Tuesday, July 30, 2013

30/07/2013 * ตลาดยังเป็นขาขึ้น และสรุปตลาดในรอบสัปดาห์ (22/07/2013 - 26/07/2013)



วันนี้ฝนตกตั้งแต่เช้ามืด อากาศเย็นสบายน่านอนทีเดียว ฝนตกปีนี้ลุงแมวน้ำมีปัญหาใหม่เกิดขึ้น นั่นคือปลิงบุก ปลิงนะ ไม่ใช่ลิง ปลิงตัวหนึบๆที่ดูดเลือดนั่นแหละ ตอนนี้มันอาละวาดอยู่ในสวน แล้วยังลามมาที่โขดหินของลุงแมวน้ำ วันๆต้องไล่จับเอาไปปล่อยตั้งหลายรอบ นี่ดีนะที่ไม่ไปอาละวาดในโรงละครสัตว์ ไม่อย่างนั้นผู้ชมสาวๆต้องกรี๊ดเป็นแน่ ^_^

มาสรุปภาวะตลาดในรอบสัปดาห์ที่แล้วกันดีกว่า 

มาดูที่สหรัฐอเมริกากันก่อน สัญญาณเศรษฐกิจของอเมริกาค่อนข้างสับสน คือ ราคาบ้านโดยเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น แต่ยอดขายบ้านมือสองกลับลดลง การขอรับสวัสดิการสำหรับผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นกว่าคาดการณ์ (หมายความว่าคนตกงานเพิ่มขึ้นกว่าที่คาด) แต่ยอดขายสินค้าคงทนกลับเพิ่มขึ้นด้วย ก็ดูแปลกๆ แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่มีผลต่อตลาดหุ้นก็คือความชัดเจนเรื่องคิวอี แม้ว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาลุงเบนจะไม่ได้พูดอะไรเพื่อเพิ่มความสับสน แต่ว่าผลการสำรวจของบลูมเบิร์กที่สอบถามความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์กลับพบว่านักเศรษฐศาสตร์เห็นว่าลุงเบนจะเริ่มลดวงเงินคิวอีเดือนในงวดกันยายนนี้กลับเพิ่มมากขึ้น ทำให้นักลงทุนหวั่นไหว ตลาดหุ้นอเมริกาในสัปดาห์ที่แล้วจึงทรงตัว ขึ้นนิดลงหน่อย 

ทางด้านยุโรป ตัวเลขทางเศรษฐกิจในกล่มยุโรปดูดีขึ้น เช่น ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ทั้งภาคการผลิตและบริการ เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งอัตราการว่างงานของสเปนปรับตัวลงนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นข่าวดี รวมความแล้วข่าวดีมีพอสมควร แต่ตลาดหุ้นยุโรปมีทั้งขึ้นและลง อังกฤษ เยอรมนี ปรับตัวลง ส่วนประเทศที่มีปัญหาเยอะ เช่น กรีซ อิตาลี สเปน ฯลฯ ปรับตัวขึ้น

ทางด้านเอเชีย เรื่องกังวลของเอเชียก็เห็นจะหนีไม่พ้นตัวเลขทางเศรษฐกิจของจีน เมื่อไม่นานมานี้ก็กังวลเรื่องสภาพคล่องของภาคการเงินการธนาคาร พอเรื่องนี้ซาลงก็มากังวลเรื่องหนี้เสียของรัฐบาลท้องถิ่นของจีนอีก แม้ว่าลุงหลี่ นายกรัฐมนตรีจะรับประกันว่าจะไม่ให้เศรษฐกิจขยายตัวน้อยกว่า 7% แต่ตลาดหุ้นจีนก็ตอบสนองไม่ค่อยดีนัก ขึ้นแล้วก็ลงต่อ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเศรษฐกิจญี่ปุ่นอีก ว่าจะฟื้นจริงหรือฟื้นไม่จริง ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลงแรงในตอนปลายสัปดาห์ เรื่องเศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่นค่อนข้างซับซ้อนทีเดียว ตลาดหุ้นในย่านเอเชียจึงมีทั้งขึ้นและลง ส่วนตลาดหุ้นไทย ดัชนีเซ็ตปรับตัวลงเล็กน้อย

แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาคจะมีทั้งดีและไม่ดี แต่ความผันผวนของตลาดหุ้นในเอเชียขึ้นอยู่กับตลาดหุ้นอเมริกาและตลาดหุ้นจีนมากกว่า และแม้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกในรอบสัปดาห์ที่แล้วจะมีทั้งขึ้นและลงคละกัน แต่หากสังเกตในรายงานท้ายบทความนี้จะเห็นว่า ในภาพรวมแล้วตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่เป็นสัญญาณซื้อ มีตลาดหุ้นที่เป็นสัญญาณขายเพียงไม่กี่ตลาดเท่านั้น เช่น จีน อินเดีย ฯลฯ ดังนั้นลุงแมวน้ำยังมองในภาพรวมว่าตลาดยังเป็นแนวโน้มขาขึ้นอยู่ เดี๋ยวเรามาดูกราฟกัน 

ก่อนจะไปถึงกราฟลุงแมวน้ำขอพูดเรื่องตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ก่อน สัปดาห์ที่แล้วสินค้าโภคภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าเกษตรและน้ำมันร่วงต่อ สินค้าเกษตรนี่ลงแล้วลงอีก ยังหาก้นเหวไม่เจอ กลุ่มที่ขึ้นมีเพียงกลุ่มโลหะมีค่า ได้แก่ ทองคำและโลหะเงิน

ทางด้านตราสารหนี้ ทั้งตลาดพันธบัตรอเมริกาและไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรัฐบาลรอายุสั้นทรงตัว ส่วนกลุ่มอายุยาวสูงขึ้น แปลว่ามีแรงขายพันธบัตรในกลุ่มอายุยาว 

ทางด้านค่าเงิน สัปดาห์ที่แล้วเงินดอลลาร์ สรอ อ่อนค่า ทำให้เงินตราสกุลอื่นแข็งค่าขึ้น ยกเว้นเงินบาทไทยอ่อนตัวลงเล็กน้อย 



ลุงแมวน้ำพาชมตลาด


สัปดาห์นี้ลุงขอพูดเรื่องตลาดหุ้นมากหน่อย ส่วนพันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ และค่าเงิน คงพูดเพียงนิดหน่อย ขอเอาไว้คุยในโอกาสต่อไปบ้าง

เรามาดูกราฟดัชนีตลาดหุ้นต่างๆกันดีกว่า เขามีพระยาน้อยชมตลาดใช่ไหม นี่เป็นลุงแมวน้ำชมตลาด ไม่ใช่ตลาดสด แต่เป็นตลาดหุ้น ^_^



ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดูอาการไม่ค่อยดี มีช่อง (gap) ขาลงติดกันสองช่องทีเดียว ต้องระวังไว้ว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นอาจลงได้อีกมาก หากตลาดหุ้นญี่ปุ่นลง เงินเยนจะแข็ง และฉุดให้เงินบาทอ่อนได้



ตลาดหุ้นจีน รอมร่อจะหลุดจากจุดต่ำสุดเดิม แต่ก็ยังไม่หลุด พร้อมกันนั้นก็ก่อตัวเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมชายธงแล้ว อีกไม่นานจะรู้ว่าหมู่หรือจ่า ถ้าหลุดลงมาข้างล่างคงส่งผลกระทบมากพอดู



ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น



ตลาดหุ้นฮ่องกง ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น



ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น



ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย เกิดรูปแบบสามเหลี่ยมชายธง ยังไม่รู้ว่าจะขึ้นหรือลง



ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น



ตลาดหุ้นเยอรมนี ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น และใกล้ทดสอบจุดสูงสุดตลอดกาลเดิมแล้ว



ตลาดหุ้นไทย ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้นเช่นกัน



เราดููตลาดหุ้นประเทศต่างๆกันแล้ว สองประเทศสุดท้ายที่เราจะดูกันในรายละเอียด คือตลาดหุ้นอเมริกาและตลาดหุ้นไทย

มาดูตลาดหุ้นอเมริกากันก่อน




ตลาดหุ้นอเมริกายังเป็นขาขึ้น



ตลาดหุ้นและพันธบัตรของสหรัฐอเมริกา ภาพนี้มีทั้งหุ้นและพันธบัตรอยู่ด้วยกัน รูปย่อยบนเป็นราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปีและ 30 ปี รูปย่อยกลางเป็นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี และ 30 ปี ส่วนรูปล่างเป็นดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์



ภาพนี้ลุงแมวน้ำทำมาเป็นพิเศษ คือมีทั้งราคาพันธบัตร อัตราผลตอบแทนพันธบัตร และดัชนีตลาดหุ้น เปรียบเทียบกัน เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจน

เราดูภาพย่อยบนกันก่อน ตอนนี้ตลาดพันธบัตรอเมริกัน หากเป็นระยะกลาง คือพิจารณาตั้งแต่เดือนเมษายน 2013 เป็นต้นมา จะเห็นว่าราคาพันธบัตรเป็นแนวโน้มขาลง (และอัตราผลตอบแทนเป็นขาขึ้น) 

แต่หากพิจารณาในระยะสั้น คือในเดือนกรกฎาคม 2013 จะเห็นว่าแนวโน้มของราคาพันธบัตรในระยะสั้นเป็นขาขึ้น (และอัตราผลตอบแทนเป็นขาลง)

ที่ลุงแมวน้ำกำลังจะบอกก็คือ ตอนนี้ตลาดพันธบัตรกำลังหาจุดสมดุลใหม่อยู่ และภาพที่เป็นนี้ถือว่าเป็นสัญญาณในเชิงบวก เพราะว่าราคาพันธบัตรปรับตัวขึ้นในระยะสั้นได้แสดงว่ามีนักลงทุนเข้าซื้อ และก็แปลว่านักลงทุนไม่ได้หนีตลาดพันธบัตรไปไหน เพราะจำเดิมนั้นเรากลัวกันว่าผลจากการลดและเลิกคิวอีของลุงเบนจะทำให้ตลาดพันธบัตรดิ่งฮวบ เพราะมีแต่คนทิ้งพันธบัตร แต่จากภาพนี้แสดงว่านักลงทุนไม่ได้กลัวตลาดพันธบัตร ยังมีการเข้าซื้ออยู่ หากเป็นเช่นนี้ จะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น เพราะว่าหากตลาดพันธบัตรค่อยๆอ่อนตัวลงอย่างช้าๆ (คืออัตราผลตอบแทนค่อยๆเพิ่มอย่างไม่ฮวบฮาบ) เงินจะค่อยๆถ่ายจากตลาดพันธบัตรมายังตลาดหุ้น แต่หากตลาดพันธบัตรแตกตื่น ผลก็คือจะดิ่งทั้งตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น 

จากภาพนี้ ลุงแมวน้ำมองว่าเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น คือตลาดหุ้นอเมริกาจะค่อยๆขึ้นไปอีก ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเอเชีย ไม่ได้ส่งผลร้าย



ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในคลื่นใด



หลังจากที่ลุงเบนแถลงต่อสภาคองเกรส สำนักข่าวบลูมเบิร์กก็ทำการสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ 54 คน ผลสำรวจเดือน ก.ค. ปรากฏว่า 44% คิดว่าลุงเบนจะลดวงเงินซื้อตราสารลงเหลือ 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ ในการประชุมเดือนกันยายนนี้ เปรียบเทียบกับผสำรวจเดือน มิ.ย. ที่มีผู้คิดว่าลุงเบนจะลดวงเงินในการประชุมครั้งหน้านี้ 27%

จาก 27% ขยับมาเป็น 44% ตลาดหุ้นทั่วโลกเลยหวั่นไหวส่วนของไทยนั้นปัจจัยการเมืองเข้ามาเสริม ทำให้ลงลึกกว่าตลาดเพื่อนบ้าน

ลุงแมวน้ำลองมานับคลื่นดูอีกครั้ง คราวนี้นับทั้งในระดับคลื่นใหญ่และคลื่นรอง รวมทั้งคลื่นย่อย เพื่อให้เห็นภาพในหลายกรอบเวลา เราลองมาดูกัน




ตลาดหุ้นไทย นับคลื่น 2 แบบ

ดูภาพประกอบไปด้วยกัน จากการนับคลื่นของลุงแมวน้ำ ถ้าในระดับคลื่นใหญ่ (สีดำ) เราน่าจะอยู่ในคลื่น 5 (สีดำ) ส่วนในระดับคลื่นรองลงมา (สีน้ำเงิน) ลุงแมวน้ำคิดว่ามีทางเป็นไปได้สองแบบ

เรามาดูภาพบนกันก่อน เป็นการนับคลื่นรองแบบแรก หากเป็นไปตามสถานการณ์ภาพบน เราน่าจะอยู่ในคลื่น 4 (สีน้ำเงิน) ซึ่งคลื่น 4 นี้ลงได้ลึกถึง ดัชนี 900-1000 จุดเลยทีเดียว และโดยลักษณะของคลื่น 4 (สีน้ำเงินนี้) เป็นคลื่นในระดับกรอบเวลาใหญ่พอควร อีกทั้งมีความผันผวนสูง จะทำให้เกิดสัญญาณหลอกหลายครั้ง คิดว่าเป็นขาขึ้นแล้ว แล้ว แล้ว แล้ว... หลอกไปเรื่อยแต่ที่จริงเป็นขาลง จนเราหมดตังค์

เอาใหม่ ดูภาพล่าง ภาพล่างนี้เป็นการนับคลื่นรองแบบที่สอง หากเป็นไปตามสถานการณ์ภาพล่างนี้ เราน่าจะอยู่ในคลื่น 3 (สีน้ำเงิน) โดยคลื่น 3 นี้ยังไม่จบคลื่น กำลังทำคลื่นย่อย 4 (สีม่วงอยู่) คลื่นย่อยนี้เป็นคลื่น 4 ความผันผวนก็สูงเช่นกัน แต่เนื่องจากเป็นคลื่นในระดับคลื่นย่อย คือกรอบเวลาสั้นลง ก็คงทำให้เจ็บ น่าเบื่อ แต่คงไม่ถึงกับแย่แบบกรณีแรก และหากเป็นไปตามกรณีหลังนี้ คลื่น 3 น่าจะไปจบที่ประมาณ 2000-2100 จุด จากนั้นก็จะเข้าคลื่น 4 (สีน้ำเงิน)

ทั้งสองภาพนี้ ลุงแมวน้ำประเมินว่าในที่สุดเราก็จะอยู่ในคลื่น 4 (สีน้ำเงิน) จนได้ เพียงแต่ว่าจะเกิดขึ้นตอนไหนเท่านั้นเอง หากเป็นกรณีตามภาพแรก ตอนนี้เราก็อยู่ในคลื่น 4 แล้ว แต่หากเป็นตามภาพล่าง คลื่น 4 ก็คือเรื่องของอนาคตข้างหน้า

ถามว่าลุงแมวน้ำมองแบบไหน ตอนนี้ลุงแมวน้ำประเมิน 40/60 คือมองว่าเราน่าจะอยู่ในกรณีหลังมากกว่า มีโอกาสเป็นตามกรณีหลังสัก 60% สาเหตุก็คือ ตอนนี้ตลาดหุ้นอเมริกาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ผลจากเงินอัดฉีดตามโครงการ QE ยังมีอยู่ ดังนั้นตลาดหุ้นย่านเอเชียยังได้อานิสงส์อยู่ ประกอบกับหากเศรษฐกิจจีนไม่แย่ไปกว่านี้ ศูนย์กลางการค้าและเงินทุนของโลกจะค่อยๆย้ายมาเอเชีย ที่จริงตอนนี้เป็นยุคทองของเอเชีย เมื่อก่อนเรามุ่งตะวันตกหรือ go west เดี๋ยวนี้ใครๆก็มุ่งมาตะวันออกหรือ go east กันแล้ว ดังนั้นตอนนี้เป็นโอกาสของเอเชียมากกว่า ตลาดหุ้นคงไม่น่าซบเซา


ส่วนอีก 40% เผื่อใจว่าอาจเป็นตามกรณีแรก ที่ลุงแมวน้ำให้น้ำหนักกรณีแรกสูงอยู่เหมือนกันก็เพราะว่าดูคลื่นลมการเมืองของไทยค่อนข้างรุนแรง หากปัจจัยการเมืองมีผลรุนแรงต่อตลาดหุ้น เราก็น่าจะอยู่ในคลื่น 4 (สีน้ำเงิน) และลงไปแถวๆ 1000 จุด เพราะกรรมสร้างรูปแบบทางเทคนิค แม้ว่าเราจะนับคลื่นอย่างไรสุดท้ายก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์จริง




เปรียบเทียบอัตราแลกเปลี่ยนของเงินตราสกุลสำคัญบางสกุล และทองคำ




 photo s5026072013weeklyreport.gif

Tuesday, July 16, 2013

16/07/2013 * ลุงเบนกลับลำ และสรุปตลาดในรอบสัปดาห์ (07/07/2013 - 12/07/2013)

วันนี้เรามาสรุปภาวะตลาดในรอบสัปดาห์ที่แล้วกันคร้าบ

มาดูทางฝั่งเอเชียกันก่อน

ภาพเศรษฐกิจทางฝั่งเอเชียก่อนหน้านี้ไม่ค่อยดีนักเนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของจีนบ่งบอกอาการชะลอตัว ทำให้ประเทศต่างๆในเอเชียกังวลเศรษฐกิจของตนเองเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นคู่ค้ากับจีนกันทั้งนั้น เมื่อกำลังการบริโภคของจีนหดตัวลงย่อมกระทบถึงการส่งออก ส่วนเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นก็ยังมีการอัดฉีดตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีอาเบะ แต่ว่าอารมณ์เศรษฐกิจจะจับตามองที่จีนมากกว่า

ทางด้านตลาดหุ้น ทางฝั่งเอเชียแปซิฟิก ตลาดหุ้นเอเชียย่านเอเชียใต้และตะวันออก รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ก็มองๆตลาดหุ้นจีนอยู่ด้วยเช่นกัน เมื่อตลาดหุ้นจีนร่วงแรง ตลาดหุ้นไทยและในย่านเอเชียก็พลอยลงหรือซึมไปด้วย แต่ต่อมาเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว นายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียงของจีนพูดในทำนองที่ให้กำลังใจว่าจีนจะรักษาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับที่สมควร นั่นหมายถึงว่าหากชะลอตัวมากเกินไปก็พร้อมที่จะเข้าช่วย ตลาดหุ้นจีนจึงรีบบาวด์ขึ้นมาหลายร้อยจุดภายในไม่กี่วัน ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยด้วย

โดยสรุป ในสัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นในย่านเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น ที่ขึ้นแรงที่สุดคือตลาดหุ้นรัสเซีย

ทางด้านเศรษฐกิจยุโรป บรรยากาศเศรษฐกิจก็ยังไม่ค่อยดีเช่นเคย สัปดาห์ที่แล้วสถาบันจัดอันดับ S&P ลดอันดับเครดิตของอิตาลี ตัวเลขภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีก็ยังไม่ค่อยดี แต่ว่าตลาดหุ้นหลายประเทศในยุโรปก็ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ โดยเฉพาะเยอรมนีเกิดสัญญาณซื้อแล้ว อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปไม่ค่อยมีผลกับตลาดหุ้นไทยเท่าไรในช่วงนี้

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งไทยมากที่สุดในสัปดาห์ที่แล้วน่าจะอยู่ที่สหรัฐอเมริกา หรือจะพูดให้ชัดก็ต้องบอกว่าอยู่ที่วาทะของลุงเบน เพราะว่าลุงเบนไปพูดที่เมืองเคมบริดจ์ ทำนองว่าคิวอียังเป็นมาตรการที่จำเป็นอยู่ เพียงเท่านี้ตลาดหุ้นอเมริกา เอเชีย รวมไทยด้วย ก็ปรับตัวขึ้นรับข่าว เพราะตีความเอาว่ายังไม่เลิกคิวอีง่ายๆหรอก และหลังจากนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาก็ทำสถิติจุดสูงสุดใหม่อีก ดัชนีตอนนี้ถือว่าเป็น all time high คือสูงสุดเท่าที่เคยมีมาแล้ว

ในสัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นอเมริกา ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น +2.17% ส่วนดัชนีแนสแดก 100 ปรับตัวขึ้นถึง +4% ส่วนตลาดหุ้นในย่านอเมริกาใต้มีทั้งปรับตัวขึ้นและลง คละกันไป

ทางด้านตราสารหนี้ หรือว่าตลาดพันธบัตร ตอนนี้ตลาดพันธบัตรเป็นเรื่องที่น่าจับตามองทีเดียว เพราะว่าการลดหรือเลิกคิวอีจะมีผลต่อตลาดพันธบัตรมาก และตลาดพันธบัตรส่งผลกระทบไปยังอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ รวมทั้งตลาดหุ้นอีกด้วย หลายคนกลัวกันว่าตลาดพันธบัตรจะลงแรงแบบถล่มทลายเพราะการเลิกคิวอี ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดพันธบัตรเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาแล้ว ทำให้ราคาพันธบัตรกระเตื้องขึ้น (คืออัตราผลตอบแทนลดลง) ทั้งในตลาดอเมริกาและในตลาดพันธบัตรไทย โดยของไทยนั้น พันธบัตรรัฐบาล 10 ปีปรับตัวลง 4 จุดเบสิส

 ทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน ตอนนี้ยังสับสน เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ดอลลาร์ สรอ อาจกลับทิศเป็นขาลง (คือแนวโน้มอ่อนค่า) ส่วนเงินเยนกับยูโรอาจกลับทิศเป็นแนวโน้มแข็งค่า ส่วนเงินบาทก็เริ่มแข็งค่าขึ้น ในทางเทคนิคอาจกลับทิศเป็นแข็งค่าได้เช่นกัน ต้องตามดูในสัปดาห์นี้อีกที

อ้อ ด้านสินค้าเกษตร ตอนนี้สาละวันเตี้้ยลง ราคาสินค้าเกษตรไหลลงไม่หยุด ยังไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกลับทิศเป็นขาขึ้นได้

ก็สรุปให้ฟังคร่าวๆ ข้างล่างเป็นกราฟ ลุงแมวน้ำมีอธิบายประกอบกราฟไปด้วย


ขอวกมาพูดเรื่องลุงเบนกันหน่อย

ประเด็นเรื่องวาทะของลุงเบนนั้น ลุงแมวน้ำก็งงๆอยู่เหมือนกัน พูดแบบนี้จะบอกว่าอะไรก็ไม่รู้ จะแปลว่าลุงเบนกลับลำต่อคิวอีออกไปยาวๆเกินกว่ากลางปีหน้าหรือเปล่า

ลุงแมวน้ำเห็นลุงเบนอึมครึมอีกแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งทำตัวเป็นนายชัดเจนมาได้ไม่นาน ก็อยากแสดงความเห็นบ้าง ว่าทำอึมครึมไปเรื่อยๆแบบนี้ตลาดปั่นป่วนเปล่าๆ น่าจะทำอะไรให้มันชัดเจนหน่อย

หากลุงเบนหรือว่าเฟดกังวลเรื่องเศรษฐกิจฟืนจริงหรือฟื้นไม่จริง จนยังไม่กล้ากำหนดวันยุติคิวอี ลุงแมวน้ำก็ว่าทำดัชนีคอมโพสิตหรือว่าดัชนีผสมอะไรขึ้นมาสักตัวหนึ่งเป็นตัวชี้วัดก็ได้ แล้วทุกคนก็ดูตามนั้น คือพยายามทำให้เป็นตัวชี้วัดในเชิงปริมาณ นักลงทุนก็ได้เห็นภาพได้ชัดเจน แต่หากใช้ดุลพินิจตัดสินใจ ก็จะอึมครึมเป็นแบบที่ผ่านมา

หากพูดว่าดัชนีคอมโพสิตหลายคนอาจมองยาก เราพูดเป็นแบบการตัดเกรดในชั้นเรียนก็ได้ สมมติว่าดัชนีคอมโพสิตคือ GPA หรือว่าเกรดเฉลี่ย เกรดเฉลี่ยก็มาจากการตัดเกรดหลายๆวิชาใช่ไหม เราก็เอาตัวชี้วัดอะไรมาสักจำนวนหนึ่ง สมมติว่า 10 ตัวก็ได้ ตัวชี้วัดหนึ่งตัวก็เหมือนหนึ่งรายวิชา

ยกตัวอย่างเช่น เราใช้อัตราการว่างงานเป็นตัวชี้วัดตัวหนึ่ง เอาแบบถ่วงน้ำหนักก็ได้ สมมติว่าคิดน้ำหนักไป 6 หน่วยกิต เมื่อใดที่อัตราการว่างงานต่ำกว่า 7.5% ให้ B และหากต่ำกว่า 6.5% ให้ A

อัตราเงินเฟ้อก็เป็นอีกวิชาหนึ่ง ให้น้ำหนัก 6 หน่วยกิต หากเงินเฟ้อเกินกว่า 1.5% ให้ B หากเกิน 2.% ให้ A แบบนี้เป็นต้น

ยอดการซื้อขายบ้านก็อีกวิชาหนึ่ง ให้น้ำหนัก 3 หน่วยกิต เป็นต้น

แล้วเราก็เอาเกรดทุกวิชามาทำเป็นเกรดเฉลี่ย คำนวณทุกเดือน แล้วกำหนดเกณฑ์ออกมา เช่น เมื่อไรที่เกรดเฉลี่นเกิน 3.0 ก็ให้ลดวงเงินซื้อตราสารลงเหลือ 6.5 หมื่นล้าน หากเกรดเฉลี่ยเกิน 3.5 ก็ลดวงเงินลงอีกเหลือ 4.5 หมื่นล้าน หากเกรดเฉลี่ยกลับแย่ลง ก็เพิ่มวงเงินเข้าไปอีก ฯลฯ

หากเมื่อไรได้ 4.0 ก็เลิกเลย แบบนี้เป็นต้น ตลาดก็เฝ้าดูตัวเลขไปทุกเดือน แล้วทุกคนก็รู้ได้เอง คิดได้เอง ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ต้องกังวลว่าลุงเบนจะเอายังไงกันแน่

ลุงก็ออกความเห็นแบบแมวน้ำๆละนะ ที่จริงลุงเบนเคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ลุงแมวน้ำเท่ากับว่าเป็นแมวน้ำสอนสังฆราช แต่ขอลุงพูดหน่อยเถอะ เพราะเห็นความอึมครึมมาตลอดแล้วก็อดพูดบ้างไม่ได้ ^_^



ดัชนีตลาดหุ้นอเมริกาทำจุดสูงสุดใหม่อีกแล้ว พร้อมกันน้้นราคาพันธบัตรที่ไหลลงก็เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามา ตอนนี้ทั้งตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรกำลังหาดุลยภาพใหม่ของตนเองอยู่ ยังต้องใช้เวลาอีก

แม้ว่าเศรษฐกิจของยุโรปจะยังไม่ดีนัก รวมทั้งของเยอรมันเองก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ว่าดัชนีตลาดหุ้นของเยอรมนีก็เกิดสัญญาณซื้อ แล้วกำลังไต่ระดับไปเพื่อทำจุดสูงสุดใหม่


ดัชนีตลาดหุ้นไทย กำลังรอสัญญาณซื้อที่ 1464 จุดอยู่ ถ้าผ่านได้ก็ยืนยันแนวโน้มขาขึ้นในระยะสั้นได้

ตลาดพันธบัตรไทยก็มีแรงซื้อกลับเข้ามาเช่นกัน ราคาพันธบัตรรัฐบาลเริ่มรีบาวด์ รูปแบบทางเทคนิคกำลังทำแนวโน้มขาขึ้นอยู่ แต่ยังต้องดูไปอีก


ค่าเงินดอลลาร์ สรอ อาจกำลังกลับทิศเป็นขาลง เกิดรูปแบบเกาะกลับทิศแล้ว


เงินเยนกำลังก่อตัวเป็นแนวโน้มแข็งค่า แต่ยังไม่ชัด


เงินบาทหลุดจากกรอบ SEC เริ่มก่อตัวเป็นแนวโน้มแข็งค่า


ราคาสินค้าเกษตรไหลลงมาถึงระดับฟิโบนาชชี 100% แล้ว ยังไม่มีท่าว่าจะหยุด



ราคายางพาราก่อตัวเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมชายธง อีกไม่นานจะรู้ว่าขึ้นต่อหรือลงต่อกันแน่







 photo s5012072013weeklyreportcopy.gif

Sunday, July 14, 2013

เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ บำรุงผิวพรรณ ผ่องใส ลดริ้วรอย ด้วยโยเกิร์ตนมถั่วเหลือง (เจ/มังสวิรัติ) (3)



เปรียบเทียบผิวหนังของคนในวัยหนุ่มสาวกับในวัยผู้ใหญ่ ผิวหนังของหนุ่มสาวมีกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ดีซึ่งมีส่วนช่วยให้ผิวหนังดูผ่องใส เรียบเนียน ต่างจากในวัยผู้ใหญ่จนถึงวัยชรา ซึ่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวช้าลงไปตามวัย ส่งผลให้ชั้นขี้ไคลสะสมหนาตัวขึ้น ทำให้ผิวหนังแลดูหมองคล้ำ กระดำกระด่าง ไม่เรียบ ไม่เนียน

ผิวหนังในวัยผู้ใหญ่จนถึงวัยชรามีการเกิดริ้วรอยขึ้นอันเป็นไปตามวัย การผลัดเซลล์ผิวที่ช้าลงจะซ้ำเติมให้ริ้วรอยเหล่านี้ เนื่องจากเมื่อเซลล์ผิวชั้นขี้ไคลมีการสะสมตัวหนาขึ้น จะทำให้ริ้วเล็กๆ (line) เห็นได้ชัดขึ้น เพราะริ้วเล็กๆเหล่านี้เกิดในระดับชั้นขี้ไคลนั่นเอง นอกจากนี้ร่อง (wrinkle) และรอยย่น (fold) ที่เกิดในระดับลึกลงไปเพราะคอลลาเจนที่ลดลง ก็ยังดูเด่นชัดขึ้นด้วย



บทความนี้เดิมทีลุงแมวน้ำคิดว่าคงเขียนตอนเดียวจบ แต่เมื่อเขียนจริงๆก็คุยอะไรไปเรื่อยเปื่อย ถึงตอนนี้ก็เป็นตอนที่ 3 แล้ว แต่ก็อย่างว่าแหละ วันหยุดเป็นวันพักผ่อน ผ่อนชีวิตให้ช้าลงสักนิดในวันหยุด ไม่ต้องรีบ ทำอะไรเรื่อยๆเปื่อยๆ ช้าบ้างก็ดีเหมือนกัน



ผิวผ่องใส ลดริ้วรอย ด้วยการผลัดเซลล์ผิว


การผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นขี้ไคลหรือที่ภาษาฝรั่งเรียกว่าชั้นสตราตัมคอร์เนียม (stratum corneum) หรือบางทีก็เรียกว่าชั้นฮอร์นีเลเยอร์ (horny layer) นั้นเป็นกระบวนการธรรมชาติ เพื่อลอกเซลล์เก่าที่ตายแล้วออกไป โดยปกติกระบวนการผลัดเซลล์ผิวหนังนี้ใช้เวลาประมาณ 28 วันหรือคิดง่ายๆก็คือ 1 เดือน

ผลดีของการผลัดเซลล์ผิว เปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพ เซลล์ผิวหนังชั้นขี้ไคลนั้นก็เปรียบเสมือนเกราะบางๆที่่ห่อหุ้มผิวกายเอาไว้ เกราะนี้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอกโดยตรง หากเปรียบกับรถยนต์เราคงนึกภาพออกว่าหากเราใช้รถยนต์โดยไม่ปัดฝุ่นหรือไม่ล้างเลยผลจะเป็นอย่างไร รถก็คงเขลอะมอมแมมเนื่องจากฝุ่นละออง

ฉันใดก็ฉันนั้น ผิวหนังของเราก็เช่นกัน เกราะชั้นนอกสุดของเรานั้นเนื่องจากสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอก ไม่ว่าจะเป็นอากาศ ฝุ่นละออง สารเคมี ความร้อน ความเย็น ฯลฯ ดังนั้นจึงมักหมองมัว ประกอบกับตัวเซลล์ชั้นขี้ไคลเองเป็นเซลล์ที่หมดอายุไปแล้ว ดังนั้นสิ่งที่หมดอายุไปแล้วสภาพก็ดูจะไม่ค่อยดีนัก

และเหตุผลอีกประการก็คือ คนในวัยผู้ใหญ่ขึ้นไป ก็คืออายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป กระบวนการผลัดเซลล์ผิวนั้นจะค่อยๆช้าลง ยิ่งอายุมากขึ้น กระบวนการผลัดเซลล์ผิวก็จะยิ่งช้าลง เนื่องจากสังขารและกระบวนการต่างๆย่อมเสื่อมไปตามวัยนั่นเอง

ผลจากการที่สูงวัยขึ้น และกระบวนการผลัดเซลล์ผิวช้าลง ทำให้เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วมาสะสมอยู่ที่ชั้นขี้ไคลมากขึ้นก่อนที่จะได้ผลัดทิ้งไป ทำให้ผิวชั้นขี้ไคลมีความหนากว่าสมัยหนุ่มสาว ผลจากชั้นขี้ไคลที่สะสมตัวหนาขึ้นนี้สามารถสังเกตได้ด้วยสายตา คือผิวหนังจะดูหมอง คล้ำ กระดำกระด่าง ไม่ผ่อง ไม่เนียน

และนอกจากนี้ การที่ชั้นขี้ไคลสะสมหนาตัวขึ้น ทำให้ช่วยขับเน้นริ้วรอย ร่อง และรอยย่นบนผิวหนังให้เด่นชัดขึ้นอีกด้วย ดังภาพประกอบด้านบน

ดังนั้น ในวัยผู้ใหญ่ขึ้นไป การเร่งการผลัดเซลล์ผิวจึงมีประโยชน์ เพราะทำให้ชั้นขี้ไคลซึ่งสะสมหนาตัวนั้นผลัดออกไปเร็วขึ้น ทำให้ผิวหนังดูผ่องใส และสามารถช่วยลดริ้วรอยลงได้นิดหน่อย ทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียนขึ้น ดังกลไกที่ลุงแมวน้ำได้อธิบายไปแล้ว

ลุงแมวน้ำขอย้ำว่าโดยข้อเท็จจริงแล้ว การผลัดเซลล์ผิวช่วยลดริ้วรอยเล็กๆ (line) ได้เท่านั้น ส่วนร่อง (wrinkle) หรือรอยย่น (fold) นั้นแค่ช่วยให้ดูดีขึ้น เพราะร่องและรอยย่นเกิดในผิวหนังระดับลึกลงไป เกี่ยวข้องกับโปรตีนคอลลาเจน (collagen) และอิลาสติน (elastin) ซึ่งการผลัดเซลล์ผิวไม่ได้แก้ไขที่ต้นเหตุ 



โยเกิร์ตนมถั่วเหลือง กรดผลไม้ ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว


หลังจากที่เราทำความเข้าใจกับเรื่องส่วนประกอบของผิวหนัง และที่มาที่ไปของการผลัดเซลล์ผิวแล้ว ทีนี้เราก็จะมาดูกันว่า หากต้องเร่งการผลัดเซลล์ผิวเราจะทำอย่างไร

การเร่งการผลัดเซลล์ผิวนั้นหากศัพท์วิชาการในภาษาอังกฤษจะเรียกว่า exfoliation ซึ่งตรงกับคำว่าผลัดเซลล์ผิวในภาษาไทย แต่คำภาษาอังกฤษที่มักใช้ในภาษาทั่วไปหรือในการโฆษณาผลิตภัณฑ์มักใช้คำว่า skin peeling นั้นหมายถึงการลอกหรือปอกผิวออกไป เหมือนกับปอกเปลือกผลไม้ 

ปกติคนวัยหนุ่มสาวการผลัดเซลล์ผิวก็เป็นไปตามปกติอยู่แล้ว แต่ในวัยผู้ใหญ่ การผลัดเซลล์ผิวจะช้าลง ดังนั้นการเร่งการผลัดเซลล์ผิวก็คือการช่วยให้กระบวนการผลัดเซลล์ผิวดำเนินไปตามปกติเหมือนในวัยหนุ่มสาวนั่นเอง ปกติการผลัดเซลล์ผิวนั้นมีสองแบบ หากเร่งการผลัดเซลล์ผิวอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์รุนแรง กรณีนี้ต้องให้แพทย์ผิวหนังทำ

ส่วนการเร่งแบบนิดๆหน่อยๆ เราสามารถทำเองได้โดยใช้กรดผลไม้ หรือที่เรียกว่า fruity acid (ยกเว้นกรดผลไม้ที่ใช้ในปริมาณเข้มข้นในรูปสารสกัด ก็ให้ผลรุนแรงได้เช่นกัน แต่ที่มีในธรรมชาติไม่ได้เข้มข้นขนาดนั้น)

มนุษย์ค้นพบมานานแล้วว่าผลไม้บางชนิดสามารถช่วยบำรุงผิวพรรณได้ ดังนั้นเราจึงพบว่าตำรับบำรุงผิวแบบชาวบ้านที่ตกทอดกันมานั้นมีตำรับที่เกี่ยวกับผลไม้อยู่หลายตำรับทีเดียว เช่น การใช้แตงกวาแปะผิว แอปเปิ้ลแปะผิว การใช้น้ำมะขามบำรุงผิว ฯลฯ ซึ่งต่อมานักวิทยาศาสตร์จึงค้นพบว่าสารที่ช่วยในการบำรุงผิวพรรณที่อยู่ในผลไม้เหล่านี้ก็คือกรดอ่อนๆที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวนั่นเอง โดยกรดอ่อนที่อยู่ในผลไม้นี้มีอยู่หลายชนิดที่มีสรรพคุณช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ ซึ่งเรียกรวมๆกันว่า กรดผลไม้ หรือ fruity acid

กรดผลไม้นั้น ในทางเคมี คือกลุ่มของกรดที่เรียกว่ากรดอัลฟาไฮดรอกซี (alpha hydroxy acids) หรือที่เรียกว่า เอเอชเอ (AHA) นั่นเอง มาถึงตอนนี้หลายคนคงร้องอ๋อแล้ว เพราะว่าเอเอชเอนั้นเป็นส่วนผสมที่นิยมกันมากในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเมื่อหลายปีที่ผ่านมา 

ดังที่ลุงแมวน้ำบอกแล้วว่ากรดผลไม้นี้มีอยู่หลายชนิด กรดผลไม้แต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไปบ้าง รวมทั้งขนาดโมเลกุลก็แตกต่างกันด้วย เรามาดูกันว่ากรดผลไม้ที่นิยมใช้กันนั้นมีอะไรบ้าง


โครงสร้างโมเลกุลของกรดผลไม้ชนิดต่างๆ




  • กรดไกลคอลิก (glycolic) เป็นกรดผลไม้ที่มีขนาดโมเลกุลเล็กที่สุดในกลุ่ม AHA มีในอ้อย
  • กรดแลกติก (lactic acid) เป็นกรดที่จัดอยู่ในกลุ่มกรดผลไม้ที่ขนาดโมเลกุลเล็กเป็นอันดับสองรองลงมาจากกรดไกลคอลิก ตามชื่อแล้วก็คิดว่าน่าจะพบในผลไม้ แต่ที่จริงไม้ใช่ กรดแลกติกนี้แม้อยู่ในกลุ่ม fruity acid แต่เป็นกรดที่มีในโยเกิร์ต
  • กรดมาลิก (malic acid) มีในแอปเปิล มีขนาดโมเลกุลใหญ่ขึ้นมาอีก
  • กรดทาร์มาริก (tartaric acid) มีในมะขาม องุ่น มีขนาดโมเลกุลใหญ่ขึ้นมาอีก
  • กรดซิตริก (citric acid) มีในส้มต่างๆและมะนาวต่างๆ มีขนาดโมเลกุลใหญ่ที่สุดในกลุ่ม


ขนาดของโมเลกุลกรดมีผลต่อการซึมลงไปในชั้นผิวหนัง กรดโมเลกุลเล็กทำงานได้ดีกว่ากรดโมเลกุลใหญ่ ดังนั้นจะเห็นว่ากลุ่มกรดไกลคอลิกมีศักยภาพในการผลัดเซลล์ผิวได้ดีที่สุด แต่การหาอ้อยมาใช้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลไม้ที่หาซื้อง่ายเป็นพวกมะขาม ส้ม มะนาว แต่ก็มีขนาดโมเลกุลใหญ่ ดั้งนั้นตัวเลือกที่ดีที่สุดน่าจะเป็นกรดแลกติกเพราะว่ามีขนาดโมเลกุลเล็กและหาซื้อได้ง่าย ทำเองก็ยังได้

กลไกที่กรดผลไม้ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวอยู่ที่ว่ากรดเหล่านี้จะไปทำให้ชั้นขี้ไคลอ่อนตัวลง มีแรงยึดเกาะกันน้อยลง ทำให้หลุดลอกออกได้ง่ายขึ้น



โยเกิร์ตนมถั่วเหลือง ไม่ได้แค่ผลัดเซลล์ผิว ยังช่วยสร้างคอลลาเจนลดริ้วรอย


ดังที่ลุงแมวน้ำเล่ามาแล้วว่าหน้าที่หลักของกรดผลไม้นั้นคือเร่งการผลัดเซลล์ผิว และกรดผลไม้ที่หาง่าย ใช้สะดวก อีกทั้งมีคุณสมบัติที่ดี นั่นคือโยเกิร์ต เพราะว่ากรดแลกติกมีขนาดเล็ก โยเกิร์ตที่ว่านี้หมายถึงโยเกิร์ตนมวัวทั่วไป

แต่ว่าโยเกิร์ตนมถั่วเหลือง (soy yogurt) นั้นมีดีมากกว่านั้นอีก เพราะว่านอกจากช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวผ่องแล้ว ยังมีคุณสมบัติเพิ่มเติมอีก นั่นคือ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยลดริ้วรอยในระดับร่องและรอยย่นที่อยู่ในระดับลึกได้อีกด้วย 

คุณสมบัติในการลดริ้วรอยระดับลึกนั้นเกิดจากคุณสมบัติของตัวกรดเอง จากงานวิจัยใหม่ๆ พบว่า กรดไกลคอลิก กรดแลกติก และกรดซิตริก ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ (dermis) ได้อีกด้วย

และนอกจากนี้ ในโยเกิร์ตนมถั่วเหลือง ยังมีสารธรรมชาติที่เรียกว่าเจนิสทีน (genistein สารนี้ไม่มีในนมวัว) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย อันเป็นคุณสมบัติลดริ้วรอย (anti wrinkle) รวมทั้งยังมีสารเลซิทิน (lecithin สารนี้มีในนมวัวด้วย) ที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง

ดังนั้นการใช้โยเกิร์ตนมถั่วเหลืองเป็นครีมบำรุงผิว นอกจากช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวพรรณดูผ่องใสแล้ว การใช้ในระยะยาวยังช่วยลดริ้วรอยได้อีกด้วย



โยเกิร์ตนมถั่วเหลืองลุงแมวน้ำ เพิ่มภูมิต้านทานแก่ผิวหนังด้วยจุลินทรีย์โพรไบโอติก


ที่สำคัญที่สุดที่เป็นข้อดีของโยเกิร์ตนมถั่วเหลืองสูตรลุงแมวน้ำ ที่ไม่มีในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดอื่น ก็คือ มีจุลินทรีย์ในกลุ่มแลกติกแอซิดแบกทีเรีย (lactic acid bateria) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ประจำถิ่นบนผิวหนังนั่นเอง และที่พิเศษไปกว่านั้น คือเสริมด้วยจุลินทรีย์ในกลุ่มโพรไบโอติก (probiotic bacteria) ซึ่งเท่ากับว่าโยเกิร์ตนมถั่วเหลืองสูตรลุงแมวน้ำสามารถช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ผิวหนังได้อีกด้วย 

จุลินทรีย์ประจำถิ่นและภูมิคุ้มกันบนผิวหนังนี้สำคัญนักเชียว เนื่องจาก ด่านแรกที่สกัดกั้นการรุกรานจากจุลินทรีย์ภายนอกไม่ให้เข้ามาทางผิวหนังก็คือกลุ่มจุลินทรีย์ประจำถิ่นและภูมิคุ้มกันบนผิวหนังนั่นเอง ดังนั้นการบำรุงผิวด้วยโยเกิร์ตนมถั่วเหลืองสูตรโพรไบโอติกนี้จะช่วยให้ผิวพรรณมีสุขภาพดีขึ้นแบบองค์รวม และช่วยลดการอักเสบและติดเชื้อบนผิวหนังได้



ครีมบำรุงผิวโยเกิร์ตสูตรโพรไบโอติก ใช้อย่างไร


วิธีใช้ก็ไม่ยาก ก็เอาโยเกิร์ตนมถั่วเหลืองสูตรโพรไบโอติกที่เรากินนั่นแหละ แบ่งมาหน่อยนึง ชโลมตัวให้ทั่วหลังอาบน้ำ จากนั้นทิ้งไว้สัก 10-15 นาที หรือจะนานกว่านั้นก็ได้ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเปล่า ไม่ต้องใช้ครีมอาบน้ำซ้ำ

หลังจากใช้ครีมบำรุงผิวโยเกิร์ตที่ว่านี้ เพียงแค่ครั้งหรือสองครั้ง จะสังเกตพบว่าผิวหนังชุ่มชื้นมากขึ้น แถมมีกลิ่นหอมอ่อนๆด้วย น่ากินดี (กลิ่นโยเกิร์ตนั่นเอง) ^_^

หากใช้ในระยะยาว จะช่วยให้ผิวพรรณผ่องใสขึ้น ลดริ้วรอย ลดการอักเสบติดเชื้อของผิวหนังลงได้ ผิวหนังจะมีสุขภาพดีขึ้น

แถมเคล็ดลับนิดนึง ใครที่มือเท้าแช่น้ำ โดนผงซักฟอกบ่อยๆ มือเท้ามักอักเสบ หรือที่เรียกว่าน้ำกัดมือ น้ำกัดเท้า นั่นเอง พยายามใส่ถุงมือหรือรองเท้า ลดการโดนน้ำลง และใช้โยเกิร์ตชโลมมือเท้าบ่อยๆ ผิวหนังจะหายอักเสบเร็วขึ้น

และที่ลุงแมวน้ำอยากฝากให้ไปทดลองกันหน่อย ก็คือ ผลในการระงับกลิ่นอับในจุดซ่อนเร้น โดยทฤษฎีแล้วน่าจะช่วยได้บ้างนะ ก็ฝากเอาไปทดลองกัน



ครีมบำรุงผิวโยเกิร์ตนมถั่วเหลือง สูตรโพรไบโอติกของลุงแมวน้ำ หาซื้อได้ที่ไหน


ไม่มีขายคร้าบ ของดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอาเอง แต่ว่าทำไม่ยากหรอก ตามนี้เลย วิธีทำอยู่ในตอนที่ 3

เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ ทำโยเกิร์ตโพรไบโอติกสูตร (เกือบ) เจกินเองกันดีกว่า (ตอนที่ 1)

เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ ทำโยเกิร์ตโพรไบโอติกสูตร (เกือบ) เจกินเองกันดีกว่า (ตอนที่ 2)

เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ ทำโยเกิร์ตโพรไบโอติกสูตร (เกือบ) เจกินเองกันดีกว่า (ตอนที่ 3)


ท้ายที่สุดนี้ ลุงแมวน้ำอยากบอกว่านี่ไม่ใช่ของวิเศษนะคร้าบ ดังนั้น ต้องเข้าใจว่าการใช้นั้นต้องใช้อย่างต่อเนื่องเป็นประจำ และเข้าใจประสิทธิผลว่าช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดีขึ้นได้บ้างเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรก็ตาม สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง ย่อมเปลี่ยนไปตามวัย จะเหนี่ยวรั้งได้ก็แค่นิดหน่อย และที่สำคัญอีกประการก็คือ ปัจจัยอื่นก็มีผลด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น หากผิวไปออกแดดอยู่เป็นประจำ ผลของรังสียูวีในแดดที่ไปทำลายคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนังย่อมมีสูง เมื่ออัตราการทำลายสูงกว่าการสร้าง ผิวหนังก็ย่อมเหี่ยวลงๆ ใช้อะไรก็ช่วยไม่ไหว การหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้าจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดกว่า และใช้ครีมบำรุงเพื่อปรับปรุงสภาพผิวให้ฟื้นขึ้นบ้าง


เอาละ จบเสียที ลองเอาไปใช้กันดูนะคร้าบ ^_^











Thursday, July 11, 2013

11/07/2013 * อัปเดตร้อนๆ ใกล้เกิดสัญญาณซื้อแล้ว


วันนี้ลุงแมวน้ำมาอัปเดตสถานการณ์ล่าสุดให้ฟัง วันนี้ล่าสุดมากๆ คืออัปเดตจนถึงเที่ยง 11/07/2013 คือเมื่อกี้นี่เอง

เท้าความกันนิดหนึ่ง ตอนนี้ข้อกังวลของวัลของนักลงทุนมีอยู่ 2 ฝั่งโลกเชียว คือทางฝั่งตะวันตกก็กลัวอเมริกาจะหยุดคิวอี ซึ่งตอนนี้ก็ชัดเจนขึ้นแล้วละว่าหยุดแน่ เงื่อนเวลาก็ชัดเจนขึ้น

ส่วนทางตะวันออกนั้นก็กังวลเรื่องเศรษฐกิจของจีน ปกติตลาดหุ้นบ้านเราไม่ค่อยสนใจตลาดหุ้นจีนเท่าไรนัก จีนจะขึ้นจะลงเราไม่สน แต่มาในระยะหลังนี้ข่าวที่เกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนชักจะมีมากขึ้น ที่ไม่เคยสนใจก็กลับเอามากังวลด้วย ดังนั้นช่วงนี้ที่ตลาดหุ้นจีนตกรูดจึงส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยด้วย เศรษฐกิจจีนกลายเป็นปัจจัยที่นักวิเคราะห์หุ้นหยิบมาใช้ด้วยในการวิเคราะห์หุ้นไทย

ตลาดหุ้นจีนที่ดูเหมือนว่าจะลงจนสุดแล้ว และกลับเป็นแนวโน้มใหญ่ขาขึ้นแล้ว พอมาถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาก็ไหลลงอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเดือนเดียว ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงถึง -18% สาเหตุมาจากเรื่องตัวเลขต่างๆทางเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี ประกอบกับทางธนาคารกลางของจีนเดินหน้าจัดการกับสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้นอกระบบหรือที่เรียกว่า shadow banking ซึ่งพวกนี้ก็ทำกำไรดี เนื่องจากเป็นสถาบันการเงินที่กู้เงินจากระบบธนาคารปกติ ซึ่งดอกเบี้ยต่ำ ไปปล่อยกู้นอกระบบโดยได้ดอกเบี้ยสูง ซึ่งธนาคารเงาเหล่านี้ฝังรากมายาวนานและเป็นสายเลือดที่หล่อเลี้ยงธุรกิจขนาดย่อย เนื่องจากธุรกิจรายย่อยส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบธนาคารปกติ

การจัดการของทางการจีนก็คือการตัดท่อน้ำเลี้ยง ไม่ปล่อยกู้ให้ธนาคารเงาพวกนี้ ซึ่งส่งผลให้เงินตึงตัวในระบบธนาคาร รวมทั้งธนาคารเองก็ระวังการปล่อยกู้แก่กันเพราะไม่เชื่อเครดิตกัน ธนาคารไหนจะเจ๊งบ้างก็ไม่รู้ ทำให้สภาพคล่องตึงตัวมาก ตลาดหุ้นจีนตกรูด โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งต่อมาธนาคารกลางของจีนแถลงยืนยันว่าจะดูแลสภาพคล่องไม่ให้เกิดภาวะเงินตึงตัวขึ้น จึงทำให้ตลาดหุ้นจีนหยุดไหล

และเมื่อวานนี้เอง 10 ก.ค. 2013 มีการประกาศตัวเลขส่งออกของจีน ปรากฏว่ายอดส่งออกของจีนในไตรมาสที่ผ่านมาลดลง นายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียงก็ออกมาแถลงว่าจะใช้นโยบายที่ทำให้เศรษฐกิจจีนมีการเจริญเติบโต รวมทั้งมีอัตราเงินเฟ้อไม่เกินเป้าที่วางเอาไว้

แม้จะเป็นการพูดกว้างๆ ไม่ระบุตัวเลขอะไรให้ชัดเจน แต่ตลาดหุ้นจีนก็ตอบสนองเป็นอย่างดี เพราะคาดหวังว่าทางการจีนน่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามมา โดยตลาดหุ้นจีนเมื่อวันที่ 10 ก.ค. นี้ปรับตัวขึ้นมา +2.8% รวมทั้งยังส่งผลให้บรรยากาศโดยรวมของตลาดหุ้นเอเชียดีขึ้นด้วย ตลาดหุ้นต่างๆในเอเชียจึงเขียนกันเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งในวันนี้ (11 ก.ค.) ตลาดหุ้นจีนยังขึ้นต่ออีกประมาณ +4.8% (ตอนที่ลุงพิมพ์อยู่นี้ตลาดยังไม่ปิด เลยได้แค่ประมาณเอา)

ทีนี้มาดูทางฝั่งตะวันตกกันบ้าง มาที่สหรัฐอเมริกา ดังที่ทราบการแล้วจากการประชุมของเฟดในเดือนมิถุนายน 2013 ว่าลุงเบนน่าจะเริ่มชะลอการซื้อพันธบัตรและตราสาร MBS ลงในช่วงปลายปี 2013 นี้ และน่าจะยุติโครงการในช่วงกลางปี 2013

เมื่อคืนนี้เอง คือคืนวันที่ 10 ของบ้านเรา และเป็นกลางวันของอเมริกา เฟดก็เผยแพร่บันทึกการประชุมเฟดประจำเดือนมิถุนายนออกมา ซึ่งบันทึกการประชุมประจำเดือนนี้ออกเผยแพร่เป็นปกติอยู่แล้ว ในบันทึกนั้นมีรายละเอียดว่ากลุ่มผู้บริหารของเฟดนั้นเสียงแตกเรื่องการยุติคิวอี กล่าวคือ ประมาณครึ่งค่อนทีเดียวที่เห็นว่าควรยุติโครงการ QE ภายในปีนี้ และอีกส่วนหนึ่งเห็นว่าการจะหยุดได้ก็ควรมั่นใจได้ว่าอัตราการว่างงานนั้นลดลงและมีเสถียรภาพ คือไม่ใช่ลดลงเพียงชั่วครู่ชั่วยามแล้วก็กลับไปสูงใหม่

หลังจากที่บันทึกการประชุมเผยแพร่ออกไป ตลาดหุ้นอเมริกาเมื่อคืนก็เลยเซ็งๆ ปรับตัวลงนิดหน่อย แต่หลังจากที่ตลาดหุ้นอเมริกาปิดตลาดไปแล้ว ปรากฏว่าลุงเบนไปพูดที่เมืองเคมบริดจ์ โดยบอกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการผ่อนคลายเชิงปริมาณอย่างสูง (ก็คือการอัดฉีดเงินอย่างมโหฬารนั่นแหละ) ยังเป็นเรื่องที่จำเป็นอยู่ และอัตราการว่างงานที่ 7.6% ในขณะนี้ยังเป็นตัวเลขที่ไม่ดีพอ ตลาดก็ตีความเอาว่าคำพูดของลุงเบนนี้บอกใบ้ว่าคงเลิกคิวอีไม่ได้ง่ายๆหากเศรษฐกิจไม่ฟื้นจริง นักวิเคราะห์ฝรั่งบางคนถึงกับวิเคราะห์กันใหม่เลยว่า เท่าที่ผ่านมาตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรตีความสัญญาณของลุงเบนผิด ที่จริงลุงเบนตั้งใจจะบอกว่ากว่าที่ตลาดแรงงานจะมีอัตราว่างงานลดลงเหลือ 6.5% และมีเสถียรภาพนั้นยังต้องอัดฉีดกันอย่างหนักอีกนานต่างหาก ก็ว่าไปโน่น คือปกติลุงเบนจะระมัดระวังคำพูดมาก จะไม่พูดอะไรตรงๆเพราะว่าจะเป็นการมัดตัวเอง ลุงเบนมักพูดกำกวมเพื่อให้คนฟังไปตีความเอาเอง จึงมีการตีความกันไปต่างๆนานา

พูดแค่นี้แหละก็เป็นข่าวแล้ว ช่วงเช้ามืดของวันนี้ (11 ก.ค. เวลาบ้านเรา) ตลาดล่วงหน้าของอเมริกาก็ขึ้นแรงรับข่าว ประกอบการคำพูดของนายกหลี่เค่อเฉียงของจีน ทำให้วันนี้ตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ของจีนขึ้นแรง รวมทั้งตลาดหุ้นย่านเอเชียก็พลอยคึกคักขึ้นมาด้วย ดัชนีตลาดหุ้นไทย SET index ช่วงเช้า ปรับตัวขึ้น +3.18% ส่วนตลาดหุ้นยุโรปก็ขึ้นแรง ตอนที่ลุงแมวน้ำจิ้มแป้นอยู่นี้ ตลาดหุ้นเยอรมนี +1.5% แล้ว

อ่านดูแล้วข่าวต่างๆดูเหมือนไม่ค่อยมีประเด็นอะไรที่สำคัญเลยเนอะ หลายคนอาจคิดว่าพูดแค่นี้ก็ขึ้นแล้ว คนใหญ่พูดก็งี้แหละ พูดแล้วทำให้เกิดความคาดหวัง คนเล็กพูดตลาดไม่ขึ้นหรอก ก็นี่แหละ ตลาดหุ้นคือตลาดอารมณ์ เดากันไม่ค่อยจะถูกหรอก

เรามาดูกราฟกันดีกว่า ลุงแมวน้ำเอากราฟล่าสุด ร้อนๆ มาให้ดูหลายรูป ดูรูปและคำบรรยายตามไปได้เลยคร้าบ


ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นแรงมา 2 วันแล้ว คือ 10 กับ 11 ก.ค. รูปแบบทางเทคนิคเกือบเสียหายกลายเป็นคลื่นใหญ่ขาลง แต่ว่าแค่เกือบ ตอนนี้ยังไม่ใช่ และรีบาวด์ขึ้นมาแล้ว 


ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรง ครึ่งวัน +40 จุด (แท่งเทียนแท่งสุดท้ายเป็นของครึ่งวันเช้า ยังไม่จบวัน) การที่ไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ และท้องคลื่นเริ่มยกสูงขึ้น แนวโน้มขาขึ้นเริ่มก่อตัวแล้ว หากดัชนีผ่าน 1464 จุดได้ก็แสดงว่าระยะสั้นเป็นขาขึ้น

ตลาดหุ้นอเมริกาเริ่มเกิดแนวโน้มขาขึ้นแล้วเช่นกันตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน หลังจากร่วงลงมาช่วงหนึ่งเนื่องจากตกใจลุงเบน อีกไม่นานตลาดหุ้นอเมริกาน่าจะทำสถิติจุดสูงสุดใหม่ได้อีก


ความกังวลเรื่องการยุติ QE ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ สรอ แข็งค่าขึ้น เพราะเกรงกันว่าสภาพคล่องของ ดอลลาร์ สรอ จะลดน้อยลง ทั้งๆที่ตอนนี้สภาพคล่องยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ในทางเทคนิค ตอนนี้ดอลลาร์ สรอ เป็นแนวโน้มขาขึ้น แต่รูปแบบแท่งเทียนเริ่มไม่สวยแล้ว เนื่องจากเมื่อคืนค่าเงินดอลลาร์ สรอ อ่อนฮวบฮาบ ในระยะสั้นอาจปรับตัวลงได้ การที่ดอลลาร์ สรอ อ่อนค่าลง ย่อมทำให้ยูโรและเยนแข็งค่าขึ้น ดังนั้นช่วงนี้อัตราแลกเปลี่ยนจะผันผวน เก็งกำไรยาก

เงินบาทเริ่มชะลอการอ่อนค่า ในระยะหลัง เงินบาทไม่ค่อยสวนทางกับดอลลาร์ สรอ แต่สวนทางกับเงินเยน คือเยนแข็ง บาทอ่อน แต่ความสัมพันธ์เริ่มเปลี่ยนไป วันนี้เยนแข็ง บาทก็แข็งด้วย (คือบาทสวนทางกับ ดอลลาร์ สรอ ตามเดิม) ตามเทคนิคแล้วในระยะสั้นเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าได้อีก เนื่องจาก ดอลลาร์ สรอ อ่อนค่า

เมื่อค่าเงินผันผวน ดูทิศทางยาก ราคาทองคำที่สัมพันธ์กับค่าเงิน ก็ย่อมดูทิศทางยากด้วยเช่นกัน แต่ในทางเทคนิค แท่งเทียนวันสุดท้ายเกิดเป็นรูปแบบดาวโดจิ แปลว่ามีโอกาสลงต่อ แม้ว่า ดอลลาร์ สรอ จะอ่อนค่าก็ตาม 

ราคาเงินเยน (กราฟนี้ดูแบบหุ้น ค่าสูงแปลว่าเงินเยนแข็ง) ตั้งแต่กลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมาเงินเยนอ่อนค่า แต่เมื่อวานกับวันนี้ รูปแบบแท่งเทียนเริ่มแสดงอาการแข็งค่า ในระยะยาวยังถือว่าเป็นแนวโน้มอ่อนค่าอยู่ แต่ในระยะสั้นอาจแข็งค่าได้

ราคาน้ำมันดิบไนเมกซ์ ผ่านด่านปลายชายธงมาแล้ว ราคาน้ำมันที่ขึนแรงมีสาเหตุมาจากข่าวความไม่สงบไนอิยิปต์ ที่อาจส่งผลต่อการขนส่งน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง บวกกับยอดสต็อกน้ำมันดิบของอเมริกาลดลงมากในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ในช่วงนี้เป็นฤดูร้อนของอเมริกา เป็นฤดูกาลขับรถท่องเที่ยว การที่สต็อกน้ำมันลดลงมาก แสดงว่ามีการใช้น้ำมันมาก ก็แปลว่ามีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมาก ดังนั้นอนุมานได้ว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ตลาดหุ้นอมเริกากับราคาน้ำมันจึงปรับตัวขึ้น






















Wednesday, July 10, 2013

10/07/2013 * เวตแอนด์ซี ดูเฉยๆดีกว่า และสรุปภาวะตลาดประจำสัปดาห์ (01/07/2013 - 05/07/2013)


ลุงแมวน้ำเพิ่งทำข้อมูลเสร็จ ช่วงนี้ฐานข้อมูลรวนอีก เลยช้าหน่อย

ลุงยังเขียนอะไรไม่ทัน ช่วงนี้จ๊อบเยอะจริงๆ เดี๋ยวก็ต้องออกไปผจญรถติดอีกแล้ว

เรื่องตลาดหุ้น ตอนนี้ความผัวผวนเริ่มลดลง แม้ว่าตลาดจะลง แต่ว่ายังไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ ก็ลุ้นกันไปก่อน ขอใช้ภาษาประกิตสักหน่อยว่าช่วงนี้เวตแอนด์ซี (wait and see) ไปก่อน แปลความว่า อยู่เฉยๆดีกว่า

เมื่อต้นสัปดาห์ ลุงแมวน้ำพูดว่าสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยน่าจะไปต่อ อาจได้เห็นเกิน 1500 จุด พูดไม่ทันขาดคำ 1400 จุดมาให้เห็นเลย อูย เจ็บปอดอีกแล้ว ^_^ แต่ไม่เป็นไรน่า ดังที่ลุงแมวน้ำบอก คลื่น 4 นี้น่าเบื่อ และทำลายกำลังใจนัก

เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ระวังดอลลาร์ สรอ ไว้สักนิด ขึ้นมาสูงเอาการ รูปแบบทางเทคนิคยังไม่ชัดเจนว่าจะไปต่อได้อีกหรือจะย่อลงมาก่อน มีโอกาสย่ออยู่เหมือนกัน ส่วนเงินยูโรก็มีโอกาสแข็งค่าขึ้นเช่นกัน

ส่วนเงินเยนอาจอ่อนค่าต่อ และเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ ภายในไม่กี่วันนี้ก็น่าจะเห็นชัดเจนขึ้น

เรื่องค่าเงินตอนนี้ดูยากคร้าบ และส่งผลกระทบเยอะด้วย

ความกลัวเรื่องถอน QE ของลุงเบน และการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลก รวมทั้งเศรษฐกิจไทย กำลังเป็นประเด็นข่มขวัญให้นักลงทุนกลัวตลาด แต่ตลาดหุ้นอเมริกากำลังเดินหน้าต่อ ตอนนี้โลกกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ดุลยภาพใหม่ แล้วลุงแมวน้ำจะเอามาคุยกันอีกทีคร้าบ





 photo s5005072013weeklyreportcopy.gif

Thursday, July 4, 2013

04/07/2013 * สรุปภาวะตลาดในเดือนมิถุนายน (06/2013)

ช่วงนี้ลุงแมวน้ำวุ่นๆ สมาชิกในคณะละครสัตว์ป่วยกันวุ่นวาย ระวังไข้เลือดออกกันนะคร้าบ ไข้เลือดออกในยุคหลังความรุนแรงของโรคสูง อัตราตายสูงกว่าเมื่อก่อนเสียอีก แต่โชคยังดี ในคณะละครสัตว์ยังไม่มีใครเป็นไข้เลือดออก มีแต่ป่วยอย่างอื่น

ลุงแมวน้ำเขียนสรุปอะไรไม่ทัน เอาตารางข้อมูลไปดูกันก่อนละกัน ผู้ที่ดูประจำคงคุ้นเคยกับรูปแบบดีอยู่แล้ว

เดือนที่แล้วตลาดหุ้นแดงทั่วโลก ตลาดหุ้นไทยก็ลงแรง ระดับความผันผวนสูงมากทีเดียว โดยเฉพาะหุ้นรายตัวในกลุ่ม SET 50 แต่ละตัวผันผวนหนัก ยิ่งกลุ่มอสังหาฯเป็นกลุ่มที่ผันผวนมาก แต่ก็มีหุ้นบางตัวที่ในรอบเดือนที่ผ่านมายังเป็นบวกได้ เช่น PTT, DELTA ฯลฯ

อัตราแลกเปลี่ยนก็ผันผวนหนัก ระบบเทรดเกิดสัญญาณหลอก (false signal) เสียเงินกันเป็นว่าเล่น ลุงแมวน้ำว่าหากจะคุ้มครองความเสี่ยงก็เทรดค่าเงินกันไป แต่หากจะเก็งกำไรอาจจะยาก โอกาสขาดทุนสูง

ทองคำ เป็นสินค้าที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงนี้ เพราะสัมพันธ์กับค่าเงิน ผันผวนหนักเช่นกัน ขึ้นแรง ลงแรง จับทางยาก

บรรดาฟิวเจอร์สทั้งหลาย ช่วงนี้เทรดยาก มือใหม่ไม่ควรเข้าไปยุ่งเลย


 photo s5004072013junemonthlyreportcopy.gif

Tuesday, July 2, 2013

02/07/2013 * แบบนี้ขึ้นหรือลงกันแน่ จะเชื่อกราฟไหนดี


ดัชนีเซ็ต อีกไม่นานน่าจะย่อ หากตลาดเป็นขาขึ้นเราจะเห็นรูปแบบดัชนีซิกแซกขึ้น โดยจุดต่ำสุดยกสูงขึ้น

สัปดาห์นี้ลุงแมวน้ำยังทำสรุปในรอบเดือนมิถุนายนไม่เสร็จเลย ไม่ค่อยมีเวลาป้อนข้อมูล ลุงแมวน้ำไม่ได้ขี้เกียจนะคร้าบ แต่ว่าพักผ่อนเยอะนิดนึง ^_^

เมื่อปลายเดือนที่แล้วตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ก็รีบบาวด์ขึ้นมา ตลาดหุ้นไทยกับอเมริกาก็ขึ้นด้วย หุ้นไทยขึ้นแรงติดต่อกันหลายวัน แม้ในวันนี้ ช่วงเช้าที่ลุงแมวน้ำจิ้มแป้นพิมพ์อยู่นี้ ตลาดหุ้นก็ขึ้นได้อีก 20 จุด

แต่ใจเย็นๆนะคร้าบ ไม่ต้องไล่ สัญญาณซื้อของ SET index ยังต้องรอไปอีก อีกประการ ขึ้นติดต่อกันหลายวันก็ต้องมีปรับลงมาบ้าง การย่อตัวของดัชนีเป็นเรื่องดี ทำให้เราเห็นรูปแบบทางเทคนิคได้ชัดขึ้นว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง หากเป็นขาขึ้น รูปแบบการย่อตัวจะเป็นการซิกแซกขึ้น คือจุดต่ำสุดจะยกขึ้นสูงไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเป็นขาลง การย่อจะเกิดรูปแบบซิกแซกลง คือจุดสูงสุดต่ำลงเรื่อยๆ อีกประการ การย่อตัวทำให้ค่าความผันผวนลดลง เทรดแล้วไม่เหนื่อยมาก ดังนั้นการนั้นการย่อเป็นเรื่องดี

ดูอย่างตลาดหุ้นญี่ปุ่นสิ ขึ้นแรงมาก ม้วนเดียวขึ้นไปหลายพันจุด แบบนี้ตอนลงจะไม่ย่อแล้ว จะย่นลงมาเลย ก็ดังที่เห็นในช่วงเดือนที่แล้ว หากขึ้นแรงแบบม้วนเดียวนี่ไม่น่าเทรด เพราะว่าความผันผวนสูง เทรดแล้วเหนื่อย เพราะโอกาสขาดทุนสูง

ดังนั้นลุงแมวน้ำว่าหุ้นไทยไม่ต้องไล่หรอก ใจเย็นๆ หากตัวไหนสัญญาณซื้อมาก็ว่ากันไป แต่หากสัญญาณซื้อยังไม่มา ก็ไม่จำเป็นต้องใจร้อน


รูปแบบกราฟราคายางพาราสองตลาดแตกต่างกัน แนวโน้มระยะสั้นไปตรงข้ามกันเลย ทั้งที่เป็นยางผลิตภัณฑ์เดียวกัน สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากเงินเยน-บาท อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนมาก

รูปที่ลุงแมวน้ำนำมาให้ดูในวันนี้เป็นยางพารา รูปบนกราฟของราคายางโตคอมหรือยางพาราตลาดญี่ปุ่น ซึ่งเทรดกันเป็นเงินเยน

ส่วนรูปล่างเป็นกราฟของราคายางพาราตลาดไทย ซึ่งเทรดกันเป็นเงินบาท

ทั้งสองรูปนี้ลุงจับภาพมาในช่วงเวลาเดียวกัน สามารถดูเทียบกันได้ อีกทั้งยางพาราของสองตลาดนี้เป็นผลิตภัณฑ์เดียวกัน แต่จะสังเกตเห็นว่ารูปแบบของกราฟตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมามีรูปทรงกราฟที่ไม่ค่อยเหมือนกันนัก ยางเดียวกันแต่ทำไมกราฟราคาจึงไม่ล้อตามกัน แต่แตกต่างกันได้ขนาดนี้

คำตอบก็คือปัจจัยของค่าเงินหรือว่าอัตราแลกเปลี่ยนนั่นเอง เพราะว่าช่วงนี้ทั้งเงินบาทและเงินเยนผันผวน โดยเฉพาะเงินเยนผันผวนหนัก

ลองมาดูกราฟยางโตคอมกันก่อน จะเห็นว่าในช่วงเดือนมิถุนายน กราฟราคายางโตคอมเป็นขาลงเห็นได้ชัด ส่วนยางตลาดไทย ราคายางพาราในช่วงกลางเดือนมิถุนายนเป็นต้นมา กลับก่อตัวเป็นรูปแบบขาขึ้น เพราะมีการซิกแซกที่จุดต่ำสุดยกสูงขึ้น

กรณีแบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก นานๆจะเห็นความแตกต่างเยอะๆแบบนี้สักที ส่วนรูปแบบราคาทองคำโคเม็กซ์กับทองไทยนั้นต่างกันบ้างแต่ไม่มาก เพราะว่าความผันผวนระหว่างเงินบาทกับดอลลาร์ สรอ ไม่รุนแรง เท่ากับคู่เยน/บาท

รูปแบบนี้หาดูได้ยาก นานๆจะเห็นสักที แต่ก็เทรดยากด้วย เพราะไม่รู้ว่าจะเชื่อกราฟไหน ตามกราฟยางญี่ปุ่นดีหรือกราฟยางไทยดี

ในความเห็นของลุงแมวน้ำ กรณีนี้ควรดูยางโตคอมเป็นหลัก เพราะว่าราคายางไทยตามยางตลาดญี่ปุ่น ไม่ใช่ญี่ปุ่นตามไทย ดังนั้นควรดูราคาโตคอมเป็นหลักในช่วงที่ค่าเงินผันผวนมาก แต่หากค่าเงินนิ่งๆแล้วก็ดูกราฟยางไทยได้ ไม่มีปัญหาอะไร


รูปแบบกราฟราคาฟิวเจอร์สทองคำตลาดอเมริกา กับฟิวเจอร์สทองคำไทย แม้ว่าทองคำสองตลาดนี้เป็นคนละผลิตภัณฑ์กัน เพราะว่าเนื้อทองไม่เท่ากัน แต่ว่ารูปแบบราคาล้อกันไป ไม่แตกต่างกันนัก ทั้งนี้เพราะอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์ สรอ บาท ไม่ผันผวนมากนัก


และสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ กราฟยางไทยนั้นแม้ว่าตั้งแต่กลางเดือน มิ.ย. เป็นต้นมาจะซิกแซกขึ้น อันเป็นรูปแบบขาขึ้น แต่ถ้าเราดูในภาพที่ใหญ่ขึ้น จะเห็นว่าส่วนย่อยที่เรามองว่าเป็นขาขึ้นนั้นอยู่ในกรอบสามเหลี่ยมชายธงอีกทีหนึ่ง ดังนั้นต้องระวังเอาไว้ ราคายางญี่ปุ่นยังเป็นขาลงอยู่ ส่วนยางไทยก็เข้าสู่ปลายสามเหลี่ยมชายธง ยังไม่ใช่ขาขึ้นจริงๆ ดังนั้นต้องระวังคร้าบ