Monday, July 20, 2015

มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทย (1)

“Toward a New Frontier” Series บทความชุด “ทะยานสู่พรมแดนใหม่”




วันนี้เราจะมาคุยกันในภาคเศรษฐกิจจริงกันเพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากที่คุยกันแต่เรื่องตลาดทุนอยู่เป็นประจำ ที่จริงแล้วภาคเศรษฐกิจจริงเชื่อมโยงกับตลาดทุนอย่างแยกกันไม่ออก การพิจารณาภาคเศรษฐกิจจริงย่อมช่วยเสริมมุมมองในการวิเคราะห์ตลาดหุ้นได้


เศรษฐกิจไทยพึ่งพาเศรษฐกิจโลก


เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันพึ่งพาการส่งออกในระดับที่สูง โดยมีสัดส่วน 77% ของจีดีพีทีเดียว นี่หมายความรวมถึงการส่งออกสินค้าและบริการ หากคิดเฉพาะการส่งออกสินค้าก็ประมาณ 60% ของจีดีพี ดังนั้นพูดง่ายๆก็คือเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลก หากเศรษฐกิจโลกไม่ค่อยดี ลูกค้าของเรา (คือประเทศคู่ค้าต่างๆ) กระเป๋าแฟบ ไทยก็พลอยแห้งเหี่ยวไปด้วย

เรามาดูการนำเข้าและส่งออกในงวด 5 เดือน (มกราคม ถึง พฤษภาคม) ของปี 2013, 2014 และ 2015 เปรียบเทียบกัน ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังกราฟต่อไปนี้


การนำเข้าส่งออกของไทยงวด 5 เดือน (ม.ค. ถึง พ.ค.) เทียบกันระหว่างปี 2013, 2014, 2015 จะเห็นว่าทั้งการนำเข้าละการส่งออกของไทยหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง

มาดูด้านการนำเข้าก่อน จะเห็นว่าในงวด 5 เดือนของสามปีที่ผ่านมานี้การนำเข้าของไทยลดลงตลอด โดยเฉพาะปี 2015 นี้การนำเข้าของไทยลดลง -9.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สาเหตุที่ลดลงมากขนาดนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ลดลงเนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลง ทำให้เราประหยัดการนำเข้าไปได้ แต่เมื่อจำแนกกลุ่มสินค้านำเข้าให้ลึกลงไปอีกก็จะพบว่าเรานำเข้าสินค้าทุน (หมายถึงสินค้าที่นำมาใช้ในการผลิต เช่น เครื่องจักร ฯลฯ) ก็ลดลงด้วยเช่นกัน

ทีนี้มาดูด้านการส่งออก จะเห็นว่าในงวด 5 เดือนของสามปีที่ผ่านมานั้นยอดส่งออกสินค้าของไทยก็ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยเฉพาะงวดห้าเดือนปี 2015 นั้นลดลงจากปี 2014ถึง -4.2% หรือหากคิดเป็นจำนวนเงินก็คือรายได้ห้าเดือนลดลงกว่า 130,000 ล้านบาท

การส่งออกที่หดตัวนี่แหละที่มีผลต่อสภาพเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการส่งออกสินค้าคือเส้นเลือดใหญ่ เพราะเป็นสัดส่วนราว 60% ของจีดีพีไทย ส่วนการลงทุนภาครัฐในแต่ละปีนั้นเป็นสัดส่วนประมาณ 5% ของจีดีพี การที่เราพยามเร่งการลงทุนภาครัฐก็เหมือนพยายามทะลวงเส้นเลือดเล็กโล่ง แต่ในขณะที่เส้นเลือดใหญ่ตีบตันอยู่ ก็ย่อมมีส่วนช่วยได้ไม่มากนัก ดังนั้นการแก้ที่ตรงจุดคือการทะลวงเส้นเลือดใหญ่ให้โล่งหรือการเพิ่มยอดส่งออกสินค้านั่นเอง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พูดง่ายแต่ทำยากมาก

ทีนี้เรามาสืบดูต่อไปว่ายอดส่งออกนั้นหายไปไหน เราก็ต้องมาดูกันก่อนว่าคู่ค้ารายใหญ่ของไทยเป็นใครบ้าง ตอนนี้คู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยคือจีน รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ยุโรป คิดอย่างง่ายๆเพื่อให้เห็นภาพก็คือ รายได้ของไทย 100 บาทมาจากการส่งออกสินค้า 60 บาท และยอดส่งออกนี้คู่ค้าหลักสี่รายที่ว่าก็ซื้อไปเกือบๆ 30 บาทแล้ว โดยเป็นรายได้จากจีน 8.5 บาท ส่วนรายได้จากอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ประมาณรายละ 6.5 บาท ที่เหลือเป็นป็นรายได้จากคู่ค้ารายย่อยอื่นๆ


ส่องคู่ค้าหลักของไทย จีนซื้อน้อยลง


ยอดส่งออกของไทย (งวด 5 เดือนแรกของปี) ไปยังคู่ค้าหลัก 4 ราย จีน ยุโรป ญี่ปุ่น นำเข้าลดลงมาก มีเพียงสหรัฐอเมริกาที่นำเข้าเพิ่มขึ้น

จากกราฟ ตอนนี้ลูกค้ารายใหญ่ จีน ยุโรป ญี่ปุ่น ซื้อสินค้าจากไทยน้อยลงมาก มีเพียงอเมริกาเท่านั้นที่ซื้อสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่ได้ช่วยกู้สถานการณ์เพราะยอดขายที่หายไปเยอะกว่าที่เพิ่มขึ้น

เอาละ ทีนี้เราจะลองไปเจาะรายละเอียดของลูกค้าบางรายเพื่อดูว่าทำไมความต้องการซื้อสินค้าจากเราเปลี่ยนแปลงไป เราลองมาดูที่ลูกค้าประเทศจีนกันก่อน ลองดูกราฟต่อไปนี้กัน


การนำเข้าส่งออกงวดห้าเดือนแรกของจีน จะเห็นว่าสามปีที่ผ่านมาจีนส่งออกทรงตัวแต่นำเข้าลดลงมาก ซึ่งกระทบต่อไทยไม่น้อย

กราฟนี้เป็นสรุปการนำเข้าและส่งออกของจีนในงวดห้าเดือน คือมกราคมถึงพฤษภาคม 3 ปีเปรียบเทียบกัน ประเทศจีนได้ชื่อว่าเป็นโรงงานผลิตสินค้าของโลก มีการผลิตและส่งออกสินค้ามากมาย เมื่อเราพิจารณายอดส่งออกงวดห้าเดือนของจีนเปรียบเทียบกัน 3 ปีจะเห็นว่ายอดส่งออกของจีนทรงตัว มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ภาพนี้ทำให้เราเห็นภาพเศรษฐกิจโลกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นั่นคือ ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวได้ช้า กำลังซื้อจึงแค่ทรงตัว

ทีนี้มาดูด้านการนำเข้าของจีน จะเห็นว่าปีนี้จีนนำเข้าลดลงมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ลดลงทำให้จีนประหยัดการนำเข้าพลังงาน แต่ทางด้านยอดนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆก็ลดลงด้วยเช่นกัน และยอดส่งออกจากไทยไปจีนที่หดตัวลงก็สอดคล้องกับภาพนี้ นั่นคือ เป็นเพราะว่าจีนนำเข้าน้อยลงนั่นเอง


มองสหรัฐอเมริกา ซื้อจากเวียดนามมากกว่าไทย


จากนั้นเราจะไปดูที่สหรัฐอเมริกากัน สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแห่งการบริโภค ประชากรราวสามร้อยล้านคนแต่กินเยอะใช้เยอะจริงๆ จีนกับอเมริกาสัมพันธ์กันในเชิงการค้าสูงมาก เพราะจีนเป็นซับพลายเออร์รายใหญ่ของอเมริกา และขณะเดียวกันอเมริกาก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ของจีน เรามาดูโครงสร้างการนำเข้าของสหรัฐอเมริกาในงวดห้าเดือนแรกเปรียบเทียบกัน 3 ปี


โครงสร้างการนำเข้าของสหรัฐอเมริกาจากประเทศคู้ค้าหลักบางราย จะเห็นว่าแม้นำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้นแต่กลับนำเข้าจากเกาหลีใต้ เวียดนาม มาเลเซียมากกว่า

ซับพลายเออร์หรือผู้ที่ขายสินค้าให้สหรัฐอเมริกา หากจะนับซับพลายเออร์รายใหญ่ของอเมริกา 15 รายแรกก็จะเป็นจีน ยุโรป แคนาดา เม็กซิโก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไทย มาเลเซีย เวียดนาม ฯลฯ

ในงวดห้าเดือนของปี 2015 นี้เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สหรัฐอเมริกานำเข้าสินค้าจากเอเชียเพิ่มขึ้นมาก และลดการนำเข้าจากยุโรป เม็กซิโก แคนาดาลง โดยนำเข้าจากจีน +6% ส่วนสินค้าจากญี่ปุ่นนั้นนำเข้าเพิ่มไม่มากนัก และที่น่าสังเกตคือยอดนำเข้าจากเกาหลีใต้ เวียดนาม มาเลเซีย เพิ่มขึ้นเด่นมาก สหรัฐนำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่คิดแล้วยังน้อยกว่าสามชาติเกาหลีใต้ เวียดนาม มาเลเซีย และหากจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาถือว่าเวียดนาม มาเลเซีย เป็นคู่ค้ารายใหญ่กว่าไทยเสียอีก ดูจากยอดการนำเข้าที่สูงกว่าการนำเข้าจากไทย

ประมวลจากข้อมูลต่างๆที่ลุงแมวน้ำเล่ามา ก็คงปะติดปะต่อให้เห็นเป็นภาพว่าตอนนี้เศรษฐกิจโลกยังเปราะบางอยู่ การฟื้นตัวเป็นไปอย่างช้าๆ ยกเว้นสหรัฐอเมริกาที่ฟื้นตัวได้ดีหน่อย แต่โดยรวมแล้วการค้าโลกกระเตื้องอย่างเชื่องช้า

ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออก รายได้หลักมาจากการส่งออกสินค้า ดังนั้นเศรษฐกิจโลกจึงมีผลกระทบต่อไทยมาก โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่

จีนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจภายในประเทศ เมื่อการค้าโลกไม่ค่อยดีก็พยายามปรับตัวเองให้พึ่งพาการส่งออกน้อยลง และหันไปพึ่งพาการบริโภคในประเทศมากขึ้น โดยสินค้าที่ส่งออกนั้นจีนก็มีการปรับโครงสร้าง โดยเน้นสินค้าที่เพิ่มมูลค่า คือหมายถึงการนำเข้าวัตถุดิบมาผลิตสินค้าที่ขายได้ราคาแพง ดังนั้น ตอนนี้จีนจึงอยู่ในช่วงของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจภายใน รวมทั้งปรับโครงสร้างการนำเข้าส่งออกด้วย สินค้าของไทยคงตรงกับความต้องการของจีนน้อยลง ยอดขายของไทยไปจีนจึงตกไป และนอกจากนี้ ยอดขายของไทยที่ส่งไปยังคู่ค้าหลักอื่นๆก็ลดลง ทำให้น่าคิดว่าสาเหตุที่ยอดขายลดลงส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสินค้าของไทยไม่ค่อยตรงกับความต้องการของลูกค้าเสียแล้วก็เป็นได้

และเมื่อเราไปดูโครงสร้างการนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ที่นำเข้าจากเกาหลีใต้ เวียดนาม มาเลเซียเพิ่มขึ้น แล้วมาดูข้อเท็จจริงที่ว่าตอนนี้โรงงานผลิตสินค้าสำคัญของไทยปิดตัวไปหลายบริษัท เช่น รถยนต์รุ่นใหม่ๆก็มีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ส่วนโรงงานจอแอลซีดี โรงงานมอตอร์ฮาร์ดดิสก์ ก็ปิดตัวไปเพราะสินค้าเหล่านี้หมดสมัย ก็ดูเหมือนจะช่วยตอกย้ำว่าสินค้าของไทยไม่ค่อยตรงกับความต้องการของลูกค้านัก หรือหมายความว่าเราเสียความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกไปนั่นเอง

และหากเรานำข้อมูลอัตราการใช้กำลังการผลิต (capacity utilization rate) มาพิจารณาประกอบ ค่านี้เป็นการมองว่าหากมีเครื่องจักรผลิตสินค้าอยู่ 100 เครื่อง ตอนนี้เราใช้กำลังการผลิตอยู่กี่เครื่อง ก็ปรากฏว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตของเราลดลงโดยตลอด ยกตัวอย่างจากภาพ ในตอนต้นปี 2013 เครื่องจักร 100 เครื่องเราใช้อยู่ 66 เครื่อง ที่เหลืออีก 44 เครื่องปล่อยว่างไว้ไม่ได้ใช้งาน มาในปัจจุบัน ตอนนี้ใช้งานเพียง 56.6 เครื่อง แปลว่ากำลังซื้อหายไป จึงจำต้องลดการผลิตลง ภาพนี้ก็มีส่วนบอกเราว่าเราอาจผลิตสินค้าไม่ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อ (รวมทั้งอาจบอกว่าลูกค้ากระเป๋าแฟบจึงลดการซื้อลงก็ได้ด้วย ต้องดูตัวชี้วัดอื่นประกอบด้วย)


อัตราการใช้กำลังการผลิตของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง

วันนี้เราดูกันเฉพาะภาพการนำเข้าส่งออก วันต่อไปเราจะมาดูตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆภายในประเทศกันคร้าบ

Tuesday, July 14, 2015

เมื่อหุ้นจีนซิ่งสาย 8 ถึงเวลาฟองสบู่แตกหรือยัง (2)

“Toward a New Frontier” Series บทความชุด “ทะยานสู่พรมแดนใหม่”



ทิศทางของเศรษฐกิจจริงและความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา เศรษฐกิจเติบโตสูงมาตลอดแต่ตลาดหุ้นไม่ร้อนแรง คลื่น 1 ใหญ่และ 2 ใหญ่ กินเวลานาน ต่อมาปี 2006 ตลาดหุ้นร้อนแรงมาก ตลาดขึ้นแบบม้วนเดียว คลื่นใหญ่ 3-4-5 รวมเป็นลูกเดียวกัน และตอนขาลงก็เร็วมากเช่นกัน คลื่นขาลง A-B-C รวมเป็นลูกเดียวแยกไม่ออก จนในปี 2014 หลังจากมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นจีนก็กลับมาร้อนแรงมากอีก

วิเคราะห์ตลาดหุ้นจีน เศรษฐกิจซึมเซาแต่ตลาดหุ้นร้อนแรง


เศรษฐกิจจีนร้อนแรงมานับยี่สิบปีแต่ตลาดหุ้นจีนเพิ่งร้อนแรงใน ช่วงปี 2006-2007 เป็นเวลาเพียงหนึ่งปีครึ่งตลาดหุ้นจีนก็พุ่งถึง +450% 

ในทางตรงกันข้าม จากปี 2008 เป็นต้นมา เศรษฐกิจจีนค่อยๆชะลอตัว แต่ตลาดหุ้นจีนตอบสนองอย่างรุนแรง เพียงหนึ่งปีตลาดหุ้นร่วงไป -73% หลังจากนั้นก็หมดความร้อนแรงไปเป็นเวลาหลายปี

จนในราวปลายปี เดือนตุลาคม 2014 จีนเริ่มใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยและลดสัดส่วนเงินกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR, reserved requirement ratio) หลายครั้งติดต่อกัน ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่ระบบเศรษฐกิจ

มาตรการเหล่านี้ยังเห็นผลต่อระบบเศรษฐกิจไม่ชัด แต่ว่ากลับเกิดผลต่อตลาดหุ้นจีนอย่างรุนแรง ในปี 2014-2015 ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตวิ่งจาก 2300 จุดไป 5160 จุดหรือ +125% ในเวลาครึ่งปีเท่านั้น และถ้าหากมองดัชนีเซินเจินคอมโพสิตก็ยิ่งร้อนแรงกว่า คือ +140%

หากเราจะเปรียบเทียบความร้อนแรงของตลาดหุ้นจีนในยุคก่อนโอลิมปิกฤดูร้อน หรือปี 2007 กับตอนนี้ มีทั้งความเหมือนและความต่าง ลองมาดูกัน


ตลาดหุ้นจีนหลังจากร่วงแรงในปี 2007 ก็เกิดเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมชายธงใหญ่ อธิบายได้ว่าตลาดหุ้นจีนต้องใช้เวลานานในการปรับตัวให้เข้าส่ดุลยภาพ โดยสอดคล้องไปกับปัจจัยการชะลอตัวทางเศรษฐกิจด้วย


ในช่วงก่อนโอลิมปิก ตลาดขาขึ้นในรอบนั้นอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างรวดเร็วต่อเนื่องมาหลายปีแต่ตลาดหุ้นยังไม่ร้อนแรง พอมาปี 2006 ถึงบทจะร้อนแรงก็ร้อนแรงอย่างรวดเร็วและตลาดก็วายในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน หากพิจารณาในเชิงเทคนิค จากกราฟในยุโอลิมปิกจะเห็นว่าคลื่น 3-4-5 นั้นแยกไม่ออก ขึ้นม้วนเดียวก็จบคลื่น 5 ไปเลย และหลังจากนั้นตอนขาลงก็ลงเร็วมาก คลื่น A-B-C รวมเป็นคลื่นเดียวกัน รวมแล้วคลื่น 3-4-5-A-B-C กินเวลาประมาณสองปีครึ่งเท่านั้น

หลังจากจบรอบนั้น อัตราการเติบโตของจีนลดลงเรื่อยมา จากจีดีพีที่โตปีละ 14% ก็เหลือ 12%, 10%, 9%, 8% ฯลฯ ส่วนตลาดหุ้นจีนหลังจากการร่วงแรงในปี 2008 จากนั้นก็มีการเด้งขึ้นลงไปตามภาวะเศรษฐกิจ และมาสลบเหมือดเอาในปี 2013 ซึ่งหากวิเคราะห์ด้วยรูปแบบทางเทคนิคจะเห็นว่าตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ตลาดหุ้นจีนก็ก่อรูปแบบสามเหลี่ยมชายธง (wedge) ใหญ่ อธิบายได้ว่าตลาดหุ้นจีนขึ้นแรงเกินไปและลงแรงเกินไปจนตลาดเสียดุลยภาพ เมื่อตลาดเสียดุลยภาพ ตลาดก็พยายามปรับตัวให้เข้าสู่ดุลยภาพ ดังนั้นจึงเห็นราคาเด้งขึ้นลงเป็นรูปสามเหลี่ยมชายธง

รูปแบบสามเหลี่ยมชายธงนี้เป็นรูปแบบในธรรมชาติ นั่นคือเป็นรูปแบบคล้ายการเคลื่อนที่ของคลื่นกลผ่านตัวกลางนั่นเอง นึกง่ายๆก็คือคลื่นในมหาสมุทร เมื่อเกิดในมหาสมุทรจะเป็นคลื่นสูงมาก แต่เมื่อเข้าใกล้ชายฝั่ง คลื่นจะค่อยๆเตี้ยลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงระลอกเล็กๆเมื่อมาถึงฝั่ง

อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือการโยนหินลงในน้ำ ตอนแรกน้ำจะกระเพื่อมแรง ต่อมาเมื่อระลอกเดินทางไกลออกไปก็จะเล็กลงเรื่อยและหายไปในที่สุดน้ำก็กลับมาราบเรียบดังเดิม รูปแบบสามเหลี่ยมชายธงก็เป็นแบบนี้นั่นเอง

นั่นเป็นเรื่องในอดีต ทีนี้ประเด็นก็อยู่ที่ว่าในปี 2014 ขณะที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวอยู่ ตลาดหุ้นจีนขึ้นแรงได้อย่างไร

คำตอบก็คือ ครั้งก่อนตลาดหุ้นจีนร้อนเพราะเศรษฐกิจร้อน แต่ตอนนี้ตลาดหุ้นจีนร้อนเพราะฤทธิ์ของยาโด๊ปการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดอัตราดอกเบี้ย การลดสัดส่วนกันสำรอง RRR ประกอบกับการให้สินเชื่อมาร์จินแก่นักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นจีนที่ซบเซากลับสู่ภาวะเก็งกำไรอย่างร้อนแรง จนประวัติศาสตร์กลับมาซ้ำรอยเดิมอีกครั้งหนึ่ง


ตลาดหุ้นจีน 2015 ร้อนแรงกว่าเดิม อันตรายกว่าเดิม


แม้ว่าอัตราการขึ้นของตลาดหุ้นจีนในรอบนี้จะขึ้นไป +125% ซึ่งน้อยกว่าครั้งก่อน (ครั้งก่อน +450%) แต่การขึ้นรอบนี้ใช้เวลาประมาณครึ่งปีเท่านั้น อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจจริงก็ด้อยกว่าในรอบก่อน ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงมองว่าครั้งนี้เก็งกำไรกันดุเดือดกว่า

งานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกรา ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ตลาดวาย หลังจากที่หุ้นถูกไล่ราคาจนเกินไปปัจจัยพื้นฐานไปมาก พีอีของดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตขึ้นไปถึง 23 เท่ากว่า และพีอีของดัชนีเซินเจินคอมโพสิตขึ้นไปถึง 70 เท่า ทางการจีนก็เริ่มเป็นห่วงและควบคุมการให้เทรดด้วยมาร์จินให้เข้มงวดขึ้น ตรงนี้แหละที่เป็นการจุดชนวน พอควบคุมมาร์จินเข้าตลาดก็ร่วง

เมื่อตลาดร่วง ใครต่อใครก็ชิงกันขาย ในที่สุดตลาดหุ้นก็เกิดอาการแตกตื่นในตอนกลางเดือนมิถุนายน 2015 ที่เพิ่งผ่านมา ที่จริงก่อนหน้านั้นในราวปลายเดือนพฤษภาคม มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าอยู่บ้าง นั่นคือ หุ้นบางตัวในตลาดฮ่องกงร่วงแรงผิดปกติ ดังที่ลุงแมวน้ำเคยคุยให้ฟังไปแล้ว หลังจากนั้นตลาดหุ้นจีนก็เริ่มร่วง และตลาดหุ้นฮ่องกงก็ร่วงตาม

ถามว่าที่ตลาดหุ้นลงแรงครั้งนี้มีขบวนการทุบหุ้นหรือไม่ จะมีหรือไม่มีลุงแมวน้ำก็ไม่อาจยืนยันได้ แต่เมื่อขึ้นแรงแพงขนาดนี้ แม้ไม่มีขบวนการทุบตลาด อะไรไปสะกิดเข้าหน่อยก็ต้องร่วงลงมาเองอยู่แล้ว

ตลาดหุ้นจีนร่วงลง -34% ในเวลาประมาณครึ่งเดือน ทางการจีนพยายามอออกมาตรการหลายประการเพื่อหยุดการร่วงของหุ้น ได้แก่การห้ามซื้อขายหุ้นประมาณ 1300 หลักทรัพย์ ห้ามขายชอร์ต ห้ามรายใหญ่ขายหุ้นในเวลา 6 เดือน ห้ามกองทุนขายหุ้น ตั้งกองทุนพยุงหุ้น ผ่อนคลายเรื่องมาร์จินอีก ฯลฯ ผลจากการระงับการซื้อขายหุ้นไปเกือบครึ่งตลาดทำให้ตลาดหุ้นหยุดร่วงได้จริงๆ


วิเคราะห์เหตุการณ์ตลาดหุ้นจีน 2015 ตกแต่ไม่แตก บทเรียนราคาแพงของจีน


มาวิเคราะห์เหตุการณ์ในครั้งนี้กัน เป็นบทเรียนราคาแพงของจีนจริงๆ  จีนกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมทั้งกระตุ้นตลาดหุ้นไปด้วยเพราะหากตลาดหุ้นขึ้น ผลก็คือความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนรายย่อยชาวจีนซึ่งมี 90 ล้านบัญชีและส่วนใหญ่น่าจะเป็นชนชั้นกลางของจีนที่มีอยู่ประมาณ 200-300 ล้านคน เปรียบเหมือนกับจีนให้ยาโด๊ปแต่พลาดตรงที่ไม่เข้าใจผลข้างเคียงดีพอ ผลก็คือ ยานี้มีผลข้างเคียงรุนแรง ทำให้ท้องเสีย เบื่ออาหาร ผมร่วง ฯลฯ จีนเคยมีประสบการณ์กับครั้งโอลิมปิกมาแล้ว แต่ครั้งนี้ก็ยังพลาด เชื่อว่าจะทำให้ทางการจีนระมัดระวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการกำกับตลาดทุนให้ดียิ่งขึ้น

ตลาดหุ้นตกครั้งนี้ยังไม่น่าถือว่าเป็นสถานการณ์ฟองสบู่แตก เนื่องจากปัจจัยเศรษฐกิจจีนยังชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อก็ยังไม่สูง ไม่ใช่สถานการณ์ที่เอื้อต่อการเกิดฟองสบู่ ตลาดหุ้นเก็งกำไรรุนแรงไปบ้างจึงตกลงมาก เมื่อตกลงมาแล้วสถานการณ์ก็ไม่ได้ลุกลามเนื่องจากทางการจีนออกมาตรการสกัดการลุกลามอย่างรวดเร็ว ลุงแมวน้ำมองว่าเป็นเพียงการผันผวนที่รุนแรงเท่านั้น ไม่ใช่ภาวะฟองสบู่ตลาดหุ้นแตก

หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ลงทุนในตลาดหุ้นจีนได้หรือยัง


มาพิจารณาปัจจัยเศรษฐกิจกันก่อน เศรษฐกิจจีนยังชะลอตัวอยู่ แม้จีนจะประกาศว่าจะรักษาอัตราการเจริญ จีดีพีโตปีละ 7% ให้ได้ แต่ตอนนี้ผ่านมาครึ่งปีแล้ว สัญญาณทางเศรษฐกิจหลายประการบ่งชี้ว่าอาจโตไม่ถึง 7% คือได้แค่ 6.8% เท่านั้น ดังนั้นเป้าหมายดัชนีปลายปี 2015 อาจถูกปรับลดลงไปบ้าง


ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปัจจุบันมีพีอี 20 เท่า ส่วนดัชนีเซินเจินคอมโพสิต 52.3 เท่า ดัชนีตลาดหุ้นจีนมีโอกาสปรับตัวลงได้อีกหากคาดการณ์เศรษฐกิจจีน 2015 นี้โตไม่ถึง 7%


นอกจากนี้ ทางการจีนคงพยายามกำกับตลาดทุนให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ประกอบกับความเสียหายของนักลงทุนรายย่อยอาจทำให้บางส่วนเข็ดขยาด หรือทุนหมด ดังนั้นรวมๆแล้วตลาดหุ้นจีนคงไม่ร้อนแรงเช่นเดิมแล้ว และน่าจะเทรดกันที่ค่าพีอีตลาดที่ต่ำลงกว่าเดิม

ในทางเทคนิค ดัชนีคงก่อตัวเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมชายธงคล้ายกับรอบก่อน แต่การเดินเข้าสู่ปลายสามเหลี่ยมชายธงน่าจะเร็วกว่าเดิม แปลความว่าตลาดคงเด้งขึ้นเด้งลงในโซนราคาแถวๆนี้ไปอีกหลายเดือน หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่ปลายชายธงก็ต้องดูกันอีกที หลายเศรษฐกิจดี ดัชนีคงตัดทะลุชายธงขึ้นข้างบน แต่หากเศรษฐกิจชะลอตัวยิ่งกว่าเดิม ดัชนีก็คงตัดทะลุลง


ตลาดหุ้นจีนนับจากนี้ไป น่าจะก่อตัวเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมชายธงอีก เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในครั้งก่อน และคงใช้เวลาอีกหลายเดือนเพื่อเข้าสู่ปลายชายธง 


ถามว่าถึงเวลาลงทุนได้หรือยัง โบราณว่าข่าวดีให้ขาย ข่าวร้ายให้ซื้อใช่ไหม ตอนนี้ก็ถือเป็นข่าวร้ายแล้ว แต่ลุงแมวน้ำคิดว่าควรรอดูไปก่อน เพราะตอนนี้ตลาดยังอาจลงไม่สุด ที่ตลาดหยุดลงเนื่องจากหุ้นจีนยังถูกห้ามขายอยู่พันกว่าหลักทรัพย์ หากเปิดซื้อขายได้ตามปกติก็ไม่แน่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อีกประการ ตลาดหุ้นจีนในช่วงที่ผ่านมาผันผวนรุนแรงมาก ไม่ค่อยน่าลงทุนเท่าไรนักเนื่องจากตลาดที่ผันผวนมากมักขาดเสถียรภาพ หลังจากนี้ตลาดหุ้นจีนคงถูกคุมเข้ม การที่จะสร้างผลตอบแทนที่ร้อนแรงอีกคงยากแล้ว แม้ว่าเรื่องเสถียรภาพอาจจะดีขึ้นแต่ก็เป็นเสถียรภาพที่เกิดจากกฎเกณฑ์ที่แปลกประหลาดที่ตลาดเสรีอื่นๆไม่ทำกัน ก็ยังไม่รู้ว่าจะยังน่าลงทุนไหม

ดังนั้น ลุงแมวน้ำคิดว่าตลาดตอนนี้ยังฝุ่นตลบ ควรรอให้สถานการณ์ฝุ่นจางลงก่อน ให้เข้าสู่ปลายชายธงและตัดทะลุปลายให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า ถึงตอนนั้นหากยังน่าลงทุนก็ค่อยเข้าลงทุน


ผลจากตลาดหุ้นจีนกระทบเศรษฐกิจไทยหรือไม่


ลุงว่าไม่น่า แม้ว่านักลงทุนรายย่อยจีนที่เสียหายในตลาดหุ้นเหล่านี้คือกลุ่มชนชั้นกลางที่เดินทางท่องเที่ยวและเข้ามาเที่ยวในเมืองไทยนี่เอง ตลาดลงราวๆ -30% ถึง -40% ทำให้ความมั่งคั่งของชนชั้นกลางลดลงไปบ้าง แต่ประเด็นคือเรื่องขวัญและกำลังใจมากกว่า ตอนนี้ไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจจีน ดังนั้นอีกไม่นานขวัญและกำลังใจของนักลงทุนจีนก็คงกลับมา ดังนั้นแม้ตลาดหุ้นลงแรงก็จริงแต่คงไม่กระทบกับภาพรวมของการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวจีนจนกระทบเศรษฐกิจไทย แต่ประเด็นที่น่าติดตามอยู่ที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ทำให้การนำเข้าสินค้าของจีนลดลง เรื่องนี้ต่างหากที่มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยและกระทบต่อเศรษฐกิจไทย


ตลาดหุ้นฮ่องกง รักแล้วรอหน่อย


การลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง ยังรอได้ ไม่ต้องรีบ แม้ราคาถูกแล้วแต่ก็อาจไม่ขึ้น


แถมเรื่องตลาดหุ้นฮ่องกง ตอนนี้ตลาดหุ้นฮ่องกงถูกมาก พีอีตลาดอยู่แค่ 10.8 เท่าเอง ดูเหมือนจะน่าซื้อ แต่ลุงแมวน้ำก็คิดว่าดูไปก่อนเช่นกัน เนื่องจากตลาดหุ้นฮ่องกงอาศัยโมเมนตัมของตลาดหุ้นจีนรวมกับโมเมนตัมของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาผสมกัน หากไม่มีโมเมนตัมจากสองตลาดนี้ แม้ตลาดหุ้นฮ่องกงถูกกว่านี้ก็ไม่วิ่ง ดังนั้นก็รอได้ ใจเย็นๆคร้าบ

Friday, July 10, 2015

เมื่อหุ้นจีนซิ่งสาย 8 ถึงเวลาฟองสบู่แตกหรือยัง (1)

“Toward a New Frontier” Series บทความชุด “ทะยานสู่พรมแดนใหม่”




ตลาดหุ้นจีนร่วงแรง -34% นักลงทุนในตลาดหุ้นขาดทุนหนัก ดาราบางคนมีข่าวว่าพอร์ตเสียหายไปนับหมื่นล้าน ทำให้เกิดเป็นประเด็นร้อนว่าตลาดหุ้นจีนฟองสบู่แตกแล้วใช่หรือไม่ รวมทั้งคำถามอื่นๆอีกมากมายที่ตามมา

ตลาดหุ้นจีนร่วงตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน 2015 จนถึงต้นเดือนกรกฎาคม ในเวลาครึ่งเดือนดัชนีตลาดหุ้นลดลงไป -34%

สองสามวันมานี้ข่าวใหญ่ด้านเศรษฐกิจที่มาแรงแซงปัญหาหนี้กรีซก็คือเรื่องตลาดหุ้นจีน เนื่องจากตอนนี้ตลาดหุ้นจีนร่วงอย่างรวดเร็วประมาณ -34% ภายในเวลาสองสัปดาห์นับจากจุดสูงสุดในตอนกลางเดือนมิถุนายน รวมทั้งตลาดหุ้นฮ่องกงก็ร่วงตามด้วย แม้ทางการจีนจะออกมาตรการอย่างเร่งด่วนมาเป็นชุดเพื่อสกัดการทรุดตัวของตลาดหุ้นจีนแต่ก็ดูเหมือนจะได้ผลไม่มากนักเนื่องจากตลาดหุ้นจีนยังร่วงต่อ

จนถึงวันนี้ เรื่องตลาดหุ้นจีนก็กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาว่าตลาดหุ้นจีนในตอนนี้ฟองสบู่แตกแล้วใช่หรือไม่ สื่อมวลชนต่างก็จับประเด็นนี้มาวิเคราะห์อธิบายกันมากมาย รวมทั้งยังขยายผลต่อไปอีกว่ามีดาราจีนคนนั้นคนนี้พอร์ตแดงไปกี่หมื่นกี่พันล้าน

วันนี้เรามาคุยเรื่องตลาดหุ้นจีนกันอีกสักวัน ที่จริงลุงแมวน้ำคุยเรื่องตลาดหุ้นจีนมาให้ฟังเป็นระยะแล้ว ดังนั้นวันนี้จะไม่ทบทวนอะไรมาก เกรงว่าทวนเรื่องเดิมๆแล้วพวกเราจะเบื่อกัน เรื่องพวกนี้บางทีก็ซับซ้อน คุยครั้งเดียวไม่มีทางจบหรือคุยได้ครบ สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ดังนั้นก็ต้องคุยอัปเดตกันไปเป็นระยะ เมื่อเราได้ภาพหลายๆภาพมาปะติดปะต่อกันก็จะทำให้เราค่อยๆเข้าใจได้มากขึ้นไปเอง

ดังนั้นเอาเป็นว่าวันนี้เราคุยกันเพิ่มเติมเรื่องตลาดหุ้นจีนว่าฟองสบู่แตกหรือยัง สำหรับผู้ที่อ่านบทความนี้ หากสนใจก็อาจย้อนไปอ่านในโพสต์ก่อนๆของลุงแมวน้ำที่คุยเกี่ยวกับตลาดหุ้นจีนเอาไว้ ก็จะช่วยให้ปะติดปะต่อภาพได้ดียิ่งขึ้น


เข้าใจคนจีน เข้าใจตลาดหุ้นจีน


ตลาดหุ้นจีนก็เช่นกัน ตลาดหุ้นจีนนั้นขึ้นชื่อลือชาในเรื่องความผันผวน ขึ้นลงเร็วและแรง เนื่องจากนักลงทุนเก็งกำไรกันอย่างสุดเหวี่ยง ความผันผวนของตลาดลุงแมวน้ำคิดว่ายังดุเดือดร้อนแรงกว่าตลาดห้นไทยเสียอีก ทำไมจึงเป็นเช่นกัน ลุงแมวน้ำว่าเรามาทำความเข้าใจกับนักลงทุนรายย่อยชาวจีนกันสักหน่อยดีกว่า การที่เราเข้าใจนักลงทุนจีนหรือว่าเข้าใจบุคลิกของคนจีนรุ่นใหม่จะช่วยให้เราเห็นภาพชัดขึ้นว่าตลาดหุ้นจีนนั้นฟองสบู่แตกหรือยัง

คนจีนรุ่นใหม่ที่เป็นคนหนุ่มสาวซึ่งเติบโตมาในยุคที่จีนเริ่มเปิดประเทศรับเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ก็คะเนว่าเป็นชาวจีนที่ปัจจุบันมีอายุไม่เกิน 50 พวกนี้จะเป็นปลายเจนเอ็กซ์ เจนวาย และเจนที่หลังจากนั้น

ประเทศจีนในปัจจุบันมีประชากรประมาณ 1300 ล้านคน ในยุคทศวรรษ 1980s นั้นประชากรจีนมีราวๆกว่า 900 ล้านคน จีนเป็นประเทศที่มีระชากรมาก การที่รัฐจะจัดการด้านเศรษฐกิจให้ประชาชนกินดีอยู่ดีอย่างทั่วถึงนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก แม้พยายามจะให้ทั่วถึงแต่ก็ไม่ทั่วถึงดีนัก

เมื่อทรัพยากรมีจำกัด  การแข่งขันจึงสูง ชาวจีนต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดมาตั้งแต่เด็ก เริ่มตั้งแต่การแข่งขันเพื่อให้เข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ เมื่อจบชั้นมัธยมก็ต้องแข่งขันเพื่อให้เข้ามหาวิทยาลัยได้ เพราะที่นั่งในมหาวิทยาลัยมีจำกัด พอจบมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังต้องแข่งขันเพื่อให้ได้งานดีๆทำ งานดีๆก็มีจำกัดอีก ก็ต้องแข่งขันกันหนัก

ประกอบกับคนจีนมีวัฒนาธรรมรักหน้าตา คือพูดง่ายๆว่ากลัวเสียหน้า การรประสบความสำเร็จในชีวิตช่วยให้มีหน้ามีตา ดังนั้นยิ่งเป็นแรงผลักดัน และหล่อหลอมให้คนจีนรุ่นใหม่มีบุคลิกดิ้นรน มุมานะ กระหายในความสำเร็จอย่างรุนแรง ความคาดหวังในความสำเร็จของชาวจีนรุ่นใหม่นั้นหากเทียบกับการสอบก็เหมือนกับคนที่ต้องการสอบให้ได้เกรด A หรือ B ซึ่งได้มายาก มีไม่กี่คนที่จะทำได้ ส่วนเกรด C, D, F นั้นไม่ต้องการ แต่คนส่วนใหญ่ก็มักอยู่ในกลุ่ม C, D, F นี้แหละ (เช่น จบแค่มัธยม ทำงานรับจ้าง เงินเดือนน้อย บางคนก็ค้าขายเล็กน้อย ขายผักขายปลา รายได้แค่พออยู่ได้ ฯลฯ) ดังนั้นจะเห็นว่าการประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในระดับที่โดดเด่นในสังคมจีนนั้นยากพราะต้องแข่งขันสูงมาก

คนจีนรุ่นใหม่ก็ดิ้นรนไปทุกที่ทุกทางเพื่อให้ประสบความสำเร็จ มีโอกาสอะไรก็ฉวย ไม่ปล่อยให้หลุดมือ กล้าได้กล้าเสีย ไม่กลัวลำบาก ทำมาหากินในประเทศยากนักบางคนมีช่องทางก็ไปแสวงโชคในต่างประเทศ เช่น มาทำมาหากินในเมืองไทย เป็นต้น บางคนที่หัวทันสมัยหน่อยก็มักได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการให้เงินทำงาน แพสซีฟอินคัม (passive income) รวยด้วยหุ้น ฯลฯ ก็หันมาสนใจลงทุนในตลาดหุ้น นี่คือส่วนหนึ่งของแรงจูงใจที่ผลักดันชาวจีนรุ่นใหม่เข้ามาในตลาดหุ้น


ย้อนตำนานตลาดหุ้นจีนยุคโอลิมปิก หุ้นซิ่งสาย 8


ใครๆก็รู้กันดีกว่ารถเมล์สาย 8 นั้นโด่งดังในด้านความเร็วเพียงใด รถร่วมสาย 8 นั้นวิ่งมาประมาณ 30 ปีแล้วแต่ก็ยังรักษามาตรฐานในด้านความเร็วได้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อก่อนเร็วยังไง เดี๋ยวนี้ก็ยังเร็วอย่างนั้น จนถึงขนาดเกมดังคือ GTA V ยังต้องนำเอารถเมล์สาย 8 เข้าไปซิ่งในเกมทีเดียว >.<

ด้วยความหอมหวนของตลาดทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนได้อย่างงดงาม ประกอบกับบุคลิกที่ต้องการประสบความสำเร็จโดยเร็ว ทัศนคติมีโอกาสต้องรีบฉวย (เพราะถ้าไม่ฉวยคนอื่นก็เอาไปแทน) รวมทั้งความกล้าได้กล้าเสีย ที่คนจีนบอกว่าไม่เข้าถ้ำเสือไหนเลยจะได้ลูกเสือ นี่เองที่เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้ตลาดหุ้นจีนหวือหวา มีการเก็งกำไรสูง

ตั้งแต่ยุค 4 ทันสมัยของเติ้งเสี่ยวผิง หรือจำง่ายๆคือตั้งแต่ 1980 เป็นต้นมา จีนก็ขับเคลื่อนนโยบายทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมผสมคอมมิวนิสต์ มีการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ถนนหนทาง เปิดรับกระแสทุนและกระแสเทคโนโลยีจากต่างชาติเป็นการใหญ่ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนตั้งแต่นั้นมาก็โดดเด่นมาก จากข้อมูลในภาพนี้ ตั้งแต่ปี 1990-2007 จีดีพีจีนโตประมาณปีละ 7% ถึง 14% ทีเดียว


อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนนับแต่ปี 1990 ถึง 2007 เติบโตอย่างร้อนแรงปีละ 7% ถึง 14% และนับแต่ปี 2008 เศรษฐกิจจีนก็เริ่มลดความร้อนแรงลงเรื่อยมา


จนมาในปี 2001 จีนได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 จีนก็ยิ่งเร่งลงทุนเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะการก่อสร้างต่างๆเพื่อเตรียมเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก มีการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมัน เหล็ก สินค้าเกษตร และอื่นๆมากมาย การนำเข้าอย่างมหาศาลของจีนทำให้ราคาน้ำมันดิบและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกพุ่งแรง จากนั้นในปี 2006 ตลาดหุ้นจีนก็เริ่มร้อนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพียงระยะเวลาประมาณปีครึ่ง จากต้นปี 2006 ถึงปลายปี 2007 ตลาดหุ้นจีนพุ่งทะยาน +450% (สี่ร้อยห้าสิบเปอร์เซ็นต์) โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตวิ่งจาก 1,100 จุดไปถึง 6,000 จุด

หลังจากที่จีนก่อสร้างสถานที่ต่างๆที่เกี่ยวกับโอลิมปิกเรียบร้อย การนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ และพร้อมกันนั้น ตลาดหุ้นจีนก็ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาประมาณ 1 ปี จากปลายปี 2007 ถึงปลายปี 2008 ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตไหลลงจาก 6,000 จุดเหลือ 1,600 จุด หรือ -73%

ในภาคเศรษฐกิจจริง หลังจากกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน เศรษฐกิจของจีนก็ลดความร้อนแรงลงเรื่อยมา อัตราการเติบโตของจีดีพี (GDP growth) ค่อยๆลดลงจาก 14% ต่อปี จนล่าสุดเหลือประมาณ 7% ต่อปี

หากเราพิจารณาภาคเศรษฐกิจจริงคู่ไปกับตลาดหุ้นจีน เราจะได้ภาพดังนี้


ทิศทางของเศรษฐกิจจริงและความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา

ดูภาพกันไปก่อน แล้วเรามาคุยกันต่อในตอนต่อไปคร้าบ

Tuesday, July 7, 2015

มองกลุ่มธนาคาร อาจยังลงไม่สุดและจะฟื้นตัวได้ช้า


ดัชนีเซ็ตเทียบกับดัชนีกลุ่มธนาคารและพลังงาน



ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยไหลจนดัชนีเซ็ตหลุด 1500 จุดลงมาแล้ว สาเหตุมาจากสองสามกลุ่มหลัก คือธนาคาร พลังงาน แถมด้วยกลุ่มปิโตรเคมี  โดยกลุ่มธนาคารเป็นพระเอกในการฉุดดัชนี

ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานนั้นปรับตัวลงตามราคาน้ำมันดิบตลาดโลก เมื่อราคาน้ำมันดิบลดลงหุ้นพลังงานก็ลงด้วย ส่วนราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารนั้นปรับตัวลงตามสภาพเศรษฐกิจ

เป็นที่ทราบกันดีกว่าผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์นั้นอ่อนไหวกับสภาพเศรษฐกิจ คือเป็นกระจกที่สะท้อนภาพเเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจดี สินเชื่อก็ขยายตัวดี หนี้เสียก็น้อย ธนาคารก็มีผลประกอบการดี

ในทางตรงกันข้าม หากเศรษฐกิจไม่ดี สินเชื่อก็ปล่อยยาก หนี้เสียก็เพิ่มสูงขึ้น ผลประกอบการของธนาคารก็แย่

เรามาดูกราฟดัชนีรายเซ็กเตอร์กัน จะเห็นว่าในรอบปีที่ผ่านมา ดัชนีเซ็ตปรับตัวลงประมาณ -1.5% ดัชนีกลุ่มพลังงานปรับตัวลง -4% ส่วนดัชนีกลุ่มธนาคารนั้นปรับตัวลงถึง -27.8% โดยราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารนั้นมีแนวโน้มเป็นขาลงตั้งแต่ปีที่แล้ว คือลงมาตลอด เพิ่งมาเด้งขึ้นในช่วงต้นปีนี้เหมือนกับจะกลับทิศเป็นขาขึ้น แต่แล้วก็กลับไหลลงแรงอีก ไหลลงแรงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์มาจนถึงตอนนี้ แม้แต่ต่างชาติซึ่งถือหุ้นไทยไม่มากแล้วก็ยังขายหุ้นกลุ่มธนาคารหนักในระยะที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มธนาคารมีผลต่อดัชนีมากเสียด้วย ดังนั้นจึงฉุดดัชนีเซ็ตลงมา


สาเหตุกลุ่มธนาคารปรับตัวลง


สาเหตุที่หุ้นกลุ่มธนาคารลงแรงเป็นเพราะ

1. ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทั้งหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการเงินต่างก็พากันปรับลดเป้าจีดีพี ปรับลดเป้าการส่งออก หลายต่อหลายครั้ง ซึ่งเหล่านี้้ล้วนแต่เป็นผลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ในปีที่แล้วเรายังเห็นภาพไม่ชัดนัก แต่มาเห็นภาพได้ชัดขึ้นในปีนี้

2. ปริมาณสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือที่เรียกว่าเอ็นพีแอล (NPL, non performing loan) นั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2014 และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มต่อไปในปี 2015 นี้ การที่ปริมาณเอ็นพีแอลของธนาคารพาณิชย์เพิ่มสูงขึ้น ยิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นภาระแก่ธนาคาร เนื่องจาก หากเป็นหนี้ชำระปกติหรือขาดส่งไม่เกิน 3 เดือน (ที่ขาดส่งหนึ่งถึงสามเดือนเรียกว่า SML, special mentioned loan) พวกนี้ยังไม่เป็นเอ็นพีแอล จะตั้งสำรองไม่เกิน 2% ของสินเชื่อ แต่หากถูกจัดชั้นป็นเอ็นพีแอลเมื่อใด ภาระการตั้งสำรองจะกลายเป็น 100% ซึ่งจะเห็นว่าพอเป็น NPL ปุ๊บภาระการตั้งสำรองจะเพิ่มอีกมาก และนี่เองที่ไปฉุดกำไรของธนาคาร


ปริมาณ SML (หนี้ขาดส่งไม่เกิน 3 เดือน), NPL (หนี้ขาดส่งเกิน 3 เดือน) เพิ่มอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 1Q2014 และคาดว่าปี 2015 นี้ SML บางส่วนจะกลายเป็น NPL ทำให้ NPL เพิ่มอย่างต่อเนื่อง


สำหรับปี 2015 นี้ การขยายตัวของสินเชื่อธนาคารน่าจะลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซ้ำเติมด้วยภาระการตั้งสำรองเอ็นพีแอล ก็มองกันว่าผลประกอบการคงไม่น่าประทับใจ ดังนั้นจึงมีแรงขายหุ้นในกลุ่มธนาคาร บางคนไหวตัวเร็วก็ขายตั้งแต่ปีที่แล้ว บางคนเพิ่งมาคิดได้ในช่วงปีนี้ก็รีบขายกันออกมา สภาพการจึงเป็นดังที่เห็นกันอยู่

หุ้นกลุ่มธนาคารจะลงไปถึงไหน 


สำหรับธนาคารใหญ่ คือ BBL, KBANK, SCB, KTB สินเชื่อ NPL กับภาระการตั้งสำรองคงเพิ่มขึ้นต่อไปในไตรมาส 2, 3, 4 ปัจจัยฉุดยังอยู่ต่อไปอีกพักใหญ่ ยังไม่ลดง่ายๆ ดังนั้นหุ้นกลุ่มธนาคารอาจลงต่อได้อีกนิดนึง ลองมาดูกรณีศึกษา KBANK ดังในภาพกัน



ในทางเทคนิค แนวรับสำคัญตามระดับฟิโบนาชชีมีหลายระดับ คือ 170, 145 และ 120 บาท แนวรับไหนน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด

สำหรับ 120 บาท ลุงแมวน้ำว่าต่ำเว่อไป เศรษฐกิจต้องเสียหายหนักราคาจึงจะลงไประดับนั้น ในทางปัจจัยพื้นฐานดูแล้วคงลงไปถึงนั่นได้ยาก

ที่ 145 บาท ราคานี้ หากพิจารณาจาก trailing P/E ratio (ค่าพีอีปัจจุบัน) ก็ราวๆ 7.4 เท่า ส่วนค่า P/BV ราคาต่อมูลค่าทางบัญชี 1.3 เท่า ถือว่าต่ำแล้ว ราคานี้มองแล้วเป็นไปได้มากกว่า

ดังนั้นลุงแมวน้ำมองว่ากลุ่มธนาคารยังฉุดตลาดได้อีกหน่อย

ส่วนธนาคารขนาดรอง พวก TISCO, TCAP ฯลฯ ลองดูกราฟ TISCO ธนาคารขนาดรองตั้งสำรองไปมากแล้วเนื่องจากเอ็นพีแอลโผล่ก่อนธนาคารใหญ่ อะไรที่ควรตั้งก็ตั้งไปเยอะแล้ว ดังนั้นภาระการตั้งในอนาคตมีอีกไม่มาก รูปแบบของราคาจึงไม่ลงหนักเหมือนธนาคารใหญ่


ไม่ต้องรีบร้อน พวกนี้ตอนฟื้นตัวจะค่อยๆฟื้น ใจเย็นๆค่อยๆรอเก็บได้คร้าบ

Tuesday, June 30, 2015

วิกฤตหนี้กรีซใกล้เส้นตาย เศรษฐกิจไทยอาจชะลอยาว (2)


ตลาดหุ้นกรีซ ในหนึ่งปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นปรับตัวลงไปแล้วราว -40%


กรณีกรีซไม่ยอมรับแผนปฏิรูปของกลุ่มเจ้าหนี้ทรอยกาและประกาศทำประชามติเพื่อให้ประชาชนชาวกรีกเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะรับแผนปฏิรูปซึ่งรวมทั้งยอมรับมาตรการรัดเข็มขัดต่างๆหรือไม่ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกในวันที่ 29 มิถุนายนผันผวน สถานการณ์ดูเลวร้ายลงเนื่องจากโอกาสที่กรีซจะผิดนัดชำระหนี้มีสูงขึ้น รวมทั้งกรีซมีอาจต้องออกจากกลุ่มยูโรโซน แต่อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะตกลงกันได้ในนาทีสุดท้ายยังไม่หมดไปเสียทีเดียว ยังมีโอกาสอยู่

ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงในวันที่ 29 อันเป็นผลทางจิตวิทยาของตลาดหุ้นต่างๆที่ตอบสนองต่อข่าวกรีซ ตลาดหุ้นยุโรป (ดัชนี EURO STOXX 50) ปรับตัวลง -4.2% ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา (ดัชนี S&P 500) ปรับลง -2% ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (ดัชนีนิกเกอิ 225) -3% ตลาดหุ้นอินเดีย -0.6% ส่วนตลาดหุ้นไทย -0.45%

จะเห็นว่าตลาดหุ้นที่หวั่นไหวต่อกรณีกรีซมากที่สุดเป็นตลาดหุ้นในภูมิภาคยุโรป ส่วนผลทางจิตวิทยาของตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นมีค่อนข้างจำกัด สำหรับประเทศไทยเองนั้นในภาคเศรษฐกิจจริงสัมพันธ์กับกรีซเป็นมูลค่าไม่มากนัก ดังนั้นจากการประเมินในเบื้องต้น ลุงแมวน้ำคิดว่าแม้ในที่สุดกรีซผิดนัดชำระหนี้จริงๆ ผลกระทบต่อตลาดหุ้นอเมริกา เอเชีย และตลาดหุ้นไทย น่าจะมีไม่มากนัก ส่วนผลที่ตามมาหากกรีซเป็นชนวนให้ยูโรโซนล่มสลาย ประเด็นนั้นค่อยมาประเมินกันอีกทีเพราะยังอีกไกล


ความเสี่ยงอยู่ที่จีน


ประเด็นที่ลุงแมวน้ำเป็นห่วง และคาดว่าน่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไป ไม่ใช่กรณีกรีซ แต่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆดังต่อไปนี้

1.กรณี สหรัฐอเมริกากำลังจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟด หลังจากที่กระประชุมเฟดเดือนมิถุนายนนี้ไม่ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย สถานการณ์ก็ยังคงอึมครึมต่อไปจนถึงการประชุมเฟดในนัดเดือนกันยายน กรณีนี้จะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกไปต่อได้ยาก แม้แต่ตลาดหุ้นอเมริกาเองก็เช่นกัน

ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา หลังจากที่หลุดปลายสามเหลี่ยมชายธงลงด้านล่างก็ก่อตัวเป็นแนวโน้มขาลง คาดกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯจะลงไปจนกว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย


2. กรณีจีน เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา ธนาคารกลางของจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากลงอีกขาละหนึ่งสลึงหรือ 0.25 % และลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ หรือ อาร์อาร์อาร์ (RRR) สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการแก่ลูกค้าในกลุ่มพื้นที่ชนบท ภาคการเกษตร และธุรกิจขนาดเล็ก -0.50% ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ระบบเศรษฐกิจ

ปกติจีนมักประกาศนโยบายการเงินในช่วงวันหยุด ครั้งนี้ก็เช่นกัน พอตลาดหุ้นจีนเปิดมาในเช้าวันจันทร์ก็บวกไปประมาณ +2% จากนั้นก็แกว่งตัวขึ้นลงแรงหลายรอบตลอดวัน สุดท้าย ตลาดหุ้นจีนโดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ -3.3% ซึ่งกรณีจีนนี้ลุงแมวน้ำคิดว่าสถานการณ์เริ่มน่าเป็นห่วง เนื่องจากปีนี้ธนาคารกลางของจีนใช้มาตรการทางการเงิน ได้แก่ การลดอัตราดอกเบี้ยและการลดสัดส่วนการกันสำรองมาหลายครั้งแล้วเนื่องจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขทางเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่น่าพอใจนัก เพียงครึ่งเดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงไป -21% แล้ว ซึ่งถือว่าเร็วและแรง

ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลง -21% ภายในเวลาประมาณครึ่งเดือน


แต่ละครั้งที่จีนมีการผ่อนคลายทางการเงิน ตลาดหุ้นจีนตอบสนองในเชิงบวก คือตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรง แต่ครั้งนี้ตลาดหุ้นปรับตัวลง อธิบายได้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยและลดสัดส่วนกันสำรองในครั้งก่อนๆ นักลงทุนมองเชิงบวกว่ามาตรการเหล่านี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างได้ผล แต่มาในครั้งนี้นักลงทุนกลับมีท่าทีเสียความเชื่อมั่น กลายเป็นมองเชิงลบว่าเศรษฐกิจคงแย่มากจึงได้กระตุ้นกันไม่หยุดหย่อน พูดง่ายๆคือตอนนี้นักลงทุนจีนมองว่าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวอย่างยากจะเยียวยาแล้ว

กรณีจีน ตอนนี้เศรษฐกิจไทยอิงการส่งออกค่อนข้างสูง คือกว่า 70% ของจีดีพี และการส่งออกของเรานั้นพึ่งพาเศรษฐกิจจีนค่อนข้างมาก การที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวทำให้ยอดการนำเข้าของจีนลดลง ส่งผลให้ไทยขายสินค้าแก่จีนได้น้อยลงโดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ ประกอบกับไทยเสียความสามารถในการแข่งขันส่งออกไป ลุงแมวน้ำจึงเห็นว่าผลจาการชะลอของเศรษฐกิจจีนจึงกระทบเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก


เศรษฐกิจไทยชะลอกว่าที่คาด


คาดว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะซึมลงในไตรมาส 3 

3. เศรษฐกิจไทยยังชะลอตัว การที่ทางการไทยปรับลดคาดการณ์ทางเศรษฐกิจและคาดการณ์ยอดส่งออกลงหลายครั้งเพราะยอดส่งออกของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง สินค้าทำเงินย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น (เช่น จอภาพ ทีวี ยานยนต์ ฯลฯ) และนอกจากยอดส่งออกแล้ว ในด้านการนำเข้าสินค้าทุนก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าในภาคการผลิตได้ชะลอการผลิตและการลงทุนใหม่ๆลง ส่วนในภาคอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการก็ชะลอการลงทุน โครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆก็ยังติดขัด และในภาคเกษตรก็ประสบภัยแล้ง

4. ในปีนี้มีการออกหุ้นไอพีโอ ทั้งกองทุนรวมอสังหาฯ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และหุ้นกู้ ค่อนข้างมาก เหล่านี้มีส่วนดูดซับเงินออกไปจากตลาด น่าจะมีส่วนทำให้ตลาดหุ้นขึ้นต่อได้ยากด้วย

ลุงแมวน้ำคาดว่าในไตรมาส 3 นี้ไทยน่าจะยังไม่เห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจน ปริมาณหนี้เอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้น การบริโภคที่ชะลอตัว ส่งผลต่อหุ้นในกลุ่มธนาคารและกลุ่มอุปโภคบริโภค และอาจเป็นกลุ่มที่ฉุดตลาดได้

สี่กรณีข้างต้นประกอบกัน ดังนั้นลุงแมวน้ำมองว่าตลาดหุ้นไทยในไตรมาสสามน่าจะซึมลง แม้ว่าจะไม่มีกรณีกรีซก็น่าจะซึมลงอยู่แล้ว เดิมทีคาดว่าไตรมาสสามน่าจะเริ่มสดใสได้ แต่ตอนนี้คงต้องปรับมุมมอง ประกอบกับต้องรอการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอีก ส่วนไตรมาสสี่นั้นสถานการณ์น่าจะดีขึ้นบ้าง เพราะการท่องเที่ยวเข้าสู่ไฮซีซัน จะช่วยเศรษฐกิจไทยได้บ้าง


กลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 3


จากที่เล่ามาข้างบน ลงแมวน้ำจึงปรับกลยุทธ์การลงทุน และปรับพอร์ต ตอนนี้ขายหุ้นในตลาดฮ่องกงออกไป และลดพอร์ตหุ้นไทยลง ถือเงินสดกว่า 50% ของพอร์ต และรอจังหวะเหมาะเพื่อกลับเข้าลงทุนใหม่ ลุงแมวน้ำมองภาพไว้ 2 กรณีหรือ 2 ซีนาริโอ คือ

1. หากตลาดหุ้นลงแรง หรือค่อยๆซึมลง ก็ตาม ลุงแมวน้ำรอจังหวะเข้าซื้อที่ระดับต่ำกว่า 1450 จุด เล็งกลุ่มหุ้นและตัวหุ้นเอาไว้บ้างแล้ว เลือกตัวที่อนาคตดี แต่ราคายังถูกอยู่ เพื่อให้มีต้นทุนต่ำ หรือที่เรียกว่ามี margin of safty (MOS) สูงหน่อย คาดว่าจังหวะที่เข้าลงทุนน่าจะเป็นกลางหรือปลายไตรมาส 3

2. หากตลาดหุ้นไม่ลงแต่กลับไปต่อ ลุงแมวน้ำจะรอให้ผ่าน 1530 จุดและก่อแนวโน้มขาขึ้นชัดเจนก่อนค่อยเข้าลงทุน สำหรับแผน 2 นี้ลุงแมวน้ำมีโพยหุ้นอีกชุดหนึ่งที่แตกต่างไปจากแผนแรก เนื่องจากสถานการณ์แตกต่างกัน

3. การลงทุนในต่างประเทศ ยังสนใจตลาดหุ้นฮ่องกงเช่นเดิม และเพิ่มตลาดหุ้นอินเดียเป็นตัวเลือกเข้าไปด้วย ตอนนี้รอก่อนเพราะตลาดเป็นขาลง รอกลางหรือปลายไตรมาสสามค่อยเข้าลงทุน

4. ไม่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว ไม่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่เก็งกำไรค่าเงิน เพราะโอกาสขาดทุนสูง


อินเดียมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐิจสูง ตลาดหุ้นจึงน่าสนใจ แต่ตอนนี้เงินทุนไหลออกจากอินเดียเพราะรอเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย 


แนวทางของลุงแมวน้ำก็ทำนองนี้แหละ จะเห็นว่าลุงแมวน้ำไม่ได้เตรียมการรับมือกับกรณีกรีซโดยตรง รวมทั้งไม่รวมกรณีโรคเมอร์สระบาดรุนรงด้วย แต่แม้จะเกิดเหตุไม่คาดหมายขึ้นมา ก็น่าจะพอรับมือกับความเสี่ยงเหล่านั้นได้ เนื่องจากตอนนี้ถือเงินสดไว้ในสัดส่วนสูงอยู่แล้ว

Monday, June 29, 2015

วิกฤตหนี้กรีซใกล้เส้นตาย เศรษฐกิจไทยอาจชะลอยาว (1)


ประชาชนกรีซกำลังเข้าคิวถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มหลังจากที่กรีซและทรอยกาตกลงกันไม่ได้ และกรีซประกาศปิดทำการตลาดหุ้นและธนาคารในวันจันทร์ที่ 29 มิถุนายนนี้ ประชาชนถอนเงินได้จากตู้เอทีเอ็มเท่านั้น ซึ่งข่าวล่าสุดตอนนี้เงินหมดตู้แล้ว


นายกรัฐมนตรี อล็กซิส ซีปราส ของกรีซ



เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ผลการประชุมกรณีปัญหาหนี้ของกรีซ ระหว่างกลุ่มเจ้าหนี้คือทรอยกา และลูกหนี้คือกรีซ ปรากฏว่าขิงก็ราข่าก็แรง ไม่มีใครยอมใคร ปัญหาวิกฤตหนี้กรีซที่มีเส้นตายวันที่ 30 มิถุนายนดูเหมือนว่าจะไม่มีทางออก ทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ต่างก็จะเดินตามทางของตน คือพังเป็นพัง


ทบทวนวิกฤตหนี้กรีซ


เรามาทบทวนวิกฤตหนี้กรีซกันอย่างสั้นๆก่อน เพื่อให้ติดตามเรื่องได้สะดวก

กรีซประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ และได้รับเงินช่วยเหลือ (ก็คือเงินกู้ยืมนั่นเอง) จากกลุ่มสถาบันการเงินของยุโรปที่เรียกว่ากลุ่มทรอยกา ได้แก่้ ไอเอ็มเอฟ ธนาคารกลางยุโรป และสหภาพยุโรป เพื่อบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาหนี้สินต่างๆกับเจ้าหนี้ที่เป็นเอกชน รวมแล้วเป็นเงินประมาณ 240,000 ล้านยูโร โดยกรีซต้องแลกกับการปฏิรูปเศรษฐกิจและรัดเข็มขัดตามแผนการฟื้นฟูของกลุ่มทรอยกา แต่กรีซก็ไม่สามารถทำตามแผนปฏิรูปเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะเรื่องมาตรการรัดเข็มขัดต่างๆที่ทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนกรีซลดลงจากเดิม โดยนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน อเล็กซิส ซีปราส ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนก็เพราะประกาศนโยบายไม่เอามาตรการรัดเข็มขัดจนประชาชนสนับสนุน

เมื่อซีปราสได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็พยายามขอลดหย่อนมาตรการรัดเข็มขัดกับกลุ่มเจ้าหนี้ แต่กลุ่มเจ้าหนี้ไม่ยอม ซ้ำยังบังคับให้กรีซเพิ่มมาตรการรัดเข็มขัดเสียอีกด้วยเพราะการปฏิรูปเศรษฐกิจไม่้ก้าวหน้าเท่าที่ควร


ทำไม 30 มิถุนายนจึงมีความสำคัญ ถือเป็นเส้นตาย 


ประเด็นที่เป็นปัญหาอยู่สำหรับตอนนี้ก็คือ กรีซถึงกำหนดต้องชำระหนี้เงินกู้บางส่วนให้แก่ไอเอ็มเอฟ ในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ มูลค่าประมาณ 1,600 ล้านยูโร ซึ่งคาดว่ากรีซไม่น่าจะมีเงินจ่าย ทางกลุ่มทรอยกาก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หากยินยอมเพิ่มมาตรการรัดเข็มขัดให้ตึงยิ่งขึ้นไปอีก เงินงวดที่ต้องชำระคืนในสิ้นเดือนนี้ก็ให้ยืดหนี้ไปได้อีก 5 เดือน พร้อมกันนั้นจะขยายวงเงินช่วยเหลือเพิ่มให้อีก 15,000 ล้านยูโร แถมยังพร้อมให้เงินกู้ฉุกเฉินที่เบิกจ่ายได้ในทันที 1,800 ล้านยูโร แต่ซีปราสไม่ต้องการ ซีปราสต้องการขอผ่อนปรนหนี้พร้อมทั้งผ่อนปรนมาตรการรัดเข็มขัดด้วย

การต่อรองดำเนินไปอย่างเข้มข้น สุดท้ายซีปราสงัดมุขประชามติออกมาใช้ โดยบอกแก่กลุ่มเจ้าหนี้ว่าถ้าเจรจากันไม่สำเร็จก็ขอให้ประชาชนชาวกรีซลงประชามติก็แล้วกันว่าจะตัดสินใจยอมรับภาระหนี้และมาตรการต่างๆที่จะมาบังคับกับประชาชนกรีซหรือไม่ โดยจะกำหนดวันลงประชามติ 5 ก.ค. นี้ ปลายเดือน ก.ค. ก็จะรู้ผล ดังนั้นขอผ่อนผันการชำระหนี้ออกไปก่อนอีก 1 เดือน

หลังจากเจรจากันอย่างหนัก กลุ่มเจ้าหนี้ไม่ยินยอมรับเงื่อนไขของซีปราส โดยบอกว่า หากไม่เพิ่มมาตรการรัดเข็มขัด เรื่องเงินก็ไม่ต้องคุยกัน และนั่นหมายความว่ากรีซคงต้องผิดนัดชำระหนี้ในวันที่ 30 มิ.ย. นี้ ซึ่งการผิดนัดชำระหนี้งวดนี้แม้จะเป็นเงินไม่มากเมื่อเทียบกับเงินกู้ทั้งหมด แต่ก็เท่ากับกรีซเบี้ยวหนี้แล้ว คือเสียเครดิตไปเลย นอกจากนี้ ภายในเดือน ก.ค. นี้กรีซยังมีหนี้เงินกู้และยังมีพันธบัตรกรีซที่ครบกำหนดซึ่งต้องจ่ายคืนอีกหลายพันล้านยูโร  ซึ่งก็คงต้องเบี้ยวหนี้ไปด้วย

ผลจากการเบี้ยวหนี้ก็คือกรีซคงต้องออกจากกลุ่มยูโรโซน เลิกใช้เงินยูโร ปัญหาจะตามมาอีกมากมายโดยเฉพาะการสะสางปัญหาหนี้สินจะยิ่งวุ่นวายมากขึ้นไปอีก  ประชาชนคงแห่กันไปถอนเงินจากธนาคาร ซึ่งหากกรีซไม่มีการจัดการอะไรเลย ธนาคารในกรีซคงล้ม ซึ่งข่าวล่าสุด กรีซประกาศให้ธนาคารและตลาดหุ้นปิดทำการในวันจันทร์นี้ ประชาชนจะถอนเงินได้จากตู้เอทีเอ็มเท่านั้น นี่คือมาตรการรับมือฉุกเฉินเพื่อป้องกันเงินทุนไหลออกเบื้องต้น หลังจากนี้คงมีมาตรการอื่นๆตามมาอีก แต่สถานการณ์ล่าสุดคือเงินหมดตู้เอทีเอ็ม ถอนเงินไม่ได้แล้ว




นี่คือที่มาที่ไปแบบสั้นๆของวิกฤตหนี้กรีซและสิ่งที่กำลังจะเกิดในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้


ถ้ากรีซเบี้ยวหนี้จริงจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นแค่ไหน แล้วจะทำยังไงต่อดี


ที่จริงเรื่องหนี้กรีซนั้นลุงแมวน้ำก็ยังคิดว่าน่าจะคุยกันได้ แม้ในตอนที่พิมพ์บทความอยู่นี้ก็ยังคิดว่าน่าจะตกลงกันได้ เพราะการที่กรีซยังอยู่ในยูโรโซนจะทำให้ทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ได้ประโยชน์ทั้งคู่ ดีกว่าที่กรีซต้องออกจากกลุ่มไป แต่เอาเถอะ หากตกลงกันไม่ได้จริงๆ เมื่อกลุ่มเจ้าหนี้เล่นไม้แข็ง ไม่ยอมผ่อนผันลูกหนี้อีกแล้ว คิดว่ากลุ่มเจ้าหนี้คงมีมาตรการรองรับผลกระทบไว้บ้างแล้ว เรื่องกรีซเบี้ยวหนี้นั้นจำนวนเงินไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่ว่าอาจเป็นชนวนให้ยูโรโซนล่มสลาย ต้องจับตาผลกระทบที่ตามมาเป็นลูกโซ่

ผลกระทบระยะสั้นต่อตลาดหุ้นก็คงมี เพราะตลาดหุ้นอ่อนไหวต่อปัจจัยทางจิตวิทยา คือตกใจง่าย แต่จะมากหรือน้อยลุงแมวน้ำก็ยังดูไม่ออก คงต้องค่อยดูและประเมินสถานการณ์กันไป ปรับกลยุทธ์กันไป

เรื่องคาดการณ์นั้นย่อมมีผิดมีถูก แต่จะคาดการณ์ผิดหรือถูกก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเราเตรียมรับมือกับความเสี่ยงได้ดีเพียงใด ยกตัวอย่างเช่นเรื่องกรีซนี้ แม้เรามองว่าน่าจะตกลงกันได้ แต่ถ้าหากตกลงกันไม่ได้แล้วเราจะรับมือได้หรือไม่

ที่จริงตอนนี้เศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทยมีปัญหาที่ส่งผลกระทบมากกว่ากรณีกรีซอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่แนวโน้มชะลอมากกว่าที่คาด การส่งออกของไทยที่ชะลอตัวมากกว่าที่คาด และล่าสุดคือเรื่องปัญหาภัยแล้วที่รุนแรงกว่าที่คาด เหล่านี้ล้วนแต่เกินความคาดหมายทั้งสิ้น และนอกจากนี้ ยังมีเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ยังไม่รู้วันเวลาแน่ชัดอีก วันใดที่เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็คงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทย เราเตรียมการรับมือกับความเสี่ยงที่ไม่คาดหมายเหล่านี้หรือไม่ และอย่างไร

สำหรับลุงแมวน้ำ ช่วงหลังนี้ลุงแมวน้ำเห็นสัญญาณเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีแบบเกินความคาดหมายหลายอย่าง เช่น  การค้าขายฝืดเคืองต่อเนื่องและยังไม่ค่อยเห็นการฟื้นตัว ปริมาณเอ็นพีแอลในระบบธนาคารเพิ่มขึ้น ระดับน้ำในเขื่อนใหญ่ที่ต่ำจนถึงระดับวิกฤต ฯลฯ ทางด้านจีนเองก็ชะลอตัวกว่าที่คาด ประกอบกับเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟดที่ยังอึมครึม เหล่านี้ล้วนแต่มีผลลบต่อเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทยทั้งสิ้น ซึ่งลุงแมวน้ำได้ทยอยนำมาคุยให้ฟังและปรับมุมมองอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแนะนำให้ถือเงินสดเอาไว้บ้าง ในบทความของลุงแมวน้ำก่อนหน้านี้

ลุงแมวน้ำเองก็ลดพอร์ตลงอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ถือเงินสดเกินกว่า 50% ของพอร์ต นี่คือการวางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงนี้ หากตลาดหุ้นลงแรงลุงแมวน้ำก็จะทยอยกลับเข้าไปลงทุน ก็เตรียมทำการบ้านเอาไว้ล่วงหน้าว่ากรณีที่ตลาดหุ้นลงจะทำอย่างไร

ยังไม่จบนะคร้าบ ติดตามอ่านพรุ่งนี้

Sunday, June 28, 2015

เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ บะหมี่พ่อมึงตาย สร้างจุดขายแบบหลุดโลก












เช้าวันหยุดวันนี้เรามาคุยเรื่องเบาๆกัน เป็นเรื่องอาหารการกินที่มีแง่มุมทางการตลาดที่น่าสนใจ

ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในอำเภอเมือง แถวๆซอยเจ็ดยอด-ช้างเคี่ยน มีร้านบะหมี่ในห้องแถวขนาดคูหาเดียวอยู่ร้านหนึ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ คนไปต่อคิวกันกันยาวเฟื้อย นั่นคือร้านเฮียฮ้ง หรือชื่อที่ปรากฏตามป้ายในร้านเขียนว่า เฮียฮ๋ง

เวลาเราไปอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เราก็มักถูกสอนว่าธุรกิจเอสเอ็มอีที่จะแจ้งเกิดหรือเป็นที่รู้จักและสร้างยอดขายได้นั้นต้องมีการ สร้างความแตกต่าง หรือที่ภาษาอังกฤษว่า differentiation เพราะหากทำเหมือนๆกันไปหมดก็คงไม่มีอะไรโดดเด่นให้ลูกค้าจดจำหรือมาอุดหนุน แต่การสร้างความแตกต่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บางทีคิดจึงหัวผุก็คิดไม่ออก หรือบางทีคิดออกแต่พอเอาไปทำจริงแล้วก็ไม่ประสบผล

สำหรับร้านบะหมี่เฮียฮ้งนั้นถือว่าประสบความสำเร็จในการสร้างความแตกต่าง โดยใช้ความแปลกหลุดโลกเป็นจุดขาย ซึ่งไม่ใช่แปลกหลุดโลกเพียงเรื่องเดียว แต่ในร้านนี้มีเรื่องหลุดโลกรวมกันอยู่หลายอย่าง หลายคนคงรู้จักร้านนี้กันมาแล้ว เราลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

เมนูชื่อพิสดาร เมนูดังของร้านนี้เป็นชื่อแปลกๆ เช่น บะหมี่โคตรโง่ โคตรเฮี่ย พ่อมึงตาย ฯลฯ

อาหารขนาดไม่ปกติ จานใหญ่เว่อ บะหมี่โคตรโง่ใช้บะหมี่ 24 ก้อน กินได้ 5 คน ราคา 250 บาท

เมนูโคตรเฮี่ยใช้บะหมี่ 36 ก้อน ราคา 350 บาท

เมนูพ่อมึงตายใช้บะหมี่ 60 ก้อน ราคา 600 บาท กินกันได้สิบกว่าคน

และล่าสุดเพิ่งออกเมนู จะไปตามหาพ่อมึง ใช้บะหมี่ 84 ก้อน ราคา 1200 บาท

เจ้าของร้านมีบุคลิกโผงผาง พูดจาตรง ใช้สรรพนามกู-มึงกับลูกค้า บางทีก็ใช้ลูกค้าให้ช่วยงานในร้าน

เปิดร้าน 23 น - ตีสาม อันเป็นเวลานอนของคนทั่วไป

เท่าที่อ่านดู เจ้าของร้านพูดจาไม่ค่อยไพเราะ เมนูชามใหญ่มาก กินเข้าไปยังไงไหว แถมเปิดร้านในยามวิกาลซึ่งเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่นอนกัน รวมความแล้วร้านนี้ไม่น่าจะมีลูกค้า เพราะผิดหลักการตลาดหมดเลย แต่มีถูกอยู่เรื่องเดียว นั่นคือ การสร้างความแตกต่าง

แต่ปรากฏว่าร้านนี้ขายดิบขายดี คนมาเข้าคิวกิน บางคนรอชั่วโมงกว่า ดึกดื่นก็ยังมากินกัน แถมชามใหญ่คนเดียวกินไม่หมด ไม่เป็นไร นัดเพื่อนมาเป็นกลุ่ม สั่งแล้วมากินด้วยกันเหมือนสังสรรค์กัน กลายเป็นดีเสียอีก

เรื่องพูดจาไม่ไพเราะนั้น บางคนก็บอกว่าแปลกดี จริงใจดี เป็นกันเองดี หาฟังไม่ได้จากร้านอื่น อ้าว เกิดถูกใจตลาดอีก

รวมความแปลกหลุดโลกหลายๆอย่าง (แต่ที่สำคัญที่สุดซึ่งยังเป็นพื้นฐาน นั่นก็คืออาหารต้องอร่อย) ลูกค้าที่ไปกินก็นำไปเผยแพร่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ สื่อมวลชนก็มาทำข่าว สุดท้ายก็ดังและติดตลาดได้ ลูกค้าบางคนก็ตั้งฉายาว่าบะหมี่มาเฟีย บางคนก็ตั้งฉายาให้ว่าบะหมี่ปากหมาน (เอา น หนู ออก >.<)

เครือข่ายสังคมออนไลน์มีบทบาทในยุคนี้อย่างสูง เรื่องอะไรที่โดนใจและนำไปแชร์กันมากๆจะมีคนไปอุดหนุนกันมาก เพราะอยากรู้อยากลอง ทำให้แจ้งเกิดได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ถือว่าแจ้งเกิดได้แล้ว ความยากในขั้นต่อไปก็คือจะรักษายอดขายเอาไว้ได้อย่างไรในระยะยาว ทำอย่างไรจึงจะให้ลูกค้าที่มาทดลองใช้บริการเพราะอยากสัมผัสความแปลกใหม่หลุดโลกกลายมาเป็นลูกค้าขาประจำ

ร้านนี้ลุงยังไม่เคยไปกินนะคร้าบ และนี่ก็ไม่ได้เอามาโฆษณา ลุงแมวน้ำไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่อย่างใด เพียงแต่เห็นว่าเป็นกรณีศึกษาทางการตลาดที่น่าสนใจ เลยนำมาฝากกัน

อ้อ แถมท้ายอีกนิด สมัยก่อน ราวๆ 20 ปีมาแล้ว แถวเยาวราชดูเหมือนจะมีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ร้านหนึ่ง คนก็เรียกกันว่าบะหมี่ปากหมาน เพราะเจ้าของร้านชอบด่าลูกค้า จะไปเร่งหรือเปลี่ยนเมนูไม่ได้ เป็นต้องโดนด่า แต่คนก็ไปกินกันแน่นร้าน มีอยู่วันหนึ่งเจ้าของร้านก็โดนดักตีหัว คงเพราะไปด่าเขานั่นแหละ แต่พอรักษาตัวเรียบร้อยแล้วก็กลับมาด่าตามเดิม ปัจจุบันคงเลิกไปแล้วเพราะนานมากแล้ว นี่ก็เล่าขำ ลุงก็ไม่เคยไปกินเช่นกันคร้าบ ^_^






Friday, June 26, 2015

ตลาดหุ้นจีนแพงแล้ว ส่งออกไทยหดตัวต่อเนื่อง






วันนี้เรามาคุยกันถึงเรื่องจีนกันอีกครั้ง ทั้งตลาดหุ้นและภาคเศรษฐกิจจริงที่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยและต่อตลาดหุ้น คุยกันหลายเรื่องทีเดียว

มาเริ่มกันที่ตลาดหุ้นจีนก่อน ตอนนี้ตลาดหุ้นจีนผันผวนหนัก เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงเป็นรถไฟเหาะตีลังกา ขึ้นลงวันละหลายเปอร์เซ็นต์ทีเดียว

ลองมาดูกราฟตลาดหุ้นจีนกัน กราฟนี้มี 3 เส้น เพราะมี 3 ดัชนี มาดูกันทีละดัชนีแล้วจะรู้ว่าตลาดหุ้นจีนตอนนี้แพงจริง

เส้นแรก สีน้ำเงินเป็นดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต (shanghai composite index) ที่พวกเราชอบดูกันนั่นแหละ เวลาพูดถึงดัชนีตลาดหุ้นจีนมักอ้างอิงดัชนีตัวนี้กัน ตอนนี้ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตมีค่าพีอี (P/E ratio) ประมาณ 23.7 เท่า เห็นค่า 20 กว่าเท่านี่เราก็บอกว่าแพงกันแล้ว เพราะเมื่อปลายปีที่แล้วยังเทรดกันที่ 8-9 เท่ากันอยู่แลย

แต่ถ้ามาดูดัชนีเซืนเจินคอมโพสิต (Shenzhen composite index) ดัชนีนี้มักถูกพูดถึงน้อยกว่า แต่ดัชนีเซินเจินนี้มีค่าพีอีสูงถึง 69.2 เท่า ยิ่งแพงกว่าดัชนีเซี่ยงไฮ้มาก

มาทำความเข้าใจกันก่อน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตนี้ถ่วงน้ำหนักด้วยหุ้นในกลุ่มธนาคารค่อนข้างมาก ปกติแล้วหุ้นธนาคารเทรดกันที่พีอีต่ำหน่อย มักต่ำกว่าเซ็กเตอร์อื่นๆ  ส่วนดัชนีเซินเจินนั้นถ่วงน้ำหนักด้วยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตค่อนข้างมาก ซึ่งรวมหุ้นไอทีและหุ้นไฮเทคโนโลยีด้วย (หุ้นไอทีและหุ้นไฮเทคมักเก็งกำไรกันอย่างหนัก เทรดกันที่พีอีสูงมาก) นี่ขนาดเป็นหุ้นที่เทรดกันที่พีอีต่ำเช่นหุ้นในตลาดเซี่ยงไฮ้ยังปาเข้าไป 20 กว่าเท่า ดังนั้นเมื่อเรามองสองดัชนีนี้ประกอบกันทำให้มองเห็นภาพได้ชัดขึ้นว่าตอนนี้ตลาดหุ้นจีนเก็งกำไรกันอย่างสุดเหวี่ยง

ยังมีดัชนีอีกดัชนีหนึ่ง ลุงไม่ได้นำกราฟมาให้ดู เป็นดัชนี CSI 700 mid & smallcap คือเป็นดัชนีพวกกลุ่ม SME น่ะ ดัชนีนี้ก็มีค่าพีอี 52 เท่า ยิ่งช่วยเสริมให้เห็นว่าตลาดหุ้นจีนตอนนี้แพงมากแล้ว

ถามว่าตลาดหุ้นจีนไปต่อได้อีกไหม ลุงแมวน้ำคิดว่าในปีนี้คงยาก ตลาดหุ้นจีนในปีนี้ หมายถึงว่าต่อจากนี้จนสิ้นปี น่าจะเป็นตคลาดขาลง เพราะหากดูจากมูลค่าแล้วถือว่าแพงถึงแพงมาก ซื้ออนาคตกันไปมากแล้ว และยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวด้วย และเมื่อดูรูปแบบทางเทนิค ก็น่าจะเป็นคลื่น 4 หรือคลื่น A ซึ่งเป็นคลื่นขาลง ดังนั้นควรระมัดระวังในการเข้าลงทุน

เส้นสุดท้าย ตลาดหุ้นฮ่องกง พีอี 11.3 เท่า ยังไม่สูง แต่ว่ารูปแบบทางเทคนิคคล้อยตามตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ผสมกับตลาดหุ้นจีนนิดๆ ดังนั้นลุงแมวน้ำก็คิดว่าตลาดหุ้นฮ่องกงในปีนี้ยังไม่ไปไหนเช่นกัน น่าจะลงเสียมากกว่า

มาพูดกันถึงภาคเศรษฐกิจจริงกันสักนิด แล้วเดี๋ยวจะโยงไปตลาดหุ้นไทย วันนี้กระทรวงพาณิชย์จะประกาศตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม ซึ่งคาดว่าติดลบต่อเนื่องอีก แปลว่าส่งออกของเรายังไม่กระเตื้องเลย มีแต่ถอยลง

คู่ค้าที่สำคัญของไทยในช่วงหลังหลายปีมานี้คือจีน แต่จีนนำเข้าสินค้าจากไทยน้อยลงและน้อยลง นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยอดส่งออกของไทยหดตัวลงด้วย และข่าวร้ายล่าสุดก็คือ จีนกับเกาหลีใต้ทำข้อตกลงลดภาษีสินค้าอุปโภคบริโภคระหว่างกัน เรื่องนี้มีความสำคัญทีเดียวเพราะปีที่แล้ว 2014 จีนนำเข้าสินค้าจากเกาหลีใต้ประมาณ 200,000 ล้านดอลลาร์ สรอ และนำเข้าสินค้าไทยราว 40,000 ล้านดอลลาร์ สรอ แค่นี้ก็เห็นว่าสินค้าเกาหลีใต้ได้รับความนิยมในจีนมาก และหากมีการลดภาษีระหว่างกันอีก สินค้าเกาหลีใต้จะยิ่งได้เปรียบเรื่องต้นทุน ดังนั้นเป็นไปได้ว่ายอดส่งออกของไทยจะหดตัวต่อเนื่องไปอีกเพราะสินค้าเกาหลีใต้เบียดสินค้าไทย สินค้าไทยที่มีโอกาสถูกสินค้าเกาหลีใต้ตีตลาดในจีนก็คือ สินค้าแฟชัน เครื่องสำอาง เครื่องใช้ภายในบ้าน และอาหาร




หากยอดส่งออกของไทยหดตัวต่อเนื่อง ย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยและกระทบตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นไทยก็อาจฟื้นตัวช้าลงอีก แต่กระทบขนาดไหน และช้านานขนาดไหนยังประเมินยาก ต้องตามดูไปก่อนอีกสักระยะหนึ่ง

ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ที่คาดไว้ก็ผิดคาด ที่หวังเอาไว้ก็ผิดหวัง เป็นเรื่องปกติ ก็ต้องปรับกลยุทธ์เอาตัวรอดกันไป ที่สำคัญคือต้องเอารอดให้ได้คร้าบ