Monday, August 18, 2014

18/08/2014 รถไฟสาย 2100 ยังไม่จอด



ช่วงนี้ตลาดหุ้นค่อนข้างน่าเสียวไส้ ลุงแมวน้ำเคยบอกว่าแพงแล้ว น่าจะต้องลงไปก่อน ลุงพูดตั้งแต่ที่ดัชนีเซ็ตประมาณ 1460 จุด และยังบอกอีกว่าอาจลงได้สัก 100 จุด จนบัดนี้ตลาดก็ยังไม่ได้ทำคลื่นขาลงแบบลึกๆเลย ดัชนีเซ็ตตอนนี้ 1545 จุดแล้ว

ลุงแมวน้ำจึงต้องมาทบทวนมุมมองใหม่ เราต้องปรับตัวไปตามตลาด แนวโน้มว่าอย่างไรเราก็ว่าไปตามแนวโน้ม หากคาดการณ์แล้วไม่เป็นไปตามนั้นก็ต้องทบทวนและปรับปรุง 

เราลองมาดูตลาดหุ้นอเมริกากันก่อน สมมติฐานของลุงก็คือ ตลาดหุ้นไปตามกันทุกภูมิภาค ตลาดอเมริกายังเป็นตลาดพี่ใหญ่อยู่ ตลาดหุ้นอเมริกาขึ้น ตลาดหุ้นเอเชียและไทยก็ไปต่อได้ อเมริกาลงหนัก เอเชียและไทยก็มักลงตาม

เรามาดูกราฟกัน ภาพมาก่อน คำบรรยายตามหลังนะคร้าบ


ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา รวมสองปีกว่าแล้ว ตลาดยังไม่เคยลงหนักๆเลย การปรับตัวลงแต่ละรอบไม่เกิน -10%


ภาพนี้เป็นดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นอเมริกา จากกรอบเวลาในกราฟ ตั้งแต่ปี 2009 มีเพียง 2 ปีเท่านั้นที่ตลาดปรับตัวลงลึกหน่อย คือปี 2010 ลงไป -15.6% และปี 2011 ลงไป -17% ส่วนปี 2012-2014 คือจนถึงปัจจุบัน ตลาดไม่ได้ลงหนัก อยู่ในระดับน้อยกว่า -10% ทุกครั้ง ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อที่สองสามปีไม่เคยทำคลื่นขาลงใหญ่ๆเลย มีแต่คลื่นขาลงเล็กๆ นี่แหละอิทธิฤทธิ์ของ QE ของลุงเบน


ตลาดหุ้นอเมริกาปรับตัวลงครั้งล่าสุด เพียง -2% เท่านั้น

สำหรับตอนนี้ ตลาดหุ้นอเมริกาเพิ่งปรับตัวลงไปเพียง -2% จากนั้นก็รีบาวด์ขึ้นมา ดูรูปการณ์คาดว่าไม่ลงแล้ว น่าจะขึ้นต่อ ซึ่งผิดคาดลุงแมวน้ำ แต่เอาละ ไปไหนก็ไปด้วย ^_^


นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นอื่นๆในย่านเอเชีย โดยเฉพาะอินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นแนวโน้มขาขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี โดยไม่เกิดการปรับฐานแรงๆเลยเช่นเดียวกับตลาดหุ้นอเมริกา ลองมาดูกราฟกัน


ตลาดหุ้นอินเดีย

ตลาดหุ้นอินเดีย ตั้งแต่ต้นปี ปรับตัวลงลึกสุดก็แค่ -4.2%


ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์

ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ตั้งแต่ต้นปี ปรับตัวลงลึกสุดก็แค่ -2.7%



ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย


ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ตั้งแต่ต้นปี ปรับตัวลงลึกสุดก็แค่ -2.7%



ตลาดหุ้นไทย


ตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ต้นปี ปรับตัวลงลึกสุดก็แค่ -3.4% สำหรับรอบล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้น เพียง -2.8% และดูท่าว่าจะไม่ลงแล้ว

สังเกตว่าตลาดอเมริกาและตลาดเพื่อนบ้านในกลุ่ม TIPS รวมอินเดียเข้าไปด้วย มีแนวโน้มตลาดสอดคล้องกัน

นอกจากนี้ ทิศทางของค่าเงินบาทยังเป็นแนวโน้มแข็งค่ามาตั้งแต่ต้นปีเช่นกัน ตามรูปต่อไปนี้


ค่าเงินบาทเป็นแนวโน้มแข็งค่ามาตั้งแต่ต้นปี 2014

จากกราฟ จะเห็นได้ว่าปัจจุบันแนวโน้มเงินบาทก็ยังเป็นแนวโน้มแข็งค่าอยู่ 


การซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา ต่างชาติซื้อสุทธิเพียง 14,000 ล้านบาท ยังเข้ามาซื้อไม่มาก

และนอกจากนี้ หากพิจารณาปริมาณเงินที่ต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่มิถุนายนเป็นต้นมา ต่างชาติมีสัดส่วนในการซื้อขาย (participation) เพียง 18%-19% ซึ่งหากในช่วงตลาดคึกคัก ต่างชาติจะมีสัดส่วนซื้อขายราว 25%-35% 

จากเหตุผลต่างๆประกอบกัน ลุงแมวน้ำเห็นว่าทิศทางของตลาดหุ้นเอเชียในกลุ่ม TIPS และรวมถึงตลาดหุ้นไทย ยังไปต่อได้ แม้จะดูฝืนความรู้สึกก็ตาม เหมือนกับว่าตลาดถูกลากไป การวัดฟิโบนาชชีเป้าหมายก็ทะลุไปหลายเป้าแล้วก็ไม่ลงเสียที เมื่อไม่ลงก็ต้องตามแนวโน้มไป 

ลุงแมวน้ำคาดว่าตลาดยังไม่ลงง่ายๆ เพราะอเมริกาไม่ยอมลง เพื่อนบ้านไม่ยอมลง เพื่อนบ้านก็แพง เราก็แพง อเมริกาก็แพง เมื่อแพงต่อแพงก็ไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกันเท่าไร และอีกประการ ต่อไปเงินต่างชาติคงทยอยกลับเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น 

แม้ลุงแมวน้ำทบทวนและปรับมุมมองว่าตลาดหุ้นยังไปต่อ แต่ก็ถือว่าเป็นคลื่น 5 ย่อยซึ่งมีความเสี่ยงสูง ตลาดอาจจบคลื่น 5 ย่อยได้ทุกเมื่อ ดังนั้นนักลงทุนควรลงทุนอย่างระมัดระวัง สังเกตเงินบาทเอาไว้เสมอ หากเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง นั่นคือสัญญาณเงินไหลออก ซึ่งเมื่อจบคลื่นย่อย 5 จะเป็นคลื่นย่อย a-b-c ขาลง ซึ่งขาลงที่อาจจะเกิดขึ้นนี้ลุงแมวน้ำคาดว่าไม่น่าลงลึก สัก 100-150 จุด คือดัชนีเซ็ตไม่น่าหลุดจาก 1400 จุด

นี่คือมุมมองระยะสั้น ส่วนระยะยาวลุงแมวน้ำยังเกาะรถไฟสาย 2100 เช่นเดิม ดังนั้นเราจะมองข้ามช็อตไปก็ได้ คือจะลงก็คงปรับตัวลงไม่มาก ก็อย่าไปกลัวมาก มองหาหุ้นดีๆ P/E ยังไม่สูง เน้นหุ้นซ่อม สร้าง บริโภคภายใน ชุมชนเมืองเติบใหญ่ ก็พอลงทุนได้คร้าบ

ภาคบริการทางการเงินควรมีติดพอร์ตเอาไว้ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างดูตัวรองดีกว่าตัวใหญ่ 

จีนน่าจะฟื้นตัวแล้ว หุ้นเรือมาแล้วทั้งเรือเทกองและเรือตู้ ส่วนหุ้นแนวโภคภัณฑ์ พลังงาน ถ่านหิน สินค้าเกษตร ปิโตรเคมี ตอนนี้ยังไม่ค่อยเห็นแวว ควรดูให้ดีอีกสักระยะหนึ่ง หุ้นพลังงานทางเลือกควรพิจารณาให้ถ่องแท้ เพราะมีเยอะมาก

หุ้นที่ P/E หลายสิบเท่าหรือร้อยกว่าเท่า ดูดีๆนะคร้าบ และหุ้นที่เจ้าของมีธรรมาภิบาลสีเทาๆ ควรหลีกเลี่ยงไว้ดีกว่า ไม่อย่างนั้นอาจเจอเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดได้

ลุงแมวน้ำก็เพิ่งปรับพอร์ตไปบางส่วน ตัวที่ p/e สูงแล้วก็ขายไป เลือกหุ้นที่ยังไม่แพงแต่ดูมีอนาคตเข้าพอร์ต หุ้นราคาไม่แพงแต่หากพิจารณาแล้วอนาคตไม่แจ่มใสก็ไม่ควรเลือกนะคร้าบ

Thursday, July 31, 2014

31/07/2014 วิเคราะห์ทางเทคนิครู้ข่าวได้ก่อน



ช่วงนี้ลุงแมวน้ำกำลังเขียนบทความเกี่ยวกับมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนอยู่ ดังที่ลุงแมวน้ำเคยเล่าให้ฟังมาแล้ว เดิมทีว่าจะโพสต์ได้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก็มีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาแทรกอยู่ตลอด จึงยังไม่ได้โพสต์สักที

ลุงแมวน้ำมาคิดดูใหม่ เดิมทีว่าจะเขียนเป็นบทความค่อนข้างยาว เนื่องจากมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนแบบมหภาคนั้นครอบคลุมเศรษฐกิจของหลายกลุ่ม หลายประเทศ อาจจะมีสัก 10-20 ตอน แต่เมื่อมาทบทวนดูแล้วลุงเห็นว่าเขียนเป็นซีรีส์ยาวแบบนี้อาจจะดูน่าเบื่อไปหน่อย จึงมาเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า เอาเรื่องราวที่คิดจะเล่าเป็นซีรีส์ยาวมาแบ่งซอยเป็นหัวข้อ แล้วแบ่งเขียนหัวข้อละสองสามตอนจบดีกว่า แต่ละเรื่องเกี่ยวของกัน แต่ว่าก็อ่านจบในตัวเองได้ แบบนี้น่าจะคล่องตัวกว่า ^_^

สำหรับวันนี้ เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาสสอง ทำให้นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องอยากเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง แต่ก็ยังหาโอกาสเล่าไม่ได้สักที เล่าในช่วงประกาศผลประกอบการที่แหละ กำลังดีเลย

ลุงแมวน้ำคิดชื่อเรื่องในวันนี้ไว้หลายชื่อ เช่น "กับดักนักเทคนิค", "อย่ามั่นใจในเทคนิคมากจนเกินไป" ฯลฯ คิดเอาไว้หลายชื่อ แต่สุดท้ายก็เลือกเอาชื่อเรื่อง "วิเคราะห์ทางเทคนิครู้ข่าวได้ก่อน"

ประเด็นก็คือ นักลงทุนมักชอบติดตามข่าวสารเกี่ยวกับตัวหุ้นอยู่เสมอ และก็มักเก็งกำไรหุ้นจากข่าวต่างๆ บางคนก็ได้ข่าวประเภทอินไซด์ ซึ่งเป็นอินไซด์ที่รู้กันทั้งประเทศหรือปิดกันให้แซ่ดนั่นแหละ แล้วก็คิดว่าเรื่องนี้ยังไม่มีใครรู้ อินไซด์จริงๆว่างั้นเถอะ สุดท้ายก็พลาดเพราะรู้กันทั้งประเทศแล้วจะมีกำไรที่ไหนเหลือให้เราล่ะ >.<

แต่ในบางครั้ง การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่ผิดปกติ หากใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคก็อาจเตือนนักลงทุนได้ล่วงหน้าก่อนที่จะรู้ข่าวก็ได้ เราลองมาดูกัน ค่อยๆดูไปทีละภาพนะคร้าบ ภาพมาก่อน คำบรรยายตามหลัง อย่าแอบอ่านล่วงหน้า

สมมติว่าหุ้นนี้ชื่อ X ละกัน ไม่ต้องรู้ชื่อหุ้นนี้ดีกว่า เพราะจะทำให้ร้องอ๋อ





ตอนต้นปี 2012 หุ้น หุ้นนี้เริ่มมีรูปแบบทางเทคนิคที่น่าสนใจเพราะว่า อาจกำลังเข้าคลื่น 1 หรือเข้าคลื่น B ก็ได้ ยังไม่ชัดเจน

หากเข้าคลื่น B แปลว่าคลื่นที่ผ่านมาเป็น A ก็ยังไม่น่าสนใจนัก

แต่หากเข้าคลื่น 1 ก็จะน่าสนใจมาก เนื่องจากเป็นการเริ่มต้นขาขึ้นรอบใหม่ ซึ่งแปลว่ายังขึ้นได้อีกมาก

เรายังไม่รู้หรอก ต้องตามดูกันไปก่อน






เวลาผ่านไป รอดูไปเรื่อยๆจนปลายปี 2012  ภาพนี้แหละ เป็นรูปแบบที่นักเทคนิคค้นหากันว่าหุ้นตัวใดเกิดรูปแบบเช่นนี้บ้าง เพราะเป็นจังหวะที่น่าเข้าลงทุนมากที่สุด นั่นก็คือ หุ้นที่กำลังเข้าคลื่น 3 โอ พบแล้ว

จากภาพนี้ เราค่อยๆนับคลื่น ตามราคาไป จะเห็นว่าราคาแถวๆปลายปี 2011 น่าจะจบคลื่น C แล้ว และคลื่นทำคลื่น 1 แล้วตอนต้นปี 1012 ตรงที่เป็น 1 นั้นเดิมทีเราสงสัยว่าเป็น B หรือเป็น 1 แต่รูปแบบน่าจะเป็น 1 มากกว่า และปัจจุบันน่าจะอยู่ที่คลื่น 2 หรืออาจกำลังเข้าคลื่น 3 ก็ได้

แต่ช้าก่อน นักเทคนิคอย่าเพิ่งเข้าลงทุน ต้องรอให้ชัดก่อนว่าใช่คลื่น 3 หรือไม่






รอดูไปอีกหน่อย จนต้นปี  2013 ราคาผ่านยอดคลื่นเดิมไปได้ แสดงว่าตอนนี้น่าจะเข้าคลื่น 3 จริงๆแล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้นลุยเลยยยยยยยย...






ต่อมา ราวกลางปี 2013 ราคาหุ้นเกิดร่วงลงมา และเกิดสัญญาณขาย นักเทคนิคผู้มั่นใจในรูปแบบทางเทคนิคย่อมคิดว่าเมื่อเป็นคลื่น 3 แล้วก็ต้องไปต่อแน่นอน นี่เป็นแค่คลื่นย่อยขาลงหรือการปรับฐาน (correction) เท่านั้น เย็นใจได้ คลื่น 3 ต้องแรงและได้กำไร !!!






ต่อมา ราคาหุ้นยังร่วงไม่หยุด ราคาไหลลงจนนับคลื่นไม่ถูก เพราะไม่เป็นไปตามตำราคลื่น 3 พอมีเด้งหน่อย ก็เกิดอาการดีใจเพราะคิดว่ายังเป็นคลื่น 3 น่าจะไปต่อเสียที

แต่ที่ไหนได้ พองบการเงินไตรมาส 2 ประกาศออกมา ผลประกอบการขาดทุนหนักแบบผิดคาด ราคายิ่งร่วงไหลลงมาไม่หยุด สุดท้าย ลงไปแถวๆ 15



กรณีศึกษานี้ลุงแมวน้ำอธิบายว่า นี่แหละ กรรม หรือว่าการกระทำ ก่อให้เกิดรูปแบบทางเทคนิค ราคาที่ไหลลงมาน่าจะเป็นเพราะว่ามีผู้ที่สามารถคาดการณ์ได้ว่าผลประกอบการณ์ของหุ้นนี้เป็นอย่างไร จึงทยอยขายออกมาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อราคาไหลลงต่อเนื่อง รูปแบบทางเทคนิคก็เสียหาย หากนักเทคนิคยึดมั่นกับคำว่าคลื่น 3 โดยไม่ยอมหนี สุดท้ายก็ขาดทุนอ่วม

ส่วนนักลงทุนที่ใช้รูปแบบทางเทคนิค และมีความยืดหยุ่น ก็มองว่ารูปแบบทางเทคนิคนั้นมักมีข้อยกเว้นเสมอ ในกรณีนี้ก็อธิบายได้ง่ายๆว่าคลื่น 3 ไม่สำเร็จ ก็เป็นคลื่นล้มเหลว (failed wave 3) นั่นเอง เมื่อรูปแบบทางเทคนิคเสียหายไป ก็ต้องมาไล่นับคลื่นกันใหม่

เมื่อผลประกอบการออกมา สายปัจจัยพื้นฐานก็ต้องตีความงบว่าขาดทุนหนักขนาดนี้แสดงว่าพื้นฐานธุรกิจอาจเปลี่ยนไปแล้ว และอาจต้องตัดสินใจขายขาดทุน

ลองคิดดูเล่นๆ หากเป็นนักเทคนิคที่ใช้ระบบสัญญาณซื้อขาย กลุ่มนี้คงหนีได้เร็วกว่าเพื่อน ขาดทุนน้อยที่สุด เนื่องจากสัญญาณซื้อขายเหมือนกับเซฟทีคัท คือช่วยชีวิตเอาไว้ได้

กลุ่มถัดมาน่าจะเป็นนักเทคนิคที่มั่นใจจนเกินควร กว่าจะได้คิดก็อาจขาดทุนหนัก

กลุ่มสุดท้าย น่าจะเป็นนักลงทุนที่ตัดสินใจลงทุนหรือไม่ลงทุนจากงบการเงิน หรือสายปัจจัยพื้นฐานนั่นเอง น่าจะขาดทุนมากที่สุด (ที่จริงพูดยาก สายพื้นฐานก็อาจขาดทุนน้อยที่สุดก็ได้ เพราะงบการเงินไตรมาสก่อนหน้าก็มีลางบอกเหตุออกมาบ้าง ขึ้นกับดุลพินิจของนักลงทุน หากเห็นลางบอกเหตุแล้วหนีก็อาจจะหนีได้เร็วกว่าเพื่อนก็ได้ แต่หากไม่หนี มาหนีเอาไตรมาสนี้ก็คงหนักกว่าเพื่อน)

ลุงแมวน้ำอยากฝากเตือนนักลงทุน ทั้งสายเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานว่า รูปแบบราคาที่ผิดปกติ มักบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง ซึ่งสัญญาณนี้เร็วกว่าข่าวสารที่นักลงทุนรายย่อยอ่านตามหนังสือพิมพ์เสียอีก ดังนั้น หากราคาปิดปกติมากๆ ก็เท่ากับหุ้นส่งสัญญาณอันตรายออกมาก อย่าละเลยสัญญาณนี้ อย่าติดยึดกับรูปแบบหรือตำราจนเกินไป อะไรก็เกิดขึ้นได้ในตลาดหุ้น รวมทั้งอย่าหวังเงินปันผลจนขาดทุนหนักจากราคาหุ้น เพราะอาจไม่คุ้มกัน