Saturday, May 3, 2014

03/05/2014 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ : ข้าวอบเห็ดหอมเทอริยากิ เจ/มังสวิรัติ



เห็ดหอม (Lentinus endodes, shiitake mushroom, xiang gu) ภาพบนสุดเป็นเห็ดหอมที่ขึ้นตามขอนไม้ในป่า ภาพถัดมาเป็นการเลี้ยงเห็ดหอมทางการค้า ปัจจุบันความนิยมบริโภคเห็ดหอมมีมาก ไปเก็บตามป่าไม่ไหวแล้ว จึงมีการนำมาเพาะเลี้ยงในโรงเรือนด้วยถุงพลาสติกเพื่อให้ผลิตได้มากๆ เห็ดหอมที่ขายในตลาดมีทั้งเห็ดหอมสด และเห็ดหอมตากแห้ง ในประเทศไทยมีผู้ผลิตเห็ดหอมหลายราย ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือเนื่องจากเห็ดหอมชอบอากาศเย็น แต่อย่างไรก็ดี เห็ดหอมแห้งที่วางขายส่วนใหญ่นำเข้าจากจีน และมักผ่านกระบวนการอบแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (sulphur dioxide) เช่นเดียวกับที่เราอบลำไย


ช่วงนี้มีวันหยุดหลายวัน อากาศร้อนอบอ้าว ปีนี้เป็นปีที่อากาศร้อนมาก แถมยังเป็นปีแล้งอีกด้วย ฝนจึงตกไม่มาก ไม่ค่อยมีฝนมาช่วยบรรเทาอากาศร้อนเท่าไร และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ฝนไม่ใช่ตกเฉยๆ แต่มาพร้อมกับพายุฤดูร้อน คือมาทั้งฝนและลม บ้านพัง หลังคาเปิดเปิงกันไปมากมาย

สุดสัปดาห์นี้เป็นวันหยุดยาว เรามาทำอาหารสุขภาพกินกันดีกว่า

เมนูสุขภาพของลุงแมวน้ำวันนี้คือ ข้าวอบเห็ดหอมเทอริยากิ สูตรมังสวิรัติ ชื่อประหลาดยาวเฟื้อย ขอบอกว่าเป็นเมนูที่ลุงแมวน้ำคิดขึ้นเอง เป็นเมนูสุขภาพ อีกทั้งเป็นเมนูขี้เกียจ ทำง่ายฝุดๆ มีอุปกรณ์เพียงแค่หม้อหุงข้าวกับเตาอบไมโครเวฟก็ใช้ได้แล้ว

เมนูนี้เป็นเมนูสุขภาพ เพราะว่าไขมันต่ำมากๆ อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระมากมายก่ายกอง เห็ดหอมนั้นเป็นอาหารสุขภาพของชาวจีนและญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเรียกว่าชิตาเกะ (shiitake mushroom) ส่วนจีนเรียกเซียงกู (xiang gu) ซึ่งแปลตรงตัวว่าเห็ดที่มีกลิ่นหอม ส่วนชื่อในทางวิทยาศาสตร์นั้นเรียกว่า เลนตินัส เอนโดเดส (Lentinus endodes)

มาคุยกันเรื่องเห็ดหอมก่อน เห็ดหอมนั้นทางจีนและญี่ปุ่นถือว่าเป็นอาหารบำรุงสุขภาพ ช่วยให้มีอายุขัยยืนนาน และความเชื่อก็ขยายต่อไปอีกว่ามีสรรพคุณรักษาโรคมะเร็งและโรคภัยไข้เจ็บต่างๆอีกหลายโรค

ในทางวิทยาศาสตร์ เท่าที่มีการศึกษาและวิจัยกันมา ปัจจุบันเราพบว่าในเห็ดหอมนั้นมีสารสำคัญอยู่หลายชนิด เช่น เบตากลูแคน (beta glucan) และสารประกอบฟีนอล (phenolic compound) อื่นๆ ซึ่งสารเหล่านี้มีคุณบัติต้านอนุมูลอิสระ หรือเป็นแอนไทออกซิแดนต์ (antioxidant) ซึ่งน่าจะช่วยต่อต้านมะเร็งได้ แต่จากการวิจัยทางคลินิกในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่าเห็ดหอมนั้นมีคุณสมบัติรักษามะเร็งได้ เคยมีการทดลองกับเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก ก็ไม่ได้ผล ดังนั้น เราจึงควรคิดว่าเห็ดหอมเป็นอาหารเสริมสุขภาพเท่านั้น อย่าไปมองถึงขั้นรักษาโน่นรักษานี่ได้

แหล่งขายเห็ดหอมตากแห้ง เมื่อก่อนแหล่งใหญ่จะอยู่ที่เยาวราชเนื่องจากเป็นเห็ดหอมนำเข้ามาจากประเทศจีน แต่ปัจจุบันหาซื้อได้ทั่วไป ตามซูเปอร์มาร์เก็ตก็มีขาย แม้ในปัจจุบันในบ้านเรามีผู้เพาะเลี้ยงเห็ดหอมอยู่หลายราย แต่ส่วนใหญ่ก็ยังนำเข้าจากจีนเช่นเดิม

เอาล่ะ ไมู่ดพล่ามทำเพลง คาดผ้ากันเปื้อนแล้วเข้าครัวกันเลย ทำเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ

วัตถุดิบที่ต้องใช้ก็มีดังนี้


  1. ข้าวกล้อง
  2. เห็ดหอมตากแห้ง
  3. แครอท
  4. ถั่วลิสง
  5. ซอสเทริยากิ


วัตถุดิบหลักมีเท่านี้เอง วัตถุดิบเหล่านี้หาซื้อได้ในซูเปอร์มาเก็ต ปริมาณก็กะเอาเองตามสมควร ตอนที่ลุงแมวน้ำเล่าวิธีทำจะบอกปริมาณไว้ด้วย แต่เพิ่มได้ลดได้ ไม่ตายตัว เรามาลงมือทำกันเลย ดูตามภาพไปเลยคร้าบ ภาพมาก่อน คำอธิบายตามหลัง ^_^




 ขั้นแรกก็หุงข้าวเสียก่อน ลุงแมวน้ำใช้ข้าวกล้องอินทรีย์ ปริมาณ 1 ถ้วยครึ่ง และหั่นแครอทหัวใหญ่ๆไปด้วย 1 หัว ใส่ถั่วลิสงดิบลงไปนิดหน่อย จากนั้นนำไปหุงด้วยกัน ปริมาณน้ำนี้ลุงใช้ 600 มิลลิลิตร (ปริมาณน้ำที่ใช้หุงข้าวขึ้นอยู่กับชนิดและอายุของข้าวสารด้วย ใช้มากน้อยแตกต่างกัน ต้องลองผิดลองถูกเองด้วย) 





ระหว่างที่หุงข้าวอยู่ก็ทำเห็ดหอมไป นำเห็ดหอมตากแห้งมาล้างน้ำ ควรแช่น้ำสักครู่แล้วทิ้งน้ำไป เพื่อล้างสิ่งตกค้างบนผิวเห็ดหอมออกไป จากนั้นแช่เห็ดหอมในน้ำสะอาด เห็ดหอมแห้งซึ่งอยูในสภาพแข็งโป๊กราวกับหินจะดูดน้ำเข้าไปจนกลายเป็นเห็ดหอมนิ่มๆ เมื่อเห็ดหอมนิ่มแล้วจึงนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ

เห็ดหอมตากแห้งนี้มีหลายเกรด หลายราคา ขึ้นกับขนาดความและสมบูรณ์ของดอกเห็ด เห็ดสวย ดอกใหญ่ ราคาแพง และขึ้นกับสถานที่ซื้อด้วย เห็ดสวยๆในห้างกิโลกรัมละประมาณ 1,000 บาท ถ้าเกรดรองลงมาก็ราคาลดหลั่นลงมา ลุงแมวน้ำใช้เกรดดีหน่อย ดอกใหญ่ ซื้อจากสันติอโศก ราคาประมาณกิโลกรัมละ 600 บาท เมนูนี้ลุงใช้ 5 ดอก ซึ่งเมื่อนำมาแช่น้ำและหั่นแล้วได้เนื้อเห็ดชามใหญ่เลยทีเดียว






นำเห็ดหอมที่หั่นแล้วมาคลุกกับซอสเทริยากิ 5-6 ช้อนกินข้าว หมักเอาไว้สักสิบนาที จากนั้นนำไปอบในเตาอบไมโครเวฟด้วยไฟแรงสุด นาน 3-4 นาที จนเห็ดหอมสุก ซอสเทริยากิที่เห็นในภาพนี้ราคาขวดละประมาณหกสิบกว่าบาท





เมื่อข้าวสุก นำเห็ดหอมที่หมักซอสและอบจนสุกแล้วมาคลุกกับข้าว ลองชิมดู หากชอบหวานก็อาจเติมซอสเทริยากิเพิ่มในข้าวอีกนิดหน่อยก็ได้

แค่นี้เอง เสร็จแล้วคร้าบ เสิร์ฟได้เลย เมนูนี้อร่อยพอใช้ได้ ขอบอก พร้อมกันนี้ยังมีไขมันต่ำมากอีกด้วย คือไขมันที่ได้มาจากถั่วลิสงที่เราใส่ลงไปนิดหน่อยนั่นเอง

นอกจากนี้ เมนูนี้ยังมีโปรตีนต่ำอีกด้วย เพราะสังเกตว่าไม่ได้ใส่โปรตีนใดๆลงไป แต่หากอยากใส่โปรตีนลงไปก็พลิกแพลงเอาได้ โดยเพิ่มไส้กรอกเจหรือลูกชิ้นเจลงไปในเห็ดหอม นำไปอบด้วยกัน ก็จะได้ปริมาณโปรตีนเพิ่มขึ้น

หมายเหตุ ในภาพนี้มีลูกชิ้นติดมาด้วย นั่นคือลูกชิ้นเจคร้าบ

เห็นไหมว่าง่ายฝุดๆ เมนูสุดแสนขี้เกียจในวันหยุดของลุงแมวน้ำ กินให้อร่อยนะคร้าบ ^_^

Sunday, April 20, 2014

20/04/2014 ฉันจะออมได้เท่าไรกว่าจะถึงวัยเกษียณ





หลังจากที่ลุงแมวน้ำคุยกับยีราฟสาวไปเมื่อวันก่อน หลายวันต่อมายีราฟสาวแวะมาหาลุงแมวน้ำที่โขดหินอีก

“สวัสดีจ้ะลุง ขอคุยด้วยหน่อยสิ” แม่ยีราฟทักทาย

“ได้สิ แม่ยีราฟจะคุยเรื่องอะไรล่ะ” ลุงแมวน้ำถาม ที่จริงถามไปยังงั้นแหละ เพราะเดาได้อยู่แล้วว่าแม่ยีราฟจะมาคุยด้วยเรื่องอะไร

“อยากคุยกับลุงเรื่องการออมสำหรับวัยเกษียณหน่อยจ้ะ” ยีราฟพูด เป็นไปตามที่ลุงคาด นี่ถ้าลุงซื้อหวยก็ถูกไปแล้ว

“ได้สิ แม่ยีราฟจะถามว่าอะไรล่ะ” ลุงแมวน้ำถาม

“ฉันอยากรู้ว่าฉันจะออมเงินได้เท่าไรเมื่อถึงวัยเกษียณน่ะสิ” ยีราฟสาวถาม “วันก่อนลุงยกตัวอย่างและการคำนวณสำหรับการเกษียณในปี 2566 แต่ของฉันกว่าจะเกษียณมันยังไกลกว่านั้น”

“อ้าว” ลุงแมวน้ำอุทาน “แล้วลุงจะไปรู้ได้ยังไงว่าแม่ยีราฟจะออมเงินได้เท่าไร”

“แหม ก็ช่วยบอกฉันหน่อยเถอะ นะ นะ” ยีราฟสาวออดอ้อน “ไหนว่าความรู้รอบพุงเยอะไง ถามแค่นี้ทำไมตอบไม่ได้”

“ก็แม่ยีราฟหาเงินเอง เก็บเงินเอง แล้วลุงจะไปรู้ได้ยังไง” ลุงแมวน้ำเริ่มปวดหัวกับคำถามของยีราฟสาวอีกแล้ว

“ไม่รุ ลุงต้องบอกฉัน” ยีราฟสรุปเอาดื้อๆ

“ยังงี้ก็มีด้วย เดี๋ยว ขอลุงนึกก่อน จะทำยังไงดี” ลุงแมวน้ำนิ่งนึกอยู่สักครู่ “เอายังงี้ก็แล้วกัน”

ว่าแล้วลุงแมวน้ำก็ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากหูกระต่าย

“ถ้ายังงั้นเราต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ละกัน ลุงแมวน้ำจะสมมติใหม่ ลองฉายภาพอนาคตใหม่อีกสักภาพ แล้วแม่ยีราฟลองดูว่าพอเอาไปใช้ประโยชน์ได้ไหม” ลุงแมวน้ำพูด “มาดูภาพนี้กัน”

ลุงแมวน้ำคลี่กระดาษกางออกให้ยีราฟดู พลางอธิบาย





“เราลองมาสมมติกันใหม่...” ลุงแมวน้ำพูด “เอ้า หลับตา แล้วจินตนาการว่า เมื่อปี 2554 แม่ยีราฟอายุ 22 ขวบ เพิ่งจบปริญญาตรีมาใหม่ๆและเพิ่งเริ่มทำงานที่คณะละครสัตว์เป็นปีแรก”

“ฮ่าฮ่า ลุงแมวน้ำสมมติเว่อจัง” ยีราฟหัวเราะ

“ไม่เว่อหรอก ลุงสมมติแบบนี้มีที่มาที่ไป ไม่ได้ยกขึ้นมาลอยๆ” ลุงแมวน้ำตอบ “คิดตามไปก่อน ถ้าเริ่มทำงานเมื่ออายุ 22 ปี 2554 แปลว่าทำงานปีสุดท้ายเมื่ออายุครบ 60 ขวบคือปี 2592 จากนั้นปี 2593 ก็จะว่างงาน เริ่มใช้จ่ายเงินเกษียณเป็นปีแรก”

“จ้ะ เอายังงั้นก็ตามใจลุง”

“ด้วยแผนหลังเกษียณแบบประหยัด คุณภาพชีวิตจำกัด ตามที่คำนวณไว้ในปีฐาน 2554 คือ 246,500 บาท ณ ปี 2593 แม่ยีราฟน่าจะมีค่าใช้จ่ายต่อปีราวปีละ 645,725 บาท” ลุงแมวน้ำพูดพลางชี้ให้ดูในตารางในกระดาษ “สมมติต่อไปอีกนิด และถ้าวันที่แม่ยีราฟเกษียณมีเงินออมอยู่ 10,500,000 บาท และเงินนั้นทำงานด้วยตัวเอง ให้ผลตอบแทนปีละ 5% แม่ยีราฟจะอาศัยเงินก้อนนั้นใช้ชีวิตไปได้จนอายุ 80 ปี”

“พูดง่ายๆว่า หากเกษียณในปี 2566 ตอนนั้นต้องมีเงินออม 5,400,000 บาท แต่ถ้าไปเกษียณในปี 2593 กลายเป็นว่าต้องมีเงินออม 10,500,000 บาท” แม่ยีราฟทวน “ถูกไหมลุง”

“แม่นแล้ว” ลุงแมวน้ำตอบ “เพราะผลจากเงินเฟ้อนั่นเอง”

ลุงแมวน้ำหยุดคิดนิดหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อ

“นั่นคือจำนวนเงินที่ต้องใช้ ทีนี้ก็มาถึงคำถามของแม่ยีราฟที่ว่า เมื่อถึงวันที่เราเกษียณแล้วเราจะมีเงินออมได้สักเท่าไร เรื่องนี้ก็ต้องสมมติเงื่อนไขอะไรหลายอย่างเพิ่มเข้ามา เพื่อให้สมจริงและคำนวณได้

“ในปี 2554 สมมติว่าแม่ยีราฟอายุ 22 ปี และเพิ่งจบปริญญาตรี ทำงานเป็นปีแรก ตอนนั้นแม่ยีราฟได้เงินเดือนเดือนละ 12,000 บาท”

“ทำไมต้องเป็น 12,000 บาทล่ะ” ยีราฟสงสัย “ลุงโมเมเอาเหรอ”

“เขาเรียกว่าสมมติแบบมีหลักการ ไม่ใช่โมเม” ลุงแมวน้ำพูดแก้ “สภาพความเป็นจริงของตลาดแรงงาน ในปีนั้นจบปริญญาตรีมา ทำงานครั้งแรก เงินเดือนก็ 10,000 บาทหรือสูงกว่านั้น ตามแต่สาขาที่จบมา ลุงก็ใช้ตัวเลข 12,000 บาทต่อเดือน ถือว่าเป็นกลุ่มที่จบปริญญาตรี สาขาทั่วๆไป

“จากนั้นลุงก็สมมติต่อไปว่าอัตราเงินเฟ้อปีละ 2.5% และแม่ยีราฟได้ขึ้นเงินเดือนทุกปี ปีละ 3% เงินเดือนขึ้นชนะเงินเฟ้อหน่อยนึง”

“แล้วฉันจะเก็บเงินได้เดือนละเท่าไรล่ะ” ยีราฟถาม

“นั่นก็ต้องสมมติอีก แต่สมมติแบบมีหลักการ มีงานวิจัยที่สำรวจการออมของคนไทยเอาไว้ พบผู้ที่มีเงินเดือนในช่วงหนึ่งหมื่นถึงสองหมื่นบาท มักออมได้ไม่เกิน 20% ของเงินเดือน ค่ากินอยู่แย่งเอาไปเสียเยอะ ถ้าเป็นระดับเงินเดือนสามสีหมื่นบาทก็ออมได้ราว 40% อันนี้ตัวเลขคร่าวๆนะ ลุงไม่ได้เอามาเป๊ะ

“ลุงก็เอาข้อมูลนี้มาสมมติเกณฑ์ในการออม นั่นคือ

“เงินเดือน 15,000 บาทหรือต่ำกว่านั้น ออมได้เดือนละ 15% ของเงินเดือน

“เมื่อไรที่เงินเดือนเกินกว่า 15,000 บาท การออมจะเปลี่ยนไป เป็นออมเดือนละ 20%

“”เมื่อไรที่เงินเดือนเกินกว่า 25,000 บาทต่อเดือน จะออมเดือนละ 25% ของเงินเดือน

“และเมื่อไรที่เงินเดือนเกินกว่า 35,000 บาทจะออมเดือนละ 30% ของเงินเดือน

“และยังสมมติอีกว่าอยู่ตัวคนเดืยวไปเรื่อยๆ  เพราะหากสมมติว่ามีครอบครัว มีลูก ด้วยละก็ตัวเลขจะยิ่งซับซ้อน ตัวเลขซับซ้อนมากไปลุงก็ปวดหัว เอาแค่นี้แหละ อย่าให้ยากนัก”

“จ้ะๆ ยังงี้ก็ดีแล้ว แล้วยังไงต่อ” ยีราฟถาม

ลุงแมวน้ำจึงดึงกระดาษออกมาจากหูกระต่ายอีกแผ่นหนึ่ง กางให้ยีราฟดู

“นี่ลุงคำนวณมาให้ดู ภายใต้สมมติฐานที่ลุงเล่ามาเมื่อกี้ เมื่ออายุมากขึ้น แม่ยีราฟจะมีเงินเดือนเพิ่มมากขึ้น และก็จะมีเงินออมต่อเดือนเพิ่มมากขึ้น สมมติว่าพอสิ้นปีก็นำเงินที่ออมได้ตลอดปีไปลงทุนทันที ขณะที่ยังไม่ครบปี เงินออมนั้นถือว่ายังไม่นำมาลงทุน





“ดังนั้น ในปี 2554 อันเป็นปีแรกที่มาทำงาน จึงถือว่าแม่ยีราฟยังไม่ได้นำเงินออมมาลงทุน พอขึ้นปีใหม่ 2555 เป๊ง แม่ยีราฟก็นำไปลงทุนเลยทันที จากนั้น สิ้นปี 2555 แม่ยีราฟจะมีเงิน 3 ก้อน นั่นคือ ก้อนแรก เงินออมของปี 2554 ก้อนที่ 2 ดอกผลของเงินออมปี 2554 และก้อนที่ 3 เงินออมระหว่างปี 2555 ที่ยังไม่ได้นำไปลงทุน ถ้าย่อหน้านี้งงก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจก็ได้ เราข้ามไปเลย ดูในตารางก็พอ

“สรุปว่าลุงคำนวณมาให้เบ็ดเสร็จ ว่ากรณีที่แม่ยีราฟนำเงินออมไปลงทุน แล้วได้ผลตอบแทนระดับต่างๆ เมื่อวัยผ่านไป แม่ยีราฟจะมีเงินสะสมเท่าไร ก็ดูเอาในตาราง

“กรณีที่นำเงินออมไปฝากธนาคาร ลุงคิดว่าให้ดอกผลปีละ 2% ซึ่งก็คือดอกเบี้ยเงินฝากนั่นเอง เมื่อถึงปี 2592 แม่ยีราฟจะเกษียณพร้อมด้วยเงินก้อน 3,095,291 บาท

“แต่ฉันต้องมี 10.5 ล้านนะลุง” ยีราฟท้วง

“ก็นั่นน่ะสิ วิธีนี้คงไม่พอใช้จ่าย เกษียณไม่สุขแน่ๆ” ลุงแมวน้ำพูด “มาดูกันต่อ หากแม่ยีราฟนำเงินไปลงทุนอย่างอื่นละ เช่น ลงทุนในหุ้น กองทุนรวม ฯลฯ นำเงินไปซื้อหุ้นหรือกองทุนรวมเพิ่มทุกปีๆ และได้ผลตอบแทนปีละ 5% แม่ยีราฟจะมีเงินสำหรับวัยเกษียณ 5,147,098 บาท”

“ก็ยังไม่พอ” ยีราฟพูด

“ทีนี้ถ้าให้ผลตอบแทน 8% ต่อปีล่ะ ได้ถึง 9,322,091 บาทเชียว เกือบถึงเป้า 10.5 ล้านบาทแล้วนะ และลุงแอบไปคำนวณมาให้แล้วล่ะ ว่า เงิน 9.3 ล้านนี้แม่ยีราฟอยู่ได้ถึงอายุ 77 ปี พลาดเป้าไป 3 ปีเท่านั้น”

“อือม์ อันนี้ค่อยยังชั่ว” ยีราฟพึมพำ “แต่ฉันจะทำได้ถึงเหรอจ๊ะ”

“ลุงแมวน้ำอยากบอกว่า นี่แหละ การออมและการลงทุนเป็นกระบวนการตลอดชีวิต เหมือนกับการเรียนรู้นั่นแหละ ดังนั้น ควรหัดเป็นนิสัยตั้งแต่วัยเยาว์ และเริ่มออมตั้งแต่อายุยังน้อย เงินเดือน 12,000 บาทและเงื่อนไขอื่นๆที่ลุงสมมติมานั้น เป็นเงื่อนไขกลางๆสำหรับผู้ที่จบปริญญาตรี คือเป็นคนปริญญาตรี ทำงานกินเงินเดือนทั่วๆไปนี่แหละ ไม่ใช่เงื่อนไขที่สูงส่งอะไรเลย หากจบปริญญาตรี และทำงานเสมอต้นเสมอปลาย ขยันตามสมควร บุคคลผู้นั้นก็มีโอกาสเกษียณสุขได้ หากทำได้ดีกว่านั้น ก็มีโอกาสสุขสบายยิ่งขึ้น”

“แล้วถ้าไม่จบปริญญาตรีหรือทำไม่ได้ตามนั้นละจ๊ะลุง ชีวิตเราก็อาจจะพลาดด้วยเหตุอะไรก็ได้ ใครจะรู้” ยีราฟยังสงสัยต่อ

“โอย ลุงปวดหัวแล้ว” ลุงแมวน้ำมึนตึ้บกับคำถามของยีราฟสาว “ยังงั้นเราเอาไว้คุยต่อกันในวันหลังละกัน”

Friday, April 18, 2014

18/04/2014 ต้องมีเงินเท่าไรสำหรับวัยเกษียณสุข (2)




“หากต้องการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพดีขึ้นกว่านี้ หรือจะเรียกว่าหรูกว่าตัวอย่างที่ลุงยกมานี้ เราลองมาดูตัวอย่างอื่นๆกัน” ลุงแมวน้ำพูดพลางล้วงกระดาษออกมาอีก 2 แผ่นจากในหูกระต่าย

ลุงแมวน้ำเลือกกระดาษมาแผ่นหนึ่งและคลี่กางออกให้ลิงจ๋อและพวกดู และพูดว่า

“นี่เป็นภาพฉายของการใช้ชีวิตหลังเกษียณในระดับที่ดีขึ้นมาอีกหน่อย ลุงจะเรียกว่าระดับค่อนข้างดีละกัน” ลุงแมวน้ำชี้ให้ดูรายการค่าใช้จ่ายในตาราง “ชีวิตระดับนี้มีค่าใช้จ่ายขึ้นมาอีก ลุงจะแจงให้ดูในบางประเด็น ตัวอย่างที่แล้วที่เป็นคุณภาพชีวิตระดับพอใช้ ค่าอาหารก็จำกัด ค่าสันทนาการต่างๆก็จำกัด งานบ้านต้องทำเอง และเจ็บป่วยก็ต้องพึ่งบัตรทองอย่างเดียว





“แต่ในตัวอย่างนี้ งบประมาณในด้านต่างๆจะมากขึ้น ทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น อย่างเช่น ค่าแม่บ้าน เราสามารถจ้างคนทำความสะอาดหรือจ้างคนช่วยซักรีดได้

“ค่าสันทนาการ เราสามารถเป็นสมาชิกฟิตเนสคลับที่หรูขึ้น ซึ่งจะมีเครื่องเล่นต่างๆมากมายหลากหลายขึ้น งบสำหรับไปเที่ยวก็มากขึ้นเป็น 30,000 บาท ไปเที่ยวได้ไกลหน่อย เช่น ประเทศจีน รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพแม้ว่ายังต้องพึ่งบัตรทองเป็นหลักเช่นเดิม แต่งบสำหรับตรวจรักษาเพิ่มเติม และงบสำรองสำหรับใช้จ่ายฉุกเฉินก็จัดให้มากขึ้น

“คุณภาพชีวิตในระดับนี้ คิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อปี ณ ค่าครองชีพปี 2554 ก็คือ 410,950 บาทต่อปี แต่หากมองไปในอนาคต ณ ปี 2566 อันเป็นปีที่เราไม่ได้ทำงานแล้ว ค่าใช้จ่าย ณ ปีนั้นก็น่าจะเป็นปีละ 552,682 บาทต่อปี”

“กรี๊ด” แม่รีราฟแลบลิ้นยาวพลางบ่น “ยิ่งแพงขึ้นไปอีก แล้วต้องมีเงินออมเท่าไรละลุง”

“เท่าที่ลุงคำนวณเอาไว้ เมื่อยามที่เราเกษียณ หากเรามีเงินออมอยู่ 9,000,000 บาท และเงินเก้าล้านบาทนี้ไม่ได้ให้ดอกผลอะไรเลย แม่ยีราฟก็จะอยู่ได้จนอายุ 73 ปี แล้วเงินออมก็จะหมด” ลุงแมวน้ำหยุดนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ “แต่ถ้าเงินออมก้อนนี้ให้ดอกผลได้ปีละ 5% หมายความว่าในช่วงที่แม่ยีราฟเกษียณก็ใช้เงินออมนี้ไปเรื่อยๆ ส่วนที่ยังไม่ได้ใช้ก็สามารถออกดอกผลได้ปีละ 5% ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะใช้เงินก้อนนี้ไปได้จนอายุ 80 ปี จากนั้นเงินก็จะหมด

“แต่ถ้าเงินออมนี้ออกดอกผลได้ปีละ 8% ก็จะอยู่ได้นานถึงอายุ 93 ปี” ลุงแมวน้ำพูด

“เงินเก็บเก้าล้านบาทเชียว” ลิงจ๋อพูดเบาๆด้วยท่าทางใช้ความคิด “แล้วกระดาษอีกแผ่นละลุงแมวน้ำ มีอะไรอยู่ในนั้น”

“อ๋อ แผ่นที่สามเป็นภาพฉายของคุณภาพชีวิตในระดับที่ดีหรือว่าหรูขึ้นไปอีกน่ะสิ” ลุงแมวน้ำพูดพลางคลี่กระดาษแผ่นที่สามออกมา

“เอ้า เก้าล้านก็ยังไม่พอ ดูแผ่นนี้ซิว่าจะกี่ล้าน” ลิงจ๋อพูด




“แผ่นนี้ลุงแมวน้ำฉายภาพชีวิตหลังเกษียณที่ดียิ่งขึ้นไปอีก เรื่องหลักก็คือ ค่าพาหนะเพิ่มขึ้น จากเดิม 2 แผนแรกนั้นต้องพึ่งบริการรถสาธารณะเป็นหลัก แต่สำหรับในแผนนี้สามารถใช้รถยนต์ได้ โดยตั้งงบค่าน้ำมันและค่าซ่อมบำรุงรถยนต์เอาไว้ด้วย แต่ว่าต้องมีรถยนต์อยู่แล้วนะ ส่วนที่อยู่อาศัย ชีวิตในแบบนี้ลุงคาดว่าน่าจะอยู่บ้านที่ใหญ่หน่อยหรืออาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมระดับดี ดังนั้นจึงตั้งงบค่าส่วนกลางและการซ่อมบำรุงที่พักอาศัยเพิ่มมากขึ้น

“ที่สำคัญก็คือ ในแผนนี้มีงบด้านสุขภาพมากขึ้น สามารถทำประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุได้ เบี้ยประกันสุขภาพชนิดนี้ค่อนข้างแพง แต่ก็ทำให้การรักษาพยาบาลสะดวกสบายมากขึ้น เพราะพึ่งบัตรทองแค่บางส่วน บางส่วนก็พึ่งประกันสุขภาพไป นอกจากนี้ยังตั้งงบประมาณค่ารักษาพยาบาลส่วนเกิน และเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินมากขึ้น งบท่องเที่ยวสันทนาการก็มากขึ้น คราวนี้ไปได้ถึงยุโรป อเมริกาเลย

“สำหรับคุณภาพชีวิตระดับดีตามแผนนี้ ลุงคำนวณแล้วว่า ณ ปี 2566 ต้องมีเงินออม 18,600,000 บาท หรือจะจำง่ายๆก็ปัดเป็นสิบเก้าล้านบาทก็ได้”

“แล้วเงินก้อนนี้จะใช้ชีวิตแบบนี้ไปได้กี่ปีจ๊ะลุง” ยีราฟถาม

“ก็ถ้าเงินออมไม่ให้ผลตอบแทนเลย แม่ยีราฟก็จะใช้จ่ายได้จนอายุ 73 ปี จากนั้นเงินจะหมด แต่ถ้าเงินออมให้ดอกผลบ้าง 5% ต่อปี ก็มีเงินใช้จ่ายได้จนอายุ 80 ปี และถ้าเงินออมให้ผลตอบแทนได้ถึงปีละ 8% ก็ใช้ไปได้จนอายุ 92 ปี”

“ฟังแล้วท้อจังลุง แต่ละแผนต้องมีเงินออมหลักล้านทั้งนั้น แม้แต่แผนที่ประหยัดที่สุดก็ยังต้องมีถึงห้าล้านสี่ ชีวิตของฉันจะมีโอกาสออมได้ถึงขนาดนั้นไหมเนี่” แม่ยีราฟเริ่มแสดงอาการวิตกจริตอีก “อยากรู้จังว่าจะมีสักกี่คนที่ออมได้ขนาดนั้น”

“นั่นสิลุง ฟังแล้วห่อเหี่ยวเลย เพราะคงไม่มีโอกาสไปถึงจุดนั้น” ลิงจ๋อพูดขึ้นบ้าง

“โอ๊ย อย่าเพิ่งท้อสิ ชีวิตไม่ได้มีเส้นทางเพียง 3 เส้นนี้เท่านั้น” ลุงแมวน้ำพูด “นี่แม่ยีราฟถามมาลุงก็ตอบไป ก็ว่าไปตามการคำนวณ แต่ชีวิตไม่ได้มีอยู่เพียงแค่นี้ เรายังมีทางเดินให้เลือกอีกมากมาย ที่สามารถใช้ชีวิตในวัยเกษียณได้อย่างมีความสุข ลุงยังเล่าไม่หมดเลย อีกอย่าง ถ้าเราเรียนรู้วิธีการออมและการลงทุนตั้งแต่วันหนุ่มสาว เมื่อถึงยามเกษียณก็ไม่อับจนหรอก”

“อ้าว ลุงยังเล่าไม่หมดหรอกเหรอ แหม่ ค่อยมีกำลังใจหน่อย” ลิงจ๋อพูดด้วยแววตาที่แจ่มใสขึ้น “งั้นเล่าต่อเลยลุง”

“เอาไว้ก่อน ลุงเมื่อยแล้ว วันหลังค่อยมาคุยกันต่อละกัน” ลุงแมวน้ำตอบ

Thursday, April 17, 2014

17/04/2014 ต้องมีเงินเท่าไรสำหรับวัยเกษียณสุข (1)




เช้าวันสงกรานต์ แม้ว่าอากาศจะร้อนอบอ้าว แต่ว่าโขดหินของลุงแมวน้ำก็เย็นสบายพอสมควร ขณะที่ลุงแมวน้ำกำลังนอนผึ่งพุงอยู่บนโขดหินแสนสุขอยู่นั้นเอง ลิงจ๋อ แม่ยีราฟ กระต่ายน้อย และสมาชิกอื่นๆอีกหลายตัวในคณะละครสัตว์ก็แวะมาหา

“วู้ ลุงแมวน้ำ พวกเรามารดน้ำดำหัวลุงแน่ะ” ลิงจ๋อส่งเสียงเอะอะมาแต่ไกล

“ไม่น่าต้องลำบากเลย” ลุงแมวน้ำพูด

“ไม่ลำบากหรอกฮะ พวกเราจะมาขออั่งเปาด้วย” กระต่ายน้อยพูด

“อั่งเปานี่มันสำหรับตรุษจีนนี่ จะรออั่งเปาคงต้องรอปีหน้าละมั้ง” ลุงแมวน้ำอ้าปากค้าง เพราะไม่เคยเจอธรรมเนียมแจกอั่งเปาในวันสงกรานต์

“ไม่เป็นไรลุง พวกเราไม่ถือ จีนไทยไม่ใช่อื่นไกลพี่น้องกัน ตรุษไทยจะผสมธรรมเนียมจีนบ้างก็ได้” ลิงจ๋อพูดหน้าตาย

“ลุงไม่ได้เตรียมเอาไว้น่ะสิ” ลุงแมวน้ำพูด “ไม่รู้ล่วงหน้านี่”

“ถ้ายังงั้นวันหลังค่อยมารดละกัน” ลิงจ๋อพูด “พวกเรา กลับกันก่อน”

“วุ้ย นายจ๋อบ้า” แม่ยีราฟดุ “ชอบแกล้งลุงแมวน้ำเสียเรื่อยเชียว ลุงอย่าไปฟังนายจ๋อ นายนี่ติดหุ้นจนเพี้ยนแล้ว”

“เอาเถอะ รดก็ได้ ไม่รดก็ได้ ตามสะดวกละกัน” ลุงแมวน้ำพูด

“รดสิคร้าบ ผมชอบแกล้งลุงแมวน้ำจัง ไม่รู้เป็นอะไร” ลิงจ๋อหัวเราะ

“เป็นโรคจิตไงฮะ” กระต่ายน้อยพูดบ้าง

“กลับไปลงหมวกเลย ไม่ต้องพูดมาก” ลิงดุกระต่าย

หลังจากที่หยอกล้อกันพอสนุกสนาน การรดน้ำดำหัวก็เริ่มขึ้น หลังจากที่รดน้ำเสร็จ บรรดาสมาชิกก็แยกย้ายกันกลับ เหลือเพียงแม่ยีราฟที่โอ้เอ้ ส่วนลิงจ๋อกับกระต่ายก็นั่งอยู่บนหลังแม่ยีราฟ

“ลุงแมวน้ำจ๊ะ ขอถามอะไรหน่อย” ยีราฟกระแอม

“เอาสิ ลุงตอบให้ฟรีๆ ไม่คิดเงินหรอก” ลุงแมวน้ำหัวเราะที่เห็นแม่ยีราฟท่าทางจริงจัง

“ฉันอยากรู้ว่าฉันควรมีเงินเก็บสักเท่าไรจึงจะมีชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุขน่ะ” ยีราฟถาม

“โอ๊ย คุณเธอมาถามอะไรเอาตอนนี้ ยังสาวอยู่เลย” ลิงจ๋อขำ

“ฉันน่ะวัยกลางยีราฟแล้ว ต้องคิดเตรียมการสำหรับอนาคตไว้บ้าง นายจ๋อก็ต้องคิดไว้บ้างนะ วันๆเอาแต่ลอยไปลอยมา” ยีราฟเตือน

“อ้าว ฉันก็โหนกิ่งไม้ไปมา วันๆก็ต้องลอยไปลอยมาอยู่แล้ว” ลิงจ๋อพูดตลก แต่สังเกตดูท่าทางก็อึ้งไปนิดหนึ่ง

“ว่าไงจ๊ะลุง” ยีราฟถามอีก “ฉันอยากรู้ จะได้เตรียมเก็บเงินเอาไว้”

ยีราฟสาวตัวนี้มีนิสัยเก็บหอมรอมริบอีกทั้งยังมักวางแผนชีวิตเอาไว้ล่วงหน้า ต่างจากลิงจ๋อที่สนุกสนานเฮฮา ไม่ค่อยคิดวางแผนอนาคตเท่าไรนัก

“ที่แม่ยีราฟถามนั้นก็ตอบได้ยาก เพราะว่าคำตอบมีอยู่หลากหลาย ขึ้นกับปัจจัยหลายๆอย่าง” ลุงแมวน้ำพูดอย่างใช้ความคิด “มันต้องมีรายละเอียดมากกว่านี้ อย่างเช่นว่าต้องการมีคุณภาพชีวิตระดับไหนหลังจากที่เกษียณไปแล้ว จำนวนเงินออมที่แตกต่างกันย่อมส่งผลให้คุณภาพชีวิตหลังเกษียณแตกต่างกันออกไป”

“ก็เอาแบบที่ฉันพอมีกำลังทำได้นั่นแหละลุง” ยีราฟตอบแบบเอากีบเท้าทุบดิน

“เอาล่ะ ลุงพอเข้าใจ” ลุงแมวน้ำพูด “แม่ยีราฟเองตอนนี้อาจยังวาดภาพตนเองเมื่อหลังเกษียณไม่ออก ระดับคุณภาพชีวิตหลังเกษียณก็ขึ้นกับกำลังในการออมยามหนุ่มสาวด้วย ไม่ใช่ว่าอยากสบายเท่าไรก็จะไปถึงจุดนั้นได้”

“ถ้ายังงั้นคงต้องคุยกันต่อละ ไปนั่งที่สวนข้างโขดหินกันดีกว่า” ลุงแมวน้ำเชิญชวน “นายจ๋อกับกระต่ายน้อยจะกลับก่อนไหม ลุงคงต้องคุยกับแม่ยีราฟสักพัก”

“ไม่กลับฮะลุง” กระต่ายน้อยบนหลังยีราฟส่ายหางดุ๊กดิ๊ก “ฟังลุงกับน้ายีราฟคุยกันดีกว่า”

“ผมก็ด้วย” ลิงจ๋อตอบ

พวกเราจึงเดินมานั่งคุยกันที่สวนข้างโขดหิน อันเป็นสถานที่ที่เรามักมานั่งคุยกันเป็นประจำอยู่แล้ว

“เอาล่ะ” ลุงแมวน้ำพูด “มาเข้าเรื่องกัน ฝรั่งเขามีการสำรวจและพบว่าหากต้องการมีชีวิตหลังเกษียณที่ใกล้เคียงกับก่อนเกษียณ ควรมีเงินใช้ราว 70% ของรายได้ก่อนเกษียณ”

“งง” ลิงจ๋อรีบพูด

“แปลง่ายๆว่า สมมติว่าก่อนเกษียณ มีรายได้เดือนละ 10,000 บาท เมื่อยามที่เกษียณไปแล้ว หากต้องการรักษาคุณภาพชีวิตให้ใกล้เคียงเดิม ก็ควรมีรายได้หลังเกษียณเดือนละ 7,000 บาท หากต่ำกว่านั้นมากเท่าไร คุณภาพชีวิตก็จะลดหย่อนลงไปตามส่วน”

“แล้วมันแปลว่าฉันต้องมีเงินเก็บเท่าไรล่ะลุง” ยีราฟยังไม่หายสงสัย “ลุงตอบมาเป็นตัวเลขชัดๆเลยสิ”

ลุงแมวน้ำเริ่มปวดหัวกับคำถาม แต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้

“เอายังงี้” ลุงแมวน้ำพูด “ต้องมีสักห้าล้านสี่”

“เจี๊ยก” แม่ยีราฟร้อง “ทำไมมันเยอะยังงี้ ลุงแมวน้ำไปเอาตัวเลขมาจากไหน”

“แหม เธอนี่” ลิงจ๋ออดพูดไม่ได้ “พอลุงแมวน้ำบอกว่าตอบยาก เธอก็จะให้ฟันธงเอาตัวเลขมา พอลุงแมวน้ำบอกตัวเลข เธอก็ร้องเจี๊ยกเป็นลิง จะเอายังไงกันแน่”

“ก็ตกใจนี่ เงินมันเยอะ” ยีราฟพูด

“ที่จริงก็ไม่เยอะหรอกนะ” ลุงแมวน้ำพูด “เงิน 5,400,000 บาทนี้ถือว่าใช้ชีวิตได้ตามอัตภาพเท่านั้นด้วย ไม่ใช่สุขสบายหรูหรา”

“แล้วลุงไปเอาตัวเลขมาจากไหนน่ะ ผมก็ชักสงสัย” ลิงจ๋อสงสัยด้วย “ขนาดนี้ลุงยังบอกว่าแค่ตามอัตภาพ”

“ลุงจะอธิบายให้ฟัง” ลุงแมวน้ำพูดพลางดึงม้วนกระดาษออกมาจากหูกระต่าย เมื่อคลี่ออกมาก็เป็นตารางแผ่นหนึ่ง

“ลุงเคยคำนวณเอาไว้เล่นๆเมื่อสองสามปีก่อน พอดีวันนี้ได้ใช้ประโยชน์” ลุงแมวน้ำพูด “ก่อนอื่นลุงขอเท้าความสักหน่อย คือจากการสำรวจของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าปัจจุบันคนไทย 77.4% มีการเก็บออมเงิน และมีผู้ที่ไม่มีเงินออมเลยอยู่ 22.6%

“ทีนี้ในจำนวน 77.4% ที่มีเงินออมนั้น มีวัตถุประสงค์ในการออมเงินหลายแบบ เช่น ออมเพื่อการศึกษาบ้าง เพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้บ้าง ส่วนผู้ที่ออมเพื่อวัยเกษียณมีเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

“และจากการสำรวจของทีดีอาร์ไอที่ทำในกลุ่มผู้สูงอายุ พบว่าผู้สูงอายุไทยมีผู้ที่มีเงินออมอยู่เพียงหนึ่งในสามเท่านั้น พูดง่ายๆว่าคนแก่ 100 คน มีคนแก่ที่มีเงินออมเพียง 33 คนเท่านั้น ที่เหลืออีก 64 คนไม่มีเงินเก็บหรือเงินออม ต้องมีชีวิตหลังเกษียณที่ไม่ค่อยมั่นคง”

“หูย น่ากลัวจัง” แม่ยีราฟเริ่มวิตกจริต “แล้วฉันต้องทำยังไงเนี่ย”

“ยังไม่ต้องทำอะไร ฟังลุงเล่าให้จบก่อนสิ” ลุงแมวน้ำรีบขัด “เอ้า มาดูตารางกัน”




ลุงแมวน้ำพูดพลางคลี่ตารางกางให้ดูกันถนัดๆ

“นี่เป็นตารางที่ลุงคิดเอาไว้เมื่อปี 2554 เป็นการประเมินค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตหลังเกษียณ ว่าหากเกษียณในปีนั้นแล้วชีวิตหลังเกษียณจะมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

“ค่าใช้จ่ายนั้นลุงก็ทำเอาไว้ให้ดูกันง่ายๆ รายจ่ายบางรายการเกิดเป็นประจำทุกวัน บางอย่างเกิดทุกเดือน ก็กรอกในช่องรายจ่ายประจำวันหรือประจำเดือน พวกที่เกิดไม่แน่นอน หรือนานๆมีค่าใช้จ่ายสักที ก็เหมาไปเลยเป็นรายปี แล้วทุกอย่างจะเอามาคำนวณในขั้นสุดท้ายว่ารวมแล้วปีหนึ่งมีค่าใช้จ่ายเท่าไร

“สำหรับตารางนี้ เป็นคุณภาพชีวิตหลังเกษียณ สำหรับค่าครองชีพในเมืองใหญ่ และใช้จ่ายอย่างประหยัด สำหรับคนเดียว อาศัยอยู่ในคอนโดหรือบ้านเดี่ยวมีเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง คือไม่มีภาระเรื่องผ่อนบ้านแล้ว

“ลุงจะยกตัวอย่างค่าใช้จ่ายบางรายการ จะเห็นว่าให้ค่าอาหารวันละ 100 บาทต่อคน ก็ไม่เหลือเฟือ ค่าเสื้อผ้าให้ปีละ 4000 บาท ก็ไม่มาก ผู้สูงอายุควรใส่ใจเรื่องเสื้อผ้านิดนึง ซื้อของใหม่สีสดใสบ้าง จิตใจจะสดชื่น อย่าใส่แต่เก่าๆ โทรมๆ จิตใจจะห่อเหี่ยว อันนี้เป็นจิตวิทยาผู้สูงอายุ

“ค่ารถให้วันละ 150 บาท ขึ้นรถไฟฟ้าบ้าง รถเมล์บ้าง ไปหาเพื่อนฝูง หรือไปเดินเล่นสวนสาธารณะ ค่าพักผ่อนหย่อนใจให้ปีละ 20,000 บาท ได้แค่ไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือไปฮ่องกงสิงคโปร์

“งานบ้านต้องทำเอง จ้างแม่บ้านไม่ได้เพราะต้องประหยัด ส่วนการออกกำลังกายก็คงได้แค่เป็นสมาชิกฟิตเนสของ กทม หรือตีแบด ตีเทนนิส ว่ายน้ำ เป็นครั้งคราว จะเป็นสมาชิกฟิตเนสคลับแบบหรูๆก็ไม่ไหว

“และที่สำคัญคือ ให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพปีละ 10,000 บาท หมายความว่าเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรก็พึ่งบัตรทองทั้งหมด ขาดเหลืออะไรก็ควักกระเป๋าจ่ายเองได้เพียงปีละ 10,000 บาทเท่านั้น ซึ่งเผื่อไว้ให้น้อยมาก นี่แหละที่ลุงว่าคุณภาพชีวิตตามแผนนี้ค่อนข้างจำกัดจำเขี่ย ไม่ได้หรูหราอะไรเลย

“ทีนี้ตามตาราง จะเห็นว่าหากเกษียณปี 2554 ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณในปี 2554 จะเป็น 246,500 บาทต่อปี ปีนี้ลุงถือว่าเป็นปีฐานในการคำนวณ หากไม่เกษียณในปี 2554 จะเกษียณปีไหนล่ะ สมมติปี 2566 ณ ปีนั้น ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณจะกลายเป็นปีละ 331,515 บาทต่อปี เพราะผลจากเงินเฟ้อนั่นเอง 

“เอาละ สมมติว่าทำงานถึงปี 2565 คือแม่ยีราฟอายุ 60 ปีและในปีนั้นมีเงินออม 5,400,000 บาท ตัวเลขนี้ลุงสมมติขึ้นมาลอยๆก่อน เงินออมห้าล้านสี่แสนบาทในปี 2566 หากเงินนั้นไม่ได้งอกเงยให้ผลตอบแทนใดๆอีกเลย เงินก้อนนั้นแม่ยีราฟก็จะใช้ไปได้อีกจนถึงอายุ 74 ปีเท่านั้น”

“แล้วถ้าฉันอายุยืนกว่านั้นล่ะ” ยีราฟสงสัย

“อ้าว ไม่รู้แล้ว ก็เงินหมดแล้วนี่ จะอยู่ต่อยังไงนั่นคือปัญหา” ลุงแมวน้ำตอบ “แต่ถ้าเงินห้าล้านสี่นั้นแม่ยีราฟเอาไปลงทุนและให้ผลตอบแทนบ้าง สัก 5% ต่อปี แม่ยีราฟก็จะประวิงเวลาใช้เงินไปได้จนอายุ 80 ปีกว่าที่เงินจะหมด และถ้าแม่ยีราฟสร้างผลตอบแทนจากเงินออมได้ปีละ 8% แม่ยีราฟก็จะมีเงินใช้จนถึงอายุ 93 ปี กว่าที่เงินจะหมด ดังนั้นเงินออมที่ต้องเก็บออมเอาไว้ก็สำคัญ และที่สำคัญอีกอย่างคือต้องรู้จักให้เงินทำงานด้วย ไม่อย่างนั้นจะอยู่ได้ยาก ดังที่ลุงยกตัวอย่างมาให้ดู” ลุงแมวน้ำสรุป

“แล้วถ้าอยากมีชีวิตที่สบายขึ้นกว่านี้ละลุง ต้องมีเงินออมสักเท่าไร” ลิงจ๋อชักสนใจและถามขึ้นมาบ้าง

Sunday, April 13, 2014

13/04/2014 : สุขสันต์วันสงกรานต์ เข้าสู่ปีที่ 6 ดูหนังวันหยุดกัน




ลุงแมวน้ำเริ่มทำเว็บบล็อกนี้มาตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ของปี 2009 มาจนถึงวันนี้ สงกรานต์ 2014 เวลาได้เวียนมาบรรจบครบ 5 ปีพอดี

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์มากมายหลายอย่างเกิดขึ้นในโลกและในตลาดทุน อันเป็นของธรรมดาโลก ลุงแมวน้ำก็ปรับเปลี่ยนแนวทางในการนำเสนอหลายต่อหลายครั้ง ทั้งปรับเล็กๆน้อยๆและปรับครั้งใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง

จนถึงวันนี้ ขณะที่ย่างเข้าสู่ปีที่ 6 สถานการณ์การลงทุนในโลกและในไทยก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปอีก ลุงแมวน้ำจึงทำการปรับปรุงครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง

คงเห็นว่าลุงแมวน้ำปรับปรุงรูปโฉมของเว็บบล็อกเสียใหม่ อันเปรียบเหมือนกับการแต่งบ้าน ครั้งนี้แต่งเสียยกใหญ่ ทาสีบ้านและตกแต่งเสียใหม่ ดูแปลกตาออกไป ราวกับขึ้นบ้านใหม่ แต่ที่จริงก็บ้านเดิมนั่นแหละ ^_^

นอกจากการเปลี่ยนรูปโฉมภายนอกแล้ว เนื้อหาภายในก็ยังปรับเปลี่ยนไป โดยลุงแมวน้ำจะปรับแนวทางการนำเสนอให้ครอบคลุมการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น โดยจะเน้นไปที่การลงทุนในตลาดทุนของอเมริกา เพราะที่สหรัฐอเมริกามีผลิตภัณฑ์ในการลงทุนมากมายหลายหลาก มีทั้งหุ้น อีทีเอฟ (etf) และอนุพันธ์คือฟิวเจอร์สและออปชัน (futures & options) ครอบคลุมการลงทุนในประเทศต่างๆทั่วโลก และครอบคลุมสินทรัพย์เสี่ยงประเภทต่างๆ ดังนั้นการเข้าสู่ตลาดทุนของสหรัฐอเมริกาก็เท่ากับสามารถกระจายการลงทุนไปได้ทั่วโลก และกระจายไปในสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ อาทิ หุ้น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ และอสังหาริมทรัพย์

นอกจากนี้ ลุงแมวน้ำยังจะคุยเกี่ยวกับเรื่องกองทุนรวมที่อยู่ในตลาดทุนไทยแต่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกมากมายเช่นกัน โดยมีทั้งกองทุนรวมธรรมดาและกองทุนรวมแบบลดหย่อนภาษี (RMF) ที่พาเงินของเราไปลงทุนในต่างประเทศ โดยครอบคลุมสินทรัพย์เสี่ยงในประเภทต่างๆเช่นกัน ทั้งหุ้น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ และอสังหาริมทรัพย์

ดังนั้นเว็บบล็อกของลุงแมวน้ำตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป จึงเป็นก้าวย่างใหม่ของการลงทุน นั่นคือ การโกอินเตอร์หรือออกไปสู่โลกกว้าง

ในช่วงปีที่แล้ว 2013 ลุงแมวน้ำปรับปรุงเว็บบล็อกน้อยลง และหันไปโพสต์ในเฟซบุ๊กเสียมากกว่า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าลุงแมวน้ำขี้เกียจนั่นเอง ^_^ โพสต์ในเฟซบุ๊กง่ายกว่า แต่ว่าปีนี้ลุงแมวน้ำจะพยายามปรับปรุงเสียใหม่ ด้วยการหันกลับมาเขียนเรื่องราวในเว็บบล็อกเป็นหลัก เพราะแม้จะทำได้ยาก แต่ว่าทำให้ผู้อ่านติดตามเรื่องราวได้ง่ายและดีกว่า จะค้นมาดูในภายหลังก็ง่ายกว่าด้วย พร้อมกันนั้นก็จะคัดลอกเนื้อหาไปโพสต์ในเฟซบุ๊กด้วย แต่ภาพที่นำไปโพสต์ในเฟซบุ๊กอาจไม่ครบถ้วนเท่ากับในเว็บบล็อก แต่ก็เรียกได้ว่าอำนายความสะดวกกันสุดๆ ใครถนัดอ่านในสื่อชนิดใดก็เลือกได้ตามใจชอบ

เอาละ พูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงกันไปแล้ว ต่อไปเรามาคุยเรื่องบันเทิงในวันหยุดกันดีกว่า ^_^

ช่วงเทศกาล โดยเฉพาะสงกรานต์ เป็นช่วงที่ลุงไม่อยากไปไหนเลย เพราะแหล่งท่องเที่ยวต่างๆทั้งในและต่างประเทศจะมีคนไทยแห่ไปเที่ยวกันเต็มไปหมด ไปเที่ยวเมืองจีน ฮ่องกง ในช่วงสงกรานต์ราวกับอยู่ในเมืองไทย เพราะว่านักท่องเที่ยวไทยเต็มไปหมด เดินอยู่บนถนนสุขุมวิทยังคล้ายเดินอยู่เมืองนอกมากกว่าเสียอีก ^_^

พูดถึงคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศ ตอนนี้ร้านค้าไทยกลัวนักท่องเที่ยวจีนกันมาก เรียกว่าอยากได้เงินแต่ไม่อยากต้อนรับ เพราะว่ามีนักท่องเที่ยวจีนที่แสดงพฤติกรรมไม่ค่อยดีเอาไว้จนร้านค้าเข็ดขยาด ส่วนใหญ่เป็นเรื่องมารยาทและความเกรงอกเกรงใจ

แต่ขณะเดียวกัน ตอนนี้คนญี่ปุ่นก็กลัวนักท่องเที่ยวไทยเช่นเดียวกัน และก็ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกันกับที่ร้านค้าไทยกลัวนักท่องเที่ยวจีน เนื่องจากตอนนี้มีนักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นกันมาก เพราะค่าเงินเยนอ่อน ทำให้ค่าทัวร์ไปญี่ปุ่นไม่แพง อีกทั้งยังไม่ต้องขอวีซ่าเข้าญี่ปุ่นอีกด้วย ได้ข่าวว่านักท่องเที่ยวไทยไปสร้างวีรกรรมเอาไว้ที่ญี่ปุ่นพอสมควรทีเดียว

ว่าจะพูดเรื่องบันเทิงวันหยุด ไหงมาพูดเรื่องท่องเที่ยวไปได้ มากลับเข้าเรื่องกันดีกว่า ^_^

สำหรับผู้ที่ไม่ได้เดินทางไปไหน ลุงแมวน้ำมีหนังซีรีส์จีนแนวแอคชั่น ดรามา ผจญภัยมาให้ชมกันแก้เหงา ตอนนี้ลุงกำลังติดเรื่องนี้งอมแงมอยู่เช่นกัน เราไปดูรายละเอียดกัน

ภาพยนตร์ซีรีส์ที่ว่านี้เป็นนิยายผจญภัย แฟนตาซี บู๊ ขำ รัก เศร้า แถมเพลงยังไพเราะอีกต่างหาก เรียกว่ามีครบทุกรส แต่ไม่จับฉ่าย ก่อนอื่นลุงเล่าความเป็นมาเสียก่อน

รู้จัก เฉินหลง กันใช่ไหม แจกกี ชาน (Jackie Chan) ไง เป็นนักแสดงและผู้กำกับชาวฮ่องกง หนังแนวที่ถนัดคือหนังแนวแอคชันกังฟู เพราะว่าเฉินหลงเองนั้นดังมาจากการเป็นดาราหนังกังฟูนั่นเอง

หนังแอคชันกังฟูของเฉินหลงนั้นไม่โหด ไม่ใช่ประเภทตัดแขน ตัดหัว เลือดท่วมจอ แต่เป็นหนังบู๊แนวขำๆ สมัยที่เฉินหลงหนุ่มๆนั้นเริ่มดังจากหนังแนวกำลังภายใน จากนั้นก็มาโด่งดังจากหนังชุด Police Story ซึ่งมีหลายภาค ลุงก็นับไม่หมด แต่อย่างน้อยก็ 5 ภาคล่ะ ซึ่งหนังชุด Police Story นี้ในภาคไทยมีชื่อว่า วิ่งสู้ฟัด บู๊กันแหลกลาญ และต่อมา หนังของเฉินหลงที่ฉายในไทยต้องมีคำว่า ฟัด ห้อยอยู่ด้วยตลอด เช่น วิ่งกระเตงฟัด ใหญ่ฟัดโลก ฯลฯ

และเมื่อเฉินหลงมีอายุมากขึ้น ก็พยายามลดคิวบู๊ของตนเองในหนังลง เพราะสังขารย่อมเสื่อมไปตามวัย จะให้วิ่งสู้ฟัดแบบหนุ่มๆย่อมไม่ได้ และนี่เองที่เป็นจุดเปลี่ยนของแนวหนังเฉินหลง

ในปี 2005 เฉินหลงออกฉายหนังเรื่อง The Myth หรือชื่อไทยคือ ดาบทะลุฟ้า ฟัดทะลุเวลา แนวของหนังเปลี่ยนจากแนวตำรวจที่บู๊แหลกลาญ กลายเป็นการหยิบตำนานรักมาเล่าขาน โดยผสมฉากบู๊เข้าไป เป็นหนังแอคชันกังฟูที่มีความเป็นดราม่าสูง ซึ่งทำให้เฉินหลงเลี่ยงบทบู๊เจ็บตัวไปได้เยอะทีเดียว ในขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างสีสันใหม่ๆให้แก่หนังของตน

เนื้อเรื่องของ The Myth หนังเรื่องนี้เป็นแนวทวิภพ คือย้อนยุค ลัดมิติ ทะลุเวลาไปสู่อดีตในยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ โดยพระเอก (เฉินหลง) เป็นนักโบราณคดี เดินทางย้อนเวลาไปหลงรักสนมของจิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งนางเอกในเรื่องนี้เป็นดาราเกาหลีชื่อคิมฮีซอน เพลงเอกของหนังเรื่องนี้ไพเราะมาก เราลองมาดูตัวอย่าง (trailer) ของหนังเรื่องนี้กัน




หนังเรื่องนี้เรตติงหรือคะแนนนิยมทางโลกตะวันตกไม่ค่อยเท่าไรนัก แต่ความนิยมในย่านเอเชียใช้ได้เลยทีเดียว ดังนั้นต่อมาในปี 2009 เฉินหลงจึงนำหนังเรื่อง The Myth นี้มาขยายเป็นหนังซีรีส์เพื่อฉายทางทีวี โดยในฉบับซีรีส์นี้มีเนื้อหาและรายละเอียดในเชิงประวัติศาสตร์เพิ่มเติมขึ้นอีกมากมาย มีความเป็นดราม่าสูง ขณะเดียวกันก็ยังมีกังฟูและมุขขำๆ ฮาๆ ตามสไตล์ของเฉินหลง

ภาพยนตร์ชุดทางทีวีนี้ทุ่มทุนสร้างถึง 40 ล้านหยวนหรือ 200 ล้านบาท ยาว 50 ตอน ออกฉายในปี 2010 ทางช่อง CCTV 8 ของจีน ดาราแสดงนำเปลี่ยนใหม่เป็นดาราจีน พระเอกเปลี่ยนจากเฉินหลงจมูกโตเป็นหูเกอ ดาราจีนหน้าตากวน ส่วนนางเอกก็เป็นไป๋ปิง ดาราจีนเช่นกัน มาดูภาพโปสเตอร์หนังซีรีส์กัน


The Myth 2010 (TV series)


เพลงเอกของซีรีส์จีนนี้ยังเป็นเพลงเดิม คือ Endless Love (美丽的神话 ชื่อในภาษาจีนแปลว่าเทพนิยายอันงดงาม) จาก The Myth 2005 ที่เป็นหนังโรง แต่เปลี่ยนนักร้องและไม่มีเนื้อร้องท่อนเกาหลีแล้ว (Endless Love เวอร์ชัน 2005 มีเนื้อร้องท่อนหนึ่งเป็นภาษาเกาหลีด้วย) เพลงนี้ดังทีเดียว มีนักร้องนำมาร้องหลายคู่ ฉบับที่นิยมกันคือฉบับที่ร้องโดยหูเกอกับไป๋ปิง รองลงมาเป็นคัฟเวอร์เวอร์ชัน ร้องโดยซุนหนานกับหานหง เรามาฟังฉบับของหูเกอไป๋ปิงกัน




ซีรีส์นี้ยังไม่ได้นำเข้ามาฉายในเมืองไทย แต่สามารถดูได้ทาง youtube ตามนี้เลยคร้าบ






มีพากย์ไทยให้เรียบร้อย ทยอยออกสัปดาห์ละตอน ตอนนี้มีพากย์ไทยถึง 16 ตอนแล้ว (ดูที่ playlist ทางด้านขวา จะมีชื่อตอนให้เลือกดู)

และถ้าหากไม่ทันใจ ก็ไปดูฉบับที่เป็นพากย์อังกฤษ (ซับอังกฤษ) ซึ่งมีครบทั้ง 50 ตอนแล้ว ไปที่นี่เลย




ที่นี่นอกจากมีฉบับซับอังกฤษแล้วยังมีฉบับซับไทยด้วย แต่แปลไทยกะพร่องกะแพร่ง เพราะแปลด้วยโปรแกรม ฉบับซับอังกฤษลุงแมวน้ำประเมินว่าถ่ายทอดได้สัก 80-90% ส่วนซับไทยนั้นรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ต้องเดาเยอะทีเดียว

พักผ่อนดูหนังกันให้สนุกในวันสงกรานต์คร้าบ



Monday, April 7, 2014

07/04/2014 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ : ข้าวแช่ชาววังคลายร้อน



ข้าวแช่ชาววัง เมนูชื่นใจคลายร้อน


ช่วงนี้ลุงแมวน้ำกำลังง่วนกับการปรับปรุงเว็บบล็อกอยู่ ตั้งใจจะทำให้เสร็จฉลองครบรอบ 5 ปีของเว็บบล็อกลุงแมวน้ำในวันสงกรานต์ปีนี้ จากนั้นก็จะย่างเข้าปีที่ 6 แล้ว วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ลุงยังปรับปรุงไม่เสร็จเลย ฮือ จะทันไหมเนี่ย >.<

วันหยุดแวะมาคุยเล่นกันก่อน

วันนี้ลุงแมวน้ำเอาข้าวแช่มาฝาก กินแก้ร้อนกัน

ข้าวแช่เดิมทีนั้นว่ากันว่าเป็นอาหารมอญ ต่อมาตำรับนี้เข้าไปในราชสำนัก กลายเป็นอาหารที่นิยมกันภายในวังตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 เป็นต้นมา และแพร่หลายออกมานอกราชสำนักในช่วงรัชกาลที่ 4-5 และช่วงนี้เองที่มีการดัดแปลงเติมน้ำแข็งลงไป เพื่อให้เย็นสดชื่นสะใจยิ่งขึ้น จากที่ก่อนหน้านั้นไม่เติมน้ำแข็ง ก็คงจะเป็นเพราะเมื่อก่อนเก่าน้ำแข็งหายากด้วยแหละ พอมาถึงยุครัชกาลที่ 4 มีการนำน้ำแข็งเข้าจากสิงคโปร์ จึงค่อยมีการเติมน้ำแข็งกัน สมัยก่อนน้ำแข็งก็ต้องนำเข้ากันทีเดียว

ดังนั้นข้าวแช่ชั้นดีตำรับดั้งเดิมจึงเป็นตำรับของในรั้วในวัง นี่เองจึงเป็นที่มาของคำว่าข้าวแช่ชาววัง ส่วนข้าวแช่ตำรับชาวบ้านนั้นก็พลิกแพลงเอาตามอัธยาศัยตามวัถุดิบและฝีมือที่มีอยู่ แต่ส่วนใหญ่เมื่อทำขาย ไม่มีใครประโคมตัวเองหรอกว่าเป็นข้าวแช่ชาวบ้าน เห็นแต่ข้าวแช่ตำรับชาววังทั้งนั้น ^_^

ส่วนประกอบของข้าวแช่นั้น มาดูที่เครื่องกันก่อน เครื่องของข้าวแช่มี ลูกกะปิ เนื้อฝอย (บางทีก็หมูฝอย) ไชโป๊วผัดหวาน พริกหยวกสอดไส้ ปลาแห้ง แล้วก็กินกับผักซึ่งมักเป็นกระชายสด แตงร้าน ฯลฯ

ส่วนข้าวนั้นใช้ข้าวสวยแช่น้ำ วิธีกินก็กินข้าวสวยแช่น้ำ (ใส่น้ำแข็งด้วย) พร้อมกับเครื่องดังที่ว่า

ถามว่าความยากของอาหารเมนูนี้อยู่ที่ไหน ก็ตอบว่าหากทำกันแบบไว้ฝีมือโบราณจริงๆก็ยากทุกส่วนเลย ส่วนเครื่อง (ลูกกะปิ ไชโป๊ว ฯลฯ) นั้นมีหลายอย่าง การทำให้อร่อย กรอบ แลดูสวยงามนั้นทำได้ยาก อย่างเช่นกระชาย หากไว้ฝีมือหน่อยก็ต้องสลักเสลา กินไปก็ดูความสวยงามไป เป็นต้น

ผักที่กินเป็นเครื่องเคียง (เรียกว่าผักแนม) มักเป็นกระชาย แตงร้าน ต้นหอม ฯลฯ ซึ่งหากต้องการให้ประณีตก็ต้องมีการแกะสลักลวดลายลงไปด้วย กระชายมักสลักเป็นจำปี แต่งร้านก็สลักเป็นใบไม้ ดอกไม้สีส้มในภาพเป็นดอกจำปา ทำจากแครอท

ส่วนข้าวนั้นก็ต้องใช้ข้าวที่ค่อนข้างแข็ง เช่น ข้าวเสาไห้ ใช้ข้าวหอมมะลิไม่ได้ เพราะเมื่อแช่น้ำแล้วยุ่ยเละหมด ข้าวนี้ก็ต้องนึ่ง ไม่ใช่หุง

ส่วนน้ำที่แช่ข้าว ส่วนนี้แหละ ดูง่ายๆแต่ที่จริงยากมากถึงมากที่สุด เพราะน้ำที่แช่ข้าวสวยแล้วกินอร่อยนั้น ตามตำรับดั้งเดิมต้องเป็นน้ำฝนที่สะอาดบริสุทธิ์ แต่สมัยนี้หากอยู่ใน กทม ใช้น้ำฝนไม่ได้แล้วล่ะ เพราะมลพิษในอากาศทำให้น้ำฝนไม่สะอาด ต้องใช้น้ำสะอาดอย่างอื่นแทน

เมื่อได้น้ำสะอาดมาแล้วก็ต้องมาอบร่ำควันเทียน ซึ่งควันเทียนนี้มาจากเทียนอบ เทียนอบนี้หากจะให้หอมก็ต้องทำเองซึ่งขั้นตอนการทำเทียนอบก็ยุ่งยาก รวมทั้งการอบร่ำให้น้ำสะอาดมีกลิ่นควันเทียนนั้นก็ยาก เพราะหากทำไม่เป็น น้ำจะมีแต่กลิ่นควันไฟเหม็นๆแทน

การอบร่ำควันเทียนแก่น้ำข้าวแช่ ตองใช้เทียนอบโดยเฉพาะ (เทียนไขไม่ได้เชียว) เทียนอบนี้ก็มีสูตรการทำเฉพาะตัว กลิ่นหอมหรือไม่ขึ้นกับฝีมือการทำเทียนอบและฝีมือการอบร่ำ หากทำไม่เป็น น้ำที่ได้จะมีแต่กลิ่นควันไหม้ๆ

และนอกจากนี้ น้ำแช่ข้าวนี้อบควันเทียนยังไม่พอ ยังต้องลอยด้วยดอกไม้หอมเพื่อให้กลิ่นดอกไม้หอมละลายลงไปในน้ำอีกด้วย ดอกไม้หอมที่นิยมใช้มักเป็นมะลิ หรือกุหลาบมอญ

ยัง ความยากของน้ำแช่ข้าวยังไม่หมด สมัยนี้ดอกมะลิหรือกุหลาบล้วนแต่พ่นยาฆ่าแมลงทั้งนั้น ดังนั้นหากจะทำตามตำรับโบราณจริงๆก็ต้องลงทุนปลูกกุหลาบมอญหรือมะลิเอง เห็นไหม ว่าแค่น้ำข้าวแช่ก็ยังยากเย็นแสนเข็ญ

ขั้นตอนการลอยดอกไม้ในน้ำข้าวแช่เพื่อให้น้ำมีกลิ่นดอกไม้ มักใช้มะลิหรือกุหลาบมอญ การทำน้ำดอกไม้ก็มีเทคนิคเช่นกัน น้ำดอกไม้ที่ลอยดอกไม้ในช่วงเช้ามืดจะมีกลิ่นหอมสดชื่นกว่าการทำในเวลาอื่น เพราะดอกไม้เหล่านี้บานและส่งกลิ่นหอมยามเช้านั่นเอง นี่เป็นเทคนิคอันละเอียดอ่อน คุณภาพของน้ำลอยดอกไม้จะหอมหรือไม่ส่วนหนึ่งก็อยู่ตรงนี้แหละ และส่วนใหญ่มักไม่บอกกัน น้ำลอยดอกไม้อบร่ำควันเทียนที่ทำอย่างประณีตฝีมือดีๆนั้นหาดื่มได้ยากมากในสมัยนี้ ใครได้ชิมแล้วจะสดชื่น เพราะรสชาติดีมาก ได้ทั้งกลิ่นและรสอันหอมละมุน ราวกับอยู่ในความฝันอันแสนสุขทีเดียว ^_^

การกินข้าวแช่ให้อร่อยควรใส่น้ำลอยดอกไม้ (น้ำข้าวแช่) ในคนโฑดินเผา เมื่อน้ำมาเสิร์ฟจะเย็นชื่นใจ

สมัยก่อนหากลุงมีโอกาสแวะไปท่าพระจันทร์ทีไรก็มักเข้าไปกินข้าวแช่ที่ร้านริมน้ำตรงท่าพระจันทร์ (ไม่ใช่ร้านชื่อริมน้ำ แต่ว่าอยู่ริมน้ำ) ข้าวแช่เป็นอาหารที่ราคาไม่ถูกนัก เพราะว่าทำยาก ตำรับชาววังมักราคาแพงหน่อย แต่หากลดรูปลงไปบ้างเป็นตำรับชาวบ้านก็ย่อมเยาลงมาบ้าง ต่อมาลุงก็เลิกกินไป

ที่เลิกกินเพราะว่าหากินได้ค่อนข้างยาก เป็นอาหารที่วัยรุ่นหนุ่มสาวไม่ค่อยนิยม จึงไม่ค่อยมีใครทำขายกัน และอีกประการ ที่ลุงเลิกกินเพราะว่าไม่แน่ใจในน้ำลอยดอกไม้นั่นแหละ ลุงกลัวยาฆ่าแมลงที่มากับดอกไม้

ปัจจุบัน เมนูข้าวแช่ถือว่าเป็นเมนูที่หากินได้ยาก และมีราคาพอสมควร แต่เรื่องความปลอดภัยดูเหมือนจะดีขึ้นมั้ง เพราะบางเจ้าบอกว่าปลูกดอกไม้เอง ไม่พ่นยาใดๆ ร้านเดิมที่ลุงเคยกินที่ท่าพระจันทร์ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว แต่ว่าที่บางลำภูมีร้านเก่าแก่อยู่เจ้าหนึ่ง ซึ่งลุงก็ไม่เคยกินสักที แต่ที่เคยลองลิ้มชิมคือในห้องอาหารของโรงแรมเวียงใต้ บางลำภู อร่อยดีคร้าบ ^_^

ห้องอาหารของโรงแรมเวียงใต้นั้นเป็นแหล่งของกินโบราณสมัยก่อน ลูกค้าที่มากินก็อายุไม่น้อยกันเป็นส่วนใหญ่ มาพบปะสังสรรค์และนั่งรำลึกความหลังกัน คิดง่ายๆ เมื่อเดินเข้าไปเพลงนางฟ้าจำแลงของสุททราภรณ์ก็ลอยมาตามลมนั่นแหละ คงพอนึกออกว่าลูกค้าเป็นวัยระดับไหน ^_^

การทำข้าวแช่สมัยนี้ง่ายขึ้น ลุงเคยคิดอยากทำข้าวแช่กินเองอยู่เหมือนกัน โดยไปซื้อข้าวนึ่งกับเครื่องมา ส่วนน้ำลอยดอกไม้อบควันเทียนลุงก็ทำเอง  น้ำลอยดอกไม้ เดี๋ยวนี้มีน้ำกุหลาบน้ำเข้ามาขาย ก็แพงหน่อย แต่ปลอดภัย ส่วนการร่ำควันเทียนก็มีกลิ่นควันเทียนที่เป็นกลิ่นสังเคราะห์ หยดลงไปหน่อยก็พอคลับคล้ายอยู่เหมือนกัน ทุ่นแรงไปได้เยอะ นี่เป็นไอเดียของลุงนะ คิดเล่นๆ ยังไม่มีโอกาสทำสักที ^_^



Saturday, March 1, 2014

01/03/2014 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ : วัวแสนสุข




ช่วงนี้ลุงแมวน้ำห่างหายไปจากพวกเราบ้าง ไม่ค่อยได้อัปเดตเรื่องตลาดหุ้นและการลงทุนถี่เหมือนอย่างเคย ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าตลาดหุ้นยังไม่ค่อยมีปัจจัยอะไรใหม่ ก็ยังเป็นปัจจัยเดิมๆอยู่ มุมมองที่ลุงแมวน้ำเขียนเอาไว้แล้วจึงยังไม่เปลี่ยน ก็เลยไม่ค่อยมีเรื่องอะไรมาอัปเดตนัก อีกอย่างหนึ่งก็คือลุงแมวน้ำงานเยอะขึ้นกว่าเดิมน่ะ แบ่งเวลามาเขียนอะไรต่ออะไรได้น้อยลง และอีกอย่างหนึ่งก็คือ (แหม่ หลายอย่างจริง ^_^) ลุงแมวน้ำกำลังปรับปรุงแนวทางในพูดคุยและนำเสนอเกี่ยวกับการลงทุนทั้งในเว็บบล็อกและในเฟซบุ๊ก ทั้งนี้เพราะว่าทำอะไรแล้วย่ำอยู่กับที่นานๆก็ไม่ค่อยดี เมื่อโลกก้าวไปข้างหน้า การที่เราหยุดอยู่กับที่ก็เหมือนกับเป็นการถอยหลังนั่นเอง ถือว่าเป็นการปรับปรุงฉลองเว็บบล็อกครบ 4 ปีและย่างเข้าสู่ปีที่ 5 ก็แล้วกัน ประเด็นหลักที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดคือ ลุงแมวน้ำจะโกอินเตอร์ คือชวนพวกเราไปลงทุนในต่างประเทศกัน เพราะปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนคลายเรื่องนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศลงมาก นักลงทุนรายย่อยอย่างพวกเราก็สามารถกระจายความเสี่ยงด้วยการไปลงทุนในต่างประเทศได้ด้วยตนเองด้วยการซื้อหุ้นและอีทีเอฟ (etf) ในตลาดต่างประเทศ

รออีกนิดเดียว ลุงแมวน้ำเตรียมข้อมูลไปได้มากพอควรแล้ว อีกไม่นานเราจะได้มาคุยกัน ^_^

สำหรับวันนี้ เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แถมยังเป็นต้นเดือนอีกด้วย ลุงแมวน้ำละชอบจริงๆ วันหยดแถมยังรับเงินเดือนมาหมาดๆ คืนนี้ว่าจะไปสั่งลาเวทีอโศกสักหน่อย เพราะว่ากำนันสุเทพประกาศคืนพื้นที่จราจร ยุบเวทีต่างๆลง คือที่สีลม อโศก ปทุมวัน ราชดำเนิน ราชประสงค์ และย้ายไปตั้งเป็นเวทีเดียวที่ภายในสวนลุมแทน ส่วนเวทีแจ้งวัฒนะกับเวที คปท ที่หน้าทำเนียบนั้นยังคงมีอยู่ต่อไป เพราะสองเวทีนั้นดำเนินการเป็นอิสระจาก กปปส

ลุงจะไปส่งท้ายที่เวทีอโศก เพราะว่าเป็นเวทีที่ไปค่อนข้างน้อย จะไปถ่ายรูปและซื้อของที่ระลึกมาเก็บไว้สักหน่อย และสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป ชาวกรุงเทพฯก็คงได้ดำเนินชีวิตที่สะดวกสบายตามเดิม รถเมล์ก็กลับมาวิ่งในเส้นทางปกติได้ หลังจากที่ต้องปรับเส้นทางจนผู้โดยสารงงไปหมด

แต่อย่างไรก็ดี อย่าประมาทนะคร้าบ ยังต้องระวังเหตุรุนแรงอยู่ตลอดช่วงเดือนมีนาคม

เอาละ เรามาคุยเรื่องเบาๆในเช้าวันหยุดกันดีกว่า ^_^

คลิปวีดิโอข้างบนที่ลุงแมวน้ำนำมาฝากนั้นเป็นคลิปจากเยอรมัน เสียงพูดเป็นภาษาเยอรมันแต่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษกำกับอยู่ด้วย ฟังไม่ออกก็ไม่เป็นไร ลุงแมวน้ำพากย์ไทยให้ฟังเอง

คลิปนี้มีชื่อว่าวัวแสนสุข หากเดาไม่ออกว่าวัวฝูงนี้มีความสุขกันเพียงใด ลองดูคลิปให้จบ ยาว 3 นาทีเอง ใครดูแล้วไม่อมยิ้มในความน่ารักของวัวเหล่านี้ก็ใจแข็งแล้ว >.<

วัวเหล่านี้เดิมเป็นวัวนมที่กำลังจะถูกส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์ เหตุเกิดในฟาร์มโคนมใกล้เมืองโคโลญจ์ ในปี 2012 โดยฟาร์มแห่งนี้มีปัญหาด้านการเงินและจำเป็นต้องขายวัวนมและลูกวัวเข้าโรงฆ่าสัตว์ หญิงชาวเยอรมันในคลิปนี้อยู่ใกล้ฟาร์มโคนม ทนดูวัวเหล่านี้เข้าโรงฆ่าไม่ได้ จึงทำเป็นมูลนิธิขึ้นและซื้อวัวเหล่านี้มาเลี้ยงไว้

วัวเหล่านี้รอดพ้นจากโรงฆ่าสัตว์อย่างหวุดหวิด และกลับได้มีชีวิตอย่างสุขสบายและมีอิสระเสรี และดูเหมือนว่าพวกวัวเหล่านี้จะรู้ตัวว่าเรื่องร้ายๆได้ผ่านพ้นไปแล้ว พวกเธอจึงมีชีวิตอย่างมีความสุข... มีความสุขกันเพียงใดลุงเชื่อว่าใครที่ได้ดูคลิปนี้ก็จะดูออก

นักวิชาการปศุสัตว์บอกว่าวัวเหล่านี้มีความสุขมากกว่าปกติ คือวัวทั่วไปไม่แสดงออกถึงความสุขด้วยการโลดเต้นมากมายขนาดนี้ ก็แน่ล่ะ เพราะนี่คือคุณค่าของเสรีภาพนั่นเอง

ลุงแมวน้ำจะขอเล่าขยายความสักหน่อย เพื่อให้พวกเราเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องวัว คือปกติวัวปศุสัตว์นั้นแบ่งออกเป็นสองอย่าง นั่นคือ วัวเนื้อกับวัวนม (พวกวัวอเนกประสงค์อันหมายถึงวัวที่เลี้ยงแบบชาวบ้านและใช้ประโยชน์สารพัดแบบไม่เจาะจง ทั้งใช้แรงงานและให้นม พวกนั้นไม่นับ เพราะไม่ค่อยมีแล้ว)

วัวเนื้อก็จะมีพันธุ์วัวและวิธีเลี้ยงตามแบบของวัวเนื้อ เพื่อให้มีเนื้อวัวที่มีคุณภาพดีทั้งเนื้อสัมผัสและรสชาติ ส่วนวัวนมก็จะมีพันธุ์และวิธีการเลี้ยงในแบบวัวนมโดยเน้นที่การให้นมเป็นหลัก และนมนั้นก็เป็นที่มาของผลิตภัณฑ์มากมาย เช่น นม เนย โยเกิร์ต ชีส ครีมชีส ฯลฯ

เอาละ ทีนี้ลุงแมวน้ำขอแวะมาพูดเรื่องมังสวิรัติสักหน่อย คือการบริโภคอาหารมังสวิรัตินั้นก็ยังแบ่งเป็นกลุ่มย่อยอีก นั่นคือ พวกที่กินอาหารมังสวิรัติแบบเคร่งครัด นั่นคือ กินแต่พืชเท่านั้น กับพวกมังสวิรัติที่กินผลิตภัณฑ์นมได้ และมังสวิรัติที่กินไข่ได้ ลุงก็แบ่งกว้างๆเป็นพวกที่ไม่กินนมและไข่ กับพวกที่กินนมและไข่ก็แล้วกัน ทีจริงยังมีมังสวิรัติแบบกินปลาได้อีกด้วย แต่ยังไม่พูดถึงละกัน

พวกมังสวิรัติที่กินนมและไข่เพราะมองว่าการกินนมและไข่นั้นไม่ได้ฆ่าสัตว์ ดังนั้นจึงกินได้ ก็แล้วแต่มุมมอง

แต่ลุงแมวน้ำจะเล่าให้ฟังว่าในกระบวนการผลิตนมนั้นทำกันอย่างไร

เริ่มแรกก็ต้องเลี้ยงวัวนมเสียก่อน แม่วัวสาวในฟาร์มโคนมที่อายุประมาณปีกว่าๆก็พร้อมที่จะเจริญพันธุ์ได้แล้ว และเมื่อายุประมาณ 2 ปีกว่าๆก็สามารถตกลูกและให้น้ำนมได้แล้ว

ทีนี้เมื่อแม่วัวนมคลอดลูก ลูกวัวก็จะถูกแยกจากแม่ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะหากอยู่กับแม่นานแม่วัวจะผูกพันและหวงลูก รวมถึงมีผลกับปริมาณน้ำนมที่จะผลิตได้

ทีนี้ลูกวัวที่คลอดออกมาไปไหน คำตอบก็คือ หากลูกวัวเป็นลูกวัวตัวเมียและสุขภาพแข็งแรง ลูกวัวเหล่านี้ก็จะถูกเลี้ยงเพื่อให้เป็นวัวนมรุ่นต่อไป

แล้วลูกวัวเพศเมียที่ไม่แข็งแรงกับลูกวัวตัวผู้ไปไหนล่ะ คำตอบก็คือ เข้าโรงฆ่าสัตว์ เอาไปทำลูกวัวหันหรืออย่างอื่นก็ว่ากันไป


ลูกวัวน่ารัก แต่ใครจะรู้บ้างว่าลูกวัวที่น่ารักเหล่านี้อาจอยู่ดูโลกได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้นเพราะคำว่า "ลดต้นทุนการผลิต"


สำหรับแม่วัวนมเองนั้นก็มีอายุการทำงาน โดยปกติจะให้นมได้เพียง 5-7 ปี ก็จะกลายเป็นแม่วัววัยกลางวัว (ก็เหมือนวัยกลางคนนั่นเอง) ซึ่งประสิทธิภาพการให้น้ำนมจะลดต่ำลง น้ำนมคุณภาพตกลงไป ซึ่งประสิทธิภาพและคุณภาพนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันหมายถึงต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ดังนั้นแม่วัวเมื่อให้นมไป 5-7 ปีก็จะถูกปลดระวาง

แล้วแม่วัวที่ถูกปลดระวางไปอยู่ที่ไหน เพื่อประสิทธภาพและการลดต้นทุนและสร้างผลกำไรแก่ฟาร์มโคนม โดยทั่วไปแล้วแม่วัวนมที่ถูกปลดระวางก็จะถูกขายออกไป และถูกส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์ เนื้อพวกนี้เป็นเนื้อวัวเกรดรอง ดังนั้นราคาจึงถูกกว่าเนื้อจากวัวเนื้อ แต่ก็สามารถเอาไปขายได้

แม่วัวนมที่หนีจากโรงฆ่าสัตว์ แต่ก็ถูกตามจับกลับมาได้ ถูกจับใส่เครนห้อยต่องแต่งมาเข้าโรงฆ่าเช่นเดิม แต่ตัวนี้โชคดีหน่อย สุดท้ายมีผู้ใจบุญไถ่ชีวิตให้


นี่แหละ ชะตาชีวิตของวัวนม รวมทั้งชะตาชีวิตของไก่ไข่ก็ทำนองเดียวกัน ดังนั้น ผู้ที่กินมังสวิรัติบางคนไม่กินนมและไข่ก็เพราะมองว่าเป็นการฆ่าสัตว์ทางอ้อมนั่นเอง ก็คงแล้วแต่มุมมอง

ตลาดนัดวัวควายในต่างจังหวัดของไทย แหล่งซื้อขายวัวควายในท้องถิ่น

วัวจากคอกต่างๆจะถูกบรรทุกในรถบรรทุกอย่างแออัด เพื่อนำไปขายในตลาดนัดวัวควาย วัวควายเหล่านี้ชะตาีวิตถูกกำหนดไว้แล้วให้ต้องเข้าโรงฆ่า ยกเว้นจะมีผู้มาไถ่ชีวิต

สำหรับลุงแมวน้ำ ลุงแมวน้ำอยู่ในกลุ่มที่ก้ำๆกึ่งๆ ลุงแมวน้ำเลิกกินเนื้อแกะมาประมาณ 10 ปีแล้ว ไม่กินเลยโดยสิ้นเชิง ส่วนเนื้อวัวกับเนื้อหมู นมและไข่นั้นค่อยๆลดการบริโภคมาโดยตลอด ปีนี้แทบไม่ได้กินเลย แรงบันดาลใจของลุงที่หันมากินมังสวิรัติก็เพราะเห็นสัตว์เข้าโรงฆ่านั่นแหละ ที่ลุงทำเบเกอรี่กินเองก็เพราะว่าจะได้ทำเป็นสูตรมังสวิรัติ ไม่ต้องใส่นมและไข่ได้ ส่วนยามไปกินข้างนอกก็เลี่ยงได้ยาก ส่วนอาหารนั้นลุงก็ทำอาหารมังสวิรัติใส่กล่องไปกินข้างนอกยามรับจ๊อบ ก็ทำเท่าที่ทำได้

โดยรวมแล้วการทำอาหารกินเองช่วยลดการเบียดเบียนได้มาก รวมทั้งอาหารที่ทำกินเองยังมีคุณภาพดีกว่าอาหารที่ซื้อกินข้างนอกด้วย ก็ทำให้สุขภาพดีขึ้นกว่าเดิม พออายุเลย 30 ปีแล้วควรระวังเรื่องอาหารมากขึ้น ไม่ต้องรอจนแก่แล้วค่อยระวังหรอก การลดเนื้อสัตว์ใหญ่เป็นคุณแก่ร่างกายด้วย เพราะโปรตีนสัตว์ใหญ่มีกรดยูริกสูงหน่อย กินไปเยอะๆเมื่ออายุมากขึ้นก็เสี่ยงที่จะเป็นโรคเก๊าต์มากขึ้น ไขมันที่แทรกในเนื้อสัตว์ก็ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งการกินโปรตีนสัตว์ใหญ่อย่างไม่บันยะบันยัง ส่งผลให้ไตทำงานหนัก ทำให้ไตเสื่อมไวอีกด้วย ผลเสียของการกินเนื้อสัตว์ใหญ่มีหลายอย่างทีเดียว


บรรยากาศในโรงฆ่าสัตว์


ลุงแมวน้ำยังกินปลาอยู่บ้าง ก็กินเพื่อยังชีพน่ะ เป็นแมวน้ำก็ต้องกินปลา ยังต้องการโปรตีนจากปลาบ้าง แต่ก็กินเป็นครั้งคราวพอยังชีพเท่านั้น ส่วนใหญ่ลุงกินโปรตีนถั่วเหลืองเป็นหลัก เรากินพอเพียงหรือกินมากเกินไป สังเกตง่ายๆที่น้ำหนัก โดยใช้น้ำหนักในช่วงอายุ 20-25 ปีเป็นเกณฑ์ ตอนนั้นคนเราโดยทั่วไปมักหุ่นยังดีอยู่ คือรูปร่างกลางๆ ไม่อ้วนไม่ผอม แต่หลังจาก 25 ปีไปแล้ว หากน้ำหนักเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น นั่นล่ะ กินมากเกินไปแล้ว 

ดูคลิปนี้กันแล้ว หวังว่าคงสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเราลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงได้บ้าง ไม่ต้องถึงกับเลิกหรอก เอาแค่ลดลงได้ก็ดีโขแล้ว คือดีทั้งกับสุขภาพของเราเอง และเท่ากับลดการเบียดเบียน ลุงแมวน้ำก็เดินทางสายกลาง ไม่ได้สุดโต่งว่าต้องกินมังสวิรัติเคร่ง ใครเลิกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ลดการบริโภคลง ลดมากลดน้อยตามแต่กำลังใจ ก็ถือว่าดีมากแล้ว และเป็นประโยชน์แก่สุขภาพของเราเองด้วย















Sunday, January 26, 2014

26/01/2014 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ: ตำนานเพลง สู้ไม่ถอย



กุลศักดิ์ เรืองคงเกียรติ หรือจิ้น กรรมาชน ในวัยต่างๆ


เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ในวัยต่างๆ

ลุงแมวน้ำว่างเว้นไม่ได้เขียนบทความลงในเว็บบล็อกมาพักใหญ่ เผลอเดี๋ยวเดียวก็ว่างเว้นมาเดือนกว่าแล้ว ที่จริงลุงแมวน้ำก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก เพียงแต่ว่าช่วงหลังเนื่องจากลุงแมวน้ำมีเวลาเขียนอะไรต่ออะไรน้อยลง จึงมักโพสต์ในเฟสบุ๊กเป็นหลัก

วันนี้ลุงแมวน้ำอยากเขียนบทความให้พวกเราอ่านกันเพลินๆในวันหยุด แต่อาจจะยาวเกินไปสำหรับโพสต์ในเฟซบุ๊ก ก็เลยมาเขียนในเว็บบล็อกดีกว่า

สู้เข้าไปอย่าได้ถอย มวลชนคอยเอาใจช่วยอยู่
รวมพลังทำลายเหล่าศัตรู พวกเราสู้เพื่อความยุติธรรม...

ช่วงนี้เพลงฮิตติดตลาดเพลงหนึ่งที่ติดหูชาวกรุงเทพฯส่วนใหญ่ก็คงหนีไม่พ้นเพลง สู้ไม่ถอย เพลงนี้กลายเป็นเพลงปลุกใจของเหล่ามวลชน กปปส และต่อมาภายหลังเสมือนกับเป็นเพลงประจำตัวของลุงกำนัน สุเทพ เทือกสุบรรณ เนื่องจากเมื่อใดที่ลุงกำนันปรากฏตัวบนเวทีปราศรัยก็จะมีเพลงสู้ไม่ถอยนี้เปิดนำและปิดท้ายการปราศรัยทุกครั้ง รวมทั้งเมื่อใดที่ลุงกำนันออกเดินถนนเยี่ยมประชาชนก็จะมีรถเครื่องขยายเสียงคอยเปิดเพลงนี้คลออยู่ตลอด

ที่จริงแล้วเพลงนี้ไม่ใช่เพลงใหม่แต่อย่างใด ตรงกันข้าม หากนับจนถึงปี พ.ศ. 2557 เพลงนี้ก็มีอายุถึง 41 ปีแล้ว เรามาดูกันว่าเพลงนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร

ในบทความชุด 14 ตุลา 2516 ที่ลุงแมวน้ำเขียน หากพวกเรายังจำกันได้ ลุงแมวน้ำได้เล่าเอาไว้ว่ามีเหตุการณ์หลายๆอย่างเกิดขึ้นในประเทศเหมือนแม่น้ำร้อยสายที่ไหลมารวมกันจนกลายเป็นเหตุการณ์มหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 ในที่สุด และส่วนหนึ่งของเหตุการณ์เหล่านั้นก็คือการที่นิสิตนักศึกษากลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติในยุคนั้น ได้ออกหนังสือตีแผ่ข้อเท็จจริงที่ชื่อว่า ‘บันทึกลับจากทุ่งใหญ่’ โดยเปิดโปงกรณีเฮลิคอปเตอร์ตกจากกรณีทุ่งใหญ่นเรศวร ในช่วงปลายเดือนเมษายน 2516 และรัฐบาลในยุคนั้นอ้างว่าเฮลิคอปเตอร์เข้าไปปฏิบัติราชการ แท้ที่จริงแล้วเป็นการเข้าป่าล่าสัตว์ของข้าราชการและนักการเมือง

จากนั้นนักศึกษารามคำแหงก็ออกหนังสือออกมาบ้างในช่วงกลางปี 2516 ชื่อว่า ‘มหาวิทยาลัยไม่มีคำตอบ’ โดยมีเนื้อหาเสียดสีจอมพลถนอม นายกรัฐมนตรี

อธิการบดีในยุคนั้นสั่งลบชื่อนักศึกษารามคำแหง 9 คนที่เป็นแกนนำในการออกหนังสือเล่มนั้นเพื่อเป็นการลงโทษที่ออกหนังสือเสียดสีนายกรัฐมนตรี จนเกิดเหตุการณ์ประท้วงของนิสิตนักศึกษากันวุ่นวายที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในเวลาต่อมา อันเป็นเดือนมิถุนายน 2516 และท้ายที่สุด อธิการบดีรามคำแหงในตอนนั้นต้องคืนสภาพนักศึกษาทั้งเก้าคน และตนเองก็ลาออกจากตำแหน่งอธิการบดี



การประท้วงของนักศึกษา กรณีนักศึกษารามคำแหง 9 คนถูกสั่งลบชื่อ เนื่องจากเป็นแกนนำในการออกหนังสือ มหาวิทยาลัยไม่มีคำตอบ


เพลง สู้ไม่ถอย ก็แต่งขึ้นเพื่อปลุกเร้าให้กำลังใจแก่มวลชนในการประท้วงในเหตุการณ์ขับนักศึกษารามคำแหงในครั้งนั้นนั่นเอง โดยผู้ที่แต่งเพลงนี้คือ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ผู้นำนักศึกษาในยุคนั้น โดยในตอนนั้นเป็นนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 โดยแต่งทั้งเนื้อร้องและทำนอง

ต่อมา หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ในปลายปี 2516 นั้นเอง เหตุการณ์ 14 ตุลา ได้ส่งผลต่อสังคมอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่นิสิตนักศึกษา แนวคิดเพื่อสังคม เพื่อมวลชน รับใช้ประชาชน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสังคมระหว่างเมืองกรุงอันสุขสบายกับชนบทอันยากไร้ได้แผ่ขยายอย่างกว้างขวางและรวดเร็วในหมู่นิสิตนักศึกษา และในช่วงนั้นเองที่เกิดแนวเพลงเพื่อชีวิตขึ้น และวงดนตรีเพื่อชีวิตยุคแรกก็เกิดขึ้นในช่วงนั้นนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น วงคาราวาน กรรมาชน ฯลฯ

ในปี 2517 เป็นช่วงที่เพลงแนวเพื่อชีวิตเฟื่องฟูมาก และในมหาวิทยาลัยมหิดลก็ได้ก่อกำเนิดวงดนตรีเพื่อชีวิตวงหนึ่งขึ้น มีกุลศักดิ์ เรืองคงเกียรติ ซึ่งมีชื่อเล่นว่าจิ้น เป็นหัวหน้าวง โดยวงดนตรีนี้เปิดการแสดงเป็นครั้งแรกในงาน  14 ตุลาคม 2517 อันเป็นงานที่ระลึกครบรอบปีของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

วงดนตรี กรรมาชน วงดนตรีที่ก่อตั้งในยุคหลัง 14 ตุลา อันเป็นยุคที่แนวเพลงเพื่อชีวิตได้รับความนิยม


หลังจากการแสดงเปิดตัวในครั้งนั้น ชื่อเสียงของวงกรรมาชนก็ขจรขจาย แม้จะเป็นวงใหม่แต่ก็โด่งดังมาก ด้วยแนวเพลงเพื่อชีวิตแบบเร่าร้อน สนุกสนาน ทำให้ได้รับความนิยม ตระเวนเล่นตามงานต่างๆอย่างต่อเนื่อง และได้ออกอัลบัมชุดแรกในปีนั้นเอง โดยเป็นเทปคาสเซ็ต มีชื่อว่า กรรมาชน ชุดที่ 1 ในช่วงปลายปีนั้นเอง

ปกเทปอัลบัม กรรมาชน ชุดที่ 1 ซี่งมีเพลง คนกับควาย เป็นเพลงเอก และมีเพลง สู้ไม่ถอย กับ มาร์ชประชาชนเดิน รวมอยู่ในอัลบัมด้วย

เพลงเอกของกรรมาชน ชุดที่ 1 คือ คนกับควาย และ เพลงสู้ไม่ถอย ก็ถูกบรรจุอยู่ในอัลบัมนี้ด้วยเช่นกัน และนอกจากนั้นก็ยังมีเพลง มาร์ชประชาชนเดิน อีกด้วย รวมทั้งยังมีเพลงอื่นๆอีก เช่นเพลง แสง ที่แต่งขึ้นเพื่อระลึกถึง แสง รุ่งนิรันดร์กุล หนึ่งใน 9 นักศึกษารามคำแหงที่ถูกลบชื่อออกจากสถาบันในปี 2516 ซึ่งต่อมาถูกลอบสังหารจนเสียชีวิต และหลังจากนั้นวงกรรมาชนยังได้ออกอัลบัมตามมาอีกหลายชุด

วงกรรมาชนมีบทบาทเคลื่อนไหวในทางการเมืองด้วย ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2516 ที่ขวาพิฆาตซ้าย วงกรรมาชนจึงต้องสลายตัว สมาชิกในวงต่างต้องหลบหนีกระจัดกระจายกันเข้าป่าไป รวมทั้งเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ผู้แต่งเพลงสู้ไม่ถอยก็ต้องหลบหนีเข้าป่าด้วยเช่นกัน

กาลเวลาผ่านไป ในที่สุด นักศึกษาที่หลบหนีเข้าป่าก็ได้กลับมาสู่อ้อมอกของมาตุภูมิอีกครั้งหนึ่ง แต่ละคนก็มีเส้นทางเดินในชีวิตที่แตกต่างกันไป จนในปี 2532 วงกรรมาชนก็ได้กลับมรวมวงกันอีกครั้งหนึ่งและเปิดการแสดงในหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2532 เนื่องในโอกาสรำลึกถึงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 โดยการแสดงในปี 2532 นั้นมีเพลง สู้ไม่ถอย อยู่ด้วย และการแสดงในวันนั้นก็ได้ออกเป็นเทปบันทึกการแสดงสดในเวลาต่อมา



อัลบัมบันทึกการแสดงสดของวงกรรมาชน ในปี พ.ศ. 2532


เทปคาสเซ็ตชุดกรรมาชนในยุคแรก รวมทั้งอัลบัมการแสดงสด 2532 ต่างเป็นเทปชุดที่หายากในปัจจุบัน เพลงสู้ไม่ถอยที่เปิดกันในเวที กปปส ปัจจุบันนี้คือเพลงที่นำมาจากการแสดงสดในปี 2532 นั่นเอง และเพลง สู้ไม่ถอย นี้มักเป็นเพลงที่นำมาร้องกันในงานรำลึกถึงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ของทุกปี

นอกจากนี้ ยังมีข้อเท็จจริงอีกหลายเรื่องที่เราอาจไม่ยังรู้ นั่นก็คือ

ข้อที่ 1.
เนื้อเพลงท่อน

เร็วเร็วมา มาร่วมกันเดิน
เรามาเดิน เหล่าประชาชน...

เพลงท่อนนี้เป็นต้นไป ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเพลง สู้ไม่ถอย แต่เป็นเพลง มาร์ชประชาชนเดิน อันเป็นเพลงในอัลบัม กรรมาชน ชุดที่ 1 เช่นกัน ปัจจุบันเรามักนำมาร้องต่อกันไปจากเพลงสู้ไม่ถอย จนทำให้หลายคนเข้าใจผิดไปว่าเพลงท่อนหลังนั้นคือส่วนหนึ่งของเพลงสู้ไม่ถอย

ข้อที่ 2.
เสกสรรค์ ประเสริญกุล หรือ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุลในปัจจุบัน ไม่ได้มีความคิดเห็นทางการเมืองในแนวทางเดียวกับ กปปส

ข้อที่ 3.
กุลศักดิ์ เรืองคงเกียรติ หรือจิ้น กรรมาชน ได้แต่งเพลงให้แก่ นปช หลายเพลงในช่วงปี 2553  เช่น มาร์ชแดงทั้งแผ่นดิน, นักสู้ธุลีดิน, เดิมพัน, ปณิธานแห่งเสรีชน, เอาคืน, สีแดง, วันของเรา ฯลฯ


เพลง สู้ไม่ถอย จากอัลบัม กรรมาชน ชุดที่ 1 ถือว่าเป็นเพลงสู้ไม่ถอยเวอร์ชันดั้งเดิม


เพลง สู้ไม่ถอย จากอัลบัม บันทึกการแสดงสด ปี 2532 เป็นเวอร์ชันที่นำมาเปิดกันในปัจจุบัน


เพลง มาร์ชประชาชนเดิน จากอัลบัม กรรมาชน ชุดที่ 1 ปี 2517



เพลง สู้ไม่ถอย

สู้เข้าไปอย่าได้ถอย มวลชนคอยเอาใจช่วยอยู่
รวมพลังทำลายเหล่าศัตรู พวกเราสู้เพื่อความยุติธรรม
เราเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ สู้ต่อไปด้วยใจมุ่งมั่น
เขาจะฟาดเขาจะฟัน เราไม่พรั่นพวกเราสู้ตาย
สู้เข้าไปอย่าได้หนี เพื่อเสรีภาพอันยิ่งใหญ่
รวมพลังผองเราเหล่าชาวไทย สู้เข้าไปพวกเราเสรีชน


เพลง มาร์ชประชาชนเดิน

เร็วเร็วมา มาร่วมกันเดิน
เรามาเดิน เหล่าประชาชน
จงร่วมใจ เดินเข้าไป
จงคว้าชัยมาให้มวลชน
ความตายนั่นหรือ
เราไม่กลัว เราไม่เกรง
ใครมาข่มเหง เราจะสู้เราไม่ถอย
เราจะสู้จนชีพหลุดลอย
ไทยจะต้องเป็นไทย












Wednesday, December 18, 2013

18/12/2013 สรุปภาวะตลาดรอบครึ่งเดือนแรก ธันวาคม 2013


วันนี้ลุงแมวน้ำเอารายงานสภาวะการลงทุนทั่วโลกในช่วงครึ่งแรกของเดือนธันวาคมมาให้ดูกัน

ครึ่งแรกของเดือนนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปรับตัวลง

สหรัฐอเมริกา -2%
เยอรมนี -4.2%
จีน -1.3%
ญี่ปุ่่น -1.7%
ไทย -2.2%
ฟิลลิปปินส์ -7.1%

จะว่าไปตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้ถือว่าลงแรงเมื่อเทียบกับการลงของตลาดหุ้นอื่นๆในเอเชีย

ค่าเงินผันผวนไร้ทิศทาง น้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยแต่เบรนต์ปรับตัวลง ทองคำปรับตัวลงเล็กน้อย

รายละเอียดอื่นๆลองดูในรายงานกันคร้าบ


 photo monthlyreposrtdec2013.gif

Sunday, December 15, 2013

15/12/2013 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ: วันหวานกับสายลมเหนือ






ลุงแมวน้ำไม่ได้เขียนบทความเบาๆ เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ มานานพอสมควรแล้ว เนื่องจากช่วงหลังมีเรื่องนั้นเรื่องนี้แทรกเข้ามามากมาย จนลุงไม่สามารถเขียนได้ ดังที่พวกเราคงพอทราบกันอยู่ และลุงแมวน้ำก็เชื่อว่าช่วงนี้หลายคนคงวุ่นวายมีงานเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากกิจวัตรที่ดำเนินไปตามปกติแล้วยังต้องไปเดินเล่นแถวถนนราชดำเนินอีกด้วย

ลุงแมวน้ำนอกจากจะไม่ได้เขียนสารคดีวันหยุดแล้ว แม้แต่การออกกำลังกายก็พลอยต้องงดไปด้วย ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี เพราะการออกกำลังกายถือเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับชีวิตคนเมือง ยิ่งทำงานออฟฟิส นั่งโต๊ะเกือบทั้งวัน ยิ่งควรต้องหาเวลาออกกำลังกายบ้าง แต่เอาละ ลุงแมวน้ำไม่แก้ตัวละ เอาเป็นว่า ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป ลุงจะกลับไปออกกำลังกายที่สวนลุมตามปกติ เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะยืดเยื้อ ก็พยายามกลับมาแบ่งเวลาไปออกกำลังกาย

สถานการณ์ทางการเมืองไม่ค่อยดี ภาวะเศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี แถมตลาดหุ้นยังตกอีกต่างหาก หากเรื่องการเมืองมีแนวโน้มยืดเยื้อ ตลาดหุ้นก็คงซึมลงเรื่อยๆ หลายคนคงรู้สึกเซ็งกับพอร์ตสีแดงและน้ำค้างบนยอดดอย วันนี้เรามาคุยเรื่องเบาๆ หวานๆ ในวันเก่าๆ ให้สดชื่นกันสักหน่อยดีกว่า

ตอนนี้อากาศของประเทศไทยตอนบนและตอนกลางเย็นลงแล้ว ยกเว้นตอนล่างของประเทศที่ยังเผชิญกับพายุฝนอยู่ในหลายพื้นที่ อากาศที่เย็นลงนั้นเกิดจากอิทธิพลของลมเหนือที่พัดลงมาจากจีน ปีนี้อากาศค่อนข้างแปรปรวน ล่าสุดนี้ประเทศอียิปต์ก็มีหิมะตกแบบเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นไปแล้ว ส่วนประเทศไทยเอง ตั้งแต่วันที่ 16-20 ธนวาคมนี้ กรมอุตุฯบอกว่าตอนบนและตอนกลางของประเทศจะหนาวเย็นลงแบบฉับพลัน คืออุณหภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็วราว 8-10 องศาเซลเซียส หากเป็นดังนั้นจริง อุณหภูมิในกรุงเทพฯคงต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียสเป็นแน่ ส่วนภาคเหนือยิ่งไม่ต้องพูดถึง คงได้เห็นต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส ผู้สูงอายุควรระวังสุขภาพจากอากาศที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ลุงแมวน้ำเริ่มก็กินสมุนไพรฟ้าทะลายโจรเพื่อป้องกันหวัดแล้ว

อากาศเย็นๆ ทำให้ลุงแมวน้ำนึกถึงบทเพลงเก่าบทหนึ่ง ชื่อบทเพลง สายลมเหนือ เป็นเพลงรักหวานๆปนเหงา เศร้านิดๆ คิดถึงหน่อยๆ ลุงแมวน้ำจึงขอนำบทเพลงนี้มาฝากพร้อมทั้งเล่าเกร็ดความเป็นมาให้พวกเราฟังและอ่านกันเพลินๆในวันหยุดนี้


สายลมเหนือ

เพลง สายลมเหนือ นี้ เป็นเพลงในจังหวะควิกวอลตซ์ (quick waltz) ทำนองเพลงเอามาจากเพลงฝรั่งที่ชื่อ Daisy Bell ส่วนเนื้อเพลงนั้นประพันธ์โดยครูไสล ไกรเลิศ ซึ่งลุงแมวน้ำจะขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับความเป็นมาของเพลงสายลมเหนือเสียก่อน จากนั้นจึงจะเล่าเกี่ยวกับเพลง Daisy Bell ในตอนท้าย

ครูไสล ไกรเลิศ เป็นครูเพลงที่โด่งดังมากในยุคก่อน คือเมื่อ 50-60 ปีมาแล้ว เป็นทั้งนักร้องและนักแต่งเพลง โดยเฉพาะฝีมือการประพันธ์เนื้อเพลงนั้นเก่งมาก สามารถเลือกใช้ถ้อยคำ สัมผัส และวรรณยุกต์ได้อย่างลงตัวกับทำนองเพลง อีกทั้งเนื้อหาของเพลงก็คมคาย

แต่ก็นั่นแหละ ในยุคก่อน คำกล่าวที่ว่า ศิลปินไส้แห้งนั้นเป็นความจริง ต่างจากศิลปินนักร้อง นักแสดง นักเขียน ในสมัยนี้ ที่สามารถทำรายได้อย่างงดงาม ส่วนเมื่อก่อนนั้นศิลปินไม่รวยเลย โดยเฉพาะนักเขียน ไม่ว่าจะเขียนนิยายหรือเขียนเพลง ยิ่งจัดว่าเป็นอาชีพที่ไส้แห้งจริงๆ แม้ว่าจะโด่งดังเพียงใดแต่ก็ทำรายได้ไม่ได้มาก เนื่องจากระบบการใช้ลิขสิทธิ์ในยุคนั้น นักเขียนจะขายลิขสิทธิ์ในเพลงหรือนิยายให้แก่นายทุนแบบขายขาด คือรับเงินมาก้อนหนึ่ง แล้วนายทุนก็นำเรื่องหรือเพลงนั้นไปผลิต จะขายได้ร่ำรวยเท่าไร นักเขียนจะไม่เกี่ยวด้วยเลย เพราะขายขาดไปแล้ว แม้แต่นักเขียนชื่อดังอย่าง ป. อินทรปาลิต ซึ่งเขียนนิยายเสือใบ เสือดำ พล นิกร กิมหงวน ที่นักอ่านติดกันงอมแงมทั้งบ้านทั้งเมือง ตัวจริงก็ยังต้องอาศัยอยู่ในบ้านเช่า ไม่มีกำลังที่จะซื้อบ้านเป็นของตนเอง แต่สำนักพิมพ์รวยไม่รู้เท่าไร ซึ่งต่างจากในปัจจุบันที่ระบบการใช้ลิขสิทธิ์เป็นการเช่าเป็นส่วนใหญ่ นักประพันธ์จะได้รับค่าตอบแทนดีกว่าเมื่อสมัยก่อน

ครูไสลก็เช่นกัน เข้าข่ายศิลปินไส้แห้ง แม้มีชื่อเสียงและผลงานแต่ก็ยังต้องอาศัยอยู่บ้านเช่า สำหรับเพลงสายลมเหนือนั้นมีเกร็ดความเป็นมาที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

เนื้อเพลงเพลงสายลมเหนือนี้แต่งขึ้นในปี พ.ศ. 2493 ก็ห้าสิบกว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นเข้าขั้นตกอับ อยู่บ้านเช่าซึ่งค้างค่าเช่าจนถูกตัดน้ำตัดไฟฟ้า ภรรยาก็ทนสภาพไม่ไหว จึงแยกย้ายไปอยู่บ้านแม่ ส่วนครูไสลนั้นก็ยังคงปักหลักเขียนเพลงอยู่ในบ้านที่ไม่มีทั้งน้ำและไฟฟ้า และเพลงสายลมเหนือนี้ก็ถูกกลั่นกรองออกมาในช่วงชีวิตที่คับแค้นช่วงนั้นนั่นเอง


เพลงสายลมเหนือ
คำร้อง ไสล ไกรเลิศ

พริ้วลมลอยอยู่ ดอกบานแล้วดูโสภา
แลสวยงามสง่า อยากเด็ดเจ้ามาไว้ชม
บุญน้อยเลยไม่สมภิรมย์ได้ เฉิดฉวีมีสง่าร้อยมาลัย
เด็ดไปเอาไว้เชย เจ้าเคยเอาไว้ชม
กลัดเสียบผมชมต่างตา คราจากกัน

ฉันคอยเธออยู่ ผ่านเลยฤดูเหมันต์
คอยหายใจหวั่น ภาพเธอผ่องพรรณเย้าตา
คืนนี้จันทร์แจ่มฟ้านภาผ่อง สุขอย่างนี้มีเธออยู่รู้ใจปอง
พี่เชยปรางเนื้อทอง เจ้ามองสะเทิ้นอาย
หลบชม้ายชายเนตรเมินเชิญพี่ชม

ลมเหนือโชยรักเอยเจ้าโรยร่วงหล่น
ใจหม่นทนระทม ลมเหนือเยือนรักเอย
เจ้าเตือนใจข่ม สุดหาใดห่มฤทัย

ลมพัดพามณฑาเจ้าหอมยังไม่สิ้น
หอมเอยเพียงกลิ่นนวลเนื้อละไม
คนรักกันมาพลันห่างเหินเมินไปได้
ไม่เหลือเยื่อใยโอ้ใจเจ้าเอย

ฉันคอยเธออยู่ ผ่านเลยฤดูเหมันต์
คอยหายใจหวั่น ภาพเธอผ่องพรรณเย้าตา
คืนนี้จันทร์แจ่มฟ้านภาผ่อง สุขอย่างนี้มีเธออยู่รู้ใจปอง
พี่เชยปรางเนื้อทอง เจ้ามองสะเทิ้นอาย
หลบชม้ายชายเนตรเมินเชิญพี่ชม


ลองคิดดู หากใครที่อยู่ในสภาพตกอับคับแค้นอย่างนั้น แต่ยังสามารถแต่งเพลงรักหวานๆออกมาได้ ลุงแมวน้ำว่าคนนั้นต้องเป็นคนที่มีกำลังใจเข้มแข็ง ยิ้มสู้กับชีวิต และมองชีวิตในแง่บวกอย่างมากทีเดียว

ในเนื้อเพลง ครูไสลฝากความไปถึงคนรักว่ายังรออยู่เสมอ ทำนองเพลงในจังหวะควิกวอลต์ได้สร้างบรรยากาศหวานๆ อ้อนๆ แอบเหงานิดๆ นอกจากนี้แล้วยังแอบวางมุขใส่ไปในเนื้อเพลงด้วย นั่นคือ ท่อนที่ว่า


       ลมพัดพามณฑา เจ้าหอมยังไม่สิ้น
      หอมเอยเพียงกลิ่น เนื้อนวลละไม


ละไมก็คือชื่อของภรรยาของครูไสลนั่นเอง เป็นการแอบฝากสาสน์ไปถึงภรรยาผ่านทางเนื้อเพลงอย่างแนบเนียน ถ้าไม่บอกก็คงไม่มีใครรู้  ^_^

เพลงนี้บันทึกเสียงในปี พ.ศ. 2494 ผู้ร้องคนแรกคือลุงวิเชียร ภู่โชติ แต่เวอร์ชันนี้ไม่ค่อยดัง ที่ดังและยังขับร้องเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้เป็นเวอร์ชันของลุงสุเทพ วงศ์กำแหง

สำหรับคลิปที่ลุงแมวน้ำนำมาฝากในวันนี้เป็นคลิปเพลงสายลมเหนือ เวอร์ชันที่ร้องโดยลุงสุเทพ คลิปนี้เป็นคลิปของสเก็ตลีลาที่นำเพลงนี้มาใช้ประกอบการเล่นสเก็ต ก็ต้องอธิบายไว้สักหน่อย เดี๋ยวดูแล้วจะงงว่าทำไมสายลมเหนือเกี่ยวอะไรกับการเล่นสเก็ตน้ำแข็ง



Daisy Bell (Daisy, Daisy หรือ A Bicycle Built for Two)


หลังจากที่รู้จักกับเพลงสายลมเหนือแล้ว คราวนี้ ลุงแมวน้ำจะเล่าเกร็ดเกี่ยวกับทำนองของเพลงนี้บ้าง

ทำนองเพลงสายลมเหนือนี้นำมาจากเพลงฝรั่งที่ชื่อเดซีเบลล์ (Daisy Bell) ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อเพลงแต่ดั้งเดิม ซึ่งต่อมาเมื่อเพลงนี้โด่งดัง ก็มีผู้ที่เรียกเพลงนี้ว่า Daisy, Daisy บ้าง หรือบางทีก็เรียกว่า A Bicycle Built for Two บ้าง ตามแต่ความคุ้นปาก ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าเพลงนี้มีหลายชื่อ

เพลงเดซีเบลล์นี้ปัจจุบันมีสถานะเป็นเพลงเด็กหรือเพลงพื้นบ้านที่เด็กอเมริกันคุ้นหูกันดี แต่ที่จริงแล้วเมื่อก่อนจัดเป็นเพลงป๊อปที่โด่งดังมาก ไม่ใช่เพลงเด็ก

เพลงนี้แต่งโดยชาวอังกฤษที่อยู่ในอเมริกา ชื่อ แฮร์รี แด็กเคอร์ (Harry Dacre) แด็กเคอร์เขียนเพลงนี้ในปี พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) หรือเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว

แรงบันดาลใจที่ทำให้แด็กเคอร์เขียนเพลงนี้ก็คือ ตอนที่แด็กเคอร์มาจากอังกฤษได้นำจักรยานมาด้วย ซึ่งการนำจักรยานเข้าไปในประเทศสหรัฐอเมริกาต้องเสียภาษีด้วย ก็น่าจะเป็นราคาพอสมควรอยู่ เพื่อนของแด็กเคอร์จึงล้อเล่นว่าดีนะที่ไม่ได้เอาจักรยานแบบสองที่นั่งมา ไม่อย่างนั้นคงต้องเสียภาษีเป็นสองเท่าของจักรยานที่นั่งเดียว

และนี่เอง ทำให้แด็กเคอร์ปิ๊งความคิดที่จะแต่งเพลงโดยใช้จักรยานสองที่นั่ง (a bicycle built for two หรือเรียกว่า tandems) เป็นหัวข้อ โดยแต่งทำนองในจังหวะควิกวอลตซ์และเขียนเนื้อร้องแบบขำๆ เกี่ยวกับชายหนุ่มที่หลงรักสาวน้อยที่ชื่อเดซี เบลล์ และอยากขอสาวแต่งงาน แต่ด้วยความที่มีเงินน้อย จะจัดรถม้าให้เจ้าสาวนั่งตามธรรมเนียมก็มีเงินไม่พอ จึงตะล่อมสาวคนรักว่าใช้จักรยานสองที่นั่งแทนรถม้าก็ดูเก๋ไม่เบา และตั้งชื่อเพลงนี้ว่า Daisy Bell

จักรยานแบบสองที่นั่งที่เรียกว่า tandems หรือ a bicycle built for two ในเนื้อเพลง



หลังจากที่แด็กเคอร์ประพันธ์เพลงนี้เสร็จ ปรากฏว่าขายไม่ออก คือไม่มีค่ายไหนนำไปผลิต ต่อมาแด็กเคอร์ได้พบกับเคที ลอว์เรนซ์ (Katie Lawrence) นักร้องอเมริกันแต่ได้เจอกันทีลอนดอน ลอว์เรนซ์สนใจเพลงนี้และได้นำไปเปิดการแสดงในลอนดอน ก็ปรากฏว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี


โปสเตอร์โฆษณาการแสดงเพลงเดซีเบลล์ในลอนดอนของเคที ลอว์เรนซ์ ค.ศ. 1892

หลังจากที่ประสบความสำเร็จในลอนดอน ค่ายเพลงในอเมริกาก็ไม่เกี่ยงงอนแล้ว ดังนั้นเพลงนี้จึงดังในอังกฤษก่อน แล้วจึงค่อยมาดังในอเมริกาในเวลาต่อมา และจัดว่าเป็นเพลงอมตะของอเมริกาเพลงหนึ่งในที่สุด

เพลงเดซีเบลล์นี้ เนื้อเพลงดั้งเดิมของแด็กเคอร์ยาวมากทีเดียว แต่ต่อมาก็ถูกตัดทอนให้สั้นลงตามกาลเวลาที่ผ่านไป มีนักร้องที่ร้องเพลงนี้เยอะมาก เนื้อร้องก็มีหลายเวอร์ชันมาก ลุงแมวน้ำหาเพลงต้นฉบับยุคเคที ลอว์เรนซ์ร้องในปี 1892 มาไม่ได้ ที่เก่าแก่ที่สุดที่หามาได้คือเวอร์ชันของเจอรัลด์ แอดัมส์ (Gerald Adams) ที่บันทึกแผ่นเสียงในราวปี ค.ศ. 1925 และอีกเวอร์ชันหนึ่งที่ดังมากคือของแนต คิง โคล (Nat King Cole) ในราวปี ค.ศ. 1963 ให้สังเกตว่าเวอร์ชันของแอดัมส์ เนื้อร้องถูกตัดทอนลงมาจากต้นฉบับเดิม ส่วนของโคลนั้นยิ่งสั้นลงไปอีก เหลือเพียงทำนองในท่อนคอรัสและแปลงเนื้อเพลงออกไปอีก

วันนี้ลุงแมวน้ำพามาฟังเพลงพร้อมทั้งเล่าเกร็ดเล็กๆน้อยๆในอดีต เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ หวังว่าพวกเราฟังเพลงรักหวานๆแล้วคงพอผ่อนคลายความเคร่งเครียดลงได้บ้างนะคร้าบ ^_^




เพลงเดซีเบลล์เวอร์ชันที่ร้องโดยเจอรัลด์ แอดัมส์ ในราวปี 1925 บันทึกลงบนแผ่นเสียงดังที่เห็นในคลิป การเล่นก็ต้องเล่นด้วยเครื่องเล่นแผ่นเสียงซึ่งตัวที่ถ่ายสัญญาณของร่องแผ่นเสียงเป็นสัญญาณแอนาล็อกก็คือหัวเข็มแผ่นเสียงนั่นเอง แผ่นเสียงก่อนปี ค.ศ. 1949 ผลิตด้วยวัสดุครั่ง (shellac) อันเป็นสารผสมในกลุ่มชัน เรซิน ขี้ผึ้ง





เพลงเดซีเบลล์เวอร์ชันที่ร้องโดยแนต คิง โคลในราวปี 1963 เนื้อเพลงในเวอร์ชันนี้ถูกตัดทอนให้สั้นลงเหลือเพียงทำนองในท่อนคอรัสเท่านั้น ภาพนี้เป็นภาพซองใส่แผ่นเสียงพร้อมแผ่นเสียงเพลงเดซีเบลล์ แผ่นเสียงในยุคหลังปี 1949 มีพัฒนาการไปอย่างมาก โดยเปลี่ยนจากวัสดุครั่งไปเป็นวัสดุไวนิลซึ่งเป็นพอลิเมอร์ ปัจจุบันเครื่องเล่นแผ่นเสียงและแผ่นเสียงยังมีซื้อขายกันอยู่ ถือเป็นของเล่นไฮโซ


DAISY BELL
by Harry Dacre

There is a flower within my heart
Daisy, Daisy
Planted one day by a glancing dart
Planted by Daisy Bell
Whether she loves me or loves me not
Sometimes it's hard to tell
yet I am longing to share the lot
Of beautiful Daisy Bell

chorus: Daisy, Daisy give me your answer do
     I'm half crazy, all for the love of you
     It won't be a stylish marriage
     I can't afford a carriage
     But you'll look sweet on the seat
     Of a bicycle built for two


We will go "tandem" as man and wife
Daisy, Daisy
"Ped'ling" away down the road of life
I and my Daisy bell
When the road's dark we can both despise
P'licemen and lamps as well
There are "bright lights" in the dazzling eyes
Of beautiful Daisy Bell

*** CHORUS ***


I will stick by you in "wheel" or woe
Daisy, Daisy
You'll be the bell(e) which I'll ring, you know
Sweet little Daisy Bell
You'll take the "lead" in each "trip" we take
Then if I don't do well
I will permit you to use the break
My beautiful Daisy Bell

*** CHORUS ***