Wednesday, December 31, 2014

เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ หมู่เกาะกาลาปาโกสกับทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน (1)




ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า 2014 และต้อนรับปีใหม่ 2015 นี้มีวันหยุดอยู่หลายวัน สมาชิกในคณะละครสัตว์บางส่วนก็ลากลับภูมิลำเนา บางส่วนก็อยู่รับงานจ๊อบ ช่วงนี้เป็นเทศกาลแห่งความสุขดังนั้นจึงมีจ๊อบให้แสดงอยู่ไม่น้อย ส่วนลุงแมวน้ำก็ไม่ได้ไปไหน อยู่คอยรับงานแสดงและพักผ่อนที่โขดหิน ช่วงนี้อากาศเย็นสบายน่าพักผ่อนเสียด้วย ^_^

ในเช้าวันหยุดนี้ ลุงแมวน้ำได้จัดกิจกรรมเล็กๆให้แก่บรรดาสมาชิกคณะละครสัตว์ นั่นคือ การพาเที่ยวเกาะกาลาปาโกส ก็ไม่ได้พาเที่ยวจริงๆหรอก แต่เป็นการพาเที่ยวทางจอทีวี

“เกาะกาลาปาโกส ชื่อแปลกๆ เกาะนี้มีอะไรดีหรือลุง” ยีราฟสาวจอมวิตกจริตถามขณะที่ลุงแมวน้ำกำลังเตรียมการบรรยายอยู่ในศาลาชมสวน ขณะนี้บรรดาสมาชิกรอชมกันพร้อมพรั่ง แต่ลุงแมวน้ำยังเตรียมอุปกรณ์ไม่เสร็จ

“มีแมวน้ำและสิงโตทะเลเยอะ” ลุงแมวน้ำตอบ

“อ้อ บ้านเก่าของลุงละสิ” ลิงถามบ้าง

“พูดซะ” ลุงแมวน้ำแย้ง “ถิ่นที่อยู่เดิมน่ะเขาเรียกบ้านเดิม ไม่ได้เรียกบ้านเก่า”

“อ้าว บ้านเก่ากับบ้านเดิมนี่ไม่เหมือนกันหรือลุง” ลิงสงสัย

“ไม่เหมือน” ลุงแมวน้ำยืนยัน “เพราะเวลากลับบ้านนั้น วลี กลับบ้านเก่า กับ กลับบ้านเดิม มีความหมายไม่เหมือนกัน ลุงยังไม่อยากกลับบ้านเก่า”

“อ๋อ เข้าใจแระ” ลิงหัวเราะขำ “เล่นมุขก็ไม่บอก ฮิฮิ”

“แต่ที่จริงเกาะกาลาปาโกสไม่ใช่บ้านเดิมของลุงหรอก แมวน้ำที่นั่นเป็นพวกแมวน้ำขนเฟอร์ (fur seal) ญาติของลุง” ลุงแมวน้ำตอบ

“แล้วเกาะนี้มีอะไรดี ลุงถึงเอามาทำเป็นสารคดีท่องเที่ยวเล่าให้พวกเราฟังละจ๊ะ” ฮิปโปสาวถามบ้าง

“หมู่เกาะนี้มีความสวยงาม อีกทั้งยังเป็นเกาะอนุรักษ์พันธุ์พืชและสัตว์ต่างๆ องค์การยูเนสโกจัดให้เป็นมรดกโลกทีเดียวนะ และที่สำคัญก็คือ หมู่เกาะนี้แหละ ที่เป็นสถานที่สำคัญที่ช่วยให้ชาลส์ ดาร์วิน ไขความลับอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติได้เรื่องหนึ่ง นั่นคือ เรื่องวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต” ลุงแมวน้ำตอบ

“ว้า นึกว่าจะที่โน่นมีหุ้นที่น่าลงทุนอะไรทำนองนั้น” ลิงทำหน้าผิดหวัง “นี่ไม่เกี่ยวกับการลงทุนหรอกหรือครับ"

“อะไรจะหายใจหายคอเป็นการลงทุนขนาดนั้น นี่วันหยุดก็คุยกันเรื่องเบาๆบ้างสิ” ลุงแมวน้ำหัวเราะ “แต่จะว่าไปเรื่องนี้ก็เกี่ยวกับการลงทุนอยู่นะ”

“เกี่ยวยังไงครับลุง” ม้าลายถามบ้าง

“ทฤษฎีวิวัฒนาการนั้นเป็นกฎธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่หนีพ้นกฎของธรรมชาติไปได้ ดังนั้นพฤติกรรมของตลาดหุ้นก็เช่นกัน ก็เหมือนเลขฟิโบนาชชี หรือโค้งระฆังคว่ำนั่นแหละ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นกฎธรรมชาติที่เมื่อเราเข้าใจก็สามารถเอามาใช้ประโยชน์ในการลงทุนหรือในการทำธุรกิจได้” ลุงแมวน้ำตอบ “เพียงแต่ต้องใจเย็นๆ ค่อยๆฟังลุงเล่าไปเรื่อยๆ ลุงก็พาเที่ยวไป เล่าโน่นเล่านี่ไป ไม่อยากให้เป็นวิชาการหนักๆ”

“ถ้าเกี่ยวกับการลงทุนละก็น่าสนใจขึ้นมาเชียว ยังงั้นเล่าเลยครับลุง” ลิงเร่ง

“โอ๊ย เมื่อไรจะบรรยายฮะลุงแมวน้ำ ผมกินแครอทรอไปหลายแท่งแล้วฮะ” กระต่ายน้อยเริ่มบ่น “มัวแต่คุย”

“ใจเย็นๆสิ เอาละ ลุงพร้อมแล้ว เรามาเริ่มกันเลย” ลุงแมวน้ำหัวเราะขำท่าทางน่าเอ็นดูของกระต่ายน้อย

เมื่อราวสามสิบปีก่อน การบรรยายที่มีภาพสวยๆประกอบดังเช่นสารคดีท่องเที่ยวนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากมาก ขั้นแรกคือต้องเอาภาพสวยๆเหล่านั้นมาถ่ายเป็นฟิล์มสไลด์เสียก่อน นั่นคือต้องมีกล้องถ่ายรูป จากนั้นนำฟิล์มสไลด์แต่ละรูปมาใส่ในกรอบกระดาษ เมื่อจะใช้งานก็ต้องมีเครื่องฉายสไลด์ อีกทั้งยังต้องมีจอภาพสำหรับฉายสไลด์อีกด้วย การเตรียมสารคดีท่องเที่ยวสักสิบหรือยี่สิบภาพนั้นอาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์และเสียเงินไม่น้อย แต่เดี๋ยวนี้ชีวิตง่ายขึ้นมากอย่างเหลือเชื่อ แค่ค้นหารูปจากอินเทอร์เน็ต จากนั้นใช้โปรแกรมพวกสร้างแกลเลอรี่เรียงร้อยภาพเข้าด้วยกันเป็นชุด เวลาจะใช้งานบรรยายก็มีเพียงแค่แท็บเล็ตต่อกับทีวี แค่ครึ่งชั่วโมงก็เตรียมรูปให้พร้อมบรรยายได้แล้ว

“เอาละนะ ลุงจะเริ่มแล้ว” ลุงแมวน้ำพูด “ลุงจะฉายภาพพร้อมกับเล่าเรื่องให้ฟัง ก็มีทั้งภาพท่องเที่ยวและที่เกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการ ได้ทั้งความบันเทิงและความรู้ไปด้วย”


หมู่เกาะกาลาปาโกสอยู่ที่ใด





“ใครรูบ้างว่าเกาะกาลาปาโกสอยู่ที่ไหน” ลุงแมวน้ำถามหลังจากฉายภาพแรกขึ้นในจอทีวีขนาด 40 นิ้ว บรรดาสมาชิกร้องอู้ฮูในความสวยงาม

“ยังกะเกาะสิมิลัน สงสัยอยู่ในทะเลอันดามันละมั้ง” ลิงจ๋อเดา

“ผิดนะคร้าบ” ลุงแมวน้ำตอบ “เกาะกาลาปาโกสนี้ที่จริงต้องเรียกว่าหมู่เกาะ เพราะว่าไม่ได้มีเพียงเกาะเดียว หมู่เกาะกาลาปาโกส (Galápagos Islands) นี้เป็นส่วนหนึ่งของ ประเทศเอกวาดอร์ (Ecuador) ในทวีปอเมริกาใต้ด้านมหาสมุทรแปซิฟิก”




“โอ้โฮ อยู่ไกลจากประเทศไทยมากเลย แล้วจะไปเที่ยวกันไหวมั้ยเนี่ย คงแพงน่าดู ลุงแมวน้ำเคยไปหรือยัง” ลิงถามอีก

“อยู่ไกลจากประเทศไทยมาก” ลุงแมวน้ำตอบ “หากวัดระยะทางจากกรุงเทพฯไปยังเมืองกิโต เมืองหลวงของเอกวาดอร์ ก็ราวๆ 18,500 กิโลเมตรทีเดียว ส่วนหมู่เกาะกาลาปาโกสนี้อยู่ห่างจากชายฝั่งเอกวาดอร์ออกไปอีกประมาณ 1,000 กม รวมแล้วก็ร่วมๆ 20,000 กิโลเมตร หากนั่งเครื่องบินก็ต้องบินกันราว 36-40 ชั่วโมง ต่อเครื่องหนึ่งถึงสองครั้งแล้วแต่สายการบิน เดี๋ยวนี้บ้านเรามีทัวร์ไปยังหมู่เกาะกาลาปาโกสแล้ว ค่าทัวร์ประมาณ 300,000 บาท ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ ลุงเองก็ยังไม่เคยไป แต่ก็เป็นความฝันเล็กๆของลุงประการหนึ่ง”


ประเทศเอกวาดอร์และหมู่เกาะกาลาปาโกส สวรรค์ของผู้แสวงหาธรรมชาติ





“หมู่เกาะกาลาปาโกสนี้เป็นหมู่เกาะที่ประกอบด้วยเกาะหลัก 19 เกาะ และโขดหินอีกราว 40 โขด ในส่วนที่เป็นเกาะหลักนั้นเป็นเกาะขนาดใหญ่อยู่ 5 เกาะ






“หมู่เกาะกาลาปาโกสนั้นอยู่ในแนวเส้นศูนย์สูตรเช่นเดียวกับประเทศอินโดนีเซีย แต่อยู่กันคนละซีกโลก มีพืชและสัตว์อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเต่ายักษ์ ซึ่งชื่อ Galápagos นั้นมาจากภาษาสเปนโบราณ Galápago หมายถึงเต่า และชื่อประเทศ Ecuador ก็หมายถึงอีเควเตอร์ (equator) หรือเส้นศูนย์สูตรนั่นเอง เห็มไหมว่าทั้งชื่อประเทศและชื่อเกาะล้วนแต่มีที่มาทั้งนั้น






“เราแวะมาพูดถึงประเทศเอกวาดอร์บนแผ่นดินใหญ่ของอเมริกาใต้กันก่อน แล้วค่อยไปต่อ ประเทศเอกวาดอร์ตั้งอยู่ในแนวเส้นศูนย์สูตรเช่นเดียวกัน เคยเป็นอาณานิคมของสเปนมาก่อน ดังนั้นแม้ในปัจจุบันภาษาทางการของเอกวาดอร์จึงเป็นภาษาสเปน แต่ทว่าเงินตราของเอกวาดอร์กลับใช้เงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา มีเมืองหลวงชื่อกีโต (Quito)

“เอกวาดอร์มีพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศไทยแต่มีประชากรเพียง 16 ล้านคน ส่วนหมู่เกาะกาลาปาโกสนั้นมีขนาดใกล้เคียงกับขนาดของกรุงเทพฯแต่มีประชากรเพียง 20,000 คน

“ทางด้านเศรษฐกิจนั้นประเทศเอกวาดอร์มีจีดีพีต่อหัว 5,310 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี ซึ่งสูสีกับประเทศไทย ดังนั้นความเจริญของชุมชนเมืองจึงมีไม่น้อยเลยทีเดียว






“กลับมาพูดถึงหมู่เกาะกาลาปาโกสกันต่อ หมู่เกาะนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกมาสิบกว่าปีแล้ว ความโดดเด่นของหมู่เกาะกาลาปาโกสคือมีสภาพแวดล้อมที่เป็นเอกเทศ ค่อนข้างตัดขาดจากโลกภายนอก อีกทั้งมีความหลากหลายทางพันธุกรรม ซึ่งปัจจัยต่างๆเหล่านี้ประกอบกันทำให้กาลาปาโกสเป็นเสมือนห้องทดลองทางธรรมชาติวิทยาที่ใช้ศึกษาปรากฏการณ์ทางด้านวิวัฒนากรของสิ่งมีชีวิตได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันหมู่เกาะนี้เป็นพื้นที่อนุรักษ์เนื่องจากถูกภัยคุกคามจากมนุษย์ มีสิ่งมีชีวิตจำนวนไม่น้อยที่สูญพันธุ์ไปแล้วและกำลังสูญพันธุ์






“ไหนว่าที่นี่มีสิงโตทะเลและแมวน้ำไงฮะ ยังไม่เห็นเลย” กระต่ายน้อยถาม


สิงโตทะเลแอ๊บแบ๊ว



“มีสิ นี่ไง” ลุงแมวน้ำตอบพลางเลื่อนภาพไปยังภาพต่อไป “ที่นี่มีแมวน้ำและสิงโตทะเลเยอะทีเดียว แมวน้ำชนิดที่มีมากคือแมวน้ำเฟอร์ (fur seal) แมวน้ำกับสิงโตทะเลเป็นญาติที่ใกล้ชิดกันมาก หากไม่คุ้นเคยบางทีก็แยกไม่ออก สิงโตทะเลค่อนข้างคุ้นเคยกับผู้คนมากกว่า ส่วนแมวน้ำจะอยู่ห่างๆ ดังนั้นที่เห็นป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆคนมักเป็นสิงโตทะเล ลองดูคลิปนี่สิ




“นี่เป็นคลิปที่ตลาดปลาในหมู่เกาะกาลาปากอส สิงโตทะเลกับนกพิลิแกนทำเนียนมาขอปลากินฟรีๆ ซึ่งพ่อค้าแถวนั้นก็คุ้นเคยดีและมักเลี้ยงปลาให้เป็นประจำ ทำให้เกิดภาพน่ารักๆแบบในคลิปนี้ และนี่แหละที่ทำให้ผู้ที่หลงใหลในธรรมชาติอยากมาเที่ยวที่เอกวาดอร์และหมู่เกาะกาลาปากอส”

Tuesday, December 16, 2014

สงครามราคาน้ำมันดิบและกลยุทธ์การลงทุน (2)


สัดส่วนของรายได้จากน้ำมันดิบในโครงสร้างรายได้ของประเทศผู้ส่งออกพลังงานทั้งในและนอกกลุ่มโอเปก




หลังจากที่ดูดน้ำปั่นจนชื่นใจ ลุงแมวน้ำจึงล้วงเอากระดาษออกมาอีกปึกหนึ่งออกมาจากหูกระต่าย จากนั้นพูดต่อ

“เอาละ สดชื่นขึ้นแล้ว เรามาคุยกันต่อ ลุงมีเหตุผลหลายประการทีเดียวที่คิดว่าราคาน้ำมันดิบจะไม่คงตัวอยู่ในระดับที่ต่ำนัก จริงอยู่ ตอนที่ตกใจราคาอาจดิ่งลงไปลึก แต่นั่นจะเกิดเพียงช่วงสั้นเท่านั้น ต่อมาเมื่อหายตกใจแล้วราคาน้ำมันดิบจะขยับขึ้นมาทรงตัวในระดับที่พอสมควร เรามาฟังเหตุผลกัน



เหตุผลสี่ประการที่ราคาน้ำมันดิบ 2015 น่าจะเกินกว่า 60 ดอลลาร์ สรอ/บาเรล


ข้อแรก เทคโนโลยีการผลิตน้ำมันและแก๊สจากชั้นหินดินดานหรือที่เรียกว่าเชลออยล์ (shale oil) เชลแก๊ส (shale gas) รวมทั้งพลังงานทางเลือกอื่นๆนั้นฆ่าไม่ตายหรอก ที่ทำได้เพียงชะลอการลงทุนให้เนิ่นช้าออกไปเท่านั้น

ข้อสอง เราลองมาดูภาพนี้กัน


ต้นทุนการผลิตพลังงานจากแหล่งผลิตต่างๆ


“ภาพนี้เป็นภาพที่เผยแพร่ส่งต่อให้ดูกันมากในช่วงนี้ นั่นคือ โครงสร้างต้นทุนการผลิตพลังงานต่างๆ ซึ่งจะเห็นว่าต้นทุนการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มตะวันออกกลางซึ่งก็คือกลุ่มโอเปกนั้นอยู่ในช่วง 10-40 ดอลลาร์ สรอ/บาเรล หรือเฉลี่ยแล้วประมาณ 27 ดอลลาร์ สรอ/บาเรล ก็เลยเป็นที่มาที่โอเปกพูดทำนองว่าขายราคาแถวๆ 40 ดอลลาร์ สรอ/บาเรลก็ยังพอมีกำไร นักลงทุนก็ตกใจกันว่าราคาน้ำมันดิบอาจดิ่งลงไปอีกแถวๆ 40 ดอลลาร์เหมือนเมื่อปี 2008 รวมทั้งเทคโนโลยีอื่นๆต้องตายแน่ๆ แต่เราลองมาดูภาพนี้กันก่อน


ราคาน้ำมันเฉลี่ยที่จะทำให้กลุ่มประเทศโอเปกทำงบประมาณแบบสมดุลได้ สังเกตว่าซาอุดิอารเบียต้องการราคาน้ำมันถึง 104 ดอลลาร์ สรอ/บาเรลเพื่อให้มีรายได้เข้าประเทศอย่างเพียงพอ


ดัชนีตลาดหุ้นของซาอุดิอารเบีย คูเวต และสหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาที่เกิดสงครามตัดราคาน้ำมันดิบ เป็นตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของประเทศทั้งสามเริ่มเสียหายแล้ว หากยังคงตัดราคากันอย่างหนักเศรษฐกิจภายในย่อมขาดเสถียรภาพ


กราฟ TADAWUL อันเป็นกราฟดัชนีตลาดหุ้นของซาอุดิอารเบีย ดัชนีตลาดหุ้นนี่แหละเป็นตัวบ่งชี้เศรษฐกิจระดับบนได้อย่างดี ลุงแมวน้ำพล็อตดัชนีร่วมกับราคาน้ำมันดิบ จะเห็นว่าระดับราคาน้ำมันดิบ WTI ที่สอดคล้องกับช่วงตลาดหุ้นขาขึ้นนั้นอยู่ในกรอบราคา $80-110 usd โดยในช่วงครึ่งปีหลังของ 2014 นี้นับตั้งแต่ราคา WTI ต่ำกว่า 90 ดอลลาร์ สรอ/บาเรล ตลาดหุ้นซาอุก็ร่วงลงไปแล้วกว่า -30%

แปลความได้ว่าระดับราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ทำให้เศรษฐกิจของซาอุเจริญเติบโตได้น่าจะอยู่แถวๆ 80-110 ดอลลาร์ สรอ/บาเรลนี้ นี่เป็นการดูในเชิงกราฟอย่างง่ายๆ แต่ได้ผลดี ไม่ต้องไปคำนวณอะไรมากมาย เพราะเราดูแนวโน้ม ไม่ได้ดูตัวเลขละเอียด ดังนั้นที่โอเปก และโดยเฉพาะซาอุ บอกว่าราคาแถว 40-50 ดอลลาร์ สรอ/บาเรลยังอยู่ได้ชิลๆ คิดว่าไม่น่าจะชิล น่าจะก้นร้อนนั่งไม่ติดเก้าอี้มากกว่า แต่นี่คือสงครามราคาและสงครามจิตวิทยาก็อาจต้องบลัฟกันไว้ก่อน


“เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าประเทศในกลุ่มโอเปกนั้นมีหลายประเทศที่รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศคือการขายน้ำมันดิบ เช่น อิรัก คูเวต ซาอุดิอารเบีย แอลจีเรีย ฯลฯ คุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศเหล่านี้ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันดิบ และจากภาพที่ลุงนำมาให้ดูนี้คือราคาน้ำมันดิบที่ทำให้ประเทศต่างๆมีรายได้เพียงพอที่จะมาทำงบประมาณของประเทศ ลองดูอย่างประเทศซาอุสิ ราคาน้ำมันที่ทำให้ซาอุมีรายได้เข้าประเทศอย่างเพียงพอนั้นอยู่ที่ 106 ดอลลาร์ หมายความว่าซาอุต้องขายน้ำมันดิบในราคาประมาณ 106 ดอลลาร์ สรอ/บาเรล จึงจะมีรายได้เพียงพอที่จะไปทำงบประมาณของประเทศ ส่วนประเทศลิเบีย แอลจีเรีย อิหร่าน ไนจีเรีย เหล่านี้ยิ่งต้องการราคาน้ำมันดิบที่สูงกว่านี้ ดังนั้น หากขายราคาน้ำมันดิบต่ำกว่านี้มากเท่าไรก็หมายความว่าต้องปรับลดงบประมาณอย่างมากมาย ซึ่งจะทำให้ประชาชนในประเทศเหล่านี้ไม่สามารถดำรงคุณภาพชีวิตเช่นเดิมได้ คุณภาพชีวิตต้องแย่ลงมากๆ

ต้นทุนการผลิตน้ำมันดิบของแต่ละประเทศก็เรื่องหนึ่ง แต่รายได้เข้าประเทศที่ต้องการนั้นสำคัญกว่า ดังนั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่ประเทศในกลุ่มโอเปกจะตัดราคากันในระยะยาว เพราะนั่นเท่ากับว่าเป็นการตายประชดป่าช้า

ข้อสาม ตอนนี้เศรษฐกิจโลกค่อยๆฟื้นตัวอย่างช้าๆ ดังนั้นความต้องการใช้พลังงานจึงไม่สูงมาก แต่อีกไม่กี่ปีเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวมากขึ้น ความต้องการใช้น้ำมันดิบจะเพิ่มมากขึ้นอีก ทำให้ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นได้อีกตามกลไกอุปสงค์อุปทาน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ราคาน้ำมันดิบจะต่ำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานมาก

ข้อสี่ ตอนนี้ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกเริ่มฟื้นตัว ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกมากในภาวะราคาน้ำมันดิบตกต่ำ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าการลงทุนของโลกจะหวนกลับเข้ามาในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) อีกวาระหนึ่งหลังจากที่ถูกทิ้งไปหลายปี ซึ่งสอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งหากปี 2015 เป็นปีแห่งการฟื้นตัวของกลุ่มคอมมอดิตีจริงละก็ ราคาน้ำมันดิบก็จะมีแรงเก็งกำไรขาขึ้นเข้ามาด้วยเช่นกัน เพราะน้ำมันดิบเป็นสินค้าโภคภัณฑ์อย่างหนึ่ง

“ดังนั้นหากให้ลุงฉายภาพอนาคตข้างหน้า หรือที่เรียกว่าสร้างซีนาริโอขึ้นมา ลุงก็คงฉายภาพให้เห็นว่าในปี 2015 สงครามตัดราคาน้ำมันดิบในกลุ่มโอเปกจะทำให้ราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับต่ำแต่ไม่ต่ำมากนัก การตัดราคาเกิดจากการต้องการรักษาส่วนแบ่งการตลาดและต้องการสภาพคล่องเข้าประเทศเป็นหลัก แต่ว่าราคาเฉลี่ยน่าจะเกิน 60 ดอลลาร์/บาเรล 

“ราคาน้ำมันดิบที่ถูกลงชั่วคราวจะทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจดีขึ้น โดยเฉพาะจีน เพราะจะทำให้จีนใช้นโยบายระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆได้มากขึ้นโดยไม่ต้องพะวงกับภาะเงินเฟ้อ และเมื่อจีนฟื้นตัวได้เร็วขึ้น การบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆจะดีขึ้น ประกอบกับอเมริกาฟื้นตัว ดังนั้นคาดว่าปี 2015 จะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างจริงจัง นำโดยจีน ส่วนยุโรปก็จะค่อยๆดีขึ้น

“เดิมทีลุงแมวน้ำคาดว่าราคาน้ำมันจะทรงตัวในระดับค่อนข้างต่ำสัก 3 ปี แต่จากแนวโน้มเบื้องต้นของราคาสินค้าเกษตร ทำให้ลุงปรับมุมมองใหม่ ลุงคาดการณ์ใหม่ว่าราคาน้ำมันดิบที่ตกต่ำในระยะเวลาประมาณ 1-2 ปีเท่านั้น  ระยะเวลาเท่านี้คงไม่ทำให้บริษัทพลังงานขนาดใหญ่เจ๊ง รวมทั้งรัสเซียก็คงไม่เจ๊ง แค่ลำบากหน่อย ส่วนบริษัทพลังงานเล็กๆที่สายป่านสั้นอาจมีเจ๊งบ้าง แต่ผลกระทบคงไม่ใหญ่โต”



กลยุทธ์การลงทุน 2015 มุมมองในภาพใหญ่


“ฟังแล้วโลกสวยจัง” ลิงหัวเราะออกมาได้ “แต่ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้น”

“โลกสวยไม่สวยไม่รู้ ลุงก็มองของลุงแบบแมวน้ำๆอย่างนี้แหละ แน่นอน ต่างจิตต่างใจ ต่างความคิด ผู้ฟังก็ต้องพิจารณาเหตุผล” ลุงแมวน้ำพูด

“ถ้าอย่างนั้นลุงมองกลยุทธ์การลงทุนในปี 2015 อย่างไรบ้างละจ๊ะ” ยีราฟถามบ้าง “ฉํนจะทำยังไงกับหุ้นโทรศัพท์ดี”

“กลยุทธ์การลงทุนก็คือ ตอนนี้หลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่มพลังงานต้นน้ำซึ่งก็คือหุ้นผู้สำรวจ ขุดเจาะ และผลิตพลังงานและพลังงานทางเลือกเอาไว้ก่อน รวมทั้งหลีกเลี่ยงหุ้นปิโตรเคมีต้นน้ำ และโรงกลั่น เอาไว้ก่อน เนื่องจากฝุ่นยังตลบอยู่ ใครจะขาดทุนสต็อกน้ำมัน ใครจะมีรายได้ลดลงเท่าไร ตอนนี้ยังประเมินไม่ได้เนื่องจากราคาน้ำมันดิบยังไม่นิ่ง ดังนั้นควรรอดูไปก่อน ราวๆต้นปี 2015 ก็น่าจะนิ่งแล้วและถึงตอนนั้นก็คงพิจารณาเข้าลงทุนได้

“ส่วนหุ้นในกลุ่มพลังงานปลายน้ำและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปลายน้ำ ได้แก่ธุรกิจซื้อมาขายไป คือรับสินค้ามาขาย กลุ่มนี้ในปี 2015 น่าจะได้ประโยชน์ เพราะสินค้าราคาถูกย่อมขายดีขึ้น

“หุ้นของธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ของพลังงานต้นน้ำ คือกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซ่อมบำรุงต่างๆคงมีรายได้ในปี 2015 น่าจะลด ควรหลีกเลี่ยงไว้ก่อนและค่อยพิจารณาเข้าลงทุนในภายหลัง

“หุ้นในกลุ่มพลังงานทางเลือกที่อยู่ในตลาดหุ้นไทย ส่วนใหญ่แพงแล้ว คือมีพีอีสูงถึงสูงมาก ซื้ออนาคตไปแล้วหลายปีล่วงหน้า ต้องระมัดระวัง เนื่องจากภาครัฐกำลังปรับโครงสร้างราคาและการส่งเสิรมพลังงานทดแทน ยกตัวอย่างเช่นการส่งเสริมพลังงานทดแทน เดิมส่งเสริมด้วยระบบให้ค่าแอดเดอร์ (adder) คือให้เงินอุดหนุนจำนวนหนึ่งเพิ่มจากราคาขายเข้าไป แต่ระบบนี้ไม่ได้ใช้แล้ว ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นระบบราคาเหมาจ่าย (FIT, feed-in tariff) ยกตัวอย่างเช่นโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มก็รับซื้อไฟฟ้าในราคา 5.6 บาทแน่นอนตลอดอายุสัญญา 25 ปี เป็นต้น สรุปว่ากำไรจะลดลงจากเมื่อก่อนมาก ดังนั้นนักลงทุนรายย่อยต้องตระหนักถึงข้อเท็จจริงเรื่อง FIT ให้ถ่องแท้ก่อนเข้าลงทุน

“ส่วนกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาพลังงานต่ำมีเยอะ หากมองในระดับประเทศ ประเทศที่ต้องนำเข้าพลังงานล้วนแต่ได้รับอานิสงส์ทั้งสิ้น เช่น จีน ยุโรป ญี่ปุ่น รวมทั้งไทย

“และหากพิจารณาหุ้นกลุ่มต่างๆในตลาดหุ้นไทย ยกเว้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำและธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับผลกระทบเชิงลบแล้ว การที่น้ำมันราคาถูกลงเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมการผลิตและบริการต่างๆ ภาครัฐจะมีพื้นที่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หาก กนง จะพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยสักหนึ่งสลึงในเร็วๆนี้ก็ย่อมเป็นไปได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเฟ้อหรือเงินไหลออก ก็มองหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง อสังหาฯ ขนส่งทางเรือ รองลงมาคือธนาคาร สื่อสาร

“ตอนนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไหลลงเนื่องจากหุ้นในกลุ่มพลังงานมีน้ำหนักถ่วงดัชนีค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงพาให้ตลาดโดยรวมตกใจและมีแรงขายในหุ้นเกือบทุกกลุ่ม แต่ในอีกแง่หนึ่งนี่คือโอกาสสำหรับการลงทุนเนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลงมา



จับตาสินค้าโภคภัณฑ์ 2015



ราคาถั่วเหลืองตลาดโลกกำลังเป็นแนวโน้มขาขึ้น


ราคาข้าวโพดตลาดโลกกำลังเป็นแนวโน้มขาขึ้น

“นอกจากนี้จับตาราคาสินค้าเกษตรเอาไว้ หากสินค้าเกษตรมาแปลว่าปี 2015 กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์มา ตลาดหุ้นในภาพรวมอาจแผ่วลงไปบ้าง เพราะเงินอาจไหลไปเข้าตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ยังเลือกลงทุนในหุ้นเป็นรายตัวได้

“หากสินค้าเกษตรราคาดี ราคาข้าวกับยางพาราจะดีขึ้นด้วยกลไกตลาดเอง และกำลังซื้อในประเทศจะดีขึ้น หุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคจะฟื้นตัวได้

“ราคาทองคำน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ส่วนราคาทองคำจะวิ่งในปี 2015 หรือไม่ยังดูยาก ต้องติดตามกันอีกระยะหนึ่ง แต่อย่างน้อยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และนี่ก็เป็นภาพใหญ่และกลยุทธ์หลักในปี 2015 ส่วนรายละเอียดเราค่อยๆมาคุยกันต่อไป”

“ฟังแล้วค่อยมีกำลังใจหน่อย” ยีราฟถอนหายใจ “นายจ๋อทำให้ฉันเสียขวัญไปหมด”

“การลงทุนในตลาดหุ้นไม่ใช่เรื่องง่ายนักกหรอก แม่ยีราฟต้องค่อยๆศึกษาแนวทางการลงทุนที่มีความสุข เรื่องนี้สำคัญกว่าการลงทุนให้มีกำไรมากมายเสียอีก เพราะการเสียสุขภาพจิตน่ะมันไม่คุ้มหรอก ได้เงินเยอะแล้วต้องเป็นทุกข์ สู้ได้เงินพอประมาณแล้วมีความสุข มันจะดีกว่าไหม แม่ยีราฟก็ค่อยๆศึกษาไป มีอะไรก็มาคุยกัน”


Monday, December 15, 2014

สงครามราคาน้ำมันดิบและกลยุทธ์การลงทุน (1)






เช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ขณะที่ลุงแมวน้ำกำลังนั่งจิบกาแฟอ่านหนังสืออยู่บนโขดหินก็ได้ยินเสียงกุบกับๆ เสียงนั้นดังเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็เห็นยีราฟสาวกำลังห้อตะบึงมาทางโขดหินพร้อมกับลิงจ๋อนั่งอยู่บนหลัง ทั้งสองมีสีหน้าแตกตื่น

“กรี๊ด” ยีราฟกรีดร้องเสียงดัง “แย่แล้วลุงแมวน้ำ ทำยังไงดี”

“แล้วลุงจะรู้ไหมเนี่ยว่าเรื่องอะไรกัน” ลุงแมวน้ำละสายตาจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ “จู่ๆก็ร้องเอะอะวิ่งเข้ามา”

“ราคาน้ำมันดิบดิ่งโลก” ลิงจ๋อพูดด้วยน้ำเสียงแตกตื่น “หุ้นตกกันวินาศสันตโร”


ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2014 และปรับตัวลงแรงในช่วงปลายปี


“สัปดาห์ที่แล้วหุ้นตกไปหลายสิบจุดก็รู้กันแล้วนี่ ทำไมเพิ่งจะมาตกใจล่ะ” ลุงแมวน้ำยังงุนงง

“ก็ใช่ แต่นั่นหุ้นตกเฉยๆแต่ว่าตอนนี้ข่าวออกมาแล้วว่านี่อาจเป็นวิกฤตราคาน้ำมันที่ตกต่ำอาจพาให้เศรษฐกิจโลกดิ่งเหว” ลิงจ๋อพูดละล่ำละลัก “คราวนี้ได้พังกันเป็นแถบๆ”

“พอร์ตของฉันแดงเถือกไปหมดเลย กรี๊ดดดดด” ยีราฟร้องอีก

ลุงแมวน้ำรีบหยิบที่อุดหูแบบที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมออกมาอุดหูเอาไว้

“ใจเย็นๆแม่ยีราฟ อย่าเพิ่งเอะอะไป เดี๋ยวลุงหูหนวกกันพอดี เสียงแม่ยีราฟเกิน 120 เดซิเบลแล้วมั้งเนี่ย” ลุงแมวน้ำพูด แล้วหันมาทางลิงจ๋อ “แล้วที่นายจ๋อพูดนี่มันยังไงกัน พอน้ำมันแพงก็บอกเศรษฐกิจโลกจะดิ่งเหว นี่น้ำมันถูกยังบอกเศรษฐกิจโลกจะดิ่งเหวอีก ทำไมถึงได้ดิ่งเหวง่ายนัก เศรษฐกิจโลกนะไม่ใช่บันจี้จัมพ์”

“โอ๊ย ลุงแมวน้ำไม่ได้ติดตามข่าวเลยหรือไง” ลิงพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ “เห็นลุงอ่านหนังสือผมยังนึกว่าลุงอ่านพวกข่าว วิเคราะห์เศรษฐกิจอยู่เสียอีก”

“เปล่า ลุงกำลังดูรายการแสดงสตรีตโชว์ที่สวนลุมอยู่ กำลังวางแผนว่าเย็นนี้ลุงจะไปดูการแสดงอะไรบ้าง” ลุงแมวน้ำตอบ

“ตลาดหุ้นแดงเดือด เศรษฐกิจโลกจะพังอยู่แล้ว ลุงแมวน้ำยังใจเย็นดูการแสดงได้อีก” ลิงพูด

“ราคาน้ำมันดิ่งทำไมหุ้นโทรศัพท์ของฉันต้องดิ่งไปด้วยล่ะ” ยีราฟปล่อยโฮออกมา “แล้วฉันจะทำยังไงดี”

“นายจ๋อเล่าให้ลุงฟังหน่อยสิ ว่าราคาน้ำมันดิบตกต่ำแล้วทำให้เศรษฐกิจโลกพังได้ยังไง” ลุงแมวน้ำถาม “แม่ยีราฟให้นายจ๋ออธิบายมาก่อน อย่าเพิ่งตกใจ ตอนนี้อย่าว่าแต่หุ้นโทรศัพท์ของมียีราฟเลย หุ้นดาวเทียม ไฟฟ้า น้ำประปา โรงพยาบาล ธนาคาร บ้าน คอนโด ฯลฯ อะไรก็ลงไปหมดนั่นแหละ”

“ก็เท่าที่อ่านข่าวและบทวิเคราะห์เศรษฐกิจ สรุปได้ว่าราคาน้ำมันดิบโลกดิ่งเหวนี้เป็นสงครามราคา กลุ่มโอเปกต้องการสกัดเทคโนโลยีการสกัดน้ำมันและก๊าซจากชั้นหินดินดาน จึงลดราคาน้ำมันดิบลงอย่างฮวบฮาบ” ลิงจ๋ออธิบาย

“แล้วเศรษฐกิจโลกจะดิ่งเหวได้ยังไง น้ำมันราคาถูกน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่านะ” ลุงแมวน้ำแย้ง

“ลุงยังไม่รู้อะไร” ลิงพูด “ราคาน้ำมันดิบที่ต่ำมากจะทำให้บริษัทที่ผลิตเชลออลย์เจ๊งได้ หุ้นพลังงานถึงได้ดิ่ง นี่ทำให้ตลาดหุ้นเสียหายและนักลงทุนเสียหายได้มากมายเชียวนะลุง” ลิงอธิบาย “ยังมีอีก ราคาน้ำมันดิบต่ำอาจทำให้ยุโรปอยู่ภาวะเงินเฟ้อต่ำจนอาจถึงขั้นเงินฝืดได้ คราวนี้ปัญหายุโรปจะยิ่งแก้ไม่ออก รวมทั้งบางประเทศอาจถึงขั้นถังแตกและต้องผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรก็ได้ อย่างเช่นรัสเซีย ถ้ายุโรปและรัสเซียเกิดวกฤติเศรษฐกิจขนาดนั้นก็จะพาให้เศรษฐกิจโลกดิ่งเหวได้”

“นี่นายจ๋อมองในทางร้ายเกินไปไหม” ลุงแมวน้ำถาม

“เท่าที่อ่านมาผมว่าก็มีเหตุผลนะ ดูอย่างวิกฤติราคน้ำมันดิ่งในปี 2008 สิลุง ตอนนั้นโลกก็เกิดวิกฤตเศรษฐกิจไม่ใช่หรือ” ลิงตอบ


ราคาน้ำมันดิบดิ่งโลกปี 2008 ครั้งนั้นต่างจากครั้งนี้


“เอาละ ลุงเข้าใจแนวความคิดของนายจ๋อแล้ว แต่ว่าจากสถานการณ์ที่เกิดตรงหน้านี้ แต่ละคนก็ย่อมพยายามหาเหตุผลมาอธิบาย และพยายามคาดการณ์ข้างหน้ากันไปต่างๆนานา ลองมาฟังมุมมองของลุงแมวน้ำดูบ้างไหม” ลุงแมวน้ำถาม

“พูดแบบนี้แสดงว่าลุงคิดไม่เหมือนกับผม” ลิงพูด “ลุงลองว่ามาสิครับ”

“แต่ฉันเชื่อเหตุผลของนายจ๋อนะลุง” ยีราฟเสริมขึ้นบ้าง น้ำตายังรื้นอยู่ที่ดวงตา “ฉันว่ามันคงแย่จริงๆนั่นแหละ”

“ก่อนอื่นเรามาดูราคาน้ำมันดิบในอดีตกันก่อน” ลุงแมวน้ำพูดพลางล้วงเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากหูกระต่าย “นี่เป็นราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ของตลาดสหรัฐอเมริกา”




หลังจากที่ลุงแมวน้ำกางกราฟราคาน้ำมันดิบให้ลิงและยีราฟดูจึงพูดต่อ

“เราคงต้องมาทำความเข้าใจกับที่มาที่ไปของการที่ราคาน้ำมันดิ่งในช่วงปี 2008 ราคาน้ำมันที่ดิ่งลงไม่ได้ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ รวมทั้งวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ก็ไม่ได้เป็นส่วนที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบดิ่งโดยตรง เรื่องของเรื่องมาจากการแข่งขันโอลิมปิกของจีนเป็นประเด็นหลัก”

“เอ๊ะ ยังไง ลุง ทำไมถึงได้เป็นยังไง ไม่เหมือนกับที่ผมได้ยินมาเลย” ลิงงง

“จีนเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิก ณ กรุงปักกิ่งในปี 2008 ก่อนหน้านั้นหลายปีจีนมีการเตรียมการ ระดมสร้างสนามกีฬา ที่พัก และสาธารณูปโภคอื่นๆเพื่อรองรับการจัดการแข่งขันโอลิมปิกในครั้งนี้ จีนนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆทั้งน้ำมันดิบ วัสดุก่อสร้าง รวมทั้งสินค้าเกษตรเป็นจำนวนมาก ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะแรงเก็งกำไร ตอนต้นปี 2007 ราคาน้ำมันดิบ WTI อยู่ต่ำกว่า 60 ดอลลาร์ สรอ/บาเรล แต่พอถึงกลางปี 2008 ราคาน้ำมันดิบ WTI กลายเป็น 140 ดอลลาร์กว่าๆ เมื่อการเตรียมการต่างๆเสร็จสิ้นลง ความต้องการที่มากผิดปกติก็หมดไป ราคาน้ำมันดิบจึงเริ่มดิ่งเหว ประกอบกับพิษของวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เข้ามาผสมด้วย ทำให้ความต้องการใช้พลังงานของอเมริกากับยุโรปลดลง แต่นั่นแค่เหตุการประกอบ จริงๆแล้วเกิดจากแรงเทขายหลังโอลิมปิกของจีนทำให้ตลาดเกิดความแตกตื่น ยิ่งแตกตื่นราคาก็ยิ่งดิ่ง ดังนั้น แค่เพียงไม่กี่เดือนในช่วงปลายปี 2008 ราคาน้ำมันดิบก็ดิ่งลงจาก 140 ดอลลาร์ สรอ/บาเรลเหลือเพียง 37 ดอลลาร์เท่านั้น ตอนนั้นมีนักลงทุนและผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต่างๆที่ขาดทุนจากสต็อกน้ำมันดิบและการเทรดน้ำมันดิบเป็นจำนวนมาก นั่นคือที่มาที่ไปของวิกฤตราคาน้ำมันเมื่อปี 2008

“ที่จริงไม่ได้ดิ่งเหวแต่เพียงน้ำมันดิบเท่านั้น แต่สินค้าโภคภัณฑ์อื่น ทั้งถ่านหิน โลหะอุตสาหกรรม สินค้าเกษตร ค่าระวางเรือ ล้วนแต่ดิ่งเหวกันหมด ซึ่งสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบดิ่งเหวในปี 2008 ต่างจากตอนนี้ ตอนนั้นเกิดจากการเก็งกำไรกันอย่างหนักจนราคาไล่ขึ้นไปสูงมาก จากนั้นจึงถูกทิ้งลงมา แต่ตอนนี้ราคาน้ำมันดิบไม่ได้เก็งกำไรกันอย่างหนัก แต่เกิดจากการมีสินค้าทดแทนเข้ามาทำให้เกิดสงครามราคาขึ้น”


วิกฤตราคาน้ำมันดิบ 2014 เมื่อโอเปกเปิดสงครามราคาสกัดดาวรุ่ง


“มันยังไงกันจ๊ะลุง สินค้าทดแทนกับสงครามราคาน่ะ” ยีราฟถามขึ้นบ้าง หลังจากที่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว

ลุงแมวน้ำอธิบายต่อว่า

“หากมองกันในเชิงธุรกิจ การผลิตน้ำมันดิบเพื่อขายจัดว่าเป็นธุรกิจชนิดหนึ่งโดยมีสินค้าคือน้ำมันดิบ ดังนั้นเราสามารถเอาหลักการตลาดเข้ามาวิเคราะห์สถานการณ์ได้ โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้เรียกว่าสงครามราคา หรือสงครามตัดราคา

“สงครามราคาเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ธุรกิจขาดสภาพคล่องอย่างแรงและต้องการเงินสดเอาไว้ใช้จ่าย เมื่อธุรกิจไม่ดีหรือขายสินค้าเงินเชื่อไปมากๆ ไม่มีเงินสดเลย มีแต่เงินเชื่อ จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายเงินเดือนพนักงาน จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ฯลฯ ทางหนึ่งที่ทำได้ก็คือเอาสินค้าในโกดังมาขายราคาถูกๆ ขาดทุนไม่ว่า ขอแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน คือขอให้ได้เงินสดมาก่อน

“กับอีกกรณีก็คือการมีสินค้าชนิดอื่นที่มีความใกล้เคียงกันเข้ามาในตลาด ก็ต้องมีการแย่งส่วนแบ่งการตลาดไป รายหนึ่งแย่งตลาดไป รายอื่นก็ต้องแย่งคืนมา กลยุทธ์อย่างหนึ่งก็คือการลดราคาเพื่อแย่งส่วนแบ่งการตลาดกลับมา

“ทั้งสองกรณีนี้เมื่อมีรายหนึ่งลดราคา รายอื่นก็ต้องลดราคาตาม ลดกันไปลดกันมานั่นก็คือสงครามตัดราคานั่นเอง

“กับอีกกรณีหนึ่งก็คือการที่ปลาใหญ่ต้องการกินปลาเล็ก นั่นคือ ในสินค้าที่มีความใกล้เคียงกันและทดแทนกันได้ รายใหญ่ที่มีทุนหนา สายป่านยาว ใช้กลยุทธ์สงครามตัดราคา ทำให้รายเล็กที่สายป่านสั้นกว่าอยู่ไม่ได้และออกจากตลาดไป

“ทั้งสามกรณีหากเกิดขึ้นเป็นระยะสั้น ผลดีจะเกิดแก่ผู้ใช้สินค้าหรือผู้บริโภค นั่นคือ ได้ใช้ของราคาถูก แต่หากการตัดราคาเกิดขึ้นเนิ่นนานเกินไป จนผู้ประกอบการรายเล็กอยู่ไม่ได้ สุดท้ายตลาดจะถูกผูกขาดโดยรายใหญ่ ซึ่งอาจเป็นรายใหญ่รายเดียวหรือรายใหญ่ไม่กี่รายที่ฮั้วราคากันได้ ซึ่งถึงตอนนั้นตลาดถูกผูกขาดแล้วนี่ จะขึ้นราคาอย่างไรก็ได้ตามใช้ชอบ ผู้บริโภคก็เสียประโยชน์แล้วล่ะ”

“ฟังดูเข้ากับเหตุการณ์ราคาน้ำมันนี้อยู่เหมือนกันนะครับลุง” ลิงจ๋อว่า “สินค้าที่เข้ามาใหม่คือเชลออยล์ (shale oil) ผู้ที่ต้องการรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้คือน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปก ชิมิ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าโอเปกต้องการกำจัดเชลออยล์ให้ออกจากตลาดไปและผูกขาดตลาดเอาไว้เหมือนดังเดิมละสิ”

“พอเข้าเค้า แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว” ลุงแมวน้ำพูด “เพราะว่าน้ำมันไม่ใช่สินค้าหรือธุรกิจทั่วไป เรื่องการตัดราคาเพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดนั้นสามารถทำให้ประสบผลได้ แต่หากโอเปกต้องการกำจัดเชลออยล์ให้หมดไปจากโลกนั้นทำไม่ได้หรอก และผูกขาดตลาดน้ำมันดิบเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว เนื่องจากเรื่องพวกนี้เกี่ยวกับความมั่นคงของพลังงาน ซึ่งรัฐต้องให้การสนับสนุน ดังนั้นแม้ว่าโอเปกจะตัดราคาอย่างไรก็ตาม บริษัทผู้ผลิตเชลออยล์อาจมีเจ๊งไปบ้าง แต่เมื่อโอเปกขึ้นราคา เชลออยล์ก็กลับมาได้ใหม่

“ดังนั้น ลุงแมวน้ำมองกรณีสงครามราคาน้ำมันดิบ โอเปกตัดราคาเพื่อมุ่งรักษาส่วนแบ่งการตลาดและรายได้มากกว่า ซึ่งหากเป็นไปตามสมมติฐานนี้ โอเปกก็ตัดราคาจนถึงระดับที่ตนเองรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ได้ก็เพียงพอ”

ลุงแมวน้ำพูดจบก็ดึงกระดาษออกมาจากหูกระต่ายอีกแผ่นหนึ่ง




“นี่เป็นการวิเคราะห์กราฟราคาน้ำมันดิบทางเทคนิค ลุงแมวน้ำมองว่าแนวรับของ WTI คือ 57 ดอลลาร์ หากหลุดลงมาจะมีแนวรับสำคัญคือ 52 ดอลลาร์ หลังจากนั้นน่าจะรีบาวด์ ลองดูเหตุการณ์ในปี 2008 สิ ราคาน้ำมันดิบดิ่งลงมาจนถึง 37 ดอลลาร์เพราะตลาดตกใจ แต่นั่นไม่ใช่ราคาที่เหมาะสม สุดท้ายราคาก็รีบาวด์ไปอยู่ในกรอบ 80-100 ดอลลาร์ ซึ่งโอเปกก็บอกว่าเป็นระดับราคาที่โอเปกพอใจ

“ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ตลาดอาจตกใจจนราคาหลุดลงไปถึง 52 ดอลลาร์ แต่ลุงแมวน้ำคาดว่าน่าจะมีรีบาวด์กลับมา และราคาที่เสถียรแล้วน่าจะเกินกว่า 60 ดอลลาร์ เนื่องจากโอเปกคงตัดราคาเท่าที่ตนเองพอจะรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ได้ ดังนั้นหากราคาไปเสถียรแถวๆ 30-40 ดอลลาร์ ลุงแมวน้ำคิดว่าต่ำเกินไป

“และนอกจากนี้แล้วลุงยังมีเหตุผลประกอบอื่นอีก”

“เหตุผลอะไรอีกครับลุง” ลิงถาม

“เอ้อ ลุงคอแห้งน่ะ...” ลุงแมวน้ำพูด

“ขอพักดูดน้ำปั่นก่อน” ลิงกับยีราฟช่วยต่อให้

Thursday, November 27, 2014

การประเมินราคาเป้าหมายด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานผสมการวิเคราะห์ทางเทคนิค (4)


กรณีศึกษา SEAFCO


กรณีศึกษานี้จะมีรายละเอียดที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เรามาดูประมาณการกำไรสุทธิกันก่อน ดูภาพต่อไปนี้




SEAFCO เป็นผู้ผลิตเสาเข็มเจาะและรับเหมาทำฐานราก สำหรับตัวอย่างนี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เนื่องจากคาดการณ์ผลประกอบการของโบรกเกอร์ 4 รายค่อนข้างแตกต่างกัน คือสองรายต่ำหน่อย อีกสองรายสูงหน่อย ทำไมแตกต่างกันขนาดนี้

ลุงแมวน้ำก็มาเอะใจที่ค่าต่ำ คือประมาณการของ KKTRADE กับ TSC เนื่องจากผลคาดการณ์ผลประกอบการปี 2014 ได้ค่า EPS ประมาณ 0.53 บาท/หุ้น ซึ่งลุงแมวน้ำบังเอิญจำได้ว่าผลประกอบการ 9 เดือนของ SEAFCO คือ 0.61 บาท/หุ้น ก็ขนาด 9 เดือนยังได้เท่านี้ ทั้งปีจะลดเหลือ 0.53 บาท/หุ้นก็ไม่น่าใช่แล้ว ตัวเลขน่าจะคลาดเคลื่อน

ลุงแมวน้ำก็เปิดบทวิเคราะห์อ่าน คือหากสงสัยเช่นนี้จะดูแต่ตัวเลขแค่นี้ไม่ได้แล้ว ควรเปิดบทวิเคราะห์อ่านเพื่อไล่เรียงดูที่มาที่ไปของตัวเลขด้วย

อนึ่ง กรณีค่าไม่ค่อยน่าเชื่อนี้ อาจเกิดจากการพิมพ์ข้อมูลใส่ในเว็บคลาดเคลื่อนไปก็ได้ ไม่ได้หมายความว่านักวิเคราะห์วิเคราะห์คลาดเคลื่อน ทางที่ดีควรหาบทวิเคราะห์มาสอบทานอีกรอบหนึ่งทุกครั้งหากทำได้

ก็ปรากฏว่าตัวเลขของ DBSV น่าเชื่อถือและน่าจะใกล้เคียงกว่า ดังนั้น ในกรณีนี้ลุงแมวน้ำจึงเลือกใช้ค่า EPS 2015F จาก DBSV เพียงรายเดียว จากนั้นคำนวณเป็นตารางพีอีล่วงหน้า และตีเส้นระดับฟิโบนาชชี






จากตารางพีอีล่วงหน้าและจากระดับฟิโบนาชชี พบว่ามีราคาเป้าหมายที่สอดคล้องกันหลายค่า คือที่ระดับฟินาชชี 161.8%, 261.8% และ 423.6% ล้วนแต่มีทางเป็นไปได้

ที่จริงหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างหากอยู่ในภาวะตลาดขาขึ้นไม่น่าเทรดกันที่พีอีล่วงหน้า 15 เท่า ควรจะสูงกว่านี้ ขนาด 25 เท่าก็ยังเป็นไปได้ หากเป็นกรณีเช่นนี้ ก็เลือกราคาเป้าหมายที่ 11.5 บาทซึ่งสอดคล้องกับพีอีล่วงหน้า 15 เท่าเอาไว้ก่อน เมื่อถึง 11.5 บาท ก็ค่อยว่ากันอีกที คือปล่อยให้ราคาไปตามแนวโน้ม หากราคายังไปต่อได้ก็ไม่ต้องรีบขาย เพราะราคาอาจไปได้ถึง 23.5 บาทก็ได้



การประมาณราคาเป้าหมายในยามตลาดขาลง


กรณีศึกษา SINGER


การประมาณราเป้าหมายยามตลาดเป็นขาลงนั้นมีรายละเอียดที่แตกต่างจากการประมาณการในยามตลาดขาขึ้นเล็กน้อย อย่างแรกก็คือ การกำหนดกรอบพีอีล่วงหน้าในยามตลาดขาลงต้องกำหนดให้เป็นช่วงต่ำ เช่น ที่ 5 ถึง 15 เท่า

เราลองมาดูประมาณการ EPS กันก่อน





นี่ก็อีกแล้ว ค่าประมาณแบบกระจัดกระจาย พวกค่ากระจายนี่พึงระวัง

ลุงแมวน้ำก็ไปตรวจดูผลประกอบการ 9 เดือน ปี 2557 ของหุ้นซิงเกอร์ พบว่า 9 เดือนแรกนี้ EPS ต่อหุ้นได้ 0.80 บาท และปีนี้ผลประกอบการแย่กว่าปีที่แล้ว ราคาหุ้นก็ร่วงยาว ดังนั้นสำหรับ EPS 2014F ประมาณการของ PST, ASP, TSC น่าจะสูงเกินไป ค่าของ TRINITY น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด และเมื่อลุงแมวน้ำอ่านรายละเอียดในบทวิเคราะห์ของทรินิตีก็เห็นว่าที่มาที่ไปของค่าประมาณน่าน่าจะเชื่อถือได้มากกว่าค่าอื่นๆ ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงเลือกใช้ค่า EPS 2015F ของทรินิตีเพียงค่าเดียว  ไม่ได้ใช้ค่าเฉลี่ย

ลุงแมวน้ำคำนวณค่าพีอีล่วงหน้าในช่วงค่าต่ำ จากนั้นลากเส้นฟิโบนาชชี การลากเส้นฟิโบนาชชีนั้นต้องลากแบบขาลง คือดึงเส้นให้เฉียงไปคนละทางกับการตีเส้นขาขึ้น (วิธีใช้เครื่องมือฟิโบนาชชีควรสอบถามจากโบรกเกอร์ที่ใช้บริการ)






กรณีนี้ก็มีระดับฟิโบนาชชีที่สอดคล้องกับค่าพีอีล่วงหน้าอยู่ 2 ค่า คือ 13.5 บาท (เท่ากับพีอีล่วงหน้าประมาณ 11 เท่า) กับ 9 บาท ลุงแมวน้ำว่าราคา 13.5 บาทนี้มีโอกาสเป็นไปได้ เนื่องจากโดยทั่วไปหุ้นในกลุ่มพาณิชย์เทรดกันที่พีอีค่อนข้างสูง คือ 30 เท่าหรือสูงกว่านั้น ดังนั้นหากร่วงลงมาระดับ 11 เท่านี่ก็ต่ำแล้ว อีกประการ ผลประกอบการ 2015 น่าจะดีกว่า 2014 สะท้อนว่าปีหน้าผลงานของซิงเกอร์น่าจะฟื้นตัวได้

แต่อย่างไรก็ตาม โอกาสลงถึง 9 บาทมีอยู่บ้าง ผลกระกอบการไตรมาส 4 ปี 2014 กับไตรมาส 1 ปี 2015 จะเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญ หากออกมาไม่น่าพอใจราคาอาจไหลลงถึง 9 บาทได้


การประมาณเป้าหมายดัชนี

กรณีศึกษา S&P 500 


การประมาณราคาที่ลุงแมวน้ำเล่ามานี้ใช้ได้กับหุ้นทั้งในยามขาขึ้นและขาลง นอกจากใช้กับหุ้นแล้วยังใช้กับดัชนีได้อีกด้วย เราลองมาดูกัน

สมมติว่าเราจะประมาณดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นอเมริกา เราก็จำเป็นต้องรู้ EPS 2015F ของดัชนีนี้เสียก่อน พวกดัชนีที่สำคัญมักหาค่า EPS ล่วงหน้าได้ไม่ยาก ที่จริงของ SET ก็มีผู้ประมาณ SET EPS 2015F เอาไว้ แต่ลุงแมวน้ำยกกรณีศึกษาเป็น S&P 500 เพราะอยากให้เห็นวิธีนี้ใช้ได้ทั่วไป ใช้กับตลาดต่างประเทศก็ได้

ขั้นแรกเราก็ปรึกษาอากู๋เสียก่อน โดยใช้กูเกิลค้นหาว่ามีใครประมาณ EPS 2015 เอาไว้บ้าง โดยใช้คำค้นว่า EPS S&P 500 2015




เมื่อกูเกิลรายงานผลการค้นออกมา เราก็เลือกดูการประมาณจากบทวิเคราะห์ที่ดูน่าเชื่อถือ และเป็นประมาณการใหม่ๆ ไมใช่ประมาณเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว

ผลก็คือ ลุงแมวน้ำเลือกเอาการวิเคราะห์ของโกลด์แมนแซคส์มาใช้ ก็เปิดเข้าไปอ่านรายละเอียดข้างใน จะพบว่าโกลด์แมนแซคส์ประเมินกำไรสุทธิต่อหุ้นของดัชนี S&P 500 ในปี 2015 ไว้ที่ 122 ดอลลาร์/หุ้น ส่วนธนาคารแห่งอเมริกา (BOA) ประเมินไว้ 126 ดอลลาร์/หุ้น

เราก็เลือกประมาณการต่ำไว้ก่อน ใช้ 122 ดอลลาร์ เอามาคำนวณพีอีล่วงหน้า ได้ดังนี้





จากนั้นก็ลากเส้นฟิโบนาชชี




จะพบว่าที่ 161.8% (พีอีล่วงหน้า 17.5 เท่า) คือที่ดัชนี 2100 จุดนั้นใกล้ถึงแล้ว (ตอนนี้ 2072 จุด) ดังนั้นคงต้องมองไปที่พีอีล่วงหน้า 20 เท่า นั่นคือระดับฟิโบนาชชีระดับถัดไป ดัชนี S&P 500 อาจไปได้ถึง 1500 จุดในปี 2015

เป้าหมายนี้เป็นไปได้ทั้งคู่ กรณีที่ป้าเจนขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟดแล้วผลกระทบทางลบรุนแรง ตลาดอาจเริ่มไหลตั้งแต่ต้นปี 2015 นั่นคือ ในกรณีร้ายเราอาจเห็นแค่ดัชนี 2100 จุดในตอนต้นปี 2015 และตลาดลงเป็นเวลาหลายเดือน

แต่หากผลกระทบไม่รุนแรง ดัชนีก็อาจไปได้ถึง 2500 จุดในปีหน้านี้โดยค่อยๆไต่ระดับขึ้นไป ซึ่งลุงแมวน้ำให้น้ำหนักกับเป้า 2500 จุดมากกว่า



ทั้งหมดนี้ก็เป็นการประเมินราคาเป้าหมายโดยใช้เครื่องมือทางปัจจัยพื้นฐานและเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคผสมกัน รวมทั้งกรณีศึกษายามขาขึ้น ขาลง ดัชนี ตลาดต่างประเทศ ครบครัน ลองเอาไปใช้กันดูนะคร้าบ

Monday, November 24, 2014

การประเมินราคาเป้าหมายด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานผสมการวิเคราะห์ทางเทคนิค (3)




เมื่อสองตอนที่แล้วลุงแมวน้ำได้แนะนำให้รู้จักการใช้เครื่องมือทางสายการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือเครื่องมือฟิโบนาชชี เครื่องมือทางสายปัจจัยพื้นฐาน นั่นคือค่าพีอีล่วงหน้า นำมาใช้ร่วมกันในการประเมินราคาเป้าหมาย พร้อมกับยกกรณีศึกษาหุ้น Spali มาให้ดูกัน ในตอนนี้ลุงแมวน้ำจะลองยกกรณีศึกษามาให้ดูกันอีกหลายกรณี กรณีศึกษาที่จะยกมานี้ลุงแมวน้ำจะไปอย่างรวดเร็ว คือไม่อธิบายมากเหมือนในกรณี Spali เพราะถือว่ามีประสบการณ์มาบ้างแล้ว

กรณีศึกษา EA


EA เป็นหุ้นที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับพลังงานทดแทน มีทั้งการผลิตไบโอดีเซลและโรงไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่เป็นโซลาร์ฟาร์มแบบพีวี (Photovoltaic solar farm)

หุ้นในแนวผลิตโรงไฟฟ้านั้นที่จริงเป็นหุ้นมั่นคง (defensive stock) ทั้งนี้ เนื่องจากเมื่อตั้งโรงงานสำเร็จและดำเนินการผลิตไฟฟ้าขายแล้วจะสร้างรายได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ เนื่องจากทำสัญญาขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าไว้แล้ว และโรงงานหนึ่งก็ผลิตไฟฟ้าได้ในปริมาณที่ค่อนข้างคงที่ คือเต็มกำลังการผลิตเท่าไรก็เท่านั้น จะไปเร่งรัดให้ผลิตมากกว่านั้นก็ไม่ได้ ดังนั้นรายได้ในอนาคตจึงมักคงที่และสม่ำเสมอ ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ แต่สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้นเก็งกำไรในหุ้นพลังงานทดแทนโดยเฉพาะโซลาร์ฟาร์มกันอย่างดุเดือด

หุ้นพลังงานทดแทนโดยเฉพาะโซลาร์ฟาร์มนั้นสามารถคาดการณ์ผลประกอบการได้ค่อนข้างใกล้เคียง เนื่องจากการก่อสร้างโซลาร์ฟาร์มใช้เวลาประมาณ 9-12 เดือน ดังนั้นผู้ที่สร้างโซลาร์ฟาร์มในปี 2014 นี้ก็สามารถคาดการณ์รายได้ในปี 2015 ได้อย่างใกล้เคียง ส่วนผู้ที่สร้างในปี 2015 ไม่น่ารับรู้รายได้ทันในปี 2015

ลองมาดูแนวโน้มประมาณการผลประกอบการปี 2015 ของหุ้น EA กัน เข้าไปที่เว็บไซต์ settrade.com จะได้ค่าออกมาดังนี้




มีโบรกเกอร์ 2 รายประเมินกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของ EA ในปี 2015 เฉลี่ยแล้วได้ EPS 2015F เป็น 0.80 บาท/หุ้น เราก็นำมาใส่ในตารางคำนวณ P/E ล่วงหน้า ดังนี้




หากมองจากค่า P/E ล่วงหน้า ราคาหุ้น 20 บาท forward P/E ที่ 25 เท่าก็ซื้ออนาคตปี 2015 ไปในราคาที่เรียกว่าไม่ถูกนัก

ทีนี้ลองมาดูการวิเคราะห์ทางเทคนิคดูบ้าง ดูภาพต่อไปนี้



จากเครื่องมือฟิโบนาชชีเป้าหมาย ราคาที่เป็นไปได้ในปี 2015 คือที่ระดับ 161.8% คือ 27.5 บาท หรือที่ระดับ 261.8% คือ 30.5 บาท

พิจารณาจากพีอีล่วงหน้าและระดับฟิโบนาชชีแล้ว ราคาที่เป็นไปได้และรองรับอนาคตปี 2015 คือที่ 27.5 บาท ซึ่งที่ราคานี้เป็นระดับพีอีล่วงหน้าประมาณ 35 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ซื้ออนาคตอย่างแพงทีเดียว

ทีนี้มาดูกันต่อไปอีกนิดหนึ่ง ลองมานับคลื่นประกอบด้วย ดังภาพต่อไปนี้




จะเห็นว่าราคา 27.5 บาทในตอนนี้เป็นระดับราคาเป้าหมายที่ค่อนข้างแพงแล้ว รวมทั้งยังอาจจะจบคลื่น 5 อันเป็นคลื่นขาขึ้นลูกสุดท้ายแถวๆนี้ด้วย


กรณีศึกษา SPCG


SPCG เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หรือที่เรียกว่าโซลาร์ฟาร์มแบบพีวี จากการประเมินคาดว่าราคาเป้าหมายที่รองรับผลประกอบการปี 2015 น่าจะเป็น 56 บาท ซึ่งราคาแถวๆนี้เป็นพีอีล่วงหน้าประมาณ 22.5 เท่า จัดว่าเป็นราคาที่สมเหตุผล










กรณีศึกษา KTB


กลุ่มโรงไฟฟ้าเป็นกลุ่มที่คาดการณ์ผลประกอบการณ์ได้ง่าย เพราะแหล่งที่มาของรายได้ค่อนข้างแน่นอน ส่วนกิจการธนาคารนั้นคาดการณ์ผลประกอบการณ์ให้แม่นยำได้ยาก เนื่องจากรายได้หรือว่าผลประกอบการณ์ในอนาคตนั้นขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันของธุรกิจธนาคารด้วยกัน ดังนั้นการประเมินจึงมีโอกาสคลาดเคลื่อนได้มาก ยิ่งการคาดการณ์ทางปัจจัยพื้นฐานยากขึ้น การประเมินทางเทคนิคก็ยิ่งมีส่วนช่วย

กิจการธนาคารปกติไม่ค่อยดูค่าพีอีกัน แต่จะดูค่า P/B มากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม การประเมินของเราก็ยังใช้ค่าพีอีล่วงหน้า

เราจะไปกันอย่างเร็วๆ วิธีประเมินก็เช่นเดียวกับกรณีศึกษาก่อนหน้า แต่มีข้อควรระวังไว้นิดหนึ่ง นั่นก็คือ กิจการธนาคารมักเทรดกันที่พีอีไม่สูง แม้ในตลาดขาขึ้นแรงๆ พีอีของธนาคารก็มักต่ำกว่าพีอีของกิจการในอุตสาหกรรมอื่นๆ ดังนั้น ราคาประเมินควรกำหนดกรอบพีอีอย่าให้พีอีสูงนัก ในกรณีศึกษานี้ลุงแมวน้ำให้ค่าพีอีล่วงหน้าที่เหมาะสมไม่เกิน 15 เท่า







ผลการประเมิน เราก็ได้ราคาเป้าหมายที่รองรับผลประกอบการปี 2015 ของ KTB นั่นคือ หากปีหน้าภาวะตลาดเป็นขาขึ้น KTB ควรไปได้ถึงประมาณ 34 บาท

ลุงแมวน้ำยังมีกรณีศึกษาอีกนิดหน่อย คราวหน้าเราจะมาดูกรณีที่ประเมินยากๆ รวมทั้งการประเมินราคาเป้าหมายในยามตลาดขาลง

Wednesday, November 19, 2014

การประเมินราคาเป้าหมายด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานผสมการวิเคราะห์ทางเทคนิค (2)






ค่าที่เราจะนำมาใช้ก็คือ forward EPS ของปี 2015 ซึ่งในตารางนี้แสดงไว้ในคอลัมน์ EPS 2015F นั่นเอง (ในกรอบสีแดง)

แต่อย่างไรก็ดี ค่าที่แสดงในเว็บเพจหน้านี้เป็นลักษณะของการรวบรวมประมาณการของนักวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ต่างๆ หรือที่เรียกว่าเป็น consensus ดังนั้น หุ้นแต่ละตัวอาจมีนักวิเคราะห์เข้ามาให้ตัวเลขประมาณการมากน้อยไม่เท่ากัน สำหรับหุ้นศุภาลัยนี้มีนักวิเคราะห์ให้ค่าประมาณการเอาไว้ถึง 12 โบรกเกอร์ ซึ่งถือว่าเยอะทีเดียว

ในกรณี Spali นี้มี EPS 2015F (F หมายถึง forecast คือบอกว่าเป็นค่าประมาณการ) แล้วจะเอาค่าประมาณการค่าไหนมาใช้ดีล่ะ


แนวคิดในการเลือกค่าประมาณการของกำไรสุทธิต่อหุ้นล่วงหน้า (forward EPS)


ในกรณีที่มีค่า forward EPS ให้หลายๆค่า ลุงแมวน้ำมีหลักในการเลือกมาใช้ดังนี้

  1. ใช้ค่าเฉลี่ย หลักการนี้ก็คือการนำเอาค่า forward EPS ทั้งหมดมาเฉลี่ยกัน แล้วนำค่าเฉลี่ยที่ได้มาใช้
  2. ใช้ค่ามัธยฐาน (median) ค่าฐานนิยมเป็นค่ากลางของข้อมูลชนิดหนึ่ง อธิบายง่ายๆคือการเอาค่า forward EPS ทั้งหมดมากางเรียงกันจากน้อยไปมาก จากนั้นจิ้มเอาค่าที่อยู่กลางชุดข้อมูลมาใช้ สถานการณ์ที่เหมาะจะใช้มัธยฐานก็คือ ในบางกรณี ค่าประมาณการจากนักวิเคราะห์บางรายอาจโด่งออกไป เช่น สูงเว่อหรือต่ำเว่อ หากเรานำค่าเฉลี่ยมาใช้ ค่าเฉลี่ยที่ได้อาจคลาดเคลื่อนจากความจริงไปมาก การใช้ค่ามัธยฐานแทนกก็อาจช่วยลดความคลาดเคลื่อนได้
  3. ใช้ค่าที่เกาะกลุ่มกัน คือตัดค่าโด่งทิ้งไป เลือกเอาแต่ค่าที่เกาะกลุ่มกันมาเฉลี่ย (ภาษาคณิตศาสตร์เรียกว่าค่าฐานนิยมนั่นเอง) สถานการณ์ที่เหมาะจะใช้ค่าที่เกาะกลุ่มกันคือ ในกรณีที่มีค่าประมาณการหลายๆค่า และค่าประมาณการบางค่าโด่งออกไป หากมีค่าประมาณน้อยค่าก็ไม่เหมาะที่จะใช้
  4. เลือกค่าใดค่าหนึ่งจากโบรกเกอร์หรือนักวิเคราะห์ที่เราคิดว่าน่าเชื่อถือมากที่สุด เช่น หากเรารู้ว่าโบรกเกอร์รายใดชำนาญในการวิเคราะห์กลุ่มอสังหาริมทรัพย์มาก เราก็อาจเจาะจงเลือกค่าประมาณการจากโบรกเกอร์นั้นมาใช้

สำหรับกรณีศึกษาของลุงแมวน้ำนี้ ลุงแมวน้ำใช้ค่าเฉลี่ยก็แล้วกัน ค่าประมาณการของ EPS 2015F ที่ลุงแมวน้ำใช้ก็คือ 2.87 บาท/หุ้น

หมายเหตุไว้นิดหนึ่ง ที่ลุงแมวน้ำเลือกใช้ค่าเฉลี่ย 2.87 นั้น ที่จริงแล้วลุงแมวน้ำแอบไปอ่านบทวิเคราะห์หลายๆฉบับที่แสดงการคำนวณไว้ด้วย ลุงคิดว่าค่านี้น่าจะใกล้เคียงความจริง


การคำนวณราคาเป้าหมายจาก forward EPS และ forward P/E ratio

เมื่อเราได้ค่า EPS ล่วงหน้ามาแล้ว จากนั้นขั้นต่อไปเราก็จะนำค่านี้มาคำนวณราคาเป้าหมายที่ระดับพีอีล่วงหน้า (forward P/E ratio) ต่างๆกัน โดยใช้สูตรดังนี้

ราคาเป้าหมาย = EPS ล่วงหน้า คูณ พีอีล่วงหน้า

Target price = forward EPS x forward P/E ratio

ดังนั้น ถ้าเราต้องการรู้ว่าราคาเป้าหมายที่ค่าพีอีล่วงหน้า 15 เท่า เป็นเท่าไร ก็นำ 2.87 คูณด้วย 15 ได้เป็น 43.1 นั่นคือ ราคาเป้าหมาย ณ พีอีล่วงหน้า 15 เท่า คือ 43.1 บาท เป็นต้น

จากนั้นเราก็คำนวณราคาเป้าหมายที่ค่า พีอีล่วงหน้า ต่างๆ แล้วทำเป็นตาราง ดังนี้




ผลที่ได้จากตารางนี้ก็คือ ราคาเป้าหมายที่เป็นไปได้ ณ ค่าพีอีล่วงหน้าต่างๆนั่นเอง ลุงแมวน้ำเลือกใช้ช่วงของค่าพีอีล่วงหน้าตั้งแต่ 12.5 เท่า ไปจนถึง 25 เท่า ซึ่งราคาเป้าหมายที่พีอีล่วงหน้า 25 เท่าถือว่าซื้ออนาคตไปมากแล้ว ไม่ควรใช้ค่าพีอีล่วงหน้าที่สูงกว่านี้ เนื่องจากเป็นการคาดหวังที่เลิศลอยเกินไป

เอาละ ลุงแมวน้ำคำนวณราคาเป้าหมายด้วยวิธี EPS ล่วงหน้าได้มาตั้งหลายค่า แล้วจะเลือกใช้ค่าไหนดีล่ะ


ผสมเทคนิคกับปัจจัยพื้นฐาน



เราก็ย้อนไปดูที่กราฟรูปเดิมของเราที่ประเมินราคาเป้าหมายโดยใช้วิธีฟิโบนาชชี และดูว่ามีระดับฟิโบนาชชีอะไรบ้างที่สอดคล้องกับราคาเป้าหมายของวิธี EPS ล่วงหน้า




ผลปรากฏว่าที่ระดับฟิโบนาชชีสำคัญ 423.6% ได้ราคาเป้าหมาย 56 บาท




ส่วนวิธีคำนวณจาก EPS ล่วงหน้า ที่ค่าพีอีล่วงหน้า 20 เท่า ได้ราคาเป้าหมาย 57.4 บาท ค่าพีอีล่วงหน้า 20 เท่าสำหรับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในตลาดขาขึ้นเป็นค่าที่พีอีที่ไม่สูงนัก มีความเป็นไปได้ ดังนั้นราคาเป้าหมายของ Spali ที่รองรับผลประกอบการปี 2015 มีโอกาสไปได้ถึง 56-57 บาท


วิธีการนำราคาเป้าหมายไปใช้ในการลงทุน 


ราคาเป้าหมายของ Spali ที่ 56 บาทนี้เป็นราคาเป้าหมายที่มีโอกาสเป็นจริงสูง เพราะประเมินค่อนข้างอนุรักษ์นิยม การนำไปใช้ในการลงทุนก็คือ เมื่อราคาไปถึงใกล้ๆ 56 บาทแล้วไปต่อไม่ไหว ไหลลงมาจนเกิดสัญญาณขาย ก็ขายตามไป 

หากราคาไปเกิน 56 บาทก็ไม่ต้องทำอะไร ถือไปก่อน ไปไหนไปด้วย เมื่อใดที่ราคาไหลลงมาจนเกิดสัญญาณขายจึงค่อยขาย

ราคาเป้าหมายนี้ใช้ได้ถึงเมื่อใด โดยปกติแล้วตลาดหุ้นมักมองล่วงหน้าไปอย่างน้อย 6 เดือน ดังนั้น ราคานี้หากจะเกิดก็ควรเกิดไม่เกิน มิถุนายน 2015 หลังจากมิถุนายน 2015 ไปแล้ว นักลงทุนน่าจะใช้ราคาเป้าหมายของปี 2016 มากกว่า แต่นี่เป็นแนวคิดคร่าวๆเท่านั้น ในทางปฏิบัติคงต้องดูสถานการณ์เมื่อกลางปี 2015 มาถึงด้วย

ขายไปแล้วทำยังไงต่อ รอกลับเข้าลงทุนอีกได้หรือไม่ ข้อนี้ตอบยาก แนวคิดก็คือ ควรหาข้อมูล EPS 2016F มาพิจารณาก่อน หากผลประกอบการของหุ้นมีการเติบโตก็กลับเข้าลงทุนอีกได้ หาก EPS 2016F ทรงตัวหรือลดลงก็อาจมองหุ้นตัวอื่นไปดีกว่า 

วิธีประเมินราคาเป้าหมายโดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคผสมกับปัจจัยพื้นฐานนั้นยังเหมาะสำหรับผู้ที่ลงทุนในหุ้นหรือดัชนีต่างประเทศด้วย เนื่องจากการไปลงทุนในต่างประเทศนั้นข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของหุ้นอาจหายากหรือหากมีก็อ่านไม่เข้าใจด้วยอุปสรรคทางภาษา หรือข้อมูลอาจไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ฯลฯ การใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพียงอย่างเดียวก็มีโอกาสพลาดได้ แต่สิ่งที่พอหาได้ไม่ยากก็คือกราฟกับ forward EPS นั่นแหละ มีอะไรก็ใช้อย่างนั้น นำมาใช้ร่วมกันช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนในต่างประเทศได้


ทำไมจึงเลือก Spali เป็นกรณีศึกษา


แล้วก็มาถึงบทเฉลยที่ว่าทำไมลุงแมวน้ำจึงเลือก Spali เป็นกรณีศึกษา ที่จริงก็ไม่ได้เจาะจงเลือกหุ้น Spali หรอก แต่ลุงตั้งใจเลือกกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เป็นกรณีศึกษา เหตุผลก็เนื่องจากว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์นี้มีค่า แบ็กล็อก (backlog) หรือยอดขายที่ตุนอยู่ในมือแต่ยังไม่ได้บันทึกบัญชีอยู่ ซึ่งก็คือยอดขายที่มีการวางเงินดาวน์แล้วแต่ยังไม่ได้โอนนั่นเอง บริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ๆมักมีแบ็กล็อกที่ตุนอยู่ในมืออาจถึง 12 เดือนล่วงหน้าทีเดียว ดังนั้น การคำนวณ EPS ล่วงหน้าในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มักทำได้ค่อนข้างใกล้เคียงความจริง เนื่องจากคำนวณจากแบ็กล็อกนั่นเอง และหาก EPS ล่วงหน้าประมาณได้ใกล้เคียงความจริง ราคาเป้าหมายที่ประเมินได้ก็ย่อมมีโอกาสเกิดได้สูงด้วย


ในตอนต่อไป ลุงแมวน้ำจะลองดูกรณีศึกษาในหุ้นตัวอื่นกัน ลุงแมวน้ำจะลองคำนวณราคาเป้าหมายของหุ้นในกลุ่มโซลาร์ฟาร์มยอดนิยมด้วย ^_^