั้งมีความชอบที่จะทำแบบนี้มากกว่า เรื่องการเป็นพันธมิตรธุรกิจ หรือการซื้อขายบริการนั้นลุงแมวน้ำคิดว่าตนเองไม่ค่อยถนัดเท่าไร

เอาละ เมื่อลุงแมวน้ำเลือกรูปแบบธุรกิจ โดยเลือกที่จะทำธุรกิจซื้อขายสินค้าที่มีตัวตนแล้ว ลุงแมวน้ำทำอย่างไรต่อ

ลุงแมวน้ำก็ต้องมาคิดต่อไปว่า จะขายให้แก่ใคร ขายอะไร และขายอย่างไร

สำหรับลุงแมวน้ำแล้วเรื่องขายให้แก่ใคร หรือว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นใคร ต้องคิดก่อน ส่วนเรื่องขายอะไร และขายอย่างไรนั้น ค่อยคิดตามมา แต่บางคนก็บอกว่าต้องคิดเสียก่อนว่าขายอะไรเป็นอย่างแรก ก็แล้วแต่นะ แต่ลุงแมวน้ำถนัดแบบคิดเรื่องขายใครก่อนมากกว่า

ที่ว่าย ขายใครหรือว่าขายให้แก่ใครนั้นก็คือการกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั่นเอง ปกติเวลาเรียนเรื่องการตลาดก็มักสอนกันว่าเรื่องกลุ่มเป้าหมายต้องชัดเจน แต่หากลองไปถามนักธุรกิจเอสเอ็มอีว่าสินค้าของคุณตัวนี้กลุ่มเป้าหมายเป็นใคร ส่วนใหญ่มักตอบว่าขายประชาชนทั่วไป ขายลูกค้าทั่วไป ทุกเพศ ทุกหมู่เหล่า หากตอบแบบนี้ก็ทำการตลาดยาก เพราะกลุ่มลูกค้ามีหลายแบบ แต่ละแบบมีวิธีการทำตลาดที่แตกต่างกัน แม้แต่สินค้าตัวเดียวกันหากทำการตลาดในลูกค้าคนละกลุ่มก็อาจต้องทำการตลาดคนละแบบ หากตอบว่ากลุ่มลูกค้าคือประชาชนทั่วไปแบบนี้คงเหนื่อยเพราะทำการตลาดกันไม่ถูก

สำหรับลุงแมวน้ำ ที่ลุงแมวน้ำเลือกก็คือ กลุ่มลูกค้าที่เป็น GEN C จะเลือกผิดหรือเลือกถูกลุงแมวน้ำก็ไม่รู้ละ แต่ว่าลุงแมวน้ำตัดสินใจเลือกกลุ่มนี้เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไปแล้ว

GEN C คืออะไร ก็คือ เจเนอเรชัน ซี (generation C) นั่นเอง ในทางการตลาด เราจำแนกกลุ่มผู้บริโภคตามวัย เช่น เบบี้บูมเมอร์ (baby boomer) เจนเอ็กซ์ (gen x) เจนวาย (gen y) ฯลฯ

Baby boomer หรือกลุ่มหลังสงครามโลกครั้งที่สองอันเป็นยุคที่ประเทศต่างๆฟื้นฟูชาติหลังสงครามกันเป็นการใหญ่ ยุคนี้มีประชากรเกิดขึ้นมามากทดแทนผู้ที่ล้มหายตายจากไปในสงคราม กลุ่มนี้ปัจจุบันอายุ 50 ปีขึ้นไป นี่แบ่งคร่าวๆ มีแบ่งหลายตำรา บางตำราก็ว่าอายุ 47 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่มีค่านิยมหนักเอาเบาสู้ ความอึดเป็นเลิศ เก็บหอมรอมริบ เพราะผ่านความลำบากหลังสงครามโลกมา เรื่องไอทีไม่ค่อยรู้หรอก เพราะโตมาในยุควิทยุตู้สี่เหลี่ยมใหญ่ๆ ซื้อของโดยยึดประโยชน์ใช้สอยเป็นสำคัญ

Gen X กลุ่มนี้เป็นลูกของเบบี้บูมเมอร์ ปัจจุบันมักอายุ 30 ปีขึ้นไป ยังมีพฤติกรรมหนักเอาเบาสู้ ประหยัด แม้ไม่ได้ผ่านความยากลำบากในยุคฟื้นฟูชาติมาด้วยตนเองแต่ก็โตมาในยุคสงครามเย็นที่ความลำบากยังคงมีอยู่ ดังนั้นความหนักเอาเบาสู้กับความประหยัดจึงมีอยู่ แต่อาจหย่อนๆมาจากรุ่นพ่อแม่บ้าง ความอึดยังมีอยู่ พวกนี้โตมาในยุคโทรทัศน์ขาวดำ เรื่องไอทีมาเรียนรู้เอาตอนโต ยังซื้อสินค้าโดยยึดประโยชน์ใช้สอยเป็นสำคัญ

Gen Y กลุ่มนี้คือกลุ่มคนที่อายุต่ำกว่า 30 ปี ที่จริงยังมีซอยย่อยลงมาเป็นกลุ่มเด็กหรือพวกยุคมิลเลนเนียม (millennium gen) อีก แต่เยอะเกินไป ลุงแมวน้ำเอาแค่นี้พอ สำหรับคนรุ่นนี้ สงครามโลกคือประวัติศาสตร์ที่นึกภาพไม่ค่อยออกว่าเป็นอย่างไร พ่อแม่ ปู่ย่า ก็เลี้ยงมาแบบทะนุถนอม ไม่อยากให้ลำบากเหมือนตนเอง ดังนั้นพวกนี้จึงโตมาในสภาพแวดล้อมอีกแบบหนึ่ง ทำให้รักสะดวกสบาย กลุ่มนี้มีพฤติกรรมกล้าลอง กล้าเรียน กล้าแหกกฎเกณฑ์ ทะเยอทะยาน กล้าที่จะให้รางวัลในชีวิตแก่ตนเอง ผลก็คือกล้าใช้จ่ายทั้งๆที่อาจจะมีรายได้น้อย เจนวายโตมาในยุคโทรทัศน์สีและเกมคอมพิวเตอร์ มาใช้อินเทอร์เน็ตตอนวัยรุ่น พวกนี้ใช้จ่ายซื้อของเพราะคุณค่าทางอารมณ์มากขึ้น คือ ประโยชน์ใช้สอยจะอย่างไรอาจไม่สำคัญ แต่ซื้อเพราะต้องการสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ก็อยากได้น่ะ มีอะไรไหม ทำนองนั้นแหละ

ขอแถมหน่อยก็ได้ หลังเจนวายคือยุคมิลเลนเนียม เด็กยุคมิลเลนเนียมโตมากับไฮสปีดอินเตอร์เน็ต และเกมคอมพิวเตอร์แบบ 3D รวดเร็ว ฉับไว จึงส่งผลให้เด็กรุ่นนี้มีโลกส่วนตัวสูง อบอุ่นในโลกออนไลน์แต่เดียวดายในโลกแห่งความเป็นจริง มนุษยสัมพันธ์ไม่ค่อยดี พูดจาห้วนๆ รออะไรไม่ค่อยได้ และสมาธิสั้น การสื่อสารแบบบรรยายความทำไม่ดี แต่ชอบสื่อสารด้วยไอคอนและอิโมติคอนต่างๆแทน แบบนี้ไง ^__^  :-)   :-(    =.=”

พวกเบบี้บูมเมอร์กับเจนเอ็กซ์ มีเงินเก็บเยอะเพราะว่าเก็บเงินเก่ง ตอนหนุ่มสาวไม่ค่อยได้ใช้เงิน พอมาถึงตอนนี้ก็เป็นวัยที่เริ่มนำเงินเก็บออกมาใช้แล้ว กระเป๋าโตเริ่มเปิดออกมาแล้ว ส่วนเจนวายทำงานไปใช้เงินไป กระเป๋าเล็กแต่ก็ใช้เงินเก่ง ล้วงออกมาง่าย

อ้าว ยังไม่ได้พูดเรื่อง gen c เลย เจนซีคือกลุ่มเบบี้บูมเมอร์กับเจนเอ็กซ์ที่มีความสันทัดในเรื่องไอที คือพวกที่อายุประมาณ 40 ปีขึ้นไปและกระโดดเข้ามาในโลกของอินเทอร์เน็ต พวกเจนซีคือพวกที่กล้าซื้อของทางอินเทอร์เน็ต ส่วนพวกเบบี้บูมเมอร์กับเจนเอ็กซ์โดยทั่วไปแล้วไม่ยอมซื้อของทางอินเทอร์เน็ต ต้องซื้อของตามร้านที่ได้เห็นตัวสินค้า ได้ดูสภาพ สีสัน จึงจะตัดสินใจได้

ลุงแมวน้ำจึงคิดจับกลุ่มลูกค้า เจนซี คือผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป นิยมซื้อสินค้าที่มีสาระ คือยังเน้นประโยชน์ใช้สอยอยู่มาก แต่การซื้อเพราะคุณค่าทางอารมณ์ก็เริ่มมีน้ำหนักขึ้นมาบ้างแล้ว ที่เลือกกลุ่มนี้เพราะเป็นคนในวัยเดียวกับลุงแมวน้ำไง ลุงแมวน้ำเข้าใจมุมมอง วิธีคิด อะไรหลายๆอย่างได้ดีกว่ากลุ่มอื่น ก็คงอยากหาเพื่อนฝูงในวัยเดียวกันด้วยละมั้ง ลุงแมวน้ำไม่ได้คิดถึงคำว่า “ลูกค้า” เท่าไร คิดถึงคำว่า “เพื่อน” มากกว่า ภาษาวัยรุ่นต้องบอกว่า ขายแบบชิลๆ ขายแบบขำๆ ส่วนกลุ่มเจนวายที่แก่แดด คือมีความคิดและถือคุณค่าแบบคนรุ่นพ่อแม่ (ซึ่งมีไม่มาก) ลุงแมวน้ำก็ยินดีต้อนรับ

Friday, September 14, 2012

14/09/2012 * QE3 มาแว้ว ลุงแมวน้ำเตรียมเข้าลงทุน



ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJI) เมื่อคืนทำแท่งเทียนขาวใหญ่ ดูท่าอาจไปต่อจนทดสอบ 14,200 จุด

เงินดอลลาร์ สรอ (USD index) อ่อนตัวหนัก ดูท่าคงลงยาวเนื่องจากเฟดเติมเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ



ประสบการณ์จาก QE1 และ QE2 ที่ทำให้ทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆราคาพุ่ง คราวนี้ก็คงเช่นกัน


ในที่สุดก็รู้ผลกันแล้วว่าลุงเบน เฮลิคอปเตอร์ ประธานเฟด จะเยียวยาปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร นั่นคือ เฟดจะทุ่มเงินซื้อตราสารหนี้ ทั้งพันธบัตร และ MBS (mortgage-backed securities คือตราสารหนี้ที่ผูกพันกับสินเชื่ออสังหาริมทรพย์) เดือนละ 40,000 ล้านดอลลาร์ สรอ ทั้งนี้ก็เพื่อกดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านในตลาดให้ต่ำลงยิ่งไปกว่านี้อีก คือเดิมวัตถุประสงค์ของมาตรการ operation twist ที่ลุงเบนออกมาในครั้งที่แล้วก็เพื่อการนี้แหละ คือกดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพื่อให้คนมีกำลังซื้อได้ รวมทั้งคนที่เดิมมีสินเชื่อดอกสูงก็จะได้รีไฟแนนซ์ลดภาระดอกเบี้ยลง เมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นก็จะทำให้เศรษฐกิจรวมของสหรัฐอเมริกาฟื้นตัวขึ้น แต่กรณี operation twist นั้นไม่ได้เติมเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจ เพียงแค่ใช้การปรับพอร์ตตราสารหนี้ แต่ลุงเบนดูแล้วเห็นผลไม่ทันใจ ดังนั้นคราวนี้จึงประกาศมาตรการทุ่มเงินซื้อตราสารหนี้เดือนละ 40,000 ล้าน ดอลลาร์ สรอ อีกทั้งยังไม่จำกัดจำนวนเงินและเวลา คือทุ่มจนกว่าอัตราการว่างงานจะดีขึ้นจนน่าพอใจ ซึ่งคาดว่าคงทุ่มอยู่นานเป็นปี

มาตรการของลุงเบนในนี้ครั้งก็คือ QE3 นั่นเอง แถมยังเลียนแบบ QE ของยุโรป ฝั่งยุโรปนั้น ECB ทุ่มเงินซื้อพันธบัตรประเทศที่มีปัญหาอย่างไม่อั้น (แต่มีเงื่อนไข) ส่วนของสหรัฐอเมริกานั้น QE1 และ QE2 มีกำหนดวงเงินไว้ แต่คราวนี้ทุ่มแบบไม่อั้นเช่นกัน คือทุ่มไปเรื่อยจนกว่าจะเห็นผล ซึ่งแน่นอน เงินที่จะใส่เข้าไปในระบบนั้นคือเงินในอนาคตนั่นเอง คือเฟดต้องก่อหนี้และเอาเงินในอนาคตมาใส่ในตลาดปัจจุบัน จะเรียกว่าพิมพ์เงินเพิ่มก็ได้ นัยเดียวกัน

คราวนี้ทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกาทุ่มเงินแบบไม่อั้น เหนือความคาดหมายของลุงแมวน้ำ และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อไม่กี่วันก่อนจีนก็ประกาศอัดฉีดเศรษฐกิจ ลุงแมวน้ำลืมเอามาเล่า

สรรพสิ่งย่อมมีเกิด รุ่งเรือง เสื่อม และดับสูญ วัฏจักรเศรษฐกิจก็เช่นกัน ถึงคราวเสื่อมแต่ไม่ยอมให้เสื่อม ก็อุปมาคล้ายกับคนขับรถบรรทุกที่ง่วงนอนและต้องกินยาบ้าเพื่อให้ขับรถได้นั่นเอง หรือคล้ายกับคนป่วยที่กินยาโด๊ป พฤติกรรมฝืนสังขารเช่นนี้ผลเป็นอย่างไรพวกเราคงคาดกันได้ แต่ยุโรปไม่ยอม สหรัฐอเมริกาไม่ยอม จีนไม่ยอม ลุงแมวน้ำว่าอนาคตในระยะยาวเป็นเรื่องน่ากลัวทีเดียว

แต่ระยะยาวก็เป็นเรื่องในระยะยาว แต่ระยะกลางและสั้น ต่อจากนี้ไป เงินคงไหลเข้ามาในเอเชีย ตลาดหุ้นและตลาดเงินในเอเชียคงปั่นป่วน ภาคเศรษฐกิจจริงก็อีกเรื่องหนึ่ง ภาคประชาชนก็เรื่องหนึ่ง เพราะราคาข้าวของคงจะแพงเนื่องจากเงินเฟ้อ คนชราและคนยากจนคงลำบากเนื่องจากกินแต่เงินเก่า รวมทั้งธุรกิจขนาดย่อมคงลำบากและแข่งขันยากยิ่งขึ้น แต่ภาคการลงทุนในตลาดรอง คือตลาดหุ้นในเอเชียและสินค้าโภคภัณฑ์คงไปต่อได้อีก เงินดอลลาร์ สรอ กับยูโร น่าจะอ่อน เงินเยน ฟรังก์สวิส ดอลลาร์ออสเตรเลีย และเงินเอเชียอื่นๆรวมทั้งเงินบาทคงจะแข็ง ทองคำคงได้เห็นเกิน 1900 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์อีกครั้งหนึ่ง

ตอนนี้ตลาดทุนกับเศรษฐกิจจริงคงแยกจากกันชั่วคราวบางส่วน แต่บางส่วนยังสัมพันธ์กับภาคเศรษฐกิจจริง ดังนั้นสถานการณ์น่าจะซับซ้อนยิ่งขึ้น ดูแล้วสำหรับรายย่อยคงลงทุนยากเอาการ แต่รายใหญ่หรือสถาบันคงมีโอกาสกอบโกย มือใครยาวก็สาวได้สาวเอา เงินยิ่งมากก็ยิ่งรวยหนักยิ่งขึ้นเพราะได้เปรียบในการเข้าถึงแหล่งทุน ความรู้ และทรัพยากรต่างๆ นี่แหละ ความโหดร้ายของทุนนิยมกระแสหลัก

สถานการณ์เปลี่ยนก็ต้องปรับมุมมองใหม่ เพราะผลจาก QE สามารถทำให้ปัจจัยทางเทคนิคเปลี่ยนไปได้เนื่องจากพฤติกรรมราคาปลี่ยนไป ส่งผลทำให้รูปแบบทางเทคนิคอาจเปลี่ยนไปด้วย อย่างเช่น เดิมที่เรามองเป็นคลื่น A ก็อาจเป็นคลื่น 4 และที่เดิมมองเป็นคลื่น B ก็อาจกลายเป็นคลื่น 5 เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนอยู่แล้ว ลุงแมวน้ำจะเขียนให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ขอดูให้ชัดอีกสักระยะหนึ่ง

ตอนนี้ลุงแมวน้ำเตรียมเข้าลงทุนแล้ว และรอจังหวะอยู่ครับ หาจังหวะก่อน ยังไม่ผลีผลามในทันที ประกาศ QE3 แค่วันเดียว ฝุ่นยังตลบอยู่ ถ้าขึ้นจริงก็ยังมีเวลาเตรียมตัวครับ ใจเย็นๆ

ผู้ที่ลงทุนในต่างประเทศ (offshore investment) ในสกุลเงินดอลลาร์ สรอ กับผู้ที่ลงทุนในกองทุนรวม FIF ที่ไม่ได้ปิดความเสี่ยงค่าเงิน ควรติดตามสถานการณ์อย่างระวัง เพราะหากเงินดอลลาร์อ่อน กำไรจะหายไปเยอะ ถ้าขาดทุนอยู่ก็ยิ่งขาดทุนมาก ส่วนผู้ที่ลงทุนค้าขายในต่างประเทศเป็นเงินยูโรหรือดอลลาร์ สรอ ก็ควรติดตามค่าเงิน ลุงแมวน้ำเองเวลาขายของได้คงต้องหมั่นแลกกลับเป็นเงินไทยบ่อยๆ เพราะค่าเงินคงไม่นิ่ง แลกช้าก็อาจขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนได้





Thursday, September 6, 2012

06/09/2012 DX, EC, GC, BZ * โลกรอดู ECB



วันนี้ ECB จะมีประชุมเกี่ยวกับเรื่องการซื้อพันธบัตรของประเทศที่มีปัญหา (สเปน อิตาลี) ช่วงนี้ที่ตลาดหุ้นขึ้นก็เพราะเก็งกำไรเรื่องนี้กันส่วนหนึ่ง แต่ก็ต้องระวังว่าหากผลการประชุมออกมาน่าผิดหวัง ตลาดคงร่วง



ดอลลาร์ สรอ อ่อนตัวจนหลุดกรอบ SEC ลงมาแล้ว ที่ดอลลาร์ สรอ อ่อน เนื่องจากเงินยูโรแข็ง ก็เก็งกำไรกันเรื่องกลุ่มยูโรโซนจะช่วยอุ้มพันธบัตรดังที่ลุงแมวน้ำบอกนั่นเอง




เงินยูโรแข็งค่า แต่ยังไม่หลุดกรอบ SEC ดีนัก ปริ่มๆอยู่




ดอลลาร์ สรอ อ่อน ทองคำก็ต้องแข็ง แต่ติดกรอบ SEC เช่นกัน




น้ำมันดิบเทรดกันในระดับราคานี้ถือว่าแพงเมื่อเทียบกับสภาพเศรษฐกิจ ก็เก็งกำไรกันนั่นแหละ แต่เริ่มแกว่งออกข้างแล้ว อาจไปได้แค่นี้

ลุงแมวน้ำอัปเดตสั้นๆไปก่อน วันนี้ (6/09/2012) คงมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อรับข่าว ECB ครับ

Tuesday, September 4, 2012

04/09/2012 สรุปภาวะการลงทุนรอบสัปดาห์ (27/08/2012 - 31/08/2012) * ยังไม่มีจุดสูงสุดใหม่



หมายเหตุ 05/09/2012

ลุงแมวน้ำอัปเดตตารางข้างล่างเรียบร้อยแล้วนะครับ แถมยังเปลี่ยนกองทุนรวมจาก K-CASH เป็น K-AGRI ด้วย ช่วงนี้สินค้าเกษตรกำลังพูดถึงกันมาก เลยเปลี่ยนให้ทันสมัยเสียหน่อย แต่ที่จริงลุงแมวน้ำพูดถึงกองทุนรวมสินค้าเกษตรมาตลอด เพราะคิดว่าเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ

ตอนนี้ราคาสินค้าเกษตรยังทรงๆอยู่นะครับ ยังไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ ส่วน NAV ของ K-AGRI ก็ยังไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ ดูจากกราฟ



หากจะขึ้นต่อจริงต้องรอให้ทำจุดสูงสุดใหม่หรือว่าผ่านแนวต้านเดิม (ยอดคลื่นเดิม) ให้ได้เสียก่อน รอดูถึงกลางเดือนนี้ครับ น่าจะพอรู้ได้



04/09/2012

ลุงแมวน้ำอัปเดตไม่ทันตามเคย วันนี้พยายามทำให้เสร็จแต่ยังไม่สมบูรณ์ ในรายงานข้างล่างนี้มีตลาดหุ้นกับสินค้าโภคภัณฑ์ที่อัปเดตครบหมดแล้ว ยังขาดอยู่แต่กองทุนรวมของไทย ที่ลุงแมวน้ำยังทำไม่เสร็จ

วันนี้ยังบรรยายไม่ทัน แต่เท่าที่ดู ลุงแมวน้ำเห็นว่าในเชิงเทคนิคแล้ว ยังไม่มีดัชนีสำคัญอะไรที่ทำจุดสูงสุดใหม่เมื่อเทียบกับที่เกิดไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า ดัชนี SET ก็ยังไม่ผ่านจุดสูงสุดเดิม (วันที่ 23/08/2012) ดัชนีสหรัฐอเมริกา เยอรมนี สินค้าเกษตร ฯลฯ ก็ยังไม่ผ่านจุดสูงสุดก่อนหน้านี้ ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงบอกว่ายังไม่มีอะไรใหม่

ยกเว้นเพียงอย่างเดียว คือดัชนีตลาดหุ้นจีนทำจุดต่ำสุดใหม่ได้อีก

คุยกันสั้นๆก่อน แล้วลุงแมวน้ำจะมาอัปเดตเวอร์ชันเป็นทางการอีกครั้งหนึ่งครับ


Photobucket

Sunday, September 2, 2012

02/09/2012 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ : ลุงแมวน้ำทำธุรกิจ






เช้าวันหยุดนี้ที่จริงลุงแมวน้ำมีเรื่องที่อยากจะเขียนอยู่สองสามเรื่อง แต่ติดอยู่ที่ว่าเรื่องที่อยากเขียนนั้นหนักๆทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องก้อนอิฐก้อนหินหรอก แต่ว่าเป็นเรื่องร้อนที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กัน คิดไปคิดมา วันหยุดเป็นวันพักผ่อน ไม่อยากให้เครียดกัน เลยคิดว่าจะเก็บเอาไว้โพสต์ในวันทำงานดีกว่า ส่วนวันนี้คุยกันเรื่องเบาๆไม่เคร่งเครียด

คิดอยู่สักพักว่าจะเอาเรื่องอะไรดี ก็นึกได้ว่าเคยรับปากว่าจะอัปเดตเรื่อง ธุรกิจของลุงแมวน้ำ ให้ฟัง ที่ผ่านมาก็เพียงอัปเดตเล็กๆน้อยๆว่าไปซื้อนั่น ไปดูนี่ ฯลฯ แต่ยังไม่ได้เล่าให้ฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราวสักที ลุงแมวน้ำจึงคิดว่าจะนำมาเล่าในเช้าวันหยุดก็แล้วกัน แม้จะเป็นเรื่องธุรกิจแต่ลุงแมวน้ำก็อยากให้อ่านกันเพลินๆมากกว่า

ก็อยากจะเล่าตั้งแต่ต้นเลย เผื่อว่าใครสนใจจะนำไปดัดแปลง ถือว่าเป็น เอสเอ็มอีโรดแมป (SME road map) หรือว่า อีคอมเมิร์ซโรดแมป (e-commerce road map) ก็พอจะได้


ปรัชญาธุรกิจ


ดังที่ลุงแมวน้ำบอกว่าอยากลองทำธุรกิจดูบ้าง โดยอาศัยแนวทางธุรกิจแบบ ธุรกิจเพื่อสังคม หรือ social enterprise ซึ่งหลักการของธุรกิจแบบนี้อยู่ที่เป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์ในการแก้ไขปัญหาสังคมในด้านใดด้านหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น หากในหมู่บ้านขาดน้ำสะอาดสำหรับบริโภค คนในหมู่บ้านมักเป็นโรคท้องเสียจากการบริโภคน้ำที่ไม่สะอาด การทำธุรกิจน้ำดื่มอนามัยขึ้นมาโดยไม่ค้ากำไรเกินควร อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นธุรกิจเพื่อสังคม เพราะทำเพื่อช่วยแก้ปัญหาในสังคม และไม่ได้ทำเพื่อเอาเปรียบผู้บริโภคหรือค้ากำไรเกินควร เป็นต้น นี่ยกตัวอย่างแบบง่ายๆ

ลุงแมวน้ำก็ลองศึกษาดูว่าธุรกิจเพื่อสังคมในบ้านเราเป็นอย่างไรกันบ้าง มีใคร ทำอะไร ที่ไหน แลอย่างไร ก็ปรากฏว่าเรื่องธุรกิจเพื่อสังคมในบ้านเรายังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ หลายๆธุรกิจที่ทำมานานแล้วก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นธุรกิจเพื่อสังคมแน่หรือเปล่า เพราะว่าตอนที่บุกเบิกทำธุรกิจก็ยังไม่มีคำนี้

แต่ว่าภาพลักษณ์ของธุรกิจเพื่อสังคมในบ้านเรายังไม่ค่อยแจ่มชัดนัก นักลงทุนหนุ่มสาวที่เพิ่งริ่มต้นทำธุรกิจและตั้งใจทำธุรกิจเพื่อช่วยแก้ปัญหาสังคม อยากทำธุรกิจน้ำดี ก็ไปจับสินค้าขายยาก อย่างเช่นพยายามเอาสินค้าชุมชนมาขายเพื่อให้ชุมชนมีรายได้ แต่ทำไปทำมาก็แบบ ขายข้าวสาร ขายหอม กระเทียม ขายข้าวแต๋น กล้วยอบ ฯลฯ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีคนทำตลาดแข่งกันมาก ทำแล้วก็ขายไม่ได้เท่าที่ควรเพราะว่าการแข่งขันสูง หรือไม่ก็ไปทำตลาดกับสินค้าที่ไม่เป็นที่นิยม ก็ทำตลาดยากอีก

ประกอบกับภาพลักษณ์ของธุรกิจเพื่อสังคมในเชิงลบก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน บางคนก็มองธุรกิจเพื่อสังคมในแง่ร้ายว่าพวกนี้เป็นพวกมือถือสากปากถือศีลบ้าง คนดีจอมปลอมบ้าง คือมองในแง่ร้ายว่าใช้ภาพธุรกิจเพื่อสังคมมาใช้หากินเพื่อเพิ่มยอดขายแต่ที่จริงก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรเพื่อสังคมหรอก ฯลฯ

ลุงแมวน้ำก็มาวิเคราะห์ดูว่า ที่คนมองธุรกิจเพื่อสังคมในแง่ลบกันก็ดูจะมีประเด็นอยู่เหมือนกัน เพราะว่าต่อไปเราจะมีกฎหมายที่สนับสนุนธุรกิจเพื่อสังคม นัยก็คือรัฐต้องการส่งเสริมให้มีคนทำดีกันมากขึ้น ดังนั้นพวกที่แอบแฝงมาหาประโยชน์ก็คงมี ดังที่เราจะเห็นจากกรณีซีเอสอาร์ (CSR, corporate social responsibility) หรือว่าความรับผิดชอบต่อสังคม ตอนนี้สิ่งที่เห็นก็คือใครๆก็พยายามทำซีเอสอาร์เพราะเป็นกระแสสังคม ประกอบกับลดภาษีได้ด้วยอีกทางหนึ่ง เพื่อให้ได้ภาพว่าตนเป็นคนดี ดังนั้นเราจึงเห็นกันว่า ขายเหล้าก็แจกทุนการศึกษา ทำร้ายสิ่งแวดล้อมโดยโค่นป่าไปทั้งผืนแล้วทำซีเอสอาร์ปลูกต้นไม้หย่อมหนึ่ง ฯลฯ แล้วก็บอกว่าฉันเป็นคนดีนะ อือม์ ขวางโลกอีกแล้ว ไม่พูดต่อดีกว่า ^__^

สรุปแล้วไม่ว่าธุรกิจเพื่อสังคม หรือว่าซีเอสอาร์ หากมีกฎหมายสนับสนุน ก็จะเป็นเหมือนการสร้างกฎกติกา หรือว่าข้อกำหนดในเชิงรูปแบบขึ้นมา เปรียบเทียบได้กับการสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาว่าธุรกิจเพื่อสังคมต้องแต่งตัวแบบนี้ ต้องแต่งกายสุภาพ ต้องพูดจาสุภาพ เรียบร้อย ต้องมีมารยาทที่ดีต่อผู้อื่น เจอกันต้องยกมือไว้สวัสดี ฯลฯ ใครทำได้ตามเกณฑ์เหล่านี้ก็จัดว่าเป็นธุรกิจเพื่อสังคม ส่วนที่ว่าในใจนั้นจะคิดอย่างไร จะแอบด่าอยู่ในใจหรือเปล่า หรือคนคนนั้นนิสัยส่วนตัวเป็นอย่างไร ตัวจริงอาจหยาบคาย ใจร้าย ไร้ธรรมาภิบาล โกหก ฯลฯ ก็ได้ หากให้มีเปลือกนอกที่ได้ตามเกณฑ์ก็เป็นอันว่าผ่าน

ลุงแมวน้ำคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าไม่เอาดีกว่า ลุงแมวน้ำขอไม่แต่งตัว ใส่สูท ผูกไท แต่หัวใจสีอะไรก็ไม่รู้ แล้วได้ชื่อว่าเป็นธุรกิจเพื่อสังคม ขอเป็นพ่อค้าธรรมดา ขายของทั่วไปดีกว่า แล้วขายแนวคิดทุนนิยมทางเลือก ทุนนิยมที่เอื้ออาทรกัน เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุขกัน รวมทั้งช่วยรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ไม่กระตุ้นการบริโภคจนล้นเกิน ฯลฯ เปรียบเหมือนแต่งตัวปอนๆ แต่มีสติรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ขอแค่นั้นก็พอดีกว่า

เอาละ เมื่อกำหนดปรัชญาในการทำธุรกิจได้แล้ว ขั้นต่อมาก็ต้องวาง วิสัยทัศน์และพันธกิจ หรือ vision & mission ของตัวธุรกิจขึ้นมาก่อน แน่ะ เริ่มใช้วิชาการแล้ว ตามที่หลักสูตร sme มักอบรมกันก็ต้องกำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจกันเสียก่อน

เรื่อง vision & mission ลุงแมวน้ำก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก คือมีแค่ปรัชญาในการทำธุรกิจ แล้วก็มองรูปแบบในการทำธุรกิจ คิดไว้แค่นี้เอง ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะไปให้ถึงไหน เพราะลุงเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้ถึงไหน ข้อนี้ก็ถือว่าผิดหลักวิชาการ ตามหลักก็ต้องวางวิสัยทัศน์และพันธกิจเอาไว้ เพื่อจะได้เอาไปตั้งเป้าหมายและคลี่คลายเป็นแผนในการดำเนินธุรกิจ ในระยะ สั้น กลาง และยาวต่อไป แต่ลุงแมวน้ำทำแบบ อือม์ จะว่ายังไงดีล่ะ ทำไปคิดไปน่ะ มีแต่เรื่องสั้นๆ กลางๆ คือเรื่องระยะสั้นเป็นส่วนใหญ่ เรื่องระยะกลางก็คิดไว้นิดหน่อย ส่วนเรื่องระยะยาวๆไม่ได้คิด เพราะคิดไม่ออก อีกอย่าง ลุงแมวน้ำไม่ได้ทำเอารวย ดังนั้นบางอย่างก็ขี้เกียจทำน่ะ ข้ามๆไปบ้าง ^__^ ข้อนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะคร้าบ โปรดอย่าลอกเลียนแบบ


ลงทุนอะไรดี


เอาละ ทีนี้ลุงแมวน้ำก็มาคิดเรื่องโมเดลธุรกิจ ว่าตัวแบบในการทำธุรกิจจะทำอะไรและอย่างไร ลุงแมวน้ำไม่ต้องการตั้งโรงงานผลิตสินค้า เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ต้องมีทีม มีความพร้อมหลายๆอย่าง ต้องใช้ทุนสูง ดังนั้นตัดออกไป ลุงแมวน้ำมีขีดความสามารถทำได้เพียงธุรกิจเล็กๆ อยากได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ ขายความคิดกันไป ร่วมเดินทางกันไป ต่อยอดความคิดกันไป มีความสุขกันไป อย่างนั้นมากกว่า ดังนั้นเมื่อไม่ได้เป็นผู้ผลิตก็ต้องเป็นผู้ขาย รูปแบบธุรกิจของลุงแมวน้ำจึงเลือกที่จะทำจึงเป็นคนกลางขายสินค้า หรือทำธุรกิจซื้อมาขายไปนั่นเอง ตอนแรกขอขายปลีกไปก่อน ขายปลีกก็เหนื่อยหน่อย แต่ด้านการลงทุนต่ำกว่า อีกทั้งแบกรับความเสี่ยงต่ำกว่า ในเบื้องต้นลุงแมวน้ำยังไม่มีความชำนาญก็เลือกเอาหนทางที่ความเสี่ยงต่ำเอาไว้ก่อน

การซื้อมาขายไปก็ต้องมีหน้าร้าน สมัยนี้ขายสินค้าก็ต้องไปอยู่ในห้าง หรือตามแหล่งการค้า จึงจะมีคนเดินผ่านเยอะ ซึ่งร้านในห้างเหล่านี้ค่าเช่าสถานที่แพงๆทั้งนั้น หากไปตั้งโด่อยู่ในซอยหรือในตรอก หากไม่มีคนผ่านก็อาจขายสินค้าไม่ได้ ประกอบกับลุงแมวน้ำไม่อยากเฝ้าหน้าร้านขายของทั้งวัน ลุงแมวน้ำอยากใช้เวลาในชีวิตทำอย่างอื่นบ้าง ครั้นจะจ้างคนอื่นขายก็เกรงจะหาคนไม่ได้ เพราะว่าสมัยนี้พนักงานหายากมาก ลุงแมวน้ำเลยคิดว่าทำ อีคอมเมิร์ซ (e-commerce) หรือการค้าออนไลน์นี่แหละเหมาะที่สุด มีหน้าร้านออนไลน์ เปิดอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง คนซื้อเข้ามาชมได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเฝ้า ลุงจะไปหกคะเมน ตีลังกา แสดงละครสัตว์ หรือนอนบนโขดหินก็ได้ แถมยังไม่มีข้อจำกัดเรื่องลูกค้า ตลาดหรือว่ากลุ่มเป้าหมายมีขนาดใหญ่กว่าร้านค้าจริงในห้างมาก ลุงแมวน้ำสามารถหาลูกค้าได้จากทุกชาติในโลกด้วยร้านค้าออนไลน์

หลักในการทำธุรกิจก็คล้ายหลักการลงทุน นั่นคือ ต้องมีการกระจายความเสี่ยง ซึ่งการกระจายความเสี่ยงมีทั้งในแนวตั้งและแนวนอน ยกตัวอย่างการลงทุนก่อน ในด้านการลงุทน การกระจายความเสี่ยงในแนวตั้งก็คือการลงทุนในหลายๆ asset class หรือในหลายระดับชั้นของสินทรัพย์ เช่น ลงทุนในพันธบัตร ในหุ้น ในอสังหาริมทรัพย์ เพราะแต่ละระดับชั้นของสินทรัพย์เหล่านี้มีความเสี่ยงไม่เท่ากัน ก็ต้องเลือกกระจายการลงทุนออกไป

ในด้านการกระจายความเสี่ยงในแนวราบก็เช่น หากเราลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นหุ้น ก็ต้องลงทุนในหุ้นหลายๆตัว กระจายกันออกไป อย่ากระจุกในหุ้นตัวเดียว เป็นต้น

ในการกระจายความเสี่ยงเมื่อทำธุรกิจก็เช่นกัน การกระจายความเสี่ยงในแนวตั้งของลุงแมวน้ำก็คือการค้าขายอีคอมเมิร์ซนี้ไม่ใช่การลงทุนหลัก หรือ core investment ของลุงแมวน้ำ ลุงแมวน้ำยังมีการลงทุนอื่นๆอีก เช่น ลงทุนในพันธบัตร หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ในเงินฝาก ฯลฯ การทุ่มเงินหมดหน้าตักไปลงทุนการค้าเป็นความคิดที่ผิด หลักการก็คือต้องกำหนดจำนวนเงินลงทุนธุรกิจที่เราพอจะรับความเสี่ยงได้ คิดเสียว่ากรณีเลวร้ายสุดคือหากเจ๊งไม่เป็นท่าเราก็ยังต้องอยู่ได้ต่อไป ชีวิตยังต้องเดินต่อไปได้ นี่คือการกระจายความเสี่ยงในแนวตั้งสำหรับธุรกิจ หลายคนไม่ได้คิดแบบนั้น แต่กลับเอาบ้านไปจำนองเพื่อไปลงทุนทำธุรกิจ ลุงแมวน้ำไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวคิดแบบนี้ แต่ธนาคารมักชวนให้ทำแบบนี้ คือเอาบ้าน เอาที่ดิน เอารถ ไปค้ำประกันสินเชื่อธุรกิจ ที่จริงแล้วบ้านเป็นหลักที่เราพักพิง เป็นที่พักยามที่เราบาดเจ็บ เหนื่อยล้า และท้อถอย ยามที่เราแทบไม่เหลืออะไรแล้วนั่นแหละจึงจะรู้ว่าบ้านนั้นสำคัญมากเพียงใด หากเราบาดเจ๊บ บอบช้ำ และเหน็ดเหนื่อย แถมยังไม่มีที่ซุกหัวนอนเพราะโดนยึด ถึงตอนนั้นจะรู้ว่ามันเจ็บปวดเพียงใด ดังนั้นลุงไม่แนะนำให้จำนองบ้านไปทำธุรกิจ ไม่มีเงินก็อย่าเพิ่งทำ มีเงินแล้วค่อยทำ จะดีกว่า

มีเงินน้อยก็ทำธุรกิจแต่พอตัว เหตุที่ลุงแมวน้ำเลือกทำอีคอมเมิร์ซและเป็นธุรกิจซื้อมาขายไปก็เพราะว่าการขายสินค้าแบบอีคอมเมิร์ซนั้นลงทุนต่ำมาก มีเงินหลักพันก็ลงทุนได้ ซึ่งแม้แต่คิดจะถอยรถเข็นขายกาแฟสักคันหนึ่งยังต้องใช้เงินมากกว่านี้เลย ลุงแมวน้ำจึงอยากจะทำอีคอมเมิร์ซ และเริ่มต้นด้วยทุนน้อยๆ เพื่อเป็นตัวแบบให้หลายๆคนที่อยากมีรายได้เสริม หรืออยากเริ่มทำธุรกิจ ได้ศึกษา ก็คือลุงแมวน้ำขอเป็นเรียลลิตีโชว์ให้พวกเราดูนั่นเอง แต่ไม่ต้องถึงกับมาติดกล้องถ่ายไว้ที่โขดหินของลุงแมวน้ำหรอกนะ ลุงเขิลลลลลลล แค่รายงานเป็นระยะ ใครสนใจก็ คุยกัน สอบถามกัน ว่าลุงทำอะไรไปถึงไหนแล้วก็พอ

มาว่ากันเรื่องการกระจายความเสี่ยงกันต่อ การกระจายความเสี่ยงแนวราบของลุงแมวน้ำคือการขายสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งขายสินค้าหลายกลุ่มนั่นเอง

ยังไม่จบ แล้วคุยต่อในสัปดาห์หน้าครับ ^__^