Tuesday, July 29, 2014

29/07/2014 จีนมีเฮ อัปเดต BDI, สินค้าเกษตร ยางพารา BANPU, ADVANC, DTAC, TRUE, THCOM


ดัชนี CSI 300 ของตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นมา 8.4% ในเวลา 2 สัปดาห์
รูปแบบทางเทคนิคกลับตัวเป็นขาขึ้น เป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นจีนจะจบคลื่น C ไปแล้ว
และกำลังเข้าสู่คลื่นเศรษฐกิจขาขึ้นรอบใหม่


วันนี้ลุงแมวน้ำมีเรื่องอัปเดตเยอะทีเดียว แบ่งเป็นสองเรื่องใหญ่ นั่นคือ เศรษฐกิจของจีนที่เกี่ยวข้องกับหุ้นไทย และหุ้นในกลุ่มโทรคมนาคม เรามาดูเรื่องตลาดหุ้นจีนกันก่อน

ดูกราฟในภาพบนสุดของบทความ กราฟนั้นเป็นดัชนี CSI 300 ของตลาดหุ้นจีน หลายปีที่ผ่านมา จีนประสบปัญหาทางเศรษฐกิจหลายด้านทีเดียว ทั้งด้านฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ปัญหาธนาคารเงาและหนี้เน่าในภาคการเงินซึ่งส่งผลกระทบอย่างแรงต่อภาคการเงินและเศรษฐกิจของจีน จนถึงวันนี้ ปัญหาธนาคารเงาและหนี้เน่าดูเหมือนจะค่อยๆคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่มีใครไว้วางใจเนื่องจากไม่รู้ว่าภาคธนาคารจีนซุกขยะอะไรเอาไว้ใต้พรมบ้าง ส่วนทางด้านราคาบ้านนั้นไหลลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนยังชะลอตัว ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลจีนที่ต้องการชะลอการเจริญเติบโตของจีนให้อยู่ในระดับประมาณปีละ 7.5% จากที่เมื่อก่อนหน้านี้จีนเร่งการเจริญเติบโตในระดับปีละกว่า 10%

สถานการณ์ต่างๆเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ตลาดหุ้นจีนเป็นขาลง และเนื่องจากจีนเป็นประเทศผู้บริโภคขนาดใหญ่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจย่อมหมายถึงการบริโภคที่ชะลอตัวลง ดังนั้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆจึงชะลอตัว การขนส่งโดยเฉพาะการเดินเรือขนส่งวัตถุดิบก็ชะลอตัวลงไปด้วย

แต่ว่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนดูเหมือนจะเริ่มตั้งหลักได้แล้ว ดัชนี PMI อันเป็นดัชนีภาคการผลิตปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ค่า GDP เริ่มนิ่งแถวๆระดับ 7.5% ต่อปี ปัญหาเรื่องหุ้นกู้ของภาคเอกชนที่อาจมีปัญหาต้องดีฟอลต์ คือต้องชักดาบ ก็ไม่เกิด ภาครัฐสามารถควบคุมสถานการณ์ได้

ในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นแรง ประมาณ 8.4% ถือว่าเป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่แสดงว่าตลาดหุ้นจีนรวมทั้งเศรษฐกิจจีนน่าจะกำลังกลับทิศเป็นขาขึ้นแล้ว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็ถือว่ามีเฮ เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมีส่วนช่วยต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างมาก

เรามาดูกันว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนนั้นใครจะได้อานิสงส์กันบ้าง ดูกันเลยคร้าบ ภาพมาก่อน คำบรรยายตามหลัง


ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม
สอดคล้องกับการดีดตัวของตลาดหุ้นจีน

สินค้าเกษตร จีนเป็นผู้บริโภคสินค้าเกษตรรายใหญ่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนทำให้เกิดแรงเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งสินค้าเกษตร



ราคายางพาราตลาด AFET เริ่มตั้งหลักได้ อีกไม่นานน่าจะค่อยๆปรับตัวขึ้น

จีนและอินเดียเป็นผู้บริโภคยางพารารายใหญ่ แม้ว่าในปีนี้จะมีปริมาณยางพาราเข้ามาในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น เนื่องมาจากจีน เวียดนาม พม่า ไทย เพิ่มพื้นที่ปลูกยางพาราในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ในทางเทคนิคราคายางน่าจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้



ราคา BANPU สังเกตว่าสอดคล้องไปกับทิศทางตลาดหุ้นจีน
น่าจะมีเฮด้วยเช่นเดียวกับดัชนีจีน

ราคาถ่านหิน โดยเฉพาะ BANPU สัมพันธ์กับเศรษฐกิจจีน สังเกตว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ตลาดหุ้นจีนเด้งในช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา



ดัชนีค่าระวางเรือเทกอง ไหลลงมาตลอดตั้งแต่ต้นปี 2014
สาเหตุหนึ่งมาจากปริมาณการบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง และอีกสาเหตุหนึ่งคือฤดูฝน
แต่ตอนนี้เริ่มนิ่งแล้ว คาดว่าน่าจะกลับทิศเป็นขาขึ้นได้

ดัชนีค่าระวางเรือเทกอง ไหลลงมาตั้งแต่ต้นปี ตอนนี้เริ่มนิ่งแล้ว คาดว่าดัชนีค่าระวางเรือน่าจะปรับตัวขึ้นได้จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ประกอบกับช่วงปลายฤดูฝนดัชนีจะค่อยๆดีขึ้นอยู่แล้วอันเป็นปัจจัยตามฤดูกาล หุ้นที่ได้อานิสงส์จากดัชนีค่าระวางเรือก็คือหุ้นสายการเดินเรือเทกองนั่นเอง

นอกจากนี้ ขณะนี้ดัชนีค่าระวางเรือตู้ (เรือคอนเทนเนอร์) ก็ค่อยๆดีขึ้น สะท้อนภาพการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน ดังนั้นหุ้นเรือคอนเทนเนอร์ก็ได้รับอานิสงส์ด้วย ตอนนี้ปรับตัวขึ้นมาบ้างแล้ว (ไม่ได้นำภาพมาแสดงให้ดู)


ทีนี้ก็มาถึงกลุ่มกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมกันบ้าง หมู่นี้แมวน้ำอัปเดตหุ้นในกลุ่มนี้มาเป็นระยะ เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่นิ่ง มีการชะลอประมูลคลื่นรอบใหม่ไปอีก 1 ปี ทีนี้ก็อลเวงกันพอสมควร เรื่องจากสัมปทานคลื่นที่แต่ละค่ายถืออยู่หมดอายุไม่พร้อมกัน ทำให้ต้องมาประเมินกันว่าใครได้เปรียบ ใครเสียเปรียบ และมากน้อยเพียงใด ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเมินได้ค่อนข้างยาก

เรามาอัปเดตหุ้นแต่ละตัวกันเลย


ราคาหุ้น ADVANC

ADVANC ราคาไหลลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีสัมปทานคลื่นสองช่วงคลื่นที่กำลังจะหมดลง ตอนนี้ยังประเมินกันไม่ถูกว่าจะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์เป็นมูลค่าเท่าใด ทางกองทุนเทมาเสกของสิงคโปร์ที่ถือหุ้นอยู่เป็นจำนวนมากก็ประกาศลดการลงทุนในหุ้นนี้ลง ฝุ่นก็ยิ่งตลบเข้าไปใหญ่ ราคาจึงไหลลงอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับรูปแบบทางเทคนิคที่เกิดแกปใหญ่แล้วปิดไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นแกปที่แสดงถึงขาลงยาว หรือคลื่น C นั่นเอง

ราคาแถวๆ 200-205 บาทเป็นแนวรับใหญ่ชั้นหนึ่ง แถวๆนี้ค่า P/E ratio กับอัตราเงินปันผลก็สวยงามไม่น้อยเลยทีเดียว หลายคนเริ่มอยากเก็บแถวๆราคานี้ ถือไว้สัก 10 ปี กินปันผลสบายใจ ราคาชะลอตัวอยู่แถวแนวรับใหญ่ก็เพราะนักลงทุนเริ่มสนใจเงินปันผลกับค่า P/E ที่จูงใจนั่นเอง



ราคาหุ้น DTAC

ส่วนราคาหุ้น DTAC สภาพการณ์ต่างออกไป เมื่อวานยังเกิด big black candle คือราคายังไหลลงไม่หยุด


ราคาหุ้น THCOM

ราคาหุ้นดาวเทียมไทยคม หุ้นนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวหลังจากที่ขาดทุนต่อเนื่องมาหลายปี คือน่าจะเป็นหุ้นเทิร์นอะราวด์ได้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงระบบทีวีเป็นดิจิทัล ทำให้รายได้ของ THCOM เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีโครงการส่งดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นไปอันจะทำให้รายได้มากขึ้น แต่ตอนนี้รูปแบบราคาไหลลงอย่างรวดเร็วจนหลุดแนวของช่อง SEC (standard error channel) สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ เพราะไม่รู้ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น ราคาที่ไหลลงนี้ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล แต่อาจเป็นเหตุผลที่นักลงทุนรายย่อยยังไม่รู้ก็ได้



ราคาหุ้น TRUE

ราคาหุ้น TRUE ในทางเทคนิคเป็นขาขึ้นแล้ว ช่วงนี้ราคาคงยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น จนกว่าการเพิ่มทุนในปลายเดือนสิงหาคมจะแล้วเสร็จ หลังจากนั้นคงต้องมาดูกันอีกที

สำหรับหุ้นสื่อสารโทรคมมานาคมนั้น ตอนนี้สถานการณ์เรียกได้ว่าฝุ่นตลบ ภาครัฐอาจกำลังเปลี่ยนกฎกติกา ยังไม่มีใครรู้ว่าผู้ให้บริการทั้งสามค่ายคิดอ่านอย่างไร วางกลยุทธ์อย่างไร จะลงทุนเพิ่มอย่างไร ขณะเดียวกันน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นทั้งของ TRUE และ เครือ INTUCH, ADVANC, THCOM ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป 

ทั้งเครือ ADVANC, DTAC, TRUE กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ธุรกิจนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว การลงทุนเพิ่มเป็นเรื่องที่จำเป็น เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้นประเด็นสำคัญของธุรกิจนี้ก็คือการลงทุนและความสามารถในการแข่งขัน อย่ามองแต่เฉพาะเพียงเงินปันผลหรือค่าพีอีที่ดึงดูดใจ เพราะแม้ปีนี้เงินปันผลจะงาม แต่ค่ายใดหากชะลอการลงทุน หรือต้องการปล่อยมือจากธุรกิจในประเทศไทย ก็อาจทำให้เสียความสามารถในการแข่งขันได้ ธุรกิจจะเปลี่ยนไปทันที และปีต่อไปก็อาจไม่ได้เห็นผลกำไรหรือเงินปันผลอีก ดังนั้น ลุงแมวน้ำคิดว่าตอนนี้ฝุ่นตลบ รอดูก่อนดีกว่า ให้สถานการณ์ชัดเจน ให้รู้แผนการของแต่ละค่ายก่อนว่าจะเอาอย่างไร จะลงทุนต่ออย่างไร จะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันอย่างไร เมื่อเห็นชัดแล้วจึงค่อยตัดสินใจเข้าลงทุนดีกว่าคร้าบ

Sunday, July 27, 2014

27/07/2014 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ บางกะเจ้า อนุรักษ์ พัฒนา เหลื่อมล้ำ และขัดแย้ง (4)



เมื่อกฎหมายผังเมืองสมุทรปราการ พ.ศ. 2556 ประกาศใช้ บางกะเจ้าก็กลายเป็นข่าวใหญ่



ในตอนที่แล้วลุงแมวน้ำพาขี่จักรยานชมเรือกสวนและตลาดน้ำในบางกะเจ้ากันไปแล้ว ในตอนนี้ลุงแมวน้ำจะพาไปชมสวนศรีนครเขื่อนขันธ์อันเป็นสวนสาธารณะที่สงบ ร่มรื่น อีกทั้งยังเป็นแหล่งดูนกและผีเสื้ออีกด้วย


ชมสวนศรีนครเขื่อนขันธ์


สวนศรีนครเขื่อนขันธ์หรือเรียกสั้นๆว่าสวนศรีฯนี้เป็นสวนสาธารณะที่มีพื้นที่ประมาณ 200 ไร่ โดยชื่อสวนศรีนครเขื่อนขันธ์นี้มีที่มาจาก นครเขื่อนขันธ์ อันเป็นชื่อโบราณของพระประแดงนั่นเอง

เมืองนครเขื่อนขันธ์นี้เป็นเมืองที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยเป็นเมืองหน้าด่านปากแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อป้องกันการรุกรานทางทะเลของข้าศึก ชนพื้นเมืองเดิมของนครเขื่อนขันธ์เป็นชาวรามัญหรือมอญที่โยกย้ายมาจากปทุมธานี ต่อมาจึงกลายมาเป็นอำเภอพระประแดงในปัจจุบัน

สวนศรีฯนี้ได้มาจากการซื้อพื้นที่สวนผลไม้เก่ามาพัฒนา ในการพัฒนาเพื่อปรับปรุงเป็นสวนสาธารณะก็ยังคงอนุรักษ์รูปแบบของร่องสวนเดิมเอาไว้ด้วย ดังนั้นสวนศรีฯนี้จึงมีลักษณะเด่นคือยังมีเค้าของเรือกสวนอยู่

นอกจากนี้ แถบนี้ยังมีนกและผีเสื้อหลายชนิด ดังนั้นสวนสาธารณะแห่งนี้จึงเป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติใกล้กรุงเทพฯอีกด้วย

เรามาชมภายในสวนศรีฯกัน ภาพมาก่อน คำบรรยายตามหลังนะคร้าบ




ทางเข้าสวนศรีนครเขื่อนขันธ์





แผนที่ภายในสวนสาธารณะ





สวนศรีฯนี้บรรยากาศดีมาก ท้องฟ้าสดใส อากาศสดชื่น ลมพัดเย็นสบาย อากาศที่นี่สดชื่นกว่าอากาศที่สวนลุมอย่างรู้สึกได้







เนื่องจากสวนสาธารณะนี้พัฒนามาจากสวนผลไม้เก่า ดังนั้นจึงยังคงมีเค้าของเรือกสวนอยู่ อย่างเช่นร่องสวนเดิม นับเป็นสวนสาธารณะที่มีภูมิทัศน์แปลกตาทีเดียว





บึงน้ำใหญ่กลางสวนศรีฯ เชื่อมต่อกับแนวร่องสวนเดิม และมีถนนกับสะพานเชื่อมโดยรอบ น่าขี่จักรยานมาก





ศาลาพักผ่อน บรรยากาศดีมาก วิวสวย ลมพัดเย็นสบาย นั่งแล้วอยากหลับสักงีบ ไม่อยากเดินต่อเลย >.<






หอชมวิว สูง 7 เมตร ใช้ชมวิวโดยรอบ รวมทั้งใช้เป็นจุดชมนก แถวนี้มีนกและผีเสื้อเยอะทีเดียว


สวนศรีนครเขื่อนขันธ์นี้เป็นจุดสุดท้ายสำหรับการท่องเที่ยวในวันหยุดของเรา หลังจากที่ลุงขี่จักรยานชมสวนเสร็จแล้วลุงก็นำจักรยานไปคืน และกลับไปที่ท่าเรือเพื่อข้ามฝั่งไปยังคลองเตย

แต่ยังก่อน เรื่องราวของบางกะเจ้ายังไม่ได้หมดลงแต่เพียงเท่านี้ กฎหมายผังเมืองสมุทรปราการฉบับใหม่ ปี 2556 ที่ประกาศใช้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา ทำให้บางกะเจ้ากลายเป็นประเด็นร้อนของคนในพื้นที่และนักอนุรักษ์ขึ้นมาทันที และถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของความขัดแย้งบนเส้นทางการอนุรักษ์และพัฒนา เรามาดูรายละเอียดกัน



ผังเมืองสมุทรปราการ 2556 ทำบางกะเจ้าร้อน


ผังเมืองสมุทรปราการ แสดงในส่วนพื้นที่กระเพาะหมูบางกะเจ้า 6 ตำบล ซึ่งกำหนดประเภทการใช้สอยไว้เป็นที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (ก.1 สีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว) และประเภทชนบทและเกษตรกรรม (ก.3 สีเขียว) และ



ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าในผังเมืองจังหวัดสมุทรปราการฉบับก่อนๆ คือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537, 2544 ก็ได้กำหนดให้พื้นที่ 6 ตำบลในอำเภอพระประแดงในส่วนกระเพาะหมู ที่เรียกรวมๆกันว่าเป็นพื้นที่บางกะเจ้านั้นเป็นพื้นที่เกษตรกรรม เพราะโดยเจตนาแต่ดั้งเดิมนั้นพื้นที่บางกะเจ้าถูกวางบทบาทและหน้าที่่ให้เป็นพื้นที่สีเขียวเพื่อเป็นปอดของกรุงเทพฯและพื้นที่ใกล้เคียง แต่ในเชิงกฎหมายหรือในเชิงวิชาการ พื้นที่่ในบางกะเจ้านั้นแบ่งย่อยเป็น 2 โซน คือ

ที่ดินประเภท ก.1 ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม สัญลักษณ์ในแผนที่ผังเมืองจะเป็นสีขาวมีเส้นทแยงสีเขียว หรือที่เรียกสั้นๆว่าพื้นที่ขาวทแยงเขียว

ที่ดินประเภท ก.3 ที่ดินชนบทและเกษตรกรรม สัญลักษณ์ในแผนที่ผังเมืองจะเป็นพื้นที่สีเขียว

ลุงแมวน้ำจะไม่ลงรายละเอียดให้ลึกนัก เอาแต่เพียงคร่าวๆว่าสองโซนนี้มีการควบคุมการใช้สอยที่ดินใกล้เคียงกัน เพียงแต่ว่าโซน ก.1 จะมีการควบคุมที่เข้มงวดกว่า มีข้อห้ามมากกว่าบ้าง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นที่ดินประเภทอนุรักษ์ ดังนั้นจึงเข้มงวดกว่า ก.3 บ้าง


ผังเมืองของบางกะเจ้า ปี 2556 ความแตกต่างอยู่ที่พื้นที่ ก.3 การใช้ประโยชน์ในกิจกรรมรอง จาก 5% เป็น 15%


ทีนี้ในกฎหมายผังเมืองนั้นกำหนดการใช้ที่ดินเอาไว้เป็นหลายประเภท ซึ่งแสดงด้วยสีต่างๆในแผนที่ผังเมือง ยกตัวอย่างเช่น ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัย (สีเหลือง ส้ม และน้ำตาล) ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม (สีแดง) ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม (สีม่วง) ที่ดินอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (สีขาวทแยงเขียว) กับที่ดินเชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) เป็นต้น

เมื่อมองในภาพกว้างก็จะเห็นว่าบางกะเจ้านั้นถูกกำหนดให้เป็นโซนเกษตรกรรม พื้นที่ส่วนใหญ่ต้องใช้ทำการเกษตร และส่วนน้อยเอาไว้ปลูกสร้างบ้านเรือน โดยไม่สามารถทำหมู่บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม หรือโรงงานอุตสาหกรรมได้

ทีนี้ประเด็นก็อยู่ตรงที่ผังเมืองสมุทรปราการใหม่ ฉบับปี 2556 ที่ประกาศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 นั้นมีการผ่อนคลายข้อกำหนดการใช้พื้นที่สีเขียว ก.3 ซึ่งจากเดิมอนุญาตให้ใช้พื้นที่ทำกิจกรรมรอง (กิจกรรมหลักคือการเกษตร ส่วนกิจกรรมรองคือการใช้สอยอื่นๆ เช่น ปลูกสร้างบ้านเรือน ฯลฯ) ได้ 5% ของพื้นที่สีเขียวทั้งหมด ก็ได้ผ่อนคลายขยายมาเป็นใช้ทำกิจกรรมรองได้ 15% ของพื้นที่สีเขียวทั้งหมด

จากคำชี้แจงของกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้ชี้แจงว่าการผ่อนคลายข้อกำหนดนี้ก็เพื่อให้คนในพื้นที่มีพื้นที่ใช้สอยปลูกบ้านพักอาศัยได้มากขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากชุมชนบางกะเจ้ามีการเติบโตขึ้น เด็กๆเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันเติบโตเป็นหนุ่มสาวและมีครอบครัว คนรุ่นใหม่เหล่านี้ต้องการพื้นที่เพื่อสร้างบ้านเรือนเพิ่มขึ้น

ปัญหาอยู่ที่ว่าผังเมืองใหม่ที่เพิ่งประกาศใช้นี้คนในชุมชนไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ผ่านการประชาพิจารณ์จากคนในชุมชน ทางภาครัฐก็บอกว่าจัดไปแล้วแต่ไม่มีชาวบ้านมาร่วมประชาพิจารณ์ ทางฝ่ายชาวบ้านก็บอกว่าจัดเมื่อไร ไม่รู้เรื่องมาก่อนเลย แอบจัดหรือเปล่า ฯลฯ

นี่เองที่ทำให้เกิดเป็นประเด็นร้อน นักอนุรักษ์ก็เริ่มออกมาช่วย สื่อมวลชนก็เริ่มให้ความสนใจและเสนอเป็นข่าวในทำนองว่าชาวบางกะเจ้ากังวลว่าผังเมืองใหม่จะซ่อนเงื่อนงำเพื่อเอื้อประโยชน์นายทุน เนื่องจากกฎหมายไม่อนุญาตให้ทำหมู่บ้านจัดสรร ก็ทำโครงการละ 9 แปลงก็ได้ รวมทั้งการทำโรงแรมขนาดเล็กก็น่าจะทำได้ด้วย รวมทั้งพื้นที่กิจกรรมรองส่วนทีเพิ่มมานั้น ใครจะเป็นผู้ได้รับการจัดสรรให้ใช้ประโยชน์ เพราะหากใครได้ส่วนนี้เท่ากับได้ลาภก้อนใหญ่


ที่ดินว่างเปล่าในบางกะเจ้าเริ่มมีการปรับปรุงสภาพที่ดิน


ประกอบกับมีบริษัทอสังหาฯรายใหญ่ให้ข่าวว่ามีที่ดินที่บางกะเจ้าหลายร้อยไร่ พร้อมทำโครงการบ้านหรูระดับไฮเอนด์ นอกจากนี้ ที่ดินว่าเปล่าขนาดใหญ่ในบางกะเจ้าเริ่มมีการปรับพื้นที่เพื่อเตรียมการก่อสร้าง เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณที่ทำให้ชาวบางกะเจ้ากังวล รวมทั้งนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งคนกรุงเทพฯที่หวงแหนปอดสีเขียว ต่างก็เริ่มกังวลด้วยเช่นกัน ว่าในที่สุดปอดของกรุงเทพฯจะค่อยๆถูกกลืนกินไปหรือว่ากลายเป็นมะเร็งไปเสียเนื่องจากถูกพัฒนา



ความหลื่อมล้ำและขัดแย้งบนเส้นทางการพัฒนา



ปัญหาการรุกรานจากความเจริญที่เกิดขึ้นในพื้นที่บางกะเจ้านั้นไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่เป็นปัญหาคลาสสิกที่เกิดขึ้นมาในทุกพื้นที่และทุกยุคสมัย ที่ใดที่ความเจริญไปถึง กระบวนการชุมชนเมือง (urbanization) ย่อมต้องดำเนินไป และความขัดแย้งระหว่างการอนุรักษ์กับการพัฒนาย่อมตามมา

หากพวกเราอ่านจากข่าว จะพบว่าผู้ที่ห่วงว่าพื้นที่สีเขียวของบางกะเจ้านี้จะถูกทำลายไปหรือพูดง่ายๆว่ากลุ่มที่มีความคิดในเชิงอนุรักษ์บางกะเจ้ามีอยู่สองกลุ่มหลัก คือ กลุ่มคนนอกพื้นที่ กับกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่ที่เป็นรุ่นบุกเบิก สองกลุ่มนี้อยากให้บางกะเจ้ารักษาวิถีแบบดั้งเดิมเอาไว้ ไม่ต้องการให้เปลี่ยนแปลง


เสียงของผู้ที่ต้องการอนุรักษ์บางกะเจ้าเอาไว้เป็นปอดสีเขียวของกรุงเทพฯ


ปัญหาหรือว่าข้อขัดแย้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ลุงแมวน้ำเห็นมาตลอดชีวิต และในทุกภูมิภาค ยกตัวอย่างเช่นทางภาคเหนือซึ่งมีชาวเขาอยู่หลายเผ่า อาศัยอยู่ตามดอยต่างๆ วิถีชีวิตของชาวเขาเมื่อสักสามสิบปีก่อน ก็เป็นไปแบบบ้านบนดอย บ่มีแสงสี บ่มีทีวี บ่มีน้ำประปา บ่มีเป๊ปซี่โคล่า เหมือนในเพลงบ้านบนดอยนั่นแหละ พอคนเมืองหรือว่าคนพื้นราบขึ้นไปเห็นก็ร้องว้าว เพราะว่าชอบใจกับวิถีชีวิตที่สงบ สมถะ และร่มเย็น แตกต่างจากชีวิตอันเร่งรีบของพวกตนอย่างมาก

หลายปีผ่านไป เมืองข้างล่างเติบโต นักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาเที่ยวบนดอยก็เริ่มบ่นว่าบนดอยนี้เปลี่ยนไป ทำไมมีเสาอากาศก้างปลา จานรับสัญญาณดาวเทียม รกรุงรังไปหมด ทำไมมีรถกระบะ มอเตอร์ไซค์บนดอยเยอะแยะ ทำไมไม่อนุรักษ์เอาไว้นะ ทำไมไปหลงไหลแสงสีเสียได้  น่าเสียดายจัง

พ่อเฒ่าแม่แก่บนดอยก็บ่นเช่นกันว่าลูกหลานไม่เอาอย่างวิถีชีวิตของตน

แต่หากไปถามเด็กๆชาวเขา เด็กเหล่านี้มีความฝันอยากไปเรียนในเมือง อยากใส่กางเกงยีนส์ อยากมีรถเครื่อง (มอเตอร์ไซค์) อยากมีโทรศัพท์มือถือ อยากมีห้องนอนสวยๆ มีเครื่องเสียงดีๆ ไม่มีใครอยากนั่งทอผ้า ปักสะดึง อยู่หน้ากระต๊อบไม้อย่างในอดีตแล้ว

เช่นเดียวกันกับที่บางกะเจ้า หากเข้าไปสังเกตการณ์ให้ละเอียด คนใชุมชนที่ต้องการวิถีอนุรักษ์นั้นส่วนใหญ่เป็นคนบางกะเจ้าในยุคบุกเบิก คือพวกในวัยเจนเอ็กซ์หรือก่อนหน้านั้น ส่วนพวกเจนวายหรือเจนมี คือเป็นคนรุ่นลูกหลาน มีความคิดแตกต่างออกไป ในขณะที่คนนอกพื้นที่ต้องการให้บางกะเจ้าเป็นปอด แต่คนหนุ่มสาวในพื้นที่อยากมีรถเก๋ง อยากมีคอนโดในเมือง อยากทำงานในเมือง อยากเดินสยามสแควร์ซื้อของสวยๆงามๆ ฯลฯ แต่การกำหนดให้บางกะเจ้าซึ่งอยู่ติด กทม เป็นพื้นที่ ก.1 กับ ก.3 ทำให้ราคาที่ดินถูกกดเอาไว้ การใช้ประโยชน์จากที่ดินหรือหาประโยชน์จากที่ดินแตกต่างจากที่ดินในกรุงเทพฯมาก การอนุรักษ์พื้นที่ปอดเอาไว้โดยที่คนกรุงเทพฯไม่ได้ตอบแทนหรือชดเชยอะไรแก่คนเหล่านี้เลย นี่เป็นความเหลื่อมล้ำประการหนึ่ง


เสียงบางส่วนที่ต้องการการพัฒนา


อีกประการ คนในพื้นที่ที่เป็นรุ่นลูกหลาน ส่วนใหญ่พอเติบโตก็แยกบ้านไปมีครอบครัว พื้นที่สวนใหญ่ของพ่อแม่ก็ต้องถูกแบ่งให้แก่ลูกหลานหลายคน กลายเป็นพื้นที่ที่เล็กลง นอกจากนี้ คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ก็ไม่เอาอาชีพทำสวนแล้ว ได้สวนมาก็อยากขายหรือทำประโยชน์อย่างอื่นจากที่ดินมากกว่า

เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน โครงการสวนกลางมหานครอนุรักษ์บางกะเจ้าไว้เป็นพื้นที่สีเขียวดำเนินการทั้งอนุรักษ์และพัฒนาท้องถิ่นควบคู่กันไป ถือได้ว่าเป็นส่วนผสมระหว่างการอนุรักษ์และพัฒนาที่ค่อนข้างสมดุล แต่มาในยุคปัจจุบัน เมื่อโลกเปลี่ยนไป ความเจริญของเมืองรอบข้างเปลี่ยนแปลงไป ดุลยภาพที่มีอยู่แต่เดิมก็เริ่มเสียไป ซึ่งไม่ใช่ความผิดของใคร เราจำเป็นต้องหาดุลยภาพใหม่ที่เป็นส่วนผสมของการอนุรักษ์และการพัฒนาที่เหมาะสมกับสภาพในปัจจุบัน

ปัญหาทำนองนี้เกิดขึ้นมาตลอดนั่นแหละ บนเส้นทางของกระบวนการเติบโตของชุมชนเมือง ในต่างประเทศ การอนุรักษ์พื้นที่ใดมักต้องให้ผลประโยชน์ชดเชย รวมทั้งต้องมีการบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์นั้น ยกตัวอย่างเช่น หากการอนุรักษ์ชุมชนแบบดั้งเดิม ก็ต้องกำหนดพื้นที่เอาไว้ไม่มากเกินไปนัก และให้คนในพื้นที่ได้ผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ ซึ่งส่วนใหญ่พื้นที่อนุรักษ์ทำนองนี้มักเป็นการอนุรักษ์แบบการจัดแสดงมากกว่า เช่น บ้านเรือนภายนอกต้องเป็นแบบเก่าดั้งเดิม แต่ข้างในจะแอบตกแต่งหรูๆก็ได้ แต่อย่าให้นักท่องเที่ยวเห็น เป็นต้น ก็เหมือนกะเหรี่ยงคอยาว เดี๋ยวนี้มีแค่คนรุ่นเก่ามาโชว์นักท่องเที่ยวสองสามคนเท่านั้น สาวๆสมัยนี้ไม่มีใครยอมใส่ห่วงให้คอยาวแล้ว เป็นต้น

ดังนั้นเรื่องการอนุรักษ์บางกะเจ้า ลุงแมวน้ำคิดว่าต้องมองด้วยใจที่เป็นธรรม คิดถึงใจเขาใจเรา หากต้องการอนุรักษ์ปอดเอาไว้ ภาครัฐควรมีแผนบริหารจัดการที่ให้คนในชุมชนได้ประโยชน์และพัฒนาได้ตามที่พวกเขาต้องการด้วย เช่น ซื้อที่ดินเอาไว้เองเพื่อทำปอด ที่ดินบางส่วนก็ทำเป็นหมู่บ้านอนุรักษ์ รองรับนักท่องเที่ยว แต่พื้นที่อื่นก็อาจต้องปล่อยให้พัฒนาตามกระแสการพัฒนาไป จะได้ลดความเหลื่อมล้ำได้ ไม่ใช่ภาครัฐเองช่วยสร้างความเหลื่อมล้ำ หากการพัฒนาไปเพิ่มความเหลื่อมล้ำ ความขัดแย้งย่อมต้องตามมา และบานปลายไม่สิ้นสุด