Tuesday, November 9, 2010

08/11/2010 * หุ้นจีนและการลงทุนในหุ้นจีน (1)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,049.79 จุด เพิ่มขึ้น 9.34 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 37 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

หุ้นจีนและการลงทุนในหุ้นจีน (1)

ดังที่เมื่อวานเราคุยกันไปแล้วว่าตลาดหุ้นไทยนั้นให้ผลตอบแทนในช่วงที่ผ่านมาดีมาก ส่วนตลาดหุ้นของจีนนั้นเมื่อเปรียบเทียบในช่วงระยะเวลาเดียวกันคือจากต้นปี ความสามารถในการทำกำไรยังห่างจากตลาดหุ้นไทยอยู่พอสมควร

แต่อย่างไรก็ตาม การนำผลตอบแทนในช่วงระยะเวลาเดียวกันมาเปรียบเทียบกันก็ต้องพิจารณาเปรียบเทียบด้วยความระมัดระวัง สมมติว่าตลาด ก กำลังอยู่ในคลื่นสอง ส่วนตลาด ข เข้าคลื่นสามไปแล้ว แน่นอนผลตอบแทนย่อมไม่เท่ากันเนื่องจากตลาดที่อยู่ในคลื่น 3 เมื่อเข้าสู่คลื่น 3 ลักษณะกราฟก็จะขึ้นอย่างแรง บางทีหุ้นขึ้น 10 วันติดๆกันก็ยังเป็นไปได้ แต่ผลตอบแทนที่ดีกว่าในปัจจุบันก็ไม่ได้หมายความว่าตลาดนี้ดีกว่าอีกตลาดหนึ่ง เพราะไม่แน่ว่าเมื่อตลาด ก เข้าสู่คลื่น 3 ตลาด ข อาจกำลังอยู่ในคลื่น 4 เมื่อเป็นเช่นนั้นผลตอบแทนของตลาด ก ย่อมเหนือกว่าตลาด ข ในช่วงนั้น

ดังนั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยแม้จะขึ้นแรงแต่ก็ต้องมีช่วงที่อยู่ในคลื่นขาลง การศึกษาศักยภาพและช่องทางการลงทุนในตลาดอื่นเอาไว้จึงไม่เสียหลายเนื่องจากเมื่อใดที่ตลาดหนึ่งยังไม่น่าสนใจเราก็สามารถย้ายไปเทรดในอีกตลาดที่น่าสนใจกว่าได้

การลงทุนในตลาดเกิดใหม่หรือที่เรียกว่า emerging market นั้นเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก สาเหตุประการหนึ่งก็คือตอนนี้เงินล้นโลก โดยเฉพาะเงินดอลลาร์นั้นพิมพ์ออกมามากมาย ไม่รู้จะเอาไปเก็บที่ไหน จะไปลงทุนในตลาดใหญ่ๆอันเป็นตลาดสำคัญของโลก เช่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฯลฯ ตลาดเหล่านี้ก็เติบโตไปมากแล้วจนเหลือที่ว่างให้เก็งกำไรได้น้อย คงมีแต่ตลาดเกิดใหม่และตลาดชายขอบ (frontier market) ต่างๆนี่แหละที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง มีช่องว่างให้เก็งกำไรอยู่อีกมาก ดังนั้นเงินทุนจากประเทศที่พัฒนาแล้วจึงไหลบ่าเข้ามาลงทุนและตักตวงในตลาดเกิดใหม่ ตัวอย่างของตลาดเกิดใหม่ อาทิ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ไทย บราซิล รัสเซีย

ผลของเงินต่างชาติที่ไหลบ่าเข้ามาเราก็คงเห็นกันดีแล้ว เพราะตลาดหุ้นของไทยก็กำลังเกิดเหตุการณ์นี้อยู่ แต่เมื่อเงินทุนไหลเข้ามาได้ก็ไหลออกไปได้ ดังนั้นเราควรเตรียมรับมือด้วยการหาช่องทางการลงทุนอื่นๆเอาไว้เพื่อกระจายความเสี่ยง

ในปัจจุบันนักลงทุนรายย่อยสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ด้วยการลงทุนผ่านกองทุนรวมของไทยซึ่งมีนโยบายนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า foreign investment fund (FIF) ยกตัวอย่างเช่นกองทุนทองคำทั้งหลายในบ้านเราก็เป็นการนำเงินไปลงทุนในกองทุนทองคำในต่างประเทศ หรืออย่างกองทุนตราสารหนี้บางกองก็ไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ เช่น TMB Global Bond Fund หรือบางกองทุนก็กระจายการลงทุนไปในหลักทรัพย์ทั่วโลก เช่น กองทุน K-Globe เป็นต้น

สำหรับประเทศจีนนั้นเรียกได้ว่าเป็นตลาดที่เนื้อหอมทีเดียว นานาชาติต่างก็ต้องการเข้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของจีนเนื่องจากคาดการณ์กันว่าตลาดจีนยังขึ้นไปได้อีกมาก ขณะนี้กองทุนรวมของไทยที่ไปลงทุนในหุ้นจีนก็มีอยู่หลายกองทุน อาทิ TMB China Equity กองทุน K-China กองทุน Tisco China Equity เป็นต้น ที่จริงยังมีกองทุนรวมของไทยที่ลงทุนในตลาดจีนอีกหลายกองทุน แต่ขอยกตัวอย่างให้ดูเพียงเท่านี้

เท่าที่ผ่านมาก นักลงทุนรายย่อยที่ต้องการลงทุนในต่างประเทศส่วนใหญ่จะมีช่องทางการลงทุนที่จำกัด การลงทุนผ่านกองทุนรวมถือได้ว่าสะดวกที่สุดแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การลงทุนกับกองทุนรวมก็ยังมีข้อติดขัดอยู่บ้าง เช่น การติดตามค่า NAV ที่ประกาศค่อนข้างช้า ค่าธรรมเนียมซื้อขายที่ถูกแพงไม่เท่ากัน รวมทั้งความไม่สะดวกในการสั่งซื้อสั่งขาย

แต่ต่อไปช่องทางการลงทุนในตลาดต่างประเทศของนักลงทุนรายย่อยจะมีมากขึ้น โดยเรากำลังจะมีกองทุนอีทีเอฟ (ETF, exchange traded fund) ที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีนเข้ามาซื้อขายในตลาด SET ของบ้านเรา นั่นคือ สามารถซื้อขายได้ในทำนองเดียวกับ Tdex, Tftse, Engy ซึ่งเป็นกองทุนอีทีเอฟที่เทรดกันอยู่แล้วในตลาด SET ของเรา โดยกองทุนอีทีเอฟที่นำเงินของนักลงทุนขาวไทยไปลงทุนในหุ้นจีนนี้มีชื่อว่ากองทุน W.I.S.E KTAM CSI 300 China Tracker หรือมีชื่อย่อที่ใช้ในการเทรดว่า CHINA ถือว่าเป็นกรณีแรกของตลาดหุ้นไทยที่มีกองทุนลงทุนในหุ้นต่างชาติเข้ามาทำการซื้อขายได้เสมือนกับเป็นหุ้นตัวหนึ่ง

สำหรับกองทุนนี้นักลงทุนคงได้ทราบข่าวมาบ้างแล้วเนื่องจากมีการประชาสัมพันธ์กันค่อนข้างมาก รายละเอียดเกี่ยวกับกองทุนลุงแมวน้ำไม่ขอพูดถึง แต่ประเด็นที่อยากจะคุยก็คือ ตลาดหุ้นจีนและก้าวต่อไปของตลาดหุ้นจีนจะเป็นอย่างไรมากกว่า โดยใช้มุมมองทางเทคนิค ไม่ใช่มุมมองทางปัจจัยพื้นฐาน



(โปรดติดตามอ่านในวันถัดไป)

Monday, November 8, 2010

05/11/2010 * ดัชนี SET และก้าวต่อไปของดัชนี

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1.040.45 จุด เพิ่มขึ้น 8.84 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BBL, TMB ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 37 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ ดัชนีนิกเกอิ (Nikkei, N225) ของญี่ปุ่นขึ้นแรงแลพเกิดสัญญาณซื้อ ตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดเขียว

วันนี้ ดัชนีดาวโจนส์ (DJI) ของสหรัฐอเมริกาพุ่งแรงถึง 219 จุด ค่าเงินดอลลาร์อ่อนยวบ ราคาทองคำ โลหะเงิน น้ำมันดิบ สินค้าเกษตร และสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) ต่างๆปรับตัวขึ้นแรง

ดัชนี SET และก้าวต่อไปของดัชนี

ในปี 2010 นี้ตลาดหุ้นไทยมีการเติบโตอย่างมากทีเดียว ดัชนี SET ขึ้นแบบลากยาวซึ่งเป็นลักษณะของคลื่น 3 หรือว่าคลื่น 5 นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ผลตอบแทนที่ดีกันถ้วนหน้า กองทุนต่างชาติที่มาลงทุนให้ตลาดหุ้นไทยนั้นทำกำไรมาตั้งแต่ต้นปี 2010 ได้มากโข อาจกล่าวได้ว่าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนดีที่สุดในบรรดาตลาดหุ้นของประเทศต่างๆในโลกก็ว่าได้ ลองมาดูสถิติกันอย่างคร่าวๆ ผลงานของกองทุนต่างชาติที่ลงทุนโดยอิงดัชนีนั้นได้ผลกำไรนับตั้งแต่ต้นปี 2010 มาจนถึงวันนี้ก็ประมาณ 50-60% แล้ว ในขณะที่กองทุนที่ลงทุนอิงดัชนีในตลาดเกิดใหม่ของประเทศอื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย โปแลนด์ ตุรกี ได้ผลตอบแทนอยู่ในระดับ 40%

การลงทุนแบบอิงดัชนีในประเทศอินเดีย แอฟริกาใต้ สิงคโปร์ได้ผลตอบแทนในระดับ 30% ส่วนการลงทุนในประเทศจีน รัสเซีย ได้ผลตอบแทนในระดับ 15% ส่วนการลงทุนในฟิลิปปินส์ได้ผลตอบแทนประมาณ 7% ในขณะที่การลงทุนในเวียดนามขาดทุนเล็กน้อย

ตัวเลขที่ลุงแมวน้ำยกมานี้เป็นเพียงตัวเลขคร่าวๆเพื่อให้เห็นศักยภาพในการลงทุนในประเทศต่างๆเป็นเชิงเปรียบเทียบในภาพรวม ทีนี้หากจะมาดูกันต่อไปว่าแนวโน้มของหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร ลุงแมวน้ำของวิเคราะห์ในเชิงเทคนิคซึ่งพิจารณาจากกราฟดัชนี SET นั่นเอง

หลังจากวิกฤติต้มยำกุ้ง ดัชนี SET ไต่อยู่ในระดับไม่กี่ร้อยจุดมานานหลายปี จนมาถึงต้นปี 2547 (2004) ที่ดัชนี SET สามารถทำจุดสูงสุดในรอบหลายปีได้ที่ 794.01 จุด (อีกนิดเดียวจะถึง 800 จุดแต่ก็ไม่ถึง) หลังจากนั้นมาอีกหลายปี เรามักใช้ค่า 794.01 จุดเป็นแนวต้านใหญ่หรือว่าเป็นระดับเปรียบเทียบที่พยายามจะไปให้ถึงอีกครั้งหนึ่ง

ต่อมาในช่วงปลายปี 2550 (2007) ดัชนี SET ก็สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 915.03 จุด หลังจากนั้นก็ร่วงลงมาเหลือเพียงเกือบ 400 จุด นับแต่นั้นเป็นต้นมาเราก็ยึดเอาระดับ 915.03 จุดเป็นระดับเปรียบเทียบเพื่อพยายามจะไปให้ถึงอีกครั้งหนึ่ง

มาถึงวันนี้ ในวันที่ดัชนี SET อยู่ที่กว่าหนึ่งพันจุด ระดับที่เราพยายามจะไปให้ถึงก็ต้องเปลี่ยนใหม่โดยอิงกับยอดคลื่นเดิม ซึ่งไม่ใช่ 1,100 จุด ไม่ใช่ 1,200 จุด หรือว่า 1,300 จุด แต่คือยอดคลื่นเดิมที่ระดับ 1,753.73 จุด

ในทางเทคนิค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวัดระดับ fibonacci ขณะนี้จุดเทียบต้องเปลี่ยนไปใช้ที่ 1,753,73 จุดแล้ว รวมทั้งการนับคลื่นก้ต้องนับกันใหม่ หากนับในระดับคลื่นใหญ่ระดับหลายๆปี ภาพน่าจะเป็นดังนี้



นั่นคือ ขณะนี้เรากำลังอยู่ในคลื่นใหญ่ 3 (สีดำ) ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงดัชนี SET ยังมีโอกาสขึ้นต่อไปได้อีกมากกว่าจะจบคลื่นใหญ่ 5 (สีดำ) และดังที่ลุงแมวน้ำเคยคุยให้ฟัิงแล้วว่าดัชนี SET นั้นโดยสถิติแล้วเป็นดัชนีที่มีโอกาสทำกำไรค่อนข้างดี กล่าวคือ มีความน่าจะเป็นในการซื้อแล้วได้กำไรอยู่ที่ 0.5 ในขณะที่ค่าความน่าจะเป็นในการซื้อแล้วได้กำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 0.4 ซึ่งค่าที่สูงกว่าหมายถึงมีโอกาสซื้อแล้วกำไรสูงกว่า

แต่อย่างไรก็ดี ในระดับคลื่นใหญ่แม้ว่าจะเป็นคลื่น 3 ก็จริง แต่ว่าอาจใช้เวลานาน 5 ถึง 15 ปีกว่าจะจบคลื่น ในคลื่นใหญ่ประกอบด้วยคลื่นในระดับรองลงมาแกว่งขึ้นๆลงๆอยู่ ดังนั้นอย่าคาดหวังว่าหุ้นจะขึ้นไปแบบม้วนเดียว ดังนั้นนักลงทุนจึงไม่ควรย่ามใจ เพราะการเคลื่อนไหวของคลื่นที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของเรานั้นไม่ใช่คลื่นใหญ่ แต่เป็นคลื่นย่อย พูดง่ายๆก็คือ ถึงแม้ว่าเราอาจจะอยู่ในคลื่นใหญ่ 3 ก็ตาม แต่การแกว่งตัวในระดับคลื่นย่อยก็ยังทำให้เราอกสั่นขวัญหาย รวมทั้งยังสามารถทำให้เราขาดทุนและอยู่บนยอดดอยได้ชั่วเวลาหนึ่งเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา

ตลาดหุ้นจีนก็มีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปได้เช่นเดียวกันเนื่องจากลุงแมวน้ำลองนับคลื่นดู คาดว่าน่าจะเพิ่งเริ่มต้นคลื่น 3 ใหญ่ ในวันต่อไปเราจะไปดูดัชนีหุ้นจีนและการลงทุนในตลาดหุ้นจีนกัน