Friday, August 19, 2011

18/08/2011 * การลงทุนในคลื่นเศรษฐกิจ C (1)


วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,089.09 จุด ลดลง 4.42 จุด ตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้าพยายามจะขึ้น แต่ในช่วงบ่ายเมื่อตลาดยุโรปเปิดทำให้สถานการณ์ไปต่อไม่ไหว ต่างชาติขายสุทธิ 668 ล้านบาท

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 24 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อโลหะเงิน (SI)

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดย่านเอเชียมีทั้งปิดแดงเป็นส่วนใหญ่ ช่วงเช้าแดงไม่มาก แต่ช่วงบ่ายหลังจากที่ตลาดยุโรปเปิดและดัชนีตลาดหุ้นในยุโรปร่วงหนัก ดัชนีตลาดหุ้นในย่านเอเชียก็พลอยลดลงมาด้วย ด้านยุโรปปิดแดงอย่างหนัก อิตาลี เยรมนี สวีเดน ติดลบมากถึงประมาณ -6% ต่อมาตลาดฝั่งทวีปอเมริกาเปิดก็ร่วงเช่นกัน ปิดลบไปประมาณ -2% ถึง -4%

การร่วงของตลาดหุ้นในยุโรปมาจากปัญหาเรื่องที่กังวลเดิมๆ นั่นคือ ปัญหาหนี้สาธารณะของหลายประเทศในยุโรป หัวข้อเดิมแต่มีข่าวใหม่ๆเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจมาหลอกหลอนนักลงทุนชาวยุโรปอยู่เป็นระยะ เมื่อมีข่าวดีหุ้นก็ขึ้นไปสองสามวัน จากนั้นก็กลับมากังวลเรื่องเดิมและหุ้นก็ตกลงมาอีก

ส่วนทางด้านสหรัฐอเมริกานั้น วันนี้มีรายงานทางเศรษฐกิจหลายเรื่อง เรื่องอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น ยอดขายบ้านลดลง อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น การประเมินอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำลงกว่าเดิม ฯลฯ ประกอบกับสถานการณ์ตลาดหุ้นในยุโรป ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นทางฝั่งทวีีปอเมริกา โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาพลอยตกลงมารุนแรงไปด้วย ดัชนีดาวโจนส์ (DJI) ปิดลบไป -320 จุด (-3.68%)

วันนี้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น น้ำมันดิบร่วงลงมาแรงถึง -7% ทองคำทำสถิติใหม่อีก

ลุงแมวน้ำตั้งข้อสังเกตอีกวันหนึ่ง นั่นคือ วันนี้ดัชนีในกลุ่มเอเชียแดงแต่ไม่มากนัก มีตลาดหุ้นไทยกับสิงคโปร์ที่เขียว ดูอาการคล้ายกันคือพยายามจะไต่ขึ้นไป แต่ดัชนี SETI ดูมีแรงมากกว่า แม้วันนี้ตลาดหุ้นไทยจะปิดแดงแต่ก็ลดลงไม่มาก ยอดขายสุทธิของต่างชาติไม่มากนัก รวมทั้งต่างชาติซื้อสุทธิฟิวเจอร์ส S50 พันกว่าสัญญาอีก



การลงทุนในคลื่นเศรษฐกิจ C (1)


อันที่จริงลุงแมวน้ำยังเล่านิทานเรื่องเปรอน (เปรอง) ยังไม่จบ แต่เห็นว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นผันผวนมาก นักลงทุนบางคนอาจขาดทุนจนรู้สึกเคว้ง ลุงแมวน้ำจึงพยายามรีบเขียนบทความเรื่องนี้ เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนนักลงทุนในยามนี้บ้าง ที่จริงเกริ่นเอาไว้ตั้งแต่หลายวันมาแล้วแต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้เขียนสักทีจนวันนี้

ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา โลกเศรษฐกิจอยู่ในความอึมครึมเนื่องจากวิตกกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่นับวันดูเหมือนว่าจะยิ่งหนักหนาขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากแก้เท่าไรก็ยังไม่ดีขึ้น

คงยังจำกันได้เมื่อราวๆปี 2007 ถึง 2008 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตทางเศรษฐกิจที่เรียกว่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์อันเกิดจากภาคการเงินของสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็ลามไปทั่วโลก ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างแรง โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วในกลุ่มยุโรปและสหรัฐอเมริกา

หลังจากที่รัฐบาลของทุกประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา พยายามแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจนี้ เศรษฐกิจก็ดูเหมือนจะค่อยๆดีขึ้น จนคาดว่าอีกไม่นานโลกจะพ้นจากยุคเศรษฐกิจถดถอยไปได้ ผลทางจิตวิทยานี้ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกค่อยๆปรับตัวดีขึ้น

แต่ต่อมาความเป็นจริงกลับปรากฏว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจต่างๆไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่คิด สะท้อนได้จากตัวเลขทางเศรษฐกิจทางๆที่ทยอยออกมาในแต่ละไตรมาส ความกังวลก็กลับมาสู่นักลงทุนอีก ด้วยเกรงกันว่าเศรษฐกิจโลกจะถดถอยอีกครั้งหนึ่งหรือที่เรียกว่า double dip recession อันหมายถึงการถดถอยซ้อนกันสองครั้ง หลังจากที่ถดถอยมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อคราววิกฤตแฮมเบอร์เกอร์


เศรษฐกิจโลกเข้าสู่คลื่น C


ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าคลื่นเศรษฐกิจ C นี้หมายความว่าอะไร ทฤษฎีคลื่นของอีเลียต (Elliott wave) ได้อธิบายพฤติกรรมของตลาดหุ้น โดยแบ่งออกเป็นคลื่นขาขึ้น 5 ลูก เรียกว่าคลื่น 1 2 3 4 5 และคลื่นขาลง 3 ลูก เรียกชื่อว่า A B C ดังภาพต่อไปนี้


ลุงแมวน้ำคงไม่ปูพื้นฐานมาก เนื่องจากเรื่องคลื่นอีเลียตสามารถหาอ่านได้ทั่วไป แต่จะชี้ให้เห็นเพียงบางประเด็นเท่านั้น ทฤษฎีคลื่นนี้อธิบายทางจิตวิทยาเอาไว้ว่าเมื่อถึงคลื่น 5 หลังจากที่คลื่น 5 จบแล้วและเป็นขาลงในคลื่น A นักลงทุนทั่วไปยังมองโลกในแง่ดีเหมือนกับตอนที่อยู่คลื่น 3 แล้วย่อลงมาคลื่น 4 (เพราะจากคลื่น 4 นั้นเข้าสู่คลื่น 5 ซึงยอดคลื่น 5 นั้นสูงกว่าคลื่น 3 เสียอีก)

และนี่เอง ที่นักลงทุนทั่วไปพยายามช้อนซื้อหุ้นหรือลงทุนเพิ่มในคลื่น A เนื่องจากคิดว่าตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจจะไปต่อได้ (เหมือนในช่วงคลื่น 3-4-5) ดังนั้นคลื่น A จึงขับเคลื่อนเข้าสู่คลื่น B

แต่เมื่อไปได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดสภาพความเป็นจริงก็ปรากฏชัดว่าไปต่อไม่ไหวแล้ว ดังนั้นนักลงทุนจึงพยายามกลับตัวและเทขายหุ้นอย่างรวดเร็ว ใครขายก่อนก็รอดได้ก่อน ผลก็คือทำให้คลื่น B จบลงและตลาดหุ้นเข้าสู่คลื่น C ซึ่งคลื่น C นี้ปกติจะลงเร็วและแรงเนื่องจากในคลื่นนี้นักลงทุนส่วนใหญ่พยายามหนีออกจากตลาดหุ้นแล้ว นอกจากนี้คลื่น C ยังเป็นคลื่นที่นักลงทุนรายย่อยถูกสลัดหลุดออกไปจากตลาดเป็นจำนวนมากเนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากคลื่น A มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อมาบาดเจ็บซ้ำก็อาจถึงกับต้องออกจากตลาดไป

ทฤษฎีคลื่นของอีเลียตนี้็พอจะนำมาปรับใช้กับสภาพเศรษฐกิจจริงได้ด้วย เพราะตลาดหุ้นกับสภาพเศรษฐกิจจริงมีความเชื่อมโยงกัน ที่ว่า double dip recession นั้นในทางเทคนิคก็คือการเกิดคลื่น A กับคลื่น C นั่นเอง

ลองมาดูดัชนีดาวโจนส์ ดังภาพต่อไปนี้


รูปแบบของดัชนีก็พอเข้าเค้าว่าขณะนี้เราอยู่ในคลื่น C ส่วนดัชนี DAX ของเยอรมนีก็มีรูปแบบคล้ายๆกัน ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงตั้งสมมติฐานเอาไว้ว่าขณะนี้สหรัฐอเมริกาและยุโรป น่าจะอยู่ในคลื่น C แล้ว และยังเป็นต้นคลื่นอยู่ รวมทั้งคลื่นนี้ยังเป็นระดับคลื่นใหญ่อีกด้วย ซึ่งน่าจะกินเวลานานนับปี

ปกติในคลื่นใหญ่จะมีคลื่นย่อย คลื่น A-B-C จะมีชุดคลื่นย่อยอยู่ภายใน เรียกง่ายๆว่า 5-3-5 ซึ่งหมายความว่าคลื่น A มีห้าคลื่นย่อย คลื่น B มีสามคลื่นย่อย และคลื่น C มีห้าคลื่นย่อย ดังภาพต่อไปนี้



ลองมาเทียบกับดัชนีดาวโจนส์ในขณะนี้ดู แปลว่าเรายังมีเส้นทางอีกยาวไกลที่นักลงทุนจะต้องฟันฝ่าไปให้ได้ จนกว่าจะจบคลื่น C นี้



(โปรดอ่านต่อนต่อไปในวันถัดไป)











17/08/2011 * ตลาดผันผวน ระบบตามไม่ทัน นักลงทุนทำใจยาก

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,093.51 จุด เพิ่มขึ้น 16.49 จุด ตลาดหุ้นไทยแรงกว่าเพื่อนบ้าน ต่างชาติซื้อสุทธิ 2,500 ล้านบาท รวมทั้งต่างชาติเปิดสัญญาซื้อ S50 สุทธิกว่าหนึ่งพันสัญญา

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ THAI ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 24 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อน้ำตาล (SB) และฝ้าย (CT) เนื่องจากลุงแมวน้ำปรับมุมมองสินค้าเกษตรเป็นแนวโน้มขาลงไปแล้ว จึงคาดว่าสัญญาณซื้อครั้งนี้อาจเป็นสัญญาณหลอก ดังนั้นจึงปิดสัญญาขายน้ำตาลไปเท่านั้น ไม่ได้เปิดสัญญาซื้อ นอกจากนี้ฟิวเจอร์สของ QH เกิดสัญญาณซื้อ

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดย่านเอเชียมีทั้งปิดแดงและปิดเขียวคละกัน ตลาดหุ้นยุโรปและอเมริกาส่วนใหญ่ปิดเขียว ดัชนีตลาดของสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย

ด้านอัตราแลกเปลี่ยน วันนี้เงินดอลลาร์ฮ่องกงและเงินโครนาของสวีเดนแข็งค่าจนเกิดสัญญาณซื้อ ดัชนีสินค้าเกษตร (DJUBSAG) เกิดสัญญาณซื้อ ค่าเงินดอลลาร์ที่พี่จารณาจากดัชนีดอลลาร์ สรอ (USD Index) มาปิดที่ 73.758 จุด ซึ่งเป็นภาวะไร้ทิศทาง ยังมีโอกาสเป็นแนวโน้มขาขึ้นอยู่ แต่หากดัชนีหลุด 73.62 จุดก็มีโอกาสกลับทิศเป็นแนวโน้มขาลงมากกว่า


ตลาดผันผวน ระบบตามไม่ทัน นักลงทุนทำใจยาก


ในช่วงระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นในแถบยุโรปและสหรัฐอเมริกา แต่ละวันหุ้นขึ้นแรงลงแรง บางทีก็ขึ้นแรงวันหนึ่ง ลงแรงวันหนึ่ง สลับกันไป

การที่หุ้นขึ้นลงแรงนั้นส่วนใหญ่ทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนหน้าใหม่เกิดความเสียหายได้มาก อย่าว่าแต่นักลงทุนทั่วไปที่ไม่ได้ใช้ระบบการเทรดเลย แม้แต่นักลงทุนที่ใช้ระบบการเทรดแบบสัญญาณซื้อขายตามแนวโน้มก็ยังเหนื่อย เนื่องจากการที่ตลาดผันผวนทำให้เกิดสัญญาณหลอก (false signal) บ่อยครั้ง และยิ่งประกอบกับตลาดขึ้นแรงลงแรง ทำให้สัญญาณหลอกแต่ละครั้งเกิดผลขาดทุนมากกว่ายามตลาดผันผวนน้อย

ลองมาดูกันว่าในช่วงนี้ตลาดมีความผันผวนสูงนั้นเป็นอย่างไร ลองดูภาพต่อไปนี้




ภาพข้างบนนี้เป็นกราฟที่สรุปความเปลี่ยนแปลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในแต่ละวัน จะเห็นว่าแต่ละวันหุ้นขึ้นลงวันละ 3% บ้าง 5% บ้าง 7% ถึง 10% ก็ยังมี

ลุงแมวน้ำลองนำข้อมูลดัชนีตลาดหุ้น 4 ประเทศ คือ ดาวโจนส์ของสหรัฐอเมริกา (DJI) แดกซ์ของเยอรมนี (DAX) หั่งเส็งของฮ่องกง (HSI) และเซ็ตของไทย (SETI) รวมทั้งน้ำมันดิบ (CL) และทองคำ (GC) มาทำกราฟเพื่อดูความผันผวน ดังภาพต่อไปนี้




จะเห็นว่าดัชนีและราคามีความผันผวนสูง ขึ้นลงวันละ 2% ถึง 6% อีกทั้งรูปแบบการขึ้นลงนั้นไม่สามารถคาดเดาได้ บางทีก็ขึ้นวันหนึ่ง ลงวันหนึ่ง บางทีก็ขึ้นสองวัน ลงสองวัน รูปแบบที่ผันผวนสูงและไม่มีแนวโน้มนั้นหากขาดทุนจะทำให้ผลการขาดทุนสูง

ลองมาดูพอร์ตจำลองของลุงแมวน้ำดูบ้าง พอร์ตจำลองนี้ก็คือที่เสนอในตารางเป็นประจำนั่นเอง แต่วันนี้ลุงแมวน้ำนำมาพล็อตเป็นกราฟแท่งให้ดู พร้อมทั้งคำนวณผลตอบแทนเป็นเงินบาททั้งหมด แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน ดังภาพต่อไปนี้




ผลิตภัณฑ์ในพอร์ตจำลองมี 2 กลุ่ม กลุ่มที่เป็นกราฟแท่งสีฟ้าเป็นกลุ่มที่เริ่มเทรดเมื่อต้นปี ค.ศ. 2009 หรือว่าเทรดมาแล้วกว่าสองปี ส่วนกราฟแท่งสีน้ำตาลคือกลุ่มที่เริ่มเทรดเมื่อต้นปี 2011 นี้เอง พวกที่เทรดในปีนี้ (สีน้ำตาล) มี 3 ตัว คือ ฟิวเจอร์สของ KTB, ฟิวเจอร์สของเงินเยน (JY) และฟิวเจอร์สของดัชนีนิกเกอิ (NK)

จะเห็นว่าผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนดี (คือสามารถใช้ระบบเทรดตามแนวโน้มแล้วให้ผลกำไรที่ดี) ได้แก่ ฟิวเจอร์สของดัชนีดาวโจนส์ (DJ) น้ำตาลทราย (SB) ทองคำ (GC, GF) และยางพารา (RSS3) ผลิตภัณฑ์เหล่านี้แม้ว่าจะขึ้นแรง ลงแรง แต่ว่ามักขึ้นหรือลงอย่างต่อเนื่องจนเกิดแนวโน้ม ทำให้การเทรดตามแนวโน้มใช้ได้ผลดี

ส่วนกลุ่มพลังงานอันได้แก่ฟิวเจอร์สของน้ำมันดิบ (CL) ก๊าซธรรมชาติ (NG) รวมทั้งดัชนี SET index นั้นทำให้เกิดผลขาดทุน ด้าน CL กับ NG นั้นแกว่งขึ้นลงแรงและรูปแบบการแกว่งขึ้นลงบ่อยๆ แม้ว่าหากดูจากกราฟจะเห็นว่าทิศทางของ CL กับ NG เป็นแบบ sideway up คือเป็นภาวะขาขึ้นสลับกับภาวะไร้ทิศทาง ดูเหมือนจะทำกำไรได้ แต่เมื่อนำมาเทรดตามระบบ PnT 1.10 แล้วเกิดสัญญาณหลอกเสมอ อีกทั้งสินค้าสองชนิดนี้เป็นฟิวเจอร์สซึ่งมีอัตราทดสูง เมื่อให้ผลกำไรหรือขาดทุนจะหนักหนาเพราะเป็นไปตามอัตราทด ดังนั้นจึงขาดทุนหนัก

ส่วนฟิวเจอร์สของดัชนี SET50 หรือ S50 นั้นในปีแรกของการเทรดสามารถทำกำไรได้ดีเป็นระดับแสนบาทเลยทีเดียว ไม่แพ้ยางพารา แต่ต่อมาดัชนีมีช่วงที่อยู่ในภาวะไร้ทิศทางบ่อยครั้ง ทำให้เกิดสัญญาณหลอกบ่อย กำไรหลายแสนบาทคืนไปจนหมดอีกทั้งยังต้องแถมทุนให้ไปด้วย ผลก็คือขาดทุน คงยังจำได้ว่าเมื่อปีที่แล้ว (2010) มีช่วงหนึ่งที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นต่อเนื่องแบบม้วนเดียวโดยไม่เกิดสัญญาณขายเลยเป็นเวลานานหลายเดือน นี่ดีว่าได้กำไรในชวงนั้นมาช่วยเอาไว้ ไม่เช่นนั้นผลขาดทุนจะมากกว่านี้

ผู้ที่เทรดทั้งยางพารา RSS3 และ S50 คงทราบดีกว่ายางพารานั้นเวลาราคาขึ้นลงแรงน่ากลัวกว่า S50 แถมยังมีบางช่วงที่โดนขังอีกด้วย (โดนขังหมายถึงตลาดไม่มีวอลลุม ทำให้ปิดสัญญาไม่ได้ ต้องทนถือสัญญาต่อไป) แต่เมื่อดูผลการเทรดกันแล้วยางพารากลับได้กำไรมากกว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่ารูปแบบราคายางพารามีภาวะไร้ทิศทางน้อยกว่า ทำให้ระบบทำงานได้ดีกว่า หรือหากจะพูดง่ายๆก็คือระบบแพ้ทาง S50, CL นั่นเอง

เมื่อตลาดผันผวนมาก อีกทั้งระบบการเทรดยังแพ้ทางกับสินค้าบางชนิด ดังนั้นนักลงทุนต้องรู้จักปรับปรุงกลยุทธ์การเทรด การปรับปรุงระบบการเทรดด้วยการหาสูตรคำนวณใหม่ที่ทำกำไรได้ดีนั้นเป็นเสมือนการแก้ปัญหาเฉพาะกิจเท่านั้น หากเปรียบระบบการเทรดเป็นเสื้อตัวหนึ่ง ระบบนั้นก็คือเสื้อสำเร็จรูปแบบฟรีไซส์ คือเป็นขนาดทั่วๆไป ใครก็ใส่ได้หากมีรูปร่างทั่วไป ใส่แล้วบางคนอาจรู้สึกว่ายาวไปนิด หรือสั้นไปหน่อย แต่ก็ยอมรับได้ เพราะว่าเป็นเสื้อสำเร็จรูป หากมีคนรูปร่างพิเศษมาซื้อก็ย่อมใส่ไม่ได้ และหากเราตัดเสื้อผ้าขนาดพิเศษให้แก่คนพิเศษนั้น เสื้อนั้นก็ใส่ได้เฉพาะบุคคลเท่านั้น ใช้กับคนอื่นไม่ได้อีก

หากเราขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปอยู่ ไม่ได้ทำทางด้านตัดเสื้อผ้าตามสั่ง ทางที่ดีก็ควรเลือกลูกค้ารูปร่างทั่วไปที่เหมาะกับเสื้อผ้าของเรามากกว่า