Monday, August 22, 2011

19/08/2011 * การลงทุนในคลื่นเศรษฐกิจ C (2)


วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,069.20 จุด ลดลง 19.89 จุด ต่างชาติขายสุทธิ 6,388 ล้านบาท

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย GLOW, SCCC และมีสัญญาณซื้อ LH ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 23 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อโลหะถั่วเหลือง (S) เนื่องจากลุงแมวน้ำปรับมุมมองสินค้าเกษตรเป็นแนวโน้มขาลงแล้ว สัญญาณซื้อครั้งนี้จึงไม่ได้เปิดสัญญาซ์้อ เพียงผิดสัญญาณขายไปเท่านั้น

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดย่านเอเชีย ยุโรป และอเมริกาปิดแดงเกือบทั้งหมด ดัชนีร่วงลงมามากบ้างน้อยบ้าง ตั้งแต่ประมาณ -1% ถึง -6% ที่ลงแรงเป็นตลาดในทวีปเอเชีย ได้แก่ เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และไต้หวัน ฯลฯ

ระยะหลังนี้ตลาดหุ้นผันผวน ลุงแมวน้ำจึงปรับปรุงรายงานใหม่ เพิ่มตัวชี้วัดเข้าไปอีกตัวหนึ่ง นั่นคือ Volatility index (vi) หรือดัชนีที่ใช้ชีวัดความผันผวนของราคา ค่า vi นี้ดูได้จากรายงาน ในคอมลัมน์ที่อยู่ติดกับคอลัมน์ CODE ค่า vi นี้ลุงแมวน้ำดัดแปลงจากค่า average true range (ATR) ซึ่งใช้วัดความผันผวนของราคา วิธีดูก็คือ หากค่า vi นี้ต่ำกว่าหรือเท่ากับ 1.5% ก็ถือว่าราคาไม่ผันผวน หากค่า vi มากกว่า 1.5 จนถึง 1.9 ถือว่าเริ่มผันผวนบ้างแล้ว ควรระวัง

หาก vi มากกว่าหรือเท่ากับ 2.0 แสดงว่าตลาดผันผวนค่อนข้างมาก ยิ่งค่ามากขึ้นเท่าไร ความผันผวนก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และตลาดยิ่งผันผวนโอกาสที่จะเกิดสัญญาณหลอกหรือเข้าผิดทางก็ยิ่งมีสูง ดังนั้นสรุปว่าหากค่า vi มากกว่า 2 ก็ควรระวังไว้ให้มาก

ขณะนี้ตลาดหุ้นในยุโรป สหรัฐอเมริกา รวมทั้งตลาดสำคัญในเอเชีย เช่น หั่งเส็ง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ล้วนแต่กลับทิศเป็นแนวโน้มขาลงไปแล้ว ส่วนดัชนีตลาดของประเทศไทยยังปรับตัวลงไม่มากนัก สัญญาณกลับทิศยังไม่ชัด แต่ลุงแมวน้ำประเมินว่าสุดท้ายก็หนีแนวโน้มรวมไม่พ้น

ในสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาและยุโรปน่าจะปรับตัวลงต่อ ดังนั้นเป็นไปได้ว่าในสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยอาจปรับตัวลงแรงและกลับทิศเป็นแนวโนมขาลงในที่สุด



การลงทุนในคลื่นเศรษฐกิจ C (2)


ลุงแมวน้ำมองภาพเศรษฐกิจว่าอยู่ในคลื่นใหญ่ C อันเป็นมุมมองด้านเทคนิค ทีนี้ลองมาดูในมุมมองด้านปัจจัยพื้นฐานหรือการพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจจริงดูบ้างว่าพอจะมีเหตุผลใดมาสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวหรือไม่ โดยปกติแล้วลุงแมวน้ำนำปัจจัยพื้นฐานมาพิจารณาประกอบบ้างเพื่อดูความสอดคล้องกัน หากสอดคล้องกันมากก็เป็นน้ำหนักที่สนับสนุนการประเมินจากปัจจัยทางเทคนิค


มุมมองด้านปัจจัยพื้นฐาน

ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ราวเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา สื่อมวลชนให้ความสนใจกับปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปมากขึ้น สังเกตได้จากข่าวสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจในยุโรปถูกนำเสนออย่างต่อเนื่องเป็นประจำ โดยเน้นที่ปัญหาหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศ PIIGS (โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ และสเปน) ต่อมาก็มาจับประเด็นที่ประเทศกรีซว่าจะสามารถขอรับเงินกู้งวดใหม่จากธนาคารกลางของยุโรปกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เพื่อบรรเทาปัญหาการเงินเฉพาะหน้าได้หรือไม่ ตลาดหุ้นทั่วโลกก็เริ่มผันผวนตั้งแต่นั้นมา และเริ่มจับตากันเป็นรายวันว่าปัญหาการเงินเฉพาะหน้าของกรีซจะแก้ไขลุล่วงไปได้หรือไม่

เมื่อปัญหาของกรีซผ่านไป สื่อมวลชนก็มาจับตาปัญหาหนี้สาธารณะของอิตาลีและสเปนเป็นรายถัดไป นำเสนอข่าวรายวันอย่างต่อเนื่อง ตลาดหุ้นในยุโรปผันผวนมากยิ่งขึ้น

ต่อมาสื่อมวลชนก็มาจับตาการผ่านกฎหมายเพื่อขยายเพดานหนี้ของสหรัฐอเมริกาเพื่อไม่ให้ผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรรัฐบาล อันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ช่วงนี้ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาผันผวนมากขึ้น เพราะแม้จะใกล้เส้นตายของการชำระหนี้แล้วฝ่ายการเมืองก็ยังตกลงกันไม่ได้เสียที จนท้ายที่สุดสหรัฐอเมริกาก็สามารถขยายเพดานหนี้ได้ชนิดที่เรียกว่าในนาทีสุดท้าย แต่ปัญหาก็ยังไม่หมดไป เพราะหลังจากนั้นบริษัทจัดอันดับเครดิตเอสแอนด์พีได้ลดอันดับเครดิตของพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันลงหนึ่งขั้น จาก AAA เป็น AA+ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาจึงผันผวนต่อไปแทนที่จะสงบลง

ที่ลุงแมวน้ำเล่ามานี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าความผันผวนของตลาดหุ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเป็นผลทางจิตวิทยาต่อข่าวรายวันเสียมากกว่า ยิ่งข่าวรายวันมีความหวือหวามากตลาดหุ้นก็ยิ่งผันผวนสูง เมื่อตลาดหุ้นผันผวนสูง ข่าวรายวันก็ยิ่งมีสีสัน กระทบกันเป็นงูกินหางเช่นนี้ไปเรื่อยๆ แต่ในการพิจารณาของลุงแมวน้ำนั้นไม่ได้ใช้มุมมองจากข่าวรายวันแต่เป็นการมองเศรษฐกิจในภาพใหญ่มากกว่า

ปัจจัยร่วมของปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาและยุโรปส่วนหนึ่งมีชนวนมาจากบริษัทลีห์แมนบราเทอร์ส (Lehman Brothers) อันเป็นสถาบันการเงินใหญ่เป็นอันดับสี่ของสหรัฐอเมริกา ทำธุรกิจประเภทธนาคารเพื่อการลงทุน (investment bank) ซึ่งออกผลิตภัณฑ์การเงินที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงอย่างที่ไม่มีใครประเมินได้ถูก โดยรัฐบาลของประเทศต่างๆได้ลงทุนเอาไว้เป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อสหรัฐอเมริกาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ผลิตภัณฑ์การเงินนี้ก็ด้อยค่า ส่งผลกระทบต่อระบบธนาคารทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปถึงขั้นบางแห่งอาจล้มละลายและอาจลามเป็นโดมิโนได้ ทำให้รัฐบาลของแต่ละประเทศทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรปต้องใช้เงินเข้าไปอุ้มสถาบันการเงินในประเทศของตน ก่อให้เกิดเป็นวิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาหนี้สาธารณะที่เพิ่มพูนขึ้น

ลุงแมวน้ำมองว่าปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปมีความซับซ้อนและเป็นปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่า เนื่องจากประเทศต่างๆในสหภาพยุโรปที่ใช้เงินยูโรร่วมกันมีอยู่ถึง 17 ประเทศ แต่ละประเทศมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจแตกต่างกันแต่กลับใช้เงินตราร่วมกัน ทำให้ปัญหามีความซับซ้อนและยากที่จะแก้ไข แต่ละประเทศหากไม่ใช่มีหนี้สาธารณะสูงก็มีอัตราการว่างงานสูง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีทั้งสองประการ ประเทศกรีซมีหนี้สาธารณะสูงถึง 140% ของจีดีพี มีอัตราว่างงานราว 20% ในขณะที่อิตาลีมีหนี้สาธารณะสูงถึง 120% ของจีดีพี มีอัตราการว่างงานประมาณ 8% ส่วนสเปนนั้นมีหนี้สาธารณะประมาณ 60% ของจีดีพี มีอัตราการว่างงาน 21% โปรตุเกสมีหนี้สาธารณะ 92% ของจีดีพีและมีอัตราการว่างงาน 12.4%

จากตัวเลขคร่าวๆดังกล่าวคงพอจะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจของยุโรปหลายๆประเทศนั้นมีอาการหนักอยู่ไม่น้อย การแก้ปัญหาหนี้สาธารณะทำได้โดยใช้มาตรการรัดเข็มขัด รัฐบาลต้องตัดลดค่าใช้จ่ายเพื่อไม่ให้งบประมาณขาดดุล แต่ผลข้างเคียงก็คือการลดค่าใช้จ่ายภาครัฐทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวและมีอัตราการว่างงานสูงขึ้น เปรียบเสมือนการกินยาแก้ปวดแล้วยามีผลข้างเคียงคือกัดกระเพาะ แม้หายปวดแต่อาจเกิดแผลในกระเพาะอาหารแทนได้

นอกจากนี้ ผลจากการตัดลดงบประมาณลงทำให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้ที่มีด้อยฐานะทางเศรษฐกิจได้รับผลกระทบสูง ทำให้ประชาชนต่อต้านรัฐบาล ก่อให้เกิดความรุนแรงขึ้นในสังคมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังจะเห็นได้จากการประท้วงในอังกฤษ (อังกฤษไม่ได้อยู่ในกลุ่มยูโรโซนแต่ก็มีปัญหาทางเศรษฐกิจเช่นกัน) กรีซ อิตาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการว่างงานในกลุ่มเยาวชนนั้นน่าเป็นห่วงเรื่องปัญหาสังคม นอกจากนี้ การที่ประเทศบางประเทศต้องเข้าไปอุ้มประเทศอื่นจนบั่นทอนเศรษฐกิจของตนเอง ลุงแมวน้ำมองว่าต่อไปความขัดแย้งในสังคมประเด็นที่ว่า ‘ทำไมเราต้องไปช่วยเขาด้วย’ จะลุกลามหนัก ตอนนี้ก็พอเริ่มเห็นบ้างแล้วในกรณีความรุนแรงในประเทศนอร์เวย์ซึ่งก็มีที่มาจากความคิดเช่นนี้เหมือนกัน ความคิดเช่นนี้ทำให้รัฐบาลแต่ละประเทศต้องระวังตัวและการเกื้อกูลกันในกลุ่มยูโรโซนจะยากยิ่งขึ้น การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจก็จะยากยิ่งขึ้น

และนอกจากนี้จากตัวเลขการประเมินล่าสุดพบว่าจีดีพีของยุโรปแทบไม่ขยายตัวเลย โดยเฉพาะจีดีพีของเยอรมนีซึ่งถือว่าเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซนแทบไม่ขยายตัว ตอนนี้ประเด็นข่าวส่วนใหญ่มุ่งไปในเรื่องปัญหาหนี้สาธารณะ แต่แท้ที่จริงแล้วหากเศรษฐกิจไม่ขยายตัวหรือหดตัว วิกฤตที่จะตามมาก็คือวิกฤตหนี้ภาคเอกชน กล่าวคือ ในที่สุดภาคธุรกิจก็อาจมีบางส่วนที่ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ (corporate bond default) โดยหุ้นกู้ภาคเอกชนของยุโรปที่จะครบกำหนดไถ่ถอนภายในปี 2012 และ 2013 นี้มีรวมกันถึง 1,800 ,000 ล้านดอลลาร์ สรอ ($1,800 billion) ทีเดียว นี่ยังไม่นับรวมหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนภายในปี 2011 นี้เข้าไป และยังไม่รวมหนี้ภาครัฐ (หมายถึงพันธบัตรรัฐบาล) ในกลุ่มยุโรปที่อาจมีการผิดนัดชำระหนี้ได้อีกด้วย



ปริมาณหนี้หุ้นกู้เอกชนของประเทศในกลุ่ม PIIGS ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปีต่างๆ




ปริมาณหนี้พันธบัตรรัฐบาลของประเทศในกลุ่ม PIIGS ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปีต่างๆ



มาดูทางด้านสหรัฐอเมริกากันบ้าง สหรัฐอเมริกาขณะนี้มีสัดส่วนหนี้สาธารณะประมาณ 100% ของจีดีพี อัตราการว่างงานประมาณ 9.1% การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ผ่านมาไม่เกิดผลนัก ผลจากมาตรการ QE1 กับ QE2 เห็นผลน้อย ที่ผ่านมารัฐบาลอเมริกันมีการตัดลงค่าใช้จ่ายในงบประมาณลงมาบ้าง และต่อไปก็จะต้องตัดลงอีก ขณะนี้โรงเรียนชนบทในบางรัฐจัดการเรียนเพียงสัปดาห์ละ 4 วันเพราะโรงเรียนต้องตัดค่าใช้จ่ายลง รวมทั้งยังไม่เห็นแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในขั้นต่อไปที่น่าจะได้ผล

หากเป็นเช่นนี้ต่อไปในที่สุดก็จะกระทบธุรกิจภาคเอกชนมากขึ้น จนในที่สุดอาจมีหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ผิดนัดชำระหนี้ได้ โดยสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวมีหุ้นกู้ภาคเอกชนที่จะครบกำหนดไถ่ถอนภายในปี 2012 กับ 2013 อยู่มากถึง 1,280,000 ล้านดอลลาร์ สรอ ($1.28 billion) นี่ยังไม่รวมหุ้นกู้ที่ครบกำหนดภายในปี 2011 นี้

ส่วนประเด็นที่พันธบัตรรัฐบาลอเมริกันถูกลดอันดับเครดิตนั้นลุงแมวน้ำมองว่าเป็นเรื่องรอง อาจไม่ใช่เรื่องสำคัญนักหากมีเรื่องอื่นเร่งด่วนกว่า ที่มองเช่นนี้เพราะหลังจากที่ถูกลดอันดับ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังลดลงเรื่อยๆ จนในที่สุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกาอายุ 10 ปีทำลายสถิติต่ำที่สุดในรอบ 50 ปี (อัตราผลตอบยิ่งแทนต่ำหมายความว่าความต้องการพันธบัตรยิ่งสูง) แสดงว่าพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันยังเป็นที่ต้องการอยู่และน่าจะปลอดภัยกว่าเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลของอีกหลายๆประเทศ และยิ่งไปกว่านั้น ในยามที่นักลงทุนต้องการหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยงเช่น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ฯลฯ เช่นในยามนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นระดับ AAA หรือ AA+ ต่างก็ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์


ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลอเมริกัน ต่ำที่สุดในรอบ 50 ปี


ผลของการผิดนัดชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้ของเอกชนจะกระทบต่อระบบธนาคาร อาจทำให้ธนาคารบางแห่งถึงกับล้ม และอาจล้มตามกันเป็นโดมิโนในขั้นต่อไปได้

มาดูทางด้านทวีปเอเชียและประเทศไทยกันบ้าง เศรษฐกิจประเทศไทยนั้นพึงพาการส่งออกถึงประมาณ 70% ของรายได้ โดยคู่ค้าที่สำคัญของไทยคือประเทศต่างๆในเอเชียด้วยกัน ไทยส่งออกในทวีปเอเชียประมาณ 63% ของยอดการส่งออกทั้งหมด ในขณะที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกาประมาณ 12% และยุโรป 14% (ตัวเลขคร่าวๆ)



แม้ว่าการส่งออกของไทยไปยุโรปและสหรัฐอเมริกาจะมีรวมกันไม่มากเท่ากับส่งออกในเอเชียด้วยกัน แต่หากดูในรายละเอียดจะพบว่าประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย อินโดนีเซีย ล้วนแต่มีคู่ค้าส่งออกหลักคือสหรัฐอเมริกาและยุโรปทั้งสิ้น ดังนั้นหากเศรษฐกิจทางฝั่งตะวันตกถดถอยก็ย่อมส่งผลกระทบต่อเอเชียและไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และนอกจากนี้ หากเกิดวิกฤตหนี้ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นหนี้ภาครัฐหรือเอกชน ก็ย่อมส่งผลต่อระบบธนาคารและระบบการเงินในเอเชียด้วย ส่วนจะกระทบมากหรือน้อยเพียงใดยังยากที่จะประเมินได้

จากเหตุผลด้านปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ลุงแมวน้ำกล่าวมามีส่วนสนับสนุนให้แนวคิดเชิงปัจจัยเทคนิคที่ว่ายุโรปและสหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในคลื่นเศรษฐกิจ C มีน้ำหนักมากขึ้น และน่าจะมีผลฉุดเศรษฐกิจในเอเชียและไทยด้วย

หากเศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นคลื่น C เศรษฐกิจไทยและเอเชียจะเป็นคลื่นอะไร และนักลงทุนควรทำอย่างไร ติดตามได้ในตอนต่อไป





Friday, August 19, 2011

18/08/2011 * การลงทุนในคลื่นเศรษฐกิจ C (1)


วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,089.09 จุด ลดลง 4.42 จุด ตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้าพยายามจะขึ้น แต่ในช่วงบ่ายเมื่อตลาดยุโรปเปิดทำให้สถานการณ์ไปต่อไม่ไหว ต่างชาติขายสุทธิ 668 ล้านบาท

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 24 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อโลหะเงิน (SI)

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดย่านเอเชียมีทั้งปิดแดงเป็นส่วนใหญ่ ช่วงเช้าแดงไม่มาก แต่ช่วงบ่ายหลังจากที่ตลาดยุโรปเปิดและดัชนีตลาดหุ้นในยุโรปร่วงหนัก ดัชนีตลาดหุ้นในย่านเอเชียก็พลอยลดลงมาด้วย ด้านยุโรปปิดแดงอย่างหนัก อิตาลี เยรมนี สวีเดน ติดลบมากถึงประมาณ -6% ต่อมาตลาดฝั่งทวีปอเมริกาเปิดก็ร่วงเช่นกัน ปิดลบไปประมาณ -2% ถึง -4%

การร่วงของตลาดหุ้นในยุโรปมาจากปัญหาเรื่องที่กังวลเดิมๆ นั่นคือ ปัญหาหนี้สาธารณะของหลายประเทศในยุโรป หัวข้อเดิมแต่มีข่าวใหม่ๆเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจมาหลอกหลอนนักลงทุนชาวยุโรปอยู่เป็นระยะ เมื่อมีข่าวดีหุ้นก็ขึ้นไปสองสามวัน จากนั้นก็กลับมากังวลเรื่องเดิมและหุ้นก็ตกลงมาอีก

ส่วนทางด้านสหรัฐอเมริกานั้น วันนี้มีรายงานทางเศรษฐกิจหลายเรื่อง เรื่องอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น ยอดขายบ้านลดลง อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น การประเมินอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำลงกว่าเดิม ฯลฯ ประกอบกับสถานการณ์ตลาดหุ้นในยุโรป ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นทางฝั่งทวีีปอเมริกา โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาพลอยตกลงมารุนแรงไปด้วย ดัชนีดาวโจนส์ (DJI) ปิดลบไป -320 จุด (-3.68%)

วันนี้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น น้ำมันดิบร่วงลงมาแรงถึง -7% ทองคำทำสถิติใหม่อีก

ลุงแมวน้ำตั้งข้อสังเกตอีกวันหนึ่ง นั่นคือ วันนี้ดัชนีในกลุ่มเอเชียแดงแต่ไม่มากนัก มีตลาดหุ้นไทยกับสิงคโปร์ที่เขียว ดูอาการคล้ายกันคือพยายามจะไต่ขึ้นไป แต่ดัชนี SETI ดูมีแรงมากกว่า แม้วันนี้ตลาดหุ้นไทยจะปิดแดงแต่ก็ลดลงไม่มาก ยอดขายสุทธิของต่างชาติไม่มากนัก รวมทั้งต่างชาติซื้อสุทธิฟิวเจอร์ส S50 พันกว่าสัญญาอีก



การลงทุนในคลื่นเศรษฐกิจ C (1)


อันที่จริงลุงแมวน้ำยังเล่านิทานเรื่องเปรอน (เปรอง) ยังไม่จบ แต่เห็นว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นผันผวนมาก นักลงทุนบางคนอาจขาดทุนจนรู้สึกเคว้ง ลุงแมวน้ำจึงพยายามรีบเขียนบทความเรื่องนี้ เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนนักลงทุนในยามนี้บ้าง ที่จริงเกริ่นเอาไว้ตั้งแต่หลายวันมาแล้วแต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้เขียนสักทีจนวันนี้

ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา โลกเศรษฐกิจอยู่ในความอึมครึมเนื่องจากวิตกกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่นับวันดูเหมือนว่าจะยิ่งหนักหนาขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากแก้เท่าไรก็ยังไม่ดีขึ้น

คงยังจำกันได้เมื่อราวๆปี 2007 ถึง 2008 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตทางเศรษฐกิจที่เรียกว่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์อันเกิดจากภาคการเงินของสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็ลามไปทั่วโลก ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างแรง โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วในกลุ่มยุโรปและสหรัฐอเมริกา

หลังจากที่รัฐบาลของทุกประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา พยายามแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจนี้ เศรษฐกิจก็ดูเหมือนจะค่อยๆดีขึ้น จนคาดว่าอีกไม่นานโลกจะพ้นจากยุคเศรษฐกิจถดถอยไปได้ ผลทางจิตวิทยานี้ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกค่อยๆปรับตัวดีขึ้น

แต่ต่อมาความเป็นจริงกลับปรากฏว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจต่างๆไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่คิด สะท้อนได้จากตัวเลขทางเศรษฐกิจทางๆที่ทยอยออกมาในแต่ละไตรมาส ความกังวลก็กลับมาสู่นักลงทุนอีก ด้วยเกรงกันว่าเศรษฐกิจโลกจะถดถอยอีกครั้งหนึ่งหรือที่เรียกว่า double dip recession อันหมายถึงการถดถอยซ้อนกันสองครั้ง หลังจากที่ถดถอยมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อคราววิกฤตแฮมเบอร์เกอร์


เศรษฐกิจโลกเข้าสู่คลื่น C


ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าคลื่นเศรษฐกิจ C นี้หมายความว่าอะไร ทฤษฎีคลื่นของอีเลียต (Elliott wave) ได้อธิบายพฤติกรรมของตลาดหุ้น โดยแบ่งออกเป็นคลื่นขาขึ้น 5 ลูก เรียกว่าคลื่น 1 2 3 4 5 และคลื่นขาลง 3 ลูก เรียกชื่อว่า A B C ดังภาพต่อไปนี้


ลุงแมวน้ำคงไม่ปูพื้นฐานมาก เนื่องจากเรื่องคลื่นอีเลียตสามารถหาอ่านได้ทั่วไป แต่จะชี้ให้เห็นเพียงบางประเด็นเท่านั้น ทฤษฎีคลื่นนี้อธิบายทางจิตวิทยาเอาไว้ว่าเมื่อถึงคลื่น 5 หลังจากที่คลื่น 5 จบแล้วและเป็นขาลงในคลื่น A นักลงทุนทั่วไปยังมองโลกในแง่ดีเหมือนกับตอนที่อยู่คลื่น 3 แล้วย่อลงมาคลื่น 4 (เพราะจากคลื่น 4 นั้นเข้าสู่คลื่น 5 ซึงยอดคลื่น 5 นั้นสูงกว่าคลื่น 3 เสียอีก)

และนี่เอง ที่นักลงทุนทั่วไปพยายามช้อนซื้อหุ้นหรือลงทุนเพิ่มในคลื่น A เนื่องจากคิดว่าตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจจะไปต่อได้ (เหมือนในช่วงคลื่น 3-4-5) ดังนั้นคลื่น A จึงขับเคลื่อนเข้าสู่คลื่น B

แต่เมื่อไปได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดสภาพความเป็นจริงก็ปรากฏชัดว่าไปต่อไม่ไหวแล้ว ดังนั้นนักลงทุนจึงพยายามกลับตัวและเทขายหุ้นอย่างรวดเร็ว ใครขายก่อนก็รอดได้ก่อน ผลก็คือทำให้คลื่น B จบลงและตลาดหุ้นเข้าสู่คลื่น C ซึ่งคลื่น C นี้ปกติจะลงเร็วและแรงเนื่องจากในคลื่นนี้นักลงทุนส่วนใหญ่พยายามหนีออกจากตลาดหุ้นแล้ว นอกจากนี้คลื่น C ยังเป็นคลื่นที่นักลงทุนรายย่อยถูกสลัดหลุดออกไปจากตลาดเป็นจำนวนมากเนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากคลื่น A มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อมาบาดเจ็บซ้ำก็อาจถึงกับต้องออกจากตลาดไป

ทฤษฎีคลื่นของอีเลียตนี้็พอจะนำมาปรับใช้กับสภาพเศรษฐกิจจริงได้ด้วย เพราะตลาดหุ้นกับสภาพเศรษฐกิจจริงมีความเชื่อมโยงกัน ที่ว่า double dip recession นั้นในทางเทคนิคก็คือการเกิดคลื่น A กับคลื่น C นั่นเอง

ลองมาดูดัชนีดาวโจนส์ ดังภาพต่อไปนี้


รูปแบบของดัชนีก็พอเข้าเค้าว่าขณะนี้เราอยู่ในคลื่น C ส่วนดัชนี DAX ของเยอรมนีก็มีรูปแบบคล้ายๆกัน ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงตั้งสมมติฐานเอาไว้ว่าขณะนี้สหรัฐอเมริกาและยุโรป น่าจะอยู่ในคลื่น C แล้ว และยังเป็นต้นคลื่นอยู่ รวมทั้งคลื่นนี้ยังเป็นระดับคลื่นใหญ่อีกด้วย ซึ่งน่าจะกินเวลานานนับปี

ปกติในคลื่นใหญ่จะมีคลื่นย่อย คลื่น A-B-C จะมีชุดคลื่นย่อยอยู่ภายใน เรียกง่ายๆว่า 5-3-5 ซึ่งหมายความว่าคลื่น A มีห้าคลื่นย่อย คลื่น B มีสามคลื่นย่อย และคลื่น C มีห้าคลื่นย่อย ดังภาพต่อไปนี้



ลองมาเทียบกับดัชนีดาวโจนส์ในขณะนี้ดู แปลว่าเรายังมีเส้นทางอีกยาวไกลที่นักลงทุนจะต้องฟันฝ่าไปให้ได้ จนกว่าจะจบคลื่น C นี้



(โปรดอ่านต่อนต่อไปในวันถัดไป)