Wednesday, August 29, 2012
29/08/2012 สรุปภาวะการลงทุนรอบสัปดาห์ (20/08/2012 - 24/08/2012) * โลกรอดู QE3 ต้นเดือนกันยายน
ในที่สุดก็อัปเดตเสร็จ ^__^
สัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวลง ดัชนี Dow Jones Global Index (W1DOW) ที่เฉลี่ยจากดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงประมาณ -0.34% สหรัฐอเมริกาลงนิดหน่อย ไม่ถึง -1% ส่วนยุโรปลงมากกว่า ส่วนใหญ่มากกว่า -1% สเปนลงไปประมาณ -3% ออสเตรียก็หนัก -3.5%
ทางละตินอเมริกาก็ลง เฉลี่ยแล้วประมาณ -1.3% ส่วนทางย่านเอเชียแปซิฟิกเฉลี่ยแล้วลงเพียงเล็กน้อย เฉลี่ประมาณ -0.2% แต่สำหรับเอเชียแปซิฟิกหากเน้นดูรายประเทศจะพบว่าทีขึ้นก็มี ลงก็มี ที่น่าจับตาคือประเทศจีน ส่วนตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตลอดสัปดาห์ +1%
ทางด้านตลาดตราสารหนี้ ช่วงนี้ตลาดตราสารหนี้อมริกันผันผวนเอาการ อัตราผลตอบแทนพุ่งพรวดในสัปดาห์ก่อนหน้า มาสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวลงไป อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกัน 10 ปีลดลง -14 จุดเบสิส (basis point, bp) เหลือ 1.68% ส่วนตลาดตราสารหนี้ไทยเส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve) ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยตลอดทั้งเส้น พันธบัตรไทย 10 ปีปรับตัวเพิ่ม 1 จุดเบสิสมาอยู่ที่ 3.42%
ด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ก็ผันผวนหนัก ทองคำขึ้นไป +3.1% ส่วนเงินแรงมาก +9.3% น้ำมันดินลงนิดหน่อย น้ำมันเบรนต์ลงไป -0.1% ส่วนสินค้าเกษตรมีทั้งขึ้นและลง ยางพารา +0.3% เห็นขึ้นไม่มากแต่เกิดจากลงแรงแล้วมาขึ้นแรง
แต่สัปดาห์ที่แล้วด้านตลาดอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างแปลก ปกติตลาดหุ้นยุโรปลงเงินยูโรจะอ่อนค่า แต่สัปดาห์ที่แล้วเงินยูโรแข็งค่า +1.5% เงินกลุ่มยุโรปก็แข็งค่าตามไปด้วย เพราะว่าเงินดอลลาร์ สรอ อ่อนจากข่าวลือเรื่อง QE3 นี่ขนาดข่าวลือเงินยังอ่อนขนาดนี้ หากใช้ QE3 เงินดอลลาร์ สรอ คงอ่อนสาหัส สัปดาห์ที่แล้วเงินบาทแข็ง +0.9%
ตลาดช่วงนี้คงผันผวน อาจจะขึ้นหรือลงก็ได้ เพราะโลกกำลังจับตามองต้นเดือนกันยายนที่มีหลายเรื่องประดังกันเข้ามาในตอนต้นเดือน
ธนาคารกลางของยุโรป (ECB) จะประกาศว่าจะช่วยซื้อพันธบัตรของชาติที่มีปัญหาหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ทางอีซีบีหลีกเลี่ยงมาตลอดเพราะถือว่าไม่ใช่หน้าที่ แต่ตอนนี้ยุโรปกำลังเข้าตาจน ต้องดูว่าอีซีบีจะยอมหรือไม่
ทางด้านเยอรมนีเองก็มีปัญหา เรื่องการให้สัตยาบันเติมเงินเข้าไปในกองทุนเสถียรภาพยุโรป (ESM) กลายเป็นประเด็นว่าขัดรัฐธรรมนูญของเยอรมนีหรือไม่ วันที่ 12 นี้ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสิน
ส่วนทางด้านเฟดของสหรัฐอเมริกาก็จะมีประชุม วันที่ 12 กันยายน ประมาณนี้แหละ โลกก็รอดูอีกว่าลุงเบน เฮลิคอปเตอร์จะพูดอะไรเกี่ยวกับ QE3 หรือไม่ ประชุมทีก็ระทึกกันทีหนึ่ง น่าเหนื่อยใจ
สมมตินะ สมติว่า ECB ยอมทุ่มเงินซื้อพันธบัตรชาติที่มีปัญหา เช่น สเปน อิตาลี ฯลฯ และ สหรัฐอเมริกาออก QE3 เอาสองประเด็นนี้ก่อน จะเกิดอะไรขึ้น หากเป็นจริงสภาพคล่องของเงินยูโรกับเงินดอลลาร์ สรอ จะเพิ่มขึ้นอีกมา เพราะคล้ายกับการพิมพ์เงินยูโรกับเงินดอลลาร์ สรอ เพิ่ม ค่าเงินทั้งสองสกุลจะอ่อนตัวอย่างหนัก แต่ไม่รู้ใครจะอ่อนกว่าใคร แต่ที่แน่ๆคือเงินสกุลเอเชียแปซิฟิกต้องแข็ง สภาพคล่องที่ท่วมธนาคารยุโรปและ สรอ (แต่จะถึงมือรายย่อยเท่าไรไม่รู้ เพราะเป็นการปล่อยเงินผ่านภาคธนาคาร หากธนาคารปล่อยสินเชื่อได้น้อยเงินจะกองอยู่ที่ธนาคาร) จะทำให้เงินไหลมาในเอเชีย ถึงตอนนั้นนอกจากเงินเอเชียแข็งแล้ว ตลาดหุ้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ คงมีการเก็งกำไรกันอย่างหนักจนเกินปัจจัยพื้นฐาน น่าจะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจเอเชีย ไม่ได้เป็นผลดีเลย
ที่ดูน่าห่วงอีกประการก็คือจีน ดังที่ลุงแมวน้ำเกริ่นในสัปดาห์ที่แล้วบอกว่าตลาดหุ้นจีนทำจุดต่ำสุดใหม่ สัปดาห์นี้ยังลงต่อ ทำจุดต่ำสุดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก หากเศรษฐกิจจีนถดถอยหนัก เศรษฐกิจจริงของเอเชียจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากทีเดียวโดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกไปจีน
รอดูครับ อีกไม่กี่วันก็รู้ผลแล้ว
Saturday, August 25, 2012
25/08/2012 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ : ที่นี่มีเรื่องเล่า คุกกี้ที่มุมศาลาแดง
ทางเดินสกายวอล์กที่แยกศาลาแดง อยู่หน้าโรงแรมดุสิตธานีและหน้าโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ตรงสุดทางเดินนั้นคือมุมสกายวอล์กเหนือร้านแมคโดนัลด์ ที่ลุงแมวน้ำพูดถึง ในภาพก็มีคนมาเรี่ยไรอยู่ |
“คุณลุงค้า หยุดก่อน หยุ๊ดดด....หน่อยค่า...” หญิงสาวเสียงหวานแต่งกายด้วยเสื้อสีฟ้า ในมือถือแฟ้มคล้ายๆเมนูอาหาร เรียกให้ลุงแมวน้ำหยุด ขณะที่ลุงแมวน้ำกำลังเดินอยู่บนสกายวอล์กตรงแยกศาลาแดงหัวมุมถนนสีลมตรงโรงแรมดุสิตธานี
“ขอเวลาหนูสักครู่นะคะ” หญิงสาวเกริ่นพร้อมกับยกแฟ้มที่คล้ายเมนูอาหารในมือมากางเตรียมจะอธิบายรายละเอียดให้ลุงแมวน้ำฟัง
“โอ๊ย หนู” ลุงแมวน้ำชะลอพุงที่กระดึ๊บไปบนสกายวอล์ก และพูดกับหญิงสาว “หนูเรียกลุงคุยสักสิบครั้งได้แล้วนะ ลุงยังจำหน้าหนูได้เลย แล้วหนูจำไม่ได้เหรอว่าเรียกลุงตั้งหลายครั้งแล้ว”
“แหะๆ” สาวน้อยหัวเราะจืดๆ “คุณลุงหน้าแหลมๆ ปากแหลมๆ ไม่ค่อยเหมือนใคร จำได้อยู่หรอกค่ะ แต่นี่มันหน้าที่หนูนี่คะ หนูก็ต้องเรียกคุณลุงเอาไว้ก่อน”
“คำตอบก็อย่างเดิมนั่นแหละจ้ะ ลุงไปก่อนละนะ” ลุงแมวน้ำพูด แล้วก็เดินต่อไป
ลุงแมวน้ำใช้ทางสกายวอล์กที่ศาลาแดงนี้เป็นประจำเพื่อมาที่สวนลุม เมื่อลงจากรถไฟฟ้ามาหานะเธอ เอ้อ ไม่ใช่ รถไฟฟ้าบนดิน ลุงก็เดินตามทางเดินลอยฟ้าตรงมาทางสี่แยกศาลาแดง แล้วลงจากสกายวอล์กที่หน้าโรงแรมดุสิตธานี จากนั้นเดินลงทางเดินใต้ดินของรถไฟฟ้าใต้ดิน แล้วไปโผล่ที่หน้าประตูสวนลุม แต่หากลุงแมวน้ำอยากกินไอติมก็จะเดินลงทางด้านท้อปซูเปอร์มาร์เก็ต เมื่อกินไอติมเสร็จจึงค่อยข้ามไปสวนลุม
และตรงมุมทางเดินสกายวอล์กด้านซูเปอร์มาร์เก็ตหรือว่ามุมทางเดินที่อยู่เหนือร้านแมคโดนัลด์นี่เอง ลุงแมวน้ำเห็นว่าเป็นมุมที่มีสีสันมากที่สุดจุดหนึ่งในย่านศาลาแดงเลยทีเดียว เพราะมุมทางเดินจุดนี้มักมีกิจกรรมต่างๆอยู่เสมอตั้งแต่เช้ายันค่ำ
สกายวอล์กตรงแยกศาลาแดงในยามค่ำ ที่เห็นมีไฟสว่างคือร้านแมคโดนัลด์ เหนือขึ้นไปที่ทางเดินเข้ามุมกันอยู่ก็คือมุมสกายวอล์กนั่นเอง |
หากเป็นตอนเช้าถึงตอนสายๆ เราอาจได้พบสตรีสองคนนุ่งห่มขาว แต่งกายในชุดแม่ชี ถือบาตรขอรับบริจาคพร้อมกับอวยชัยให้พร หลังจากตอนสายๆเป็นต้นไปจนถึงตอนค่ำ เราจะได้พบชีวิตมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาสร้างสีสันให้แก่มุมสกายวอล์กนี้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหญิงในชุดนักเรียนนั่งเป่าขลุ่ย คุณยายขายทองม้วนและข้าวเกรียบ หนุ่มผมเซอร์ดีดกีตาร์ร้องเพลงเปิดหมวก กลุ่มนักศึกษายืนขอรับบริจาคเพื่อหาทุนไปออกค่าย ฯลฯ
นอกจากนี้ก็ยังมีกลุ่มชายหญิงเสื้อสีฟ้าสังกัดมูลนิธิแห่งหนึ่งมาขอรับบริจาค แล้วยังมีกลุ่มชายหญิงในเสื้อสีส้มสังกัดมูลนิธิอีกแห่งหนึ่งมาขอรับบริจาคเช่นกัน และท้ายที่สุด คนสุดท้ายที่ลุงแมวน้ำนึกได้ว่ามายืนอยู่แถวนี้เหมือนกัน ก็คือคนขายคุกกี้
คนขายคุกกี้ที่ว่านี้เป็นชายร่างสันทัด ยืนอยู่ข้างรถเข็นคันเล็กพร้อมกับกล่องคุกกี้กองอยู่ในรถเข็นเป็นตั้ง ที่กล่องคุกกี้เขียนว่า คุกกี้พระพร พร้อมกับมีป้ายเล็กๆเขียนไว้ทำนองว่าเชิญอุดหนุนคุกกี้คนพิการ
ดังที่บอกว่ามุมสกาลวอล์กตรงนี้เป็นมุมที่มีสีสันเพราะมีคนและกลุ่มคนมากหน้าหลายตาแวะเวียนกันมาใช้สถานที่ ถ้าตอนเช้ามักเห็นแม่ชี ส่วนตอนกลางวันไปจนถึงเย็นมักเห็นกลุ่มคนเสื้อสีส้มกับเสื้อสีฟ้าสลับกัน สองกลุ่มนี้เห็นบ่อยที่สุด ส่วนคนอื่นๆที่ลุงแมวน้ำพูดถึง เช่น เด็กหญิงเป่าขลุ่ย ฯลฯ รวมทั้งคนขายคุกกี้นี้ ลุงแมวน้ำพบไม่บ่อยนัก
มีอยู่วันหนึ่ง ลุงแมวน้ำใช้รถไฟฟ้าใต้ดิน ก็ว่าจะไปสวนลุมนั่นแหละ แต่ว่าจะแวะกินไอติมเสียก่อน พอลุงออกจากขบวนรถไฟฟ้าก็เดินไปทางบันไดเลื่อนด้านที่จะออกไปศาลาแดง บางทีลุงก็ขึ้นลิฟต์เพราะว่าแก่แล้ว ขึ้นบันไดเลื่อนเจ็บพุงอีกต่างหาก แต่วันนั้นลิฟต์ขัดข้อง ลุงจึงจำต้องขึ้นบันไดเลื่อน
ตอนที่ลุงขึ้นบันไดเลื่อนแล้วก็เหลือบมองย้อนไปทางขบวนรถไฟใต้ดินที่ลุงเพิ่งออกมา ก็เห็นชายขายคุกกี้คนนี้กำลังเดินลากรถเข็นที่บรรจุเต็มไปด้วยคุกกี้ ลุงเห็นชายคนนี้เดินอย่างยากลำบาก แต่ละก้าวช้ามาก เมื่อสังเกตดูจึงเห็นว่ารองเท้าของชายคนนี้ทั้งสองข้างเป็นรองเท้าพิเศษ เป็นพวกรองเท้ามีเหล็กดาม สำหรับคนที่ขาไม่ปกติ ลำพังเดินตัวเปล่าก็น่าจะลำบากอยู่แล้ว แต่นี่ยังลากรถคุกกี้อีก แถมยังต้องลากขึ้นบันไดเลื่อนอีก เห็นความอึดขนาดนี้ลุงก็ยอมแพ้แล้ว สักครู่หนึ่งก็เห็นเจ้าหน้าที่รถไฟฟ้ามาช่วยดันรถเข็นให้ขึ้นบันไดเลื่อนได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พาคนขายคุกกี้มาส่งจนถึงข้างบน วันนั้นถือว่าเป็นครั้งแรกที่ลุงทำความรู้จักกับคนขายคุกกี้ผู้นี้ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นแม้ว่าเราจะไม่เคยคุยกันเลยก็ตาม
เอาละ เริ่มดราม่าแล้ว อ่านกันต่อ...
หลังจากนั้นผ่านมาหลายวัน ลุงแมวน้ำก็ไม่ได้เห็นคนขายคุกกี้คนนี้อีกเลย จนเมื่อไม่กี่วันมานี้ ลุงแมวน้ำเดินอยู่บนสกายวอล์ก มองแต่ไกล เห็นคนขายคุกกี้ยืนขายอยู่ที่มุมสกาลวอล์กตำแหน่งเดิม
ไม่ใช่แต่เพียงเท่านั้น ยังมีกลุ่มชายหญิงใส่เสื้อสี ยืนขอรับบริจาคอยู่ในทำเลเดียวกัน ลุงแมวน้ำว่าจะซื้อคุกกี้เสียหน่อย แต่พอเห็นคนเสื้อสี ลุงก็ยังไม่อยากเข้าไป เพราะถูกตื๊อบ่อยๆเข้าก็รำคาญเหมือนกัน ก็ยืนดูอยู่ห่างๆไปก่อน แบบว่าเป็นนักสังเกตการณ์น่ะ
ภาพที่ลุงเห็นคือชายหญิงที่ใส่เสื้อสีทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง พยายามกระจายกันเข้าไปทักทายคนที่เดินผ่านไปมาเพื่อชวนคุย คนเดินสกายวอล์กส่วนน้อยที่คุยด้วย แต่ส่วนใหญ่เดินหนี ลุงแมวน้ำมองดูก็คิดว่ามันเป็นภาพที่ไม่น่าดูนัก ทำไมดูแล้วเหมือนสิบแปดมงกุฎยังไงก็ไม่รู้
แต่ที่คาดไม่ถึงก็คือ การที่คนเหล่านี้โฉบไปโฉบมาทำให้คนเดินออกห่าง ผลก็คือคนขายคุกกี้ที่ยืนขายอยู่ตรงมุมสกายวอล์กนั้นขายคุกกี้ไม่ได้เลยเพราะว่าไม่มีคนเดินเข้าไปใกล้ กลายทำงานของชายหญิงกลุ่มนั้นเท่ากับเป็นการไล่แขกให้คนขายคุกกี้ไปในตัว ก็แม้แต่ลุงยังไม่อยากเดินผ่านเลย คนอื่นก็อาจมีความคิดคล้ายกันนี้ก็ได้
ลุงแมวน้ำคิดต่อไปอีกหน่อย คิดว่าชายหญิงกลุ่มนี้ทำงานสังกัดมูลนิธิ วัตถุประสงค์ก็เพื่อหาทุนไปช่วยเหลือผู้อื่น แล้วทำไมความเมตตาที่จะหยิบยื่นให้แก่เพื่อนมนุษย์ที่ยืนขายของอยู่ตรงที่เดียวกัน ขยับที่ให้สักนิดให้ลูกค้าเข้าไปซื้อคุกกี้ได้ ไม่ใช่กระจายตัวกันเป็นกำแพงไล่แขกอยู่แบบนั้น คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆก็ไม่เมตตาเอื้อเฟื้อ แล้วคุณจะทนลำบากมาหาเงินเอาไปช่วยคนที่อยู่ไกลๆได้อย่างไร ลุงแมวน้ำก็ยังสงสัย เป็นความสงสัยที่ยังหาคำตอบไม่ได้...
ลุงแมวน้ำยืนดูอยู่นานทีเดียว ในที่สุดก็เห็นคนขายคุกกี้ลากรถเข็นเดินเขยกช้าๆ ไปหาทำเลขายที่อื่น เห็นสองขาที่ค่อยๆก้าวอย่างยากลำบากทำให้ลุงนึกถึงเหตุการณ์ทีบันไดเลื่อนวันก่อน เห็นแล้วสะท้อนใจจริงๆ
วันนั้นลุงได้อุดหนุนคุกกี้พระพรนี้มาด้วย คุกกี้ใส่ในกล่องกระดาษ ราคากล่องละ 99 บาท ก็คิดเสียว่าหนึ่งร้อยบาทนั่นแหละ มีสองรส รสข้าวโอ๊ตกับรสงา กล่องหนึ่งมีประมาณ 30 ชิ้น น้ำหนักคุกกี้ 210 กรัม (ไม่รวมถุงและกล่อง) ลุงแมวน้ำเอามาชั่งเองเพราะอยากรู้ว่าคุกกี้ตกกิโลกรัมละเท่าไร คำนวณแล้วก็ได้ประมาณกิโลกรัมละ 500 บาท
ลองกินดูก็อร่อยแฮะ รสชาติอร่อยดีทีเดียว พูดถึงราคา หากวิจารณ์กันตรงไปตรงมาก็บอกว่าราคาค่อนข้างสูง เพราะว่าคุกกี้ทั่วไปราคาประมาณกิโลกรัมละ 300 บาทบวกลบ กิโลละ 500 บาทก็มีแต่ว่ามักเป็นพวกคุกกี้มีแบรนด์หรือคุกกี้นอก พวกของพรีเมียมน่ะ
คุกกี้พระพร ในกล่องกระดาษสีสวย มีสองรส รสข้าวโอ๊ตกับรสงา ราคากล่องละ 99 บาท น้ำหนักสุทธิของคุกกี้ในกล่องประมาณ 210 กรัม มีคุกกี้อยู่ 30-32 ชิ้น |
ภาพคุกกี้ที่อยู่ในกล่อง |
ข้อความที่ติดอยู่ที่ถุงคุกกี้พระพร |
จากนั้นลุงแมวน้ำก็เข้าไปดูในเว็บไซต์ที่ระบุไว้ในกล่องคุกกี้ คือ www.pantakij.com เมื่อเข้าไปดูก็พบว่าคุกกี้พระพรนี้ทำและขายโดยกลุ่มคนพิการ และทำเป็นธุรกิจอย่างจริงจัง ไม่รับเงินบริจาค วัตถุประสงค์ของธุรกิจก็เพื่อช่วยให้ผู้พิการมีอาชีพ สามารถยืนหยัดอยู่ได้ในสังคมด้วยตนเอง กำไรจากการขายคุกกี้นี้นอกจากเอาไปส่งเสริมอาชีพผู้พิการแล้วยังแบ่งปันไปยังโรงเรียนในต่างจังหวัดด้วย หากพิจารณาตามเนื้อหาในเว็บไซต์แล้ว คุกกี้พระพรนี้จัดว่าเป็นธุรกิจเพื่อสังคมอย่างหนึ่งได้เลย
และยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มนี้ยังตั้งเป้าที่จะนำกำไรจากการขายคุกกี้ไปขยายธุรกิจต่อ โดยคิดทำธุรกิจ ไปรษณีย์พระพร ขึ้น อันเป็นธุรกิจไปรษณีย์เอกชนที่ผู้พิการเป็นเจ้าของและเป็นผู้ดำเนินกิจการ
ลุงแมวน้ำแอบสังเกตคนขายคุกกี้คนนี้ แกขายของทรหดมาก ความตั้งใจทำงานนี่ให้เกินร้อยไปเลย คุกกี้ก็อร่อย แถมยังตั้งใจทำธุรกิจจริงจัง ไม่ได้ขายความสงสารแต่สินค้าด้อยคุณภาพ ราคาคุกกี้แม้ค่อนข้างสูงแต่ไม่ได้ทำให้เกิดภาพในใจลุงแมวน้ำว่าขูดรีดหรือเอาเรื่องความด้อยโอกาสมาหากิน ตรงกันข้าม ลุงแมวน้ำกลับรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้มีศักดิ์ศรี ทำธุรกิจจริงจัง ของแพงหน่อยก็ว่ากันไปตามกลไกตลาด ของก็มีคุณภาพสมน้ำสมเนื้อ ถูกใจก็ซื้อ ไม่ถูกใจก็ไม่ต้องซื้อ
ลุงแมวน้ำอยากแนะนำว่าหากพบเห็น คุกกี้พระพร นี้ อาจลองแวะดู แวะชม หรือจะแวะคุยกับคนขายสักนิดก็ได้ ลุงแมวน้ำไม่ได้เชียร์ให้ซื้อ เพียงแค่อยากบอกว่า ซื้อแล้วสบายใจก็ซื้อไป ไม่สบายใจก็อย่าเพิ่งซื้อ เพราะเขาทำธุรกิจ อีกอย่างหนึ่งที่ลุงแมวน้ำอยากบอกก็คือ เรื่อง ไปรษณีย์พระพร ลุงแมวน้ำคิดว่าเข้าใจความฝันของพวกเขานะ เพราะลุงเองก็กำลังสานความฝันครั้งใหญ่ของลุงเหมือนกัน ดังนั้นจึงเข้าใจความรู้สึกดี แต่ลุงแมวน้ำได้เปรียบกว่าตรงที่มีทุนอยู่แล้ว แต่พวกเขาเหล่านี้ยังต้องดิ้นรนสะสมทุนอยู่ ดังนั้นความฝันของเขาหากทำสำเร็จเมื่อไร ความฝันนั้นจะมีคุณค่าและมีความหมายยิ่งกว่าฝันของลุงแมวน้ำมากนัก เพราะเป็นฝันที่สำเร็จได้ด้วยหยาดเหงื่อ น้ำตา และความเหนื่อยยากนานาประการ... ของผู้ที่ยังขาดโอกาสในสังคม...
วันนี้ดราม่าไปหน่อยไหม หวังว่าคงไม่ว่ากัน ก็วันหยุดนี่ ไม่คุยเรื่องลงทุน เห็นอะไรที่อยากเล่าลุงแมวน้ำก็นำมาเล่า อยากให้ คุกกี้พระพร นี้เป็นพระพรสำหรับผู้ซื้อสมดังเจตนาของผู้ขายด้วย ^__^
ไปรษณีย์เอกชนที่เป็นธุรกิจของผู้พิการ ต่อยอดความฝันจากธุรกิจคุกกี้พระพร |
Friday, August 24, 2012
24/08/2012 ทองคำพุ่ง, สัญญาณเศรษฐกิจ สรอ สับสน
รายงานวันเทรดที่ 23/08/2012
เมื่อวันที่ 23 ตลาดหุ้นย่านเอเชียส่วนใหญ่ปิดเขียว แต่ว่าเขียวไม่มาก ส่วนตลาดหุ้นยุโรปปิดแดงเกือบทุกตลาด ยกเว้นอังกฤษที่ปิดเขียวได้ ส่วนตลาดหุ้นเยอรมนี ดัชนี DAX -1.0%
ทางด้านตลาดหุ้นสหรับอเมริกาก็ปิดแดง ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ -0.9%
ที่น่าสนใจคือเรื่องค่าเงิน สัปดาห์นี้ค่าเงินเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว ดอลลาร์ สรอ อ่อนค่า ทำให้เงินตราสกุลอื่นๆแข็งค่าขึ้น โดยเงินยูโรแข็งค่าขึ้นไม่มากนักเนื่องจากเศรษฐกิจกลุ่มยูโรโซนยังอ่อนแออยู่ ที่แข็งค่าค่อนข้างมากได้แก่เงินตราสกุลมั่นคง เช่น ฟรังก์สวิส โครน โครนา และเงินตราสกุลเอเชียต่างๆ เช่น ดอลลาร์ออสเตรเลีย เงินบาท และงินริงกิตของมาเลเซีย ส่วนเงินเยนและดอลลาร์สิงคโปร์ช่วงนี้ไม่ค่อยเท่าไร แข็งค่าไม่มากนัก นอกจากนี้ ทองคำก็ยังพุ่งขึ้นมาแรงทีเดียว
สาเหตุก็เนื่องจากเมื่อต้นสัปดาห์ เฟด (FED) หรือธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา ได้ออกรายงานการประชุมของคณะกรรมการตลาดเปิดของสหรัฐอเมริกาหรือที่เรียกว่า FOMC (Federal Open Market Committee) เป็นหน่วยงานย่อยในเฟด มีหน้าที่ควบคุมอัตราดอกเบี้ย ซึ่งลักษณะงานก็คล้ายกับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง) ของธนาคารแห่งประเทศไทยนั่นเอง
FOMC นี้ประชุมกันเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม ประชุมอยู่ 2 วัน คือ 31 กค. กับ 1 สค. จากนั้นก็มีการแถลงข่าวหลังเสรจประชุม ตอนนั้นตลาดหุ้นและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนก็จับจ้องรอฟังแถลงข่าวกันมาทีหนึ่งแล้วว่าเฟดจะแย้มเรื่อง QE3 ออกมาหรือไม่ แต่ก็ไม่มีอะไร พอมาต้นสัปดาห์นี้ รายงานการประชุมของ FOMC ออกมา กลับมีประเด็นอยู่นิดหน่อย เพราะในรายงานการประชุมมีบันทึกไว้ว่า "คณะกรรมการหลายคนมีความเห็นว่าควรออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินในเร็ววันนี้หากยังไม่มีข้อมูลที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของ สรอ ฟื้นตัวไปได้พอสมควรแล้ว" ภาษาวกวนนิดหน่อย ภาษาการเมืองก็แบบนี้แหละ
เท่านั้นเอง ก็ไปตีความกันว่าเฟดส่งสัญญาณ QE3 ออกมาแล้ว ทองคำก็เลยพุ่ง เงินดอลลาร์ สรอ ก็อ่อนค่า เงินดอลลาร์ถูกขายและหนีไเป็นเงินสกุลอื่น ส่วนใหญ่เป็นสกุลมั่นคง และสกุลเอเชีย แต่สัปดาห์นี้เท่าทีดูการเปลี่ยนแปลง เงินเยนแข็งค่าน้อย เงินไหลเข้าไปในดอลลาร์ออสเตรเลีย บาท และริงกิตค่อนข้างมาก ทำให้สามสกุลนี้แข็งค่าขึ้นมาค่อนข้างมาก ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อมูลของตลาดตราสารหนี้ไทยที่ว่ามีเงินต่างชาติไหลเข้ามาซื้อตราสารหนี้ไทยในเดือนที่แล้วและเดือนนี้ค่อนข้างมาก ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อคืนก็มีตัวเลขเกี่ยวกับการขายบ้านของ สรอ ออกมาอีก จำนวนบ้านที่ขายได้มีมากขึ้น แต่ราคาเฉลี่ยที่ขายได้ลดลง นี่ก็เป็นสัญญาณที่สับสนว่าเศรษฐกิจของ สรอ ดีขึ้นหรือไม่กันแน่
ยัง... เรื่องสับสนยังไม่หมด เงินดอลลาร์ สรอ อ่อน ทองคำก็ขึ้น แต่น้ำมันดิบไม่ขึ้นตาม กลับลงเสียอีก อีกทั้งสินค้าเกษตรก็ลง ตอนนี้สินทรัพย์เสี่ยงในกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ อัตราแลกเปลี่ยน แม้แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร ก็ผันผวนและไม่เป็นเหตุเป็นผลกัน เดาทิศทางกันไม่ถูก
ช่วงนี้หากอินกับข่าวมากๆจะมึน เดี๋ยวจะกินอาหารไม่อร่อย นอนก็ไม่เป็นสุข คำแนะนำของลุงแมวน้ำก็คือ สบายกว่ากันเยอะเลย อยู่เฉยๆดีกว่า แน่ะ ขอร้องเป็นเพลงเสียหน่อย เก็บเงินไว้ในกองทุนรวมตลาดเงินดีที่สุด สถานการณ์ชัดเจนแล้วค่อยมาว่ากันใหม่
ส่วนหนึ่งของรายงานการประชุม FOMC ที่เปิดเผยออกมาเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ดูที่ระบายเข้ม
เงินดอลลาร์ สรอ ร่วง ภาพข้างล่างนี้เป็น usd index หรือดัชนีดอลลาร์ สรอ เกิดสัญญาณขายตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม ภาพแท่งเทียนของลุงแมวน้ำยังเขียวอยู่ เกิดจากสูตรคำนวณปัดเศษคลาดเคลื่อน ลุงแมวน้ำยังแก้ไขไม่ทัน ที่จริงต้องเป็นแท่งแดงตั้งแต่วันที่ 21 แล้ว
ทองคำพุ่งตัดทะลุปลายชายธงขึ้นไป เป็นสัญญาณกลับทิศเป็นแนวโน้มขาขึ้นชนิดหนึ่ง แต่เนื่องจากพิจารณาจากค่าโมเมนตัม แม้จะเริ่มมีกำลังมากขึ้นแต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นขาขึ้น เนื่องจากหากเป็นกรณีราคาพุ่งแรงภายในวันหรือสองวัน ค่าโมเมนตัมจะขึ้นตามไม่ทัน กรณีนี้แผนภาพแท่งเทียนจะจับความเปลี่ยนแปลงไวกว่าค่าโมเมนตัม แต่ก็ยังไม่ควรประมาทและคิดว่าราคาทองคำจะไปโลด ต้องดูต่อไปอีก
กราฟเปรียบเทียบอัตราแลกเปลี่ยนของเงินตราหลายสกุล หากดูกันเฉพาะในสัปดาห์นี้ เงินโครนาของสวีเดน ดอลลาร์ออสเตรเลีย บาท และริงกิตของมาเลเซีย แข็งค่าแรงกว่าสกุลอื่นๆ แต่หากนับทองคำด้วยก็ต้องบอกว่าทองคำแรงสุด
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลสำคัญ เมื่อ 23/08/2012
ดัชนีตลาดหุ้นสำคัญในโลก เมื่อ 23/08/2012
Wednesday, August 22, 2012
22/08/2012 สรุปภาวะการลงทุนรอบสัปดาห์ (13/08/2012 - 17/08/2012) * ตลาดหุ้นจีนทำจุดต่ำสุดใหม่ โปรดระวัง
ในที่สุดลุงแมวน้ำก็ทำสำเร็จจนได้ สามารถอัปเดตรายสัปดาห์ได้สำเร็จ เพิ่งเสร็จร้อนๆเดี๋ยวนี้เอง ^__^
ลุงแมวน้ำคงพูดอะไรมากไม่ทัน วันนี้ต้องรีบอีกแล้ว สรุปว่าสัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้นโดยรวมขึ้น และตลาดตราสารหนี้ปรับตัวลง หมายถึงว่าพอตลาดหุ้นขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรในสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวลงไปพอควร เส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve) ของพันธบัตรอเมริกัน และของพันธบัตรไทย ปรับตัวขึ้นตลอดทั้งเส้นคล้ายคลึงกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทย 10 ปี ขึ้นไป 15 จุดเบสิส (basis point)
ตลาดหุ้นขึ้นอย่าย่ามใจนะครับ ลุงแมวน้ำไม่ได้มีอคติคอยแช่งให้ตลาดหุ้นลง แต่ดูแล้วไม่มีอะไรที่จะทำให้ตลาดหุ้นขึ้นได้เลยนอกจากว่าถูกลากกันไป ในภาคเศรษฐกิจจริงของยุโรปนั้นไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ของ สรอ ก็ไม่ได้ดีขึ้น มีเรื่องน่ากลัวรออยู่ข้างหน้าด้วยซ้ำ แต่ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมตลาดหุน้ขึ้น เงินมากก็ลากกันไป ลุงแมวน้ำคิดไว้แล้วตอนที่ยุโรปประกาศโครงการ LTRO ซึ่งก็คือ QE ภาคยุโรปนั่นเอง ตลาดหุ้นน่าจะขึ้นไปได้พักหนึ่งเพราะสภาพคล่องกองอยู่ที่ธนาคารค่อนข้างมาก
สัญญาณที่น่าสนใจที่ลุงแมวน้ำอยากชี้ให้ดูก็คือดัชนีตลาดหุ้นจีน ตอนนี้ดัชนีเซี่ยงไฮ้ (Shanghai composit index) ทำนิวโลว์หรือทำจุดต่ำสุดใหม่แล้ว ในทางเทคนิคถือว่าน่าจะลงต่อ แต่หากดูจากดัชนี CSI300 ยังไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ ก็รอดูอีกนิดหนึ่งว่า CSI300 จะทำนิวโลว์ด้วยหรือไม่ แต่ในความเห็นของลุงแมวน้ำถือว่าน่ากลัวทีเดียว บ่งบอกอาการ hard landing หรือเศรษฐกิจจีนอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงได้ ตอนนี้ สรอ ยุโรป จีน อินเดีย ล้วนแต่กำลังมีปัญหา เศรษฐกิจอินเดียก็ด้วยแต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกัน
ดอลลาร์ สรอ เมื่อเช้า (คือเช้ามืด 22/08/2012) เกิดสัญญาณขายแล้ว ราคาทองคำกระโดด เหมือนกับจะทะลุปลายชายธงขึ้นไปด้านบน ส่วนน้ำมันดิบขยับนิดหน่อย ยังไม่มาก สินค้าเกษตรบางตัวขึ้น บางตัวลง ยางพาราขยับขึ้นอีกนิดหน่อย ตอนนี้ดูสับสนอลหม่านไปหมด สถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่ตลาดขึ้นอย่างแท้จริงหรอกครับ ปัจจัยฉุดมีเยอะเพียงแต่ยนังไม่แสดงผลออกมาชัดเท่านั้นเอง อย่าช้อปหุ้นเพลินนะคร้าบ ^__^
Saturday, August 18, 2012
18/08/2012 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ เที่ยวตลาดน้ำขวัญเรียม
วันนี้เป็นวันที่ 18 สิงหาคม เป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ที่มาของวันวิทยาศาสตร์แห่งชาตินี้ก็เนื่องจากเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้เสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งสุริยุปราคาครั้งนั้นรัชกาลที่ 4 ได้ทรงคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าถึงสองปีด้วยความรู้ทางคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์สมัยใหม่ (สมัยใหม่ในยุคนั้น)
และเนื่องจากที่พระองค์ทรงเป็นนักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ ประกอบกับเคยผนวชเป็นพระภิกษุอยู่เป็นเวลานานหลายปี ในวงการโหราศาสตร์ไทยก็สันนิษฐานกันว่าพระองค์ทรงมีส่วนช่วยในการพัฒนาด้านโหราศาสตร์ไทยสายคำนวณในยุคนั้นด้วย เนื่องจากในยุคนั้นโหราศาสตร์ไทยสายคำนวณมีการปรับปรุงพัฒนาไปหลายอย่าง รวมทั้งสันนิษฐานกันว่าโหราศาสตร์ไทยเร้นลับสำนักหนึ่งว่าที่ว่ากันว่าแม่นยำมากก็เกิดขึ้นในยุคนั้นนั่นเอง อันนี้ไม่มีหลักฐานอะไรที่ชัดเจน เป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่เล่าตกทอดกันมา
ที่จริงวันนี้ลุงแมวน้ำควรจะพาไปชมอะไรที่เป็นแนววิทยาศาสตร์มากกว่า อย่างเช่นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ฯลฯ แต่ลุงแมวน้ำคิดจะนำเสนอสารคดีวันหยุดเรื่องตลาดน้ำมาหลายสัปดาห์แล้ว แต่ก็เขียนไม่เสร็จเสียที ที่จริงก็เขียนไปบ้างแล้วแต่ว่าภาพประกอบมีเยอะ จึงต้องใช้เวลาอยู่บ้าง พยายามทำให้เสร็จทีละชิ้น จะไปเขียนเรื่องอื่นก็จนปัญญาเพราะทำไม่ทัน ดังนั้นแม้เป็นวันวิทยาศาสตร์ก็ขอเสนอเรื่องตลาดน้ำกล้อมแกล้มไปละกัน ^__^
กว่าจะเขียนเสร็จเล่นเอาเมื่อยครีบเหมือนกัน มาๆๆ มาชมตลาดน้ำกันเลยคร้าบ ^_^ ลุงแมวน้ำเล่าเรื่องประกอบภาพ ภาพมาก่อน คำบรรยายตามหลัง ดูไปอ่านไป จะได้ไม่เบื่อ
อ้อ ลุงแมวน้ำขอชี้แจงก่อนว่า ตลาดน้ำที่เขียนเป็นสารคดีวันหยุดนี้ ลุงแมวน้ำเขียนเพราะไปเที่ยวมาแล้วเห็นว่าเข้าท่าดี จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง ลุงแมวน้ำไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆกับทางตลาด รวมทั้งไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆจากทางตลาดนะคร้าบ ไม่ได้รับจ้างเชียร์จ้ะ
ตลาดน้ำที่ลุงแมวน้ำเพิ่งไปเที่ยวมาก็คือตลาดน้ำขวัญ-เรียม ไปเห็นสติ๊กเกอร์ติดประชาสัมพันธ์อยู่ในเรือในคลองแสนแสบ เห็นว่าเป็นตลาดน้ำเปิดใหม่ ก็เลยลองไปเที่ยวดู ตลาดน้ำนี้เปิดเฉพาะเสาร์อาทิตย์ ตั้งแต่เช้า ประมาณ 7 โมงเช้าได้มั้ง จนถึงหัวค่ำประมาณสองทุ่ม ชื่อขวัญ-เรียมนี้นำมาจากชื่อพระเอกนางเอกของนิยายเรื่องแผลเก่า เขียนโดยไม้เมืองเดิม ซึ่งฉากในท้องเรื่องของนิยายแผลเก่านี้คือท้องทุ่งบางกะปิริมคลองแสนแสบนั่นเอง นิยายแผลเก่านี้โด่งดังมาก เคยนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ รวมทั้งสร้างเป็นหนังโรงหลายครั้ง มีคู่พระคู่นางหลายชุด ลุงแมวน้ำเคยดูในสมัยก่อน เวอร์ชันที่แสดงโดยสรพงษ์ ชาตรี กับนันทนา เงากระจ่าง หูย... ร้องไห้กันกระจองอแงกันทั้งโรงเลย
ตลาดน้ำขวัญเรียมนี้เป็นตลาดที่จัดทั้งสองฝั่งคลองแสนแสบ จัดในพื้นที่ใกล้วัด สามารถเข้าได้ทั้งด้านถนนเสรีไทย ซอย 60 กับถนนรามคำแหง ซอย 127 สถานที่ตรงนี้ก็แปลกดี เพราะว่าริมฝั่งคลองมีวัดสองวัดตั้งอยู่ฝั่งละแห่ง ด้านถนนเสรีไทยเป็นวัดบำเพ็ญเหนือ ส่วนด้านถนนรามคำแหงเป็นวัดบำเพ็ญใต้ ลุงแมวน้ำเพิ่งเคยเห็นวัดสองแห่งอยู่ติดกันแบบนี้เหมือนกัน
ตลาดน้ำแห่งนี้ไม่ได้เป็นตลาดน้ำธรรมชาติที่มีพ่อค้าแม่ขายพายเรือมาชุมนุมกันเพื่อขายสินค้า แต่ที่นี่เป็นตลาดจัดตั้ง คือมีการลงทุน ปรับภูมิทัศน์ มีการสร้างสิ่งก่อสร้างและวางผังตลาด ทำที่จอดรถสำหรับผู้มาเที่ยว เพื่อทำเป็นตลาดน้ำในเชิงธุรกิจขึ้นมา ที่จริงก็ไม่ได้มีแต่ตลาดน้ำ แต่มีส่วนที่ทำเป็นตลาดบกด้วย ในภาพนี้เป็นอาคารร้านค้า ข้างในแบ่งซอยเป็นแผงให้ผู้ค้ามาเช่าเพื่อวางขายสินค้า แล้วยังมีโซนเด็กเล่น จัดเครื่องเล่นเอาไว้สำหรับครอบครัวที่มีเด็กด้วย
ด้านนอกอาคารก็ยังมีแผงค้าตั้งเรียงราย สินค้าที่นำมาขายก็เป็นสินค้าตลาดนัดทั่วไปนั่นแหละ
นี่เป็นร้านขายกระเป๋าและสินค้าแฟชั่น ลุงแมวน้ำถามดูได้ความว่าผู้ค้าส่วนหนึ่งย้ายมาจากตลาดนัดเปิดท้ายขายของที่บิ๊กซีร่มเกล้าที่ปิดไป
นี่เป็นร้านขายของเก่า มีตู้ โต๊ะ สินค้าเก่าๆสมัยลุงแมวน้ำยังเด็ก ส่วนใหญ่เป็นของใช้แล้ว แต่ของใหม่ก็พอมีบ้าง เครื่องขายขนมหยอดเหรียญที่เห็นวางอยู่บนเก้าอี้นั้นก็เป็นของที่ลุงแมวน้ำคุ้นเคยดีสมัยเด็กๆ เครื่องขายนี้แฝงการพนันอยู่เล็กๆ เพราะว่าเมื่อหยอดตังค์ลงไป สมัยก่อนดูเหมือนจะใช้เหรียญห้าสิบสตางค์ แล้วก็หมุนปุ่ม ขนมก็จะหล่นจากขวดโหลแล้วไหลออกมาตามช่อง ขนมในขวดโหลมีหลายอย่าง หลายราคา ใครจะได้ขนมอะไรต้องลุ้นกันเอาเอง แล้วแต่ดวง เหมือนกับการจับฉลากนั่นแหละ
นอกจากนี้ก็มีตู้กับข้าวทำด้วยไม้ ของเก่า พวกนี้จะมีพ่อค้าไปตระเวนรับซื้อตามบ้านในชนบท แล้วนำมาขายต่ออีกที ได้กำไรดีเหมือนกัน ตู้กับข้าวใบใหญ่ที่วางโชว์อยู่ในร้านขายไปแล้วในราคาหลายพันบาท ส่วนของใหม่ๆก็มี เช่น ปิ่นโตที่ใช้กันเมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยนี้ก็ยังมีผู้ผลิตขายอยู่
สัญลักษณ์ของตลาดน้ำนี้เป็นรูปกระบือหรือว่าควาย ป้ายต่างๆต้องมีควายเป็นพรีเซ็นเตอร์ ก็น่ารักดีเหมือนกัน
ตลาดน้ำแห่งนี้ของกินเยอะทีเดียว ที่จริงตลาดไหนๆก็ของกินเยอะทั้งนั้น เพราะอาหารการกินเป็นแม่เหล็กอย่างหนึ่งของตลาดโดยทั่วไป หากของกินน้อยลูกค้าจะไม่ติด ที่เห็นในภาพเป็นขนมไทย ข้าวต้มมัด ขนมกล้วย ขนมใส่ไส่ ขายอยู่ด้านนอก ฝีมือโบราณเนื่องจากคนขายอายุมากแล้ว
ด้านในอาคารก็ยังมีแผงขายขนมโบราณด้วย ขนมไข่หอมน่ากิน เป็นของโปรดของลุงแมวน้ำสมัยเด็ก
ขนมตาล ทำกันที่แผงนั้นเลย ขนมตาลอร่อยๆหากินยากในสมัยนี้ ในภาพเห็นแล้วน้ำลายลุงแมวน้ำหกออกมาเลอะหูกระต่ายเลย ^_^ แต่ไม่ได้ซื้อกินนะคร้าบ พอดีตอนนั้นอิ่มแล้ว เลยไม่รู้ว่าเจ้านี้อร่อยหรือเปล่า
ลุงแมวน้ำเดินเล่นอยู่ที่ตลาดบนบกสักครู่ก็เดินต่อมาที่ริมฝั่งคลอง ที่ริมฝั่งคลองจัดเป็นส่วนหย่อมเล็กๆ มีจุดถ่ายรูปด้วย จัดไว้หลายจุดเหมือนกัน ในภาพเป็นสามล้อถีบ สามารถเข้าไปนั่งในรถแล้วถ่ายภาพที่ระลึกได้
สวนหย่อมริมคลองอีกภาพหนึ่ง มีโต๊ะเก้าอี้จัดไว้ให้นั่งพักด้วย ตอนเช้าๆน่านั่งดีเหมือนกัน ลมพัดเย็นสบาย แหม ถ้ามีเตียงจัดให้ด้วยก็แหล่มเลย ^_^ โรงเรือนที่เห็นในภาพก็คือตลาดบกที่ลุงแมวน้ำเพิ่งจากมานั่นเอง
นี่เป็นศาลขวัญ-เรียม ที่จริงขวัญ เรียม เป็นตัวละครในนิยาย ทำไมมีศาลได้ก็ไม่รู้เหมือนกัน อีกทั้งบริเวณรอบๆศาลนี้เปิดเพลงแสนแสบ อันเป็นเพลงธีมของหนังเรื่องแผลเก่าคลออยู่ตลอดเวลา ก็อย่างว่าแหละ ตามหลักการตลาด จะทำอะไรต้องมีสตอรี่ จะได้น่าสนใจ
ส่วนที่เป็นตลาดน้ำอยู่ทางฝั่งเหนือ หรือฝั่งวัดบำเพ็ญเหนือ ดังนั้นต้องข้ามคลองไป สะพานข้ามคลองตรงตลาดน้ำนี้หรูอลังการมาก ราวสะพานดีไซน์ให้แปลกตา ทำเหมือนซี่โครงปลาวาฬ แถมยังมีลิฟต์สำหรับคนชรา คนพิการที่เดินขึ้นสะพานไม่ไหวอีกด้วย ตู้สี่หลี่ยมในภาพก็คือลิฟต์นั่นเอง
จากฝั่งวัดบางเพ็งใต้ มองไปยังฝั่งวัดบำเพ็ญเหนือ อาคารสองชั้นริมน้ำที่เห็นเป็นอาคารร้านค้าทั้งหมด ทีริมใฝั่งเห็นมีเรือจอดอยู่มีคนนั่งในเรือเยอะแยะ นั่นคือเรือพาเที่ยวชมคลองแสนแสบ ค่าตั๋ว 10 บาท
บรรยากาศคลองแสนแสบยามเช้า สงบ ร่มเย็น น่านั่งเรือเที่ยว คลองแสนแสบช่วงนี้ไม่มีเรือประจำทางแล่น ดังนั้นบรรยากาศจึงสงบ ไร้เสียงเรือหางยาวให้หนวกหู เรือหางยาวประจำทางมาสุดแค่วัดศรีบุญเรือง แถวๆนิด้า ส่วนตลาดน้ำนี้อยู่เลยมาอีกไกล คลองแสนแสบนี้ยาวมาก ขุดในสมัยรัชกาลที่สาม ยาวไปจนถึงมีนบุรีโน่น
ภาพนี้เป็นชั้นสองของอาคารริมน้ำ พอข้ามสะพานมาก็เจอร้านค้า ช้อปได้ทันทีเลย
นี่เป็นฝั่งวัดบำเพ็ญเหนือแล้ว ชั้นล่างของอาคารริมน้ำขายอาหารเป็นส่วนใหญ่ พวกเสื้อผ้า ของใช้ มีแค่ไม่กี่แผงเท่านั้น
เรือขายของ ความเป็นตลาดน้ำจริงๆอยู่ตรงนี้เอง ที่ฝั่งคลองด้านวัดบำเพ็ญเหนือมีเรือขายของจอดอยู่นับสิบลำ แต่ไม่ใช่เรือที่พ่อค้าแม่ขายพายเรือมาขายสินค้า ตรงกันข้าม เป็นเรือของทางตลาดน้ำที่จอดอยู่กับที่ แล้วให้พ่อค้าแม่ค้ามาเช่าขายของ เรือลำหนึ่งก็คือแผงๆหนึ่งนั่นเอง ของที่ขายในเรือมีแต่ของกิน ไม่มีของใช้
คงมีคนสงสัยว่าเรือเหล่านี้เป็นเรือชนิดใด ลุงแมวน้ำก็ไม่ใช่ผู้สัดทัดเรื่องเรือ แต่ว่าไปค้นคว้าดู คิดว่าเรือเหล่านี้เป็นเรือสำปั้นดัดแปลงมา เรือสำปั้นเป็นเรือที่บ้านเรือนทั่วไปใช้ในสมัยก่อน ลำเล็กๆเช่นที่แม่ค้าพายเรือขายของหรือที่พระออกบิณฑบาตร เรียกว่าสำปั้นเพรียว ถ้าใหญ่หน่อยก็จะมีหลังคาคลุม แต่ลักษณะเฉพาะคือเรือมีหัวตัดท้ายตัด ส่วนเรือเอี้ยมจุ๊นนั้นหัวเรือเรียวแหลม ท้ายเรือทำเป็นประทุน เทียบเคียงดูแล้วเรือที่ตลาดน้ำแห่งนี้ใช้น่าจะเป็นเรือสำปั้นประยุกต์มากกว่า
นี่แหละส่วนที่เป็นตลาดน้ำจริงๆ หญ้าที่เห็นเป็นหญ้าปลอม ปูให้เขียวๆน่าเดิน เรือเหล่านี้สามารถเข้าไปนั่งกินอาหารภายในลำเรือได้
ร้านนี้ขายพวกขนมจีน
ลำนี้ขายกาแฟ เช้าๆนั่งดื่มกาแฟในเรือ ชื่นชมกับบรรยากาศสงบร่มรื่นของคลองแสนแสบ บรรยากาศดีทีเทียว
พรีเซ็นเตอร์ของตลาด นั่งยิ้มยิงฟันอยู่ ตลาดน้ำแห่งนี้เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ตอนเช้าๆบรรยากาศยังสงบ ร่มรื่น ผู้คนก็ยังไม่พลุกพล่านนัก ยังพอได้บรรยากาศแบบตลาดน้ำชนบทอยู่บ้าง แต่ต่อไปหากตลาดคึกคัก บรรยากาศแบบชนบทก็คงหมดไป
หากจะไปเที่ยวอย่าพกเงินติดตัวไปมากนัก กลัวช้อปเพลินเกินห้ามใจ ^__^
Tuesday, August 14, 2012
14/08/2012 สรุปภาวะการลงทุนรอบสัปดาห์ (06/08/2012 - 10/08/2012) * K-Agri, Wheat, Corn, Gold, Brent oil, USD Index
เมื่อวานวันจันทร์ เป็นวันหยุดราชการของบ้านเรา แต่ในต่างประเทศมีการเทรด วันนี้ลุงแมวขอสรุปภาวะการลงทุนในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาเสียก่อน
สัปดาห์ที่แล้ว (06/08/2012 - 10/08/2012) ตลาดหุ้นโดยรวมขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดัชนีที่บอกภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วโลก ได้แก่ Dow Jones Global Index ปรับตัวขึ้น +1.74% ส่วนดัชนี MSCI All Country World Index (ดูแทนด้วย ACWI) +1.78%
หากดูในรายภูมิภาค สหรัฐอเมริกา ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJI) +0.85% ตลาดหุ้นแคนาดา +2% กลุ่มละตินอเมริกา +2.3% กลุ่มสหภาพยุโรป +1.7% กลุ่มแอฟริกา +1.8% กลุ่มตะวันออกกลาง +0.6% กลุ่มเอเชียแปซิฟิก +3.0% เฉพาะกลุ่มอาเซียน +2.7% และไทย (SET) +1.8%
ดัชนีตลาดหุ้นขึ้นกันทั้งโลกเท่าที่ลุงแมวน้ำติดตามข่าวดู สาเหตุน่าจะมาจากการเล่นข่าวจีนกับสหรัฐอเมริกา โดยจีนนั้นตัวเลขทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะมูลค่าการค้าระหว่างประเทศในเดือนกรกฎาคมหดตัว ซึ่งสอดคล้องกับอาการของตลาดหุ้นีนที่ไหลลงมาโดยตลอดในช่วงก่อนหน้านี้ ประกอบกับตัวเลขอัตราเงินเฟ้อชุดล่าสุดของจีนที่รายงานออกมา ปรากฏว่าอัตราเงินเฟ้อลดลง ช่วงก่อนหน้านี้จีนไม่กล้ากระตุ้นเศรษฐกิจมากมายนักเพราะห่วงเรื่องภาวะเงินเฟ้อเนื่องจากจีนกลัวเรื่องปัญหาเงินเฟ้อมาก เมื่อเศรษฐกิจแย่ลงแต่อัตราเงินเฟ้อก็ลดลงด้วย จึงคาดกันว่าจีนคงมีการกระตุ้นเศรษฐกิจในเร็วๆนี้เนื่องจากไม่ต้องห่วงเรื่องเงินเฟ้อ ตลาดหุ้นจีนในสัปดาห์ที่แล้วจึงปรับตัวขึ้น +1.95% ส่วนตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิกก็ได้รับอานิสงส์ ขึ้นตามไปด้วย
ส่วนด้านสหรัฐอเมริกานั้นสัปดาห์ที่แล้วตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของเดือนกรกฎาคมออกมาดีกว่าที่คาด ประกอบกับมีข่าวและบทวิเคราะห์ตามสื่อที่คาดว่า QE3 มาค่อนข้างแน่ ประกอบกับข่าวจีนอาจกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นสัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้น สรอ จึงขึ้นต่อเนื่องทั้งสัปดาห์
ด้านยุโรป ที่จริงตัวเลขเศรษฐกิจก็ไม่มีอะไรพิเศษ ออกไปทางด้านลบเสียด้วยซ้ำ แต่จีนกับ สรอ ขึ้น บรรยากาศในยุโรปก็ขึ้นไปด้วย และนอกจากนี้ ประธานธนาคารกลางยุโรป คนที่ชื่อเหมือนเกมคอมพิวเตอร์ ก็กล่าวว่าอีซีบีพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อสกัดการล่มสลายของยูโรโซน สื่อก็ตีความว่าเป็นการส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจแน่เลย ตลาดหุ้นก็เลยขึ้น ที่จริงปัจจุบันนี้ยุโรปภายใต้โครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่สถาบันการเงิน (LTRO) ก็เท่ากับว่ายุโรปใช้มาตรการ QE อยู่แล้ว ก็น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นในช่วงประมาณสองเดือนมานี้
ด้านสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมันดิบรับตัวขึ้นจากสงครามน้ำลายของอิหร่านกับอิสราเอล โดยอิสราเอลขู่จะโจมตีอิหร่านเช่นเคย ราคาน้ำมันดิบก็ขึ้นไปได้อีก ส่วนทองคำแกว่งขึ้นลง ไร้ทิศทางที่ชัดเจน
ด้านสินค้าเกษตร ข่าวภัยแล้งในเขตมิดเวสต์ของสหรัฐอเมริกา ทำให้ราคาสินค้าเกษตรหลัก ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ขึ้นราคา ประกอบกับเอฟเอโอ (FAO) ประเมินว่าปีนี้เอเชียจะแล้งเนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ส่งผลร่วมทำให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวขึ้นมาตลอดทั้งเดือนที่แล้ว จนมาในสัปดาห์ที่แล้วเริ่มทรงตัวแล้วแม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวขึ้นก็ตาม ส่วนราคายางพารานั้นลงไม่หยุด และราคาข้าวทรงตัว ไม่ปรับขึ้น ไม่ได้รับอานิสงส์จากข่าวภัยแล้งเลย
ด้านตลาดพันธบัตร เส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร Zyield curve) ของอเมริกัน ปรับตัวขึ้นตลอดทั้งเส้น โดยเฉพาะพันธบัตร 10 ปี ปรับขึ้นมา 5 จุดเบสิส (bp) มาอยู่ที่ 1.65% เพราะตลาดหุ้น สรอ ขึ้นต่อเนื่อง ส่วนพันธบัตรไทยเส้นอัตราผลตอบแทนปรับตัวลงตลอดทั้งเส้นแม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะขึ้นก็ตาม โดยมีเงินต่างชาติเข้ามาซื้อพันธบัตรทยมากเป็นพิเศษในช่วงเดือนที่แล้วต่อเนื่องมาถึงต้นเดือนนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเงินต่างชาติที่ต้องการลี้ภัยจากตลาดยุโรป อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทย อายุ 10 ปีปลาสัปดาห์อยู่ที่ 3.26% ลดลง 3 จุดเบสิส
ด้านอัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์ที่แล้วเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เงินยูโรอ่อนค่า ส่วนเงินสกุลแข็งดูแปลกๆ เงินโครนกัโครนาของยุโรปแข็งค่า ส่วนฟรังก์สวิสอ่อนค่า เงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่า แต่เงินเยนอ่อนค่า ส่วนเงินบาทสัปดาห์ที่แล้วแข็งค่าขึ้นนิดหน่อย +0.22%
ตลาดหุ้นยุโรปกับสหรัฐอเมริกาจะมีแรงส่งหรือว่าโมเมนตัมส่งตลาดไปได้ถึงแค่ไหนต้องคอยติดตามดูกัน ลุงแมวน้ำก็ทายไม่ถูก รู้แต่ว่าแนวโน้มใหญ่ยังไม่เปลี่ยน
น้ำมันดิบสินค้าเกษตรตอนนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ ทรงตัวแล้วจะไปต่อหรือจะลงก็ยังไม่รู้เช่นกัน เพราะตอนนี้อยู่ในภาวะเก็งกำไรกันเต็มที่ น่าอันตรายทีเดียว
วันนี้ลุงแมวน้ำมีกราฟมาฝากหลายรูปที่เดียว มาดูกัน ภาพมาก่อน คำบรรยายตามหลังครับ
กองทุนรวม K-Agri ที่ลงทุนในสินค้าเกษตร เดือนกรกฎาคมขึ้นทั้งเดือน ตอนนี้ทรงตัวอยู่ จะเป็นอย่างไรต่อต้องติดตาม
ข่าวภัยแล้งในเขตมิดเวสต์อันเป็นภาคกลางค่อนไปทางตะวันออกของสรัฐอเมริกาทำให้ราคาข้าวสาลี (W) พุ่ง ตอนนี้เริ่มทรงแล้วเช่นกัน
ราคาข้าวโพด (C) ทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาลของเมื่อปี 2008 ไปได้เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง
ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ (BZ) น้ำมันดิบเล่นข่าวสงคราม ราคาขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงระดับฟิโบนัชชี 61.8% แล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มทรงตัว
ราคาทองคำ (GC) ยังคงวนเวียนอยู่ในปลายชายธง ไม่หลุดออกมาเสียที จวนแล้วๆ (แต่ไม่รู้เมื่อไร ^__^
ดัชนีดอลลาร์ สรอ (USD index) ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นแต่มาถึงระดับฟิโบนาชชี 61.8% แล้ว หากนับคลื่นย่อยน่าจะยังไม่ครบชุด ดังนั้นโอกาสไปต่อน่าจะมีมากกว่ากลับทิศลง
Thursday, August 9, 2012
09/08/2012 * มูลค่าแท้จริงของทองคำและน้ำมันดิบ (3)
วันนี้ลุงแมวน้ำจะขอคุยเรื่อง มูลค่าที่แท้จริงของทองคำและน้ำมันดิบ (ที่จริงรวมสินค้าอย่างอื่นด้วย) ให้จบ จากนั้นเราจะได้ไปดูเรื่องอื่นกันต่อไป
ความเดิมจากตอนที่แล้ว ลุงแมวน้ำทิ้งท้ายเอาไว้ว่าตลอดระยะเวลาประมาณ 25 ปี คือตั้งแต่ 1986 จนถึงปี 2011 ราคาน้ำมันดิบขึ้นแรงกว่าราคาทองคำเสียอีก แต่ทั้งคู่ก็ถือว่าชนะเงินเฟ้อ ดังนั้นเราน่าจะมาลงทุนในทองคำกับน้ำมันดิบเพื่อนต้านเงินเฟ้อกันดีกว่าไหม
เพื่อตอบคำถามนี้ วันนี้ลุงแมวน้ำนำเอากราฟที่พล็อตจากข้อมูลดิบเมื่อวันก่อนมาให้ดู คือเป็นกราฟที่เปรียบเทียบราคาสินค้าและดัชนีต่างๆ ตั้งแต่ ทองคำ น้ำมันดิบ บิ๊กแม็ค และดัชนีราคาผู้บริโภค พร้อมทั้งลุงแมวน้ำเพิ่มสินค้าเข้ามาให้อีก นั่นคือ ทองแดง กับ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA หรือ DJI) โดยลุงแมวน้ำคำนวณเป็นคะแนนมาตรฐาน คือให้ สินค้าและดัชนีทุกชนิดมีค่าเท่ากันในปี 1986 คือมีค่าเป็น 1 หน่วย เมื่อทุกชนิดถูกปรับให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน ทีนี้เราก็สามารถเปรียบเทียบกันได้ว่าใครแรงกว่าใคร
เมื่อเห็นภาพนี้ หลายคนคงผิดคาด เรามาดูรายละเอียดของสินค้าและดัชนีทั้งหมดกันก่อน
- เส้นสีน้ำตาล (CPI) คือดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐอเมริกา ในปี 1986 มีค่า 1 หน่วย ในปี 2011 มีค่า 2.05 หน่วย นั่นคือ หากพูดภาษาชาวบ้านก็คือเงินเฟ้อตลอด 25 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นประมาณเท่าตัว (คือจาก 1 ไป 2.05)
- เส้นสีแดง เป็นดัชนีบิ๊กแม็ค (Big MAC index) ในปี 2011 มีค่า 2.38 หน่วย นั่นคือเงินเฟ้อตลอด 25 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นประมาณเท่าตัวกว่าเล็กน้อย (คือจาก 1 ไป 2.38) ดัชนีบิ๊กแม็คใช้ประเมินภาวะเงินเฟ้อประกอบกับเส้น cpi
- เส้นสีเขียว ราคาทองคำ 1986 มีค่า 1 หน่วย และสังเกตให้ดี หากดูจากกราฟจะพบข้อเท็จจริงว่าราคาทองคำตั้งแต่ปี 1986 เป็นต้นมา ราคาต้วมเตี้ยมๆ แพ้เงินเฟ้อมาโดยตลอดจนถึงปี 2007 (ที่บอกว่าแพ้เงินเฟ้อคือปีใดที่ราคาทองคำอยู่ใต้เส้น cpi ก็ถือว่าแพ้เงินเฟ้อ) เพิ่งมาชนะเงินเฟ้อในปี 2008 เป็นต้นมานี่เอง สาเหตุที่ทองคำเอาชนะเงินเฟ้อไม่ได้ก็เพราะว่าราคาทองคำอยู่ในแนวโน้มใหญ่ขาลงมาตั้งแต่ปี 1980 ถึงปี 2002 (ราคาไหลลงจาก 800 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์ มาจนถึง 300 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์ โดยประมาณ) คือเป็นขาลงประมาณ 22 ปี ใครที่ถือทองคำในช่วงที่ว่านี้จะเจ็บตัวเพราะทองคำสู้เงินเฟ้อไม่ได้เลย
- เส้นสีดำ แสดง ราคานำมันดิบเบรนต์ (Brent Crude Oil) ปี 1986 มีค่า 1 หน่วย และในปี 2011 มีราคา 7.83 หน่วย ราคาขึ้นมาเจ็ดเท่ากว่าๆ แต่สังเกตดูเส้นกราฟว่าผันผวนเป็นรถไฟเหาะ เมื่อถึงคราวลงก็ลงแรง เช่นในปี 2008
- เส้นสีเหลือง แสดง ราคาโลหะทองแดง (copper) ปี 1986 มีค่า 1 หน่วย และในปี 2011 มีราคา 5.68 หน่วย ราคาขึ้นมาเกือบๆหกเท่าตัวในช่วงยี่สิบห้าปี ดูไปแล้วถือคุ้มกว่าทองคำเสียอีก ทองแดงถือเป็นตัวแทนของโลหะอุตสาหกรรม หากสังเกตดูกราฟจะพบว่าราคาผันผวนมากจนน่ากลัว พอๆกับหรืออาจจะมากกว่าน้ำมันดิบเสียอีก และหากสังเกตต่อไปจะพบว่า ราคาทองแดงบางปีก็แพ้เงินเฟ้อ (ปีที่เส้นกราฟทองแดงอยู่ใต้เส้น cpi)
- เส้นสีฟ้า แสดงราคาหรือมูลค่าของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา โดยดูจากดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์นั่นเอง ปี 1986 มีค่า 1 หน่วย และในปี 2011 มีราคา 5.17 หน่วย ถือหุ้นก็ดีกว่าถือทองคำ
- เส้นสีเทา แสดงราคาหรือ มูลค่าของพันธบัตร 30 ปีของรัฐบาลอเมริกัน (30 year US bond return) ปี 1986 อัตราดอกเบี้ยในปีนั้นอยู่ที่ 6.5% โดยประมาณ การคิดของลุงแมวน้ำในที่นี้คิดง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ดอกเบี้ยรับก็เก็บไว้ ไม่ได้ลงทุนต่อ สมมติว่าพันธบัตรราคา 1 หน่วย สิ้นปีก็รับดอกเบี้ย 6.5 สตางค์ แสดงว่าสิ้นปีเงินของลุงแมวน้ำงอกมาเป็น 1.065 หน่วย พอสิ้นปี 1987 ก็รับดอกเบี้ยอีก 6.5 สตางค์ ลุงแมวน้ำก็จะมีเงินในปลายปี 1987 เป็น 1.065+065 = 1.13หน่วย คิดทบแบบนี้ไปเรื่อยๆ
เมื่อดูจากกราฟที่แปลงเป็นคะแนนมาตรฐานแล้วจะทำให้พบข้อเท็จจริงหลายคนอาจนึกไม่ถึงมาก่อน นั่นคือ
- หากพิจารณาในแง่การเป็นสินทรัพย์ต้านเงินเฟ้อ ทองคำไม่ใช่สินทรัพย์ชนิดเดียวที่ต้านเงินเฟ้อได้
- ยิ่งไปกว่านั้น ทองคำไม่ใช่สินทรัพย์ต้านเงินเฟ้อที่ดีนักเสียด้วยซ้ำ (เพราะมีหลายปีที่อยู่ใต้เส้น cpi) ส่วนน้ำมันดิบกับทองแดงก็ผันผวนมาก มีบางปีก็แพ้เงินเฟ้อ
- หุ้นดูจะเป็นสินทรัพย์ต้านเงินเฟ้อที่ดี เพราะสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้เสมอ ไม่มีปีใดที่แพ้เงินเฟ้แ
- พันธบัตรรัฐบาล 30 ปี ก็ดูจะเป็นสินทรัพย์ต้านเงินเฟ้อที่ดีได้ เพราะว่าหากดูจากกราฟก็สามารถชนะเงินเฟ้อได้ทุกปีเช่นเดียวกับหุ้น แต่ว่าสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินทรัพย์ได้ไม่ดีเท่ากับหุ้น (ก็คือกำไรดีไม่เท่ากับลงทุนหุ้นนั่นเอง)
แต่ แต่ และ แต่ ต้องเข้าใจเงื่อนไขของกราฟทุกเส้นในภาพนี้ให้ดีก่อน เพราะว่าลุงแมวน้ำสมมติว่าลงทุนในปี 1986 แล้วถือยาว หากดป็นหุ้น ทองคำ น้ำมัน ทองแดง ฯลฯ ก็ถือเรื่อยมาโดยไม่ขาย หากเป็นพันธบัตรก็ถือแล้วรับดอกเบี้ยเรื่อยมา หากไปลงทุนในปีอื่น หมายถึงว่าไปตั้งต้นค่า 1 ที่ปีอื่นๆ กราฟที่ได้ก็จะไม่เป็นแบบนี้ รวมทั้งผลตอบแทนการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหุ้น ลงทุนทองคำ ลงทุนน้ำมัน ลงทุนทองแดง หรือลงทุนพันธบัตร ก็อาจไม่ได้มีการแพ้เงินเฟ้อหรือชนะเงินเฟ้อตามกราฟรูปนี้ แต่อย่างไรก็ตาม จากภาพนี้ก็ยังพอทำให้เห็นความเป็นไปได้ที่จะชนะเงินเฟ้อด้วยการลงทุนรูปแบบต่างๆ นั่นก็คือ
การลงทุนพันธบัตรในพันธบัตรอายุยาวๆโดยทั่วไปแล้วแม้ชนะเงินเฟ้อได้ก็ไม่มากมายนัก แค่พอเอาตัวรอด แต่ก็ความเสี่ยงต่ำ (ดูจากเส้นกราฟที่ผันผวนน้อยมาก นั่นคือความเสี่ยงต่ำ)
การลงทุนหุ้นนั้นผันผวนแต่ก็สร้างผลตอบแทนที่ดี ความเสี่ยงสูงเป็นลำดับถัดมา
การลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์ (ทองคำ ทองแดง น้ำมันดิบ) มีความเสี่ยงสูงขึ้นมาอีก เพราะผันผวนมาก (ดูจากเส้นกราฟที่แกว่งขึ้นลงแรง) อีกทั้งมีโอกาสแพ้เงินเฟ้อในช่วงที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำ โดยเฉพาะการลงทุนทองคำ หากพิจารณาจากกราฟนี้แล้วคงทำให้คิดว่าที่จริงแล้วทองคำก็ไม่ได้มีเสน่ห์อะไรมากมาย และที่น่าสังเกตก็คือที่เรามักพูดกันว่าทองคำเป็นสินทรัพย์มั่นคง ใช้ต้านเงินเฟ้อ แต่หากดูจากพฤติกรรมราคาแล้ว ทองแดงก็พอๆกับทองคำ เสี่ยงพอกัน ผลกำไรดีพอกัน โอกาสขาดทุนพอกัน ฯลฯ น้ำมันก็ด้วย ที่จริงแล้วทองคำไม่ได้มั่นคงกว่าทองแดงและน้ำมันเลย เพียงแต่ว่าโดยสภาพของสินค้าและพฤติกรรมการลงทุนนั้นไม่มีใครซื้อทองแดงกับน้ำมันดิบมาเก็บไว้ที่บ้าน ดังนั้นในแง่ความเหมาะสมต่อการเก็บรักษาก็ต้องเลือกทองคำ แต่หากมองในแง่การลงทุนก็ไม่ได้มั่นคงต่างกัน และนี่เองคงเป็นสาเหตุที่ลุงวอเรน บัฟเฟต ไม่ชอบทองคำเอาเสียเลย แกชอบหุ้นมากกว่า
ในความเห็นของลุงแมวน้ำ ขณะนี้ทองคำไม่ใช่สินทรัพย์มั่นคงอีกต่อไปแล้ว ต่างจากเมื่อก่อน เพราะว่าเมื่อก่อนนานาประเทศใช้ทองคำเป็นทุนสำรองเพื่อหนุนระบบเงินตรา แต่ปัจจุบันแทบไม่มีใครใช้แล้ว แม้บางประเทศจะใช้ทองคำหนุนระบบเงินตราก็ใช้เพียงบางส่วน ดังนั้นทองคำในปัจจุบันจึงมีค่าเสมือนเงินตราสกุลหนึ่ง รวมทั้งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่เก็งกำไรกันอย่างหนักมือ ต่อไปจะยิ่งไม่มีใครใช้ทองคำหนุนระบบเงินตรา เพราะว่าถึงอยากใช้ก็ใช้ไม่ไหว เนื่องจากปริมาณทองคำที่มีอยู่ทั่วโลกมีไม่เพียงพอรองรับระบบการค้า คิดง่ายๆ ปัจจุบันมีทองคำอยู่ในโลกประมาณ 142,000 เมตริกตัน หากคำนวณมูลค่าโดยคิดราคาทองคำที่ 1500 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์ ทองคำ 142,000 เมตริกตันจะมีมูลค่าประมาณ 6.85 ล้านล้าน ดอลลาร์ สรอ แต่ขณะนี้หนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวก็มากถึง 10.85 ล้านล้าน ดอลลาร์ สรอ แล้ว นี่ยังไม่รวมปริมาณการค้าธุรกรรมการเงินต่างๆที่เกิดขึ้นในโลก ดังนั้นหากจะติดยึดกับมูลค่าทองคำ เศรษฐกิจโลกจะเดินหน้าต่อไปไม่ได้
และจากการที่ปัจจุบันปริมาณทองคำมีไม่เพียงพอกับระบบการค้าในโลก ลองคิดดูเล่นๆว่าหากยุโรปถดถอยอย่างแรง เงินยูโรย่อมต้องอ่อนค่าลงเรื่อยๆ ผู้ที่ถือเงินยูโรคงอยากเปลี่ยนไปถืออย่างอื่นมากกว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่คนจะทิ้งเงินยูโรไปถือทองคำกันทั้งหมด เพราะว่าทองคำมีไม่พอ ดังนั้นก็ต้องพยายามไปซื้อเงินตราสกุลอื่นแทน แต่เงินฟรังก์สวิสที่แข็งแกร่งก็มีปริมาณเงินหมุนเวียนในโลกไม่มากนัก เงินเยนแม้จะเป็นสกุลแข็งแต่ก็ไม่พอเช่นกัน ดอลลาร์แคนาดา ดอลลาร์ออสเตรเลีย ก็มีปริมาณเงินไม่มาก เงินหยวนก็ยังไม่อินเตอร์พอ หาแลกได้ยาก ถ้าเช่นนั้นอะไรที่พอจะเข้าไปพึ่งพาได้ คิดแล้วก็มีแต่เงินดอลลาร์ สรอ นั่นเอง เพราะมีปริมาณหมุนเวียนอยู่ในโลกมากมายและเพียงพอ
ดังนั้น แม้ใครจะมองว่าดอลลาร์ สรอ เน่าเพียงใดก็ตาม แต่สุดท้ายทองคำก็พึ่งไม่ได้เพราะปริมาณมีจำกัด ขณะนี้ก็ต้องดอลลาร์ สรอ เท่านั้น นี่เองจึงเป็นเหตุผลที่ ดอลลาร์ สรอ ยังแข็งค่าแม้ใครต่อใครจะบอกว่าดอลลาร์ เน่าแล้ว ต้องอวสานแน่ๆ และนี่เองเป็นเหตุผลที่เงินเยนยังแข็งแกร่งได้แม้ว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังไม่ฟื้นก็ตาม
ดอลลาร์ สรอ ยังคงเป็นที่พักพิงหลักของผู้ที่หนีจากเงินยูโรต่อไปอีกหลายปี แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงจากการที่สหรัฐอเมริกาจะพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อใช้ในมาตรการ QE ต่างๆก็ตาม นอกจากนี้ ที่พึ่งพิงรองก็คงเป็นเงินตราสกุลแข็งอื่นๆดังที่ว่ามา
และอีกประการที่ลุงแมวน้ำอยากฝากข้อคิดไว้จากกราฟนี้ ก็คือ สินทรัพย์แต่ละชนิดให้ผลตอบแทนดีไม่เท่ากัน และความเสี่ยงก็ไม่เท่ากันด้วย ดังนั้นการลงทุนในระยะยาวต้องมีการกระจายความเสี่ยง หลักการลงทุนให้มีกำไรนั้นต้องจำกัดความเสี่ยงไว้ให้ได้ คือต้องรู้จักบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่รู้เทคนิคดีหรือรู้ปัจจัยพื้นฐานดี การรู้จักบริหารความเสี่ยงและจำกัดความเสี่ยงให้ควบคุมได้คือหัวใจที่สำคัญครับ ไม่อย่างนั้นเงินต้นจะสูญ เข้าตำราทุนหายกำไรหดได้
จบแล้วคร้าบ ^__^
Tuesday, August 7, 2012
07/08/2012 สรุปภาวะการลงทุนประจำเดือนกรกฎาคม (07/2012)
วันนี้ลุงแมวน้ำนำรายงานภาวะการลงทุนประจำเดือนกรกฎาคมมาให้ดูกันตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวขึ้น ยุโรปปรับตัวขึ้นมากที่สุด ส่วนเอเชียดูไม่ค่อดี ที่ขึ้นก็ขึ้นเล็กน้อย ที่ลงแรงก็มี ที่น่าสังเกตคือจีน ตลาดหุ้นจีนลงเอาลงเอามาพักใหญ่แล้ว ตลอดเดือนที่ผ่านมาก็ลงไปถึง -5.23% สัญญาณทางเทคนิคยังไม่มีอะไร ยังคงเป็นแนวโน้มขาลง ซึ่งน่าเป็นห่วงเนื่องจากหากลงต่อไปอีกสักระยะหนึ่งคงส่งผลกระทบต่อเอเชียรุนแรงมากขึ้น
Subscribe to:
Posts (Atom)