Sunday, July 27, 2014

27/07/2014 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ บางกะเจ้า อนุรักษ์ พัฒนา เหลื่อมล้ำ และขัดแย้ง (4)



เมื่อกฎหมายผังเมืองสมุทรปราการ พ.ศ. 2556 ประกาศใช้ บางกะเจ้าก็กลายเป็นข่าวใหญ่



ในตอนที่แล้วลุงแมวน้ำพาขี่จักรยานชมเรือกสวนและตลาดน้ำในบางกะเจ้ากันไปแล้ว ในตอนนี้ลุงแมวน้ำจะพาไปชมสวนศรีนครเขื่อนขันธ์อันเป็นสวนสาธารณะที่สงบ ร่มรื่น อีกทั้งยังเป็นแหล่งดูนกและผีเสื้ออีกด้วย


ชมสวนศรีนครเขื่อนขันธ์


สวนศรีนครเขื่อนขันธ์หรือเรียกสั้นๆว่าสวนศรีฯนี้เป็นสวนสาธารณะที่มีพื้นที่ประมาณ 200 ไร่ โดยชื่อสวนศรีนครเขื่อนขันธ์นี้มีที่มาจาก นครเขื่อนขันธ์ อันเป็นชื่อโบราณของพระประแดงนั่นเอง

เมืองนครเขื่อนขันธ์นี้เป็นเมืองที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยเป็นเมืองหน้าด่านปากแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อป้องกันการรุกรานทางทะเลของข้าศึก ชนพื้นเมืองเดิมของนครเขื่อนขันธ์เป็นชาวรามัญหรือมอญที่โยกย้ายมาจากปทุมธานี ต่อมาจึงกลายมาเป็นอำเภอพระประแดงในปัจจุบัน

สวนศรีฯนี้ได้มาจากการซื้อพื้นที่สวนผลไม้เก่ามาพัฒนา ในการพัฒนาเพื่อปรับปรุงเป็นสวนสาธารณะก็ยังคงอนุรักษ์รูปแบบของร่องสวนเดิมเอาไว้ด้วย ดังนั้นสวนศรีฯนี้จึงมีลักษณะเด่นคือยังมีเค้าของเรือกสวนอยู่

นอกจากนี้ แถบนี้ยังมีนกและผีเสื้อหลายชนิด ดังนั้นสวนสาธารณะแห่งนี้จึงเป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติใกล้กรุงเทพฯอีกด้วย

เรามาชมภายในสวนศรีฯกัน ภาพมาก่อน คำบรรยายตามหลังนะคร้าบ




ทางเข้าสวนศรีนครเขื่อนขันธ์





แผนที่ภายในสวนสาธารณะ





สวนศรีฯนี้บรรยากาศดีมาก ท้องฟ้าสดใส อากาศสดชื่น ลมพัดเย็นสบาย อากาศที่นี่สดชื่นกว่าอากาศที่สวนลุมอย่างรู้สึกได้







เนื่องจากสวนสาธารณะนี้พัฒนามาจากสวนผลไม้เก่า ดังนั้นจึงยังคงมีเค้าของเรือกสวนอยู่ อย่างเช่นร่องสวนเดิม นับเป็นสวนสาธารณะที่มีภูมิทัศน์แปลกตาทีเดียว





บึงน้ำใหญ่กลางสวนศรีฯ เชื่อมต่อกับแนวร่องสวนเดิม และมีถนนกับสะพานเชื่อมโดยรอบ น่าขี่จักรยานมาก





ศาลาพักผ่อน บรรยากาศดีมาก วิวสวย ลมพัดเย็นสบาย นั่งแล้วอยากหลับสักงีบ ไม่อยากเดินต่อเลย >.<






หอชมวิว สูง 7 เมตร ใช้ชมวิวโดยรอบ รวมทั้งใช้เป็นจุดชมนก แถวนี้มีนกและผีเสื้อเยอะทีเดียว


สวนศรีนครเขื่อนขันธ์นี้เป็นจุดสุดท้ายสำหรับการท่องเที่ยวในวันหยุดของเรา หลังจากที่ลุงขี่จักรยานชมสวนเสร็จแล้วลุงก็นำจักรยานไปคืน และกลับไปที่ท่าเรือเพื่อข้ามฝั่งไปยังคลองเตย

แต่ยังก่อน เรื่องราวของบางกะเจ้ายังไม่ได้หมดลงแต่เพียงเท่านี้ กฎหมายผังเมืองสมุทรปราการฉบับใหม่ ปี 2556 ที่ประกาศใช้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา ทำให้บางกะเจ้ากลายเป็นประเด็นร้อนของคนในพื้นที่และนักอนุรักษ์ขึ้นมาทันที และถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของความขัดแย้งบนเส้นทางการอนุรักษ์และพัฒนา เรามาดูรายละเอียดกัน



ผังเมืองสมุทรปราการ 2556 ทำบางกะเจ้าร้อน


ผังเมืองสมุทรปราการ แสดงในส่วนพื้นที่กระเพาะหมูบางกะเจ้า 6 ตำบล ซึ่งกำหนดประเภทการใช้สอยไว้เป็นที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (ก.1 สีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว) และประเภทชนบทและเกษตรกรรม (ก.3 สีเขียว) และ



ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าในผังเมืองจังหวัดสมุทรปราการฉบับก่อนๆ คือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537, 2544 ก็ได้กำหนดให้พื้นที่ 6 ตำบลในอำเภอพระประแดงในส่วนกระเพาะหมู ที่เรียกรวมๆกันว่าเป็นพื้นที่บางกะเจ้านั้นเป็นพื้นที่เกษตรกรรม เพราะโดยเจตนาแต่ดั้งเดิมนั้นพื้นที่บางกะเจ้าถูกวางบทบาทและหน้าที่่ให้เป็นพื้นที่สีเขียวเพื่อเป็นปอดของกรุงเทพฯและพื้นที่ใกล้เคียง แต่ในเชิงกฎหมายหรือในเชิงวิชาการ พื้นที่่ในบางกะเจ้านั้นแบ่งย่อยเป็น 2 โซน คือ

ที่ดินประเภท ก.1 ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม สัญลักษณ์ในแผนที่ผังเมืองจะเป็นสีขาวมีเส้นทแยงสีเขียว หรือที่เรียกสั้นๆว่าพื้นที่ขาวทแยงเขียว

ที่ดินประเภท ก.3 ที่ดินชนบทและเกษตรกรรม สัญลักษณ์ในแผนที่ผังเมืองจะเป็นพื้นที่สีเขียว

ลุงแมวน้ำจะไม่ลงรายละเอียดให้ลึกนัก เอาแต่เพียงคร่าวๆว่าสองโซนนี้มีการควบคุมการใช้สอยที่ดินใกล้เคียงกัน เพียงแต่ว่าโซน ก.1 จะมีการควบคุมที่เข้มงวดกว่า มีข้อห้ามมากกว่าบ้าง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นที่ดินประเภทอนุรักษ์ ดังนั้นจึงเข้มงวดกว่า ก.3 บ้าง


ผังเมืองของบางกะเจ้า ปี 2556 ความแตกต่างอยู่ที่พื้นที่ ก.3 การใช้ประโยชน์ในกิจกรรมรอง จาก 5% เป็น 15%


ทีนี้ในกฎหมายผังเมืองนั้นกำหนดการใช้ที่ดินเอาไว้เป็นหลายประเภท ซึ่งแสดงด้วยสีต่างๆในแผนที่ผังเมือง ยกตัวอย่างเช่น ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัย (สีเหลือง ส้ม และน้ำตาล) ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม (สีแดง) ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม (สีม่วง) ที่ดินอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (สีขาวทแยงเขียว) กับที่ดินเชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) เป็นต้น

เมื่อมองในภาพกว้างก็จะเห็นว่าบางกะเจ้านั้นถูกกำหนดให้เป็นโซนเกษตรกรรม พื้นที่ส่วนใหญ่ต้องใช้ทำการเกษตร และส่วนน้อยเอาไว้ปลูกสร้างบ้านเรือน โดยไม่สามารถทำหมู่บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม หรือโรงงานอุตสาหกรรมได้

ทีนี้ประเด็นก็อยู่ตรงที่ผังเมืองสมุทรปราการใหม่ ฉบับปี 2556 ที่ประกาศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 นั้นมีการผ่อนคลายข้อกำหนดการใช้พื้นที่สีเขียว ก.3 ซึ่งจากเดิมอนุญาตให้ใช้พื้นที่ทำกิจกรรมรอง (กิจกรรมหลักคือการเกษตร ส่วนกิจกรรมรองคือการใช้สอยอื่นๆ เช่น ปลูกสร้างบ้านเรือน ฯลฯ) ได้ 5% ของพื้นที่สีเขียวทั้งหมด ก็ได้ผ่อนคลายขยายมาเป็นใช้ทำกิจกรรมรองได้ 15% ของพื้นที่สีเขียวทั้งหมด

จากคำชี้แจงของกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้ชี้แจงว่าการผ่อนคลายข้อกำหนดนี้ก็เพื่อให้คนในพื้นที่มีพื้นที่ใช้สอยปลูกบ้านพักอาศัยได้มากขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากชุมชนบางกะเจ้ามีการเติบโตขึ้น เด็กๆเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันเติบโตเป็นหนุ่มสาวและมีครอบครัว คนรุ่นใหม่เหล่านี้ต้องการพื้นที่เพื่อสร้างบ้านเรือนเพิ่มขึ้น

ปัญหาอยู่ที่ว่าผังเมืองใหม่ที่เพิ่งประกาศใช้นี้คนในชุมชนไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ผ่านการประชาพิจารณ์จากคนในชุมชน ทางภาครัฐก็บอกว่าจัดไปแล้วแต่ไม่มีชาวบ้านมาร่วมประชาพิจารณ์ ทางฝ่ายชาวบ้านก็บอกว่าจัดเมื่อไร ไม่รู้เรื่องมาก่อนเลย แอบจัดหรือเปล่า ฯลฯ

นี่เองที่ทำให้เกิดเป็นประเด็นร้อน นักอนุรักษ์ก็เริ่มออกมาช่วย สื่อมวลชนก็เริ่มให้ความสนใจและเสนอเป็นข่าวในทำนองว่าชาวบางกะเจ้ากังวลว่าผังเมืองใหม่จะซ่อนเงื่อนงำเพื่อเอื้อประโยชน์นายทุน เนื่องจากกฎหมายไม่อนุญาตให้ทำหมู่บ้านจัดสรร ก็ทำโครงการละ 9 แปลงก็ได้ รวมทั้งการทำโรงแรมขนาดเล็กก็น่าจะทำได้ด้วย รวมทั้งพื้นที่กิจกรรมรองส่วนทีเพิ่มมานั้น ใครจะเป็นผู้ได้รับการจัดสรรให้ใช้ประโยชน์ เพราะหากใครได้ส่วนนี้เท่ากับได้ลาภก้อนใหญ่


ที่ดินว่างเปล่าในบางกะเจ้าเริ่มมีการปรับปรุงสภาพที่ดิน


ประกอบกับมีบริษัทอสังหาฯรายใหญ่ให้ข่าวว่ามีที่ดินที่บางกะเจ้าหลายร้อยไร่ พร้อมทำโครงการบ้านหรูระดับไฮเอนด์ นอกจากนี้ ที่ดินว่าเปล่าขนาดใหญ่ในบางกะเจ้าเริ่มมีการปรับพื้นที่เพื่อเตรียมการก่อสร้าง เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณที่ทำให้ชาวบางกะเจ้ากังวล รวมทั้งนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งคนกรุงเทพฯที่หวงแหนปอดสีเขียว ต่างก็เริ่มกังวลด้วยเช่นกัน ว่าในที่สุดปอดของกรุงเทพฯจะค่อยๆถูกกลืนกินไปหรือว่ากลายเป็นมะเร็งไปเสียเนื่องจากถูกพัฒนา



ความหลื่อมล้ำและขัดแย้งบนเส้นทางการพัฒนา



ปัญหาการรุกรานจากความเจริญที่เกิดขึ้นในพื้นที่บางกะเจ้านั้นไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่เป็นปัญหาคลาสสิกที่เกิดขึ้นมาในทุกพื้นที่และทุกยุคสมัย ที่ใดที่ความเจริญไปถึง กระบวนการชุมชนเมือง (urbanization) ย่อมต้องดำเนินไป และความขัดแย้งระหว่างการอนุรักษ์กับการพัฒนาย่อมตามมา

หากพวกเราอ่านจากข่าว จะพบว่าผู้ที่ห่วงว่าพื้นที่สีเขียวของบางกะเจ้านี้จะถูกทำลายไปหรือพูดง่ายๆว่ากลุ่มที่มีความคิดในเชิงอนุรักษ์บางกะเจ้ามีอยู่สองกลุ่มหลัก คือ กลุ่มคนนอกพื้นที่ กับกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่ที่เป็นรุ่นบุกเบิก สองกลุ่มนี้อยากให้บางกะเจ้ารักษาวิถีแบบดั้งเดิมเอาไว้ ไม่ต้องการให้เปลี่ยนแปลง


เสียงของผู้ที่ต้องการอนุรักษ์บางกะเจ้าเอาไว้เป็นปอดสีเขียวของกรุงเทพฯ


ปัญหาหรือว่าข้อขัดแย้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ลุงแมวน้ำเห็นมาตลอดชีวิต และในทุกภูมิภาค ยกตัวอย่างเช่นทางภาคเหนือซึ่งมีชาวเขาอยู่หลายเผ่า อาศัยอยู่ตามดอยต่างๆ วิถีชีวิตของชาวเขาเมื่อสักสามสิบปีก่อน ก็เป็นไปแบบบ้านบนดอย บ่มีแสงสี บ่มีทีวี บ่มีน้ำประปา บ่มีเป๊ปซี่โคล่า เหมือนในเพลงบ้านบนดอยนั่นแหละ พอคนเมืองหรือว่าคนพื้นราบขึ้นไปเห็นก็ร้องว้าว เพราะว่าชอบใจกับวิถีชีวิตที่สงบ สมถะ และร่มเย็น แตกต่างจากชีวิตอันเร่งรีบของพวกตนอย่างมาก

หลายปีผ่านไป เมืองข้างล่างเติบโต นักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาเที่ยวบนดอยก็เริ่มบ่นว่าบนดอยนี้เปลี่ยนไป ทำไมมีเสาอากาศก้างปลา จานรับสัญญาณดาวเทียม รกรุงรังไปหมด ทำไมมีรถกระบะ มอเตอร์ไซค์บนดอยเยอะแยะ ทำไมไม่อนุรักษ์เอาไว้นะ ทำไมไปหลงไหลแสงสีเสียได้  น่าเสียดายจัง

พ่อเฒ่าแม่แก่บนดอยก็บ่นเช่นกันว่าลูกหลานไม่เอาอย่างวิถีชีวิตของตน

แต่หากไปถามเด็กๆชาวเขา เด็กเหล่านี้มีความฝันอยากไปเรียนในเมือง อยากใส่กางเกงยีนส์ อยากมีรถเครื่อง (มอเตอร์ไซค์) อยากมีโทรศัพท์มือถือ อยากมีห้องนอนสวยๆ มีเครื่องเสียงดีๆ ไม่มีใครอยากนั่งทอผ้า ปักสะดึง อยู่หน้ากระต๊อบไม้อย่างในอดีตแล้ว

เช่นเดียวกันกับที่บางกะเจ้า หากเข้าไปสังเกตการณ์ให้ละเอียด คนใชุมชนที่ต้องการวิถีอนุรักษ์นั้นส่วนใหญ่เป็นคนบางกะเจ้าในยุคบุกเบิก คือพวกในวัยเจนเอ็กซ์หรือก่อนหน้านั้น ส่วนพวกเจนวายหรือเจนมี คือเป็นคนรุ่นลูกหลาน มีความคิดแตกต่างออกไป ในขณะที่คนนอกพื้นที่ต้องการให้บางกะเจ้าเป็นปอด แต่คนหนุ่มสาวในพื้นที่อยากมีรถเก๋ง อยากมีคอนโดในเมือง อยากทำงานในเมือง อยากเดินสยามสแควร์ซื้อของสวยๆงามๆ ฯลฯ แต่การกำหนดให้บางกะเจ้าซึ่งอยู่ติด กทม เป็นพื้นที่ ก.1 กับ ก.3 ทำให้ราคาที่ดินถูกกดเอาไว้ การใช้ประโยชน์จากที่ดินหรือหาประโยชน์จากที่ดินแตกต่างจากที่ดินในกรุงเทพฯมาก การอนุรักษ์พื้นที่ปอดเอาไว้โดยที่คนกรุงเทพฯไม่ได้ตอบแทนหรือชดเชยอะไรแก่คนเหล่านี้เลย นี่เป็นความเหลื่อมล้ำประการหนึ่ง


เสียงบางส่วนที่ต้องการการพัฒนา


อีกประการ คนในพื้นที่ที่เป็นรุ่นลูกหลาน ส่วนใหญ่พอเติบโตก็แยกบ้านไปมีครอบครัว พื้นที่สวนใหญ่ของพ่อแม่ก็ต้องถูกแบ่งให้แก่ลูกหลานหลายคน กลายเป็นพื้นที่ที่เล็กลง นอกจากนี้ คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ก็ไม่เอาอาชีพทำสวนแล้ว ได้สวนมาก็อยากขายหรือทำประโยชน์อย่างอื่นจากที่ดินมากกว่า

เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน โครงการสวนกลางมหานครอนุรักษ์บางกะเจ้าไว้เป็นพื้นที่สีเขียวดำเนินการทั้งอนุรักษ์และพัฒนาท้องถิ่นควบคู่กันไป ถือได้ว่าเป็นส่วนผสมระหว่างการอนุรักษ์และพัฒนาที่ค่อนข้างสมดุล แต่มาในยุคปัจจุบัน เมื่อโลกเปลี่ยนไป ความเจริญของเมืองรอบข้างเปลี่ยนแปลงไป ดุลยภาพที่มีอยู่แต่เดิมก็เริ่มเสียไป ซึ่งไม่ใช่ความผิดของใคร เราจำเป็นต้องหาดุลยภาพใหม่ที่เป็นส่วนผสมของการอนุรักษ์และการพัฒนาที่เหมาะสมกับสภาพในปัจจุบัน

ปัญหาทำนองนี้เกิดขึ้นมาตลอดนั่นแหละ บนเส้นทางของกระบวนการเติบโตของชุมชนเมือง ในต่างประเทศ การอนุรักษ์พื้นที่ใดมักต้องให้ผลประโยชน์ชดเชย รวมทั้งต้องมีการบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์นั้น ยกตัวอย่างเช่น หากการอนุรักษ์ชุมชนแบบดั้งเดิม ก็ต้องกำหนดพื้นที่เอาไว้ไม่มากเกินไปนัก และให้คนในพื้นที่ได้ผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ ซึ่งส่วนใหญ่พื้นที่อนุรักษ์ทำนองนี้มักเป็นการอนุรักษ์แบบการจัดแสดงมากกว่า เช่น บ้านเรือนภายนอกต้องเป็นแบบเก่าดั้งเดิม แต่ข้างในจะแอบตกแต่งหรูๆก็ได้ แต่อย่าให้นักท่องเที่ยวเห็น เป็นต้น ก็เหมือนกะเหรี่ยงคอยาว เดี๋ยวนี้มีแค่คนรุ่นเก่ามาโชว์นักท่องเที่ยวสองสามคนเท่านั้น สาวๆสมัยนี้ไม่มีใครยอมใส่ห่วงให้คอยาวแล้ว เป็นต้น

ดังนั้นเรื่องการอนุรักษ์บางกะเจ้า ลุงแมวน้ำคิดว่าต้องมองด้วยใจที่เป็นธรรม คิดถึงใจเขาใจเรา หากต้องการอนุรักษ์ปอดเอาไว้ ภาครัฐควรมีแผนบริหารจัดการที่ให้คนในชุมชนได้ประโยชน์และพัฒนาได้ตามที่พวกเขาต้องการด้วย เช่น ซื้อที่ดินเอาไว้เองเพื่อทำปอด ที่ดินบางส่วนก็ทำเป็นหมู่บ้านอนุรักษ์ รองรับนักท่องเที่ยว แต่พื้นที่อื่นก็อาจต้องปล่อยให้พัฒนาตามกระแสการพัฒนาไป จะได้ลดความเหลื่อมล้ำได้ ไม่ใช่ภาครัฐเองช่วยสร้างความเหลื่อมล้ำ หากการพัฒนาไปเพิ่มความเหลื่อมล้ำ ความขัดแย้งย่อมต้องตามมา และบานปลายไม่สิ้นสุด


Saturday, July 12, 2014

12/07/2014 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ เติมฝันวันฟ้าใสที่บางกะเจ้า (3)



ทางไปตลาดน้ำบางน้ำผึึ้ง ตลาดน้ำขึ้นชื่อของบางกะเจ้า



วันหยุดนี้ลุงแมวน้ำพามาเที่ยวบางกะเจ้ากันต่อ ในตอนที่แล้วลุงแมวน้ำขี่จักรยานตั้งต้นมาจากสวนศรีนครเขื่อนขันธ์ ลัดเลาะมาตามซอยเพชรหึงษ์เพื่อมุ่งสู่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง

ไปต่อกันเลยคร้าบ ลุงเล่าไปเรื่อยๆพร้อมกับภาพ ภาพมาก่อน คำบรรยายตามหลัง



เที่ยวตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง





เอาละ ตอนนี้ลุงแมวน้ำออกมาถึงถนนเพชรหึงษ์แล้ว ออกมาจากซอยเพชรหึงษ์ 33 นั่นแหละ ลุงหยุดแล้วถ่ายย้อนเข้าไปในเส้นทางเมื่อขามา จักรยานสีฟ้าคันนั้นคือคันที่ลุงขี่มานั่นเอง ^_^




ถนนเพชรหึงษ์เป็นถนนคอนกรีตสองเลน เป็นถนนเส้นหลักของบางกะเจ้า พอเข้ามาในถนนใหญ่แล้วบรรยากาศชนบทแบบที่ผ่านมาในซอยย่อยหายไป กลายเป็นเส้นทางที่เริ่มจอแจ ยวดยานเริ่มมีมากขึ้น

พอโผล่เข้ามาในถนนใหญ่ปุ๊บก็เจอับป้ายประกาศขายที่ดินที่เสาไฟฟ้าปั๊บ ป้ายประกาศขายที่ดินยังมีให้เห็นต่อเนื่องไปตามถนนใหญ่ ราคาที่ดินที่ประกาศขายก็หลากหลายและแตกต่างกันมาก เท่าที่ลุงเห็น มีตั้งแต่ราคาตารางวาละ 9,000 บาทไปจนถึงตารางวาละ 90,000 บาท และขายกันตั้งแต่ไม่กี่ตารางวาจนถึงหลายไร่ ว้าว ราคาที่ดินแถวนี้ไม่เบาเลย ^_^

ทำไมที่สวนเก่าๆจึงได้แพงขนาดนี้ เดี๋ยวค่อยมาดูกัน แต่ว่าตอนนี้ขี่จักรยานเที่ยวกันก่อน




มีแผงขายดอกเกลือข้างทางด้วย แต่ว่าคงยังเช้าอยู่ เจ้าของแผงจึงยังไม่มา ดอกเกลือนี้หาซื้อได้ค่อนข้างยาก และมีราคาแพงกว่าเกลือแกงทั่วไป บางทีก็เรียกเกสรเกลือ

ที่จริงเกลือไม่ได้ผลิดอกออกเกสรได้หรอก ดอกเกลือนี้เป็นผลึกเกลือที่เกิดขึ้นบนผิวน้ำในนาเกลือ ผลึกเกลือนี้เกิดขึ้นในตอนรุ่งเช้าและลอยอยู่บนผิวน้ำได้เนื่องจากผลึกยังจับตัวกันไม่หนานัก แต่พอสายหน่อยผลึกเกลือที่ผิวน้ำก็จะหนาตัวขึ้นและมีน้ำหนักมากขึ้น และจะจมลงไป ดังนั้นการเก็บดอกเกลือหรือเกสรเกลือจึงต้องเก็บในตอนรุ่งเช้า ดอกเกลือนิยมใช้ทำอาหารเพราะมีรสชาติกลมกล่อมกว่าเกลือแกงทั่วไป และยังใช้ขัดผิวได้อีกด้วย ลุงก็อยากได้สักถุงเหมือนกัน แต่ว่าเขายังไม่มาขาย จึงอด >.<





ยิ่งใกล้ถึงตลาดบางน้ำผึ้ง บ้านเรือนสองข้างทางก็แออัดยิ่งขึ้น ร้านสะดวกซื้อ เทสโก้ ธนาคาร ร้านแว่น เคาน์เตอร์เซอร์วิส หาได้แถวนี้หมด ตรงนี้เป็นแถวๆซอยเพชรหึงษ์ 26 ซึ่งลุงต้องเลี้ยวเข้าไปในซอยนี้เพื่อไปสู่ตลาดน้ำ




วินมอเตอร์ไซค์และศาลาคอยรถเมล์ รถประจำทางที่วิ่งในบางกะเจ้าก็เก๊า เก่า  >.<




ลุงแมวน้ำขี่จักรยานต่อไปอีกเดี๋ยวเดียวก็เห็นตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ที่ตลาดมีจัดลานกว้างไว้ให้เป็นที่จอดรถยนต์สำหรับผู้ที่ขับรถมาเองด้วย




ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ 8 โมงเช้า ตลาดยังไม่เปิดดี บางเจ้าก็เปิดแล้วแต่บางเจ้าเพิ่งจะมาจัดร้าน ลุงแมวน้ำไม่กล้าจอดจักรยานทิ้งไว้หน้าตลาด เพราะกุญแจล็อกจักรยานก็ไม่มี เกิดรถหายละก็ลุงคงแย่ ลุงจึงจูงจักรยานเข้าไปชมตลาดด้วย  >.<





อาหารและขนม น่าสนใจอยู่เหมือนกัน เห็นแล้วหิวขึ้นมาเชียว >.< ลุงแมวน้ำชมตลาดด้วยความทุลักทุเลนิดหน่อย จะซื้อขนมก็ลำบาก เพราะเกะเกะเจ้าจักรยาน ซอยที่เป็นพื้นที่ขายของนี้ยาวพอสมควร มีทั้งขนม เครื่องดื่ม ของกิน ของใช้ มากมาย




ด้านหนึ่งของตลาดที่เลียบลำคลอง สามารถจัดเป็นตลาดน้ำได้โดยนำเรือมาจอดขายของ ส่วนใหญ่เป็นของกิน


ลุงแมวน้ำจูงจักรยานเดินจนทั่วตลาด ตลาดตอนแปดโมงยังเปิดไม่เต็มที่จึงพอจูงจักรยานเข้าไปได้ หากเปิดขายเต็มที่ คนคงแน่น คงจูงจักรยานเข้าไปไม่ได้แน่ ได้แต่เดินๆ ดมๆ และชมๆ ขนมไปเรื่อยๆ ไม่ได้ซื้ออะไรสักอย่าง

เกือบเก้าโมง อากาศร้อนอบอ้าวแล้ว ผู้คนก็เริ่มมาเที่ยวตลาดกันแน่นขึ้น ลุงแมวน้ำยังต้องไปเที่ยวสวนศรีนครเขื่อนขันธ์อีก รีบเร่งทำเวลาหน่อยดีกว่า จึงออกจากตลาด และขี่จักรยานย้อนกลับมาทางเก่า




แต่ในระหว่างทางนั้นเองลุงแมวน้ำก็ได้เห็นรถเก๋งป้ายแดงคันหนึ่ง ใหม่เอี่ยมอ่อง รถเก๋งป้ายแดงกับสภาพแวดล้อมที่เป็นเรือกสวน ทำให้รถดูเด่นสะดุดขึ้นมาเป็นพิเศษ นี่แหละตัวอย่างของกระบวนการ urbanization




พิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของบางกะเจ้า และอยู่ในเส้นทางวงรอบเล็กที่ลุงแมวน้ำขี่จักรยานนี้ด้วย แต่ลุงแวะไม่ทัน เพราะไม่อยากชมสวนศรีฯยามใกล้เที่ยง จึงได้แค่นำภาพมาให้ดู



ในครั้งต่อไป ลุงแมวน้ำจะพาไปชมสวนศรีนครเขื่อนขันธ์ พร้อมกับเล่าให้ฟังถึงสภาพการณ์ในท้องถิ่นบางกะเจ้า ซึ่งเพิ่งมีการประกาศใช้ผังเมืองฉบับใหม่เมื่อต้นปี 2557 ซึ่งหลายฝ่ายเกรงกันว่าปอดสีเขียวใกล้กรุงเทพฯแห่งนี้อาจจะถูกทำลายไปเพราะผลของผังเมืองฉบับใหม่ และกลายเป็นชุมชนเมืองขึ้นมาแทน ซึ่งขณะนี้มีกระแสทัดทานผังเมืองนี้กันอยู่

ที่จริงปัญหาของบางกระเจ้าเป็นประเด็นโลกแตก นั่นคือ อนุรักษ์กับพัฒนา จะอยู่ด้วยกันได้ไหม จะไปด้วยกันได้อย่างไร แต่ลุงแมวน้ำเห็นว่าปัญหาแบบบางกะเจ้านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ กรณีมีมานานแล้วในพื้นที่ต่างๆ และอนาคตก็จะมีต่อไป ท่ามกลางกระแสของการพัฒนา หากเราไม่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าและมีการบริหารจัดการที่เป็นธรรมเพื่อรับมือ

คราวหน้าเราไปบางกะเจ้ากันอีกนะคร้าบ

Tuesday, July 8, 2014

08/07/2014 การลงทุนหุ้นและกองทุนรวมในอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพ (healthcare industry) (6)





แง้มดูพอร์ตภัทร โกลบอล เฮลธ์แคร์ (PHATRA GHC)

“เอาละ คราวนี้เรามาแง้มดูพอร์ตการลงทุนของกองทุนเปิดภัทร โกลบอล เฮลธ์แคร์ หรือ PHATRA Global Health Care กัน” ลุงแมวน้ำพูดหลังจากดูดน้ำปั่นเสร็จ “ดังที่ลุงบอกว่ากองทุนรวมนี้ต่างจาก BCARE เนื่องจาก BCARE เป็นกองทุนที่นำเงินไปลงทุนในกองทุนแม่เพียงกองทุนเดียว ส่วน PHATRA GHC เป็นกองทุนที่นำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมอีทีเอฟในตลาดหุ้นอเมริกาถึง 6 กองทุน”

“ทำไมต้องลงทุนถึง 6 อีทีเอฟเลยละลุง” ลิงจ๋อถาม

“มาถามลุงแล้วลุงจะรู้ไหมเนี่ย ลุงไม่ใช่ผู้ออกกองทุน” ลุงแมวน้ำหัวเราะ “แต่ถ้าจะให้เดาก็น่าจะเป็นเพื่อกระจายการลงทุนในซับเซ็กเตอร์ต่างๆของอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพ ลองดูตารางนี่สิ”

ลุงแมวน้ำพูดจบก็ดึงกระดาษออกมาจากหูกระต่ายอีกแผ่นหนึ่ง

พอร์ตการลงทุนของ PHATRA GHC ณ มีนาคม 2014

“นี่ไง เป็นกองทุนรวมอีทีเอฟ 6 กองทุนที่ PHATRA GHC ลงทุนอยู่ จะสังเกตว่าอีทีเอฟแต่ละกองหรือว่าแต่ละตัวมีธีมย่อยแตกต่างกันออกไป XPH กับ PJP เน้นไปทางหุ้นบริษัทยา IXJ เป็นอีทีเอฟที่ลงทุนแบบคละ IHI เน้นไปทางทางหุ้นเครื่องมือแพทย์ ส่วน XBI เน้นไปทางหุ้นไบโอเทค และสุดท้ายคือ IHF เน้นไปทางผู้ให้บริการ ได้แก่ หุ้นโรงพยาบาล คลินิก ประกันสุขภาพ ฯลฯ

“หากสังเกตจากธีมการลงทุนของอีทีเอฟทั้งหก ก็พอจะคะเนได้ว่า PHATRA GHC ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทยาเป็นสัดส่วนสูงที่สุด เพราะลงทุนในอีทีเอฟด้านบริษัทยาถึงสองอีทีเอฟ”

“แสดงว่าความหวือหวาเร้าใจของกองทุนรวมนี้น่าจะน้อยกว่า BCARE ใช่ไหมครับ” ลิงถาม “เพราะลงทุนในหุ้นไบโอเทคน้อยกว่า”

“ถ้าจะสรุปแบบนั้นก็ยังเร็วไป ตอนนี้เรามาดูเรื่ององค์ประกอบของพอร์ตกันก่อน เดี๋ยวลุงค่อยพาไปดูเรื่องความผันผวนและผลตอบแทน” ลุงแมวน้ำตอบ จากนั้นพูดต่อ “หากพูดถึงองค์ประกอบของพอร์ตกองทุนรวม PHATRA GHC นั้นค่อนข้างซับซ้อนกว่า เนื่องจากไปลงทุนในอีทีเอฟซึ่งเป็นกองทุนรวมแบบหนึ่ง และยังไปลงทุนอีทีเอฟถึง 6 กองทุน ในอีทีเอฟแต่ละกองทุนก็มีไส้ในประกอบด้วยหุ้นนับสิบตัว ดังนั้น 6 อีทีเอฟหากนำไส้ในมาวิเคราะห์แล้วจะพบว่ามีการลงทุนซ้ำซ้อนกันอยู่ด้วย และนอกจากนี้ อีทีเอฟบางกองทุนยังลงทุนในหุ้นที่เป็นบริษัทโฮลดิง (holding company) อีก ซึ่งบริษัทโฮลดิงนี้ก็ไปลงทุนในหุ้นด้านเฮลท์แคร์อีกต่อหนึ่ง

“ยกตัวอย่างเช่น หุ้น Johnson & Johnson (JNJ) นี้มีการลงทุนซ้ำซ้อนกันจากหลายอีทีเอฟและจากบริษัทโฮลดิงด้วย ดังนั้นหากนำไส้ในของ PHATRA GHC มาวิเคราะห์ให้ละเอียดก็ซับซ้อนและซ้ำซ้อนดังที่ว่า แต่ว่าลุงก็ลองวิเคราะห์เจาะลึกดู และนับรวมการลงทุนที่ซ้ำซ้อนกัน พบว่ากองทุนนี้มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นหลัก 20 หุ้นแรกประมาณนี้ เอ้า ลองดูตารางกันหน่อย” ลุงแมวน้ำพูดจบก็ดึงตารางอีกแผ่นหนึ่งออกมาจากหูกระต่ายและคลี่ให้ลิงดู

หุ้น 20 ลำดับแรกในพอร์ตของ PHATRA GHC และสัดส่วนโดยประมาณ ณ มีนาคม 2014

เมื่อนายจ๋อได้ดูตารางแล้ว ลุงแมวน้ำก็พูดต่อ

“จากสัดส่วนการลงทุนที่ลุงคำนวณมาอย่างคร่าวๆ จะเห็นว่าพอร์ตของ PHATRA GHC หุ้นที่ลงทุนมากที่สุดก็ยังมีน้ำหนักเพียง 3% ดังนั้นพอร์ตนี้เป็นพอร์ตกระจายการลงทุนมากทีเดียว มีหุ้นอยู่หลายสิบบริษัท และในหลายซับเซ็กเตอร์ ดังนั้นจะหวังผลตอบแทนแรงๆคงไม่ได้เช่นกัน”


แง้มดูพอร์ตศรีโกลบอลเฮลธ์แคร์อิควิตี้ปันผล (KF-HEALTHD)

“ต่อจากนั้นเรามาแง้มดูพอร์ตการลงทุนของกองทุนเปิดศรีโกลบอลเฮลธ์แคร์อิควิตี้ปันผล (KF-HEALTHD) กัน” ลุงแมวน้ำพูดหลังจากดูดน้ำปั่นเสร็จ “กองทุนนี้คล้ายกับ Bcare ในแง่ที่ว่าเป็นกองทุนลูก (feeder fund) ที่ลงทุนในกองทุนหลักหรือว่ากองทุนแม่ (master fund) เพียงกองทุนเดียว นั่นคือ KH-HealthHD ลงทุนในกองทุน JPMorgan Global Healthcare Fund Class A และลงทุนเป็นสกุลเงินดอลลาร์ สรอ

“กองทุน KH-HealthHD มีความเสี่ยงระดับ 6 มีการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหน่วย และป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน

“สำหรับกองทุนหลักคือ JPMorgan Global Healthcare Fund นั้นมีโครงสร้างการลงทุนคือลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาประมาณ 60% ของพอร์ตการลงทุน ส่วนที่เหลือก็กระจายการลงทุนไปในยุโรป (สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ เยอรมนี ฯลฯ) แคนาดา ญี่ปุ่น

“ทางด้านการกระจายในซับเซ็กเตอร์ต่างๆ และรายชื่อหุ้น 10 อันดับแรกในพอร์ตการลงทุนก็ดูได้ตามนี้เลย กองทุนรวมนี้ให้น้ำหนักในซับเซ็กเตอร์ยามากที่สุด คือ 47.5% รองลงมาเป็นซับเซ็กเตอร์ไบโอเทคโนโลยี” ลุงแมวน้ำพูดพลางดึงกระดาษออกมาอีกสองแผ่นจากหูกระต่ายและกางให้ลิงจ๋อดู


พอร์ตการลงทุนของ JPMorgan Global Healthcare Fund
กระจายในซับเซ็กเตอร์ต่างๆ (subsector breakdown) ณ พฤษภาคม 2014


รายชื่อหุ้น 10 อันดับแรกในพอร์ตการลงทุนของ JPMorgan Global Healthcare Fund (Top Ten Holdings) ณ พฤษภาคม 2014


เปรียบเทียบกองทุนรวมและหุ้นเฮลท์แคร์ ผลตอบแทนและความผันผวน


“ผลตอบแทนของสามกองทุนนี้เป็นอย่างไรบ้างละครับลุง” ลิงถาม “ที่อยากรู้ที่สุดก็เรื่องนี้แหละ ลุงก็ไม่บอกเสียที”

“อ้าว ใจเย็นๆสิ ลุงก็ค่อยๆเล่าไปทีละเรื่อง ที่เล่ามาตั้งเยอะก็เพราะว่าลุงอยากให้นายจ๋อลงทุนด้วยความรู้ ไม่ใช่ลงทุนด้วยความไม่รู้” ลุงแมวน้ำตอบ “ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่นายจ๋ออยากรู้แล้วล่ะ ลุงหาข้อมูลมาให้มากกว่าที่นายจ๋ออยากรู้เสียอีก”

“เอ๊ะ ยังไง” ลิงสงสัย

“ดูนี่เลย” ลุงแมวน้ำพูด พลางดึงกระดาษอีกแผ่นออกมาจากหูกระต่าย

“นี่เป็นตารางแสดงผลตอบแทนในรอบ 5 ปี และแสดงความผันผวนไว้ด้วย”


ตารางแสดงผลตอบแทน 5 ปีของหุ้น กองทุน และดัชนีด้านเฮลท์แคร์ และค่าความผันผวน


“ดูยังไงน่ะลุง” ลิงจ๋อยกหางขึ้นมาเกาหัว

“ลุงจะค่อยๆอธิบายตารางนี้ให้ฟัง ตารางนี้สำคัญมาก เพราะเป็นสรุปและเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้นและกองทุนต่างๆในรอบ 5 ปี คือเริ่มลงทุนตั้งแต่ เมษายน 2009 และสิ้นสุดที่มีนาคม 2014 รวม 5 ปี

“หุ้นและกองทุนที่ลุงทำผลงานการลงทุนมาให้ดูเปรียบเทียบกันก็มีหลายอย่าง ได้แก่ กองทุนรวม BCARE, PHATRA GHC นอกจากนี้ยังมีผลตอบแทนของดัชนี SET, ผลตอบแทนของดัชนีเซ็กเตอร์สุขภาพ (Health sector index) ของตลาดหุ้นไทย

“นอกจากนี้แล้ว ลุงยังได้เปรียบเทียบผลตอบแทนในรอบ 5 ปี ของหุ้นและอีทีเอฟอีก 6 ตัว นั่นคือ หุ้นโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH), หุ้นเครือบางกอกเชน (BCH เครือโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ โรงพยาบาลการุญเวช)

“และยังมีอีทีเอฟ XLV (SPDR Health Care Select Sector Fund) ซึ่งเป็นอีทีเอฟด้านเฮลท์แคร์ที่มีสินทรัพย์สูงสุดในตลาดอเมริกา คือประมาณ 10,500 ล้านดอลลาร์ สรอ หรือสามแสนกว่าล้านบาท กับยังมีกองทุนรวม JPMorgan Global Healthcare Fund ที่เป็นกองทุนแม่ของ KF-HEALTHD

“ยังมีอีก ลุงยังเปรียบเทียบกับหุ้นในกลุ่มเฮลท์แคร์ในตลาดหุ้นเอเชียอีก 3 บริษัท เพื่อให้เห็นบรรยากาศการลงทุนของหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ในเอเชียด้วย ได้แก่ หุ้นแรฟเฟิลส์เมดิคัล (Raffles Medical Group) ในตลาดหุ้นสิงคโปร์ ทำธุรกิจสถานพยาบาล, ไซโนฟาร์มาซูติคัล (Sino Biopharmaceutical) ในตลาดหุ้นฮ่องกง ทำธุรกิจผลิตยาในจีน และหุ้นฟู่ต้านจางเจียงไบโอฟาร์มาซูติคัล (Shanghai Fudan-Zhangjiang Bio-Pharmaceutical) ในตลาดหุ้นฮ่องกง ทำธุรกิจยาไบโอเทคในจีน”

“โอ๊ย 1,350%” ลิงคราง “ทำไมมันแรงยังงี้ หุ้นอะไรกันเนี่ย”

“หุ้นบริษัทฟู่ต้านจางเจียง ทำธุรกิจยาและไบโอเทคในจีนแผ่นดินใหญ่ จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง หุ้นตัวนี้คิดง่ายๆว่าลงทุน 100 บาท ห้าปีต่อมาได้ผลตอบแทนมาอีก 1350 บาท” ลุงแมวน้ำพูด “แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งคุยถึงหุ้นตัวนี้ นี่เราคุยเรื่องกองทุนเฮลท์แคร์กันอยู่ เห็นตัวเลขผลตอบแทนแล้วตาโตเชียว”

“ก็แน่ละสิ ซื้อกล้วยได้หลายปีเลย ฮิฮิ” ลิงหัวเราะ “อ้อ เดี๋ยวก่อนลุง ผมสังเกตว่าในตารางผลตอบแทน มีคำว่า non total return กับ total return มันต่างกันยังไง”

“เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อลุงคิดผลตอบแทนหรือว่า performance ลุงคิดจากราคาหุ้นหรือราคากองทุนในรอบ 5 แล้วคิดเป็นร้อยละออกมาเลย คือดูกราฟที่ต้นงวดและท้ายงวด เอามาคำนวณเลย นั่นหมายความว่า พวกเงินปันผลจ่ายจะไม่ถูกนำมาคำนวณเป็นผลการดำเนินงาน พวกนี้เรียกว่าผลตอบแทนแบบ non total return คือไม่ได้รวมเงินปันผลเข้ามาด้วย

“ทีนี้กองทุน BCARE ไม่ได้จ่ายเงินปันผล แต่ว่า PHATRA GHC จ่ายปันผล ลุงจึงคำนวณผลตอบแทนของ PHATRA GHC แบบ total return คือรวมเงินปันผลให้ดูด้วย จะได้เทียบกับ BCARE ได้อย่างยุติธรรม ส่วนหุ้นหรือกองทุนอื่นๆลุงไม่ได้คำนวณแบบ total return เอาไว้เพราะว่าแค่อยากเปรียบเทียบให้เห็นภาพคร่าวๆเท่านั้นเอง

“จะเห็นว่า ผลตอบแทนของ BCARE กับ PHATRA GHC ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาก็สูสีกัน คือ 147% กับ 144% ตามลำดับ แม้ว่าน้ำหนักการลงทุนในซับเซ็กเตอร์จะแตกต่างกันบ้าง และที่อยากให้สังเกตก็คือ ผลตอบแทนของกองทุนรวมทั้งสองนี้ด้อยที่สุดเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นและดัชนีอื่นๆดังที่เห็นในตาราง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงนั่นเอง ก็เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข เฉลี่ยผลตอบแทนกันไป กองทุนแบบนี้ผลตอบแทนสวยใช้ได้ ผลตอบแทนขนาดปีละกว่า 20% ก็หรูมากแล้ว และมั่นคงดี ไม่ต้องไปอิจฉาทางเลือกอื่นๆในตารางหรอก ผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็ย่อมสูงตามไปด้วยนั่นแหละ

“ลุงยังไม่ได้นำเอากองทุน KF-HEALTHD มาเปรียบเทียบร่วมกับ BCARE และ PHATRA GHC เนื่องจาก KF-HEALTHD เป็นกองทุนไทยที่เพิ่งออกใหม่ ยังไม่มีผลงานให้เปรียบเทียบ แม้ว่าลุงแสดงผลการดำเนินงานของกองทุนแม่คือ JPMorgan Global Healthcare Fund ไว้ให้ดูด้วย แต่ไม่ควรนำเอาผลงานของกองทุน JPMorgan Global Healthcare Fund มาเปรียบเทียบกับ BCARE และ PHATRA GHC เนื่องจาก BCARE และ PHATRA GHC มีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย”

“เดี๋ยวก่อนครับลุง แล้วค่า volatility ในตารางนี่คืออะไร” ลิงถาม

“นี่แหละ คือค่าความผันผวน ลุงคำนวณเปรียบเทียบให้ดู ค่าต่ำแปลว่าความผันผวนน้อย ค่าสูงกว่าคือผันผวนมากกว่า และหากลองสังเกตดูจะพบว่าพวกที่เป็นหุ้นความผันผวนจะสูง นี่แหละ หากจะลงทุนเป็นหุ้นต้องทำใจไว้ด้วยว่าแกว่งแรง ส่วนกองทุนรวมที่กระจายการลงทุนมักผันผวนต่ำเพราะกระจายการลงทุนออกไปนั่นเอง”

“ผมยังสงสัยอีกอย่าง” ลิงถามอีก “ลุงบอกว่า BCARE ลงทุนในหุ้นไบโอเทคเยอะกว่า PHATRA GHC ใช่ไหม ที่จริงผมเดาเอาไว้ว่า BCARE น่าจะผันผวนกว่า PHATRA GHC แต่ทำไมจากในตาราง ค่าความผันผวนของ BCARE กลับต่ำกว่า PHATRA GHC ล่ะ”

“ช่างสังเกตดีนี่ BCARE ผันผวนต่ำกว่าหน่อยจริงๆด้วย” ลุงแมวน้ำชม “ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า BCARE ลงทุนในกองทุนรวม WGHCEPAE ความผันผวนของ BCARE เกิดจากความผันผวนของราคาหุ้นในพอร์ต WGHCEPAE นี่เราตัดเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนออกไปก่อนนะ สมมติว่าไม่มีเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาเกี่ยวข้อง

“ส่วน PHATRA GHC ลงทุนในอีทีเอฟ ความผันผวนของ PHATRA GHC เกิดจากความผันผนของราคาหุ้นในพอร์ตของอีทีเอฟ และความผันผวนจากราคาอีทีเอฟเองด้วยเพราะอีทีเอฟก็เทรดกันในกระดานหุ้น เรียกว่ากองทุนนี้รับความผันผวนสองชั้นเลยทีเดียว ทั้งจากราคาหุ้นและราคาอีทีเอฟ จึงผันผวนกว่านิดหน่อย” ลุงแมวน้ำตอบ

“อ้อ ยังงี้นี่เอง” ลิงจ๋อพยักหน้า

ลุงแมวน้ำดึงกระดาษออกมาจากหูกระต่ายอีกหลายใบ

“เอ้า นี่ ลุงมีกราฟให้ดูประกอบ


กราฟ 5 ปีของ SET, Health sector index, และราคาหุ้น BH, BCH เปรียบกทียบกับกองทุน XLV, Phatra GHC, BCARE

“ดูภาพนี้ก่อน ภาพนี้เป็นกราฟที่ลุงเปรียบเทียบให้ดูความเคลื่อนไหวของราคาของกองทุนและหุ้นต่างๆในรอบ 5 ปี สังเกตเห็นไหมว่ากราฟของ PHATRA GHC ค่อยๆขึ้น ไม่หวือหวา กราฟของ BCARE ก็คล้ายๆกัน แต่ลุงไม่ได้ทำ BCARE มาให้ดู นี่แหละการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมทำให้เส้นกราฟดูมั่นคง ผันผวนมากก็ใจหายใจคว่ำมาก

“และเรื่องที่ควรตระหนักไว้เสมอ 2 เรื่อง คือ ทั้งสองกองทุนนี้ลงทุนเป็นเงินสกุลดอลลาร์ สรอ ดังนั้นความผันผวนส่วนหนึ่งมาจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย ส่วนจะมีผลมากหรือน้อยขึ้นกับว่ากองทุนบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีเพียงใด และอีกข้อหนึ่งก็คือ องค์ประกอบของทั้งสองกองทุนรวมนี้ส่วนใหญ่เป็นหุ้นในตลาดอเมริกา ดังนั้นความผันผวนของตลาดหุ้นอเมริกาย่อมมีผลต่อความผันผวนของกองทุนด้วย ส่วนจะมีผลมากน้อยเพียงใดบอกได้ยากเนื่องจากเวลาต่างกัน สถานการณ์ต่างกัน ผลกระทบก็ต่างกันออกไป



กราฟราคาหุ้นโรงพยาบาล BH ของไทย เทียบกับราคาหุ้นในกลุ่มเฮลท์แคร์ของสิงคโปร์และฮ่องกงบางตัว

“ภาพนี้เป็นกราฟราคาหุ้นในอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพในตลาดหุ้นไทย สิงคโปร์ ฮ่องกง หุ้นที่อยู่ในตารางข้างบนนั่นแหละ ลุงยกตัวอย่างให้ดู


กราฟราคาหุ้นในตลาดอเมริกา ฮ่องกง และสิงคโปร์ ที่ขาดทุนหนัก เป็นอุทาหรณ์สำหรับการลงทุน

“และภาพนี้ลุงให้ไว้เพื่อเตือนสติ ที่ผ่านมาเราดูแต่ผลตอบแทนที่สวยหรู เราอย่าประมาท ต้องไม่ลืมอีกด้านหนึ่งด้วย ลุงเอากราฟราคาหุ้นที่ขาดทุนยับมาให้ดู ชอบแต่ของแรงๆ พลาดเข้าก็แย่เหมือนกัน”



สรุปแนวโน้มการลงทุนในอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพ


“ลุงแมวน้ำเล่ามาเสียเยอะ สุดท้ายก็มาพูดเรื่องขาดทุนยับ สรุปแล้วอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์น่าลงทุนไหมเนี่ย” ลิงถาม

“ถามแบบนี้ก็ตอบยาก เพราะเป็นเรื่องต่างจิตต่างใจ คนนั้นก็ชอบอุตสาหกรรมนั้น คนนี้ก็ชอบอุตสาหกรรมนี้ ต่างคนก็มีเหตุผลของตัวที่ชอบและไม่ชอบ คนที่ชอบอุตสาหกรรมไหนก็ย่อมมีเหตุผลสนับสนุน ไม่มีถูกไม่มีผิดหรอก” ลุงแมวน้ำตอบ

“แหม่ แทงกั๊กจริงลุง เอาเป็นว่าความเห็นของลุงล่ะ” ลิงทำหน้ายู่ยี่เมื่อได้ยินคำตอบของลุงแมวน้ำ

“อ้าว ไม่ได้แทงกั๊ก ถ้าถามความเห็นของลุง ลุงก็เห็นว่าอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพนี้เป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่น่าสนใจลงทุน เพราะเป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับกระแสโลกหรือว่าเมกะเทรนด์ ซึ่งเป็นแนวโน้มใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และยังดำเนินไปอีกนาน ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นสังคมผู้สูงอายุ พูดง่ายๆก็คือเป็นคนแก่ที่มีเงิน คนกลุ่มนี้แม้อยู่ในประเทศที่การสาธารณสุขดี แต่เรื่องความแก่ชราไม่เข้าใครออกใคร ถึงจะรวยหรือสาธารณสุขดีเพียงใด พอแก่แล้วก็ต้องออดๆแอดๆ ก็ต้องพึ่งสินค้าและบริการในอุตสาหกรรมนี้

“ส่วนในประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น ไทย จีน และประเทศอื่นๆในย่านเอเชีย ตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ แอฟริกา ฯลฯ เหล่านี้เป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ประชาชนมีการเลื่อนฐานะทางเศรษฐกิจ ชนชั้นกลางเพิ่มมากขึ้น ชุมชนเมืองขยายตัวรวดเร็ว คนที่กลายมาเป็นชนชั้นกลางเหล่านี้ต้องการการบริการทางการแพทย์ที่ดียิ่งขึ้น แม้จะจ่ายแพงขึ้นก็ยอม ดังนั้นก็ต้องพึ่งสินค้าและบริการในอุตสาหกรรมนี้เช่นกัน

“โดยเฉพาะในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ เซ็กเตอร์ย่อยยา โรงพยาบาล เติบโตดีมากทีเดียว ยกตัวอย่างเช่นในประเทศจีน ตอนนี้ชนชั้นกลางเพิ่มมากขึ้น กำลังซื้อของชาวจีนมีมากขึ้น อุตสาหกรรมยาของจีนเติบโตดีมาก แต่ทางด้านโรงพยาบาลเอกชนยังก๊อกๆแก๊กๆอยู่ ผลตอบแทนยังไม่ค่อยดีนัก แต่ลุงมองว่าเป็นโอกาสในการลงทุนมากกว่า อีกหน่อยหุ้นที่เกี่ยวกับโรงพยาบาลของจีนก็ต้องเติบโตดีเช่นกัน เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น

“ส่วนหุ้นโรงพยาบาลของไทยนั้นยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีก อันเป็นไปตามกระแส urbanization เพียงแต่ว่าการเข้าลงทุนควรหาจังหวะที่เหมาะสม และหุ้นยา อาหารเสริม ก็ยังเติบโตได้อีก

“หากสนใจลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ และเลือกหุ้นไม่ถูก หรือกลัวว่าเลือกแล้วผิดตัว ก็ลงทุนในกองทุนรวมก็ได้ อาศัยกองทุนรวมเป็นผู้คัดเลือกหุ้นให้ และจัดพอร์ตให้กระจายการลงทุน ก็เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง ซึ่งการลงทุนในกองทุนรวมนั้น เราลงทุนในกองทุนรวมที่จัดตั้งในเมืองไทยแต่นำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ ปัจจุบันมีอยู่สองกองทุน ดังที่ลุงเล่ามาแล้ว แต่ต้องเข้าใจความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนด้วย ส่วนกองทุนรวมที่ลงทุนในอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพที่เป็นหุ้นภายในประเทศ ปัจจุบันยังไม่มี


“แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพยังไปต่อได้เรื่อยๆ ดังนั้นหุ้นและกองทุนรวมต่างๆที่ลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ก็ยังมีโอกาสเติบโตได้อีก แต่แน่นอน ราคาย่อมต้องมีแกว่งขึ้นลงอันเป็นธรรมชาติของราคาหุ้นและกองทุน ดังนั้นผู้ลงทุนควรคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวมากกว่าการเฝ้าดูราคาทุกวัน เพราะจะทำให้สุขภาพจิตเสีย


“ลุงสรุปให้แบบนี้คงไม่ว่าลุงแมงกั๊กแล้วนะ” ลุงแมวน้ำพูด

“คร้าบ ไม่ว่าแล้วคร้าบ” ลิงจ๋อหัวเราะดังนั้น  “ได้ข้อมูลแล้ว ผมคงต้องกลับเสียที เอาไว้เมื่อมีปัญหาจะมาปรึกษาลุงแมวน้ำใหม่”

ว่าแล้วลิงก็เอาหางเกี่ยวกิ่งไม้และห้อยโหนจากไป

“คราวหน้าถ้าจะมา อย่าลืมเอาน้ำปั่นมาฝากลุงด้วยล่ะ” ลุงแมวน้ำร้องบอกไล่หลัง


Saturday, July 5, 2014

05/07/2014 การลงทุนหุ้นและกองทุนรวมในอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพ (healthcare industry) (5)






กองทุนรวมสุขภาพที่ลงทุนในต่างประเทศ (กองทุนรวมเฮลท์แคร์ FIF) กองทุนรวม BCARE, PHATRA GHC และ KF-HEALTHD



“เอาละ ชื่นใจแล้ว ไหน เมื่อกี้ว่าไงนะ” ลุงแมวน้ำถามลิงหลังจากดูดน้ำปั่นจนชื่นใจ

“เฮ้อ ลุงแมวน้ำลืมอีกแล้ว” ลิงถอนหายใจ “เราพูดถึงกองทุนรวมเฮลท์แคร์ไง”

“อ้อ ใช่ เมื่อกี้เราพูดกันถึงเรื่องหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพในตลาดหุ้นไทย จากนั้นก็เลยมาพูดถึงเรื่องกองทุนรวมที่ลงทุนในอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพ ซึ่งกองทุนรวมด้านเฮลท์แคร์ที่เปิดให้นักลงทุนไทยได้ลงทุนนั้น ปัจจุบันยังไม่มีกองทุนรวมเฮลท์แคร์ที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย เท่าที่มีอยู่ 3 กองทุนรวมก็เป็นกองทุนรวมประเภทที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (foreign investment fund, FIF) ทั้งสามกองเลย นั่นคือ กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์ (BCARE) ของค่ายบัวหลวง กับกองทุนเปิดภัทร โกลบอล เฮลธ์แคร์ (PHATRA Global Health Care, PHATRA GHC) ของค่ายภัทร และกองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลเฮลธ์แคร์อิควิตี้ปันผล (KF-HEALTHD) ของค่ายกรุงศรีอยุธยา” ลุงแมวน้ำทบทวนความจำ

“แล้วลุงก็กำลังจะเล่าเรื่องกองทุนรวมเฮลท์แคร์ให้ผมฟัง” ลิงจ๋อเสริมให้อีก “ว่าแต่ว่าลงทุนในหุ้นเฮลท์แคร์ในตลาดหุ้นไทยดี หรือว่าลงทุนในกองทุนรวมเฮลท์แคร์ที่ลงทุนในต่างประเทศดีกว่าล่ะ”

“ก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป

“ข้อเสียของการลงทุนในตลาดหุ้นไทย คือส่วนใหญ่ก็เป็นหุ้นโรงพยาบาล หุ้นในซับเซ็กเตอร์อื่นของอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ยังมีให้เลือกลงทุนน้อย ดังที่ลุงได้คุยไปแล้ว และหากมองในแง่การกระจายความเสี่ยงก็อาจมองได้ว่ากระจายความเสี่ยงในวงจำกัด หากเศรษฐกิจไทยเกิดเป็นอะไรไป หุ้นก็คงลงหมดทั้งกระดาน รวมทั้งหุ้นทั้งหมดในพอร์ตของเรา

“ส่วนข้อดีก็คือ หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลของไทยอยู่ในยุคชุมชนเมืองขยายตัวพอดี หรือที่เรียกว่าเป็นยุคของ urbanization ดังนั้นโอกาสเติบโตยังมีอีกมาก หุ้นเฮลท์แคร์ของไทยโดยเฉพาะหุ้นโรงพยาบาลถือว่าเป็นหุ้นเติบโตสูงหรือ growth stock เชียว และอีกอย่างก็คือ หุ้นไทยซื้อขายกันเป็นเงินบาท ไม่มีความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนนี้ในปัจจุบันผันผวนและคาดเดาได้ยากมาก”

“แล้วข้อดีข้อเสียของกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศล่ะลุง” ลิงถาม

“ข้อดีของกองทุนรวมเฮลท์แคร์ที่ลงทุนในต่างประเทศก็คือ มีการกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า ทั้งในแง่ประเทศที่ไปลงทุน กับในแง่ซับเซ็กเตอร์ที่ไปลงทุน คือกองทุนรวมเหล่านี้มักกระจายการลงทุนในหลายซับเซ็กเตอร์ของอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพ รวมทั้งกระจายการลงทุนในหลายประเทศ แต่ส่วนใหญ่ก็ลงทุนเป็นหลักสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ราว 70% ของพอร์ต รองลงมาอันดับสองมักเป็นหุ้นในสวิตเซอร์แลนด์แต่สัดส่วนห่างกันมาก มักลงทุนไม่เกิน 10% ของพอร์ต รองลงมาอีกก็เป็นหุ้นในประเทศอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น แคนาดา ออสเตรเลีย ที่พูดให้ฟังด้านน้ำหนักของพอร์ตคร่าวๆก็เพื่อให้เห็นว่า ที่จริงแล้วกองทุนรวมเฮลท์แคร์ในต่างประเทศ จะว่าไปก็ยังกระจุกตัวอยู่ในหุ้นในตลาดอเมริกาเป็นหลัก แต่ว่าหากมองในเรื่องขอบเขตของธุรกิจแล้ว หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำธุรกิจแบบนานาชาติ ก็ถือได้ว่ามีการกระจายการลงทุน

“ข้อเสียของกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศคือความเสี่ยงในด้านอัตราแลกเปลี่ยน แม้ทั้งสามกองทุนนี้มีการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อลดความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน แต่ไม่ได้เต็มจำนวนและเป็นไปตามดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน คือเป็นแบบไดนามิก ดังนั้นความเสี่ยงจึงยังมีอยู่ ส่วนจะมีมากน้อยเท่าไรก็บอกยาก ในบางช่วงเวลาอาจไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงเลยก็ได้”

“ยังงั้นผมขอถามลุงเรื่องกองทุนรวมก่อนก็แล้วกัน กองทุนสามกองนี้ต่างกันอย่างไรบ้างละครับ กองไหนให้ผลตอบแทนดีกว่ากัน” ลิงจ๋อถาม

“ก่อนที่เราจะมาดูผลตอบแทน เรามาดูข้อมูลพื้นฐานของสามกองทุนนี้ก่อนดีกว่า เพื่อให้เข้าใจความแตกต่างได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลุงจะพูดถึง BCARE กับ PHATRA GHC ก่อนเนื่องจากเป็นกองทุนรวมที่เห็นผลงานมาหลายปีแล้ว ส่วน KF-HEALTHD เป็นกองทุนรวมที่ใหม่มาก ยังไม่เห็นผลงาน” ลุงแมวน้ำพูดแล้วหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปว่า

มาดูกองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์ (BCARE) ก่อนละกัน กองทุน BCARE นี้เป็นกองทุนลูก (feeder fund) ที่ไปลงทุนในกองทุนแม่ (master fund) ในต่างประเทศอีกทีหนึ่ง โดยกองทุนแม่นี้มีชื่อว่า Wellington Global Health Care Equity Portfolio Class A (WGHCEPAE) ลงทุนด้วยสกุลเงินดอลลาร์ สรอ การจัดพอร์ตการลงทุนว่าจะลงทุนในหุ้นอะไรบ้างนั้นกองทุนแม่นี้เป็นผู้บริหารจัดการ ส่วนกองทุนไทยนั้นเป็นผู้ไปลงทุนในกองทุนแม่อีกทอดหนึ่ง

“ตัวกองทุน BCARE ที่เป็นกองทุนลูกนั้นจัดว่าเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 คือเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารทุน พูดง่ายๆก็คือเป็นกองทุนหุ้น ไม่มีการจ่ายเงินปันผล หากผู้ลงทุนต้องการเงินก็ใช้วิธีการขายคืนหน่วยลงทุน มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนโดยเป็นดุลพินิจของผู้จัดการกองทุนฝั่งไทย”

ลิงจ๋อนั่งฟังทำตาปริบๆ เมื่อเห็นลิงจ๋อยังไม่ถามอะไร ลุงแมวน้ำจึงพูดต่อ

“ส่วนกองทุนเปิดภัทร โกลบอล เฮลธ์แคร์ หรือ PHATRA GHC นั้นต่างกันออกไป ไม่ได้ลงทุนแบบกองทุนแม่-กองทุนลูก แต่กองทุน PHATRA GHC นั้นลงทุนในกองทุนรวมอีทีเอฟ (ETF, exchange traded fund) ในตลาดหุ้นอเมริกาหลายๆกองทุน โดยลงทุนเป็นสกุลเงินดอลลาร์ สรอ”

“ยังไงกันลุง เรื่องกองทุนแม่-กองทุนลูกของ BCARE นั้นยังพอเข้าใจ แต่ว่า PHATRA GHC ที่ลงทุนในอีทีเอฟนี้ไม่ค่อยเข้าใจ” ลิงจ๋องง

“ลุงอธิบายคำว่า ETF แบบง่ายๆก่อน อีทีเอฟเป็นกองทุนรวมที่มีลักษณะพิเศษคือซื้อขายได้ในกระดานหุ้น ทำตัวเหมือนเป็นหุ้นตัวหนึ่ง ซึ่งในตลาดหุ้นไทยก็มีอีทีเอฟให้เทรดได้ตั้งหลายตัว เช่น BCHAY, GOLD99, TDEX, ENGY EFOOD, CHINA เป็นต้น เหล่านี้เป็นอีทีเอฟทั้งสิ้น

“กองทุน PHATRA GHC นี้ก็นำเงินไปซื้อกองทุนอีทีเอฟทางด้านเฮลท์แคร์ในตลาดหุ้นอเมริกา ก็แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรซับซ้อน กองทุนนี้ลงทุนในอีทีเอฟประมาณ 4-6 ตัว มีการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนด้วย กองทุนนี้มีความเสี่ยงระดับ 8 มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนโดยเป็นดุลพินิจของผู้จัดการกองทุนฝั่งไทย”

“เดี๋ยวๆ ลุง กองทุน BCARE มีความเสี่ยงระดับ 6 ใช่ไหม แล้วทำไมกองนี้ระดับความเสี่ยงไม่เท่ากัน กองทุนไหนเสี่ยงกว่ากัน” ลิงจ๋อทัก

“ช่างสังเกตเหมือนกันนี่” ลุงแมวน้ำชม “ความเสี่ยงต่างระดับกันอย่างที่นายจ๋อทักนั่นแหละ เรื่องการจัดระดับความเสี่ยงนี้เป็นกฎของตลาด ตัวเลขมากคือความเสี่ยงสูงยิ่งขึ้น พวกที่ความเสี่ยงระดับ 6 พูดง่ายๆคือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นล้วนๆ ส่วนกองทุนรวมที่ความเสี่ยงระดับ 8 เป็นความเสี่ยงระดับสูงสุด มักมีการลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่มีความเสี่ยงสูงด้วย เช่น ลงทุนในทองคำ น้ำมันดิบ ลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์หรือตราสารหนี้ที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (structured note) เป็นต้น แต่เท่าที่ลุงดูในรายงานประจำปียังไม่พบว่ามีสินทรัพย์เสี่ยงเหล่านี้นะ การลงทุนหลักยังเป็นอีทีเอฟอยู่”

“แล้วสองกองทุนนี้ยังมีความแตกต่างกันยังไงอีกลุง ฟังแล้วก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเลือกอะไรดี”

“ที่ลุงเล่ามานั้นเป็นข้อมูลพื้นฐานของกองทุน ยังมีข้อมูลสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่ลุงยังไม่ได้บอกเลย นั่นก็คือ การจัดพอร์ตลงทุนของทั้งสองกองทุนรวม ความแตกต่างสำคัญก็อยู่ที่การจัดพอร์ตนี่แหละ” ลุงแมวน้ำพูด

“ยังงั้นเล่าต่อเลยครับลุง”



แง้มดูพอร์ตกองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์ (BCARE)

“เรามาเริ่มกันที่พอร์ตการลงทุนของ BCARE กันก่อน การจัดพอร์ตของ BCARE ขึ้นอยู่กับนโยบายในการลงทุนของกองทุน WGHCEPAE สำหรับ WGHCEPAE ที่ BCARE ลงทุนอยู่นั้นหากแบ่งการลงทุนตามซับเซ็กเตอร์ จะพบว่าลงทุนในซับเซ็กเตอร์ไบโอเทคโนโลยีสูงที่สุด คือเป็นสัดส่วน 38.9% ของพอร์ตการลงทุน รองลงมาเป็นกลุ่มผู้ให้บริการด้านสุขภาพ (ได้แก่ โรงพยาบาล คลินิก สถานพักฟื้น สถานฟื้นฟู และแผนประกันสุขภาพต่างๆ) โดยลงทุนเป็นสัดส่วน 25.9% ของพอร์ต และรองลงมาอีกเป็นซับเซ็กเตอร์ยาและเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์” ลุงแมวน้ำพูดพลางหยิบตารางสองแผ่นออกมาจากหูกระต่ายและคลี่แผ่นหนึ่งออกให้ลิงดู “เอ้า ดูตารางนี่ ตามนี้เลย”


พอร์ตการลงทุนของ WGHCEPAE กระจายในซับเซ็กเตอร์ต่างๆ ณ มีนาคม 2014


“สงสัยว่าพอร์ตนี้จะชอบความแรง” ลิงออกความเห็น “ลงในหุ้นไบโอเทคเยอะเขียว”

“เอาละ ทีนี้หากว่าเราอยากรู้ว่ากองทุนนี้ลงทุนในหุ้นอะไรบ้าง ก็ลองดูตารางนี้ ลุงแมวน้ำเอารายชื่อหุ้น 10 อันดับแรกในพอร์ต BCARE มาให้ดูกัน” ลุงแมวน้ำพูดพลางเอาตารางอีกแผ่นหนึ่งให้ลิงดู จากนั้นพูดต่อ “จะเห็นว่าหุ้นหลักอยู่ในกลุ่มไบโอเทคโนโลยีและยา อีกทั้งยังเป็นหุ้นในตลาดหุ้นอเมริกาเสีย 8 บริษัท อีกสองบริษัทอยู่ในเบลเยี่ยมและญี่ปุ่น จากตารางนี้ทำให้พอเห็นภาพการจัดน้ำหนักในการลงทุนและประเทศที่เข้าลงทุนได้”


พอร์ตการลงทุนของ WGHCEPAE แสดงหุ้น 10 อันดับแรกในพอร์ตและค่า P/E ณ มีนาคม 2014


“หุ้นพวกนี้ลุงรู้จักบ้างไหม” ลิงถาม “หุ้นตัวแรก P/E สูงปรี๊ด น่ากลัวเชียว”

“ก็พอรู้นิดหน่อย” ลุงแมวน้ำตอบ “อย่างเช่นหุ้นลำดับที่หนึ่งในตาราง คือ ฟอเรสต์แลบ (Forest Laboatories, FRX) นี่เป็นหุ้นดังในกลุ่มไบโอเทค และยิ่งไปกว่านั้น ฟอเรสต์แล็บเพิ่งถูกซื้อโดยบริษัทแอกตาวิส (Actavis, ACT) ที่เป็นหุ้นบริษัทยายักษ์ใหญ่อันดับต้นๆของโลก เพิ่งออกข่าวไปเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง มูลค่าที่ซื้อคือ 25,000 ล้านดอลลาร์ สรอ หรือ 800,000 ล้านบาท”

“โห สดๆร้อนๆเลยนะลุง แปดแสนล้านบาท มูลค่ามหาศาลเลย” ลิงอ้าปากหวอ

“ใช่แล้ว ก็ดังที่ลุงบอก หุ้นในซับเซ็กเตอร์ไบโอเทคมีลุ้นให้เทคโอเวอร์กันอยู่เรื่อยๆ” ลุงแมวน้ำพูด “ราคาหุ้น FRX วิ่งหน้าตั้งมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และข่าวการซื้อขายมาออกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของปีนี้ วิ่งจาก 40 ดอลลาร์ต่อหุ้นมาถึง 99 ดอลลาร์ กองทุน BCARE ก็ได้อานิสงส์ไปด้วยนี่แหละ

“หุ้นบริษัทยายักษ์ใหญ่ อย่างเช่น เมิร์ก (MRK) แอกตาวิส (ACT) แกลกโซ (GSK) บริษัทเหล่านี้มามาร์เก็ตแคปหรือว่ามูลค่าตลาดสูงมาก เป็นระดับแสนล้านดอลลาร์ สรอ ทีเดียว และบริษัทยาเหล่านี้มักไปเทกโอเวอร์บริษัทยาไบโอเทคมาไว้ในครอบครอง คือไปเอาบริษัทไบโอเทคมาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท หากมองกันในเชิงโครงสร้างธุรกิจ การเทคโอเวอร์แบบนี้เป็นการเอื้อประโยชน์กันและกัน หรือเป็นการร่วมพลังกัน (synergy) เพราะบริษัทไบโอเทคมีความเสี่ยงในเชิงธุรกิจสูง ผู้ถือหุ้นก็ความเสี่ยงไปด้วย รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีก็อาจติดขัดด้วยเรื่องเงินทุน แต่หากไปอยู่ในชายคาของบริษัทยายักษ์ใหญ่ทำให้สามารถกระจายความเสี่ยงไปได้ การพัฒนาเทคโนโลยีก็ราบรื่นกว่า ไม่ค่อยติดขัดเรื่องเงินทุน ส่วนบริษัทยาที่มีเงินทุนพร้อมกว่าก็สามารถใช้ธุรกิจไบโอเทคโนโลยีเป็นตัวสร้างรายได้แก่บริษัท ดังนั้นบริษัทยายักษ์ใหญ่แม้โดยซับเซ็กเตอร์แล้วจะอยู่ในซับเซ็กเตอร์ยาทั่วไป แต่แท้ที่จริงแล้วมักมีธุรกิจด้านไบโอเทคอยู่ด้วย”


ราคาหุ้น Forest Laboratories อันเป็นหุ้นด้านไบโอเทคโนโลยีวิ่งแรงตั้งแต่ปลายปี 2013 ปัจจุบันหุ้น FRX ไม่มีแล้วเนื่องจากบริษัทยาแอกทาวิส (ACT) ซื้อไปแล้ว


“อ้อ ยังงี้นี่เอง” ลิงพูด พลางดูในตาราง “แล้วลุงยังมีข้อสังเกตอะไรอีกไหม”

“ก็ยังมีข้อสังเกตอีกนิดหน่อย อย่างเช่น หุ้นยูไนเต็ดเฮลท์ (UNH) เป็นธุรกิจประกันสุขภาพยักษ์ใหญ่ หุ้นนี้อยู่ในดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJI) ด้วย และหุ้นแมกเคสซัน (MCK) ทำธุรกิจหลายอย่าง คือขายส่งยาและเครื่องมือแพทย์ นอกจากนี้ยังขายโซลูชันด้านซอฟต์แวร์บริหารโรงพยาบาลอีกด้วย ก็เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ

“นอกจากนี้ ลุงอยากให้สังเกตสัดส่วนการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวของพอร์ตนี้ จะเห็นว่าลงทุนในหุ้นบริษัทละนิดละหน่อย หุ้น 10 บริษัทที่มีสัดส่วนสูงสุดรวมกันแล้วก็ยังไม่ถึง 30% ของพอร์ตเลย คาดว่าทั้งพอร์ตคงมีหุ้นหลายสิบบริษัท โดยทางทฤษฎีแล้วการกระจายการลงทุนในหุ้นมากมายขนาดนี้ทำให้พอร์ตการลงทุนกระจายความเสี่ยงได้ดี แต่ก็จะหวังให้พอร์ตกำไรแรงๆคงไม่ได้ การเติบโตของผลตอบแทนเป็นไปตามการเติบโตของเซ็กเตอร์มากกว่า รวมทั้งความผันผวนของผลตอบแทนกองทุนก็ไม่น่าผันผวนมาก เนื่องจากเป็นไปตามความผันผวนของเซ็กเตอร์มากกว่าความผันผวนจากตัวหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง

 นอกจากนี้ก็ยังไม่มีอะไร ต่อไปเราไปแง้มดูพอร์ตลงทุนของ PHATRA GHC กันดีกว่า”

“ดีเลยลุง ยังงั้นดู PHATRA GHC กันต่อเลย” ลิงจ๋อพูด

“โอ๊ะ โอ๊ะ ไม่ได้สิ” ลุงแมวน้ำพูด

“คอแห้ง ขอดูดน้ำปั่นสักหน่อยก่อน” ลิงจ๋อและลุงแมวน้ำพูดขึ้นพร้อมๆกันราวกับนัดกันไว้


Sunday, June 29, 2014

29/06/2014 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ เติมฝันวันฟ้าใสที่บางกะเจ้า (2)





ในครั้งก่อนลุงแมวน้ำเล่าเรื่องเกี่ยวกับบางกะเจ้า ปอดสีเขียวใกล้กรุงเทพฯพอเป็นสังเขปแล้ว วันนี้เราจะเดินทางไปเที่ยวบางกะเจ้ากัน

ก่อนอื่น ลุงขอเท้าความก่อนว่า บางกะเจ้านั้นเป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม อีกทั้งยังเป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติวิทยา ดังนั้น ผู้ที่จะไปเที่ยวบางกะเจ้าจึงสามารถเลือกทำกิจกรรมได้หลายอย่าง ตั้งแต่ เดินเล่นชมสวนสาธารณะ ชมเรือกสวนแบบดั้งเดิม ดูนก ผีเสื้อ และพรรณไม้ต่างๆ ชมชีวิตความเป็นอยู่แบบอนุรักษ์ ชมตลาดน้ำ เลือกซื้อสินค้า ขี่จักรยานออกกำลังกาย ตลอดไปจนถึงพักแรมแบบโฮมสเตย์เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนและเพื่อการพักผ่อน ฯลฯ

เห็นไหมว่าการไปเที่ยวบางกะเจ้านั้นสามารถทำกิจกรรมได้หลายอย่าง การเดินทางก็สามารถไปได้หลายทาง แต่ที่ลุงแมวน้ำจะพาพวกเราไปเที่ยวกันในวันนี้เป็นการไปขี่จักรยานเล่นเพื่อออกกำลังกายและเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ไปแบบครึ่งวัน ใช้ขนส่งมวลชน ไม่ต้องนำพาหนะไปเอง



สู่บางกะเจ้า ตั้งต้นกันที่คลองเตย


ลุงแมวน้ำจะตั้งต้นที่คลองเตย แล้วพาพวกเรานั่งเรือข้ามฟากไป ลุงจะเล่าด้วยภาพก็แล้วกัน ภาพมาก่อน คำบรรยายตามหลัง

ออกเดินทางกันได้เลยคร้าบ






การผจญภัยของลุงแมวน้ำในวันนี้ใช้เส้นทางคลองเตยข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปบางกะเจ้า

ข้างบนเป็นแผนที่ ย่านคลองเตย มายังไงก็ได้ ให้มาถึงคลองเตยก็แล้วกัน จากนั้นไปตั้งหลักที่หน้าวัดคลองเตยนอก สำหรับลุง แนะนำว่ารถเมล์สาย 4, ปอ 4 รถผ่านหน้าวัด หรือจะนั่งรถเมล์สาย 47 ก็ได้ อู่รถเมล์สาย 47 อยู่ข้างๆวัดนั่นเอง





นี่เป็นบรรยากาศหน้าวัดคลองเตยนอก อยู่ใกล้กรมศุลกากร ขอย้ำว่าท่าเรือที่ข้ามไปบางกะเจ้านั้นอยู่ที่วัดลองเตยนอก นะคร้าบ เนื่องจากมีวัดคลองเตยในด้วย ชื่อคล้ายๆกัน อยู่ใกล้ๆกันอีกด้วย อย่าหลงไปที่วัดคลองเตยใน

ที่หน้าวัดคลองเตยนอกเป็นด่านของทางด่วนด้วย  ใช้เป็นจุดสังเกตได้





จากริมถนนใหญ่ เดินเข้ามาในซอยวัดคลองเตยนอก เลียบกำแพงวัดมาเรื่อยๆ ไม่ต้องเลี้ยวเข้าไปในวัด สักครู่เดียวก็จะเดินมาจนสุดทางซึ่งเป็นริมแม่น้ำเจ้าพระยา ท่าเรืออยู่ตรงนี้แหละ ซื้อตั๋วก่อนนะคร้าบ คนละ 10 บาท





เรือที่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปยังฝั่งตรงข้าม (ฝั่งตรงข้ามคือบางกะเจ้า อำเภอพระประแดง) มีสองชนิด หากเป็นเรือใหญ่จะมาเป็นรอบๆ วันหนึ่งมีไม่กี่รอบ หากเป็นเรือเล็กก็คือเรือหางยาวดังที่เห็นในรูป นั่งได้เต็มลำ 5 คน แต่ว่าไม่ต้องรอครบห้าคนหรอก คนเดียวหรือสองคนก็ออกแล้ว ไม่ต้องคอยนาน แทบจะออกเรือทันทีเลยก็ว่าได้

เอาละ ขึ้นเรือได้ ระวังนิดหนึ่งนะคร้าบ ไม่ตกน้ำหรอก ลุงยังไม่เคยเห็นนักท่องเที่ยวตกน้ำเลย ^_^





เมื่อไปถึงฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำเจ้าพระยา นั่นแหละ ถึงบางกะเจ้าแล้ว ตรงท่าเรือนั้นมีร้านจักรยานให้เช่าอยู่ เช่าที่นั่นแล้วขี่ปร๋อไปเลย คิดค่าเช่าเหมาวันละ 100 บาท กี่ชั่วโมงก็ได้ ร้านจักรยานให้เช่านี้ปกติเปิดเช้า ประมาณ 8-9 โมง ไม่ได้มีเวลาทำการเป๊ะๆหรอก

วันนั้นลุงแมวน้ำไปถึงประมาณ 6 โมงครึ่ง ยังเช้าตรู่อยู่เลย ร้านจักรยานให้เช่ายังไม่เปิด >.<





ไม่เป็นไร ทุ่มทุนอีกนิดหน่อย ยังมีจุดให้เช่าจักรยานอีกจุดหนึ่ง อยู่ที่หน้าสวนศรีฯ ลุงก็นั่งมอเตอร์ไซค์ วินอยู่ที่ท่าเรือนั่นเอง นั่งไปที่หน้าสวนศรีฯ 15 บาท หรือจะเดินก็ได้ ก็สักสิบหน้านาที ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร แต่อย่าเดินเลย เช้าๆแบบนี้น่าขี่จักรยาน สายๆแล้วแดดร้อน ทำเวลาหน่อยดีกว่า

อ้อ ขอแถมอีกหน่อย วินมอเตอร์ไซค์นี้ไปได้ทั่วบางกะเจ้า หากอยากไปช้อปปิ้งที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้งเพียงอย่างเดียวก็นั่งมอเตอร์ไซค์ตรงไปที่ตลาดน้ำเลยก็ได้ ราคามาตรฐาน มีป้ายบอกราคาติดอยู่ที่วิน



เส้นทางจักรยาน เริ่มต้นที่สวนศรีนครเขื่อนขันธ์


ลุงก็ควบมอเตอร์ไซค์มาลงที่หน้าสวนสาธารณะ ชื่อ สวนศรีนครเขื่อนขันธ์ แต่ชาวบ้านเรียกสั้นๆว่าสวนศรีฯ ยังมีร้านจักรยานให้เช่าอีกเจ้าหนึ่ง (ที่จริงเจ้าของเดียวกัน) ร้านนี้ลุงเจ้าของร้านพักอยู่ที่ร้านนี้เลย ลุงแมวน้ำก็ไปเรียกที่หน้าบ้านเอาหน่อย แกก็ออกมาต้อนรับและจัดจักรยานให้ ^_^

สังเกตดูในรูป จะเห็นว่าที่ถนนทางเข้าสวนศรีฯนั้นมีรถยนต์มาจอดเรียงรายอยู่หลายคัน รถเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นนักปั่นจักรยานที่นำเอาจักรยานของตนเองใส่รถมา และมาขี่ท่องเที่ยวในบางกะเจ้า ใครสะดวกจะนำจักรยานมาเองก็ขับรถมาจอดที่หน้าสวนแล้วปั่นจักรยานท่องเที่ยวก็ได้

ร้านจักรยานที่หน้าสวนนี้คิดค่าเช่าวันละ 100 บาทเช่นกัน หรือจะเช่าเป็นรายชั่วโมงก็ได้ มีอัตราชั่วโมงละ 30 บาทให้เลือกด้วย เพราะจุดนี้ผู้เช่าจักรยานมักขี่เที่ยวในสวนศรีฯมากกว่าที่จะออกไปข้างนอก สวนก็ไม่ใหญ่มาก ขี่เดี๋ยวเดียวก็ทั่วแล้ว ดังนั้นจึงมีอัตรารายชั่วโมงให้เลือกด้วย



เส้นทางขี่จักรยานเที่ยวบางกะเจ้า วงรอบใหญ่ (คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดขยายได้)


เส้นทางขี่จักรยานเที่ยวบางกะเจ้า วงรอบกลาง (คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดขยายได้)


เส้นทางขี่จักรยานเที่ยวบางกะเจ้า วงรอบเล็ก (คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดขยายได้)

เอาละ เมื่อเช่าจักรยานได้แล้วก็ออกเดินทางกัน ลุงนำเอาภาพแผนที่เส้นทางจักรยานรอบบางกะเจ้ามาให้ดูด้วย มี 3 เส้นทาง เป็นวงรอบใหญ่ กลาง และเล็ก วงรอบใหญ่ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวมากมายทั้งวัด สวนกล้วยไม้ พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ จุดตั้งต้นเส้นทางในแผนที่อยู่ที่สวนสุขภาพคลองลัดโพธิ์ ซึ่งเป็นส่วนขั้วปอดหรือขั้วกระเพาะหมูนั่นเอง (ด้านซ้ายมือของภาพ)



ชนบทในฝัน


ลุงแมวน้ำเลือกขี่ในเส้นทางวงรอบเล็ก เป็นระยะทางประมาณ 7-8 กิโลเมตร โดยลุงวางแผนว่าจะขี่วนเป็นวงกลมจากสวนศรีฯไปจนถึงตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง จากนั้นก็ขี่วนกลับมา ไม่ได้ไปจนถึงสวนสุขภาพคลองลัดโพธิ์หรอก ก็ประยุกต์เส้นทางเอาหน่อย ลุงวางแผนเอาไว้ว่าขี่ชมบางกะเจ้าก่อน จากนั้นจึงค่อยมาขี่เที่ยวภายในสวนศรีฯเป็นลำดับสุดท้าย





เอาละคร้าบ ลุงแมวน้ำพร้อมแล้ว แมวน้ำขี่จักรยาน ออกเดินทางกันเลย ^_^





เส้นทางจักรยานจากสวนศรีฯมุ่งหน้าไปตลาดบางน้ำผึ้งนี้ ในช่วงนี้ยังเป็นซอยย่อยต่างๆ คือเป็นซอยเพชรหึงษ์ต่างๆ ยังไม่ได้ออกสู่ถนนใหญ่หรือถนนเพชรหึงษ์ รถยนต์น้อยมาก ขี่จักรยานได้อย่างปลอดภัย

คำว่าเพชรหึงษ์นี้มีทั้งเพชรและมีทั้งหึง ไม่ใช่เรื่องหึงหวงอะไรหรอก คำนี้ปรากฏอยู่ในวรรณคดี หมายถึงลมพายุชนิดหนึ่ง มีความรุนแรง เรียกว่าลมเพชรหึงษ์ ส่วนชื่อถนนเพชรหึงษ์นี้ไม่ได้มาจากลมเพชรหึงษ์ แต่ว่ามาจากชื่อป้อมเพชรหึงษ์อันเป็นป้อมโบราณสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ที่อยู่ในบางกะเจ้านั่นเอง





บรรยากาศในบางกะเจ้าบางส่วนยังเป็นสวนชนบทอยู่ ดูสงบ ร่มเย็น สวนแถวนี้ส่วนใหญ่เป็นสวนมะพร้าว แต่ที่ปล่อยเป็นสวนร้างไม่ได้ทำอะไรก็มีเยอะทีเดียว ต้นไม้แถวนี้ต้นเป็นไม้น้ำกร่อย คือทนน้ำเค็มได้ เช่น มะพร้าว ต้นจาก ฯลฯ ผลไม้อื่นๆที่ปลูกได้ เช่น มะกอก ตะลิงปลิง กล้วย ชมพู่มะเหมี่ยว และมะม่วง





ภาพพระออกบิณฑบาตรยามเช้าราวกับในชนบทต่างจังหวัดที่ห่างไกลออกไปจากความวุ่นวายของกรุงเทพฯ ยิ่งชวนให้รู้สึกสงบ ร่มเย็น นิมนต์คร้าบ นิมนต์





ลึกๆเข้าไปมีแต่สวน ก็เปลี่ยวเหมือนกัน ยามกลางคืนเล่าเรื่องผีคงน่ากลัวอยูไม่น้อย สมัยก่อน ชนบทอยู่กันหลวมๆแบบนี้แหละ ยามกลางคืน ต้นจาก ต้นตาล ทอดเงาตะคุ่มสูงปรี๊ด ชาวชนบทก็นึกว่าเปรตมาขอส่วนบุญ เล่าเรื่องผีสู่กันฟังน่ากลัวพิลึก ขนลุกขนพอง สาวๆร้องกรี๊ด เอามือปิดตา (แต่ถ่างนิ้วนิดหน่อย) แต่สมัยนี้อยู่กันอย่างแออัด เล่าเรื่องผีไม่ได้บรรยากาศเลย เฉยมาก >.<





อาชีพในท้องถิ่นบางกะเจ้า ทำการค้าเล็กๆน้อยๆอยู่ในชุมชน บ้านนี้รับปักเสื้อนักเรียน





เมื่อมีร้านรับปักเสื้อนักเรียน แสดงว่าแถวนี้ต้องมีโรงเรียน นี่ โรงเรียนอยู่นี่ เป็นโรงเรียนที่อยู่คู่กับชุมชน





อาชีพท้องถิ่นอื่นๆก็ยังมี อาชีพมาตรฐานโลกนั่นก็คือ ร้าวโชว์ห่วยหรือว่าร้านขายของชำ หลายๆคนก็เริ่มคิดกันว่าเมื่อเปิดเออีซีแล้วร้านเหล่านี้จะเป็นอย่างไร ที่จริงไม่ค่อยเกี่ยวกับเออีซีหรอก เพราะแม้ไม่มีเออีซี ร้านเหล่านี้ก็เผชิญภัยคุกคามจากร้านสะดวกซื้ออยู่แล้ว





นี่ๆ ชนบทสุดๆ เหมือนในต่างจังหวัดเลย (ที่จริงบางกะเจ้าก็ต่างจังหวัดนั่นแหละ แต่ว่าบังเอิญอยู่ติดกรุงเทพฯ) ปั๊มน้ำมันนี้เป็นปั๊มที่พัฒนามาจากปั๊มน้ำมันหลอดแบบเก่า ที่เห็นหลอดสายยางติดตั้งบนถังน้ำมันแดงๆนั่นแหละ ปั๊มน้ำมันหลอดยังพอเห็นได้บ้าง แต่เหลือน้อยแล้ว เนื่องจากพัฒนามาเป็นตู้ที่เห็นในรูปนี้แทน

ที่เห็นในภาพนี้เรียกว่า ตู้น้ำมันหยอดเหรียญ หยอดเหรียญแล้วเติมน้ำมันเอาเอง น้ำมันจะไหลออกมาตามจำนวนเงินที่หยอด เป็นที่นิยมในต่างจังหวัดยุคนี้ และสินค้าตู้น้ำมันหยอดเหรียญนี้เป็นสินค้าในกลุ่มหยอดเหรียญที่สร้างกำไรให้แก่หุ้น SINGER อย่างงดงาม




นี่ก็เป็นร้านกาแฟท้องถิ่น แต่ว่าแต่งให้โมเดิร์นหน่อย ก็ดูน่ารัก กลมกลืนเข้ากับบรรยากาศดีเหมือนกัน





นี่เป็นร้านอาหารระดับหรูในบางกะเจ้า 


นี่แหละ ชนบทบางกะเจ้า ปอดของกรุงเทพฯ สงบร่มเย็น น่าเที่ยว แต่นี่เป็นส่วนที่อยู่ในซอยเพชรหึงษ์ หากขี่จักรยานเลยออกไปอีกจะเข้าสู่ถนนใหญ่ และไปถึงตลาดบางน้ำผึ้ง ภาพชนบทแบบนี้ก็จะเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้เห็นแบบนี้อีก เอาไว้สัปดาห์หน้าไปเที่ยวกันต่อนะคร้าบ ^_^