Tuesday, May 14, 2013

14/05/2013 * รถไฟสายดาวโจนส์ 19000 และสรุปตลาดในรอบสัปดาห์ (06/05/2013 - 10/05/2013)


สัปดาห์ที่ผ่านมา 06/05/2013 ถึง 10/05/2013 ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนมาก ทั้งนี้เพราะสงครามค่าเงิน รวมทั้งเงินบาทก็ผันผวนหนักไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ก่อนที่จะไปดูเรื่องค่าเงิน เราไปดูสถานการณ์ในโลกเศรษฐกิจควบคู่ไปกับตลาดหุ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมากันเสียก่อน

ทางฝั่งยุโรป สัปดาห์ที่แล้วตัวเลขเศรษฐกิจก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ยอดการค้าปลีกในเดือนมีนาคมหดตัวลงเป็นเดือนที่สอง ยิ่งสะท้อนถึงความถดถอยของกลุ่มยุโรป อัตราเงินเฟ้อของยุโรปยังต่ำอยู่ ดังนั้นธนาคารกลางของยุโรปยังสามารถลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก สถานการณ์อัตราดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ทำให้มีแรงเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยง ดังนั้นแม้ว่าภาคเศรษฐกิจจริงจะยังไม่มีความคืบหน้า แต่ว่าตลาดหุ้นในกลุ่มยุโรปปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะตลาดหุ้นกรีซกับอิตาลีปรับตัวขึ้นแรง

ทางด้านสหรัฐอเมริกา ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆเริ่มดีขึ้น ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาก็ทยอยประกาศออกมา หุ้นมาร์เก็ตแคบสูงในกลุ่ม S&P 500 มีผลประกอบการดีกว่าที่คาด

นอกจากนี้เฟดหรือธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาเริ่มพูดถึงเรื่องการวางแนวทางในการเลิกโครงการ QE3 กันแล้ว โดยประเด็นก็คือต้องมีตัวชี้วัดและขั้นตอนปฏิบัติในการค่อยๆลดการอัดฉีดลงอย่างชัดเจน ว่าจะลดอย่างไร ลดเมื่อไร และลดเท่าไร เพื่อให้ตลาดทุนรับรู้ล่วงหน้าเพื่อให้มีเวลาปรับตัว ป้องกันไม่ให้ตลาดทุนเกิดความตื่นตระหนก

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นของฝั่งอเมริกาเหนือ คือ สหรัฐเมริกาและแคนาดาปรับตัวขึ้นประมาณ 1% กว่าๆ ส่วนฝั่งอเมริกาใต้ส่วนใหญ่ปรับตัวลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะตลาดหุ้นอาร์เจนตินาที่ผันผวนมาพักหนึ่งแล้ว

ทางฝั่งเอเชีย ตัวเลขการส่งออกของจีนขยายตัวดีกว่าที่คาด คือขยายตัว 14.7% ธนาคารกลางของหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย เกาหลี อินเดีย ฯลฯ ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นในย่านเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น บางตลาดขึ้นแรง เช่น ญี่ปุ่น (+6.7%)

ทางด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ในสัปดาห์ที่แล้วสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ปรับตัวลง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพลังงาน โลหะ สินค้าเกษตร มีเพียงบางชนิดเท่านั้นที่ปรับตัวขึ้นได้ เช่น ทองแดง กาแฟ ถั่วเหลือง ฯลฯ ส่วนน้ำมันดิบ ทั้งเบรนต์และเวสต์เทกซัสปรับตัวขึ้นลงเพียงเล็กน้อย แต่สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางคือระหว่างอิสราเอลและซีเรียยังมีประเด็นอยู่ อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบขึ้นหรือลงแรงได้

ราคาทองคำผันผวนตามอัตราแลกเปลี่ยน รวมแล้วปรับตัวลดลงประมาณ -1.9% ตลอดสัปดาห์

ด้านอัตราแลกเปลี่ยน อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์ที่แล้วค่อนข้างหวือหวา การประชุมของกลุ่ม จี 7 ในสัปดาห์ที่แล้วไม่ได้มีการทัดทานการแทรกแซงค่าเงินเยนของญี่ปุ่น เมื่อไม่ห้ามก็แปลว่าไฟเขียว ดังนั้นหลังการประชุมจี 7 เงินเยนก็อ่อนค่าหนัก เงินยูโรอ่อนค่าตามไปด้วย ส่วนดอลลาร์ สรอ แข็งค่า

เงินเยนและยูโรซึ่งก่อนหน้านี้ก่อตัวเป็นรูปแบบทางเทคนิคส่อไปในทางแข็งค่า กลับทิศเป็นอ่อนค่าอย่างฉับพลัน ประกอบกับธนาคารกลางของหลายประเทศในเอเชียแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนร่วมกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ค่าเงินสกุลเอเชียค่อนข้างผันผวน เงินบาทก็ผันผวนเช่นกัน

ทางด้านตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐอเมริกา ในสัปดาห์ที่แล้ว กราฟอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันปรับตัวขึ้นเกือบตลอดทั้งเส้น หมายความว่ามีแรงขายพันธบัตร ซึ่งน่าจะเป็นการย้ายเงินลงทุนจากตลาดพันธบัตรเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่า


ทีนี้มาดูตลาดของไทยกันบ้าง ในสัปดาห์ที่แล้วมีเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นประเด็นที่ฝ่ายการเมืองกดดัน ธปท. อยู่ แต่ในที่สุดก็ยังไม่มีมาตรการพิเศษอะไรออกมาเนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าลงพอดี

ทางด้านตลาดหุ้นไทย สัปดาห์ที่แล้วเดินหน้าขึ้นต่อ ผลประกอบการไตรมาส 1 ที่ทยอยประกาศออกมา หุ้นในกลุ่มสื่อสาร พาณิชย์ ฯลฯ ผลงานดีกว่าคาด ดัชนี SET ปรับขึ้น +2.8% ส่วนดัชนี SET50  +3.2% แปลว่าหุ้นมาร์เก็ตแคปสูงหรือหุ้นฝรั่งเป็นตัวนำตลาด หุ้นในกลุ่ม SET50 เกิดสัญญาณซื้อไปแล้ว 35 ตัว

ทางด้านตราสารหนี้ไทย สัปดาห์ที่แล้วมีแรงซื้อเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ มูลค่าการซื้อขายตราสารหนี้เฉลี่ยถึงวันละ 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งมากขึ้นกว่าสัปดาห์ก่อนหน้า เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Thai Gov yield curve) ปรับตัวลดลงตลอดทั้งเส้น โดยเฉพาะลดลงมากหน่อยในกลุ่มตราสารอายุไม่เกิน 1 ปี หมายความว่ามีเงินไหลเข้ามาในตลาดพันธบัตรและซื้อพันธบัตรระยะสั้นไม่เกิน 1 ปีกันมากขึ้น

ลุงแมวน้ำใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค ยังมองเช่นเดิมว่าตลาดหุ้นไทยในคลื่นนี้เป็นคลื่นใหญ่ 5 ดังนั้นรถไฟสาย 1700 ยังเดินหน้าต่อไป ที่จริงลุงแมวน้ำไม่ได้มองเพียง 1700 จุด เพียงแต่ว่าตัวเลข 1700 มันกลมๆดี ที่จริงมองไว้เกินกว่า 1764 จุดซึ่งเป็นยอดคลื่น 3 เดิม

เรามาดูกราฟกัน ในกราฟแต่ละรูปลุงแมวน้ำจะมีคำอธิบายเพิ่มเติมด้วย



ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ยังขึ้นต่อได้อีกมาก ตอนนี้เพิ่งผ่านพ้นยอดคลื่น 3 มาได้ไม่นาน ตลาดยังกล้าๆกลัวๆอยู่ แต่เริ่มมีเงินย้ายจากตลาดตราสารหนี้เข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้นแล้ว ต่อไปจะแรงกว่านี้อีก รถไฟสายดาวโจนส์ หรือรถไฟสาย DJI นี้ลุงแมวน้ำประเมินว่าไปได้ถึง 19,000 จุด ดังนั้นจึงเรียกว่า
รถไฟสาย DJI 19000



สำหรับตลาดหุ้นไทย เป็นรถไฟสาย 1700 (ที่จริงคือ 1764) หลังจากนั้นยังอาจไปต่อได้อีก ตอนนี้เงินยังกระจุกอยู่ในตลาดพันธบัตรอยู่ แต่เมื่อไรที่เงินเหล่านี้ย้ายเข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น ตลาดหุ้นไทยก็จะเดินหน้าต่อไปได้อีก ตอนนี้เราก็เริ่มเห็นกันแล้วว่าเดิมฝรั่งทยอยขาย ตอนนี้กลับมาเป็นทยอยซื้อแล้ว



ราคานำมันดิบ เริ่มก่อตัวเป็นรูปแบบขาขึ้น แต่ยังไม่ค่อยมีแรง รอดูไปอีกหน่อยหนึ่ง



สินค้าเกษตรมีแนวโน้มว่าจะกลับทิศเป็นขาขึ้น แต่ยังไม่ชัด ก็ต้องรอดูไปอีกเช่นกัน 



ราคายางพารา น่าจะกลับทิศเป็นขาขึ้นแล้ว ปัจจัยส่วนหนึ่งเกิดจากเงินเยนอ่อนค่า อีกส่วนหนึ่งเกิดจากจีนมีการสั่งซื้อยางเข้าไปสำรองในสต็อกเพิ่มขึ้น 



ค่าเงินดอลลาร์ สรอ ภาพนี้คือดัชนีดอลลาร์ สรอ (USD index) เดิมทีทำแนวโน้มขาลง คือดอลลาร์อเมริกันมีแนวโน้มอ่อนค่า แต่เพียงไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ตัดทะลุเส้นแนวโน้มขาลงขึ้นไป ตอนนี้กลายเป็นว่าดอลลาร์อเมริกันมีแนวโน้มแข็งค่าแล้ว 



เงินยูโร เดิมทีมีแนวโน้มแข็งค่า แต่จู่ๆก็ลงแรงและเกิดสัญญาณขาย เริ่มก่อตัวเป็นแนวโน้มอ่อนค่า


ค่าเงินเยน วิ่งอยู่ในกรอบสามเหลี่ยมชายธงและตัดลงมาข้างล่าง แนวโน้มอ่อนค่า



อัตราแลกเปลี่ยนของเงินสกุลต่างๆและทองคำในเชิงเปรียบเทียบ จะเห็นว่าเงินสกุลต่างๆรวมทั้งทองคำมีแนวโน้มอ่อนค่า และเป็นการอ่อนค่าแบบผันผวน


ในประเด็นอัตราแลกเปลี่ยน จากกราฟคงเห็นแล้วว่าอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนมากในสัปดาห์ที่แล้ว เงินเยนกับยูโรพลิกผัน เดิมทำท่าจะแข็งค่า กลายเป็นอ่อนค่า ส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนสกุลอื่นๆและทองคำด้วย ขณะนี้แนวโน้มของเงินดอลลาร์อเมริกันแข็งค่า ส่วนเงินเยน ยูโร แนวโน้มอ่อนค่า และเงินสกุลอื่นๆรวมทั้งเงินบาทก็มีแนวโน้มอ่อนค่าด้วย แต่เป็นการอ่อนค่าแบบผันผวน รวมทั้งราคาทองคำก็จะผันผวนด้วยเช่นกัน

ความผันผวนแบบนี้เทรดยาก ลุงแมวน้ำแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการเทรดค่าเงินและทองคำไปก่อน พวกที่ใช้สัญญาณรายวัน (eod) เทรดไม่ทันกินหรอก เงินลงทุนจะโดนโดนสัญญาณหลอก (false signal) เอาไปกินหมด เทรดหุ้นสบายใจกว่า

หากจะเทรดจริงๆต้องใช้กรอบเวลาสั้นลง ทำเป็น intraday trade หรือนั่งเฝ้าจอเทรดนั่นเอง



 photo s5014052013weeklyreportcopy.gif




Friday, May 10, 2013

10/05/2013 * แนวคิดในการเฟ้นหาหุ้นเด่น (4) ตัดตัวเลือกด้วยปัจจัยพื้นฐาน


บทความตอนนี้เป็นตอนที่ 4 ของชุด แนวคิดในการเฟ้นหาหุ้นเด่น หรือว่าหุ้นในดวงใจ ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือขั้นแรก สแกนหุ้นทั้งหมด เลือกหุ้นที่อ่อนกว่าตลาดบ้างไปจนถึงหุ้นที่แรงกว่าตลาดบ้าง ถือว่าเป็นหุ้นที่มีศักยภาพ พวกหุ้นที่อ่อนกว่าตลาดมากๆหรือแรงกว่าตลาดมากๆเราไม่เอา

ขั้นที่สองก็เอาหุ้นที่ผ่านการคัดเลือกในกลุ่มแรกมาตัดให้เหลือตัวเลือกน้อยลงด้วยปัจจัยทางเทคนิค นั่นคือ การคัดหุ้นด้วยการดูกราฟทางเทคนิคนั่นเอง เราเลือกเอาหุ้นที่รูปแบบกราฟเป็นแบบพื้นฐาน ไม่ซับซ้อน และเพิ่งเริ่มเข้าคลื่น 3 หรือเพิ่งเริ่มเข้าคลื่น 5

ขั้นที่ 3 เอาหุ้นที่ผ่านการคัดเลือกในรอบที่ 2 มาตัดตัวเลือกให้เหลือน้อยลงไปอีก ด้วยข้อมูลปัจจัยพื้นฐาน จนเหลือเป็นหุ้นในดวงใจในที่สุด

ความเดิมจากตอนที่แล้ว เราทำงานกันมาแล้ว 2 ขั้น ผลจากขั้นที่สองเราได้หุ้นมา 5 ตัว เพื่อส่งเข้าประกวดในรอบที่ 3 นั่นคือ TTA, SVI, THAI, TOP, SCC

เอาละคร้าบ คราวนี้เรามาดูการคัดเลือกในขั้นที่ 3 กันได้เลย



การเฟ้นหาหุ้นเด่นขั้นที่ 3 ตัดตัวเลือกด้วยปัจจัยพื้นฐาน


เนื่องจากลุงแมวน้ำเป็นนักลงทุนที่ใช้ปัจจัยทางเทคนิคเป็นหลัก พูดง่ายๆคือเป็นสายปัจจัยทางเทคนิค ดังนั้นการใช้ข้อมูลปัจจัยพื้นฐานมาประกอบนั้น ลุงจึงเลือกใช้ข้อมูลทางงบการเงินของกิจการเพียงไม่กี่ประเด็นเท่านั้น ไม่ถึงกับแกะงบดุลดูในรายละเอียด หรือต้องไปคำนวณอะไรให้วุ่นวาย รวมทั้งข้อมูลต้องหาดูได้ง่าย เพื่อความสะดวกในการหาข้อมูลมาพิจารณา 

ขอมูลพื้นฐานที่ลุงแมวน้ำใช้ก็นำมาจากข้อมูลที่เผยแพร่โดยตลาดหลักทรัพย์นั่นเอง ลุงใช้แค่นี้ก็พอแล้ว 

เข้าไปที่ www.set.or.th จากนั้นคลิกไปที่เมนูดังในภาพต่อไปนี้




คลิกไปที่ข้อมูลรายบริษัท/หลักทรัพย์ จากนั้นก็จะมีรายชื่อหุ้นให้เลือก ก็เลือกรายชื่อหุ้นที่เราต้องการ จากนั้นข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนหรือว่าหุ้นที่เราต้องการจะปรากฏขึ้นมา คลิกไปที่แท็ป งบการเงิน/ผลประกอบการ เพื่อดูตัวเลขทางการเงินที่สำคัญบางรายการ

มาดูกันว่าปัจจัยพื้นฐานที่ลุงแมวน้ำใช้มีอะไรบ้าง


1. ส่วนของผู้ถือหุ้นต้องไม่ติดลบ 





ข้อมูลทางการเงินที่สำคัญที่ตองดูก่อนเป็นอย่างแรกในงบการเงินก็คือ ส่วนของผู้ถือหุ้น คำว่าส่วนของผู้ถือหุ้นนี้หมายถึงทุนที่ผู้ถือหุ้นใส่ลงไปนั่นเอง (ไม่รวมทรัพย์สินของกิจการที่เป็นเงินกู้ต่างๆ)

หากส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบเมื่อไร ก็แสดงว่ามีการขาดทุนสะสมมากจนเกินทุน หมายถึงว่าขาดทุนจนเกินกว่าทุนที่ใส่ลงไป หรือขาดทุนจนล้นพ้นตัว หากเลิกกิจการขึ้นมา ทรัพย์สินต่างๆที่บริษัทมีอยู่ ส่วนใหญ่มักต้องเอาไปขายใช้หนี้คืนเจ้าหนี้จนหมด มักไม่มีเหลือมาคืนผู้ถือหุ้น ดังนั้นกิจการใดที่มีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ หรือว่าดูงบการเงินหลายปีติดต่อกัน ดูแล้วส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงเรื่อยๆจนมีแนวโน้มว่าจะติดลบได้ ก็ไม่ควรเข้าลงทุนในหุ้นนั้นเป็นอันขาด

ภาพข้างบนเป็นตัวอย่างของงบการเงินที่แสดงส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ ปี 52 ส่วนของผู้ถือหุ้นเริ่มร่อแร่ พอปี 53 ก็ติดลบ ปี 54 ยิ่งติดลบหนัก 

หุ้นตัวนี้ท้ายที่สุดก็หยุดดำนินกิจการไป และตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมายห้ามซื้อขาย ใครถือหุ้นอยู่ก็ถูกขังลืม


2. กำไรสุทธิต่อหุ้นต้องดีวันดีคืน

ข้อมูลทางการเงินนี้สำคัญ เพราะธุรกิจที่น่าลงทุนคือธุรกิจที่มีกำไร หากธุรกิจขาดทุนเราจะไปลงทุนทำไม ดังนั้นการดูกำไรสุทธิต่อหุ้นติดต่อกันหลายปีจะช่วยบอกความสามารถในการทำกำไรของกิจการ หากดีวันดีคืนก็แสดงว่ากิจการนี้ก้าวหน้าไปได้ดี หากกำไรสุทธิต่อหุ้นน้อยลงทุกปี หรือถึงกับติดลบ (คือขาดทุน) ก็ไม่น่าลงทุน หรือหากอยากลงทุนก็ต้องมีเหตุผลที่ดีพอว่าทำไมกิจการมีผลขาดทุนแล้วจึงน่าลงทุน


3. ดูค่า P/E ปัจจุบัน ต้องไม่เว่อ 

ค่าพีอี (P/E, price per earning ratio) คือสัดส่วนของราคาหุ้นกับกำไรสุุทธิต่อหุ้น เป็นตัวเลขที่สำคัญที่ผู้ลงทุนควรทราบ เพราะค่า P/E นั้นบ่งชี้ว่าราคาหุ้นตัวนั้นแพงเว่อเพียงใดเมื่อเทียบกับผลกำไรที่บริษัททำได้ ปกติเราใช้ค่าพีอีเทียบกับพีอีของตลาดหุ้น หรือค่าพีอีของหุ้นตัวนั้นเทียบกับค่าพีอีของหุ้นตัวอื่นที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน เพื่อเปรียบเทียบว่าอะไรแพง อะไรถูก 

หลักในการดูง่ายๆก็คือ หากค่า P/E ของหุ้นหากต่ำกว่า 10 ถือว่าถูก หากอยู่ในช่วง 10 ถึง 15 ก็ถือว่าปานกลาง ไม่แพง หากพีอีอยู่ในช่วง 15 ขึ้นไปถึง 30 ก็ถือว่าแพง แต่ทั้งนี้ ต้องดูศักยภาพในการทำกำไรหรือแนวโน้มธุรกิจของหุ้นตัวนั้นด้วย หากหุ้นตัวนั้นมีอนาคตที่สดใส ระดับพีอีที่ 15 ถึง 30 ก็ยังพิจารณาลงทุนได้

หุ้นที่มีพีอีเกินกว่า 40 ลุงแมวน้ำถือว่าแพงเว่อแล้ว แพงเกินเลยศักยภาพในการทำกำไรไปมาก ไม่น่าเข้าลงทุน กรณียกเว้นก็มีอยู่บ้าง อย่างเช่นบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจ และคาดหวังผลกำไรที่เพิ่มมากขึ้นอย่างมากมาย แต่ข้อยกเว้นนี้มีโอกาสเกิดน้อย ส่วนใหญ่หุ้นที่มีพีอีเกิน 40 จะเกิดจากการเก็งกำไรอย่างเลยเถิดมากกว่า 


4. ดูค่า P/BV ปัจจุบัน ต้องไม่สูง

ค่าพีบี (P/B หรือ P/BV, price per book value ratio) เป็นตัวเลขการเงินที่สำคัญตัวหนึ่งที่ผู้ลงทุนควรสนใจ ตัวเลขนี้สะท้อนถึงราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีของกิจการนั้น คิดง่ายๆว่าในกรณีเลวร้ายที่บริษัทเลิกกิจการ หากมีการขายทรัพย์สินแล้วเอาเงินมาเฉลี่ยคืนผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นจะได้เงินคืนสักเท่าไรกัน ความหมายของค่า P/BV ก็คือทำนองนี้

ลุงแมวน้ำดูง่ายๆ หากค่าพีบีต่ำกว่า 1 ถือว่าหุ้นมีราคาถูก ค่าระหว่าง 1 ถึง 2 ถือว่าปานกลาง หากเกิน 2 ก็เริ่มแพงแล้ว 

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ต้องเข้าใจว่าค่า P/BV สะท้อนให้เห็นราคาหุ้นเทียบกับมูลค่าทางบัญชี แต่ไม่ได้สะท้อนความสามารถในการทำกำไรของกิจการ ดังนั้นเราไม่ควรตัดสินใจเลือกหุ้นจากค่า P/BV ต่ำเพียงปัจจัยเดียว ใช้ดูประกอบเท่านั้น เพราะหุ้นที่มีค่าพีบีต่ำอาจมีความสามารถทำกำไรต่ำก็ได้ หากซื้อไปราคาหุ้นก็แป้ก ไม่ไปไหน ค่าพี่บีต่ำก็ไม่มีประโยชน์  


5. ค่า ROA ดูเทียบระหว่างหุ้นในธุรกิจเดียวกัน

ค่า ROA ย่อมาจาก return on asset หมายถึงสัดส่วนระหว่างกำไรสุทธิกับมูลค่าสินทรัพย์ เป็นการดูความสามารถในการใช้สินทรัพย์ของกิจการเพื่อก่อให้เกิดรายได้ ปกติเรามักใช้ใช้ ROA เปรียบเทียบระหว่างหุ้นในธุรกิจเดียวกัน 

หากค่า ROA ต่ำมักสะท้อนว่ากิจการมีสินทรัพย์ที่จมอยู่โดยไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของกิจการ เวลาลุงแมวน้ำดูค่านี้ก็มักเทียบกับหุ้นตัวอื่นในกิจการเดียวกัน หากไม่มีหุ้นตัวอื่นให้เปรียบเทียบ ลุงก็ไม่ค่อยได้ใช้ค่านี้นัก 


เอาละ ทีนี้เราลองมาดูตัวอย่างการนำไปใช้งานจริงกันบ้าง 


กรณีศึกษา ผู้เข้าประกวดรอบ 3 หุ้น TTA


หุ้นที่เราส่งเข้าประกวดในรอบ 3 มี TTA, SVI, THAI, TOP, SCC ลุงแมวน้ำเลือก TTA มาดูกันก่อนละกัน

หุ้น TTA เป็นหุ้นธุรกิจเดินเรือ อยู่ในกลุ่ม SET 100 เราก็เข้าไปที่ www.set.or.th ดูข้อมูลของหุ้น TTA ว่าลักษณะการทำธุรกิจเป็นอย่างไร มีเรื่องราวหรือสตอรี่อะไรบ้าง จากนั้นก็เข้าไปดูงบการเงิน

มาดูที่งบการเงินกัน




ส่วนของผู้ถือหุ้นหลายปีติดต่อกันก็ไม่มีติดลบ รวมทั้งยังไม่มีแนวโน้มจะติดลบ 

กำไรสุทธิต่อหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปี จนปีล่าสุดติดลบ คือผลประกอบการขาดทุน ผลประกอบการดูไม่ค่อยดีเท่าไร

ค่า P/E ปี 2552 พอใช้ได้ แต่มาปี 2554 พีอีมีค่าเป็น 100 ถือว่าสูงมาก แสดงว่าเก็งกำไรกันสุดๆ ส่วนปี 2555 ไม่มีค่าพีอีเพราะผลประกอบการขาดทุน (ต้องมีกำไรถึงจะมีค่าพีอี) ปัจจุบันก็ไม่มีค่าพีอี

ด้านค่าพีบีหรือพีบีวี ค่าต่ำกว่า 1 มาโดยตลอดหลายปี คือมีสินทรัพย์อยู่เยอะ นี่สะท้อนว่าสินทรัพย์มากแต่นำเอาไปสร้างรายได้ไม่ได้ เมื่อดูค่า ROA ที่ลดลงทุกปีจนติดลบประกอบก็ยิ่งย้ำความสามารถในนำสินทรัพย์ไปหารายได้ กรณีนี้เป็นตัวอย่างที่ว่าค่า P/BV แม้จะต่ำ ดูดี แต่ก็ไม่ค่อยน่าสนใจเข้าลงทุน เพราะกิจการไม่ทำกำไร

ลุงแมวน้ำมีข้อมูลพิเศษอีกชุดหนึ่ง ข้อมูลนี้แล้วแต่กรณี หาได้ก็ใช้ หาไม่ได้ก็ไม่ใช่ กรณีหุ้นสายการเดินเรือนี้ลุงแมวน้ำดูดัชนีบอลติกดรายอินเดกซ์ (Baltic Dry Index) ซึ่งเป็นดัชนีค่าระวางการเดินเรือสากล สามารถสะท้อนสภาพธุรกิจการเดินเรือได้ มาพิจารณาประกอบ


ค่าระวางตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ยังย่ำอยู่กับที่ ไม่ได้ไปไหน แสดงว่าแนวโน้มการขนส่งทางเรือยังไม่ฟื้นตัว

ทีนี้ก็มาดูกราฟราคาหุ้นในปัจจุบันกันบ้าง 


หุ้น TTA ราคาในปัจจุบันอยู่ที่ 18.1 บาท รูปแบบทางเทคนิคในปัจจุบันก็ไม่เอื้ออำนวยให้เข้าลงทุน เพราะหากเข้าคลื่น 3 แล้วจริง ราคาควรผ่าน 28.9 ไปแล้ว หรืออย่างน้อย ควรผ่าน 20.7 บาทไปก่อน

สรุปว่าจากการพิจารณาปัจจัยพื้นฐาน ประกอบกับปัจจัยทางเทคนิค ณ ราคาปัจจุบัน และแนวโน้มของการเดินเรือของสากลที่ยังไม่ฟื้นตัว ลุงแมวน้ำคิดว่าหุ้นตัวนี้ไม่ผ่านรอบ 3 คือให้ตกรอบ 3 ไป


กรณีศึกษา ผู้เข้าประกวดรอบ 3 หุ้น THAI

มาดูกรณีศึกษาหุ้นอีกตัวหนึ่งกัน ลุงแมวน้ำเลือกหุ้น THAI การบินไทย รักคุณเท่าฟ้า ผู้ประกอบธุรกิจสายการบิน หุ้น THAI นี้อยู่ในกลุ่ม SET 50 

มาดูงบการเงินกันก่อน


ส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ติดลบและยังไม่มีแนวโน้มว่าจะติดลบ

ด้านกำไรสุทธิต่อหุ้น ปี 52, 53 มีกำไร ส่วนปี 54 ขาดทุนนิดหน่อย ปี 55 กลับมามีกำไร แต่ยังไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน

ค่า P/E ทำไมบางปีไม่มีก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ไม่ได้ขาดทุน แต่ P/E ณ ปัจจุบัน 11.04 เทียบกับ P/E ของตลาดหุ้น SET ปัจจุบันที่ 18 กว่าๆ ถือว่าเป็นหุ้นที่ P/E ยังต่ำอยู่

ค่า P/BV ปัจจุบัน 1.0 ก็ใช้ได้ ถือว่าปานกลาง

มาดูข้อมูลพิเศษกัน ดูกราฟต่อไปนี้



กราฟที่เห็นนี้คือ Global Airline Index หรือดัชนีสายการบินในภาพรวมระดับโลก จะเห็นว่าค่าดัชนีสายการบิน ปี 2009 (2552) กับ 2010 (2553) ธุรกิจสายการบินในภาพรวมทั่วโลกเริ่มมีการฟื้นตัว และมาร่วงในปี 2011 (2554) ซึ่งเป็นปีที่การบินไทยมีผลประกอบการขาดทุน ส่วนปี 2013 นี้ดัชนีพุ่งแรงเพราะอยู่ในคลื่น 3 

จะเห็นว่า THAI มีผลประกอบการเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดโลก ปีไหนตลาดโลกดีก็ดีด้วย ปีไหนตลาดโลกแย่ก็แย่ด้วย

ทีนี้ก็มาดูกราฟราคาหุ้น THAI ณ ปัจจุบันกัน




 จากภาพ จะเห็นว่ากราฟ THAI เข้าสู่คลื่น 3 แล้ว เพราะผ่านยอดคลื่น 1 ที่ประมาณ 27 บาทมาได้แล้ว ซึ่งรูปแบบกราฟสอดคล้องกับรูปแบบของ Global Airline Index

พิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยแนวโน้มธุรกิจ ปัจจัยทางเทคนิค ลุงแมวน้ำให้ THAI เป็นหุ้นที่ผ่านรอบ 3 ได้


ลุงแมวน้ำยกตัวอย่างมาให้ดูเป็นกรณีศึกษาเพียง 2 หุ้น แต่เชื่อว่าน่าจะพอได้แนวทางในการนำแนวคิดเหล่านี้ไปเลือกหุ้นในดวงใจของแต่ละคน

ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางในการเลือกหุ้นที่ลุงแมวน้ำใช้ คือใช้ปัจจัยทางเทคนิคเป็นหลัก ประกอบด้วยปัจจัยพื้นฐาน ผสมด้วยแนวโน้มในระดับตลาดโลก หวังว่าผู้อ่านคงนำไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ในการลงทุนได้