Tuesday, August 31, 2010

30/08/2010 * ดัชนี SET มาไกลแล้ว อย่าประมาท, SET, Currencies

วันนี้ตลาดลอนดอนหยุด

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 909.65 จุด เพิ่มขึ้น 9.28 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BAY, KTB, TPIPL และมีสัญญาณขาย PSL ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 46 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อ KTB

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ตลาดฝั่งเอเซียและออสเตรเลียปิดบวก ส่วนตลาดฝั่งยุโรปและอเมริกาปิดลบ

ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าอย่างต่อเนื่องคู่ไปกับเงินเยนของญี่ปุ่น และรูปแบบการแข็งค่าค่อนข้างเป็นแนวเส้นตรง ไม่ค่อยมีการแกว่ง ค่าเงินเยนยังมีการแกว่งตัวมากกว่า



ลักษณะเช่นนี้มักเป็นปรากฏการณ์เมื่อมีเงินต่างชาติไหลเข้ามาซื้อเงินบาทไทย รวมทั้งหุ้นมักจะขึ้นด้วย หากมองความเชื่อมโยงก็อาจเป็ํนไปได้ที่ว่าเงินเหล่านี้เป้นเงินที่ไหลเข้ามาเพื่อเก็งกำไรทั้งในตลาดเงินและตลาดทุน เข้ามาแบบตีหัวเข้าบ้าน เมื่อเจ้าของบ้านเจ็บตัวแล้วก็จากไป อันหมายความว่าเมื่อทำกำไรได้ช่วงหนึ่งแล้วเงินเหล่านี้ก็จะไหลออก ค่าเงินบาทก็จะอ่อนลง ตลาดหุ้นก็จะวาย

ลองมาดูภาพดัชนี SET กัน ดังภาพต่อไปนี้



ภาพนี้ลุงแมวน้ำอยากให้ดูปริมาณการซื้อขายซึ่งเห็นเป็นแท่งสีแดงในส่วนล่างของภาพ จะเห็นว่าช่วงนี้ปริมาณซื้อขายหนาแน่นผิดปกติ ซึ่งถ้าติดตามข่าวคราวจะพบว่าบางวันวอลุมซื้อขายเกือบถึง 50,000 ล้านบาท ลักษณะที่ปริมาณซื้อขายกระชากขึ้นอย่างรวดเร็วหรือที่เรียกว่า volume spike นั้น ถือเป็นสัญญาณการกลับทิศแนวโน้ม (trend reversal signal) ได้อย่างหนึ่ง ใช้พิจารณาร่วมกับสัญญาณกลับทิศอื่นๆ ตอนนี้สัญญาณด้านวอลุมเริ่มเห็นเค้าลางแล้ว คงต้องติดตามรอดูสัญญาณอื่นๆต่อไป

ทีนี้มาดูภาพต่อไปนี้กันบ้าง


ภาพข้างบนนี้ลุงแมวน้ำนำมาจากเว็บกระทิงเขียว สังเกตว่าหุ้นตัวเล็กตัวน้อยทำงานกันแข็งขัน สามารถติดอันดับทั้งด้านราคาและด้านปริมาณซื้อขายได้หลายตัวทีเดียว เรื่องนี้ไม่มีในตำราด้านเทคนิค แต่จากประสบการณ์และการสังเกตตลาดหุ้นไทยของลุงแมวน้ำ พบว่าเมื่อตลาดเป็นขาขึ้นอย่างแรง ปัจจัยที่นำให้ดัชนี SET ขึ้นในช่วงแรกนั้นเป็นหุ้นตัวใหญ่ ถัดจากนั้นจะเป็นรอบของหุ้นตัวขนาดกลาง และท้ายที่สุดตามมาด้วยรอบของหุ้นตัวเล็ก เมื่อจบรอบของหุ้นตัวเล็กเมื่อไรก็เป็นอันว่าถึงยอดดอยพอดี แล้วรถขบวนนี้ก็ลงจากดอยไป ทิ้งให้ผู้โดยสารรายย่อยชมดอยอยู่เป็นเวลานานๆ

ลุงแมวน้ำขอแสดงความเห็นว่า SET ขณะนี้อันตรายแล้ว ผู้ที่ถือตามระบบก็ไม่ต้องทำอะไร เมื่อไรเกิดสัญญาณขายก็ทำตามสัญญาณไป แต่ผู้จะเข้าลงทุนหรือเพิ่มพอร์ตการลงทุนในตอนนี้น่าจะไม่เหมาะแล้ว โอกาสพลาดพลั้งมีสูง

Monday, August 30, 2010

27/08/2010 * เทรดตามระบบแล้วได้กำไรแน่ๆหรือไม่ (2)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 900.37 จุด เพิ่มขึ้น 14.27 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ TOP ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 44 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้มีไม่มีสัญญาณซื้อขาย ตลาดต่างๆในรายงานปิดบวกเกือบทั้งหมด ยกเว้นตลาดอินเดียที่ปิดลดลงกว่า 1%

ความน่าจะเป็นที่จะได้กำไรในการเทรดด้วยระบบ Peak and Trough 1.1 (PnT 1.1) (ต่อ)


เมื่อวานเราคุยกันถึงเรื่องสถิติที่น่าสนใจของระบบ PnT 1.1 ในแง่ของผลกำไรขาดทุนตลอดระยะเวลาของข้อมูลที่ยาวนานกว่าสิบปี วันนี้เราลองมาดูสถิติอื่นๆกันต่อ



ท่านทราบหรือไม่ว่าเมื่อท่านเทรดด้วยระบบ PnT 1.1 ใน 100 ครั้งของการเทรด หมายถึงว่าเปิดสัญญาซื้อแล้วปิดไป หรือว่าซื้อหุ้นแล้วขายออกไป ถือว่าเป็น 1 รอบการเทรด ใน 100 ครั้งที่ท่านเทรดไปนั้นได้กำไรกี่ครั้งและขาดทุนกี่ครั้ง

ลุงแมวน้ำลองคำนวณย้อนหลังดู ลองมาดูดัชนี SET กันก่อน ดูตรงคอลัมน์ probability of profitable long trades ในบรรทัดของ SET พบว่ามีค่าเท่ากับ 0.51 อันหมายความว่าในการเทรดดัชนีเซ็ตด้านลอง 100 ครั้งได้กำไร 51 ครั้ง

ทีนี้ลองมาดูด้านชอร์ตบ้าง อันหมายถึงการเปิดสัญญาขายแล้วก็ปิดไป ถือเป็นหนึ่งรอบของการเทรด ดูที่คอลัมน์ probability of profitable long trades พบว่ามีค่าเท่ากับ 0.48 หมายความว่าอชร์ต 100 ครั้งจะได้กำไรอยู่ 48 ครั้ง

ทีนี้ลองมาดูสินค้าตัวอื่นกันบ้าง ดัชนีดาวโจนส์ลอง 100 ครั้งได้กำไร 40 ครั้ง (อีก 60 ครั้งขาดทุน) ชอร์ต 100 ครั้งได้กำไร 22 ครั้ง (อีก 78 ครั้งขาดทุน)

เมื่อพิจารณาจากทุกตัวในตาราง ทั้งด้านลองและด้านชอร์ต พบว่าดัชนี SET มีความน่าจะเป็นที่จะได้กำไรสูงกว่าตัวอื่นๆ เนื่องจากค่าความน่าจะเป็นมีค่าสูงกว่าตัวอื่นๆ ส่วนตัวที่แย่ เทรดแล้วความน่าจะเป็นที่เทรดแล้วได้กำไรมีน้อย นั่นคือ น้ำตาล (SB) ลอง 100 ครั้งได้กำไร 32 ครั้ง และชอร์ต 100 ครั้งได้กำไร 29 ครั้ง แต่เมื่อเฉลี่ยในภาพรวมแล้วเราได้ค่าเฉลี่ยว่าสำหรับหุ้นและดัชนีทุกตัว เทรดด้านลอง 100 ครั้งมีโอกาสได้กำไรอยู่ 40 ครั้ง และเทรดด้านชอร์ต 100 ครั้งมีโอกาสได้กำไร 35 ครั้ง

จากข้อมูลชุดนี้ทำให้เราทราบว่าดัชนีและสินค้าแต่ละตัว หรือว่าตลาดแต่ละตลาดนั้นมีความยากง่ายในการทำกำไรไม่เท่ากัน SET ดูจะเล่นได้ง่ายกว่าเพื่อนเนื่องจากค่าความน่าจะเป็นสูงกว่าตัวอื่นๆดังที่ว่า ส่วนน้ำตาลเทรดได้ยากที่สุดเนื่องจากมีโอกาสได้กำไรน้อยครั้ง และก็แปลได้อีกนัยหนึ่งว่ามีโอกาสพบสัญญาณหลอกได้บ่อยกว่าตัวอื่นๆนั่นเอง

นอกจากนี้เรายังพบอีกว่าความน่าจะเป็นในการเทรดด้านลองแล้วได้กำไรมีมากกว่าการเทรดด้านชอร์ต (เนื่องจากเทรดด้านลอง 100 ครั้งมีโอกาสได้กำไรอยู่ 40 ครั้งโดยเฉลี่ย และเทรดด้านชอร์ต 100 ครั้งมีโอกาสได้กำไร 35 ครั้งโดยเฉลี่ย) ดังนั้นการเทรดด้านลองจึงปลอดภัยกว่าด้านชอร์ตอยู่บ้าง

และเมื่อลองสังเกตดูต่อไปก็จะพบว่าในการเทรดนั้นเรามีความน่าจะเป็นที่จะขาดทุนมากกว่ากำไร โดยดูได้จากค่าความน่าจะเป็น แทบไม่มีค่าใดเกิน 0.5 เลย (ยกเว้น SET ด้าน long ค่าเดียวเืท่านั้นที่เกิน 0.5) หากไม่เกิน 0.5 หมายความว่ามีโอกาสได้กำไรไม่ถึงครึ่ง (หรืออีกนัยหนึ่งคือความน่าจะเป็นที่จะเกิด false signal มีมากกว่าครึ่งนั่นเอง เพราะว่า false signal คือการเทรดแล้วขาดทุน)

เมื่อเทรดอะไรก็มีโอกาสผิดมากกว่าถูก ถ้าเช่นนั้นแล้วจะเอากำไรมาจากไหนกัน

(โปรดอ่านต่อในวันถัดไป)