Friday, October 5, 2012

05/10/2012 ตลาดขาขึ้น (ได้ยังไงก็ไม่รู้)


วันนี้ลุงแมวน้ำมาเสียเที่ยงเลย ยังไม่ได้กินอาหารกลางวันด้วย ฮือ หิวๆๆ ใครช่วยพาลุงไปเลี้ยงหน่อยได้ไหม

เมื่อตอนดึกๆ ไฟฟ้าที่โขดหินดับ แล้วเครื่องคอมโน้ตบุ๊กของลุงแมวน้ำก็ดับไปด้วย เพราะไม่ได้ใส่แบตเตอรี่เอาไว้ ปรากฏว่าเครื่องรวนเลย ระบบปฏิบัติการรวน ไฟล์หายไปไหนก็ไม่รู้ตั้งหลายไฟล์ ยังหาไม่พบเลย  เลยวุ่นๆ ดีนะที่ข้อมูลหุ้นของลุงแมวน้ำไม่เป็นอะไร... อย่างน้อยตอนนี้ก็คิดว่ายังไม่เป็นอะไร เกิดพังขึ้นมาละก็ลุงแมวน้ำไม่มีอุปกรณ์ทำมาหากินเลย

เมื่อคืนดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 13,575.36 จุด (+0.6%) เล่นข่าวรายงานตัวเลขอัตราว่างงาน นอกจากนี้ ยังมีการโจมตีด้วยอาวุธระหว่างตุรกีกับซีเรีย เป็นการกระทบกระทั่งกันตามแนวชายแดน แต่ก็ทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นทันที วันก่อนหน้าลงไปประมาณ -4% เมื่อคืนก็พุ่งขึ้นมาราวๆ +4% ราคาน้ำมันดิบเบรนต์เกิดสัญญาณซื้อแล้ว ส่วนน้ำมันดิบ wti ยังไม่เกิดสัญญาณซื้อ ขาดไปหน่อย

ทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน เมื่อคืนเงินดอลลาร์ สรอ อ่อนตัว  usd index ลดลงลงไป -0.8%  เงินยูโรและเงินสกุลอื่นๆแข็งค่า ทองคำก็ปรับตัวขึ้น เงินบาทก็แข็งค่าเช่นกัน

ลองมาดูตารางข้างล่างนี้กัน ตารางนี้เป็นค่า PMI (Purchasing Manager Index) แปลตามตัวคือดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ แต่ความหมายของดัชนีนี้คือเป็นตัวชี้วัดการเติบโตของภาคการผลิตและบริการ โดยตารางข้างล่างนี้เป็นค่า PMI ของภาคการผลิต (ภาคอุตสาหกรรม) ของประเทศต่างๆในกลุ่มยูโรโซนเมื่อเดือนกันยายน






ปกติค่านี้ไม่ควรต่ำกว่า 50 หากต่ำกว่า 50 ก็ถือว่าแย่แล้ว เศรษฐกิจย่ำแย่ ทีนี้ลองดูค่า pmi ชาติต่างๆในกลุ่มยูโรโซนดู มีเพียงสองประเทศเท่านั้นคือไอร์แลนด์กับเนเธอแลนด์ที่ตอนนี้มีค่า pmi เกิน 50 แม้แต่เยอรมนีก็ยังแย่ คือได้ 47 จุดกว่าๆ

แต่อย่างไรก็ตาม ในข่าวร้ายก็มีข่าวดี นั่นคือ ดัชนีนี้ค่อยๆกระเตื้องขึ้น ช่วงนี้กลุ่มยูโรโซนก็เอาข่าวเหล่านี้มาเล่นกันและทำให้ดัชนีของกลุ่มยูโรโซนค่อยๆไต่ระดับขึ้นไป แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งก็จะเห็นว่าเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซนยังย่ำแย่อยู่

สำหรับด้านสหรัฐอเมริกาก็เช่นกัน ปัญหาต่างๆยังรออยู่อีกมาก ลองดูประเทศญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง ญี่ปุ่นเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยมาแล้วกว่า 20 ปี จนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่พ้นจากหล่ม ว่าจะดีขึ้นก็มีวิบากกรรมเกิดขึ้นมาขัดขวาง ญี่ปุ่นใช้เวลาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ 20 กว่าปียังไม่สำเร็จ แล้วยูโรโซนกับสหรัฐอเมริกาจะให้แก้ปัญหาในเวลาเพียงไม่กี่เดือนคงเป็นไปไม่ได้ ที่จริงความถดถอยของกลุ่มยูโรและ สรอ ในตอนนี้เป็นผลมาจากช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2007-2008 ที่จนบัดนี้ยังตามแก้กันไม่หมดนั่นเอง ก็ลองคิดดูว่าสี่ห้าปีมาแล้วยังแก้ไม่ได้ แล้วในอีกไม่กี่เดือนจะแก้ได้อย่างไร

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจริงจะเป็นแบบหนึ่ง แต่ตลาดทุนตอนนี้เป็นอีกแบบหนึ่ง ทั้งตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ขึ้นเอาๆ ลุงแมวน้ำเป็นนักลงทุนทางสายปัจจัยเทคนิค ขาขึ้นก็ต้องว่าขึ้น ไม่ต้องพยายามหาข่าวหรือคำอธิบาย ปัจจัยพื้นฐานไม่ดีก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะตลาดขาขึ้นหลายๆครั้งก็หาคำอธิบายให้สมเหตุผลไม่ได้ ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงบอกว่าบางทีไม่ต้องพยายามหาคำอธิบาย อย่างเช่นตอนนี้ ลุงแมวน้ำก็ว่ามันจะขึ้นได้อย่างไร แต่ด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิคมองแล้วเป็นขาขึ้น ก็ต้องพยายามตัดอคติออกไป ต้องเทรดไปตามระบบ และหากต่อไปตลาดไหลลง เมื่อถึงสัญญาณขาย ลุงแมวน้ำก็หยุด เท่านั้นเอง

แต่ทางสายปัจจัยพื้นฐานหลายคนคิดว่าในที่สุดตลาดต้องไหลลงเพราะไม่รู้ว่าจะเอาปัจจัยอะไรไปทำให้ตลาดขึ้น บางคนก็เทรดฟิวเจอร์สโดยเปิดสัญญาขายหรือเทรดด้านชอร์ตเอาไว้ ลุงแมวน้ำอยากฝากเตือนว่าไม่ว่าสายปัจจัยพื้นฐานหรือสายปัจจัยทางเทคนิค ถึงอย่างไรก็ควรต้องมีจุดตัดสินใจหรือจุดตัดขาดทุนของตนเอง ไม่อย่างนั้นเกิดเหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่คิดจะเสียหายหนัก





ค่าเงินดอลลาร์ สรอ USD index (ดัชนีดอลลาร์ สรอ) อยู่ในแนวโน้มขาลง รีบาวด์ขึ้นมาหลายวันแต่ในที่สุดคงลงต่อ




ค่าเงินยูโร ที่จริงด้วยสถานะทางเศรษฐกิจของกลุ่มยูโร เงินยูโรน่าจะอ่อนลงต่อไป แต่จากกราฟ ถ้าเป็นทางเทคนิคก็ต้องบอกว่าขณะนี้น่าจะเป็นขาขึ้น




ราคาน้ำมันดิบ ก็เป็นแนวโน้มขาขึ้น ตอนนี้เกิดสัญญาณซื้อแล้ว แต่พิจารณาค่าฟิโบนาชชีแล้วยังต่ำไม่พอ ดังนั้นราคาอาจย่อลงได้อีกหน่อยจึงค่อยไปต่อ




ราคาทองคำ ขึ้นอยู่กับมุมมอง หากมองว่าตอนนี้เป็นคลื่น B ราคาทองคำคงไปได้ไม่เกิน 1900 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์ จากนั้นลงถล่มทลาย แต่หากมองว่าตอนนี้เป็นคลื่น 5 เราคงได้เห็นราคาทองคำถึง 2100 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์หรือมากกว่านั้น ระดับราคา 1900 คือจุดชี้วัด หากผ่านได้แสดงว่าเราอยู่ในคลื่น 5


ที่ลุงแมวน้ำเล่ามาในวันนี้ไม่ได้ต้องการเชียร์ให้ซื้อ เพียงแต่อยากย้ำว่า ในการเทรด พยายามใช้หลักการ อย่าใช้อคติ รวมทั้งหากใช้แนวทางของสายใดก็ใช้สายนั้น อย่าพยามยามเอาความรู้ข้ามสายมาผสมโดยที่ไม่รู้วิธีใช้อย่างแท้จริง เพราะนักลงทุนรุ่นใหม่หลายคนที่มักคิดว่า หากใช้ปัจจัยพื้นฐานผสมเทคนิคยิ่งแจ๋ว ยิ่งทำกำไรได้มาก ในความเห็นของลุงแมวน้ำไม่ใช่เช่นนั้น ผู้ที่จะใช้เทคนิคผสมพื้นฐานแล้วได้ประโยชน์คือผู้ที่เข้าใจและเลือกเครื่องมือได้ถูกต้องเท่านั้น เนื่องจากเห็นหลายคนเทรดฟิวเจอร์สด้านชอร์ตแล้วไม่ยอมปิดเพราะคิดว่าตลาดกำลังจะลงลุงแมวน้ำก็อดเป็นห่วงไม่ได้



Tuesday, October 2, 2012

02/10/2012 สรุปภาวะการลงทุนประจำเดือนกันยายน (09/2012)



ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในประเทศกรีซเนื่องจากการรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนเดือดร้อนและไม่พอใจมาก


วันนี้เรามาอัปเดตสถานการณ์เศรษฐกิจและการลงทุนในรอบเดือนกันยายนที่ผ่านมากัน

เดือนกันยายน 2012 มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหลายเรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบเศรษฐกิจของตน ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งเราคุยรายละเอียดกันไปพอสมควรแล้ว ซึ่งผลก็คือตลาดหุ้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดพันธบัตร และตลาดอัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงตอบรับข่าวนี้ทันที ซึ่งจะว่าขึ้นรับข่าวทันทีก็ไม่ได้ เพราะว่าเมื่อดูจากกราฟดัชนีต่างๆแล้วจะพบว่าตลาดหลักทั้งสี่ตลาดที่ว่ามามีอาการบ่งชี้มาก่อนหน้าแล้ว ตลาดหุ้นขึ้นมาเรื่อยๆตั้งแต่เดือนมิถุนายน ทำนองเดียวกับราคาทองคำในเดือนมิถุนายนก็ค่อยๆปรับตัวขึ้น ส่วนดอลลาร์ สรอ ค่อยๆอ่อนค่าลงในช่วงเดือนสิงหาคม และอัตราผลตอบพันพันธบัตรอเมริกันก็เริ่มขยับสูงขึ้นในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ฯลฯ

แต่อย่างไรก็ตาม ในภาคเศรษฐกิจจริง ไม่ได้สวยงามดังเช่นดัชนีตลาดหุ้น ดูทางด้านเอเชีย ดัชนีทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่แนวโน้มไม่ค่อยดี โดยเฉพาะดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหรือที่เรียกว่า PMI (Purchasing Manager Index) ทั้งของจีนและญี่ปุ่นไม่ดี ต่ำกว่า 50 มาอย่างต่อเนื่อง เวียดนามเองตอนนี้ก็อาการหนัก ดัชนีตลาดหุ้นตกรูด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเวียดนามอายุ 5 ปี อยู่ที่ 10.19% แล้ว เป็นต้นทุนการเงินที่สูงมาก


ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงว่า 10% สะท้อนอาการทางเศรษฐกิจของประเทศ ต้นทุนการเงินของประเทศที่สูงบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของเวียดนาม



ส่วนทางยุโรปนั้นแม้ว่าข่าวจะออกมาดูดีว่าธนาคารแห่งยุโรปหรือ ECB จะเข้าซื้อพันธบัตรของประเทศที่มีปัญหาเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน แต่ในความเป็นจริงสถานการณ์ก็ไม่ดี ยอดการนำเข้าลดลง ส่งผลกระทบถึงเอเชียที่เป็นผู้ส่งออกสู่ตลาดยุโรป นอกจากนี้เศรษฐกิจของเยอรมนีที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มยูโรก็เริ่มดูไม่ดี ประเทศกรีซกลุ่มยูโรช่วยกันอุ้มดูเหมือนจะสบายแต่ก็ไม่สบาย คนในชาติประท้วงก่อความรุนแรงกันวุ่นวายเพราะมาตรการรัดเข็มขัด หลายประเทศมีอัตราการว่างงานที่สูงมาก

ทางด้านสหรัฐอเมริกา อัตราการว่างงานและคาดการณ์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็ไม่ดี อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่าที่ประเมินเอาไว้ จึงเป็นที่มาของการออก QE3 รวมทั้งสัญญาณทางเศรษฐกิจบางตัวก็สับสน เช่น ยอดขายบ้านมือสองมีจำนวนลดลงแต่ราคาเฉลี่ยของบ้านที่ขายได้สูงขึ้น ฯลฯ

รวมความแล้วในภาคเศรษฐกิจจริงทั่วโลกดูไม่ดีนัก แต่อย่างไรก็ตาม ในวิกฤตก็เป็นโอกาสสำหรับบางคน ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ หากเราติดตามข่าวทางเศรษฐกิจคงทราบเกี่ยวกับดีลยักษ์ขนาดช้างสารชนกัน ที่แย่งกันซื้อหุ้นทุ่มเงินระดับแสนล้านเพื่อหวังขยายอาณาจักรด้วยวิธีการที่รวบรัด นั่นคือการครอบงำกิจการ สุดท้ายก็ยอมตกลงกันได้ ไม่อย่างนั้นคงต้องซื้อของแพงกันทั้งคู่ จากการวิจัยต่างๆที่ทำเกี่ยวกับเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจต่างก็บ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่าภายใต้ระบบทุนนิยมกระแสหลัก ความเหลื่อมล้ำนับวันจะสูงขึ้น นั่นคือ คนทีรวยอยู่แล้วจะรวยมากยิ่งขึ้นและครอบครองทรัพยากรได้มากยิ่งขึ้น ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยมีแต่ยิ่งถ่างออก

เมื่อเราดูภาคเศรษฐกิจจริงกันไปแล้ว ทีนี้เรามาดูในด้านการลงทุนกันบ้าง ดูตามตารางใหญ่ที่ประกอบในบทความนี้ได้เลย

ทางด้านตลาดหุ้น ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้น ดัชนี Dow Jones Global Index ตลอดทั้งเดือนปรับตัวขึ้น +3% ส่วนตลาดหุ้นไทย SET index +5%

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โลหะมีค่าคือทองคำปรับตัวขึ้น +5% เนื่องมาจากดอลลาร์ สรอ อ่อนตัว ส่วนราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง น้ำมันดิบ WTI -4% สินค้าเกษตรก็ปรับตัวลงประมาณ -3% ถึง -4% สำหรับน้ำมันดิบกับสินค้าเกษตรผันผวนค่อนข้างมาก

ตลาดตราสารหนี้ ในรอบเดือนที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกัน อายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 8 จุดเบสิส มาอยู่ที่ 1.64% แกว่งตัวผันผวน ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้น 16 จุดเบสิส มาอยู่ที่ 3.59%

ด้านอัตราแลกเปลี่ยน USD index อ่อนตัวลง -1.47% เงินตราสกุลอื่นๆแข็งค่าขึ้น เงินยูโรแข็งค่า +2.17% เงินบาทแข็งค่า +1.69% พอๆกับดอลลาร์สิงคโปร์ ส่วนเงินเยนแข็งค่าเพียงเล็กน้อยเพราะช่วงนี้ญี่ปุ่นแทรกแซงค่าเงินเยน

ทีนี้จากตาราง ลุงแมวน้ำอยากให้ลองสังเกตดูค่า vi หรือ volatility index อันเป็นค่าความผันผวน จะเห็นว่าราคาหรือค่าดัชนีในตารางส่วนใหญ่มี vi ไม่สูง บางกลุ่มก็ไม่ถึง 1.0% บางกลุ่มก็อยู่ในช่วง 1.0-2.0% มีส่วนน้อยที่เกิน 2%

ลองมาดูตัวอย่างพวกที่สูงๆ อย่างเช่น ดัชนีตลาดหุ้นกรีซ vi=3.2% ดัชนีตลาดหุ้นสเปนกับอิตาลี 2.4% พันธบัตรอเมริกันก็ผันผวน vi=3.7% สินค้าเกษตรกลุ่มธัญพืช (grains) ก็ผันผวน 2.2% ส่วนทองคำผันผวนนิดหน่อยเท่านั้น และตลาดหุ้นไทยความผันผวนต่ำ 0.9%

ค่าความผันผวนนี้หากดูทั้งกลุ่มในภาพใหญ่จะช่วยบอกอะไรเราได้พอสมควรทีเดียว นั่นคือ ตอนนี้ตลาดต่างๆอยู่ในขาขึ้นที่ค่อยๆขึ้น ไม่ค่อยหวือหวานัก ยกเว้นแค่บางประเทศหรือบางสินค้า ปกติแล้วหากเป็นช่วงที่ใกล้มีการกลับทิศแนวโน้ม คือจากขาขึ้นเป็นขาลง หรือขาลงเป็นขาขึ้น ค่า vi มักสูง แสดงว่าตอนนี้ตลาดค่อนไปในทางมีทิศทางและมีเสถียรพอสมควร ตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงกลับทิศแนวโน้ม หากเป็นลักษณะเช่นนี้ในทางเทคนิคก็น่าจะเทรดตามแนวโน้มไปได้เรื่อยๆ แล้วตามค่า vi ไป แม้สักวันจะต้องถึงจุดกลับทิศแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้

แต่หากมองด้วยปัจจัยพื้นฐาน หลายๆตัวก็อาจไม่น่าลงทุน เพราะว่าเกินเลยปัจจัยพื้นฐานไปแล้ว ดังนั้นหลักการหรือวิธีการเทรดที่แต่ละคนยึดถือมีความสำคัญ ใช้หลักใดก็ใช้หลักนั้น อย่าเอาความรู้ข้ามสำนักมาผสมกันโดยไม่เข้าใจ ไม่อย่างนั้นจะสับสนเอง




เปรียบเทียบค่าเงินสกุลต่างๆบางสกุลและทองคำในรอบ 1 เดือน


อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกันอายุ 10 ปี ช่วงนี้ผันผวนเอาการ



ราคาข้าวสาลีตลาดโลก


ราคาถั่วเหลืองตลาดโลก



ราคาข้าวโพดตลาดโลก

Photobucket