Thursday, July 31, 2014

31/07/2014 วิเคราะห์ทางเทคนิครู้ข่าวได้ก่อน



ช่วงนี้ลุงแมวน้ำกำลังเขียนบทความเกี่ยวกับมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนอยู่ ดังที่ลุงแมวน้ำเคยเล่าให้ฟังมาแล้ว เดิมทีว่าจะโพสต์ได้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก็มีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาแทรกอยู่ตลอด จึงยังไม่ได้โพสต์สักที

ลุงแมวน้ำมาคิดดูใหม่ เดิมทีว่าจะเขียนเป็นบทความค่อนข้างยาว เนื่องจากมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนแบบมหภาคนั้นครอบคลุมเศรษฐกิจของหลายกลุ่ม หลายประเทศ อาจจะมีสัก 10-20 ตอน แต่เมื่อมาทบทวนดูแล้วลุงเห็นว่าเขียนเป็นซีรีส์ยาวแบบนี้อาจจะดูน่าเบื่อไปหน่อย จึงมาเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า เอาเรื่องราวที่คิดจะเล่าเป็นซีรีส์ยาวมาแบ่งซอยเป็นหัวข้อ แล้วแบ่งเขียนหัวข้อละสองสามตอนจบดีกว่า แต่ละเรื่องเกี่ยวของกัน แต่ว่าก็อ่านจบในตัวเองได้ แบบนี้น่าจะคล่องตัวกว่า ^_^

สำหรับวันนี้ เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาสสอง ทำให้นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องอยากเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง แต่ก็ยังหาโอกาสเล่าไม่ได้สักที เล่าในช่วงประกาศผลประกอบการที่แหละ กำลังดีเลย

ลุงแมวน้ำคิดชื่อเรื่องในวันนี้ไว้หลายชื่อ เช่น "กับดักนักเทคนิค", "อย่ามั่นใจในเทคนิคมากจนเกินไป" ฯลฯ คิดเอาไว้หลายชื่อ แต่สุดท้ายก็เลือกเอาชื่อเรื่อง "วิเคราะห์ทางเทคนิครู้ข่าวได้ก่อน"

ประเด็นก็คือ นักลงทุนมักชอบติดตามข่าวสารเกี่ยวกับตัวหุ้นอยู่เสมอ และก็มักเก็งกำไรหุ้นจากข่าวต่างๆ บางคนก็ได้ข่าวประเภทอินไซด์ ซึ่งเป็นอินไซด์ที่รู้กันทั้งประเทศหรือปิดกันให้แซ่ดนั่นแหละ แล้วก็คิดว่าเรื่องนี้ยังไม่มีใครรู้ อินไซด์จริงๆว่างั้นเถอะ สุดท้ายก็พลาดเพราะรู้กันทั้งประเทศแล้วจะมีกำไรที่ไหนเหลือให้เราล่ะ >.<

แต่ในบางครั้ง การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่ผิดปกติ หากใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคก็อาจเตือนนักลงทุนได้ล่วงหน้าก่อนที่จะรู้ข่าวก็ได้ เราลองมาดูกัน ค่อยๆดูไปทีละภาพนะคร้าบ ภาพมาก่อน คำบรรยายตามหลัง อย่าแอบอ่านล่วงหน้า

สมมติว่าหุ้นนี้ชื่อ X ละกัน ไม่ต้องรู้ชื่อหุ้นนี้ดีกว่า เพราะจะทำให้ร้องอ๋อ





ตอนต้นปี 2012 หุ้น หุ้นนี้เริ่มมีรูปแบบทางเทคนิคที่น่าสนใจเพราะว่า อาจกำลังเข้าคลื่น 1 หรือเข้าคลื่น B ก็ได้ ยังไม่ชัดเจน

หากเข้าคลื่น B แปลว่าคลื่นที่ผ่านมาเป็น A ก็ยังไม่น่าสนใจนัก

แต่หากเข้าคลื่น 1 ก็จะน่าสนใจมาก เนื่องจากเป็นการเริ่มต้นขาขึ้นรอบใหม่ ซึ่งแปลว่ายังขึ้นได้อีกมาก

เรายังไม่รู้หรอก ต้องตามดูกันไปก่อน






เวลาผ่านไป รอดูไปเรื่อยๆจนปลายปี 2012  ภาพนี้แหละ เป็นรูปแบบที่นักเทคนิคค้นหากันว่าหุ้นตัวใดเกิดรูปแบบเช่นนี้บ้าง เพราะเป็นจังหวะที่น่าเข้าลงทุนมากที่สุด นั่นก็คือ หุ้นที่กำลังเข้าคลื่น 3 โอ พบแล้ว

จากภาพนี้ เราค่อยๆนับคลื่น ตามราคาไป จะเห็นว่าราคาแถวๆปลายปี 2011 น่าจะจบคลื่น C แล้ว และคลื่นทำคลื่น 1 แล้วตอนต้นปี 1012 ตรงที่เป็น 1 นั้นเดิมทีเราสงสัยว่าเป็น B หรือเป็น 1 แต่รูปแบบน่าจะเป็น 1 มากกว่า และปัจจุบันน่าจะอยู่ที่คลื่น 2 หรืออาจกำลังเข้าคลื่น 3 ก็ได้

แต่ช้าก่อน นักเทคนิคอย่าเพิ่งเข้าลงทุน ต้องรอให้ชัดก่อนว่าใช่คลื่น 3 หรือไม่






รอดูไปอีกหน่อย จนต้นปี  2013 ราคาผ่านยอดคลื่นเดิมไปได้ แสดงว่าตอนนี้น่าจะเข้าคลื่น 3 จริงๆแล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้นลุยเลยยยยยยยย...






ต่อมา ราวกลางปี 2013 ราคาหุ้นเกิดร่วงลงมา และเกิดสัญญาณขาย นักเทคนิคผู้มั่นใจในรูปแบบทางเทคนิคย่อมคิดว่าเมื่อเป็นคลื่น 3 แล้วก็ต้องไปต่อแน่นอน นี่เป็นแค่คลื่นย่อยขาลงหรือการปรับฐาน (correction) เท่านั้น เย็นใจได้ คลื่น 3 ต้องแรงและได้กำไร !!!






ต่อมา ราคาหุ้นยังร่วงไม่หยุด ราคาไหลลงจนนับคลื่นไม่ถูก เพราะไม่เป็นไปตามตำราคลื่น 3 พอมีเด้งหน่อย ก็เกิดอาการดีใจเพราะคิดว่ายังเป็นคลื่น 3 น่าจะไปต่อเสียที

แต่ที่ไหนได้ พองบการเงินไตรมาส 2 ประกาศออกมา ผลประกอบการขาดทุนหนักแบบผิดคาด ราคายิ่งร่วงไหลลงมาไม่หยุด สุดท้าย ลงไปแถวๆ 15



กรณีศึกษานี้ลุงแมวน้ำอธิบายว่า นี่แหละ กรรม หรือว่าการกระทำ ก่อให้เกิดรูปแบบทางเทคนิค ราคาที่ไหลลงมาน่าจะเป็นเพราะว่ามีผู้ที่สามารถคาดการณ์ได้ว่าผลประกอบการณ์ของหุ้นนี้เป็นอย่างไร จึงทยอยขายออกมาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อราคาไหลลงต่อเนื่อง รูปแบบทางเทคนิคก็เสียหาย หากนักเทคนิคยึดมั่นกับคำว่าคลื่น 3 โดยไม่ยอมหนี สุดท้ายก็ขาดทุนอ่วม

ส่วนนักลงทุนที่ใช้รูปแบบทางเทคนิค และมีความยืดหยุ่น ก็มองว่ารูปแบบทางเทคนิคนั้นมักมีข้อยกเว้นเสมอ ในกรณีนี้ก็อธิบายได้ง่ายๆว่าคลื่น 3 ไม่สำเร็จ ก็เป็นคลื่นล้มเหลว (failed wave 3) นั่นเอง เมื่อรูปแบบทางเทคนิคเสียหายไป ก็ต้องมาไล่นับคลื่นกันใหม่

เมื่อผลประกอบการออกมา สายปัจจัยพื้นฐานก็ต้องตีความงบว่าขาดทุนหนักขนาดนี้แสดงว่าพื้นฐานธุรกิจอาจเปลี่ยนไปแล้ว และอาจต้องตัดสินใจขายขาดทุน

ลองคิดดูเล่นๆ หากเป็นนักเทคนิคที่ใช้ระบบสัญญาณซื้อขาย กลุ่มนี้คงหนีได้เร็วกว่าเพื่อน ขาดทุนน้อยที่สุด เนื่องจากสัญญาณซื้อขายเหมือนกับเซฟทีคัท คือช่วยชีวิตเอาไว้ได้

กลุ่มถัดมาน่าจะเป็นนักเทคนิคที่มั่นใจจนเกินควร กว่าจะได้คิดก็อาจขาดทุนหนัก

กลุ่มสุดท้าย น่าจะเป็นนักลงทุนที่ตัดสินใจลงทุนหรือไม่ลงทุนจากงบการเงิน หรือสายปัจจัยพื้นฐานนั่นเอง น่าจะขาดทุนมากที่สุด (ที่จริงพูดยาก สายพื้นฐานก็อาจขาดทุนน้อยที่สุดก็ได้ เพราะงบการเงินไตรมาสก่อนหน้าก็มีลางบอกเหตุออกมาบ้าง ขึ้นกับดุลพินิจของนักลงทุน หากเห็นลางบอกเหตุแล้วหนีก็อาจจะหนีได้เร็วกว่าเพื่อนก็ได้ แต่หากไม่หนี มาหนีเอาไตรมาสนี้ก็คงหนักกว่าเพื่อน)

ลุงแมวน้ำอยากฝากเตือนนักลงทุน ทั้งสายเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานว่า รูปแบบราคาที่ผิดปกติ มักบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง ซึ่งสัญญาณนี้เร็วกว่าข่าวสารที่นักลงทุนรายย่อยอ่านตามหนังสือพิมพ์เสียอีก ดังนั้น หากราคาปิดปกติมากๆ ก็เท่ากับหุ้นส่งสัญญาณอันตรายออกมาก อย่าละเลยสัญญาณนี้ อย่าติดยึดกับรูปแบบหรือตำราจนเกินไป อะไรก็เกิดขึ้นได้ในตลาดหุ้น รวมทั้งอย่าหวังเงินปันผลจนขาดทุนหนักจากราคาหุ้น เพราะอาจไม่คุ้มกัน

Tuesday, July 29, 2014

29/07/2014 จีนมีเฮ อัปเดต BDI, สินค้าเกษตร ยางพารา BANPU, ADVANC, DTAC, TRUE, THCOM


ดัชนี CSI 300 ของตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นมา 8.4% ในเวลา 2 สัปดาห์
รูปแบบทางเทคนิคกลับตัวเป็นขาขึ้น เป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นจีนจะจบคลื่น C ไปแล้ว
และกำลังเข้าสู่คลื่นเศรษฐกิจขาขึ้นรอบใหม่


วันนี้ลุงแมวน้ำมีเรื่องอัปเดตเยอะทีเดียว แบ่งเป็นสองเรื่องใหญ่ นั่นคือ เศรษฐกิจของจีนที่เกี่ยวข้องกับหุ้นไทย และหุ้นในกลุ่มโทรคมนาคม เรามาดูเรื่องตลาดหุ้นจีนกันก่อน

ดูกราฟในภาพบนสุดของบทความ กราฟนั้นเป็นดัชนี CSI 300 ของตลาดหุ้นจีน หลายปีที่ผ่านมา จีนประสบปัญหาทางเศรษฐกิจหลายด้านทีเดียว ทั้งด้านฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ปัญหาธนาคารเงาและหนี้เน่าในภาคการเงินซึ่งส่งผลกระทบอย่างแรงต่อภาคการเงินและเศรษฐกิจของจีน จนถึงวันนี้ ปัญหาธนาคารเงาและหนี้เน่าดูเหมือนจะค่อยๆคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่มีใครไว้วางใจเนื่องจากไม่รู้ว่าภาคธนาคารจีนซุกขยะอะไรเอาไว้ใต้พรมบ้าง ส่วนทางด้านราคาบ้านนั้นไหลลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนยังชะลอตัว ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลจีนที่ต้องการชะลอการเจริญเติบโตของจีนให้อยู่ในระดับประมาณปีละ 7.5% จากที่เมื่อก่อนหน้านี้จีนเร่งการเจริญเติบโตในระดับปีละกว่า 10%

สถานการณ์ต่างๆเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ตลาดหุ้นจีนเป็นขาลง และเนื่องจากจีนเป็นประเทศผู้บริโภคขนาดใหญ่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจย่อมหมายถึงการบริโภคที่ชะลอตัวลง ดังนั้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆจึงชะลอตัว การขนส่งโดยเฉพาะการเดินเรือขนส่งวัตถุดิบก็ชะลอตัวลงไปด้วย

แต่ว่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนดูเหมือนจะเริ่มตั้งหลักได้แล้ว ดัชนี PMI อันเป็นดัชนีภาคการผลิตปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ค่า GDP เริ่มนิ่งแถวๆระดับ 7.5% ต่อปี ปัญหาเรื่องหุ้นกู้ของภาคเอกชนที่อาจมีปัญหาต้องดีฟอลต์ คือต้องชักดาบ ก็ไม่เกิด ภาครัฐสามารถควบคุมสถานการณ์ได้

ในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นแรง ประมาณ 8.4% ถือว่าเป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่แสดงว่าตลาดหุ้นจีนรวมทั้งเศรษฐกิจจีนน่าจะกำลังกลับทิศเป็นขาขึ้นแล้ว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็ถือว่ามีเฮ เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมีส่วนช่วยต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างมาก

เรามาดูกันว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนนั้นใครจะได้อานิสงส์กันบ้าง ดูกันเลยคร้าบ ภาพมาก่อน คำบรรยายตามหลัง


ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม
สอดคล้องกับการดีดตัวของตลาดหุ้นจีน

สินค้าเกษตร จีนเป็นผู้บริโภคสินค้าเกษตรรายใหญ่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนทำให้เกิดแรงเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งสินค้าเกษตร



ราคายางพาราตลาด AFET เริ่มตั้งหลักได้ อีกไม่นานน่าจะค่อยๆปรับตัวขึ้น

จีนและอินเดียเป็นผู้บริโภคยางพารารายใหญ่ แม้ว่าในปีนี้จะมีปริมาณยางพาราเข้ามาในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น เนื่องมาจากจีน เวียดนาม พม่า ไทย เพิ่มพื้นที่ปลูกยางพาราในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ในทางเทคนิคราคายางน่าจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้



ราคา BANPU สังเกตว่าสอดคล้องไปกับทิศทางตลาดหุ้นจีน
น่าจะมีเฮด้วยเช่นเดียวกับดัชนีจีน

ราคาถ่านหิน โดยเฉพาะ BANPU สัมพันธ์กับเศรษฐกิจจีน สังเกตว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ตลาดหุ้นจีนเด้งในช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา



ดัชนีค่าระวางเรือเทกอง ไหลลงมาตลอดตั้งแต่ต้นปี 2014
สาเหตุหนึ่งมาจากปริมาณการบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง และอีกสาเหตุหนึ่งคือฤดูฝน
แต่ตอนนี้เริ่มนิ่งแล้ว คาดว่าน่าจะกลับทิศเป็นขาขึ้นได้

ดัชนีค่าระวางเรือเทกอง ไหลลงมาตั้งแต่ต้นปี ตอนนี้เริ่มนิ่งแล้ว คาดว่าดัชนีค่าระวางเรือน่าจะปรับตัวขึ้นได้จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ประกอบกับช่วงปลายฤดูฝนดัชนีจะค่อยๆดีขึ้นอยู่แล้วอันเป็นปัจจัยตามฤดูกาล หุ้นที่ได้อานิสงส์จากดัชนีค่าระวางเรือก็คือหุ้นสายการเดินเรือเทกองนั่นเอง

นอกจากนี้ ขณะนี้ดัชนีค่าระวางเรือตู้ (เรือคอนเทนเนอร์) ก็ค่อยๆดีขึ้น สะท้อนภาพการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน ดังนั้นหุ้นเรือคอนเทนเนอร์ก็ได้รับอานิสงส์ด้วย ตอนนี้ปรับตัวขึ้นมาบ้างแล้ว (ไม่ได้นำภาพมาแสดงให้ดู)


ทีนี้ก็มาถึงกลุ่มกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมกันบ้าง หมู่นี้แมวน้ำอัปเดตหุ้นในกลุ่มนี้มาเป็นระยะ เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่นิ่ง มีการชะลอประมูลคลื่นรอบใหม่ไปอีก 1 ปี ทีนี้ก็อลเวงกันพอสมควร เรื่องจากสัมปทานคลื่นที่แต่ละค่ายถืออยู่หมดอายุไม่พร้อมกัน ทำให้ต้องมาประเมินกันว่าใครได้เปรียบ ใครเสียเปรียบ และมากน้อยเพียงใด ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเมินได้ค่อนข้างยาก

เรามาอัปเดตหุ้นแต่ละตัวกันเลย


ราคาหุ้น ADVANC

ADVANC ราคาไหลลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีสัมปทานคลื่นสองช่วงคลื่นที่กำลังจะหมดลง ตอนนี้ยังประเมินกันไม่ถูกว่าจะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์เป็นมูลค่าเท่าใด ทางกองทุนเทมาเสกของสิงคโปร์ที่ถือหุ้นอยู่เป็นจำนวนมากก็ประกาศลดการลงทุนในหุ้นนี้ลง ฝุ่นก็ยิ่งตลบเข้าไปใหญ่ ราคาจึงไหลลงอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับรูปแบบทางเทคนิคที่เกิดแกปใหญ่แล้วปิดไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นแกปที่แสดงถึงขาลงยาว หรือคลื่น C นั่นเอง

ราคาแถวๆ 200-205 บาทเป็นแนวรับใหญ่ชั้นหนึ่ง แถวๆนี้ค่า P/E ratio กับอัตราเงินปันผลก็สวยงามไม่น้อยเลยทีเดียว หลายคนเริ่มอยากเก็บแถวๆราคานี้ ถือไว้สัก 10 ปี กินปันผลสบายใจ ราคาชะลอตัวอยู่แถวแนวรับใหญ่ก็เพราะนักลงทุนเริ่มสนใจเงินปันผลกับค่า P/E ที่จูงใจนั่นเอง



ราคาหุ้น DTAC

ส่วนราคาหุ้น DTAC สภาพการณ์ต่างออกไป เมื่อวานยังเกิด big black candle คือราคายังไหลลงไม่หยุด


ราคาหุ้น THCOM

ราคาหุ้นดาวเทียมไทยคม หุ้นนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวหลังจากที่ขาดทุนต่อเนื่องมาหลายปี คือน่าจะเป็นหุ้นเทิร์นอะราวด์ได้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงระบบทีวีเป็นดิจิทัล ทำให้รายได้ของ THCOM เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีโครงการส่งดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นไปอันจะทำให้รายได้มากขึ้น แต่ตอนนี้รูปแบบราคาไหลลงอย่างรวดเร็วจนหลุดแนวของช่อง SEC (standard error channel) สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ เพราะไม่รู้ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น ราคาที่ไหลลงนี้ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล แต่อาจเป็นเหตุผลที่นักลงทุนรายย่อยยังไม่รู้ก็ได้



ราคาหุ้น TRUE

ราคาหุ้น TRUE ในทางเทคนิคเป็นขาขึ้นแล้ว ช่วงนี้ราคาคงยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น จนกว่าการเพิ่มทุนในปลายเดือนสิงหาคมจะแล้วเสร็จ หลังจากนั้นคงต้องมาดูกันอีกที

สำหรับหุ้นสื่อสารโทรคมมานาคมนั้น ตอนนี้สถานการณ์เรียกได้ว่าฝุ่นตลบ ภาครัฐอาจกำลังเปลี่ยนกฎกติกา ยังไม่มีใครรู้ว่าผู้ให้บริการทั้งสามค่ายคิดอ่านอย่างไร วางกลยุทธ์อย่างไร จะลงทุนเพิ่มอย่างไร ขณะเดียวกันน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นทั้งของ TRUE และ เครือ INTUCH, ADVANC, THCOM ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป 

ทั้งเครือ ADVANC, DTAC, TRUE กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ธุรกิจนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว การลงทุนเพิ่มเป็นเรื่องที่จำเป็น เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้นประเด็นสำคัญของธุรกิจนี้ก็คือการลงทุนและความสามารถในการแข่งขัน อย่ามองแต่เฉพาะเพียงเงินปันผลหรือค่าพีอีที่ดึงดูดใจ เพราะแม้ปีนี้เงินปันผลจะงาม แต่ค่ายใดหากชะลอการลงทุน หรือต้องการปล่อยมือจากธุรกิจในประเทศไทย ก็อาจทำให้เสียความสามารถในการแข่งขันได้ ธุรกิจจะเปลี่ยนไปทันที และปีต่อไปก็อาจไม่ได้เห็นผลกำไรหรือเงินปันผลอีก ดังนั้น ลุงแมวน้ำคิดว่าตอนนี้ฝุ่นตลบ รอดูก่อนดีกว่า ให้สถานการณ์ชัดเจน ให้รู้แผนการของแต่ละค่ายก่อนว่าจะเอาอย่างไร จะลงทุนต่ออย่างไร จะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันอย่างไร เมื่อเห็นชัดแล้วจึงค่อยตัดสินใจเข้าลงทุนดีกว่าคร้าบ