Saturday, November 2, 2013

02/11/2013 40 ปี 14 ตุลา กับปฏิบัติการยึดประเทศไทย 2556: ตอนที่ 2 ปฐมบทวันมหาวิปโยค




จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต้นตำรับดาบอาญาสิทธิ์ ม.17


“มา มา ถ้าอย่างนั้นมานั่งเล่นที่สวนข้างโขดหินกันก่อน แล้วฟังลุงเล่านิทาน ตอนเช้าอย่างนี้บรรยากาศในสวนกำลังร่มรื่นทีเดียว” ลุงแมวน้ำพูด

“เดี๋ยวก่อนนะฮะลุง ขอตัวสักครู่ เดี๋ยวผมตามไปในสวนฮะ” กระต่ายน้อยพูดพลางกระโดดแผลวจากไปอย่างรวดเร็ว

ลุงแมวน้ำกับลิงจ๋อเดินไปรออยู่ในสวน เพียงครู่เดียวกระต่ายน้อยก็วิ่งลิ่วมาพร้อมกับยีราฟ ม้าลาย หมี และสิงสาราสัตว์ในคณะละครสัตว์อีกหลายตัว

“กระต่ายน้อยวิ่งมาบอกว่าลุงแมวน้ำจะเล่านิทาน แหม เล่าตั้งแต่เช้าเลยนะ พวกเราชอบฟังนิทาน เลยมาขอฟังด้วย” ยีราฟสาวพูด

“นี่ยกโขยงกันมาฟังนิทานเลยเหรอ” ลุงแมวน้ำหัวเราะ “ที่จริงมันเป็นเรื่องจริงหรอกนะ เพียงแต่ว่าลุงเล่าแบบนิทานเท่านั้นเอง มันเป็นเหตุการณ์ที่ประวัติศาสตร์ได้จารึกเอาไว้ อีกทั้งเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของประเทศไทยทีเดียว เอ้า เมื่อมากันพร้อมแล้ว ลุงจะเริ่มเล่าเลยก็แล้วกันนะ”

“กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว...” กระต่ายน้อยพูดเบาๆ

“ใช่แล้ว...” ลุงแมวน้ำขำในความซ่าของกระต่ายน้อย คงอยู่ในหมวกของนักมายากลมานานเลยเหงา เมื่อได้ออกมาข้างนอกบ้างจึงสดชื่นรื่นเริง “นิทานก็ต้องขึ้นต้นเรื่องแบบนั้น”

“กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ประมาณ  80 กว่าปีมาแล้ว” ลุงแมวน้ำพูด “ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและอยู่ใต้รัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2475 ตั้งแต่นั้นมา ประเทศไทยก็เดินอยู่บนเส้นทางประชาธิปไตยแบบลุ่มๆดอนๆตลอดมา ที่ว่าลุ่มๆดอนๆเพราะว่าเป็นประชาธิปไตยแบบที่มีการเลือกตั้งสลับกับการรัฐประหารเรื่อยมา

“ลุงขอจับความตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 ก็แล้วกัน เล่าแบบกระชับ คือในปีนั้นมีการทำรัฐประหารโดยคณะทหาร ภายใต้การนำของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม หรือที่เรารู้จักกันในชื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อมีการรัฐประหาร ตามธรรมเนียมก็ต้องฉีกรัฐธรรมนูญเดิมทิ้งไปแล้วร่างรัฐธรรมนูญพร้อมกับการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งรัฐบาลใหม่นั้นนายกรัฐมนตรีก็คือจอมพล ป. นั่นเอง”

“ก็คือคณะทหารยังกุมอำนาจอยู่ เพียงแต่แปลงร่างจากคณะรัฐประหารเป็นคณะรัฐมนตรี” ลิงจ๋อว่า

“ก็ทำนองนั้นแหละ” ลุงแมวน้ำพูด “บ้านเมืองในยุคนั้นแม้จะใช้ชื่อว่าเป็นระอบบประชาธิปไตย แต่โดยเนื้อหาแล้วก็คือเผด็จการทหารจำแลงนั่นเอง”

“จอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรีและบริหารประเทศอยู่หลายปี จนในปี พ.ศ. 2500 ก็ถูกรัฐประหาร” ลุงแมวน้ำเล่าต่อ

“อ้าว ตัวเองทำรัฐประหาร แล้วตัวเองก็โดนเอาบ้าง” ยีราฟอุทาน

“ใช่แล้ว และผู้ที่ทำรัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป. ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขุนพลคนสนิท ซึ่งในตอนนั้นเป็นผู้บัญชาการทหารบกนั่นเอง สาเหตุที่มีการรัฐประหารเพราะว่ามีการโกงการเลือกตั้งกันอย่างหนักจนประชาชนรับไม่ได้ มีการประท้วง บ้านเมืองวุ่นวาย จนจอมพลสฤษดิ์ต้องใช้กำลังทหารยึดอำนาจและทำรัฐประหารในปี 2500 

“จอมพลสฤษดิ์ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเอง แต่ให้จัดการเลือกตั้งใหม่ จนในปี พ.ศ. 2501 ประเทศไทยก็มีรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งที่ชื่อพลโทถนอม กิตติขจร (ยศในตอนนั้น)” 

“แต่การเมืองก็เกิดความวุ่นวาย พลโทถนอมไม่สามารถบริหารประเทศได้โดยราบรื่น จอมพลสฤษดิ์และพลโทถนอม จึงร่วมกันทำรัฐประหารซ้ำอีกครั้งในปี พ.ศ. 2501 ซึ่งก็คือเป็นการรัฐประหารตัวเองนั่นเอง และหลังจากนั้นก็มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จอมพลสฤษดิ์ก็รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเองโดยไม่มีการเลือกตั้ง คือเป็นคณะรัฐบาลเผด็จการทหาร”

“ว้า ยังงั้นก็แย่สิ ไม่มีการเลือกตั้ง ไม่เป็นประชาธิปไตย” ลิงจ๋อบ่น

“แต่ก็แปลกนะ ที่ประชาชนในยุคนั้นกลับรู้สึกว่าบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดี เพราะในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2502 นั้น มีบทบัญญัติอยู่มาตราหนึ่ง ที่ให้อำนาจแก่นายกรัฐมนตรีแบบไร้ขีดจำกัด คือ จะทำอะไรก็ได้ และให้ถือว่าการกระทำนั้นถูกกฎหมาย ซึ่งเท่ากับให้ดาบอาญาสิทธิ์แก่นายกรัฐมนตรีนั่นเอง”

“โห สมัยก่อนมียังงี้ด้วย แล้วประชาชนรับได้เหรอครับ” ลิงจ๋อถาม

“ลุงอยากจะบอกว่า เท่าที่ลุงเห็นมา ลุงคิดว่าประชาชนชอบเสียอีกนะ นี่เราไม่มองกันในเรื่องหลักการประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญมาตรานี้ให้อำนาจแก่นายกฯในการจัดการกับความไม่สงบเรียบร้อยต่างๆในบ้านเมือง ทำให้นายกฯสามารถดำเนินการได้อย่างเด็ดขาดและเฉียบขาด 

“ยกตัวอย่างเช่นเรื่องไฟไหม้ คนในสมัยก่อนกลัวเรื่องไฟไหม้กันมาก เพราะว่าโจรปล้นบ้านสิบครั้งไม่เท่ากับไฟไหมบ้านครั้งเดียว ใครถูกไฟไหม้ก็คือหมดเนื้อหมดตัวนั่นเอง และยังอาจเสียชีวิตจากไฟคลอกด้วย จอมพลสฤษดิ์ใช้ความเฉียบขาดด้วย ม.17 กับพวกคดีวางเพลิง โดยถือเป็นเรื่องร้ายแรง ยกตัวอย่างกรณีไฟไหม้ 300 หลังคาเรือนที่สุพรรณบุรี จอมพลสฤษดิ์ขึ้น ฮ. ไปบัญชาการ และดำเนินการสอบสวนมือเพลิงด้วยตนเอง จากนั้น ใช้อำนาจ ม.17 สั่งประหารชีวิตมือเพลิง ณ จุดเกิดเหตุนั้นเลย ทำให้ผู้ร้ายเกิดความเกรงกลัว คดีวางเพลิง ไฟไหม้ ในยุคนั้นลดลงอย่างมาก ประชาชนก็ชอบใจ”

“แหม่ๆๆ ทำเป็นเรียลลิตี้โชว์เลยนะ” กระต่ายน้อยออกความเห็น

“แต่ในซอกมุมที่ประชาชนทั่วไปมองเข้าไปไม่ถึง กฎหมายข้อนี้ก็เป็นอันตรายแก่สุจริตชนอย่างใหญ่หลวง เพราะว่าจอมพลสฤษดิ์ใช้มาตรา 17 นี้อย่างไร้การตรวจสอบ และไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ยกตัวอย่างเช่นกรณีวางเพลิง ใครจะรู้ล่ะว่ามือเพลิงนั้นเป็นมือเพลิงจริงหรือว่าเป็นแพะ เพราะไม่ได้ผ่านกระบวนการยุติธรรมใดๆ ดังนั้นข้อดีก็มี คือคนร้ายกลัวเกรง แต่ข้อเสียก็มาก เพราะสุจริตชนอาจถูกให้ร้ายได้ 

“และตัวอย่างก็มีให้เห็นจริงๆ นั่นคือ มีประชาชน โดยเฉพาะพวกที่เป็นนักคิด  นักเขียน นักพูด ที่ไม่เห็นด้วยและวิพากษ์วิจารณ์จอมพลสฤดิ์ พวกที่คิดต่างเห็นต่างเหล่านี้ถูกกำจัดออกไปจนหมด โดยถูกคุมขังแบบขังลืม ไม่ต้องมีเหตุผล เพียงบอกว่าเป็นคอมมิวนิสต์เท่านั้น แม้แต่พระที่คิดต่างเห็นต่างก็ยังถูกจับสึก มีปัญญาชนที่เห็นต่างถูกจับยิงเป้าที่ท้องสนามหลวงด้วยข้อหาภัยคอมมิวนิสต์โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมตามปกติ รัฐบาลยุคนั้นจึงถือว่าเป็นเผด็จการทหารอย่างสมบูรณ์แบบ และในยุคของจอมพลสฤษดิ์นี้เอง คือยุคที่ปัญญาชนผู้เห็นต่างถูกต้อนเข้ามุมอับ ถูกบีบคั้นจนอับจนสิ้นหนทาง และต้องเข้าป่าไปอยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ภาพอันเลวร้ายเหล่านี้ชาวบ้านทั่วไปไม่ค่อยได้สังเกตนัก เพราะภาพที่ชาวบ้านสัมผัสได้คือการดำเนินชีวิตที่ราบรื่น อาชญากรรมลดลง คดีเพลิงไหม้ลดลง”

“อือม์ มันก็น่าคิดนะ ว่า ม.17 นี่แท้ที่จริงเป็นคุณหรือเป็นโทษกันแน่” ลิงจ๋อรำพึงกับตนเอง “มันเป็นกฎหมายที่อิงกับตัวบุคคลอย่างแรง หากได้ผู้ใช้กฎหมายเลวๆละก็แย่เลย”

“เรื่องราวยังไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ฟังลุงเล่าต่อ หลังจากที่จอมพลสฤษด์เสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2506 หลังจากนั้นจอมพลถนอม ตอนนั้นเป็นยศจอมพลแล้ว ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เป็นยาวเลย จนถึงปี พ.ศ. 2514 โน่นเลย หลังจากนั้นก็ทำการรัฐประหารตนเอง” ลุงแมวน้ำเล่าต่อ

จอมพลถนอม กิติขจร

“หา รัฐประหารตนเองอีกแล้วเหรอ ทำกันเป็นแฟชั่นเลยหรือไง” ม้าลายพูดขึ้นบ้าง

“ตอนที่จอมพลถนอมเป็นนายกในรอบสอง ก็มีการตั้งพรรคการเมือง และลงสมัครรับเลือกตั้ง ทีนี้ในการเลือกตั้งปี 2512 ส.ส. พรรคประชาไทยซึ่งเป็นพรรคการเมืองของจอมพลถนอมเรียกร้องผลประโยชน์ตอบแทนต่างๆจากจอมพลถนอม โดยอ้างคำสัญญาที่ให้ไว้แก่กัน เมื่อไม่ได้ผลประโยชน์ตามที่ต้องการ บรรดา ส.ส. ก็สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในสภา จอมพลถนอมคุมสถานการณ์การเมืองไม่อยู่ จึงทำการรัฐประหารตนเองอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2514 โดยยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยกเลิกรัฐสภา ยกเลิกพรรคการเมือง ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 ก็ประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ที่ยังคง ม.17 เอาไว้เป็นดาบอาญาสิทธิ์และตนเองยังเป็นนายกฯเช่นเดิม ไม่ต้องมีการเลือกตั้ง ไม่ต้องมีสภาผู้แทนราษฎร ไม่ต้องมีฝ่ายค้าน คณะรัฐบาลในยุคนั้นจึงเป็นรัฐบาลเผด็จการทหารเต็มรูปแบบอีก และนี่เอง คือปฐมบทที่นำไปสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ในลำดับต่อมา”

No comments: