Tuesday, April 27, 2010

26/04/2010 * กลยุทธ์ LTF, RMF

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 764.34 จุด เพิ่มขึ้น 9.76 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่ทั้งหมด 16 ตัว

สำหรับกลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

สำหรับกลุ่มดัชนีตลาด ต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ดังที่เราเคยคุยกันไปแล้วว่าลุงแมวน้ำคาดว่าดัชนี SET น่าจะจบคลื่น 3 (สีน้ำตาล) และหมายถึงการจบคลื่น B (สีน้ำเงิน) ไปแล้ว ตอนนี้เราน่าจะกำลังอยู่ในคลื่น C ถ้าลุงแมวน้ำประเมินถูก ดัชนีคงลงไปอีกลึก แต่ถ้าลุงแมวน้ำประเมินผิด ขณะนี้เราก็น่าจะอยู่ในคลื่น 4 (สีน้ำตาล) และต่อไปก็จะเข้าสู่คลื่น 5 (สีน้ำตาล) อันเป็นคลื่นลูกสุดท้ายของคลื่นขาขึ้น

ถ้าจะพูดแบบกำปั้นทุบดินก็คือตลาดถึงอย่างไรก็มีวันลง ไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น แต่พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ถ้าไม่ได้เตรียมการอะไรเอาไว้บ้าง

ที่ลุงแมวน้ำจะคุยในวันนี้ก็คือ คนในวัยทำงานที่มีการวางแผนการออมมักซื้อกองทุน LTF และ RMF ติดไว้บ้างเพื่อผลประโยชน์ด้านภาษี กองทุน LTF ก็คือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (long term equity fund) ส่วนกองทุน RMF ก็คือกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (retirement mutual fund) ผู้ที่ซื้อกองทุนทั้งสองแบบสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ ทำให้เสียภาษีน้อยลง อีกทั้งยังได้ผลตอบแทนจากกองทุนด้วย เรียกว่าได้ผลประโยชน์สองเด้ง

แต่เหรียญไม่ได้มีเพียงด้านเดียว เช่นเดียวกับกองทุนทั้งสองแบบนี้ก็ไม่ได้มีแต่ข้อดี เราจะมาดูข้อด้อยกัน

ข้อด้อยของกองทุน LTF ก็คือเป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนในตราสารหุ้น คือกองทุนต้องจัดพอร์ตการลงทุนให้มีมีการลงทุนในหุ้นไม่น้อยกว่า 65% อีกทั้งต้องถือให้ครบ 5 ปีจึงจะขายคืนได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องคืนสิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่เราได้รับมาแล้วไป ลองคิดดูว่าหุ้นมีขึ้นมีลง หากต้องถือไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี จังหวะที่เราจะขายคืนเป็นช่วงตลาดขาลง เงินต้นอาจหดหายไปเท่าไรก็ไม่รู้ได้ สิทธิประโยชน์ด้านภาษีอาจไม่คุ้มกับเงินต้นที่หดไป นี่คือความเสี่ยง

ข้อด้อยของ RMF ก็คล้ายกัน คือต้องถือกองทุนจนอายุ 55 ปีและต้องถือมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีจึงจะขายคืนได้ นี่คือความเสี่ยงในเรื่องเงื่อนเวลาอันจำกัด แต่ว่ากองทุน RMF มีอิสระในการจัดพอร์ตการลงทุนมากกว่า ไม่จำเป็นลงทุนในหุ้นอย่างน้อย 65% เช่น LTF จะลงทุนในตราหนี้หรือตราสารการเงินอื่นๆก็ได้

ปัญหาก็คือผู้ที่ถือ LTF และ RMF ซึ่งลงทุนในหุ้นค่อนข้างมาก หากถึงตลาดขาลงจะทำอย่างไร เพราะในคลื่นขาลงใหญ่ๆบางทีก็กินเวลาหลายปี ไม่ใช่หลายเดือน บางครั้งเราก็ทนดูทุนที่หดหายลงไปทุกวันเป็นเวลานานๆไม่ไหว หรือรอให้ทุนที่หดหายไปกลับฟื้นคืนมาไม่ได้เพราะว่ามีความจำเป็นต้องใช้เงินแล้ว ฯลฯ ถ้าเช่นนั้นผู้ที่ซื้อ LTF, RMF จะมีทางออกอย่างไรบ้าง

กองทุน LTF, RMF นั้นมีหลายกองทุนมาก ดำเนินการโดยหลายบริษัทจัดการกองทุน ซึ่งแต่ละแห่งจะมีเงื่อนไขต่างๆกัน คำแนะนำก็คือ

1. เลือกลงทุนกับบริษัทจัดการกองทุนที่ยืดหยุ่นเรื่องเวลาได้มาก เช่น สามารถสลับสับเปลี่ยนกองทุนได้ทุกวัน (ไม่ใช่ขายคืน แต่ว่าสับเปลี่ยนกองทุน)

2. ผู้ที่ถือกองทุน RMF ที่ลงทุนในหุ้นมากๆ ในตลาดขาขึ้นก็ถือกองทุนเอาไว้ แต่ในตลาดขาลงให้เปลี่ยนเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ พันธบัตร ฯลฯ ผลตอบแทนจะน้อยแต่ว่าความเสี่ยงต่ำกว่า

3. ผู้ที่ถือ LTF ในตลาดขาลง อาจเปลี่ยนไปถือกองทุน LTF ที่มีการป้องกันความเสี่ยงเอาไว้ กองทุน LTF ที่ป้องกันความเสี่ยงได้นี้คือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นผสมกับฟิวเจอร์ส สมมติเช่น ซื้อหุ้นเอาไว้และชอร์ตฟิวเจอร์สเอาไว้ด้วย เมื่อหุ้นขึ้นกองทุนก็กำไรหุ้นแต่ขาดทุนฟิวเจอร์ส เมื่อขาลงก็ขาดทุนหุ้นแต่ไ้กำไรฟิวเจอร์ส รวมแล้วเท่าทุน แต่ผลตอบแทนของผู้ถือหน่วยจะไปได้มาจากเงินปันผลของหุ้นทั้งหลายที่กองทุนถือเอาไว้ กับผลตอบแทนคงที่อื่นๆ รวมๆแล้วผลตอบแทนของกองทุนฉลาดแบบนี้ก็ประมาณ 1-2% ต่อปี ตอนตลาดขาลงก็พักเงินไว้ในกองทุน LTF ฉลาดแบบนี้ กำไรน้อยแต่ทุนไม่หาย แล้วตอนตลาดขาขึ้นก็กลับไปถือกองทุน LTF ที่เน้นหุ้นอย่างเดิม แต่วิธีนี้ ต้องใช้ร่วมกับวิธีที่ 1 ด้วย คือต้องถือหน่วยลงทุนกับบริษัทจัดการที่มีความยืดหยุ่น ยอมให้สับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นจะใช้กลยุทธ์นี้ไม่ได้


Monday, April 26, 2010

23/04/2010 * futures basis

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 754.58 จุด ลดลง 6.60 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่ทั้งหมด 16 ตัว

สำหรับกลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

สำหรับกลุ่มดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

เบสิส (basis) ของฟิวเจอร์สของ SET50 (S50) ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาดูแปลกๆ

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกับคำว่าเบสิสกันก่อน เบสิสนั้นหมายถึงส่วนต่างระหว่างราคาสินค้าอ้างอิง (ราคาสินค้าอ้างอิงนี้บางทีก็เรียกว่าราคาสปอต spot price) กับราคาฟิวเจอร์ส ถ้าพิจารณาเฉพาะกรณี SET50 futures เบสิสจะเขียนเป็นสมการได้ดังนี้

เบสิส = SET50 - S50


สมมติเช่นดัชนี SET50 อยู่ที่ 500 แต่ว่าในขณะเดียวกันนั้นเองราคาของ S50 อยู่ที่ 495 อย่างนี้ก็เรียกว่ามีเบสิสเป็น 5

หรือสมมติว่าดัชนี SET50 อยู่ที่ 500 (พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือราคาสปอตอยู่ที่ 500) แต่ว่าในขณะเดียวกันนั้นเองราคาของ S50 อยู่ที่ 507 อย่างนี้ก็เรียกว่ามีเบสิสเป็น -7

ทีนี้มาดูภาพทางจิตวิทยากันว่าทำไมราคาฟิวเจอร์สจึงต่างจากราคาสปอตได้

อธิบายอย่างง่ายๆก็คือปกติเบสิสที่เป็นบวก หมายถึงราคาสปอตสูงกว่าราคาฟิวเจอร์ส (พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือราคาฟิวเจอร์สต่ำกว่าราคาสปอต) มักเกิดในกรณีที่นักลงทุนในฟิวเจอร์สคาดการณ์ล่วงหน้าไปว่าตลาดน่าจะเป็นขาลง ราคาเท่าสปอตก็ยังไม่อยากซื้อกัน ต้องต่ำกว่าราคาสปอตจึงจะกล้าซื้อ ยิ่งเบสิสเป้นบวกมากๆแสดงว่านักลงทุนยิ่งมองตลาดในแง่ร้าย

ส่วนเบสิสที่เป็นลบ หมายถึงราคาสปอตต่ำกว่าราคาฟิวเจอร์ส (พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือราคาฟิวเจอร์สสูงกว่าราคาสปอต) มักเกิดในกรณีตลาดขาขึ้น นักลงทุนมองว่าตลาดดี แจ่มใส ขึ้นต่อแน่ ดังนั้นฟิวเจอร์สแพงกว่าราคาสปอตก็ยังกล้าซื้อ

ส่วนราคาฟิวเจอร์สที่ใกล้เคียงกับราคาสปอตนั้นหมายถึงช่วงเปลี่ยนผ่านในการกลับแนวโน้ม สมมติว่าเดิมนักลงทุนมองตลาดว่าเป็นขาลง ดังนั้นจึงเทรดฟิวเจอร์สในราคาที่ต่ำกว่าราคาสปอต (เบสิสเป็นบวก) ต่อมาเมื่อเปลี่ยนมุมมองเห็นว่าตลาดน่าจะเป็นขาขึ้น ก็จะมีการไล่ราคาฟิวเจอร์สกันจนเบสิสเป็นบวกน้อยลงๆ และในที่สุดเบสิสก็กลายเป็นลบ กับอีกกรณีหนึ่งที่ราคาฟิวเจอร์สมาใกล้เคียงกับราคาสปอตก็คือเมื่อตอนที่ฟิวเจอร์สใกล้หมดอายุ

สำหรับ S50 ในช่วงที่ผ่านมาเบสิสเป็นบวก สะท้อนอารมณ์ของนักลงทุนว่ามองตลาดว่าเป็นขาลง ส่วนเหตุผลและมุมมองนั้นจะมีปัจจัยมาจากสาเหตุการเมืองหรืออะไรก็ตามแต่ และที่น่าแปลกก็คือในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้แม้สถานการณ์บ้านเมืองจะวุ่นวายและมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น แต่ว่า S50 basis กลับบวกน้อยลงจนใกล้จะเป็น 0 แล้ว (วันนี้เบสิสเหลือเพียง 1.2 จุด) ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิดว่าเป็นเพราะอะไร หรือว่าอารมณ์ของนักลงทุนกำลังมองว่าตลาดจะกลับมาเป็นขาขึ้นอีก จึงเอามาตั้งเป็นข้อสังเกตไว้ ซึ่งลุงแมวน้ำคงไม่สามารถสรุปอะไรได้เนื่องจากตามการวิเคราะห์ทางเทคนิคแล้วเราน่าจะอยู่ในคลื่น A ลุงแมวน้ำจึงยังมองว่าเป็นตลาดขาลงอยู่