Wednesday, June 22, 2011

21/06/2011 * DBA, SB, RSS3, SET, ยางพารากลับมาน่าสนใจ, เศรษฐกิจโลกยังคงอึมครึม

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,027.72 จุด เพิ่มขึ้น 14.63 จุด รีบาวด์ไปพร้อมกับเพื่อนบ้าน

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 7 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อโกโก้ (CC)

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ปิดเขียวกันทั่วโลก ทั่งฝั่งอเมริกายุโรป และเอเชียแปซิฟิก คาดหวังข่าวดีเกี่ยวกับกรีซ ดัชนีตลาดหุ้นเอเธนส์ของกรีซขึ้นแรง ตามมาด้วยตลาดหุ้นนอร์เวย์เวียดนาม สวีเดน และอิตาลี

ราคาสินค้าเกษตรที่เป็นสินค้าหลักได้แก่พวก ข้าวสาลี ข้าวโพด ถั่วเหลือง ช่วงนี้ดูไม่ค่อยดีนักเนื่องจากอยู่ในภาวะไร้ทิศทาง สะท้อนได้จากกราฟของอีทีเอฟ DBA ดังภาพต่อไปนี้



ยกเว้นน้ำตาลที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ดังภาพนี้




ยางพารา (RSS3) ที่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมหลังจากที่ผันผวนอย่างหนักในช่วงราคาประมาณ 200 บาท/กก จนลุงแมวน้ำมีความเห็นว่าโหดร้ายเกินไปและหยุดเทรดไปชั่วคราว มาถึงตอนนี้ราคาร่วงลงมาอยู่แถวๆ 150 บาท/กก ความผันผวนน้อยลงไปมาก ทำให้กลับมาดูน่าสนใจอีกครั้งหนึ่ง หากผันผวนไม่หนักก็พอจะเทรดในระบบตามแนวโน้มได้ แต่ยางพาราช่วงนี้ดูแปลกๆเนื่องจากอุตสาหกรรมรถยนต์มีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ราคายางพารากลับลงเอา ลงเอา ดังภาพนี้




จากสินค้าเกษตร มาดูดัชนีตลาดหุ้นไทยหรือ SETI กันบ้าง ดังภาพต่อไปนี้


จากภาพ จะเห็นว่า SETI หล่นจากปลายชายธงมาแล้ว แต่ยังไม่หล่นจากกรอบล่างของ standard error channal (SEC) ก็มีรีบาวด์ขึ้นไป แต่การรีบาวด์นี้ยังบอกอะไรแน่ชัดไม่ได้ว่าจะกลับทิศเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือไม่ เพราะว่าในขณะนี้ยังถือว่าแนวโน้มขาลงมีกำลังมากกว่าอยู่ ต้องตามดูไปอีกระยะหนึ่งว่า SETI จะหล่นจากกรอบล่างของ SEC หรือไม่



เศรษฐกิจโลกยังคงอึมครึม


ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม 2554 เป็นต้นมา ตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาและยุโรปก็เข้าสู่แนวโน้มขาลง ดัชนีตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาและของยุโรปไหลลงโดยตลอด แม้มีบางวันที่รีบาวด์ขึ้นมาได้แต่ในที่สุดก็ไหลกลับลงไปอีก ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมจนถึงวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นยุโรปลดลงไปแล้วประมาณ 9% ของสหรัฐอเมริกาลดลงไปประมาณ 5% และของไทยลดลงไปประมาณ 4%

แม้ว่าลุงแมวน้ำจะลงทุนโดยใช้ปัจจัยทางเทคนิคซึ่งโดยปกติแล้วทางสายปัจจัยทางเทคนิคจะไม่ค่อยสนใจข่าวสารนักเนื่องจากถือว่าราคา (หรือดัชนี) ได้รับรู้ข่าวสารเอาไว้ทั้งหมดแล้ว เมื่อดัชนีร่วงก็แปลว่ามีข่าวร้าย เมื่อดัชนีขึ้นก็แปลว่ามีข่าวดี การติดตามข่าวสารอาจทำให้ไขว้เขวด้วยซ้ำเนื่องจากเราอาจติดตามข่าวสารได้ไม่ครบถ้วนทำให้ประเมินสถานการณ์ผิดพลาดไป ยกตัวอย่างเช่นยางพารา (RSS3) ที่ลุงแมวน้ำพูดถึงที่ด้านบน แม้ข่าวที่ลุงแมวน้ำทราบมาเกี่ยวกับแนวโน้มการผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้คิดไปว่าราคายางพาราน่าจะขึ้น แต่โดยข้อเท็จจริงด้านราคาแล้วราคา RSS3 กลับอยู่ในภาวะไร้ทิศทาง แนวโน้มขาลงดูจะมีกำลังมากกว่าด้วยซ้ำ นั่นอาจเป็นเพราะว่าลุงแมวน้ำอาจรับรู้ข่าวไม่ครบถ้วนก็ได้

แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานกับปัจจัยทางเทคนิคเป็นเรื่องที่ทิ้งกันไม่ขาด สำหรับลุงแมวน้ำเองนั้นก็ใช้ปัจจัยพื้นฐานเพื่อการมองในระดับภาพใหญ่หรือภาพคร่าวๆด้วย ลองมาดูกันว่าทางด้านปัจจัยพื้นฐานแล้วสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในช่วงนี้เป็นอย่างไร อะไรที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาและยุโรปไหลลงตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาและส่งผลถึงตลาดหุ้นไปทั่วโลกรวมทั้งเอเชียด้วย

มาดูที่ยุโรปกันก่อน ปัญหาทางเศรษฐกิจและหนี้สาธารณะเกิดขึ้นในหลายประเทศในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นสเปน โปรตุเกส อิตาลี กรีซ ไอร์แลนด์ เบลเยียม ไอซ์แลนด์ ฯลฯ แม้แต่อังกฤษเองก็มีปัญหา ที่จริงปัญหาของประเทศเหล่านี้สะสมมานานแล้วแต่เพิ่งจะมาประทุเอาในปีที่แล้วเนื่องจากปัญหาในหลายประเทศเริ่มเข้าขั้นวิกฤตและอาจฉุดสหภาพยุโรปทั้งกลุ่มให้ถดถอยไปด้วย จึงมีการตั้งกองทุนของกลุ่มสหภาพยุโรปเพื่อช่วยเหลือประเทศในกลุ่ม รวมทั้งมีการขอกู้้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มาเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ อย่างเช่นประเทศกรีซ เป็นต้น

ปัญหาที่เป็นจุดสนใจหรือว่าเป็นปัญหาเฉพาะหน้าของยุโรปในช่วงนี้ก็คือปัญหาของประเทศกรีซ เนื่องจากกรีซมีหนี้ที่ถึงกำหนดต้องชำระในเดือนกรกฎาคมนี้อยู่ก้อนใหญ่ซึ่งขณะนี้กรีซไม่มีเงินพอที่จะจ่ายหนี้ เงินกู้จากไอเอมเอฟที่ได้รับมาแล้วสี่งวดก็ใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเงินกู้งวดที่ห้าราว 12,000 ล้านยูโรนั้นไอเอมเอฟยังไม่ปล่อยให้ โดยบอกว่าต้องทำตามเงื่อนไขของไอเอมเอฟเสียก่อน โดยกรีซต้องลดค่าใช้จ่ายภาครัฐลง (เช่น ลดเงินเดือนและสวัสดิการของข้าราชการ) ขึ้นภาษี และแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งรวมแล้วเรียกว่า austerity measures ซึ่งคำนี้ลุงแมวน้ำยังนึกหาคำไทยเหมาะๆไม่ออก ก็ขอใช้ว่ามาตรการรัดเข็มขัดไปก่อน ซึ่งที่จริงแล้วรัดเข็มขัดหมายถึงประหยัด แต่ austerity measures ไม่ได้หมายถึงมาตรการประหยัด ตัด ลด อย่างเดียว แต่ยังหมายถึงเรื่องอื่นๆ เช่น การขึ้นภาษีอีกด้วย

ปรากฏว่าประชาชนไม่เห็นด้วยกับมาตรการเหล่านี้ ทำให้เกิดการประท้วงกันวุ่นวาย อีกทั้งรัฐบาลกรีซยังถูกยื่นญัตติไม่ไว้วางใจอีกด้วย ซึ่งมีการลงมติกันในวันที่ 21 มิถุนายน (คือวันนี้) หากรัฐบาลแพ้ญัตติก็ต้องลาออกไป มาตรการรัดเข็มขัดก็เดินหน้าต่อไม่ได้ ไอเอมเอฟก็จะไม่ให้เงินกู้ และกรีซก็คงถึงขั้นผิดนัดชำระหนี้ก้อนใหญ่ในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า default (คำว่า default หรือผิดนัดชำระหนี้นี้กินความกว้าง ตั้งแต่จ่ายช้าไปจนถึงไม่จ่ายหนี้เลยก็ได้) ผลกระทบที่ตามมาน่าจะลุกลามบานปลายเนื่องจากอาจทำให้ค่าเงินยูโรและระบบธนาคารซวดเซไปด้วย

อย่างไรก็ดี ในที่สุดวันนี้รัฐบาลกรีซก็ได้รับความไว้วางใจจากสภา ทำให้สามารถเดินหน้าเข็นกฎหมายรัดเข็มขัด (austerity bill) เพื่อแลกกับเงินกู้ของไอเอมเอฟต่อไปได้ ดังนั้นช่วงวันสองวันนี้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่จึงมีรีบาวด์กัน

นี่คือที่มาที่ไปของความอึมครึมทางฝั่งยุโรปอันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าในระยะนี้ แต่การที่รัฐบาลกรีซได้รับความไว้วางใจจากสภาก็ยังไม่ได้แปลว่าจะได้เงินกู้งวดใหม่เนื่องจากกฎหมายรัดเข็มขัดยังต้องผ่านสภาอีก และถึงแม้ว่ากฎหมายจะผ่านสภาและกรีซได้เงินกู้งวดใหม่จากไอเอมเอฟก็ไม่ได้แปลว่าปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซจะหมดไป รวมทั้งไม่ได้หมายความว่าต่อไปกรีซจะมีความสามารถจ่ายหนี้เงินกู้ก้อนอื่นๆได้ และยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรปอีกหลายๆประเทศกำลังรอวันที่เข้าขั้นวิกฤต โดยเฉพาะสเปนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่ากรีซมาก ดังนั้นข่าวดีในวันนี้ของกรีซจึงถือเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ว่าได้

มาทางด้านสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาก็มีปัญหาหนี้สาธารณะจำนวนมาก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการพิมพ์เงินดอลลาร์ สรอ เพิ่มและใส่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจหรือที่เรียกว่า quantitative easing (QE) ซึ่งประกอบด้วย QE1 และ QE2 ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมหาศาล แต่ผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจกลับได้ไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่อัดฉีดเข้าไป และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคสอง (QE2) กำลังจะจบโครงการลงภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้โดยไม่มีต่อภาคสามในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเพิ่งเริ่มฟื้นตัว เปรียบเหมือนกับคนไข้ที่เพิ่งฟืนจากอาการไข้แต่ยาก็มาหมดลงพอดี คนไข้จะฟื้นตัวต่อไปได้โดยไม่ต้องพึ่งยา หรือว่าอาการจะกลับทรุดลงเพราะขาดยา หรือว่าหมอจะจัดยาขนานอื่นให้อีกก็ยังเป็นความอึมครึมอยู่

นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกามีหนี้ที่ครบกำหนดชำระคืนในเดือนสิงหาคมนี้อยู่หลายหมื่นล้านดอลลาร์ (เป็นการไถ่ถอนพันธบัตรรัฐบาล) ซึ่งขณะนี้รัฐบาลอเมริกันไม่น่ามีเงินจ่าย หนทางที่จะมีเงินจ่ายได้ก็คือการก่อหนี้ใหม่มาปะหนี้เก่า แต่ขณะนี้เพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกานั้นเต็มเพดานแล้ว ไม่สามารถก่อหนี้เพิ่มได้อีก หากจะก่อหนี้เพิ่มได้ก็ต้องไปแก้กฎหมายเพื่อขยายเพดานหนี้สาธารณะ ซึ่งในขณะนี้กฎหมายนี้ยังไม่ผ่านสภา และสาเหตุที่ยังไม่ผ่านสภาก็เนื่องจากรัฐบาลของประธานาธิบดีโอบามาจากพรรคเดโมแครตซึ่งมีเสียงข้างน้อยในสภาคองเกรซ พรรครีพับลิกันได้ครองเสียงข้างมากในสภา ดังนั้นการแก้กฎหมายของฝ่ายรัฐบาลจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากพรรครีพับลิกันตั้งแง่อยู่

หากถึงเดือนสิงหาคมแล้วกฎหมายขยายเพดานหนี้สาธารณะไม่ผ่าน รัฐก็คงไม่สามารถชำระหนี้พันธบัตรได้ ซึ่งหมายความว่าสหรัฐอเมริกาผิดนัดชำระหนี้หรือ default นั่นเอง ซึ่งหากเป็นกรณีนั้นประเทศสหรัฐอเมริกาคงถูกลดอันดับเครดิต มีผลกระทบถึงค่าเงิน ระบบธนาคาร และประเทศเจ้าหนี้จำนวนมาก ปัญหาจะร้ายแรงจนไม่อาจประเมินได้เนื่องจากสหรัฐอเมริกามีขนาดเศรษฐกิจใหญ่มาก อีกทั้งเงินดอลลาร์ สรอ ยังถือเป็นเงินตราสากล ทุกประเทศต่างมีไว้ในครอบครองทั้งสิ้น

จะเห็นว่าความอึมครึมของเศรษฐกิจโลกยังไม่หมดไป ประเด็นกรีซเป็นเพียงการผ่านปัญหาไปได้เปลาะหนึ่งเท่านั้นเอง ยังมีปัญหาปมเขื่องรออยู่ข้างหน้าอีกมากมาย ดังนั้นลุงแมวน้ำมองว่าตลาดหุ้นในระยะนี้คงไปต่อไปยากหากประเด็นเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและปัญหาหนี้สาธารณะและของสหรัฐอเมริกาและของยุโรปอีกหลายประเทศยังไม่ชัดเจน ส่วนใหญ่มองกันว่าสหรัฐอเมริกานั้นถึงอย่างไรก็คงขยายเพดานหนี้สาธารณะได้ แต่ก็ไม่ควรประมาท อะไรก็เกิดขึ้นได้ และนี่เองคือสาเหตุที่ลุงแมวน้ำเผื่อใจเอาไว้ด้วยว่าดัชนีดาวโจนส์อันเป็นตัวแทนของคลื่นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาอาจจบคลื่น B (สีน้ำเงิน) ที่แถวๆนี้ จากที่เดิมเคยประเมินเอาไว้ว่าน่าจะไปจบคลื่น B แถวๆ 14,200 จุด รวมทั้งคลื่นเศรษฐกิจยุโรปก็อาจจบคลื่น B (สีน้ำเงิน) แถวๆนี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะมีผลฉุดเศรษฐกิจไปทั้งโลก

นักลงทุนที่ใช้ระบบสัญญาณซื้อขายคงสามารถเอาตัวรอดผ่านไปได้ มีแนวโน้มก็ตามแนวโน้มไป ผันผวนมากก็ต้องหยุด ไร้แนวโน้มก็ต้องทนเจ็บกับการคืนกำไร (หมายถึงเกิด false signal) แม้แต่ในช่วงที่ไม่มีแนวโน้มหรือว่าไร้ทิศทางก็คงพอประคองตัวผ่านไปได้เนื่องจากมีสัญญาณซื้อขายกำกับอยู่ แต่นักลงทุนที่ไม่ได้ใช้ระบบสัญญาณซื้อขายควรระวัง ควรมองหาจุดหยุดยั้งความเสียหายในกรณีที่ลงทุนผิดทิศทางเอาไว้ด้วย




No comments: