Monday, April 7, 2014

07/04/2014 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ : ข้าวแช่ชาววังคลายร้อน



ข้าวแช่ชาววัง เมนูชื่นใจคลายร้อน


ช่วงนี้ลุงแมวน้ำกำลังง่วนกับการปรับปรุงเว็บบล็อกอยู่ ตั้งใจจะทำให้เสร็จฉลองครบรอบ 5 ปีของเว็บบล็อกลุงแมวน้ำในวันสงกรานต์ปีนี้ จากนั้นก็จะย่างเข้าปีที่ 6 แล้ว วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ลุงยังปรับปรุงไม่เสร็จเลย ฮือ จะทันไหมเนี่ย >.<

วันหยุดแวะมาคุยเล่นกันก่อน

วันนี้ลุงแมวน้ำเอาข้าวแช่มาฝาก กินแก้ร้อนกัน

ข้าวแช่เดิมทีนั้นว่ากันว่าเป็นอาหารมอญ ต่อมาตำรับนี้เข้าไปในราชสำนัก กลายเป็นอาหารที่นิยมกันภายในวังตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 เป็นต้นมา และแพร่หลายออกมานอกราชสำนักในช่วงรัชกาลที่ 4-5 และช่วงนี้เองที่มีการดัดแปลงเติมน้ำแข็งลงไป เพื่อให้เย็นสดชื่นสะใจยิ่งขึ้น จากที่ก่อนหน้านั้นไม่เติมน้ำแข็ง ก็คงจะเป็นเพราะเมื่อก่อนเก่าน้ำแข็งหายากด้วยแหละ พอมาถึงยุครัชกาลที่ 4 มีการนำน้ำแข็งเข้าจากสิงคโปร์ จึงค่อยมีการเติมน้ำแข็งกัน สมัยก่อนน้ำแข็งก็ต้องนำเข้ากันทีเดียว

ดังนั้นข้าวแช่ชั้นดีตำรับดั้งเดิมจึงเป็นตำรับของในรั้วในวัง นี่เองจึงเป็นที่มาของคำว่าข้าวแช่ชาววัง ส่วนข้าวแช่ตำรับชาวบ้านนั้นก็พลิกแพลงเอาตามอัธยาศัยตามวัถุดิบและฝีมือที่มีอยู่ แต่ส่วนใหญ่เมื่อทำขาย ไม่มีใครประโคมตัวเองหรอกว่าเป็นข้าวแช่ชาวบ้าน เห็นแต่ข้าวแช่ตำรับชาววังทั้งนั้น ^_^

ส่วนประกอบของข้าวแช่นั้น มาดูที่เครื่องกันก่อน เครื่องของข้าวแช่มี ลูกกะปิ เนื้อฝอย (บางทีก็หมูฝอย) ไชโป๊วผัดหวาน พริกหยวกสอดไส้ ปลาแห้ง แล้วก็กินกับผักซึ่งมักเป็นกระชายสด แตงร้าน ฯลฯ

ส่วนข้าวนั้นใช้ข้าวสวยแช่น้ำ วิธีกินก็กินข้าวสวยแช่น้ำ (ใส่น้ำแข็งด้วย) พร้อมกับเครื่องดังที่ว่า

ถามว่าความยากของอาหารเมนูนี้อยู่ที่ไหน ก็ตอบว่าหากทำกันแบบไว้ฝีมือโบราณจริงๆก็ยากทุกส่วนเลย ส่วนเครื่อง (ลูกกะปิ ไชโป๊ว ฯลฯ) นั้นมีหลายอย่าง การทำให้อร่อย กรอบ แลดูสวยงามนั้นทำได้ยาก อย่างเช่นกระชาย หากไว้ฝีมือหน่อยก็ต้องสลักเสลา กินไปก็ดูความสวยงามไป เป็นต้น

ผักที่กินเป็นเครื่องเคียง (เรียกว่าผักแนม) มักเป็นกระชาย แตงร้าน ต้นหอม ฯลฯ ซึ่งหากต้องการให้ประณีตก็ต้องมีการแกะสลักลวดลายลงไปด้วย กระชายมักสลักเป็นจำปี แต่งร้านก็สลักเป็นใบไม้ ดอกไม้สีส้มในภาพเป็นดอกจำปา ทำจากแครอท

ส่วนข้าวนั้นก็ต้องใช้ข้าวที่ค่อนข้างแข็ง เช่น ข้าวเสาไห้ ใช้ข้าวหอมมะลิไม่ได้ เพราะเมื่อแช่น้ำแล้วยุ่ยเละหมด ข้าวนี้ก็ต้องนึ่ง ไม่ใช่หุง

ส่วนน้ำที่แช่ข้าว ส่วนนี้แหละ ดูง่ายๆแต่ที่จริงยากมากถึงมากที่สุด เพราะน้ำที่แช่ข้าวสวยแล้วกินอร่อยนั้น ตามตำรับดั้งเดิมต้องเป็นน้ำฝนที่สะอาดบริสุทธิ์ แต่สมัยนี้หากอยู่ใน กทม ใช้น้ำฝนไม่ได้แล้วล่ะ เพราะมลพิษในอากาศทำให้น้ำฝนไม่สะอาด ต้องใช้น้ำสะอาดอย่างอื่นแทน

เมื่อได้น้ำสะอาดมาแล้วก็ต้องมาอบร่ำควันเทียน ซึ่งควันเทียนนี้มาจากเทียนอบ เทียนอบนี้หากจะให้หอมก็ต้องทำเองซึ่งขั้นตอนการทำเทียนอบก็ยุ่งยาก รวมทั้งการอบร่ำให้น้ำสะอาดมีกลิ่นควันเทียนนั้นก็ยาก เพราะหากทำไม่เป็น น้ำจะมีแต่กลิ่นควันไฟเหม็นๆแทน

การอบร่ำควันเทียนแก่น้ำข้าวแช่ ตองใช้เทียนอบโดยเฉพาะ (เทียนไขไม่ได้เชียว) เทียนอบนี้ก็มีสูตรการทำเฉพาะตัว กลิ่นหอมหรือไม่ขึ้นกับฝีมือการทำเทียนอบและฝีมือการอบร่ำ หากทำไม่เป็น น้ำที่ได้จะมีแต่กลิ่นควันไหม้ๆ

และนอกจากนี้ น้ำแช่ข้าวนี้อบควันเทียนยังไม่พอ ยังต้องลอยด้วยดอกไม้หอมเพื่อให้กลิ่นดอกไม้หอมละลายลงไปในน้ำอีกด้วย ดอกไม้หอมที่นิยมใช้มักเป็นมะลิ หรือกุหลาบมอญ

ยัง ความยากของน้ำแช่ข้าวยังไม่หมด สมัยนี้ดอกมะลิหรือกุหลาบล้วนแต่พ่นยาฆ่าแมลงทั้งนั้น ดังนั้นหากจะทำตามตำรับโบราณจริงๆก็ต้องลงทุนปลูกกุหลาบมอญหรือมะลิเอง เห็นไหม ว่าแค่น้ำข้าวแช่ก็ยังยากเย็นแสนเข็ญ

ขั้นตอนการลอยดอกไม้ในน้ำข้าวแช่เพื่อให้น้ำมีกลิ่นดอกไม้ มักใช้มะลิหรือกุหลาบมอญ การทำน้ำดอกไม้ก็มีเทคนิคเช่นกัน น้ำดอกไม้ที่ลอยดอกไม้ในช่วงเช้ามืดจะมีกลิ่นหอมสดชื่นกว่าการทำในเวลาอื่น เพราะดอกไม้เหล่านี้บานและส่งกลิ่นหอมยามเช้านั่นเอง นี่เป็นเทคนิคอันละเอียดอ่อน คุณภาพของน้ำลอยดอกไม้จะหอมหรือไม่ส่วนหนึ่งก็อยู่ตรงนี้แหละ และส่วนใหญ่มักไม่บอกกัน น้ำลอยดอกไม้อบร่ำควันเทียนที่ทำอย่างประณีตฝีมือดีๆนั้นหาดื่มได้ยากมากในสมัยนี้ ใครได้ชิมแล้วจะสดชื่น เพราะรสชาติดีมาก ได้ทั้งกลิ่นและรสอันหอมละมุน ราวกับอยู่ในความฝันอันแสนสุขทีเดียว ^_^

การกินข้าวแช่ให้อร่อยควรใส่น้ำลอยดอกไม้ (น้ำข้าวแช่) ในคนโฑดินเผา เมื่อน้ำมาเสิร์ฟจะเย็นชื่นใจ

สมัยก่อนหากลุงมีโอกาสแวะไปท่าพระจันทร์ทีไรก็มักเข้าไปกินข้าวแช่ที่ร้านริมน้ำตรงท่าพระจันทร์ (ไม่ใช่ร้านชื่อริมน้ำ แต่ว่าอยู่ริมน้ำ) ข้าวแช่เป็นอาหารที่ราคาไม่ถูกนัก เพราะว่าทำยาก ตำรับชาววังมักราคาแพงหน่อย แต่หากลดรูปลงไปบ้างเป็นตำรับชาวบ้านก็ย่อมเยาลงมาบ้าง ต่อมาลุงก็เลิกกินไป

ที่เลิกกินเพราะว่าหากินได้ค่อนข้างยาก เป็นอาหารที่วัยรุ่นหนุ่มสาวไม่ค่อยนิยม จึงไม่ค่อยมีใครทำขายกัน และอีกประการ ที่ลุงเลิกกินเพราะว่าไม่แน่ใจในน้ำลอยดอกไม้นั่นแหละ ลุงกลัวยาฆ่าแมลงที่มากับดอกไม้

ปัจจุบัน เมนูข้าวแช่ถือว่าเป็นเมนูที่หากินได้ยาก และมีราคาพอสมควร แต่เรื่องความปลอดภัยดูเหมือนจะดีขึ้นมั้ง เพราะบางเจ้าบอกว่าปลูกดอกไม้เอง ไม่พ่นยาใดๆ ร้านเดิมที่ลุงเคยกินที่ท่าพระจันทร์ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว แต่ว่าที่บางลำภูมีร้านเก่าแก่อยู่เจ้าหนึ่ง ซึ่งลุงก็ไม่เคยกินสักที แต่ที่เคยลองลิ้มชิมคือในห้องอาหารของโรงแรมเวียงใต้ บางลำภู อร่อยดีคร้าบ ^_^

ห้องอาหารของโรงแรมเวียงใต้นั้นเป็นแหล่งของกินโบราณสมัยก่อน ลูกค้าที่มากินก็อายุไม่น้อยกันเป็นส่วนใหญ่ มาพบปะสังสรรค์และนั่งรำลึกความหลังกัน คิดง่ายๆ เมื่อเดินเข้าไปเพลงนางฟ้าจำแลงของสุททราภรณ์ก็ลอยมาตามลมนั่นแหละ คงพอนึกออกว่าลูกค้าเป็นวัยระดับไหน ^_^

การทำข้าวแช่สมัยนี้ง่ายขึ้น ลุงเคยคิดอยากทำข้าวแช่กินเองอยู่เหมือนกัน โดยไปซื้อข้าวนึ่งกับเครื่องมา ส่วนน้ำลอยดอกไม้อบควันเทียนลุงก็ทำเอง  น้ำลอยดอกไม้ เดี๋ยวนี้มีน้ำกุหลาบน้ำเข้ามาขาย ก็แพงหน่อย แต่ปลอดภัย ส่วนการร่ำควันเทียนก็มีกลิ่นควันเทียนที่เป็นกลิ่นสังเคราะห์ หยดลงไปหน่อยก็พอคลับคล้ายอยู่เหมือนกัน ทุ่นแรงไปได้เยอะ นี่เป็นไอเดียของลุงนะ คิดเล่นๆ ยังไม่มีโอกาสทำสักที ^_^



Saturday, March 1, 2014

01/03/2014 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ : วัวแสนสุข




ช่วงนี้ลุงแมวน้ำห่างหายไปจากพวกเราบ้าง ไม่ค่อยได้อัปเดตเรื่องตลาดหุ้นและการลงทุนถี่เหมือนอย่างเคย ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าตลาดหุ้นยังไม่ค่อยมีปัจจัยอะไรใหม่ ก็ยังเป็นปัจจัยเดิมๆอยู่ มุมมองที่ลุงแมวน้ำเขียนเอาไว้แล้วจึงยังไม่เปลี่ยน ก็เลยไม่ค่อยมีเรื่องอะไรมาอัปเดตนัก อีกอย่างหนึ่งก็คือลุงแมวน้ำงานเยอะขึ้นกว่าเดิมน่ะ แบ่งเวลามาเขียนอะไรต่ออะไรได้น้อยลง และอีกอย่างหนึ่งก็คือ (แหม่ หลายอย่างจริง ^_^) ลุงแมวน้ำกำลังปรับปรุงแนวทางในพูดคุยและนำเสนอเกี่ยวกับการลงทุนทั้งในเว็บบล็อกและในเฟซบุ๊ก ทั้งนี้เพราะว่าทำอะไรแล้วย่ำอยู่กับที่นานๆก็ไม่ค่อยดี เมื่อโลกก้าวไปข้างหน้า การที่เราหยุดอยู่กับที่ก็เหมือนกับเป็นการถอยหลังนั่นเอง ถือว่าเป็นการปรับปรุงฉลองเว็บบล็อกครบ 4 ปีและย่างเข้าสู่ปีที่ 5 ก็แล้วกัน ประเด็นหลักที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดคือ ลุงแมวน้ำจะโกอินเตอร์ คือชวนพวกเราไปลงทุนในต่างประเทศกัน เพราะปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนคลายเรื่องนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศลงมาก นักลงทุนรายย่อยอย่างพวกเราก็สามารถกระจายความเสี่ยงด้วยการไปลงทุนในต่างประเทศได้ด้วยตนเองด้วยการซื้อหุ้นและอีทีเอฟ (etf) ในตลาดต่างประเทศ

รออีกนิดเดียว ลุงแมวน้ำเตรียมข้อมูลไปได้มากพอควรแล้ว อีกไม่นานเราจะได้มาคุยกัน ^_^

สำหรับวันนี้ เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แถมยังเป็นต้นเดือนอีกด้วย ลุงแมวน้ำละชอบจริงๆ วันหยดแถมยังรับเงินเดือนมาหมาดๆ คืนนี้ว่าจะไปสั่งลาเวทีอโศกสักหน่อย เพราะว่ากำนันสุเทพประกาศคืนพื้นที่จราจร ยุบเวทีต่างๆลง คือที่สีลม อโศก ปทุมวัน ราชดำเนิน ราชประสงค์ และย้ายไปตั้งเป็นเวทีเดียวที่ภายในสวนลุมแทน ส่วนเวทีแจ้งวัฒนะกับเวที คปท ที่หน้าทำเนียบนั้นยังคงมีอยู่ต่อไป เพราะสองเวทีนั้นดำเนินการเป็นอิสระจาก กปปส

ลุงจะไปส่งท้ายที่เวทีอโศก เพราะว่าเป็นเวทีที่ไปค่อนข้างน้อย จะไปถ่ายรูปและซื้อของที่ระลึกมาเก็บไว้สักหน่อย และสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป ชาวกรุงเทพฯก็คงได้ดำเนินชีวิตที่สะดวกสบายตามเดิม รถเมล์ก็กลับมาวิ่งในเส้นทางปกติได้ หลังจากที่ต้องปรับเส้นทางจนผู้โดยสารงงไปหมด

แต่อย่างไรก็ดี อย่าประมาทนะคร้าบ ยังต้องระวังเหตุรุนแรงอยู่ตลอดช่วงเดือนมีนาคม

เอาละ เรามาคุยเรื่องเบาๆในเช้าวันหยุดกันดีกว่า ^_^

คลิปวีดิโอข้างบนที่ลุงแมวน้ำนำมาฝากนั้นเป็นคลิปจากเยอรมัน เสียงพูดเป็นภาษาเยอรมันแต่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษกำกับอยู่ด้วย ฟังไม่ออกก็ไม่เป็นไร ลุงแมวน้ำพากย์ไทยให้ฟังเอง

คลิปนี้มีชื่อว่าวัวแสนสุข หากเดาไม่ออกว่าวัวฝูงนี้มีความสุขกันเพียงใด ลองดูคลิปให้จบ ยาว 3 นาทีเอง ใครดูแล้วไม่อมยิ้มในความน่ารักของวัวเหล่านี้ก็ใจแข็งแล้ว >.<

วัวเหล่านี้เดิมเป็นวัวนมที่กำลังจะถูกส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์ เหตุเกิดในฟาร์มโคนมใกล้เมืองโคโลญจ์ ในปี 2012 โดยฟาร์มแห่งนี้มีปัญหาด้านการเงินและจำเป็นต้องขายวัวนมและลูกวัวเข้าโรงฆ่าสัตว์ หญิงชาวเยอรมันในคลิปนี้อยู่ใกล้ฟาร์มโคนม ทนดูวัวเหล่านี้เข้าโรงฆ่าไม่ได้ จึงทำเป็นมูลนิธิขึ้นและซื้อวัวเหล่านี้มาเลี้ยงไว้

วัวเหล่านี้รอดพ้นจากโรงฆ่าสัตว์อย่างหวุดหวิด และกลับได้มีชีวิตอย่างสุขสบายและมีอิสระเสรี และดูเหมือนว่าพวกวัวเหล่านี้จะรู้ตัวว่าเรื่องร้ายๆได้ผ่านพ้นไปแล้ว พวกเธอจึงมีชีวิตอย่างมีความสุข... มีความสุขกันเพียงใดลุงเชื่อว่าใครที่ได้ดูคลิปนี้ก็จะดูออก

นักวิชาการปศุสัตว์บอกว่าวัวเหล่านี้มีความสุขมากกว่าปกติ คือวัวทั่วไปไม่แสดงออกถึงความสุขด้วยการโลดเต้นมากมายขนาดนี้ ก็แน่ล่ะ เพราะนี่คือคุณค่าของเสรีภาพนั่นเอง

ลุงแมวน้ำจะขอเล่าขยายความสักหน่อย เพื่อให้พวกเราเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องวัว คือปกติวัวปศุสัตว์นั้นแบ่งออกเป็นสองอย่าง นั่นคือ วัวเนื้อกับวัวนม (พวกวัวอเนกประสงค์อันหมายถึงวัวที่เลี้ยงแบบชาวบ้านและใช้ประโยชน์สารพัดแบบไม่เจาะจง ทั้งใช้แรงงานและให้นม พวกนั้นไม่นับ เพราะไม่ค่อยมีแล้ว)

วัวเนื้อก็จะมีพันธุ์วัวและวิธีเลี้ยงตามแบบของวัวเนื้อ เพื่อให้มีเนื้อวัวที่มีคุณภาพดีทั้งเนื้อสัมผัสและรสชาติ ส่วนวัวนมก็จะมีพันธุ์และวิธีการเลี้ยงในแบบวัวนมโดยเน้นที่การให้นมเป็นหลัก และนมนั้นก็เป็นที่มาของผลิตภัณฑ์มากมาย เช่น นม เนย โยเกิร์ต ชีส ครีมชีส ฯลฯ

เอาละ ทีนี้ลุงแมวน้ำขอแวะมาพูดเรื่องมังสวิรัติสักหน่อย คือการบริโภคอาหารมังสวิรัตินั้นก็ยังแบ่งเป็นกลุ่มย่อยอีก นั่นคือ พวกที่กินอาหารมังสวิรัติแบบเคร่งครัด นั่นคือ กินแต่พืชเท่านั้น กับพวกมังสวิรัติที่กินผลิตภัณฑ์นมได้ และมังสวิรัติที่กินไข่ได้ ลุงก็แบ่งกว้างๆเป็นพวกที่ไม่กินนมและไข่ กับพวกที่กินนมและไข่ก็แล้วกัน ทีจริงยังมีมังสวิรัติแบบกินปลาได้อีกด้วย แต่ยังไม่พูดถึงละกัน

พวกมังสวิรัติที่กินนมและไข่เพราะมองว่าการกินนมและไข่นั้นไม่ได้ฆ่าสัตว์ ดังนั้นจึงกินได้ ก็แล้วแต่มุมมอง

แต่ลุงแมวน้ำจะเล่าให้ฟังว่าในกระบวนการผลิตนมนั้นทำกันอย่างไร

เริ่มแรกก็ต้องเลี้ยงวัวนมเสียก่อน แม่วัวสาวในฟาร์มโคนมที่อายุประมาณปีกว่าๆก็พร้อมที่จะเจริญพันธุ์ได้แล้ว และเมื่อายุประมาณ 2 ปีกว่าๆก็สามารถตกลูกและให้น้ำนมได้แล้ว

ทีนี้เมื่อแม่วัวนมคลอดลูก ลูกวัวก็จะถูกแยกจากแม่ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะหากอยู่กับแม่นานแม่วัวจะผูกพันและหวงลูก รวมถึงมีผลกับปริมาณน้ำนมที่จะผลิตได้

ทีนี้ลูกวัวที่คลอดออกมาไปไหน คำตอบก็คือ หากลูกวัวเป็นลูกวัวตัวเมียและสุขภาพแข็งแรง ลูกวัวเหล่านี้ก็จะถูกเลี้ยงเพื่อให้เป็นวัวนมรุ่นต่อไป

แล้วลูกวัวเพศเมียที่ไม่แข็งแรงกับลูกวัวตัวผู้ไปไหนล่ะ คำตอบก็คือ เข้าโรงฆ่าสัตว์ เอาไปทำลูกวัวหันหรืออย่างอื่นก็ว่ากันไป


ลูกวัวน่ารัก แต่ใครจะรู้บ้างว่าลูกวัวที่น่ารักเหล่านี้อาจอยู่ดูโลกได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้นเพราะคำว่า "ลดต้นทุนการผลิต"


สำหรับแม่วัวนมเองนั้นก็มีอายุการทำงาน โดยปกติจะให้นมได้เพียง 5-7 ปี ก็จะกลายเป็นแม่วัววัยกลางวัว (ก็เหมือนวัยกลางคนนั่นเอง) ซึ่งประสิทธิภาพการให้น้ำนมจะลดต่ำลง น้ำนมคุณภาพตกลงไป ซึ่งประสิทธิภาพและคุณภาพนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันหมายถึงต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ดังนั้นแม่วัวเมื่อให้นมไป 5-7 ปีก็จะถูกปลดระวาง

แล้วแม่วัวที่ถูกปลดระวางไปอยู่ที่ไหน เพื่อประสิทธภาพและการลดต้นทุนและสร้างผลกำไรแก่ฟาร์มโคนม โดยทั่วไปแล้วแม่วัวนมที่ถูกปลดระวางก็จะถูกขายออกไป และถูกส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์ เนื้อพวกนี้เป็นเนื้อวัวเกรดรอง ดังนั้นราคาจึงถูกกว่าเนื้อจากวัวเนื้อ แต่ก็สามารถเอาไปขายได้

แม่วัวนมที่หนีจากโรงฆ่าสัตว์ แต่ก็ถูกตามจับกลับมาได้ ถูกจับใส่เครนห้อยต่องแต่งมาเข้าโรงฆ่าเช่นเดิม แต่ตัวนี้โชคดีหน่อย สุดท้ายมีผู้ใจบุญไถ่ชีวิตให้


นี่แหละ ชะตาชีวิตของวัวนม รวมทั้งชะตาชีวิตของไก่ไข่ก็ทำนองเดียวกัน ดังนั้น ผู้ที่กินมังสวิรัติบางคนไม่กินนมและไข่ก็เพราะมองว่าเป็นการฆ่าสัตว์ทางอ้อมนั่นเอง ก็คงแล้วแต่มุมมอง

ตลาดนัดวัวควายในต่างจังหวัดของไทย แหล่งซื้อขายวัวควายในท้องถิ่น

วัวจากคอกต่างๆจะถูกบรรทุกในรถบรรทุกอย่างแออัด เพื่อนำไปขายในตลาดนัดวัวควาย วัวควายเหล่านี้ชะตาีวิตถูกกำหนดไว้แล้วให้ต้องเข้าโรงฆ่า ยกเว้นจะมีผู้มาไถ่ชีวิต

สำหรับลุงแมวน้ำ ลุงแมวน้ำอยู่ในกลุ่มที่ก้ำๆกึ่งๆ ลุงแมวน้ำเลิกกินเนื้อแกะมาประมาณ 10 ปีแล้ว ไม่กินเลยโดยสิ้นเชิง ส่วนเนื้อวัวกับเนื้อหมู นมและไข่นั้นค่อยๆลดการบริโภคมาโดยตลอด ปีนี้แทบไม่ได้กินเลย แรงบันดาลใจของลุงที่หันมากินมังสวิรัติก็เพราะเห็นสัตว์เข้าโรงฆ่านั่นแหละ ที่ลุงทำเบเกอรี่กินเองก็เพราะว่าจะได้ทำเป็นสูตรมังสวิรัติ ไม่ต้องใส่นมและไข่ได้ ส่วนยามไปกินข้างนอกก็เลี่ยงได้ยาก ส่วนอาหารนั้นลุงก็ทำอาหารมังสวิรัติใส่กล่องไปกินข้างนอกยามรับจ๊อบ ก็ทำเท่าที่ทำได้

โดยรวมแล้วการทำอาหารกินเองช่วยลดการเบียดเบียนได้มาก รวมทั้งอาหารที่ทำกินเองยังมีคุณภาพดีกว่าอาหารที่ซื้อกินข้างนอกด้วย ก็ทำให้สุขภาพดีขึ้นกว่าเดิม พออายุเลย 30 ปีแล้วควรระวังเรื่องอาหารมากขึ้น ไม่ต้องรอจนแก่แล้วค่อยระวังหรอก การลดเนื้อสัตว์ใหญ่เป็นคุณแก่ร่างกายด้วย เพราะโปรตีนสัตว์ใหญ่มีกรดยูริกสูงหน่อย กินไปเยอะๆเมื่ออายุมากขึ้นก็เสี่ยงที่จะเป็นโรคเก๊าต์มากขึ้น ไขมันที่แทรกในเนื้อสัตว์ก็ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งการกินโปรตีนสัตว์ใหญ่อย่างไม่บันยะบันยัง ส่งผลให้ไตทำงานหนัก ทำให้ไตเสื่อมไวอีกด้วย ผลเสียของการกินเนื้อสัตว์ใหญ่มีหลายอย่างทีเดียว


บรรยากาศในโรงฆ่าสัตว์


ลุงแมวน้ำยังกินปลาอยู่บ้าง ก็กินเพื่อยังชีพน่ะ เป็นแมวน้ำก็ต้องกินปลา ยังต้องการโปรตีนจากปลาบ้าง แต่ก็กินเป็นครั้งคราวพอยังชีพเท่านั้น ส่วนใหญ่ลุงกินโปรตีนถั่วเหลืองเป็นหลัก เรากินพอเพียงหรือกินมากเกินไป สังเกตง่ายๆที่น้ำหนัก โดยใช้น้ำหนักในช่วงอายุ 20-25 ปีเป็นเกณฑ์ ตอนนั้นคนเราโดยทั่วไปมักหุ่นยังดีอยู่ คือรูปร่างกลางๆ ไม่อ้วนไม่ผอม แต่หลังจาก 25 ปีไปแล้ว หากน้ำหนักเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น นั่นล่ะ กินมากเกินไปแล้ว 

ดูคลิปนี้กันแล้ว หวังว่าคงสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเราลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงได้บ้าง ไม่ต้องถึงกับเลิกหรอก เอาแค่ลดลงได้ก็ดีโขแล้ว คือดีทั้งกับสุขภาพของเราเอง และเท่ากับลดการเบียดเบียน ลุงแมวน้ำก็เดินทางสายกลาง ไม่ได้สุดโต่งว่าต้องกินมังสวิรัติเคร่ง ใครเลิกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ลดการบริโภคลง ลดมากลดน้อยตามแต่กำลังใจ ก็ถือว่าดีมากแล้ว และเป็นประโยชน์แก่สุขภาพของเราเองด้วย