Tuesday, November 16, 2010

15/11/2010 * GC, กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (2)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,029.14 จุด เพิ่มขึ้น 10.28 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 31 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อดัชนีดอลลาร์ สรอ (US dollar index, DX) ลุงแมวน้ำจึงเปิดสัญญาซื้อไป

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีไทเอกซ์ (Taiex) ของไต้หวันเกิดสัญญาณขาย

การที่ DX ขึ้นไปจนเกิดสัญญาณซื้อไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะหากค่าเงินดอลลาร์กลับทิศกลายเป็นแนวโน้มขาขึ้นแล้วละก็นั่นหมายความว่าคงเกิดผลกระทบมากทีเดียว ค่าของเงินสกุลอื่นๆจะอ่อนตัวลง ตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์อาจวาย ทองคำกับน้ำมันดิบอาจจบคลื่นขาขึ้นและเข้าสู่คลื่นขาลง A-B-C ฯลฯ ดังนั้นควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของ DX ไปอีกระยะหนึ่ง



จากกราฟราคาทองคำ (GC) ในภาพบน ลองมาดูกันว่ามีสัญญาณแนวโน้มกลับทิศ (trend reversal signal) อะไรที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง

  1. มีคอนเวอร์เจนซ์ระหว่างราคากับ rsi
  2. fibonacci ได้ระดับ 205% แต่ยังไม่มีความสอดคล้องของระดับ fibonacci หลายๆชุด
  3. คลื่นย่อยนับได้ครบ 5 คลื่น
  4. เกิดแท่งเทียนดำใหญ่
สัญญาณกลับทิศยังไม่ชัดเจนนัก แต่ก็ยังไม่ควรประมาท ในระยะสั้นๆที่ผ่านมา ทองคำแกว่งตัวแรง เรียกว่ามี volatility สูงขึ้น วันก่อนประธานธนาคารโลกแสดงความเห็นว่าระบบการเงินของสหรัฐอเมริกาควรกลับไปผูกกับมาตรฐานทองคำ ทองคำก็ขึ้นแรง พอ DX แข็งค่าขึ้น ทองคำก็ลงแรง ใครที่โดดเข้ามาเทรดทองคำในช่วงนี้คงใจหายใจคว่ำไม่น้อย volatility ที่สูงขึ้นนี้เป็นอาการที่มักเกิดขึ้นในปลายลูกคลื่น



กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (2)


เมื่อวานเราคุยกันค้างเอาไว้เรื่องกองทุน LTF ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนตลาดทุนของไทยโดยใช้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีมาจูงใจผู้มีเงินได้ให้หันมาลงทุนกันในตลาดทุน วันนี้เราจะมาคุยกันต่อ

กองทุน LTF ในตลาดขาลง

มาดูภาพนี้กันก่อน ภาพนี้เป็นกราฟของดัชนี SET ในช่วงสองปีก่อน ส่วนที่แรเงาสีชมพูเป็นช่วงวันที่ 26 สิงหาคม 2552 ถึง 27 กุมภาพันธ์ 2552 อันเป็นระยะเวลาที่ตลาดหุ้นอยู่ในคลื่นขาลง



ลุงแมวน้ำลองนำมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว 2 กองทุนมาแสดงให้ดูว่าเมื่อตลาดอยู่ในคลื่นขาลง ราคาหุ้นตก ค่า nav ของกองทุนเป็นอย่างไรบ้าง กองทุนที่ลุงแมวน้ำยกมานี้กองทุน SCBLT2 (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว พลัส, SCB STOCK PLUS LONG TERM EQUITY FUND) ค่ายไทยพาณิชย์ (SCBAM) ส่วนกองทุน KEQLTF (กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาว, K Equity LTF) เป็นของค่ายกสิกรไทย (K-AM) ลุงแมวน้ำเลือกสองกองทุนนี้มาแสดงเนื่องจากเป็นกองทุน LTF ที่ไม่มีการจ่ายปันผล (หากใช้กองทุนที่มีการจ่ายปันผล ค่า NAV ที่เปลี่ยนแปลงลดลงอาจเกิดจากการจ่ายเงินปันผลก็ได้)



จะเห็นว่าในช่วงดังกล่าวเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลดลงราว 35% มูลค่าของหน่วยลงทุน LTF ก็ลดลงตามไปด้วยในระดับที่ใกล้เคียงกับดัชนีเนื่องจากกองทุน LTF เน้นลงทุนในหุ้นเป็นส่วนใหญ่ ถ้ามองจากผลขาดทุนคงเห็นว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยง หากช่วงที่ต้องการขายคืนหน่วยลงทุนเป็นช่วงที่ตลาดเป็นขาลง ภาษีที่ประหยัดได้ไม่น่าคุ้มค่ากับเงินลงทุนที่หดหายไป และนี่เองเป็นอุปสรรคข้อหนึ่งที่ทำให้ผู้มีเงินได้ส่วนหนึ่งที่คุ้นเคยกับตลาดหุ้นดีพอควรไม่กล้าลงทุนในกองทุน LTF แม้ว่าจะช่วยประหยัดภาษีได้ก็ตาม

ต่อมาในวงการกองทุน LTF จึงมีการออกกองทุน LTF ที่ใช้ฟิวเจอร์สของ SET50 เข้ามาช่วยลดความผันผวนของราคาหุ้น ดังที่ลุงแมวน้ำได้คุยไปแล้วเมื่อวาน ว่ากองทุน LTF ประเภทนี้จะซื้อหุ้นและเปิดสัญญาขาย S50 ไปด้วย แต่ก็ครอบคลุมความเสี่ยงส่วนใหญ่เท่านั้น ไม่ได้ปิดความเสี่ยงทั้งหมด ดังนั้นเมื่อหุ้นตก NAV ชองกองทุน LTF ประเภทใช้ฟิวเจอร์สช่วยนี้ก็ลดลงบ้างแต่ไม่รุนแรงเท่ากองทุน LTF ที่ไม่ใช้ฟิวเจอร์ส ตารางต่อไปนี้เป็น NAV ของกองทุน SCBLTS (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวสมาร์ท, SCB SMART LONG TERM EQUITY FUND, ของ บลจ.ไทยพาณิชย์) กับ KSDLTF (กองทุนเปิดเค สตราทีจิค ดีเฟ็นซีฟหุ้นระยะยาวปันผล, K Strategic Defensive LTF ของบลจ.กสิกรไทย) ซึ่งใช้ฟิวเจอร์สลดความผันผวน จะเห็นว่าผลขาดทุนลดลง



กองทุนผสมฟิวเจอร์สนี้หากถือไปตลอด เมื่อตลาดเป็นขาขึ้นก็จะได้กำไรไม่มาก เมื่อตลาดเป็นขาลงก็จะขาดทุนน้อยลง ซึ่งผู้ลงทุนบางคนอาจเข้าใจผิดว่ากองทุนนี้เสมอตัวอยู่ตลอด ไม่ได้ไม่เสีย ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น

กลยุทธ์ LTF สับหน่วยลงทุนเมื่อแนวโน้มเปลี่ยน

ในมุมมองของนักลงทุนสายที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นเมื่อหุ้นลงไปถึง ณ ระดับราคาหนึ่งก็จะถึงจุดที่ต้องขายหุ้นออกไป ไม่ควรถือเอาไว้ ซึ่งจุดขายหุ้นหรือที่เรียกว่าจุดหยุดยั้งความเสียหาย (stop loss) นั้นมีวิธีคำนวณต่างๆนานา เช่น ใช้หลักราคาหลุดแนวรับ ใช้หลักราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ฯลฯ นักลงทุนสายเทคนิคเมื่อต้องการลงทุนใน LTF ก็คงอยากใช้หลักการเดียวกัน แต่มีข้อจำกัดสำหรับกองทุนประเภทนี้คือผู้ลงทุนจะขายตามใจไม่ได้ เพราะมีเงื่อนไขข้อกำหนดในการขายคืนค่อนข้างยุ่งยาก มิฉะนั้นจะต้องถูกเรียกสิทธิประโยชน์ทางภาษีคืนวุ่นวาย

ทางเลือกประการหนึ่งของนักลงทุนใน LTF ที่ยังไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ในยามที่ตลาดเกิดกลายเป็นขาลงพอดี นั่นก็คือ การสับกองทุน หลักการก็คือ

  1. ในยามตลาดขาขึ้น ลงทุนในกองทุน LTF ปกติ
  2. ในยามตลาดขาลง สับเปลี่ยนไปลงทุนในกองทุน LTF ที่ใช้ฟิวเจอร์ส และเมื่อยามตลาดกลับมาเป็นขาขึ้นจึงค่อยกลับไปลงทุนในกองทุน LTF ปกติ

ลองมาดูตัวอย่างกัน ลุงแมวน้ำทดลองทำข้อมูลของตลาดทั้งที่อยู่ในช่วงขาลง (26 ส.ค. 2551 ถึง 27 ก.พ. 2552) และตลาดในช่วงขาขึ้่น (27 ก.พ. 2552 ถึง 7 ก.ย. 2552) และลองเปรียบเทียบผลการลงทุน ทั้งในกองทุน LTF ปกติ กองทุน LTF แบบใช้ฟิวเจอร์ส และการลงทุนแบบสับกองทุนเมื่อตลาดเปลี่ยนแนวโน้ม ดังตารางต่อไปนี้ วันนี้ดูตารางกันไปก่อน แล้วลุงแมวน้ำจะอธิบายเพิ่มเติมในวันถัดไป


(โปรดติดตามอ่านในวันถัดไป)


Monday, November 15, 2010

12/11/2010 * RSS3, กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (1)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,018.86 จุด ลดลง 11.00 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BAY, BBL, ESSO, TCAP, TTW ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 31 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายน้ำตาลทราย (SB) ลุงแมวน้ำจึงปิดสัญญาซื้อและเปิดสัญญาขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

วันนี้เรียกได้ว่าเป็นวันแดงเดือด ตลาดทั่วโลกปรับตัวลดลง ทั้งราคาหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ ในระดับที่มากน้อยแตกต่างกัน ทางด้านตลาดหุ้นนั้น ตลาดจีนปรับตัวลงไปราว 5% ตลาดหลักอื่นๆปรับตัวลดลงประมาณ 1-2% ยกเว้นตลาดเยอรมนีที่ปิดบวกเล็กน้อยได้

ทางด้านสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลงแรงเช่นกัน ทองคำกับน้ำมันดิบลดลงประมาณ 3% ส่วนสินค้าเกษตรราคาลดลงประมาณ 3-5% ยกเว้นน้ำตาลทราย (SB) ที่ลงไปอีกประมาณ 10% ต่อจากเมื่อวาน รวมแล้วสองวันราคาน้ำตาลทรายปรับตัวลดลงไปราว 20% ส่วนราคายางพารานั้นปรับตัวลงมากเช่นกัน 3.5% ยางพาราของไทย (RSS3) ลดลงจนถึงราคาฟลอร์ ผู้ที่ต้องการปิดสถานะซื้อ (cover long position) ไม่สามารถทำได้

มีข่าวลือไปทั่วโลกในระหว่างการประชุม G20 ในช่วงนี้ว่าประเทศทางแถบเอเชียจะใช้ยาแรงหรือหมายถึงมาตรการสกัดเงินทุนไหลเข้าที่เข้มข้นยิ่งขึ้นเนื่องจากเกรงผลกระทบจากมาตรการพิมพ์เงินเพิ่มอัดฉีดเข้าไปในระบบของสหรัฐอเมริกา (QE2) โดยเฉพาะในประเทศจีนมีข่าวว่าทางการจีนจะคุมเข้มเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจลงบ้างด้วยการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนและตลาดอื่นๆปรับตัวลงแรง รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆในตลาดโลกรวมทั้งยางพาราด้วย ทั้งนี้ น่าจะเป็นเนื่องจากจีนเป็นตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่มาก หากจีนชะลอการบริโภค ดุลยภาพของอุปสงค์อุปทานก็จะเปลี่ยนไป

แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ยังเป็นข่าวลือ ยังไม่เห็นความชัดเจนอะไร แต่ก็สะท้อนว่าอารมณ์ตลาดอ่อนไหวมาก มีอะไรมากระทบก็ส่งผลต่อราคาอย่างมาก นี่เองที่ลุงแมวน้ำบอกว่าปัจจัยทางจิตวิทยานั้นมีความสำคัญยิ่ง และข้อมูลที่สะท้อนภาพได้ทั้งผลทางจิตวิทยาและผลทางปัจจัยพื้นฐานก็คือราคาที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง

ยางพารา (RSS) อาการดูไม่ดีเท่าไรนัก สัญญาณกลับทิศมาแล้ว 3 ประการ คือ คอนเวอร์เจนซ์ของราคากับ rsi, แท่งเทียนดำใหญ่ และเกิดช่องว่างราคา (gap) ที่เป็น falling window ซึ่งหากราคาดีดกลับมาปิดช่องว่างในวันต่อๆไปไม่ได้ น้ำหนักในการกลับทิศแนวโน้มจะมากยิ่งขึ้น

กลยุทธ์การลงทุน LTF, RMF ในตลาดขาลง (1)

ลุงแมวน้ำเคยคุยเรื่องกลยุทธ์ LTF ให้ฟังไปบ้างแล้ว มาวันนี้ลุงแมวน้ำจะคุยถึงกลยุทธ์สำหรับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือที่เรียกย่อๆว่า LTF นี้ให้ละเอียดยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นมานานแล้ว หากนับคลื่นดูก็พบว่ามีโอกาสจบคลื่นและกลับทิศเป็นขาลงได้ทุกเมื่อ ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงปลายปีที่ผู้มีเงินได้ส่วนใหญ่นิยมซื้อกองทุน LTF กัน จึงอยากนำมาคุยให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง ว่าหากลงทุนในกองทุน LTF ไปแล้วตลาดเกิดกลับกลายเป็นขาลงนานๆแล้วจะทำอย่างไร ที่จริงวันสองวันมานี้นักลงทุนที่เพิ่งซื้อหุ้นไปก็ชักเริ่มหนาวๆกันบ้างแล้วเนื่องจากตลาดหุ้นค่อนข้างผันผวน ดังนั้นอาจเรียว่ากลยุทธ์ LTF 2010 ให้เท่ๆก็พอได้

ส่วน RMF นั้นแม้จะเป็นกองทุนที่เอาไว้ลงทุนเพื่อการประหยัดภาษีเช่นกัน แต่กฎหมายเื้อื้อให้มีความยืดหยุ่นในการลงทุนมากกว่า โดยไม่ต้องลงทุนให้หุ้นด้วยสัดส่วนที่เช่นที่กฎหมายบังคับกับกองทุน LTF แต่อย่างไรก็ดี หากเลือกลงทุนในกองทุน RMF ที่มีสัดส่วนของหุ้นสูงๆ สภาพการลงทุนของกองทุน RMF นั้นก็ไม่แตกต่างจากกองทุน LTF ดังนั้นจึงสามารถใช้แนวทางการลงทุนเดียวกันได้

ในตอนต้นลุงแมวน้ำจะพูดถึงแต่ LTF ไปก่อน หลังจากนั้นในตอนท้ายของบทความชุดนี้ลุงแมวน้ำจะสรุปเกี่ยวกับเรื่อง RMF กองหุ้นในส่วนที่แตกต่างกับ LTF ให้อีกครั้งหนึ่ง

LTF คืออะไร ทำไมต้อง LTF

ก่อนอื่นคงต้องขอเท้าความกันอย่างคร่าวๆก่อน ว่ากองทุน LTF คืออะไร และทำไมต้องลงทุนในกองทุน LTF ตามกฎหมายไทยในปัจจุบัน คนโสดที่ไม่มีภาระ มีเงินไิด้หรือคิดง่ายๆว่ามีเงินเดือนเดือนละ 20,600 บาทหรือน้อยกว่านั้นจะไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากเมื่อหักลดหย่อนและหักค่าใช้จ่าย หักสมทบประกันสังคมแล้วเหลือเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทให้คำนวณภาษี จึงไม่ต้องเสียภาษี ตัวเลข 20,600 บาทต่อเดือนนี้เป็นเพียงตัวเลขคร่าวๆ แต่ละคนต้องไปคำนวณอีกทีหากต้องการตัวเลขที่ละเอียด

หากผู้มีเงินได้เกินกว่าเดือนละ 20,600 บาทก็มีเงินได้สุทธิที่จะต้องนำไปคิดภาษีและจ่ายภาษีแล้ว อัตราภาษีขั้นต้นคือ 10% ของเงินได้สุทธิ หากมีเงินได้สุทธิมากก็ยิ่งต้องเสียภาษีมากไปถึงระดับ 20%, 30% ฯลฯ

ทีนี้หลายคนก็เกิดเสียดาย ไม่อยากจ่ายภาษีมากๆ รัฐก็ส่งเสริมโดยตั้งเงื่อนไขว่าใครที่ลงทุนในกองทุนประเภทที่เรียกว่ากองทุนรวมหุ้นระยะยาว LTF (long term mutual fund) นี้จะนำไปหักลดหย่อนภาษีได้เพิ่มเติมอีก พูดง่ายๆก็คือหากลงทุนในกองทุน LTF แล้วจะทำให้เสียภาษีน้อยลงหรือว่าประหยัดภาษีไปได้แล้ว มิหนำซ้ำอานิสงส์ที่ลงทุนกับกองทุนนี้อาจช่วยให้ผู้ลงทุนได้กำไรจากผลกำไรของกองทุนที่เติบโตขึ้นมาอีกด้วย เรียกว่าอาจได้กำไรสองเด้ง ทั้งนี้เพราะว่ารัฐต้องการส่งเสริมและพัฒนาตลาดทุนไทย จึงสร้างเงื่อนไขนี้เพื่อจูงใจให้ผู้มีเงินได้หันมาลงทุนในตลาดทุนด้วยกองทุน LTF

ประหยัดภาษีด้วย LTF แต่เงินลงทุนหดหายเพราะหุ้นตก จะมีทางออกหรือไม่

ด้วยเงื่อนไขและข้อจำกัดที่กฎหมายตีกรอบเอาไว้ กองทุน LTF จะต้องลงทุนใหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 65% เพื่อให้สมเจตนารมณ์ที่ต้องการให้นำเงินมาช่วยพัฒนาตลาดทุน หากไม่กำหนดเช่นนี้ กองทุนอาจนำเงินทุนไปลงทุนในตราสารหนี้หรือแม้แต่ลงทุนในตลาดต่างประเทศ ตลาดทุนไทยก็ไม่ได้เม็ดเงินนี้มาช่วยพัฒนาตามที่มุ่งหมายเอาไว้

ประเด็นสำคัญอีกข้อหนึ่งที่ผู้ลงทุนควรทราบเอาไว้ก็คือ การลงทุนในกองทุน LTF นี้มีเงื่อนไขด้านเวลาด้วย คือผู้ลงทุนต้องถือกองทุนเอาไว้อย่างน้อย 5 ปีปฏิทิน ไม่เช่นนั้นจะถือว่าผิดเงื่อนไข ซึ่งเวลา 5 ปีปฏิทินนั้นหากนับเป็นเวลาจริงแล้วอาจไม่ถึง 5 ปี และหากใช้เทคนิคนิดหน่อยเวลาก็จะยิ่งลดลง สมมติเช่น ลงทุนในเดือนธันวาคม ปี 2553 ก็จะสามารถขายได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2557 เป็นต้นไป ซึ่งหากคิดเป็นปีปฏิทินก็ 5 ปี หากคิดระยะเวลาจริงก็เพียง 3 ปีกับเศษอีกนิดหน่อยเท่านั้น

ปัญหาที่ผู้ลงทุนควรตระหนักก็คือ หากถือกองทุนเอาไว้นานถึง 3 ปีหรือนานกว่านั้น และกิดว่าเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาลง แล้วจะทำอย่างไร อย่าเพิ่งคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ ตลาดหุ้นไทยขึ้นไปสูงสุดในปี 2537 ที่ 1,800 กว่าจุด จนถึงบัดนี้ก็นานประมาณ 15 ปีแล้ว ตลาดก็ยังไม่สามารถกลับไปถึงจุดสูงสุดเดิมได้

แต่เดิมกองทุน LTF ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องการขาดทุนเมื่อหุ้นตกได้ ทั้งนี้ เนื่องจากข้อกฎหมายกำหนดเอาไว้ว่าต้องเป็นกองทุนหุ้น จึงดิ้นไปทำอย่างอื่นไม่ได้ ดังนั้นเมื่อหุ้นตก NAV (มูลค่าหน่วยลงทุน) ก็จะหดหายไปด้วย แต่ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา มีบางกองทุนใช้ฟิวเจอร์สเข้ามาช่วยลดความผันผวนของราคาหุ้น ทำให้กองทุนไม่ขาดทุนมากนักเมื่อหุ้นตก ต่างจากการถือหุ้นเอาไว้โดยไม่ใช้ฟิวเจอร์สช่วย

ดังที่ลุงแมวน้ำเคยคุยให้ฟังเอาไว้แล้วว่าฟิวเจอร์สนั้นสามารถใช้เก็งกำไรก็ได้ ใช้สำหรับลดความเสี่ยงก็ได้ ขึ้นอยู่กับเจตนาและวิธีการ ดังนั้นกองทุน LTF ในระยะหลังจึงมีบางกองทุนที่ผสมด้วยฟิวเจอร์สเพื่อช่วยลดความเสี่ยง โดยลุงแมวน้ำขอพูดอย่างง่ายๆเพื่อให้เห็นภาพ สมมติว่าซื้อหุ้นเอาไว้ที่ 700 จุด ในขณะเดียวกันก็เปิดสัญญาขายฟิวเจอร์สของ SET50 (S50) ไปด้วย ผลที่ควรจะเป็นก็คือ

เมื่อหุ้นขึ้น กองทุนก็จะได้กำไรจากหุ้น ในขณะเดียวกันก็จะขาดทุนจากฟิวเจอร์ส

เมื่อหุ้นตก กองทุนจะขาดทุนจากหุ้น (สมมติว่าถือเอาไว้ไม่ได้ขาย) และได้กำไรจากฟิวเจอร์ส

หากคำนวณสัดส่วนให้พอดีกัน เมื่อหุ้นขึ้นก็ไม่ได้เงินเพราะกำไรหุ้นหักล้างกับขาดทุนฟิวเจอร์ส กลายเป็นเสมอตัว เมื่อหุ้นตกก็ไม่ได้เงินเพราะว่าขาดทุนจากหุ้นแต่ได้กำไรจากฟิวเจอร์ส กลายเป็นเสมอตัวอีก

ถ้าเช่นนั้นแล้วกองทุน LTF ประเภทที่มีฟิวเจอร์สผสมนี้ดีตรงไหน หุ้นขึ้นก็ไม่มีกำไร หุ้นลงก็ไม่มีกำไร แล้วจะลงทุนไปทำไม

(โปรดอ่านต่อในวันต่อไป)