Wednesday, November 17, 2010

16/11/2010 * CSI300, EEM, DBA, กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (3)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,000.73 จุด ลดลง 28.41 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย CPALL, KBANK, KTB, PTT, RATCH, SCCC, TCAP, TPIPL รวม 7 ตัว ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 24 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายข้าวโพด (C) ข้าวสาลี (W) และ KTB

กองทุนอีทีเอฟ EEM (ใช้ดูแทน MSCI Emerging Markets Index) และกองทุนสินค้าเกษตร DBA (Deutsch Bank Agriculture Fund) เกิดสัญญาณขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีโบเวสปา (IBOVESPA) ของบราซิล ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต (SSECI) ของจีน ดัชนี CSI 300 ของจีน ดัชนีเซนเซกซ์ (SENSEX, BSESN) ของอินเดีย และดัชนีคอสปี (KOSPI) ของเกาหลีใต้ล้วนเกิดสัญญาณขาย

วันนี้ตลาดลงหนัก สีแดงกระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดในแถบเอเชียที่ลงหนัก ทั้งจีน อินเดีย ที่ลงไป 2-4% ดัชนี SET ของไทยลงไป 2.8% จากนั้นตกบ่าย (เวลาประเทศไทย) ตลาดยุโรปเปิดก็แดงกระจาย ดัชนีลดลง 1-3% หลังจากนั้นเมื่อตลาดอเมริกาเปิดก็แดงกระจายอีก ทั้งแคนาดา สหรัฐอเมริกา ไล่ลงมาจนถึงบราซิล อาร์เจนตินา ลงไป 1-4%

สาเหตุของการตกของหุ้นทั่วโลกคงติดตามได้ทางข่าวทีวีและหนังสือพิมพ์ แต่ลุงแมวน้ำขอสรุปให้ฟังคร่าวๆก็คือสาเหตุเกิดจาก

  1. จีนประกาศกฎเกณฑ์ด้านสินเชื่อที่เพิ่มความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น รวมทั้งประกาศว่าจะควขคุมราคาสินค้าไม่ให้มีการกักตุนและเก็งกำไร (ยังไม่ได้บอกมาตรการ) พร้อมทั้งมีข่าวลือว่าจะเพิ่มอัตราดอกเบี้ย เพื่อต้องการควบคุมภาวะเงินเฟ้อ
  2. ด้านยุโรปก็ตึงเครียดกับปัญหาหนี้ของไอร์แลนด์ซึ่งอาจฉุดภาวะเศรษฐกิจของนานาประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปไปด้วย

สรุปแล้วก็คือปัญหาด้านอารมณ์กลัวและกังวลเป็นเหตุ ทำให้ดอลลาร์ก็แข็งค่าขึ้น ตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลง ทองคำและน้ำมันดิบก็ปรับตัวลดลง

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของจีน ทั้ง Shanghai composit index และ CSI 300 เกิดสัญญาณขาย มาดูกราฟกัน



ดัชนี MSCI Emerging Markets ก็เกิดสัญญาณขาย กราฟเป็นดังนี้



กองทุนอีทีเอฟด้านสินค้าเกษตร DBA ก็เกิดสัญญาณขาย



สัญญาณขายเหล่านี้จะเป็นสัญญาณหลอก (false signal) หรือเป็นการกลับทิศของแนวโน้มตอนนี้ยังบอกไม่ได้ คงต้องติดตามดูกันไปอีกสักระยะหนึ่ง



กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (3)

กองทุน LTF ที่ใช้อนุพันธ์มีอะไรบ้าง

กองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ LTF ในประเทศไทยมีอยู่นับสิบกองทุน แต่ที่ใช้อนุพันธ์ (ฟิวเจอร์ส) มาช่วยลดความผันผวนนั้น เท่าที่ลุงแมวน้ำทราบ ปัจจุบันมีอยู่เพียง 3 กองทุน นั่นคือ
  1. 1Smart-LTF (กองทุนเปิดวรรณเอเอ็มสมาร์ทหุ้นระยะยาว) ของ บลจ. วรรณ (1 A.M.)
  2. SCBLTS (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นระยะยาวสมาร์ท) ของ บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM)
  3. KSDLTF (กองทุนเปิดเค สตราทีจิค ดีเฟ็นซีฟหุ้นระยะยาวปันผล) ของ บลจ. กสิกรไทย จำกัด (Kasikorn Asset)
ทั้งสามกองทุนนี้มีการนำอนุพันธ์มาใช้ในสัดส่วนที่แตกต่างกันออกไปตามแต่นโยบายของแต่ละกองทุน แต่ถึงแม้ว่าจะใช้อนุพันธ์ในสัดส่วนที่เท่ากันก็ไม่ได้หมายความว่าผลตอบแทนของแต่ละกองทุนจะเท่ากัน ทั้งนี้ เนื่องจากว่าส่วนผสมของพอร์ตในกองทุน LTF นั้นไม่เหมือนกันนั่นเอง

ทางด้านความสะดวกคล่องตัวในการสับกองทุนนั้น 1Smart-LTF ให้สับกองทุนได้เพียงไตรมาสละ 1 ครั้งเมื่อสิ้นไตรมาสเท่านั้น ส่วน SCBLTS, KSDLTF ไม่มีข้อจำกัดเช่นนี้ สามารถสับกองทุนได้ทุกวันทำการ ซึ่งในการลงทุนจริงของนักลงทุนที่อิงกับปัจจัยทางเทคนิค เมื่อถึงเวลาที่จะต้องสับกองทุนก็ต้องสับในเวลานั้น จะไปรอจนถึงสิ้นไตรมาสไม่ได้ ดังนั้นในการทดสอบกลยุทธ์ที่จะกล่าวต่อไป ลุงแมวน้ำจึงเลือก SCBLTS, KSDLTF มาใช้ในการทดสอบ

การทดสอบกลยุทธ์สับกองทุน LTF ตามสภาวะตลาดและผลการทดสอบ

ในการทดสอบว่ากลุยุทธ์สับกองทุน โดยเมื่อตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นก็ลงทุนในกองทุน LTF ปกติ และเมื่อตลาดเป็นขาลงก็สับเปลี่ยนไปลงทุนในกองทุน LTF ที่ใช้ฟิวเจอร์ส ก่อนอื่นลุงแมวน้ำต้องกำหนดช่วงเวลาเสียก่อน ว่าเมื่อไรเป็นขาลง และเมื่อไรเป็นขาขึ้น ลองมาดูกราฟกัน



ลุงแมวน้ำกำหนดช่วงตลาดขาลง-ขาขึ้น เพื่อใช้ในการทดสอบ ดังนี้

  • ช่วงขาลงคือ 26 ส.ค. 2551 ถึง 27 ก.พ. 2552 รวมเวลาประมาณ 6 เดือน (ที่แรเงาสีแดง)
  • ช่วงขาขึ้นคือ 28 ก.พ. 2552 ถึง 7 ก.ย. 2552 รวมเวลาประมาณ 6 เดือน (ที่แรเงาสีเขียว)

โดยตลอดช่วงดังกล่าว ดัชนี SET อยู่ี่ที่ประมาณ 668 จุด จากนั้นไหลลงมาอยู่ที่ 431 จุด จากนั้นก็กลับขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 682 จุดอีก คิดคร่าวๆก็คือดัชนี SET ตั้งแต่ 26 ส.ค. 2551 ถึง 7 ก.ย. 2552 ไหลลงและกลับขึ้นมาอยู่ที่เดิมนั่นเอง เท่ากับเสมอตัว

การเปรียบเทียบผลตอบแทนการลงทุนของลุงแมวน้ำมี 4 กรณี คือ

  1. ถือกองทุน LTF ปกติไปโดยตลอด ทั้งขาลงและขาขึ้น
  2. ถือกองทุน LTF ที่ใช้อนุพันธ์ไปโดยตลอด ทั้งขาลงและขาขึ้น
  3. ถือกองทุน LTF ที่ใช้อนุพันธ์ ในตลาดขาลง และถือกองทุน LTF ปกติในตลาดขาขึ้น (แยกย่อยได้อีก 2 กรณี)

สำหรับการสับกองทุนใน ในวันที่ 26 ส.ค. 2551 ลุงแมวน้ำมองว่าตลาดเป็นขาลงแล้ว (เหตุใดจึงมองเช่นนั้นเอาไว้คุยกันอีกทีในภายหลัง ตอนนี้ว่ากันตามนี้ไปก่อน) จึงเข้าไปลงทุนในกองทุน LTF ที่ใช้ฟิวเจอร์ส จนถึงวันที่ 28 ก.พ. 2552 ลุงแมวน้ำเห็นว่าตลาดขาลงจบและเป็นขาขึ้นแล้ว (ขอให้เชื่อตามนี้ไปก่อนเ่ช่นกัน) จึงสับกองทุนเข้าไลงทุนในกองทุน LTF ปกติ

ผลตอบแทนการลงทุนเป็นดังนี้



  1. ดัชนี SET ในช่วงดังกล่าวให้ผลตอบแทน 2.04% (หมายถึงปรับตัวสูงขึ้น 2.04%)
  2. ถือกองทุน LTF ปกติไปโดยตลอด ทั้งขาลงและขาขึ้น SCBLT2 ให้ผลตอบแทน 4.23% ส่วน KEQLTF ให้ผลตอบแทน 0.54%
  3. ถือกองทุน LTF ที่ใช้อนุพันธ์ไปโดยตลอด ทั้งขาลงและขาขึ้น SCBLTS ขาดทุน 2.05% ส่วน KSDLTF ขาดทุน 7.39%
  4. มีการสับกองทุนในช่วงขาลงและขาขึ้น คู่กองทุน SCBLT2 และ SCBLTS ให้ผลตอบแทน 33.13%
  5. มีการสับกองทุนในช่วงขาลงและขาขึ้น คู่กองทุน KEQLT และ SCBLTS ให้ผลตอบแทน 20.76%

จะเห็นว่ากลยุทธ์การสับกองทุน LTF ให้ผลดูน่าพอใจ แม้ว่าต่างค่ายผลงานจะแตกต่างกันบ้าง แต่ก็ดีกว่าผลตอบแทนตามดัชนี SET อยู่ไม่น้อย

แต่ว่านี่คือข้อมูลจากการทดสอบที่ลุงแมวน้ำเลือกกำหนดช่วงเอง หากเป็นการลงทุนในชีวิตจริง กลยุทธ์สับกองทุน LTF ยังให้ผลตอบแทนน่าพอใจเช่นนี้หรือเปล่าเป็นเรื่องที่น่าคิด

(โปรดติดตามต่อในวันถัดไป)



Tuesday, November 16, 2010

15/11/2010 * GC, กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (2)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,029.14 จุด เพิ่มขึ้น 10.28 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 31 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อดัชนีดอลลาร์ สรอ (US dollar index, DX) ลุงแมวน้ำจึงเปิดสัญญาซื้อไป

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีไทเอกซ์ (Taiex) ของไต้หวันเกิดสัญญาณขาย

การที่ DX ขึ้นไปจนเกิดสัญญาณซื้อไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะหากค่าเงินดอลลาร์กลับทิศกลายเป็นแนวโน้มขาขึ้นแล้วละก็นั่นหมายความว่าคงเกิดผลกระทบมากทีเดียว ค่าของเงินสกุลอื่นๆจะอ่อนตัวลง ตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์อาจวาย ทองคำกับน้ำมันดิบอาจจบคลื่นขาขึ้นและเข้าสู่คลื่นขาลง A-B-C ฯลฯ ดังนั้นควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของ DX ไปอีกระยะหนึ่ง



จากกราฟราคาทองคำ (GC) ในภาพบน ลองมาดูกันว่ามีสัญญาณแนวโน้มกลับทิศ (trend reversal signal) อะไรที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง

  1. มีคอนเวอร์เจนซ์ระหว่างราคากับ rsi
  2. fibonacci ได้ระดับ 205% แต่ยังไม่มีความสอดคล้องของระดับ fibonacci หลายๆชุด
  3. คลื่นย่อยนับได้ครบ 5 คลื่น
  4. เกิดแท่งเทียนดำใหญ่
สัญญาณกลับทิศยังไม่ชัดเจนนัก แต่ก็ยังไม่ควรประมาท ในระยะสั้นๆที่ผ่านมา ทองคำแกว่งตัวแรง เรียกว่ามี volatility สูงขึ้น วันก่อนประธานธนาคารโลกแสดงความเห็นว่าระบบการเงินของสหรัฐอเมริกาควรกลับไปผูกกับมาตรฐานทองคำ ทองคำก็ขึ้นแรง พอ DX แข็งค่าขึ้น ทองคำก็ลงแรง ใครที่โดดเข้ามาเทรดทองคำในช่วงนี้คงใจหายใจคว่ำไม่น้อย volatility ที่สูงขึ้นนี้เป็นอาการที่มักเกิดขึ้นในปลายลูกคลื่น



กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (2)


เมื่อวานเราคุยกันค้างเอาไว้เรื่องกองทุน LTF ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนตลาดทุนของไทยโดยใช้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีมาจูงใจผู้มีเงินได้ให้หันมาลงทุนกันในตลาดทุน วันนี้เราจะมาคุยกันต่อ

กองทุน LTF ในตลาดขาลง

มาดูภาพนี้กันก่อน ภาพนี้เป็นกราฟของดัชนี SET ในช่วงสองปีก่อน ส่วนที่แรเงาสีชมพูเป็นช่วงวันที่ 26 สิงหาคม 2552 ถึง 27 กุมภาพันธ์ 2552 อันเป็นระยะเวลาที่ตลาดหุ้นอยู่ในคลื่นขาลง



ลุงแมวน้ำลองนำมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว 2 กองทุนมาแสดงให้ดูว่าเมื่อตลาดอยู่ในคลื่นขาลง ราคาหุ้นตก ค่า nav ของกองทุนเป็นอย่างไรบ้าง กองทุนที่ลุงแมวน้ำยกมานี้กองทุน SCBLT2 (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว พลัส, SCB STOCK PLUS LONG TERM EQUITY FUND) ค่ายไทยพาณิชย์ (SCBAM) ส่วนกองทุน KEQLTF (กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาว, K Equity LTF) เป็นของค่ายกสิกรไทย (K-AM) ลุงแมวน้ำเลือกสองกองทุนนี้มาแสดงเนื่องจากเป็นกองทุน LTF ที่ไม่มีการจ่ายปันผล (หากใช้กองทุนที่มีการจ่ายปันผล ค่า NAV ที่เปลี่ยนแปลงลดลงอาจเกิดจากการจ่ายเงินปันผลก็ได้)



จะเห็นว่าในช่วงดังกล่าวเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลดลงราว 35% มูลค่าของหน่วยลงทุน LTF ก็ลดลงตามไปด้วยในระดับที่ใกล้เคียงกับดัชนีเนื่องจากกองทุน LTF เน้นลงทุนในหุ้นเป็นส่วนใหญ่ ถ้ามองจากผลขาดทุนคงเห็นว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยง หากช่วงที่ต้องการขายคืนหน่วยลงทุนเป็นช่วงที่ตลาดเป็นขาลง ภาษีที่ประหยัดได้ไม่น่าคุ้มค่ากับเงินลงทุนที่หดหายไป และนี่เองเป็นอุปสรรคข้อหนึ่งที่ทำให้ผู้มีเงินได้ส่วนหนึ่งที่คุ้นเคยกับตลาดหุ้นดีพอควรไม่กล้าลงทุนในกองทุน LTF แม้ว่าจะช่วยประหยัดภาษีได้ก็ตาม

ต่อมาในวงการกองทุน LTF จึงมีการออกกองทุน LTF ที่ใช้ฟิวเจอร์สของ SET50 เข้ามาช่วยลดความผันผวนของราคาหุ้น ดังที่ลุงแมวน้ำได้คุยไปแล้วเมื่อวาน ว่ากองทุน LTF ประเภทนี้จะซื้อหุ้นและเปิดสัญญาขาย S50 ไปด้วย แต่ก็ครอบคลุมความเสี่ยงส่วนใหญ่เท่านั้น ไม่ได้ปิดความเสี่ยงทั้งหมด ดังนั้นเมื่อหุ้นตก NAV ชองกองทุน LTF ประเภทใช้ฟิวเจอร์สช่วยนี้ก็ลดลงบ้างแต่ไม่รุนแรงเท่ากองทุน LTF ที่ไม่ใช้ฟิวเจอร์ส ตารางต่อไปนี้เป็น NAV ของกองทุน SCBLTS (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวสมาร์ท, SCB SMART LONG TERM EQUITY FUND, ของ บลจ.ไทยพาณิชย์) กับ KSDLTF (กองทุนเปิดเค สตราทีจิค ดีเฟ็นซีฟหุ้นระยะยาวปันผล, K Strategic Defensive LTF ของบลจ.กสิกรไทย) ซึ่งใช้ฟิวเจอร์สลดความผันผวน จะเห็นว่าผลขาดทุนลดลง



กองทุนผสมฟิวเจอร์สนี้หากถือไปตลอด เมื่อตลาดเป็นขาขึ้นก็จะได้กำไรไม่มาก เมื่อตลาดเป็นขาลงก็จะขาดทุนน้อยลง ซึ่งผู้ลงทุนบางคนอาจเข้าใจผิดว่ากองทุนนี้เสมอตัวอยู่ตลอด ไม่ได้ไม่เสีย ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น

กลยุทธ์ LTF สับหน่วยลงทุนเมื่อแนวโน้มเปลี่ยน

ในมุมมองของนักลงทุนสายที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นเมื่อหุ้นลงไปถึง ณ ระดับราคาหนึ่งก็จะถึงจุดที่ต้องขายหุ้นออกไป ไม่ควรถือเอาไว้ ซึ่งจุดขายหุ้นหรือที่เรียกว่าจุดหยุดยั้งความเสียหาย (stop loss) นั้นมีวิธีคำนวณต่างๆนานา เช่น ใช้หลักราคาหลุดแนวรับ ใช้หลักราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ฯลฯ นักลงทุนสายเทคนิคเมื่อต้องการลงทุนใน LTF ก็คงอยากใช้หลักการเดียวกัน แต่มีข้อจำกัดสำหรับกองทุนประเภทนี้คือผู้ลงทุนจะขายตามใจไม่ได้ เพราะมีเงื่อนไขข้อกำหนดในการขายคืนค่อนข้างยุ่งยาก มิฉะนั้นจะต้องถูกเรียกสิทธิประโยชน์ทางภาษีคืนวุ่นวาย

ทางเลือกประการหนึ่งของนักลงทุนใน LTF ที่ยังไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ในยามที่ตลาดเกิดกลายเป็นขาลงพอดี นั่นก็คือ การสับกองทุน หลักการก็คือ

  1. ในยามตลาดขาขึ้น ลงทุนในกองทุน LTF ปกติ
  2. ในยามตลาดขาลง สับเปลี่ยนไปลงทุนในกองทุน LTF ที่ใช้ฟิวเจอร์ส และเมื่อยามตลาดกลับมาเป็นขาขึ้นจึงค่อยกลับไปลงทุนในกองทุน LTF ปกติ

ลองมาดูตัวอย่างกัน ลุงแมวน้ำทดลองทำข้อมูลของตลาดทั้งที่อยู่ในช่วงขาลง (26 ส.ค. 2551 ถึง 27 ก.พ. 2552) และตลาดในช่วงขาขึ้่น (27 ก.พ. 2552 ถึง 7 ก.ย. 2552) และลองเปรียบเทียบผลการลงทุน ทั้งในกองทุน LTF ปกติ กองทุน LTF แบบใช้ฟิวเจอร์ส และการลงทุนแบบสับกองทุนเมื่อตลาดเปลี่ยนแนวโน้ม ดังตารางต่อไปนี้ วันนี้ดูตารางกันไปก่อน แล้วลุงแมวน้ำจะอธิบายเพิ่มเติมในวันถัดไป


(โปรดติดตามอ่านในวันถัดไป)