Wednesday, May 7, 2014

07/05/2014 แผ่นดินไหวและ Sell in May and go away (2)



แผ่นดินไหวที่เชียงรายเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 ระดับ 6


เมื่อวานตลาดหุ้นไทย ดัชนีเซ็ตปรับตัวลงประมาณ -17 น่าจะเป็นจากข่าวระเบิดที่หาดใหญ่ แต่ใจเย็นๆนะคร้าบ วันนี้เรามาดูเรื่องแผ่นดินไหวกันก่อน

แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นที่เชียงรายเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมนั้นไม่ธรรมดา แต่ว่าเป็นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยนับจากอดีตมาเลยทีเดียว นี่นับเฉพาะแผ่นดินไหวที่เกิดในประเทศไทยเท่านั้น อย่างแผ่นไหวที่ทำให้เกิดสึนามีเมื่อหลายปีก่อนนั้นไม่ได้เกิดในประเทศไทย พวกเหล่านั้นไม่ได้นับเข้ามา

แผ่นดินไหวครั้งนี้มีระดับความรุนแรง (magnitude) ที่ 6.0 ตอนนี้มีสื่อรายงานระดับความรุนแรงไว้หลายค่า 6.0 บ้าง 6.3 บ้าง ฯลฯ แต่ลุงถือตามที่ปรากฏในฐานข้อมูลของศูนย์แผ่นดินไหว USGS ของอเมริกา

แผ่นดินไหวในประเทศไทยครั้งใหญ่ ในอดีต ตั้งแต่ที่เรามีเครื่องมือตรวจวัดทางวิทยาศาสตร์มา ก็ประมาณว่าในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ที่ระดับ 5 หรือมากกว่านั้นมีเพียงไม่กี่ครั้งเอง เราลองมาดูกัน

ปี 1983 (พ.ศ. 2526) เดือนเมษายน เกิดแผ่นดินไหวหลายครั้งในจังหวัดกาญจนบุรี แถวอำเภอศรีสวัสดิ์ แต่ที่รุนแรงเกินระดับ 5 คือเมื่อวันที่ 15 เมษายน ระดับ 5.3 และหลังจากนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวระดับ 5.2 และ 5.6 ตามมาอีกในวันที่ 22 หรืออีกเจ็ดวันต่อมา

ปี 1994 (พ.ศ. 2537) วันที่ 11 กันยายน เกิดแผ่นดินไหวแถวอำเภอแม่สรวย เชียงราย วัดได้ระดับ 5.2

ปี 2006 (พ.ศ. 2549) วันที่ 7 ตุลาคม เกิดแผ่นดินไหวนอกชายฝั่งจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในอ่าวไทย ระดับ 5

ปี 2014 (พ.ศ. 2557) วันที่ 5 พฤษภาคม เกิดแผ่นดินไหวระดับ 6.0 แถวอำเภอแม่ลาว เชียงราย และหลังจากนั้นมาอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีก จนถึงวันนี้ เกือบ 300 ครั้งแล้ว แต่ที่เป็นอาฟเตอร์ช็อกระดับใหญ่ เท่าที่มีรายงานในตอนนี้คือระดับ 5.0 เกิดแถวอำเภอแม่สรวย เกิดเมื่อวันที่ 6

ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าแผ่นดินไหวในประเทศไทยครั้งนี้เป็นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบร้อยปีทีเดียว

แผ่นดินไหวนั้นเกิดจากการเลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกสองแผ่น ซึ่งแนวที่เปลือกโลกสองแผ่นขบกันและมีพลังพร้อมที่จะเลื่อนจนเกิดแผ่นดินไหว เราเรียกว่าเป็นแนวรอยเลื่อนที่มีพลัง (รอยเลื่อนที่นิ่ง ไม่มีแรงเลื่อน เราเรียกว่าเป็นรอยเลื่อนที่ไม่มีพลัง)

ทีนี้ในประเทศไทยนั้นมีแนวรอยเลื่อนที่มีพลังถึง 14 แนว ลองมาดูในภาพนี้กันคร้าบ เป็นแผนที่รอยเลื่อนมีพลังที่จัดทำขึ้นโดยกรมทรัพยากรธรณี


รอยเลื่อนมีพลัง 14 แห่งในประเทศไทย ที่อาจเกิดแผ่นดินไหว 
(คลิกที่รูปภาพเพื่อดูขนาดขยายได้คร้าบ)



แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนเกิดจากรอยเลื่อนพะเยา แต่รอยเลื่อนที่มีการสะสมพลังอยู่มาก และอาจเกิดแผ่นดินไหวระดับรุนแรงมากได้นั้นเป็นรอยเลื่อนในแนวขอบตะวันตกของประเทศ คือไล่มาตั้งแต่รอยเลื่อนแม่จัน เชียงราย ไปจนถึงรอยเลื่อนคลองมะรุ่ยในภาคใต้

ตอนนี้ที่นักธรณีวิทยาสนใจกันก็คือรอยเลื่อนแม่จัน กับรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย เพราะในอดีตเคยเกิดแผ่นดินไหวใหญ่มาก่อน และนิ่งเงียบสะสมพลังไว้นานแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่จะแสดงพลังออกมา สำหรับรอยเลื่อนแม่จันนั้น ตามพงศาวดารระบุว่าเมื่อประมาณพันกว่าปีมาแล้ว โยนกนครเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จนล่มทั้งเมืองนั้นก็เป็นแผ่นดินไหวใหญ่ที่เกิดจากรอยเลื่อนแม่จันนั่นเอง

เรื่องการพยากรณ์แผ่นดินไหวนั้น แม้ในปัจจุบัน ความรู้เท่าและเครื่องมือที่มนุษย์เรามีอยู่ก็ยังไม่สามารถพยากรณ์แผ่นดินไหวอย่างแม่นยำได้ ดังนั้น จึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมเมื่อเกิดหายนภัยแผ่นดินไหวแต่ละครั้ง เราจึงป้องกันอะไรไม่ได้ ก็เพราะไม่รู้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำนั่นเอง


วัดร่องขุ่นหลังแผ่นดินไหว ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เพียงแค่ภายนอกดังที่เห็น แต่เป็นระดับโครงสร้างด้วย ขณะที่ลุงแมวน้ำจิ้มบทความนี้ยังประเมินความเสียหายไม่ได้เนื่องจากยังมีอาฟเตอร์ช็อกตามมาอยู่ และอาฟเตอร์ช็อกนี้ทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ


ลุงแมวน้ำเห็นภาพความเสียหายของเมืองเชียงราย โดยเฉพาะที่วัดร่องขุ่นแล้วก็อดใจหายไม่ได้ วัดร่องขุ่นนี้ลุงเคยไปมาแล้วหลายครั้ง ครั้งแรกตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นยังไม่เสร็จ ยังก่อสร้างและยังวาดภาพฝาผนังกันอยู่เลย หลังจากนั้นก็ได้แวะไปอีกหลายครั้ง ได้เห็นพัฒนาการมาเป็นลำดับ ถือเป็นงานสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมชิ้นเอกระดับฝากไว้ในแผ่นดินทีเดียว และที่น่าทึ่งคือ สร้างด้วยศรัทธาและกำลังของสามัญชนคนธรรมดาคนหนึ่ง ด้วยทุนทรัพย์ที่รวมกันแล้วถึง 1,100 ล้านบาท วัดนี้มีชื่อไม่เป็นทางการอีกชื่อหนึ่ง เป็นชื่อที่คนทั่วไปเรียกกัน คือวัดเฉลิมชัย

แล้วเรื่องแผ่นดินไหวนี้เกี่ยวอะไรกับ Sell in May and go away อันที่จริงก็ไม่ค่อยเกี่ยวกันเท่าไรหรอก เกี่ยวกันนิดเดียวเอง คือยังงี้

ดังที่ลุงแมวน้ำบอกว่าแม้ในปัจจุบันเราก็ยังพยากรณ์แผ่นดินไหวไม่ได้ และจำได้ไหมที่ลุงแมวน้ำเคยบอกเอาไว้ว่า ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม อาจมีสิ่งบอกเหตุเกิดขึ้น ซึ่งอาจเป็นภัยธรรมชาติครั้งใหญ่

นั่นแหละ ลุงชักห่วงอยู่เหมือนกัน ว่าเดือนมิถุนายนอาจมีภัยธรรมชาติอะไรตามมาอีกที่อาจใหญ่กว่านี้ คือในด้านภัยธรรมชาติก็น่าห่วง แต่ในด้านการเมืองรวมถึงเศรษฐกิจ น่าจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เพราะเป็นสิ่งบอกเหตุถึงความเสื่อมของสิ่งไม่ดีไม่งามหลายอย่าง เราน่าจะได้รัฐบาลที่มือสะอาดและมีความสามารถพอสมควรมาบริหารประเทศต่อไปได้ เดือนมิถุนายนมาดูกันอีกทีหนึ่งคร้าบ

Tuesday, May 6, 2014

06/05/2014 แผ่นดินไหวและ Sell in May and go away (1)

แผ่นดินไหวระดับ 6 ที่เชียงราย เมื่อ 5 พฤษภาคม 2014 เวลา 18:08 น. ตามเวลาท้องถิ่น จุดศูนย์กลางลึกลงไปใต้ดิน 7.4 กม.

วันนี้ลุงแมวน้ำมีเรื่องคุยสองเรื่องเลย นั่นคือเรื่องแผ่นดินไหวและตลาดหุ้น เอ... มันเกี่ยวข้องกันไหมเนี่ย จะว่าเกี่ยวก็เกี่ยวละน่า แผ่นดินไหวที่เชียงรายครั้งนี้รุนแรงมากเป็นประวัติการณ์ จะไม่พูดถึงคงไม่ได้ ลองอ่านดูไปก่อน

ตอนนี้ประโยคยอดฮิตที่คุยกันในตลาดหุ้นคงหนีไม่พ้น Sell in May and go away นั่นคือ เดือนพฤษภาขายแล้วเผ่น

ประโยคนี้นักลงทุนไทยไม่ได้คิดขึ้นมาหรอก ต้นตำรับน่าจะเป็นภาษาอังกฤษ โดยฝรั่งพูดกันก่อน จากการสังเกตที่ว่าเดือนพฤษภาคมมักเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นลง ก็จึงมีการพูดกันว่าพอถึงเดือนพฤษภาคมก็ให้ขายแล้วเผ่นไปตั้งหลักก่อน พ้นเดือนนี้แล้วค่อยกลับเข้าตลาดมาลงทุนกันใหม่ ซึ่งนักลงทุนไทยก็เอามาพูดกันขำๆด้วย หรือบางคนก็อาจเอามาใช้ คือขายแล้วเผ่นจริงๆ เพราะว่าทิศทางของตลาดหุ้นอเมริกากับของไทยช่วงนี้สอดคล้องกัน ฝรั่งลงไทยก็ลง

นักลงทุนไทยหลายคนก็ถือเอาคตินี้มาใช้บ้าง เพราะคิดว่าตลาดหุ้นทั้งของไทยและอเมริกาก็มี P/E ratio ที่ไม่ถูกแล้ว พูดง่ายๆคือหุ้นเริ่มแพงแล้วนั่นอง ก็เริ่มกังวลกันต่างๆนานา มันจะแพงเกินไปแล้วไหม ขึ้นมานานแล้วเดี๋ยวจะร่วงแรงไหม การเมืองยังวุ่นวายอยู่ทำไมหุ้นยังขึ้นได้ จะขายก่อนดีไหม บลา บลา บลา ฯลฯ

กาลามสูตรบอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อสิ่งที่บอกต่อกันมา ก็คือ อย่าเชื่อพวก "เขาเล่าว่า..." นั่นเอง เราควรใช้ดุลพินิจของเราเองตัดสินใจ ไม่ใช่ตัดสินใจเพราะเขาเล่าว่า เงินของเรา ไปเชื่อเขาอยู่เรื่อยก็กระไรอยู่ >.<

เอาละ แล้วทีนี้จะพิจารณาอย่างไรจึงจะตัดสินใจได้ล่ะ

ลุงขอยกกรณีนี้เป็นกรณีศึกษาละกัน ในความเห็นของลุงแมวน้ำ เรามาพิจารณากันทีละประเด็นก่อนก่อน

มองประเด็นปัจจัยพื้นฐาน P/E ratio ค่อนข้างแพงแล้วจริงไหม ตอนนี้ p/e ratio ของดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นอเมริกาอยู่ที่ 17.2 เท่าแล้ว ส่วนของ SET index อยู่ที่ 16.1 เท่า ถือว่าแพงพอควร แต่ยังไม่ถึงกับแพงมาก

มองประเด็นปัจจัยทางเทคนิค ดูภาพชุดนี้กัน


ดัชนี S&P 500 (GSPC), Dow Jones Industrial (DJI), และ SET index (SET) 


ภาพนี้เป็นภาพดัชนี S&P 500 (GSPC), Dow Jones Industrial (DJI), และ SET index (SET) มาดูภาพบนของชุดกันก่อน

ภาพแรกของชุดนี้เป็นดัชนี S&P 500 ตอนนี้รูปแบบทางเทคนิคก่อตัวเป็นขาลง แม้ว่าสัปดาห์ที่แล้วตลาดอเมริกาจะขึ้นมาบ้าง แต่เส้นแนวโน้มขาลงยังไม่ถูกทำลายไป

ภาพที่สอง ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ DJI รูปแบบทางเทคนิคกำลังทดสอบ triple top หรือยอดตองอยู่ ยังไม่ผ่าน

ภาพที่สาม ดัชนี SET รูปแบบทางเทคนิคเกิดยอดคลื่นที่ดัชนีประมาณ 1430 จุดและเป็นแนวต้านตามระดับฟิโบนาชชี 78.6% อันเป็นแนวต้านสำคัญ และยังไม่ผ่าน

ดังนั้นพูดง่ายๆว่าทั้งสามดัชนีกำลังทดสอบแนวต้านสำคัญอยู่ และตอนนี้ยังไม่ผ่าน

แล้วจะมีโอกาสผ่านแนวต้านที่ว่าได้ไหม

คำตอบทางเทคนิคก็คือ ยังไม่แน่ โอกาสที่จะทดสอบแล้วผ่านด่านแนวต้านสำคัญนี้ได้ก็พอมี และหากผ่านได้ ก็แปลว่าตลาดหุ้นเดินหน้าไปต่อ ถ้าหากผ่านไม่ได้ก็ต้องปรับตัวลง แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มใหญ่ของทั้งสองตลาดนี้ยังเป็นขาขึ้น ดังนั้นแม้ตลาดจะลงก็คาดว่าน่าจะเป็นเพียงชั่วคราว

ถ้ายังงั้นขายไปตั้งหลักก่อนดีไหม

นี่แหละคำถามสำคัญที่ทุคนอยากรู้ แต่คงไม่มีใครตอบแทนใครได้หรอก ทุกคนต้องมีคำตอบสำหรับตนเอง เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องมาโทษใครในภายหลัง

หากแนวสายปัจจัยพื้นฐาน การตัดสินใจขายก็ต่อเมื่อราคาแพงเกินปัจจัยพื้นฐานไปมาก หรือว่าปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนไป ก็ต้องมีจุดตัดสินใจว่าเท่าไรจึงจะถือว่าแพงเกินไป

สำหรับสายปัจจัยเทคนิค ก็มีมุมมองหลายแบบ เช่น ถึงแนวต้านสำคัญก็ขายไว้ก่อน ผ่านแนวต้านได้ค่อยกลับไปซื้อใหม่ แพงขึ้นก็ไม่ว่า แต่ขอให้ผ่านได้ก่อนเถอะ แบบนี้ก็มี

สำหรับลุงแมวน้ำ ใช้สัญญาณซื้อขายกำกับ ดังนั้นต้องรอให้ราคาลงมาถึงระดับหนึ่งก่อน ถ้าราคาหลุดต่ำกว่าจุดนี้ก็ขาย ซึ่งแนวนี้จะตรงข้ามกับสายปัจจัยพื้นฐาน (ถ้าหุ้นพื้นฐานดี ยิ่งถูกยิ่งน่าซื้อ) ตอนนี้ยังไม่เกิดสัญญาณขาย ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงยังไม่ทำอะไร

และหากตลาดเกิดทดสอบด่านไม่ผ่านและปรับตัวลง ลุงแมวน้ำกมีสมมติฐานว่า กรณีที่ตลาดยังเป็นแนวโน้มใหญ่ขาขึ้นอยู่ ตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวลงไม่ลึก แนวรับสำคัญคือ 1300 จุด (P/E ratio = 14.7) และ 1270 (P/E ratio = 14.3) คงไม่น่าลงลึกไปกว่านี้

ผู้ที่ใช้แนวคิดแบบผสมสองสำนัก คือทั้งสายปัจจัยพื้นฐาน และสายปัจจัยเทคนิคประกอบกัน ต้องระวังให้ดี หากเป็นมือใหม่แล้วผสมสองสำนักค่อนข้างอันตราย หลักคิดของตนต้องแจ่มชัด เข้าใจทั้งหลักการและวิธีการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ ไม่อย่างนั้นความรู้จะตีกันอยู่ในหัวนั่นเอง เพราะปัจจัยพื้นฐานบอกถูกน่าซื้อ แต่สัญญาณทางเทคนิค อินดิเคเตอร์บอกว่าราคาร่วงถึงจุดที่ให้ขาย โอ... แล้วจะซื้อขายถูกไหมเนี่ย >.<

ทางที่ดี หากเป็นมือใหม่ ศึกษาของสายใดสายหนึ่งไปก่อน ความรู้จะได้ไม่ตีกัน

วันนี้ลุงแมวน้ำคุยได้แค่เรื่องตลาด ยังไปไม่ถึงเรื่องแผ่นดินไหวเลย เอาไว้คุยกันต่อพรุ่งนี้คร้าบ