Sunday, September 30, 2012

30/09/2012 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ ขนมปังเจสุขภาพ สูตรลุงแมวน้ำ


อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลกินเจกันอีกแล้ว ปีหนึ่งผ่านไปไวเหมือนโกหก ปีความรู้สึกเหมือนกับว่าเทศกาลกินเจเพิ่งผ่านไปเมื่อไม่นานมานี้เอง

ปีนี้ฝนตก น้ำท่วม ผักเริ่มแพงแล้ว ถึงตอนเทศกาลกินเจผักคงแพงยิ่งกว่านี้อีก อย่ากระนั้นเลย ผักแพงเรามากินอย่างอื่นสลับบ้างดีกว่า ถือเป็นการเฉลี่ยต้นทุน ไม่ใช่แต่การซื้อหุ้นอย่างเดียวที่มีการเฉลี่ยต้นทุน แต่ในชีวิตประจำวันของเราก็ใช้หลักการเฉลี่ยต้นทุนได้เช่นกัน

ปกติลุงแมวน้ำไม่ได้กินเจ เพราะว่าแมวน้ำย่อมกินปลาเป็นอาหาร รวมทั้งในเทศกาลกินเจลุงแมวน้ำก็ไม่ได้กินเจกับเขา เพราะว่าของแพง อีกอย่างก็คืออาหารเจมักใส่น้ำมันเยอะ ลุงกลัวไขมันในเลือดสูงน่ะ แต่ลุงแมวน้ำก็พยายามทำให้ทุกวันของลุงเป็นวันที่ลดการเบียดเบียนชีวิตอื่น ดังนั้นตลอดปีลุงแมวน้ำจึงกินเนื้อค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ก็ทำนู่นทำนี่กินเอง ต่อไปคงเลิกได้จนหมด

ในเมื่ออาหารเจแพง อีกทั้งมันจัด ที่จริงก็ไม่ใช่อาหารเจที่มันหรอก อาหารคนเมืองที่เรากินนอกบ้านทั่วไปส่วนใหญ่ก็มันๆทั้งนั้น น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารที่เราซื้อกินนอกบ้านส่วนใหญ่มักเป็นน้ำมันปาล์มเพราะว่ามีราคาถูก อีกทั้งเป็นน้ำมันที่เหมาะแก่การทำอาหารทอด เพราะน้ำมันปาล์มทนความร้อนสูง แต่น้ำมันปาล์มนี้มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง และให้พลังงานสูง กินมากๆก็อ้วน และทำให้ไขมันในหลอดเลือดสูง นานวันเข้าไขมันเหล่านี้ก็ตกตะกอนเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดลเลือดตีบและไม่ยืดหยุ่น เหมือนท่อน้ำที่ขึ้นสนิมจนท่ออุดตันนั่นเอง ความดันก็จะสูง เห็นไหม อะไรๆก็สูงไปหมด ดังนั้นหากลดไขมันได้ก็ลดๆลงบ้าง จะได้ไม่อ้วน และหลอดเลือดจะได้มีอายุใช้งานอยู่กับเราไปได้นานๆ ลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดตีบและความดันโลหิตสูงด้วย

อาหารอย่างหนึ่งที่กินง่าย ทำสะดวก และราคาประหยัด สามารถทำกินเองที่บ้านรวมทั้งห่อไปกินในที่ทำงานก็ได้ด้วย นั่นคือ ขนมปัง หากเราหอบข้าวกล่องไปกินมื้อกลางวันที่ที่ทำงานบางทีเราอาจรู้สึกเขินๆอยู่บ้าง กลัวคนดูแคลน แต่หากเอาแซนด์วิชไปกินนี่กลับดูเท่ ลุงแมวน้ำเองเวลาไปไหนมาไหนก็พกขนมปังใส่กล่องไป ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง ไม่ได้ไปขอใครเขากินนี่ ที่จริงของกินเราคุณภาพดีกว่าเสียอีกด้วย

วันนี้เรามาทำ ขนมปังเจสูตรสุขภาพ กินกันดีกว่า สามารถกินได้ทั้งในช่วงเจและนอกช่วงเจ เพราะว่าวัตถุดิบหาไม่ยาก มีขายตลอดทั้งปี อีกทั้งเป็นอาหารที่ไขมันและพลังงานไม่สูงนัก อีกทั้งมีโปรตีนพอควร เหมาะสำหรับชีวิตคนเมืองที่ส่วนใหญ่มักทำงานนั่งโต๊ะ แต่ละวันใช้พลังงานน้อย ดังนั้นจึงไม่ควรกินพลังงานเข้าไปมากนัก และที่สำคัญก็คือ ขนมปังเจสุขภาพนี้ไม่มีกลิ่นถั่วเหลืองปน

ขนมปังเจสูตรที่ลุงแมวน้ำจะทำในวันนี้เป็น ขนมปังเจสูตรสุขภาพ เป็น ขนมปังโฮลวีตน้ำมันมะกอก ใส่งาและเมล็ดทานตะวัน ทำด้วยเครื่องทำขนมปัง วิธีทำก็แสนง่าย เพียงแต่เอาวัตถุดิบใส่ลงไปในถังอบขนมปัง จากนั้นก็ไปนอนรอ แล้วเครื่องจะนวดและอบให้เองจนขนมปังเสร็จ เราก็มาเอาออกไปกิน ไม่ต้องนวดขนมปังเองให้เมื่อยครีบ ต้นทุนวัตถุดิบแผ่นละ 6 บาทเอง หากใครจะเอาสูตรนี้ไปดัดแปลงทำขายเป็นขนมปังสุขภาพก็ได้ มามามา ลองมาทำขนมปังกินกัน

ก่อนอื่น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องมี เครื่องทำขนมปัง แต่หากใครที่ไม่มีเครื่องทำขนมปังก็ไม่ต้องท้อใจ หากมีเตาอบก็สามารถเอาสูตรนี้ไปทำได้เพียงแต่ว่าต้องนวดขนมปังเองเท่านั้น จะนวดด้วยเครื่องผสมอาหารแล้วเอาเข้าเตาอบก็ได้ หรือจะนวดด้วยมือแล้วเอาเข้าเตาอบก็ได้ ตามแต่จะพลิกแพลง



สูตรขนมปังเจสุขภาพ


เอาละ เรามาดูสูตรกันก่อน สูตรนี้เมื่ออบเสร็จแล้วจะได้ขนมปังหนักประมาณ 1.1 กิโลกรัม หรือกว่า 1 กิโลกรัมกับอีก 1 ขีด ปกติลุงแมวน้ำใช้สูตรชั่ง คือหมายถึงปรุงส่วนผสมต่างๆด้วยการชั่งน้ำหนัก แต่บางคนอาจถนัดสูตรตวง คือปรุงส่วนผสมด้วยการใช้ถ้วยตวงและช้อนตวง ลุงแมวน้ำก็วงเล็บสูตรตวงไว้ให้ด้วยแล้ว

สูตรนี้ถือว่าเป็นสูตรพื้นฐาน เราสามารถนำเอาสูตรนี้ไปพลิกแพลงได้อีกหลายอย่างเลยทีเดียว

ส่วนผสมของขนมปังสุขภาพ เจ สูตรลุงแมวน้ำมีอะไรบ้าง ดูได้ตามภาพเลย ของพื้นๆหาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งนั้น


ส่วนที่เป็นของเหลว

1. น้ำมันมะกอก 40 กรัม (¼ ถ + ½ ชช)
2. นมถั่วเหลือง (ไวตามิลค์โลว์ชูการ์ เจ) 400 กรัม (400 มล) หมายเหตุ ถ้าไม่พอสามารถเติมได้อีกตอนนวดแป้ง


ส่วนที่เป็นแป้งและเป็นผง

3. แป้งสาลีสำหรับทำขนมปัง (แป้งห่าน) 300 กรัม (3 ถ)
4. แป้งข้าวไรย์ดำ 15 กรัม (1/3 ถ)
5. แป้งโฮลวีต 100 กรัม (1 ถ)
6. ยีสต์ 10 กรัม (1 ชต + ½ ชช)
7. สารปรับปรุงคุณภาพ (U99) 8 กรัม (1 ชต + ½ ชช)
8. เกลือ 6 กรัม (½ ชต)
9. น้ำตาลทรายแดง 30 กรัม (¼ ถ)



ส่วนผสมอื่น

10. เมล็ดทานตะวัน 80 กรัม (1 ถ)
11. งา 40 กรัม ((¼ ถ)

12. ลูกเกด 140 กรัม (1½ ถ)


หมายเหต ถ = ถ้วย,  ชต=ช้อนโต๊ะ,  ชช=ช้อนชา


ลุงแมวน้ำขออธิบายรายละเอียดของส่วนผสมบางรายการก่อน

นมถั่วเหลือง ปกติขนมปังทั่วไปมักมีนมวัวเป็นส่วนประกอบ นมวัวนอกจากให้เพิ่มรสชาติแก่ขนมปัง ทำให้มีรสหอม มัน อร่อย แล้ว โปรตีนในนมยังเป็นแหล่งโปรตีนสำหรับร่างกายด้วย เมื่อเป็นสูตรเจก็ไม่ใช้นมวัว จึงเลี่ยงมาใช้นมถั่วเหลืองสูตรเจแทน นมถั่วเหลืองมีทั้งสูตรเจและไม่เจ หากจะทำขนมปังเจก็ควรเลือกสูตรเจ ที่จริงเรื่องสูตรน้ำตาลต่ำนั้นก็ไม่ค่อยจำเป็นนัก แต่ว่าลุงแมวน้ำมีนมถั่วเหลืองแบบนี้ตุนอยู่หลังโขดหิน เพราะว่าใช้ทำโยเกิร์ตเป็นประจำ จึงหยิบเอามาทำขนมปังเสียเลย ขอแนะนำว่าหากยังไม่สันทัดในการทำขนมปังก็ทำตามสูตรลุงแมวน้ำให้ใช้นมชนิดนี้ไปก่อน เพราะหากเปลี่ยนไปใช้นมถั่วเหลืองสูตรน้ำตาลสูงต้องคำนวณน้ำตาลในสูตรใหม่หมด ก็วุ่นนิดหน่อย

น้ำมันมะกอก ทำไมลุงแมวน้ำใช้น้ำมันมะกอก เพราะว่าน้ำมันมะกอกมีกลิ่นเฉพาะตัว ลุงแมวน้ำว่าหอมดี อีกทั้งเป็นน้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fat) สูงที่สุดในบรรดาน้ำมันปรุงอาหาร รวมทั้งยังมีราคาแพงที่สุดด้วย ซึ่งไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวนี้เป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพ น้ำมันที่ดีรองลงมาคือน้ำมันคาโนลา (canola oil) ราคาไม่แพง ไม่มีกลิ่นเฉพาะตัวด้วย คือไม่มีกลิ่นน่ะ ผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นน้ำมันมะกอกเปลี่ยนใช้น้ำมันคาโนลาแทนได้ หากไม่อยากใช้น้ำมันคาโนลาจะใช้น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว ก็ได้

อ้อ ลืมบอกไป สูตรนี้ลุงแมวน้ำใช้น้ำมันในปริมารพอสมควร แต่ไม่ถึงกับเยิ้มแบบที่ขายกันหรอกนะ เหตุที่ต้องใช้น้ำมันบ้างพอสมควรเพราะว่าน้ำมันให้รสชาติมัน อร่อย ทำให้อาหารน่ากิน โดยเฉพาะขนมปังหากใส่น้ำมันลงไปจะทำให้เนื้อขนมปังนุ่มนวลขึ้น

อีกอย่างที่สำคัญก็คือไขมันทำให้รู้สึกอิ่มท้องได้นาน หากอาหารที่มีไขมันน้อยกินไปแล้วทำให้รู้สึกท้องโหวงๆ ไม่อิ่มท้อง หิวไว ทำนองนั้นแหละ ดังนั้นตอนคิดสูตรต้องชั่งใจ หากน้ำมันมากไปคนกินก็อ้วนแย่เพราะได้รับพลังงานเยอะแยะ หากน้อยไปก็ไม่อิ่มท้อง เดี๋ยวก็กินอีก กินหลายรอบก็ทำให้อ้วนได้เหมือนกัน สูตรของลุงแมวน้ำใช้น้ำมันแต่พอควร

นอกจากนี้ เบเกอรี่ที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นขนมปังหรือเค้ก ควรหลีกเลี่ยงการใช้มาการีนหรือว่าเนยเทียม เนื่องจากมาการีนที่ขายในท้องตลาดส่วนใหญ่มีไขมันทรานส์ (trans fat) ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดี

แป้งสาลีทำขนมปัง แป้งสาลีที่วางขายในบ้านเรามีหลายชนิด บางชนิดใช้ทำขนมปัง บางชนิดใช้ทำเค้ก บางชนิดใช้ทำซาละเปา บางชนิดเป็นแป้งเอนกประสงค์ฯลฯ เวลาซื้อต้องดูให้ดี ในที่นี้ลุงแมวน้ำใช้แป้งสำหรับทำขนมปัง บางทีก็เรียก bread flour หากระบุเป็นตราสินค้า ลุงแมวน้ำใช้แป้งตราหงส์ ดังที่เห็นในรูป ที่จริงตราสินค้านี้เป็นรูปหงส์ แต่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมักนิยมเรียกว่า แป้งห่าน ดังนั้นเมื่อใครพูดถึงแป้งห่านก็หมายถึงแป้งตราหงส์ที่ใช้ทำขนมปังนั่นเอง ไม่ต้องงงไป

แป้งโฮลวีต (whole wheat flour) เป็นแป้งที่โม่ข้าวสาลีทั้งเปลือก ดังนั้นจึงได้กากใยมาทั้งหมด ช่วยเพิ่มใยอาหาร อีกทั้งให้วิตามินและเกลือแร่ต่างๆด้วย

แป้งข้าวไรย์ดำ (dark rye flour) เป็นแป้งสาลีชนิดหนึ่ง ทำจากข้าวไรย์ดำบดทั้งเปลือก เป็นแหล่งของไวตามิน เกลือแร่ และกากใยอาหาร แป้งข้าวไรย์ดำนี้มีรสชาติแปร่งๆนิดหน่อย ใส่มากจะทำให้ขนมปังไม่อร่อย แต่มีข้อดีคือ แป้งข้าวไรย์ดำนี้มีดัชนีน้ำตาล (glycemic index) ต่ำ ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงใส่ลงไปบ้างเพื่อไปช่วยลดไกลซีมิกโหลด (glycemic load) ของขนมปัง พูดแล้วยาว เอาเป็นว่าแป้งนี้ดีกับผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลก็แล้วกัน

ยีสต์ (baker’s yeast) เอาไว้ทำให้ขนมปังฟู และเนื้อขนมปังพรุน

สารปรับปรุงคุณภาพ (bread improver) บางทีก็เรียกว่าสาร U99 คำว่า U99 นี้เป็นยี่ห้อ สินค้าชนิดนี้ยี่ห้ออื่นก็มี สารปรับปรุงคุณภาพนี้ เป็นเอนไซม์และกรดบางตัว ช่วยทำให้เนื้อขนมปังนุ่มเนียนขึ้น จะไม่ใช้ก็ได้



เรียนการทำขนมปังเจด้วยภาพ ทำเองก็ได้ง่ายจัง


เอาละ เรามาลงมือทำขนมปังกันเลยดีกว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ลุงบรรยายด้วยภาพเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ภาพมาก่อน คำบรรยายตามหลังนะคร้าบ





นี่คือรายการวัตถุดิบที่ใช้ในการทำขนมปังสุขภาพเจ




สิ่งที่ขาดไม่ได้คือตาชั่ง ลุงแมวน้ำชอบใช้สูตรชั่ง




ขั้นแรกก็เติมนมถั่วเหลืองลงไปในถังทำขนมปังก่อน หลักการของเครื่องทำขนมปังคือต้องใส่ของเหลวลงไปก่อน นมถั่วเหลืองนี่ใช้ถ้วยตวงแบบตวงของเหลว ที่มีปริมาณบอกเป็นขีดๆอยู่ข้างถ้วย หน่วยเป็นมิลลิลิตร ตวงมา 400 มล




จากนั้นก็ตวงน้ำมันมะกอกใส่ลงไปในถังทำขนมปัง




จากนั้นก็เป็นขั้นตอนการใส่แป้ง สูตรนี้มีแป้งอยู่ 3 ชนิด ลองดูว่าหน้าตาของแป้งแต่ละชนิดเป็นอย่างไร




เติมแป้งลงไปในถังทำขนมปัง จากนั้นเติมส่วนประกอบอื่นๆที่เป็นผงตามลงไป ยกเว้น หมวดส่วนผสมอื่นๆ ข้อ 10, 11 ยังไม่เติมในตอนนี้ เก็บไว้ก่อน




เมื่อเติมครบ จากข้อ 1-9 แล้วก็นำถังทำขนมปังใส่ลงในเครื่อง วางให้ลงล็อก




เมื่อเลือกโปรแกรมทำงานและเปิดสวิตช์ เครื่องก็เริ่มทำงาน ด้วยการนวดส่วนผสมต่างๆ จะเห็นว่าแรกๆจะยังเหมือนโคลน ไม่น่าดู




เมื่อนวดไปสักครู่ ส่วนผสมจะริ่มจับตัวกันเป็นก้อน มีความเหนียวคล้ายหมากฝรั่ง ถ้ายังเหลวเป๋วนอนอยู่ก้นถังแสดงว่าใส่น้ำเยอะไป แต่ถ้าข้นคลั่กก็แสดงว่าน้ำน้อยเกินไป ในสูตรนี้ลุงแมวน้ำให้นมถั่วเหลืองค่อนข้างน้อยเอาไว้ก่อน ตอนนวดต้องสังเกตดูเนื้อแป้ง (ต้องอาศัยความชำนาญนิดหน่อย) ถ้าแป้งหนืดเกินไปก็ค่อยๆรินนมถั่วเหลืองเติมลงไปทีละหน่อย จนแป้งหนืดได้ที่




เมื่อนวดไปสักพัก เครื่องจะร้องบี๊บเตือนให้เราใส่ ส่วนผสมอื่นๆ ลงไป ส่วนผสมอื่นๆนี้มักเป็นพวกถั่วหรือเมล็ดต่างๆ ในที่นี้ตามสูตรของเราเป็นเมล็ดดอกทานตะวัน งา และลูกเกด




เครื่องจะนวดสลับกับการตีไล่แก๊ส (degas) ใช้เวลาประมาณ 1 ขั่วโมงกว่าๆ เมื่อนวดเสร็จจะพักปล่อยให้ขนมปังขึ้นฟูอีกประมาณ 1 ชั่วโมง




ขนมปังเมื่ออบเสร็จแล้ว




ขนมปังที่อบแล้วเมื่อแกะออกจากถังทำขนมปัง




เมื่อทิ้งให้เย็นก็ลงมือเลื่อนด้วยเลื่อยไฟฟ้า ควรใช้เลื่อยไฟ้าเพราะจะทำให้รอยหั่นของขนมปังเรียบสวย ขนมปังไม่มีรอยยุ่ยจากการหั่น พูดว่าเลื่อยฟังแล้วน่ากลัว ที่จริงคือที่หั่นเนื้อที่ใช้ไฟฟ้าน่ะ แต่ถ้าไม่มีก็ช้มีดเล่มใหญ่ที่คม หั่นแล้วรอยจะได้สวย หากใช้มีดเล่มเล็กเนื้อขนมปังจะลุ่ยกระจายออกมามาก



แอ่นแอ๊น นี่คือขนมปังที่ได้ ทั้งก้อนหั่นได้ 13 แผ่น รสชาติหวานนิดๆ มันหน่อยๆ หอมละมุน กรุ่นกลิ่นมะกอกอ่อนๆ ความหวานของขนมปังนี้ไม่ได้หวานที่เนื้อขนมปัง แต่หวานที่ลูกเกด




คุณค่าทางโภชนาการของขนมปังเจสุขภาพ สูตรลุงแมวน้ำ



เราลองมาดูกันว่าขนมปังของลุงแมวน้ำมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างไร




ขนมปังสุขภาพ เจ สูตรลุงแมวน้ำ ที่ใส่เมล็ดทานตะวัน (ที่ระบายสีเหลือง) 1 แผ่นให้แคลอรีประมาณ 254 กิโลแคลอรี มีคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ประมาณแผ่นละ 32, 8.1, 10.3 กรัมตามลำดับ หากไม่หิวมากมายอะไรนักก็กินแผ่นเดียว นั่งทำงานออฟฟิสอยู่ได้สบายๆ หรือหากหิวก็ กิน 2 แผ่น จะได้พลังงานและโภชนาการเท่ากับกินอาหารจานเดียว 1 จาน โดยประมาณ ต้นทุนวัตถุดิบของขนมปังปอนด์นี้อยู่ที่แผ่นละ 6 บาท กินสองแผ่นก็ 12 บาทเท่่านั้น ประหยัดมาก กินเปล่าๆนี่แหละ ไม่ต้องทาแยมหรือทาอะไร หากอยากทาก็ได้ แต่จะได้รับพลังงานจากแยมเพิ่มเข้าไปอีก

หากอยากให้ขนมปังมีปริมาณไขมันต่ำกว่านี้บ้างก็ตัดเมล็ดทานตะวันออกไป เพราะส่วนผสมนี้มีน้ำมันอยู่เยอะ หากตัดเมล็ดทานตะวันออกไป ขนมปังหนึ่งแผ่นจะให้พลังงานเพียง 216 กิลโลแคลอรี และมีปริมาณไขมันลดลงเหลือเพียง 7.2 กรัมต่อแผ่น (เดิมหากมีเมล็ดทานตะวันอยู่ที่ 10.3 กรัม ตามตาราง



การพลิกแพลงสูตรขนมปังเจสุขภาพ



สูตรขนมปังข้างบนนี้ หากเติมใบโรสแมรี (rosemarry leaves) ลงไปด้วยนิดหน่อย จะได้ขนมปังกลิ่นมะกอก-โรสแมรี หอมคลาสสิก เป็นเอกลักษณ์ เหมือนกับกินขนมปังอยู่ในสปาหรือในอุทยานเลย อธิบายไม่ถูก สูตรมะกอก-โรสแมรีนี่ลุงชอบเป็นพิเศษเลยแหละ

เนื่องจากสูตรนี้เป็นสูตรสุขภาพจึงใส่แป้งโฮลวีตและข้าวไรย์ดำไปมากพอควร แต่ผลที่ตามมาก็คือเนื้อของขนมปังอาจฟูน้อยและเนื้อขนมปังค่อนข้างร่วน กระด้างนิดหน่อย ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการลดปริมาณแป้งโฮลวีตและแป้งข้าวไรย์ให้น้อยลง แต่ไม่ใช่ลดดื้อๆ ลดแป้งโฮลวีตและข้าวไรย์ดำออกไปเท่าไรให้เติมแป้งห่านลงไปแทน (เช่น ลดแป้งข้าวไรย์ดำลง 5 กรัม ลดแป้งโฮลวีตลง 20 กรัม ก็เติมแป้งห่านลงไป 25 กรัมเพื่อทดแทน เป็นต้น) ลองผิดลองถูกดูสักครั้งสองครั้งก็จะได้สูตรที่ถูกปากถูกใจ

หากไม่ชอบกลิ่นและรสชาติของแป้งข้าวไรย์ดำ จะเปลี่ยนแป้งข้าวไรย์ดำในสูตรเป็นข้าวโอ๊ตแทนก็ได้ ข้าวโอ๊ตก็ให้กลิ่นรสที่หอมน่ากินไปอีกแบบ หรือจะเปลี่ยนเป็นแป้งโฮลวีตก็ได้เช่นกัน หรือจะเปลี่ยนเป็นแป้งห่านแทนก็ย่อมได้ หากเปลี่ยนเป็นแป้งห่านความเป็นขนมปังสุขภาพก็ลดลงไปบ้างแต่ว่าอร่อยขึ้น

ทีนี้การพลิกแพลงอย่างอื่น เราเปลี่ยนส่วนผสมอื่นๆจากเมล็ดทานตะวันและงาเป็นอย่างอื่นได้อีกมากมาย เช่น ข้าวโพด เติมลงไป 120-150 กรัม แทนที่เมล็ดทานตะวันและงา ก็ได้ ขนมปังข้าวโพด อร่อยดี พลังงานจากไขมันก็หายไปโข กลายเป็นสูตรพลังงานค่อนข้างต่ำไป ก็ต้องไปคำนวณแคลอรีกันใหม่

หรือจะเติมเป็นฟักทองบดก็ได้ ขนมปังฟักทอง รสชาติอร่อย แถมยังได้สารต้านอนุมูลอิสระจากฟักทองด้วย กล้วยหอมบดหรือกล้วยไข่บดก็ได้ ขนมปังกล้วยหอม ขนมปังกล้วยไข่ อร่อยเช่นกัน

หรือจะเปลี่ยนเป็นมะพร้าวอบแห้งก็ได้ เป็น ขนมปังมะพร้าว แต่มันจัดนะ อร่อยมาก ขอบอก แต่อ้วน

หรือจะเติมเป็น เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดอัลมอนด์ ฯลฯ ก็ได้

หากชอบแนวหวาน จะเปลี่ยนเป็น ลูกเกด หรือ ผลไม้เชื่อม ก็ได้

หรือหากเติม ไส้กรอกเจ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆลงไป ก็จะได้ ขนมปังไส้กรอก ได้ปริมาณโปรตีนเพิ่มขึ้นอีก

ข้อสำคัญคืออย่าใส่ผลไม้สด เพราะขนมปังจะเสียเร็ว

และข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การปรับเปลี่ยนสูตรมักต้องปรับปริมาณนมถั่วเหลืองตามด้วย เพื่อให้ความหนืดของเนื้อแป้งได้ที่ ดังนั้นในการปรับเปลี่ยนส่วนผสมใดๆก็ตาม ให้เริ่มใส่นมถั่วเหลืองลงไปก่อน 300 กรัม ใส่น้อยๆเอาไว้ก่อน แล้วสังเกตดูในขณะที่นวด จากนั้นค่อยๆเพิ่มนมถั่วเหลืองลงไป ความหนืดได้ที่ก็หยุดเติม

นี่แหละคร้าบ ขนมปังเจ สูตรเว้นกรรม สูตรสุขภาพ ตำรับลุงแมวน้ำ ลองเอาไปดัดแปลงทำกันดู

อูย พูดแล้วหิว ขอแว่บไปกินขนมปังก่อน ไปละคร้าบ ^__^





Friday, September 28, 2012

28/09/2012 คิวอี (QE) แบบไม่อั้น เมื่อเงินจะล้นโลก





เช้าวันนี้นายจ๋อ ลิงเจ้าปัญญาประจำคณะละครสัตว์ ผู้รักการลงทุนระยะสั้นเป็นชีวิตจิตใจ ชอบซื้อหุ้นแบบโดดเข้าโดดออกเพื่อหากำไรเป็นค่ากล้วยหอม ลิงจ๋อมาหาลุงแมวน้ำ ขณะนั้นลุงแมวน้ำกำลังจัดของอยู่บนโขดหิน ในมือนายจ๋อมีกล้วยหอมอยู่หวีหนึ่ง

“นั่นลุงแมวน้ำทำอะไรน่ะ” ลิงถาม

“จัดของน่ะสิ” ลุงแมวน้ำตอบ “ก็เห็นๆอยู่”

“เห็นน่ะเห็นอยู่” ลิงยังไม่หายสงสัย “แต่อยากรู้เหตุผลว่าจัดทำไม”

“นี่สินค้าทั้งนั้น” ลุงแมวน้ำพูดพลางใช้ครีบทำงานไปด้วย “ซื้อมาแล้วกองระเกะระกะไปหมด จนลุงไม่มีที่นอนผึ่งแดดแล้ว เพิ่งจะมีโอกาสจัดนี่แหละ อ้อ เอาไว้สะดวกเวลาหนีน้ำท่วมด้วย”

“แหม ปีนี้เอาอยู่หรอก” ลิงจ๋อยังอารมณ์ดีกับชีวิต

“อยู่ไม่อยู่ลุงก็เตรียมเอาไว้ก่อน กันไว้ย่อมดีกว่าแก้ เสียดายย่อมดีกว่าเสียใจ” ลุงแมวน้ำพูด

“เอ๊ะ คุ้นๆ ประโยคหลังนี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องจัดของใช่ไหม” ลิงถาม

“แล้วแต่นายจ๋อจะคิดสิ” ลุงแมวน้ำตอบ “ว่าแต่มาหาลุงนี่มีอะไรเหรอ เอาปลามาฝากลุงใช่ไหม”

“แหม มีแต่กล้วยหอมน่ะ กินแทนปลาไปก่อนละกันนะ” ลิงจ๋อยื่นกล้วยให้ “ว่าจะมาถามอะไรลุงหน่อย”

ลุงแมวน้ำรับกล้วยมาวางไว้บนโขดหิน ให้ก็เอา กล้วยหอมก็อร่อยดี “แล้วจะถามอะไรล่ะ”

“ก็อยากรู้ว่าเมื่อสหรัฐอเมริกาออก QE3 แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป” ลิงถามเข้าประเด็น “หุ้นจะขึ้นใช่ไหม ใครๆก็พูดกันยังงั้น”

“ฟังเขาเล่าว่าแล้วเชื่อตามนั้นได้ไง ต้องใช้กาลามสูตร ต้องรู้ที่มาที่ไปก่อนสิ แล้วพิจารณาลงทุนด้วยความรู้ ไม่ใช่ลงทุนด้วยความไม่รู้ เพราะนั่นอันตรายมาก”

ลิงจ๋อหยิบธนบัตรยี่สิบบาทออกมาพร้อมทั้งกิ๊บหนีบผ้าอันหนึ่ง จากนั้นหนีบเงินด้วยกิ๊บไว้ที่ครีบลุงแมวน้ำ

“นั่นทำอะไรน่ะ” ลุงแมวน้ำสงสัย

“ติดกัณฑ์เทศน์ไง สาธุ” ลิงจ๋อพนมมือ “เอ้า เริ่มเทศน์ได้”

“เอาละ ไม่บ่นก็ได้” ลุงแมวน้ำหัวเราะ “คุยเรื่องคิวอีกันเลยละกัน”

“คำว่าคิวอีนั้นก็คือการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจนั่นเอง แต่เรียกให้สวยๆว่า QE (quantitative easing) แปลว่าการผ่อนคลายเชิงปริมาณ แต่จะเรียกอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจนั้นก่อให้เกิดผลอะไรบ้าง” ลุงแมวน้ำหยุดจัดของและคุยกับนายจ๋ออย่างเป็นเรื่องเป็นราว

“เดือนกันยายน 2012 นี้เป็นเดือนที่มีเรื่องราวสำคัญเกิดขึ้นหลายอย่างในแง่เศษฐกิจ เริ่มตั้งแต่ธนาคารกลางของยุโรปหรือ ECB ออกมาตรการซื้อพันธบัตรอย่างไม่จำกัดเพื่อช่วยประเทศในกลุ่มยูโรโซนที่มีปัญหา ซึ่งเดิมทีธนาคารกลางแห่งยุโรปพยายามหลีกเลี่ยงการใช้มาตรนี้มาตลอด ต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องที่สหรัฐอเมริกาประกาศมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบเศรษฐกิจด้วยการซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คำประกัน ที่เรียกว่า MBS หรือ mortgage backed securities นั่นเอง โดยการอัดฉีดนี้ผ่านระบบธนาคาร เดือนละ 40,000 ล้านดอลลาร์ สรอ เพื่อกดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านให้ต่ำลง และจะอัดฉีดไปเรื่อยๆจนกว่าอัตราการว่างงานจะดีขึ้นจนน่าพอใจ ซึ่งการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกานี้ทางเฟดมีหลักคิดอยู่ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกามีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงมาก รวมทั้งเป็นตลาดที่มีการจ้างงานสูง เมื่อตลาดอสังหาฯดีขึ้นก็จะมีการจ้างงานมากขึ้น อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านที่ลดลงก็จะทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อดีขึ้น ดังนั้นเมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ดีขึ้น เศรษฐกิจของประเทศก็จะพ้นจากหล่มได้

“นอกจากนี้ ประเทศญี่ปุ่นก็อัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเองเช่นกัน เพราะว่าเงินเยนแข็งค่ามากอันเป็นผลจากการอัดฉีดสภาพคล่องของยุโรปและสหรัฐอเมริกาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้เงินดอลลาร์ สรอ และยูโรอ่อนค่า เงินบางส่วนจึงหนีร้อนมาพึ่งเยน (ก็ทั้งหนีร้อนมาพึ่งเย็นและมาพึ่งเยนนั่นแหละ) ทำให้อุตสาหกรรมของญี่ปุ่นที่ปกติก็แข่งขันได้ยากอยู่แล้วเพราะโดนสินค้าเกาหลี จีน ไต้หวันตีตลาด เมื่อเงินเย็นแข็งก็ยิ่งเสียเปรียบ เศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ติดหล่มมาประมาณ 20 ปีและดูมีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาได้แล้วก็กลับทรุดลงไปอีก ช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ธนาคารกลางของญี่ปุ่นอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและรักษาสภาพคล่องไปหลายรอบ รวมเป็นจำนวนไม่น้อยแล้ว

“ทางด้านประเทศจีน จีนได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากฝั่งตะวันตกมากทีเดียวเพราะเป็นประเทศที่พึ่งพิงการส่งออกสูง เมื่อฝั่งตะวันตกลดการใช้จ่าย อุตสาหกรรมของจีนก็ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้จีนยังมีปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศของตนเอง เช่น เรื่องฟองสบู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น ราคาอสังหาริทรัพย์ตกลงอย่างต่อเนื่อง ช่วงในวิกฤติแฮมเบอร์กอร์ จีนอัดฉีดสภาพคล่องไปแล้วสี่ล้านหยวนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ จนในช่วงหลังจีนไม่กล้าอัดฉีดเพิ่มอีกมากนักเพราะเกรงปัญหาเงินเฟ้อ แต่พยายามใช้มาตรการอื่นๆแทน

“แต่แล้วในที่สุด เมื่อวานนี้เอง (27/09/2012) ทางการจีนก็ประกาศอัดฉีดเงินอีกประมาณ 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ และอาจต้องอัดฉีดเพิ่มติมอีก ตามแต่สถานการณ์ สรุปแล้วตอนนี้ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ต่างก็เลือกใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องกัน

“ธนาคารของประเทศต่างๆอัดฉีดสภาพคล่องแล้วเอาเงินมาจากไหน คำตอบก็คือพิมพ์เงินเพิ่ม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อนนั่นเอง ที่ว่าพิมพ์เงินนั้นคงเป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพ เพราะระบบเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันใช้เงินอิเล็กทรอกนิกส์คือไม่ต้องใช้เงินกระดาษ แต่ลุงแมวน้ำก็ขอเรียกรวมๆว่าการพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อให้เรียกง่ายและเห็นภาพ”

“อ้าว นึกว่ามีแต่สหรัฐอเมริกาที่อัดฉีด ที่แท้ประเทศใหญ่อื่นๆก็เอากับเขาด้วย” ลิงจ๋อพูด “เมื่อประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ต่างก็พิมพ์เงินเพิ่ม แล้วผลจะเป็นอย่างไรละลุง”

“เราลองมาดูที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปกันก่อน ตั้งต้นกันที่ฝั่งตะวันตกก่อน เมื่อ สรอ และกลุ่มยูโรโซนพิมพ์เงินดอลลาร์ สรอ และเงินยูโรเพิ่มจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ลุงแมวน้ำหยุดนิดหนึ่งแล้วเล่าต่อไป

“ปกติแล้วการอัดฉีดสภาพคล่อง รัฐโดยธนาคารชาติมักเติมสภาพคล่องผ่านทางระบบธนาคาร แล้วให้ธนาคารเอาไปปล่อยกู้ ไม่ใช่เอาเงินไปใส่มือประชาชนโดยตรง ยูโรโซนและ สรอ ก็เช่นกัน แต่ในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดี ธนาคารแต่ละแห่งจะปล่อยกู้ก็ต้องคิดหนัก เพราะเกรงหนี้สูญ ดังนั้น ในสภาพความเป็นจริงก็คือเงินกองอยู่ในระบบธนาคารโดยไม่ถึงมือประชาชน ธนาคารมีสภาพคล่องสูงแต่ประชาชนกระเป๋าแฟบ หรือที่มักพูดกันว่าเงินล้นธนาคารนั่นเอง

“การที่นำเงินในอนาคตมาใช้นั้นทำให้ความเชื่อมั่นในเงินตราสกุลนั้นๆลดลง ผลก็คือ เงินสกุลนั้นๆจะอ่อนค่าลง เมื่อดอลลาร์ สรอ และยูโรอ่อน ผลก็คือเงินตราสกุลอื่นๆแข็งค่าขึ้นเพราะอัตราแลกเปลี่ยนนั้นสัมพันธ์กัน”

“แล้วเงินตั้งเยอะแยะนอนอยู่ในธนาคารจริงๆเหรอ” ลิงถาม

“ก็ไม่จริงเสียทั้งหมด เพราะการที่ธนาคารมีเงินอยู่ในธนาคารมากๆก็มีต้นทุนทางการเงิน ดังนั้นจำเป็นต้องหาทางทำให้เกิดดอกออกผล ธนาคารไม่กล้าปล่อยกู้แก่รายย่อยแต่กล้าปล่อยกู้แก่นักลงทุนรายใหญ่ เช่น พวกกองทุน ฯลฯ นักลงทุนก็กู้เงินไปลงทุนในตลาดพันธบัตรบ้าง ตลาดหุ้นบ้าง ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์บ้าง ไปซื้อกิจการอื่นๆบ้าง ฯลฯ เมื่อเงินไม่มีที่ไปก็ต้องหาทางไปจนได้นั่นแหละ จาก QE1 และ QE2 ที่ผ่านมาผลก็บ่งชี้เช่นนั้น เพราะตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง”


ผลจากมาตรการ QE1 และ QE2 ทำให้ตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกปรับตัวขึ้น รวมทั้งทำให้สินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นทองคำ พลังงาน และสินค้าเกษตรปรับตัวขึ้นทั่วโลกด้วยเช่นกัน


“อ้อ ยังงี้นี่เอง” ลิงจ๋อพูด

“ยังไม่ใช่เท่านี้ เงินยูโรอ่อนค่าลงเรื่อยๆใช่ไหม เงินดอลลาร์ สรอ อ่อนค่าลงเรื่อยๆใช่ไหม อย่ากระนั้นเลย เอาไปซื้อเป็นเงินตราสกุลอื่นดีกว่า เงินประเทศตนเองอ่อนค่าลงเรื่อยๆก็หนีไปถือเงินสกุลอื่นหรือไม่ก็ถือโลหะมีค่าเช่น ทองคำที่มีสภาพเป็นเงินตราสกุลหนึ่งด้วย” ลุงแมวน้ำพูดต่อ

“สมมติกรณีเงินยูโร หากเงินยูโรล้นธนาคารยุโรป ธนาคารและนักลงทุนก็จะหาช่องทางเอาเงินยูโรเงินไปแลกเป็นเงินสกุลอื่น เช่น เงินเยนของญี่ปุ่น เมื่อเอาเงินยูโรไปซื้อเงินเยน เงินเยนก็เลยแข็งค่าขึ้นเพราะว่ามีความต้องการเงินเยนเพิ่มมากขึ้น อันเป็นกลไกอุปสงค์อุปทานธรรมดา เมื่อเงินเยนแข็งค่ามากขึ้น เจ้าของเงินยูโรที่ไปซื้อเงินเยนก็ได้กำไรดี คนอื่นๆที่ถือยูโรอยู่เห็นแล้วก็เอาตามบ้าง แห่กันเข้าไปซื้อเงินเยน ผลก็คือ ยูโรอ่อนลง ส่วนเงินเยนแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ การกู้เงินยูโรที่มีต้นทุกถูกแล้วไปหากำไรในเงินสกุลอื่น ทำอย่างนี้เรียกว่า ยูโรแครีเทรด (Euro carry trade) นั่นเอง”

“ต่อเลย ต่อเลย ลุงแมวน้ำ กำลังสนุก” ลิงจ๋อพูด

“นี่ไม่ใช่นิยาย ไม่สนุกหรอก แต่เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง” ลุงแมวน้ำพูด “สมมติอีกที คราวนี้เป็นสหรัฐอเมริกา เงินล้นธนาคารใน สรอ เช่นกัน ค่าเงินก็อ่อนลงเรื่อยๆ ทำอย่างไรดี คำตอบก็คือไปลงที่เมืองไทยดีกว่า เงินดอลลาร์ สรอ ก็ไหลมาซื้อเงินบาทและนอนอยู่ในเมืองไทย เมื่อมีความต้องการเงินบาทมากขึ้น เงินบาทก็แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ แรงขายเงินดอลลาร์ สรอ มาซื้อเงินบาทก็ยิ่งมากขึ้น เพราะเห็นว่าได้กำไรดีจากอัตราแลกเปลี่ยน การกู้เงินดอลลาร์ สรอ ต้นทุนถูกไปหากำไรในเงินสกุลอื่น ทำอย่างนี้ก็เรียกว่า ดอลลาร์แครีเทรด (Dollar carry trade) นั่นเอง”

“เงินยูโรแปลงเป็นเยน เงินดอลลาร์แปลงเป็นบาท แปลงแล้วเงินไปอยู่ที่ไหน” ลิงยังสงสัยต่อไป

“เงินที่แปลงแล้วก็ต้องเอาไปลงทุนอะไรสักอย่าง จะนอนเฉยๆไม่ได้หรอก ที่เสี่ยงน้อยหน่อยก็คือคือไปลงทุนซื้อตราสารหนี้ของประเทศนั้นๆ ที่ปลอดภัยก็คือพันธบัตรรัฐบาล นักลงทุนที่เป็นผู้ชำนาญก็อาจไปลงทุนในหุ้นกู้เอกชน หรือไม่อย่างนั้นก็ลงทุนในตลาดหุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์ พวกนี้จะได้กำไรสองเด้ง คือกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน กับกำไรจากผลตอบแทนพันธบัตรหรือผลตอบแทนตลาดหุ้น สบายพุงไปเลย ดังนั้นสรุปก็คือผลจากการที่เงินทุนเคลื่อนย้ายไปได้ทั่วโลก การอัดฉีดสภาพคล่องของสหรัฐอเมริกาและยุโรปทำให้ตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง” ลุงแมวน้ำตอบ

“ถ้าเงินไหลเข้าแบบที่ลุงแมวน้ำว่า ก็แสดงว่าเงินบาทต้องแข็งค่า คนไทยก็มีอำนาจซื้อมากขึ้นด้วยสิ น่าจะเป็นเรื่องดี ชิมิ” ลิงจ๋อใช้ภาษาวัยรุ่น “หุ้นขึ้นก็ดีสิ ทุกคนก็มีกำไร”

“มันก็ไม่เชิงหรอก” ลุงแมวน้ำตอบ “เพราะว่าเมื่อเงินบาทแข็ง สมมติกรณีเงินบาทนะ เมื่อเงินบาทแข็ง การส่งออกของเราที่ฝืดเคืองอยู่แล้วก็จะยิ่งฝืดหนักขึ้น เงินเยนกับญี่ปุ่นเองก็เจอปัญหานี้เช่นกัน แต่การนำเข้าจะดีอย่างที่นายจ๋อว่า เพราะว่าผู้นำเข้าซื้อของได้ถูกลงเนื่องจากเรามีอำนาจซื้อมากขึ้น”

“ฮ่าๆ ผมก็รู้เหมือนกันนำ” ลิงจ๋อคุย

“แต่” ลุงแมวน้ำขัด “ก็มีแต่อีกนั่นแหละ เพราะว่าในแง่เศรษฐกิจของประเทศไม่ได้รับผลดี เนื่องจากแม้เงินบาทแข็ง แต่สินค้าโภคภัณฑ์ก็ถูกปั่นให้แพงขึ้นด้วย ซึ่งหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญมากคือกลุ่มพลังงาน แม้เงินบาทแข็งแต่เราก็ต้องซื้อพลังงานแพง สินค้าก็ขึ้นราคา เงินก็เฟ้อได้ สุดท้ายเงินคงเฟ้อไปทั่วโลก คนมีเงินอาจทำมาค้าขายได้กำไร แต่คนจนที่เงินในชีวิตส่วนใหญ่หมดไปกับค่าอาหารในชีวิตประจำวัน พวกนี้เดือดร้อนแน่เพราะว่าสินค้าแพงขึ้น

“ยังมีอีก” ลุงแมวน้ำพูดต่อ “เงินนอกที่เข้าประเทศมา มาไล่ซื้อหุ้น ไล่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ เงินพวกนี้จะทำให้เกิดฟองสบู่ในตลาดทุนและในภาคอสังหาริมทรัพย์ได้ เงินพวกนี้มาเร็ว เคลมเร็ว ไปเร็ว เมื่อวันใดที่เงินเหล่านี้ไหลออกไป ฟองสบู่ในประเทศของเราก็จะแตก นี่แหละลุงแมวน้ำถึงได้บอกว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าและน่าเป็นห่วงมากกว่าเรื่องน่าดีใจ

“เรื่องเงินเฟ้อแบงก์ชาติต้องเอาอยู่สิ” ลุงจ๋อพูด รู้สึกว่าชอบคำนี้เสียจริง “ขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปเล้ย ผมก็พอรู้นะ”

“ขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ไง” ลุงแมวน้ำพูด ว่าแล้วก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากหูกระต่ายมากางให้นายจ๋อดู “ลองดูตารางนี้ก่อน”




“อะไรน่ะลุง” ลิงถาม

“ตารางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบางอายุ 10 ปีของประเทศต่างๆ” ลุงแมวน้ำพูด “นายจ๋อดูสิ “ประเทศตะวันตกที่เครดิตดีๆ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส สวีเดน เดนมาร์ก ฯลฯ ล้วนแต่ผลตอบแทนพันธบัตรต่ำกว่าของไทยทั้งนั้น หากเราขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ เงินทุนก็จะยิ่งไหลเข้ามามากมายยิ่งกว่านี้ คราวนี้ยิ่งป่วน แต่หากปรับอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อลดการไหลเข้าของเงิน คราวนี้เงินก็เฟ้อ ค่าครองชีพก็สูงยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นมันเป็นสถานการณ์ที่ธนาคารกลางขยับตัวทำอะไรได้ยาก” ลุงแมวน้ำพูด

“อ้อ เหรอ” ลิงจ๋อนึกไม่ถึง

“และยิ่งไปกว่านั้น” ลุงแมวน้ำพูดต่อ “ธนาคารกลางของแต่ละประเทศมีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพของค่าเงินอย่างที่นายจ๋อว่า ดังนั้นหากมีเงินไหลเข้ามามาก ธนาคารกลางก็ต้องรักษาสเถียรภาพของเงินตรา ต้องออกพันธบัตรมารับสภาพคล่องพวกนี้เอาไว้ คือดูดเงินออกไปจากตลาดบ้างไม่ให้มีมากเกินไป แล้วธนาคารแห่งประเทศไทยดูดเงินเหล่านี้ออกมาจากตลาดแล้วเอาไปเก็บไว้ที่ไหน เงินพวกนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องจ่ายดอกเบี้ยให้เขาทั้งนั้น ตามอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร ดูดซับเงินเข้ามามากธนาคารกลางก็ยิ่งขาดทุนมาก”

“แบงก์ชาติก็เอาเงินไปลงทุนสิ” นายจ๋อรีบพูดทันที “จะปล่อยให้ขาดทุนทำไม”

“ก็นี่ไง ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ใช่วาณิชธนกิจ ดังนั้นการลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนจึงมีกรอบเข้มงวดมาก ไปลงทุนหุ้นอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอก ที่ทำได้คือไปซื้อพันธบัตรที่มีเครดิตสูงสุด อย่างเช่นพันธบัตรอเมริกัน แล้วนายจ๋อคิดดูสิ เงินดอลลาร์จากอเมริกาเข้ามาป่วนในไทยเพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่าในบ้านตนเอง แต่แล้วธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเอาเงินพวกนั้นนั่นแหละ หอบกลับไปซื้อพันธบัตรอเมริกันเอาไว้ ดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปีบ้านเรา 3.8% ต่อปี เงินต่างชาติเข้ามานอนกินดอกเบี้ยในบ้านเราในอัตรานี้ แต่ธนาคารชาติของเราต้องเอาเงินพวกนี้หอบไปซื้อพันธบัตรอเมริกาที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 1.7% ขาดทุนทั้งขึ้นทั้งล่อง เจ็บไหมล่ะ แล้วผลขาดทุนของธนาคารแห่งประเทศไทยคือหนี้สาธารณะ คนไทยทั้งชาติต้องรับเอาไว้ คนจนหรือคนรวยรับไว้เท่าเทียมกัน แล้วคนจนเสียเปรียบหนักไหมล่ะ ค่าครองชีพสูงขึ้น แล้วยังแบกหนี้เท่ากับคนรวยอีก” ลุงแมวน้ำสาธยาย

“ฮื่อ” ลิงจ๋อคราง “น่าเป็นห่วงและน่าเศร้าจริงๆด้วย”

“และยิ่งกว่านั้น เท่าที่ผ่านมา การที่โลกตะวันตกพิมพ์เงินเพิ่มแต่แล้วก็แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ ผลที่ตามมาก็คือเศรษฐกิจตะวันตกเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจไปทั่วโลก ประเทศต่างๆในที่สุดก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบเศรษฐกิจของตนบ้าง สุดท้าย ทุกฝ่ายต่างก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อน ปัญหายิ่งซ้อนปัญหาเข้าไปอีก ยุ่งเป็นลิงแก้แหอย่างที่เป็นอยู่นี้ไง”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ ผมไม่ได้แก้แห ผมพยายามแก้ขาดทุน ฮึ” ลิงพูด “ขอบคุณมากนะลุงแมวน้ำ คราวนี้หุ้นขึ้นแน่ ผมจะได้มีกำไรเอาอาไปซื้อกล้วยหอมกินสักที”

“นายจ๋ออย่าประมาท ในอดีตเป็นอย่างนั้นไม่ได้เป็นหลักประกันว่าอนาคตจะต้องเป็นเช่นเดิมอย่างแน่นอน หากมีปัจจัยพิเศษเข้ามาแทรก เช่น อุกกาบาตถล่มโลก สงครามนิวเคลียร์ โรคระบาดทั้งทวีป ฯลฯ ผลลัพธ์อาจจะเปลี่ยนไปเลยก็ได้ ตลาดหุ้นไม่เคยปรานีใคร นายจ๋อลงทุนต้องรู้จักควบคุมความเสี่ยงให้ได้ด้วยการจัดพอร์ตลงทุน”

“แหม ตัวอย่างของลุงนี่เว่อเหลือเกิน ฮิ” ลิงหัวเราะขำ “มันจะเกิดขนาดนั้นได้ยังไง”

“นั่นลุงยกตัวอย่างหมายความว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้นายจ๋อ”  ลุงแมวน้ำพูด “ที่สำคัญคือต้องรู้จักการจัดการลงทุน เมื่อมีเหตุไม่คาดหมายนายจ๋อต้องถอนตัวออกมาได้ และแม้ว่าขาดทุนก็ต้องมีทุนเหลือพอที่จะกลับเข้าไปในลงทุนใหม่ได้เมื่อโอกาสมาถึง พูดง่ายๆว่าถึงพลาดชีวิตกต้องเดินต่อไปได้ ไม่ใช่ล้มไปเลย อย่าลืมล่ะ”