Tuesday, November 5, 2013

05/11/2013 40 ปี 14 ตุลา กับปฏิบัติการยึดประเทศไทย 2556: ตอนที่ 3 ระบอบถนอม-ประพาส-ณรงค์ กับฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง

ย่านวังบูรพาหลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2489 วังบูรพาในยุคนั้นยังเป็นวังเจ้าจริงๆ ต่อมาจึงพัฒนามาเป็นย่านบันเทิงของหนุ่มสาว

เยาวราช ปี 2495 ในยุคนั้นเยาวราชถือเป็นแหล่งธุรกิจการค้าใจกลางเมือง มีทั้งภัตตาคาร ร้านค้า โรงหนัง โรงงิ้ว โรงน้ำชา ในภาพยังสามารถเห็นรถลาก สามล้อถีบ และแนวรถรางได้


“เดี๋ยวก่อน ลุงแมวน้ำ ฉันอยากถามหน่อย” ยีราฟแทรกขึ้นมา “ลุงก็บอกว่าช่วงนั้นบ้านเมืองสงบ อาชญากรรมก็ลดลง เพราะผู้นำเด็ดขาด การดำเนินชีวิตราบรื่น ฉันว่าถ้าเป็นแบบนั้นสภาพบ้านเมืองก็ถือว่าน่าอยู่ รัฐธรรมนูญเอามาต้มกินก็ไม่ได้ ฉันว่าเรื่องเรียกร้องรัฐธรรมนูญไม่น่ามีแรงจูงใจพอที่จะเรียกคนนับแสนๆคนให้ออกมาได้หรอก”

“นั่นสิ ผมก็ว่ายังงั้นนะ” ม้าลายพูดขึ้นบ้าง

“เสรีภาพไงล่ะ ที่ขาดหายไป เสรีภาพมีความสำคัญมากเลยนะ” ลิงจ๋อพูด น้ำเสียงเคร่งเครียดจริงจัง

“วุ้ย อยู่สบายก็พอ มีถั่วฝักยาวกิน ไม่มีใครมาทำร้ายฉัน ฉันก็พอใจแล้ว จะประท้วงอะไรกันอีก” ยีราฟสาวพูดพลางสะบัดคอยาวๆ น้ำลายยืดกระเซ็นใส่ตัวอื่นๆจนเลอะไปหมด

“ลุงว่าแม่ยีราฟพูดมีประเด็นนะ” ลุงแมวน้ำพูด “คิดกันอย่างง่ายๆ ชีวิตราบรื่นเป็นสุข แล้วจะมาไม่พอใจอะไรกันอีก แต่เอายังงี้ ขอให้ทุกคนหลับตานะ”

“ผมยังไม่ง่วงเลยฮะ” กระต่ายน้อยพูด พลางกระดิกหาง

“ลุงไม่ได้ให้เข้านอน แต่ลุงอยากให้หลับตาเพื่อใช้จินตนาการ เอาละ ลองหลับตากันหน่อย ฟังลุงพูด แล้วจินตนาการตามลุงไป ลุงจะพาหลานๆย้อนอดีตไปในยุดเมื่อประมาณ 50-60 ปีก่อน ถ้าหลานใช้จิตนาการตามไปด้วย ลุงคิดว่าหลานๆจะเข้าใจ” ลุงแมวน้ำพูด หยุดทิ้งระยะสักครู่ จากนั้นพูดต่อช้าๆ

“ลุงขอเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 เลยนะ ในปีนั้นเป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่ 2 เพิ่งสิ้นสุด สงครามโลกครั้งที่สองมีจุดเริ่มต้นในซีกโลกฝั่งตะวันตก แต่ก็ลุกลามมายังเอเชียด้วย โดยสงครามโลกครั้งที่สองในย่านเอเชียตะวันออกนี้เราเรียกกันว่าสงครามมหาเอเชียบูรพานั่นเอง

“หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง บ้านเมืองส่วนใหญ่ ทั้งโลกตะวันตกและตะวันออก ล้วนแต่เสียหายจากภัยสงคราม บ้านเมืองเสียหาย ผู้คนล้มตาย ดังนั้นหลังจากสงครามโลก คือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 เป็นต้นมา ถือว่าเป็นยุคฟื้นฟูชาติของประเทศต่างๆในโลก

“โลกในตอนนั้นก็แปลกๆอยู่ เพราะว่าประเทศที่ชนะสงคราม หรือว่าเป็นฝ่ายพระเอก ที่เรียกว่าฝ่ายสัมพันธมิตรนั้น กลับประกอบด้วยมหาอำนาจจากสองขั้วลัทธิ นั่นคือ สหรัฐอเมริกาซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นพี่ใหญ่ฝ่ายโลกประชาธิปไตยซึ่งมีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี กับรัสเซียซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของโลกฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งมีระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ ดังนั้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง สองขั้วลัทธิฝ่ายพระเอกจึงแย่งชิงกันเป็นใหญ่กันเอง เพราะว่าพระเอกฝ่ายประชาธิปไตยก็กลัวถูกพระเอกฝ่ายคอมมิวนิสต์ครอบงำ รวมทั้งต้องการแพร่ขยายแนวคิดในแบบประชาธิปไตยของตนเอง ส่วนพระเอกฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็คิดทำนองนั้นเหมือนกัน และนั่นคือที่มาของยุคสงครามเย็นที่ต่างฝ่ายต่างก็พยายามครอบงำผู้อื่น ดังนั้นประเทศอื่นๆจึงเสมือนว่าต้องเลือกข้าง ว่าจะสนับสนุนฝ่ายใดเป็นลูกพี่

“ต่อมาในปี พ.ศ. 2492 ประเทศจีนเปลี่ยนระบบการปกครองเป็นลิทธิคอมมิวนิสต์ โลกจึงยิ่งวุ่นวาย กลายเป็น 3 ขั้ว คือประชาธิปไตยแบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี แบบคอมมิวนิสต์รัสเซีย และคอมมิวนิสต์แบบจีน

“สำหรับประเทศไทยในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณ พ.ศ. 2482 เป็นต้นมาก็เริ่มต้อนรับกระแสตะวันตก ประเทศไทยเข้าสู่ยุคทันสมัยหรือ modernization และหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้นก็ยิ่งเปิดรับกระแสทุนและกระแสอารยธรรม วัฒนธรรมจากโลกตะวันตกเข้ามาอย่างมากมาย เนื่องจากอเมริกาพยายามแผ่อิทธิพลเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเอาประเทศต่างๆเป็นพวก ประเทศเล็กต้องเลือกข้าง หากไม่เป็นพวกอเมริกาก็ต้องกลายเป็นพวกคอมมิวนิสต์ไป”

“คร่อฟ ฟี้...” เสียงกระต่ายน้อยกรน

“เดี๋ยว อย่าเพิ่งหลับ บอกให้จินตนาการก่อน เอ้า หลับตาจิตนาการตามลุงต่อไป...” ลุงแมวน้ำพูด

“ลองจินตนาการดู ว่าเด็กที่เกิดในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือตั้งแต่ พ.ศ. 2489 เป็นต้นไป พวกนั้นจะเป็นคนอย่างไร มีลักษณะนิสัยร่วมอย่างไร เรามาดูบริบททางสังคมใยุคนั้นกัน

“เด็กที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้นแม้ไม่ได้ผ่านชีวิตที่ยากลำบากในยุคสงครามมา แต่ยุคหลังสงครามที่เพิ่งฟื้นฟูชาติก็ลำบากไม่น้อย บ้านเรือนตึกราม ทรัพย์สินเสียหาย ข้าวของเครื่องใช้ขาดแคลน ชีวิตก็ไม่สบายนัก บางคนก็สูญเสียบุคคลในครอบครัวในระหว่างสงคราม เพาะบ่มให้เด็กในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองมีลักษณะร่วมก็คือ มีความขยัน อดทน หนักเอาเบาสู้ เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต

ถนนราชดำเนิน พ.ศ. 2499


ย่านวังบูรพา หลังจากที่วังบูรพาภิรมย์ถูกรื้อออกและพัฒนาเป็นแหล่งบันเทิงของคนหนุ่มสาวหลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลงไม่นาน

บรรยากาศของกรุงเทพฯในยุคปี พ.ศ. 2499 ที่ความเจริญแบบตะวันตกเริ่มไหลบ่าเข้ามา และกรุงเทพฯเริ่มทันสมัยแบบตะวันตก

“แหล่งบันเทิงในยุคนั้นส่วนใหญ่เป็นของผู้ใหญ่ คือ ย่านธุรกิจการค้าใจกลางเมืองก็คือย่านเยาวราช ซึ่งมีแต่โรงหนัง โรงงิ้ว ภัตตาคารร้านอาหาร ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2500 วังบูรพาถูกรื้อ คือแต่เดิมเป็นวังเจ้า จากนั้นถูกรื้อไปและพัฒนาเป็นย่านธุรกิจ ย่านวังบูรพาจึงเป็นแหล่งวัยรุ่นแห่งแรกของกรุงเทพฯ ซึ่งก็คือยุคโก๋หลังวังนั่นเอง

“ทีวีก็มีเพียง 2 ช่อง เป็นทีวีขาวดำ มิหนำซ้ำทีวีไม่ใช่มีกันทุกบ้าน อุปกรณ์บันเทิงหลักคือวิทยุสี่เหลี่ยมเป็นตู้เครื่องใหญ่ๆ ไม่อย่างนั้นก็อ่านหนังสือ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าชีวิตวัยรุ่นหลังสงครามโลกแม้จะเปิดรับความทันสมัย แต่ก็ยังค่อนข้างจืดชืด

“กระแสทันสมัยที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ได้มาเพียงเรื่องวัฒนธรรม แต่เรื่องการศึกษาก็ด้วย ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ระบบการศึกษาของไทยพัฒนาไปในแนวทางตะวันตกมากขึ้น มหาวิทยาลัยเริ่มมีมากขึ้น ดังนั้นจากเดิมที่เด็กวัยรุ่นจบมัธยมหรือจบพาณิชย์ก็เพียงพอที่จะออกไปประกอบอาชีพแล้ว กลายเป็นว่าความนิยมที่เรียนถึงระดับปริญญาตรีมีมากขึ้น และในยุคของรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์นี้เป็นยุคที่การศึกษาในระดับปริญญาตรีเริ่มขยายตัวออกไปสู่ภูมิภาค มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นในต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลานครินทร์ โดยในช่วงต้นเป็นการตรากฎหมายและก่อสร้างอาคาร กว่าจะเปิดรับนักศึกษาได้จริงก็ล่วงเข้ามาในยุคของจอมพลถนอม

“หลักหมุดสำคัญของการศึกษาไทยหลักหมุดหนึ่งอยู่ที่ปี พ.ศ. 2504 หรือที่เรียกว่าปี ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม คือเป็นปีที่เริ่มใช่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 1 และปีนั้นเองที่มหาวิทยาลัยของรัฐริเริ่มการคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยด้วยระบบข้อสอบคัดเลือกกลาง จากที่ก่อนหน้านี้มหาวิทยาลัยต่างคนต่างรับนักเรียนเข้ากันเอง ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2505 ระบบการสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยจึงเริ่มใช้เป็นปีแรก

“ในยุคนั้นการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นที่นิยมมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันจำนวนที่มหาวิทยาลัยรับได้ยังไม่มากนัก ช่วงประมาณปี พ.ศ. 2504-2510 ถ้าลุงแมวน้ำจำไม่ผิด จำนวนรับของมหาวิทยาลัยของรัฐรวมกันรับได้ประมาณ 35,000 คนเท่านั้น ดังนั้นการเข้ามหาวิทยาลัยจึงถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และคนที่สามารถเรียนในมหาวิทยาลัยได้ก็ถือว่าเป็น ปัญญาชน”

“ในช่วงนั้น พ.ศ. 2504-2510 ประเทศไทยพัฒนาไปตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 และ 2 ซึ่งตอบรับการไหลบ่าของทุนนิยมตะวันตก สังคมไทยเริ่มพัฒนาไปสู่ยุคอุตสาหกรรมการผลิต สัมคมเกษตรจากการทำเกษตรก๊อกๆแก๊กๆไปตามมีตามเกิด ก็เปลี่ยนเป็นเกษตรเชิงเดี่ยวแบบตะวันตกที่ทำรายได้มากขึ้น เกษตรกรในภาคชนบทมีทางเลือกมากขึ้น หากไม่ทำเกษตรแผนใหม่ที่เป็นเกษตรเชิงเดี่ยว ก็ไปทำงานโรงงานหรือทำงานตามห้างร้าน ไม่ว่าทางใดก็ยกระดับรายได้ขึ้นทั้งนั้น


สภาพบ้านเมืองของกรุงเทพฯในปี พ.ศ. 2507 รถรางยังมีใช้อยู่


ห้างเซ็นทรัลราชประสงค์ เปิดในปี พ.ศ. 2507 ยุคนี้เป็นยุคที่แหล่งคนหนุ่มสาวย้ายมาที่ราชประสงค์ ห้างเซ็นทรัลเปิดได้ไม่กี่ปีก็ปิดไปเพราะแข่งสู้ห้างไดมารูของญี่ปุ่นไม่ได้


เยาวราช พ.ศ. 2508 ยังเป็นแหล่งค้าขายของชาวจีน แต่ศูนย์กลางความเจริญในกรุงเทพฯย้ายไปอยู่ที่ราชประสงค์แล้ว




“สิ่งที่มาพร้อมกับการพัฒนา นั่นก็คือความเหลื่อมล้ำ หลายๆคนยกระดับรายได้ขึ้นอย่างมากมาย แต่ขณะที่หลายๆคนจนลงและจนลง เป็นหนี้เป็นสินมากขึ้น ประกอบกับในช่วงนั้นกรุงเทพฯพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แหล่งวัยรุ่นย่านวังบูรพาเริ่มโรย ขณะเดียวกันศูนย์การค้าย่านราชประสงค์ผุดขึ้นมาแทน มีห้างสรรพสินค้าเกิดขึ้นในย่านนี้สองห้าง คือห้างเซ็นทรัล และห้างไดมารูของญี่ปุ่น ห้างไดมารูมีบันไดเลื่อนและลิฟต์ซึ่งหรูมากในยุคนั้น มีร้านอาหารแบบฝรั่ง มีบาร์แบบฝรั่ง ราชประสงค์ในยุคนั้นคือจุดที่ทันสมัยที่สุดในเมืองกรุง

“ดังที่ลุงแมวน้ำบอกว่าลักษณะร่วมของวัยรุ่นและหนุ่มสาวในยุคนั้นคือมานะ อดทน ยิ่งเป็นผู้ที่ได้เข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัย ได้เรียน ได้อ่าน ได้เห็น และได้คิดกับสภาพสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำ การมีแหล่งบันเทิงน้อย การได้อ่านหนังสือเยอะ ทำให้หนุ่มสาวในยุคนั้นมีลักษณะร่วมเพิ่มขึ้นอีกประการหนึ่งก็คือ มีอุดมการณ์ และมุ่งแสวงหาความหมายของชีวิต

ความเหลื่อมล้ำที่มาพร้อมกับกระแสทุนนิยม ทำให้หนุ่มสาวปัญญาชนเริ่มตั้งคำถามกับตนเอง และพยายามแสวงหาคำตอบ

ในยุคที่คนหนุ่มสาวกำลังแสวงหา และมีสิ่งบันเทิงมายั่วยุน้อย ทำให้คนหนุ่มสาวสนใจทำกิจกรรมเพื่อพัฒนาสังคมต่างๆ


“ดังนั้น ผู้ที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อถึงวัยที่เข้ามหาวิทยาลัย ก็จะได้รับการปลูกฝังอุดมการณ์สืบต่อมาจากรุ่นพี่ รวมทั้งกิจกรรมนิสิตนักศึกษาในยุคนั้นมีการออกไปรับใช้มวลชนกันเยอะ ก็คือพวกงานค่ายอาสาพัฒนาชนบทนั่นแหละ ก็ยิ่งเพาะบ่มหนุ่มสาวเหล่านี้ให้มีอุดมการณ์เข้มข้นยิ่งขึ้น ครูโกมล คีมทอง เป็นตัวอย่าง คือจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในเมืองกรุง แต่สมัครใจไปเป็นครูในถิ่นทุรกันดาร งบทกวี ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย ที่โด่งดัง ก็ถูกประพันธ์ขึ้นในยุคนี้เช่นกัน

“เอาละ ทีนี้หนุ่มสาวเหล่านี้มาเกี่ยวกับการเมืองและการเรียกร้องรัฐธรรมนูญได้อย่างไร ประเด็นก็อยู่ที่ยุคคณาธิปไตยของจอมพลสฤษดิ์ ต่อด้วยยุคถนอม-ประพาส-ณรงค์ที่ทั้งประเทศอยู่ในกำมือของบุคลคลเพียงกลุ่มเดียวนี่แหละ ที่ทำให้คนหนุ่มสาวปัญญาชนเหล่านั้นทนไม่ได้” ลุงแมวน้ำขมวดปม “และเด็กที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ลุงบรรยายบริบทสังคมมานี้ ก็คือคนที่เรียกว่ารุ่นเจนบี (Gen B) หรือคนรุ่นเบบี้บูม (Baby Boomer) นั่นเอง”

Saturday, November 2, 2013

02/11/2013 40 ปี 14 ตุลา กับปฏิบัติการยึดประเทศไทย 2556: ตอนที่ 2 ปฐมบทวันมหาวิปโยค




จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต้นตำรับดาบอาญาสิทธิ์ ม.17


“มา มา ถ้าอย่างนั้นมานั่งเล่นที่สวนข้างโขดหินกันก่อน แล้วฟังลุงเล่านิทาน ตอนเช้าอย่างนี้บรรยากาศในสวนกำลังร่มรื่นทีเดียว” ลุงแมวน้ำพูด

“เดี๋ยวก่อนนะฮะลุง ขอตัวสักครู่ เดี๋ยวผมตามไปในสวนฮะ” กระต่ายน้อยพูดพลางกระโดดแผลวจากไปอย่างรวดเร็ว

ลุงแมวน้ำกับลิงจ๋อเดินไปรออยู่ในสวน เพียงครู่เดียวกระต่ายน้อยก็วิ่งลิ่วมาพร้อมกับยีราฟ ม้าลาย หมี และสิงสาราสัตว์ในคณะละครสัตว์อีกหลายตัว

“กระต่ายน้อยวิ่งมาบอกว่าลุงแมวน้ำจะเล่านิทาน แหม เล่าตั้งแต่เช้าเลยนะ พวกเราชอบฟังนิทาน เลยมาขอฟังด้วย” ยีราฟสาวพูด

“นี่ยกโขยงกันมาฟังนิทานเลยเหรอ” ลุงแมวน้ำหัวเราะ “ที่จริงมันเป็นเรื่องจริงหรอกนะ เพียงแต่ว่าลุงเล่าแบบนิทานเท่านั้นเอง มันเป็นเหตุการณ์ที่ประวัติศาสตร์ได้จารึกเอาไว้ อีกทั้งเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของประเทศไทยทีเดียว เอ้า เมื่อมากันพร้อมแล้ว ลุงจะเริ่มเล่าเลยก็แล้วกันนะ”

“กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว...” กระต่ายน้อยพูดเบาๆ

“ใช่แล้ว...” ลุงแมวน้ำขำในความซ่าของกระต่ายน้อย คงอยู่ในหมวกของนักมายากลมานานเลยเหงา เมื่อได้ออกมาข้างนอกบ้างจึงสดชื่นรื่นเริง “นิทานก็ต้องขึ้นต้นเรื่องแบบนั้น”

“กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ประมาณ  80 กว่าปีมาแล้ว” ลุงแมวน้ำพูด “ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและอยู่ใต้รัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2475 ตั้งแต่นั้นมา ประเทศไทยก็เดินอยู่บนเส้นทางประชาธิปไตยแบบลุ่มๆดอนๆตลอดมา ที่ว่าลุ่มๆดอนๆเพราะว่าเป็นประชาธิปไตยแบบที่มีการเลือกตั้งสลับกับการรัฐประหารเรื่อยมา

“ลุงขอจับความตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 ก็แล้วกัน เล่าแบบกระชับ คือในปีนั้นมีการทำรัฐประหารโดยคณะทหาร ภายใต้การนำของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม หรือที่เรารู้จักกันในชื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อมีการรัฐประหาร ตามธรรมเนียมก็ต้องฉีกรัฐธรรมนูญเดิมทิ้งไปแล้วร่างรัฐธรรมนูญพร้อมกับการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งรัฐบาลใหม่นั้นนายกรัฐมนตรีก็คือจอมพล ป. นั่นเอง”

“ก็คือคณะทหารยังกุมอำนาจอยู่ เพียงแต่แปลงร่างจากคณะรัฐประหารเป็นคณะรัฐมนตรี” ลิงจ๋อว่า

“ก็ทำนองนั้นแหละ” ลุงแมวน้ำพูด “บ้านเมืองในยุคนั้นแม้จะใช้ชื่อว่าเป็นระอบบประชาธิปไตย แต่โดยเนื้อหาแล้วก็คือเผด็จการทหารจำแลงนั่นเอง”

“จอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรีและบริหารประเทศอยู่หลายปี จนในปี พ.ศ. 2500 ก็ถูกรัฐประหาร” ลุงแมวน้ำเล่าต่อ

“อ้าว ตัวเองทำรัฐประหาร แล้วตัวเองก็โดนเอาบ้าง” ยีราฟอุทาน

“ใช่แล้ว และผู้ที่ทำรัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป. ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขุนพลคนสนิท ซึ่งในตอนนั้นเป็นผู้บัญชาการทหารบกนั่นเอง สาเหตุที่มีการรัฐประหารเพราะว่ามีการโกงการเลือกตั้งกันอย่างหนักจนประชาชนรับไม่ได้ มีการประท้วง บ้านเมืองวุ่นวาย จนจอมพลสฤษดิ์ต้องใช้กำลังทหารยึดอำนาจและทำรัฐประหารในปี 2500 

“จอมพลสฤษดิ์ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเอง แต่ให้จัดการเลือกตั้งใหม่ จนในปี พ.ศ. 2501 ประเทศไทยก็มีรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งที่ชื่อพลโทถนอม กิตติขจร (ยศในตอนนั้น)” 

“แต่การเมืองก็เกิดความวุ่นวาย พลโทถนอมไม่สามารถบริหารประเทศได้โดยราบรื่น จอมพลสฤษดิ์และพลโทถนอม จึงร่วมกันทำรัฐประหารซ้ำอีกครั้งในปี พ.ศ. 2501 ซึ่งก็คือเป็นการรัฐประหารตัวเองนั่นเอง และหลังจากนั้นก็มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จอมพลสฤษดิ์ก็รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเองโดยไม่มีการเลือกตั้ง คือเป็นคณะรัฐบาลเผด็จการทหาร”

“ว้า ยังงั้นก็แย่สิ ไม่มีการเลือกตั้ง ไม่เป็นประชาธิปไตย” ลิงจ๋อบ่น

“แต่ก็แปลกนะ ที่ประชาชนในยุคนั้นกลับรู้สึกว่าบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดี เพราะในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2502 นั้น มีบทบัญญัติอยู่มาตราหนึ่ง ที่ให้อำนาจแก่นายกรัฐมนตรีแบบไร้ขีดจำกัด คือ จะทำอะไรก็ได้ และให้ถือว่าการกระทำนั้นถูกกฎหมาย ซึ่งเท่ากับให้ดาบอาญาสิทธิ์แก่นายกรัฐมนตรีนั่นเอง”

“โห สมัยก่อนมียังงี้ด้วย แล้วประชาชนรับได้เหรอครับ” ลิงจ๋อถาม

“ลุงอยากจะบอกว่า เท่าที่ลุงเห็นมา ลุงคิดว่าประชาชนชอบเสียอีกนะ นี่เราไม่มองกันในเรื่องหลักการประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญมาตรานี้ให้อำนาจแก่นายกฯในการจัดการกับความไม่สงบเรียบร้อยต่างๆในบ้านเมือง ทำให้นายกฯสามารถดำเนินการได้อย่างเด็ดขาดและเฉียบขาด 

“ยกตัวอย่างเช่นเรื่องไฟไหม้ คนในสมัยก่อนกลัวเรื่องไฟไหม้กันมาก เพราะว่าโจรปล้นบ้านสิบครั้งไม่เท่ากับไฟไหมบ้านครั้งเดียว ใครถูกไฟไหม้ก็คือหมดเนื้อหมดตัวนั่นเอง และยังอาจเสียชีวิตจากไฟคลอกด้วย จอมพลสฤษดิ์ใช้ความเฉียบขาดด้วย ม.17 กับพวกคดีวางเพลิง โดยถือเป็นเรื่องร้ายแรง ยกตัวอย่างกรณีไฟไหม้ 300 หลังคาเรือนที่สุพรรณบุรี จอมพลสฤษดิ์ขึ้น ฮ. ไปบัญชาการ และดำเนินการสอบสวนมือเพลิงด้วยตนเอง จากนั้น ใช้อำนาจ ม.17 สั่งประหารชีวิตมือเพลิง ณ จุดเกิดเหตุนั้นเลย ทำให้ผู้ร้ายเกิดความเกรงกลัว คดีวางเพลิง ไฟไหม้ ในยุคนั้นลดลงอย่างมาก ประชาชนก็ชอบใจ”

“แหม่ๆๆ ทำเป็นเรียลลิตี้โชว์เลยนะ” กระต่ายน้อยออกความเห็น

“แต่ในซอกมุมที่ประชาชนทั่วไปมองเข้าไปไม่ถึง กฎหมายข้อนี้ก็เป็นอันตรายแก่สุจริตชนอย่างใหญ่หลวง เพราะว่าจอมพลสฤษดิ์ใช้มาตรา 17 นี้อย่างไร้การตรวจสอบ และไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ยกตัวอย่างเช่นกรณีวางเพลิง ใครจะรู้ล่ะว่ามือเพลิงนั้นเป็นมือเพลิงจริงหรือว่าเป็นแพะ เพราะไม่ได้ผ่านกระบวนการยุติธรรมใดๆ ดังนั้นข้อดีก็มี คือคนร้ายกลัวเกรง แต่ข้อเสียก็มาก เพราะสุจริตชนอาจถูกให้ร้ายได้ 

“และตัวอย่างก็มีให้เห็นจริงๆ นั่นคือ มีประชาชน โดยเฉพาะพวกที่เป็นนักคิด  นักเขียน นักพูด ที่ไม่เห็นด้วยและวิพากษ์วิจารณ์จอมพลสฤดิ์ พวกที่คิดต่างเห็นต่างเหล่านี้ถูกกำจัดออกไปจนหมด โดยถูกคุมขังแบบขังลืม ไม่ต้องมีเหตุผล เพียงบอกว่าเป็นคอมมิวนิสต์เท่านั้น แม้แต่พระที่คิดต่างเห็นต่างก็ยังถูกจับสึก มีปัญญาชนที่เห็นต่างถูกจับยิงเป้าที่ท้องสนามหลวงด้วยข้อหาภัยคอมมิวนิสต์โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมตามปกติ รัฐบาลยุคนั้นจึงถือว่าเป็นเผด็จการทหารอย่างสมบูรณ์แบบ และในยุคของจอมพลสฤษดิ์นี้เอง คือยุคที่ปัญญาชนผู้เห็นต่างถูกต้อนเข้ามุมอับ ถูกบีบคั้นจนอับจนสิ้นหนทาง และต้องเข้าป่าไปอยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ภาพอันเลวร้ายเหล่านี้ชาวบ้านทั่วไปไม่ค่อยได้สังเกตนัก เพราะภาพที่ชาวบ้านสัมผัสได้คือการดำเนินชีวิตที่ราบรื่น อาชญากรรมลดลง คดีเพลิงไหม้ลดลง”

“อือม์ มันก็น่าคิดนะ ว่า ม.17 นี่แท้ที่จริงเป็นคุณหรือเป็นโทษกันแน่” ลิงจ๋อรำพึงกับตนเอง “มันเป็นกฎหมายที่อิงกับตัวบุคคลอย่างแรง หากได้ผู้ใช้กฎหมายเลวๆละก็แย่เลย”

“เรื่องราวยังไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ฟังลุงเล่าต่อ หลังจากที่จอมพลสฤษด์เสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2506 หลังจากนั้นจอมพลถนอม ตอนนั้นเป็นยศจอมพลแล้ว ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เป็นยาวเลย จนถึงปี พ.ศ. 2514 โน่นเลย หลังจากนั้นก็ทำการรัฐประหารตนเอง” ลุงแมวน้ำเล่าต่อ

จอมพลถนอม กิติขจร

“หา รัฐประหารตนเองอีกแล้วเหรอ ทำกันเป็นแฟชั่นเลยหรือไง” ม้าลายพูดขึ้นบ้าง

“ตอนที่จอมพลถนอมเป็นนายกในรอบสอง ก็มีการตั้งพรรคการเมือง และลงสมัครรับเลือกตั้ง ทีนี้ในการเลือกตั้งปี 2512 ส.ส. พรรคประชาไทยซึ่งเป็นพรรคการเมืองของจอมพลถนอมเรียกร้องผลประโยชน์ตอบแทนต่างๆจากจอมพลถนอม โดยอ้างคำสัญญาที่ให้ไว้แก่กัน เมื่อไม่ได้ผลประโยชน์ตามที่ต้องการ บรรดา ส.ส. ก็สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในสภา จอมพลถนอมคุมสถานการณ์การเมืองไม่อยู่ จึงทำการรัฐประหารตนเองอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2514 โดยยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยกเลิกรัฐสภา ยกเลิกพรรคการเมือง ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 ก็ประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ที่ยังคง ม.17 เอาไว้เป็นดาบอาญาสิทธิ์และตนเองยังเป็นนายกฯเช่นเดิม ไม่ต้องมีการเลือกตั้ง ไม่ต้องมีสภาผู้แทนราษฎร ไม่ต้องมีฝ่ายค้าน คณะรัฐบาลในยุคนั้นจึงเป็นรัฐบาลเผด็จการทหารเต็มรูปแบบอีก และนี่เอง คือปฐมบทที่นำไปสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ในลำดับต่อมา”

Friday, November 1, 2013

01/11/2013 40 ปี 14 ตุลา กับปฏิบัติการยึดประเทศไทย 2556: ตอนที่ 1 เหมาเข่งสุดซอย


เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 คือเหตุการณ์ที่ประชาชนกว่าห้าแสนคนลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจเผด็จการทหารโดยการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ อันเป็นผลให้รัฐบาลใช้กำลังและอาวุธปราบปรามประชาชน มีผู้เสียชีวิตตามรายงาน 77 คน แต่ในความป็นจริงแล้วมีผู้หายสาบสูญไปเป็นจำนวนมาก

ภาพถ่ายจากมุมสูง เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 รัฐบาลเผด็จการทหารสั่งกำลังทหารให้ออกจากที่ตั้งและปราบปรามประชาชนผู้มีเพียงมือเปล่าหรืออย่างดีก็มีท่อนไม้ มีการใช้อาวุธปืนยิงกราดลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ด้วย


เช้าวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 ลิงจ๋อพร้อมกับกระต่ายน้อยจอมซ่ามาหาลุงแมวน้ำที่โขดหินตั้งแต่เช้าตรู่

“ลุงแมวน้ำ ลุงแมวน้ำ ตื่นเร้ว มัวแต่นอนอยู่นั่นแหละ” ลิงจ๋อส่งเสียงร้องเรียก

ลุงแมวน้ำโผล่ออกมาจากหลังโขดหินพร้อมกับทักทาย

“ลุงตื่นตั้งนานแล้ว ใครว่าลุงมัวแต่นอน ว่าแต่นายจ๋อมีอะไรเหรอ มาหาลุงแต่เช้าเชียว” ลุงแมวน้ำถาม

“พี่จ๋อเขาจะมาชวนลุงไปที่แยกอุรุพงษ์ฮะ” กระต่ายน้อยรีบตอบแทน ดวงตากระต่ายน้อยเป็นประกาย แสดงถึงความกระตือรือร้น

“จะไปทำไมล่ะ” ลุงแมวน้ำถาม

“อ้าว ลุงไม่รู้หรอกเหรอว่า ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยผ่านสภาผู้แทนเรียบร้อยแล้ว” ลิงจ๋อพูด

“ผ่านที่ไหนกัน เพิ่งจะวาระสองกันเมื่อคืน ต้องรอให้ผ่านวาระสามก่อนสิ” ลุงแมวน้ำตอบ

“ก็นี่แหละ ผ่านสภาผู้แทนทั้งสามวาระแล้วแปรญัตติวาระสองจบก็ลงมติวาระสามกันเมื่อตอนเช้ามืดนี้เอง อย่างด่วนเลยลุง” ลิงจ๋อเร่ง

“เดี๋ยวก่อนสิ ใจเย็นๆ ลุงยังมีงานสำคัญที่ทำค้างอยู่” ลุงแมวน้ำตอบ เพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าร่าง พ.ร.บ. นี้ผ่านวาระสามแล้ว

“โอ๊ย ลุงนี่อิดออดจริง” ลิงจ๋อบ่น “เรื่องเขื่อนแม่วงก์ก็ทีหนึ่งแล้ว ชวนก็ไม่ไป ชักช้าเป็นแมวน้ำอยู่นั่นแหละ นี่ก็อีกแล้ว”

“อ้าว ก็เป็นแมวน้ำน่ะถูกแล้ว อีกอย่างก็แก่แล้วด้วย จะทำอะไรรวดเร็วเหมือนนายจ๋อได้ยังไง” ลุงแมวน้ำพูด

“ไม่กล้าไปก็บอกมาเถอะ ฮึ สงสัยลุงจะกลัวหมามุ่ยโปรยใส่ เราไปกันสองตัวก็ได้ จริงมั้ยกระต่ายน้อย” ลิงจ๋อดูแคลน แต่ลุงแมวน้ำรู้ดีว่าลิงจ๋อกำลังพูดเพื่อยุลุง

“จริงคร้าบ” กระต่ายน้อยรับคำ “รีบไปเร็วๆเข้า”

“กระต่ายน้อยนี่ก็แปลก ปกติกระต่ายมักขี้กลัว ขี้ตกใจ แต่รายนี้ดูกระตือรือร้นเสียจริง” ลุงแมวน้ำหัวเราะขำ

“อ้าว เรื่องบ้านเมืองเป็นเรื่องสำคัญ ขนาดขี้ตกใจอย่างกระต่ายน้อยยังพร้อมจะไปร่วมประท้วงเลย แล้วลุงจะอิดออดไปถึงไหน” ลิงจ๋อยุอีก

“ลุงไม่ได้อิดออด และไม่ได้ปฏิเสธ แต่ว่าลุงยังมีภาระค้างอยู่ ลุงเขียนบทความยังไม่เสร็จเลย การให้ความรู้แก่มวลชนก็เป็นการต่อสู้อย่างหนึ่งเหมือนกัน อีกอย่างหนึ่ง การแสดงละครสัตว์ลุงก็ต้องรับผิดชอบ รับงานมาแล้วจะทำให้เสียหายได้อย่างไร” ลุงแมวน้ำตอบ

“อ้อ ลุงเขียนบทความอยู่เหรอ เรื่องอะไรล่ะครับ” ลิงจ๋อถาม

ลุงแมวน้ำไม่ได้ตอบคำถามนายจ๋อ แต่พูดต่อไป “อีกอย่างหนึ่งก็คือ เหตุการณ์ครั้งนี้ลุงถือว่าป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก เพราะนี่คือการทำรัฐประหารในรูปแบบใหม่ที่น่ากลัว เมื่อก่อนผู้ที่ทำรัฐประหารได้ต้องมีกำลังและอาวุธ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือรัฐประหารมักทำโดยทหารนั่นเอง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นการทำรัฐประหารด้วยเงิน มีเงินมากๆก็ยึดประเทศได้ด้วยการใช้เงินซื้ออำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ กำลังที่จะต่อต้านกับอธรรมครั้งนี้ยังไม่พอหรอก ลุงกำลังรอวีรบุรุษที่จะมาเป็นผู้นำในการต่อสู้ด้วยกับพวกเรา”

“วีรบุรุษคนไหนล่ะลุง ตอนนี้ผู้นำการประท้วงมีอยู่หลายคน ทั้งนักการเมืองฝ่ายค้าน แกนนำพันธมิตร และอื่นๆอีกมากมาย” ลิงจ๋อถาม

ลุงแมวน้ำยังไม่ตอบคำถามอีก แต่พูดต่อไปว่า

“ลุงเคยผ่านเหตุการณ์พวกนี้มาแล้ว เมื่อ 40 ปีก่อน ตอน 14 ตุลาคม 2516 ลุงก็วิ่งฝ่าลูกกระสุนปืนอยู่ที่ท้องสนามหลวง ครบ 40 ปีพอดีเลย”

“ลุงแมวน้ำอยู่ในเหตุการณ์ 14 ตุลาด้วยเหรอ” ลิงจ๋อถาม “ไม่ยักรู้”

“ช่าย วันนั้นลุงอยู่ที่ท้องสนามหลวง จำได้แม่นยำเลยว่าลุงเดินอยู่แถวๆหน้าโรงละคอนแห่งชาติ มีเฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือหัว ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนกลดังรัว มีการยิงปืนจาก ฮ. ลงมาข้างล่าง ฝูงชนหาที่กำบังกันใหญ่ พวกที่อยู่ในที่โล่ง เข้าที่กำบังไม่ทัน รวมทั้งลุง ก็ได้แต่หมอบราบกับพื้น ที่จริงหากยิงจาก ฮ. การหมอบราบกับพื้นคงไม่ช่วยอะไร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น” ลุงแมวน้ำพูด

“อู๊ว์ว์ว์ ตื่นเต้นจัง” กระต่ายน้อยทำหูตั้งชัน  “ว่าแต่เรื่อง 14 ตุลา นี่มันยังไงกันเหรอฮะลุงแมวน้ำ”

“นายจ๋อเล่าได้ไหมล่ะ สนใจการเมืองขนาดนี้” ลุงแมวน้ำถาม

“ผมเกิดไม่ทัน รู้นิดเดียวเองว่าเป็นวันที่ประชาชนลุกฮือขั้นขับไล่เผด็จการ” ลิงจ๋อตอบ

“เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มีความสำคัญกับสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ และที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตมาก” ลุงแมวน้ำตอบ

“มันสี่สิบปีมาแล้วนะลุง นานมากแล้ว จะสำคัญกับปัจจุบันมากขนาดที่ลุงว่าได้ยังไง” ลิงจ๋องง “อ้อ แล้ววีรบุรุษที่ลุงรอคอยคือใคร ยังไม่ได้บอกเลย”

“ถ้ายังงั้นนายจ๋อกับกระต่ายน้อยอย่าเพิ่งไปที่อุรุพงษ์เลย มาฟังลุงเล่านิทานก่อนดีกว่า เสร็จแล้วก็ค่อยไปกัน” ลุงแมวน้ำพูด

“โอ๊ย จะมาฟังนิทานอะไรกันตอนนี้ กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน” ลิงจ๋อโวย

“ต่ายน้อยอยากฟังฮะลุง เล่าเลย” กระต่ายน้อยกระดิกหางสั้นอย่างระรัว “ผมชอบฟังนิทาน”

“ฟังก่อนแล้วค่อยไป ยังไม่มีอะไรช้าเกินไปหรอก และถ้านายจ๋อเข้าใจเหตุการณ์ 14 ตุลา มากกว่านี้ ก็อาจมีส่วนช่วยกับการขับเคลื่อนในครั้งนี้ก็ได้ เพราะว่าหนุ่มสาวที่มีบทบาทปลดปล่อยประชาชนจากเผด็จการทหารในวันนั้นก็คือคนที่มีส่วนในปฏิบัติการยึดประเทศในวันนี้” ลุงแมวน้ำพูด

“ฮ้า ยังงั้นเหรอลุง” ลิงจ๋ออุทาน “เอา ยังงั้นก็เอา ฟังนิทานสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน อยากรู้เสียแล้ว” ลิงจ๋อตกลงในที่สุด

Thursday, October 10, 2013

10/10/2013 * เขื่อนแม่วงก์ 101 ป่าสร้างได้ สัตว์ป่าก็สร้างได้ (2)






“เรื่องมันเป็นอย่างนี้ กระต่ายน้อยค่อยๆฟังลุงเล่าไปก่อน” ลุงแมวน้ำพูด “ในปี 2532 กำหนดให้มีการทำอีไอเอของโครงการเขื่อนแม่วงก์ หลังจากนั้นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็รับไปดำเนินการ กว่าจะทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) และแผนแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIMP) แล้วเสร็จก็ปาเข้าไปปี 2537 โน่น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าโครงการขนาดใหญ่แบบนี้ผลกระทบซับซ้อนมาก การศึกษาและประเมินผลกระทบต้องลงพื้นที่ ใช้เวลาในการเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ ประเมิน นานนับปีอยู่แล้ว เมื่อกรมชลประทานที่เป็นเจ้าของเรื่องได้รับรายงานมา ก็ส่งให้ คชก พิจารณา”

“โอ๊ย ตัวละครชักเยอะ” ยีราฟเริ่มบ่น ทำปากยู่ยี่ “จำยากจัง แล้ว คชก เป็นใครกันอีกละคะลุง”

“คชก ย่อมาจาก คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ” ลุงแมวน้ำตอบ

“เอ๊ะ อีไอเอ ต้องผ่านคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาตินี่ลุง แล้ว คชก นี่มาจากไหนกัน” ลิงจ๋อก็งงด้วย

“คือยังงี้ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาตินี้เป็นคณะกรรมการระดับชาติ มีหน้าที่ในการพิจารณาอนุมัติอีไอเอจริงๆ แต่ว่าในเชิงโครงสร้างการทำงานแล้ว คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเปรียบเสมือนหัวหรือว่าศีรษะ มีหน้าที่คิดและตัดสินใจ แต่ว่าคนเรามีแต่หัวไม่ได้ ต้องมีมือไม้แขนขา ดังนั้นกฎหมายจึงกำหนดให้ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานแขนขา ที่คอยชงเรื่อง กลั่นกรองเรื่อง ให้แก่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยที่ สผ นี้มีคณะกรรมการในสังกัดอยู่หลายคณะที่มีความชำนาญแตกต่างกันไปในแต่ละสาขา

“คชก หรือคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ ก็เป็นคณะผู้ชำนาญในสังกัดของ สผ ที่คอยช่วยชงเรื่องในด้านโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ คณะกรรมการอื่นๆก็เอาไว้คอยชงเรื่องในด้านอื่นๆ เช่น คณะกรรมการผู้ชํานาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโรงไฟฟ้าพลังความร้อน คณะกรรมการผู้ชํานาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมถลุงหรือแต่งแร่ เป็นต้น” ลุงแมวน้ำตอบ

“โอ๊ย ฉันละมึน ตัวละครและชื่อย่อเยอะจัง จะจำไหวไหมเนี่ย ความจำไม่ค่อยดีอยู่ด้วย” ยีราฟบ่น

“ทีแม่ยีราฟดูซีรีสซ์เกาหลี ชื่อยากๆ ยาวๆ ยังจำได้ เห็นจ้องทีวีตาแป๋ว ไม่บ่นสักคำ” ลิงจ๋อเหน็บแนม

“วุ้ย ดันเห็นอีก” ยีราฟสาวหัวเราะกิ๊ก

“ก็นี่แหละ เรื่องราวมันยาวเป็นมหากาพย์ อีกทั้งมีรายละเอียดมาก ดังนั้นคนทั่วไปพอเริ่มติดตามข่าวหน่อยก็จะมึนแล้ว ก็เลยละความสนใจไปเลย แต่ที่จริงเรื่องนี้มีผลกระทบต่อพวกเราทุกคน ไม่ว่าเราจะอยู่ นครสวรรค์ กรุงเทพฯ สงขลา หรือจังหวัดอื่นๆก็ตาม ดังนั้นลุงจึงพยายามไปช้าๆ อธิบายง่ายๆ ไล่เรียงไปตามลำดับไงล่ะ” ลุงแมวน้ำพยายามวกเข้าเรื่อง

“เอ้า ต่อเลยลุง” ลิงจ๋อเร่ง “กรมชลประทานเสนอรายงานอีไอเอให้ คชก พิจารณา แล้วไงต่อ”

“กรมชลประทานเสนอรายงานอีไอเอให้ คชก พิจารณาในปี 2537 ในปีเดียวกันนั้นเอง คชก ก็พิจารณาและแจ้งต่อกรมชลประทานว่ารายงานผลกระทบนี้ยังไม่สมบูรณ์เพียงพอ ให้ไปศึกษาเพิ่มเติมมาอีก โดยให้ศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบสิ่งแวดล้อมบริเวณเขาชนกันด้วยเนื่องจากในการศึกษาความเหมาะสมของโครงการพบว่าที่ตั้งโครงการบริเวณเขาชนกันจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าบริเวณเขาสบกก กรมชลประทานก็ไปว่าจ้างปริษัทเอกชนให้ทำการศึกษาเพิ่มเติม หลังจากนั้นก็ส่งเรื่องให้ คชก อีก

“ต่อมาในปี 2541 โครงการเขื่อนแม่วงก์ก็เข้าที่ประชุมของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ  (กก. วล.) โดยคณะกรรมการยังไม่เห็นชอบกับอีไอเอในตอนนั้น และมีมติให้ไปศึกษาเพิ่มเติมอีกในหลายประเด็น โดยเฉพาะปัจจัยที่มีผลกระทบต่อนิเวศวิทยา การประเมินต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม กับ... อันนี้นี่สำคัญมากนะ ฟังข้อความต่อไปนี้ให้ดี

“มติของ กก.วล. มีต่อไปอีกว่า ให้กรมชลประทานไปวิเคราะห์ต้นทุนโครงการเขื่อนแม่วงก์ ทั้งกรณีตั้งที่เขาสบกก และกรณีที่ตั้งที่เขาชนกัน เปรียบเทียบกับต้นทุนในการสร้างฝายและที่เก็บกักน้ำแบบอื่นๆ แทนการสร้างเขื่อน

“นอกจากนี้ กก. วล. ยังมีมติให้ทำประชาพิจารณ์โครงการเขื่อนแม่วงก์ด้วย แล้วนำมาเสนอ กก. วล. เพื่อพิจารณาอีก”

“ฟังแล้วจ้ะ แล้วยังไง” ยีราฟสงสัย


“จำเอาไว้ก่อน แล้วฟังลุงเล่าต่อ” ลองแมวน้ำพูด “ต่อมา ปี 2543 กรมชลประทานก็ไปทำประชาพิจารณ์มา การทำประชาพิจารณ์นั้นจัดที่กรุงเทพฯที่เอง มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วม 8100 คน แต่ว่ามาร่วมประชาพิจารณ์จริงเพียง 564 คน ไหงน้อยยังงี้ก็ไม่รู้ เมื่อทำประชาพิจารณ์แล้วเสร็จ ก็รวบรวมผล ส่งให้ สผ เพื่อเอาเข้าคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมต่อไป

“ต่อมา ปี 2545 ผลการศึกษาเพิ่มเติมก็ถูกนำเข้าคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ กก. วล. ก็ยังไม่เห็นชอบกับอีไอเออยู่ดี เพราะว่ากรมชลประทานวิเคราะห์เปรียบเทียบเฉพาะกรณีที่ตั้งเขื่อนที่เขาสบกก กับที่เขาชนกัน เพียงสองแห่งเท่านั้น

“กก. วล. ให้กรมชลประทานหาทางเลือกของที่ตั้งโครงการ และศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องการบริหารการจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบในลักษณะบูรณาการ ก็ให้การบ้านแก่กรมชลประทานไปทำมาอีก

“ในปี 2547 ก็มีการส่งอีไอเอให้ สผ เพื่อยื่นเข้า กก. วล. อีก ในครั้งนี้ สผ ซึ่งเป็นผู้ชงเรื่องเข้าคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้ทวงติงกรมชลประทานไปว่า ข้อมูลที่นำเสนอมาเป็นข้อมูลเดิมๆ  การบ้านที่ว่าให้ศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องการบริหารการจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบในลักษณะบูรณาการ ก็ยังไม่ได้ตอบมา มีแค่การเปรียบเทียบการสร้างเขื่อนที่เขาสบกกกับที่เขาชนกันเท่านั้น

“ต่อมา ในปีเดียวกันนั้นเอง เรื่องก็เข้า กก.วล. คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติก็ยังไม่ให้ความเห็นชอบอีไอเอของเขื่อนแม่วงก์อีก โดยครั้งนี้ กก. วล. ก็ย้ำการบ้านไปอีกสองข้อ คือ ข้อแรก ให้กรมชลประทานประสานการดำเนินการวางแผนบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำแม่วงก์ ให้สอดคล้องกับแผนการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำสะแกกรังของคณะอนุกรรมการลุ่มน้ำสะแกกรัง เพื่อหาข้อยุติในการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบในลักษณะบูรณาการ โดยพิจารณาให้มีผลกระทบต่อทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่าในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ตลอดจนความขัดแย้งกับราษฎรน้อยที่สุด

“การบ้านข้อสองก็คือ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำวิธีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงกลยุทธ์ (SEA: Strategic Environmental Assessment) มาใช้ในการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้วย

“นี่คือการบ้านในปี 2547 ต่อมา ปี 2550 กรมชลประทานก็ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ให้ทำการศึกษา SEA”

“โห มหากาพย์จริงๆ ลากยาวมานับสิบปีเลย” ยีราฟสาวให้ความเห็นพร้อมกับทำน้ำลายหยดแหมะลงบนหัวกระต่ายน้อย ลุงแมวน้ำกับลิงจ๋อรีบถอยห่างจากยีราฟเพื่อตั้งหลัก

“ยัง ยังไม่จบเท่านี้” ลุงแมวน้ำพูด “จะเห็นว่าโครงการนี้ลากยาวจริงๆ ที่เมื่อกี้ลุงบอกว่าให้ฟังห้ดี ก็คือลุงอยากให้สังเกตว่า ความล่าช้าในการพิจารณาอีไอเอส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าทางต้นเรื่อง คือกรมชลประทานทำการศึกษาผลกระทบมาไม่เรียบร้อย และเมื่อให้ทำการบ้านเพิ่มเติมไปก็ยังทำไม่เรียบร้อยอีก ดังนั้นเมื่อเข้า กก. วล. คณะกรรมการจึงยังไม่ให้ความเห็นชอบ 



การที่ผลการศึกษาหรือว่าอีไอเอถูกตีกลับตั้งหลายรอบ ทั้งที่ คชก ทักท้วงในชั้นต้น และที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทักท้วง สะท้อนว่าโครงการนี้ต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่ แต่กรมชลประทานก็พยายามอย่างยิ่งที่จะเข็นเรื่องนี้ให้ผ่านให้ได้ 

“ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 เกิดมหาอุทกภัยในที่ราบภาคกลาง สร้างความเสียหายครอบคลุมพื้นที่ 39 จังหวัด รวมทั้งกรุงเทพฯด้วย ความเสียหายเกิดขึ้นทั้งพื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่เกษตร และพื้นที่อยู่อาศัย ลุงแมวน้ำยังต้องแบกกระสอบทรายจนปวดพุงปวดหลัง หลังจากน้ำลด ในปี 2555 รัฐบาลก็ทำโครงการเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท หรือว่าสามแสนห้าหมื่นล้านบาท เพื่อบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ 39 จังหวัด โดยกรรมวิธีการสร้างโครงการนั้นไม่ได้ทำมาจากแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ แต่ว่าเป็นการรวมเอาโครงการเขื่อนและโครงการบริหารจัดการน้ำต่างๆที่มีโครงการอยู่แล้ว มามัดรวมกันเป็นฟ่อน รวม 9 ฟ่อนหรือว่า 9 โมดูล แต่ละฟ่อนนั้นก็ประกอบด้วยโครงการย่อยหลายโครงการ

“ส่วนโครงการเขื่อนแม่วงก์นั้นถูกมัดรวมอยู่ในฟ่อนที่เรียกว่าโมดูล A1 และเขื่อนแม่วงก์เป็นโครงการรุ่นแรกของของโครงการเงินกู้เพื่อบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านนั่นเอง”



Monday, October 7, 2013

08/10/2013 * เขื่อนแม่วงก์ 101 ป่าสร้างได้ สัตว์ป่าก็สร้างได้ (1)






หมายเหตุ 

บทความชุดเขื่อนแม่วงก์นี้ลุงแมวน้ำเขียนขึ้นเพื่อปูพื้นเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับความขัดแย้งกรณีการสร้างเขื่อนแม่วงก์ให้พวกเราได้ทราบกัน หลายคนคงได้อ่านข่าวเกี่ยวกับการคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ แต่ก็อาจไม่ทราบถึงที่มาที่ไปว่าเป็นอย่างไร เพราะว่าเรื่องมันยาวมาก ประกอบกับบางคนอาจเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ที่จริงแล้วเรื่องเขื่อนแม่วงก์นี้มีผลกระทบต่อพวกเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นแง่การก่อหนี้สาธารณะซึ่งเราทุกคนต้องช่วยกันแบกรับไปจนถึงคนรุ่นหลัง การทำลายทรัพยากรซึ่งเราทุกคนมีส่วนร่วมกันเป็นเจ้าของ รวมทั้งการทุจริตเชิงนโยบาย การฉ้อราษฎร์บังหลวงทั้งตามน้ำและทวนน้ำที่อาจเกิดขึ้นได้ที่มีผลต่อความรุ่งเรืองหรือเสื่อมโทรมของประเทศ

ลุงแมวน้ำพยายามเขียนให้ง่ายที่สุด ลำดับความเป็นมา รวบรวมประเด็นสำคัญ สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามเรื่องมาเลย หรือได้ยินได้ฟังมาบ้างแต่ยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร จะเรียกว่าเป็น เขื่อนแม่วงก์ 101 หรือ เขื่อนแม่วงก์สำหรับผู้ไม่รู้เรื่องราวมาก่อน ก็ได้ โปรดสละเวลาอ่านกันสักนิดนะคร้าบ เพื่อประโยชน์ของพวกเราทุกคน ^_^



เช้าวันหยุดปลายเดือนที่ผ่านมา อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ช่วงนั้นฝนตกเกือบทุกวัน ทำให้อากาศเย็นสบาย แต่ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง ที่จริงเสียหลายอย่างด้วย เพราะแม้ว่าอากาศในกรุงเทพฯจะเย็นสบายขึ้น แต่ก็ต้องแลกด้วยความเฉอะแฉะ รถติด และน้ำท่วมขัง นอกจากนี้ ในต่างจังหวัดหลายพื้นที่ก็เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมด้วย

วันนั้นลุงแมวน้ำมีหนังสือที่ตั้งใจจะอ่านอยู่หลายเล่ม หลังจากที่ทำอะไรต่ออะไรเสร็จเรียบร้อย ลุงก็เอาหนังสือมาอ่าน ลุงแมวน้ำยังชอบอ่านหนังสือเป็นเล่มๆอยู่ รู้สึกสบายตากว่าอ่านบนแท็บเลต การอ่านอะไรบนหน้าจอทำให้ตาล้าเร็ว หากอ่านมากๆก็มักทำให้ปวดตา

ทีแรกก็นั่งดูหนังสือ... ก็อยู่แถวๆโขดหินแสนสุขนั่นแหละ นั่งไปนั่งมามาก็เปลี่ยนเป็นนอนดูหนังสือ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นหนังสือดูลุงแทนเสียได้ ก็อากาศมันน่านอนนี่นา ^_^

“ลุงแมวน้ำ ลุงแมวน้ำ ตื่นหน่อย แหม มาทีไรเห็นลุงหลับทุกที” ลุงแมวน้ำได้ยินเสียงแว่วๆ เหมือนมีคนกำลังเรียกอยู่

ลุงแมวน้ำงัวเงีย โงนเงน ลุกขึ้นมาดูว่าใครกำลังเรียก ก็ปรากฏว่าเป็นนายลิงจ๋อ หนึ่งในสมาชิกคณะละครสัตว์นั่นเอง ลุงแมวน้ำรีบสลัดความง่วง ลุกขึ้นนั่ง พลางวางมาดว่ากำลังอ่านหนังสือง่วนอยู่

“หลับอะไรที่ไหนกัน ลุงแค่พักสายตาเท่านั้นเอง อ่านหนังสือนานๆแล้วเมื่อยตา” ลุงแมวน้ำอธิบาย

“ฮึ พักสายตา ผมมาดูลุงอยู่ตั้งนาน เห็นหลับตา แถมยังกรนอีกด้วย” นายจ๋อพยายามเปิดโปงลุงแมวน้ำ “กรนเป็นเสียงดนตรีเชียว”




เมื่อลุงแมวน้ำหายง่วง ก็สังเกตว่าลิงจ๋อมอมแมมไปมากทีเดียว ไม่เห็นนายจ๋อมาสองสามวันแล้ว ที่มอมแมมคงเป็นเพราะออกไปเที่ยวข้างนอกมาเป็นแน่

“นายจ๋อไปเที่ยวที่ข้างนอกมาเหรอ มอมแมมมาเชียว” ลุงแมวน้ำพูด

“เปล่าเที่ยวเสียหน่อย ผมไปเดินทางไกลมา” ลิงจ๋อพูด “เดินมาจากอยุธยาโน่น”

“เดินจากอยุธยาทำไม นี่ติดหุ้นถึงขนาดไม่มีค่ารถเลยเหรอ” ลุงแมวน้ำแปลกใจ

“ลุงก็ พูดซะ” ลิงจ๋อประท้วง “นี่เรียกว่าผมลงทุนระยะยาวต่างหาก แล้วเงินค่ารถก็มีด้วย”

“เอ้า ลงทุนระยะยาวก็ได้ แล้วทำไมต้องเดินมาจากอยุธยา” ลุงแมวน้ำวกเข้าประเด็น

“ก็ผมไปร่วมเดินคัดค้านรายงานอีเอชไอเอ (EHIA) ของโครงการเขื่อนแม่วงก์มาน่ะสิ พวกเราที่คณะละครสัตว์นี่ก็ไปร่วมด้วยหลายตัวทีเดียว” ลิงจ๋ออธิบาย “เขาเดินมากันตั้งแต่นครสวรรค์เข้ากรุงเทพฯ แต่พวกเราไม่ได้เดินตลอดช่วง เราไปสมทบที่อยุธยา แล้วก็เดินเข้ากรุงเทพฯมา”

“ยังงี้นี่เอง ลุงไม่ยักรู้เรื่อง” ลุงแมวน้ำถึงบางอ้อ “มิน่าล่ะ สองวันนี้ที่โรงละครสัตว์ถึงได้เงียบๆ ลุงยังนึกว่าฝนตก งดแสดง แล้วออกไปเที่ยวกันเสียอีก”

“ลุงแมวน้ำจะไปสนใจเรื่องป่าเขา กวาง เสือโคร่ง ทำไม เรื่องไกลตัวลุงนี่ ถ้าเป็นนกเพนกวิน หมีขาว ล่ะก็ว่าไปอย่าง” นายจ๋อตัดพ้อ “ผมชวนลุงแล้วแต่ลุงไม่สนใจจะเข้าร่วม ตอนจะไปเดินผมเลยไม่ได้บอกลุงอีกที”

“ลุงไม่ได้บอกว่าไม่สนใจ แต่ลุงบอกว่าขอศึกษาก่อนไง” ลุงแมวน้ำพูดแก้

“ก็นั่นไง คือลุงบอกปัดแบบไม่ให้ผมเสียน้ำใจ” นายจ๋อยิ่งพูดยิ่งเครียด ดูนายจ๋อจริงจังกับเรื่องเขื่อนแม่วงก์นี้มาก

“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ” ลุงแมวน้ำพูดพลางเอาครีบชี้ให้ดูกองหนังสือที่อยู่ข้างๆตัวลุง “เห็นกองหนังสือพวกนี้ไหม นี่คือ รายงานการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพหรือที่เรียกว่าอีเอชไอเอ (EHIA, Environmental Health Impact Assessment) ของโครงการเขื่อนแม่วงก์ เป็นฉบับร่าง ที่พวกนายกำลังคัดค้านกันนั่นแหละ ลุงหามาอ่านดู จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ชุดหนึ่งมีตั้งหลายเล่ม หนักหลายกิโลกรัมทีเดียว”

“เอ่อ...” นายจ๋อถึงกับเงิบ “นี่ลุงหามาอ่านเลยเหรอ ผมนึกว่าลุงไม่สนใจเสียอีก”



“ลุงขอศึกษาก่อน เพราะว่าหากลุงจะค้านก็จะได้ค้านด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ค้านอย่างไม่เข้าใจเพราะไปฟังเขาเล่ามา ลุงถือหลักกาลามสูตร อย่าฟังเขาเล่าว่า” ลุงแมวน้ำอธิบาย “ความรวดเร็วการแบ่งปันข่าวสารในเครือข่ายสังคมเป็นเรื่องดาบสองคม ข้อดีคือข่าวสารแพร่ได้กว้างอย่างฉับไว สามารถเร้าอารมณ์ร่วมของมวลชนได้ง่าย แต่ข้อเสียก็คือหากนำไปใช้ในทางไม่สร้างสรรค์ก็จะกลายเป็นเหมือนลัทธิล่าแม่มดในยุคก่อน คือผิดถูกไม่รู้ล่ะ แต่ฉันเอาด้วยไว้ก่อน เพราะสถานการณ์สร้างอารมณ์ร่วม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดาก็เป็นตัวอย่างของการทำลายล้างจากอารมณ์ร่วมพาไป และก็เหมือนหุ้นผีบอกนั่นแหละ บอกกันทั่ว รู้กันทั่ว และเจ๊งกันทั่ว เพราะแห่กันเข้าไปซื้อโดยเชื่อที่เขาบอกต่อๆกันมา”

“ประโยคหลังนี่คุ้นๆนะลุง ลุงกำลังว่าใครอยู่หรือเปล่า” ลิงจ๋อทำเสียงอ่อยลง ดูหายเครียดไปไม่น้อย “ลุงอ่านแล้วได้ความยังไงบ้างล่ะ เห็นลุงหลับตาอ่านแบบนี้เมื่อไรจะรู้เรื่องเสียที”

“ไม่ได้หลับตาอ่าน ลุงแค่พักสายตา” ลุงแมวน้ำเถียง “ก็อ่านไปได้พอสมควรแล้ว ได้ความยังไงแล้วจะเล่าให้ฟังอีกที”

“ได้เลยลุง ถ้ายังงั้นตอนบ่ายผมมาหาลุงอีกทีหนึ่ง ลุงเล่าให้ผมฟังหน่อยนะ” ลิงจ๋อพูดแล้วก็กระโดดเอาหางคล้องกิ่งไม้และห้อยโหนจากไป



มหากาพย์เขื่อนแม่วงก์





ตอนบ่าย

บ่ายวันนั้นลิงจ๋อมาหาลุงแมวน้ำตามที่ได้นัดกันไว้ แต่ไม่ได้มาเพียงตัวเดียว ยีราฟและกระต่ายก็มาด้วย

“อ้าว ไม่นึกว่าแม่ยีราฟกับกระต่ายน้อยจะมากับนายจ๋อด้วย นี่ว่างกันหรือไง” ลุงแมวน้ำทักทาย

“ว่างจ้ะลุง เดี๋ยวค่ำๆค่อยแสดง” ยีราฟสาวผู้พิสมัยถั่วฝักยาวตอบ

“แล้วกระต่ายน้อยสนใจเรื่องเขื่อนแม่วงก์กับเขาด้วยเหรอ” ลุงแมวน้ำถามอีก

“พี่จ๋อชวนมาฮะ ผมอยู่แต่ในหมวก ไม่มีอะไรทำ เลยมาด้วย” กระต่ายน้อยตอบ พลางทำจมูกฟุดฟิดและกระดิกหางปุยไปมาตามประสากระต่าย

กระต่ายน้อยแต่งตัวอย่างดี แตกต่างจากกระต่ายทั่วไป เพราะมีระดับเป็นถึงกระต่ายของนักมายากล ลุงแมวน้ำไม่ค่อยได้เจอกระต่ายน้อยบ่อยนัก เนื่องจากส่วนใหญ่ซ่อนตัวอยู่แต่ในหมวกของนักมายากล นานๆจึงจะออกมาเสียที ลุงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในหมวกมีอะไรทำถึงได้อยู่ในนั้นได้ตั้งนานสองนาน

“เอ้า ลุงแมวน้ำ เริ่มได้เลย อ่านรายงานผลกระทบแล้วได้ความยังไงบ้าง” ลิงจ๋อเร่งรัด ดูลิงกระตือรือร้นกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ

“แล้วแม่ยีราฟกับกระต่ายน้อยรู้ความเป็นมา ที่มาที่ไปของเขื่อนแม่วงก์นี่แล้วหรือ” ลุงแมวน้ำถาม

“ยังเลยฮะลุง” กระต่ายน้อยตอบ “ผมไม่รู้เรื่องเลย ผมเป็นกระต่ายเมือง ไม่รู้ข่าวเรื่องเขื่อนเลย” กระต่ายพูด

“ฉันเคยได้ยินจ้ะลุง ทีแรกก็เห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว เลยไม่ได้สนใจ ถ้าเป็นเรื่องถั่วฝักยาวละก็ว่าไปอย่าง” ยีราฟพูดบ้าง “แต่ได้ยินนายจ๋อพูดให้ฟังบ่อยๆ ก็ชักสนใจบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก”

“ถ้าอย่างนั้นลุงเท้าความตั้งแต่ต้นเรื่องเลยก็แล้วกัน พวกเราจะได้รู้ที่มาที่ไปของเขื่องแม่วงก์นี้ และจะได้เข้าใจว่าทำไมจึงเป็นประเด็นในคนออกมาคัดค้าน” ลุงแมวน้ำพูด “ที่จริง แม้ว่าพวกเราอยู่กันที่กรุงเทพฯ แต่กรณีเขื่อนแม่วงก์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย แม้ว่าเขื่อนนี้จะกำหนดที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนครสวรรค์ แต่ผืนป่าที่กำลังจะถูกทำลายไปเพราะการสร้างเขื่อนนั้นถือได้ว่าเป็นสมบัติของคนทั้งชาติ จะว่าเป็นสมบัติของมนุษยชาติก็ว่าได้ ดังนั้นพวกเราทุกคนควรมีสิทธิ์หวงแหนและคัดค้านได้หากการดำเนินการสร้างเขื่อนมีข้อน่าสงสัย”

“เป็นสมบัติของคนทั้งชาติเลยเหรอลุง” กระต่ายน้อยถาม ดวงตากลมโต สีแดงใสแจ๋ว “เพราะอะไรฮะ”

“ใช่แล้ว” ลุงแมวน้ำตอบ “ลุงกำลังจะอธิบายฟัง ค่อยๆฟังลุงลำดับความไปก็แล้วกัน”

ลุงแมวน้ำหยุดคิดนิดหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อ

“ที่จริงเรื่องโครงการเขื่อนแม่วงก์นี้ ถึงตอนนี้ก็มีคนพูดถึงและเขียนถึงกันมากพอสมควรแล้ว หากเราต้องการหาข้อมูลก็สามารถหาอ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ไม่ยาก เอาเป็นว่าลุงจะพูดในบางแง่มุมที่ต่างจากที่คนอื่นๆก็แล้วกัน

“ความเป็นมาของเขื่อนแม่วงก์นี้เรียกได้ว่าเป็นระดับมหากาพย์เลยทีเดียว โดยแนวคิดเรื่องเขื่อนกั้นลำน้ำแม่วงก์นี้ต้องเท้าความกันตั้งแต่ยุค พ.ศ. 2513 หรือสี่สิบกว่าปีมาแล้ว โดยในยุคนั้นกรมชลประทานได้เริ่มทำการสำรวจความเป็นไปได้ในการพัฒนาลุ่มน้ำสะแกกรัง โดยลุ่มน้ำสะแกกรังนี้ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ อุทัยธานี กำแพงเพชร และนครสวรรค์ ซึ่งลำน้ำแม่วงก์นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของลุ่มน้ำสะแกกรังด้วย โดยลำน้ำแม่วงก์ไหลผ่านอำเภอลาดยาวและอำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์

“ในฤดูน้ำหลาก หลายพื้นที่ในลุ่มน้ำสะแกกรังมักเกิดปัญหาน้ำท่วม แนวคิดของเขื่อนแม่วงก์ในยุคนั้นจึงเกิดจากชาวบ้าน อำเภอแม่วงก์ ลาดยาว ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมจากลำน้ำแม่วงก์ ที่ได้เป็นเห็นผลดีจากโครงการเขื่อนภูมิพลที่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ จึงทำให้อยากได้เขื่อนมาแก้ปัญหาน้ำท่วมบ้าง และมีการผลักดันผ่านทางนักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งดังที่ลุงบอกว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่กรมชลประทานทำการสำรวจความเป็นไปได้ในการพัฒนาลุ่มน้ำสะแกกรังอยู่แล้ว

“เอาละ ทีนี้ตัดภาพมาที่ปี พ.ศ. 2525 ซึ่งในช่วงปี พ.ศ. 2525-2529 เป็นช่วงเวลาภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 5 หรือที่เรียกสั้นๆว่า แผน 5 ซึ่งแผน 5 นั้นเน้นการขยายพื้นที่ชลประทานและพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก โดยโครงการพัฒนาลุ่มน้ำสะแกกรังได้ถูกบรรจุเอาไว้ในแผน 5 นี้ด้วย

“ประจวบกับในปี พ.ศ. 2526 เกิดน้ำท่วมใหญ่ในหลายอำเภอของจังหวัดนครสวรรค์ ทำให้ประชาชนในพื้นที่เรียกร้องต้องการเขื่อนเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม และในปี พ.ศ. 2528 องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่าไจก้า (JICA) ก็ได้เข้ามาช่วยเรื่องการศึกษาการพัฒนาลุ่มน้ำสะแกกรังและศึกษาความเหมาะสมของการสร้างเขื่อนแม่วงก์”

“ปี 26 จำได้จ้ะ ปีนั้นอย่าว่าแต่น้ำท่วมใหญ่ที่นครสวรรค์เลย ที่กรุงเทพฯก็มีน้ำท่วมใหญ่ ตอนนั้นฉันยังเด็กอยู่เลย โชคดีที่คอยาว จึงลอยคอรอดมาได้” ยีราฟสาวพูดขึ้นบ้าง

“แล้วผลการศึกษาของไจก้าเป็นยังไงบ้างล่ะลุง” ลิงจ๋อถาม

“ก็สรุปว่าโครงการเขื่อนแม่วงก์มีศักยภาพ เหมาะสมที่จะสร้างได้” ลุงแมวน้ำตอบ

“เดี๋ยวก่อน ลุงแมวน้ำ ขอถามอีกนิด แล้วเขื่อนแม่วงก์นี่ตั้งอยู่ที่ไหนกัน” กระต่ายน้อยสงสัยบ้าง

“ตรงนี้แหละที่เป็นประเด็นสำคัญของมหากาพย์เรื่องนี้” ลุงแมวน้ำตอบ “สถานที่ตั้งของเขื่อนแม่วงก์ หรือว่าจุดที่จะสร้างเขื่อน หรือว่าตำแหน่งหัวเขื่อน ทั้งสามคำนี้มีความหมายเดียวกัน จากการสำรวจเบื้องต้นที่ทำไว้เดิมของกรมชลประทานและของไจก้า มีตัวเลือกอยู่สองพื้นที่ คือสร้างกั้นลำน้ำแม่วงก์ตรงบริเวณเขาสบกก และกับที่บริเวณเขาชนกัน อยู่ในอำเภอแม่วงก์ทั้งคู่

“ผลการสำรวจในยุคนั้นออกมาว่า บริเวณเขาชนกันนั้นสามารถสร้างเขื่อนที่เก็บกักน้ำได้ในปริมาณมากกว่า แต่ว่าโครงสร้างชั้นหินใต้ดินไม่แข็งแรง ไม่เหมาะกับการสร้างเขื่อน อีกทั้งในพื้นที่เขาชนกันมีราษฎรอยู่อาศัยมากกว่า ยากแก่การโยกย้าย ดังนั้นการศึกษาจึงพุ่งเป้ามาที่บริเวณเขาสบกก ตำบลแม่เล่ย์ อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ปัจจุบันอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ โดยบริเวณที่จะเป็นหัวเขื่อนนั้นมีลักษณะเป็นป่าที่ราบต่ำ อยู่ริมน้ำ และมีความอุดมสมบูรณ์มาก”



“อ้อ เข้าใจแล้วฮะ ยังงั้นลุงแมวน้ำเล่าต่อเลยฮะ” กระต่ายน้อยตอบ

“จากผลสำรวจของไจก้า ดังนั้นต่อมา ในปี พ.ศ. 2532 คณะรัฐมนตรีในยุคนั้นจึงมีมติให้กรมชลประทานไปดำเนินการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือที่เรียกว่าอีไอเอ (EIA, Environmental Impact Assessment)”

“อีไอเอ คืออะไร แล้วทำไปทำไมฮะ” กระต่ายน้อยกระดิกหางปุกปุยถามอีก

“อีไอเอนั้นเป็นเรื่องที่เราเอาองค์ความรู้มาจากฝรั่งตะวันตก ใช้กับการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ใดๆที่อาจเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างรุนแรง” ลุงแมวน้ำตอบ  “อีไอเอคือการศึกษา วิเคราะห์ และประเมินผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ทั้งทางบวกและทางลบ ของโครงการนั้น อีกทั้งยังรวมไปถึงการกำหนดวิธีการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้นด้วย

“กระบวนการทำอีไอเอนั้นต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ และเขียนเป็นรายงานออกมา รายงานอีไอเอนี้มีความสำคัญมาก เพราะการทำโครงการขนาดใหญ่ที่อาจส่งผลกระทบรุนแรง กฎหมายระบุว่าต้องให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประเมินอีไอเอให้ผ่านเสียก่อน หากรายงานอีไอเอยังไม่ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ก็ยังทำโครงการนั้นๆไม่ได้”

“การทำอีไอเอนั้นศึกษาและประเมินผลกระทบ พร้อมกับกำหนดวิธีการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ใน 4 ด้าน คือ ด้านกายภาพ ได้แก่พวก ดิน น้ำ อากาศ ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรขณะที่มีการก่อสร้างโครงการและหลังจากก่อสร้างโครงการไปแล้ว ด้านที่สองก็คือด้านทรัพยากรชีวภาพ ว่าโครงการส่งผลต่อระบบนิเวศอย่างไร ด้านที่สามคือคุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ ศึกษาผลกระทบว่าการใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และด้านที่สี่ คุณค่าต่อคุณภาพชีวิต เป็นการศึกษาผลกระทบของโครงการที่กระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนในพื้นที่”

“อ้อ เข้าใจแล้วฮะ เป็นอันว่าเขื่อนแม่วงก์นี้เริ่มทำอีไอเอตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ไหงทำนานจัง จนป่านนี้ยังไม่เสร็จ” กระต่ายน้อยถามอีก

“กระต่ายน้อยเข้าใจผิดแล้ว อีเอไอนี้ทำเสร็จแล้ว เขียนเป็นรายงานออกมาแล้ว แต่สอบไม่ผ่านต่างหาก” ลิงจ๋อช่วยตอบ

Thursday, October 3, 2013

03/10/2013 * อเมริกาชัตดาวน์ แนวโน้มราคาทองคำ ดอลลาร์ สรอ ยูโร เยน บาท และตลาดหุ้นไทย


โอบามาแคร์ ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า นโยบายสำคัญของพรรคเดโมแครต คนชอบก็มาก คนชังก็เยอะ


อเมริกาชัตดาวน์ เมื่อเดโมแครตประลองกำลังกับรีพับลิกัน

ช่วงหลังลุงแมวน้ำอัปเดตทางเฟซบุ๊กมาสักพักหนึ่งแล้ว เพราะว่าทำง่ายและคล่องตัวดี การปรับปรุงเว็บบล็อกทำได้ยากกว่า แต่การอัปเดตทาง FB ก็ทำได้สะดวกเฉพาะประเด็นสั้นๆ หากมีภาพประกอบเยอะ ลุงแมวน้ำก็ยังเลือกใช้เว็บบล็อกในการพูดคุยกันมากกว่า

วันนี้เรามาคุยกันหลายเรื่อง เรื่องแรกคือประเด็นอเมริกาชัตดาวน์หรือภาวะรัฐบาลเงินชอร์ตจนหน่วยราชการบางส่วนต้องปิดทำการ

ลุงแมวน้ำทบทวนประเด็นนี้สั้นๆละกัน เพราะคิดว่าพวกเราคงหาอ่านได้ไม่ยาก เรื่องของเรื่องก็คือตอนนี้รัฐบาลเงินขาดมือ รายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง เดิมทีอาศัยการกู้เงินมาเสริมสภาพคล่อง แต่ก็มาติดที่ว่ากู้เงินจนเต็มเพดานแล้ว กู้อีกไม่ได้ ทางออกก็คือต้องแก้ไขกฎหมายเพื่อขยายเพดานหนี้ ให้สามารถก่อหนี้ได้มากขึ้น จะได้กู้เงินต่อไปได้

แต่เนื่องจากการเมืองของอเมริกาตอนนี้ ประธานาธิบดีหรือว่าน้าโอบามาเป็นฝ่ายพรรคเดโมแครต และสมาชิกวุฒิสภาส่วนใหญ่ก็เป็นพรรคเดโมแครต แต่ว่าสมาชิกสภาผู้แทนส่วนใหญ่เป็นฝ่ายพรรครีพับลิกัน เมื่อรัฐบาลกับสภาล่างหรือสภาผู้แทนเป็นคนละพวกกันก็ทำงานได้ยาก

กฎหมายสำคัญของรัฐบาลพรรคเดโมแครตฉบับหนึ่งก็คือกฎหมายที่เรารู้จักกันในชื่อเล่นว่าโอบามาแคร์ กฎหมายนี้ก็คือกฎหมายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านั่นเอง

ตอนนี้หลักประกันสุขภาพของประชาชนคนอเมริกันก็คือการซื้อประกันสุขภาพ ซึ่งคนมีเงินก็ซื้อได้ แต่ว่าคนจนซื้อไม่ไหวเพราะว่าเลี้ยงปากท้องยังไม่พอ จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อประกันสุขภาพ ดังนั้นคนอเมริกันที่ยากจนหลายสิบล้านคนจึงไม่มีประกันสุขภาพ พวกนี้หากเจ็บป่วยขึ้นมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะว่าค่ารักษาพยาบาลในอเมริกาแพงมาก 

พรรคเดโมแครตก็พยายามออกกฎหมายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามาเป็นสิบปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมามีเอาสมัยน้าโอบามา โดยสาระสำคัญของกฎหมายนี้คือ ใครที่ยากจนรัฐจะอุดหนุนเงินให้เพื่อเอาไปซื้อประกันสุขภาพ จะได้มีประกันสุขภาพกันทุกคน แต่พรรคเดโมแครตไม่เคยผลักดันกฎหมายนี้ได้สำเร็จ เพราะว่าพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นพรรคของชนชั้นกลางและสูงไม่เอาด้วย เนื่องจากไม่ต้องการเอาเงินภาษีอากรจำนวนมากไปอุ้มคนจน ก็เพิ่งจะมาสำเร็จเอาในยุคน้าโอบามานี่เอง

แต่กฎหมายฉบับนี้มีวิบากกรรม เกือบจะได้บังคับใช้อยู่แล้ว พรรครีพับลิกันที่กุมเสียงสภาล่างส่วนใหญ่อยู่พยายามเตะสกัดแต่ก็ไม่สำเร็จ ก็บังเอิญมามีเรื่องรัฐบาลขาดสภาพคล่องเพราะกู้เต็มเพดานหนี้แล้ว เมื่อจะขยายเพดานเงินกู้ จึงทำให้เกิดการต่อรองกันระหว่างพรรคเดโมแครตต้นสังกัดของน้าโอบามากับพรรครีพับลิกันที่มีฐานเสียงหลักเป็นกลุ่มชนชั้นกลาง โดยตัวประกันของการต่อรองนี้ก็คือกฎหมายประกันสุขภาพถ้วนหน้าโอบามาแคร์นี่เอง แต่ต่อรองกันยังไม่สำเร็จเพราะเรื่องมันยาวมาก แต่เงินก็ขาดมืออยู่ พรรคเดโมแครตกับรีพับลิกันก็เลยตกลงกันว่าถ้ายังงั้นออกกฎหมายงบประมาณชั่วคราวกันก่อนละกัน โดยกฎหมายนี้ไม่ได้ทำให้ก่อหนี้เพิ่ม แต่ช่วยในแง่ให้รัฐบาลสามารถดึงเงินรายได้บางส่วนมาใช้ได้ก่อน

กฎหมายงบประมาณชั่วคราวนี้ใช้มาแล้วฉบับหนึ่ง ก็มีสภาพคล่องมาได้ชั่วระยะหนึ่ง มาตอนนี้เงินสดขาดมืออีกแล้ว ก็ต้องอาศัยกฎหมายงบประมาณชั่วคราวอีกฉบับ ซึ่งเป็นฉบับที่เป็นเรื่องกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง เนื่องจากสภาล่างผ่านกฎหมายนี้แต่ว่ามีการแปรญัตติ (ฝีมือพรรครีพับลิกันนั่นเอง) ให้เลื่อนการบังคับใช้กฎหมายโอบามาแคร์ไปอีกหนึ่งปี

กฏหมายงบประมาณชั่วคราวนี้จึงเป็นเหมือนกฎหมายที่วางยาพรรคเดโมแครตเอาไว้เนื่องจากพ่วงเรื่องการเลื่อนบังคับใช้กฎหมายโอบามาแคร์ไว้ด้วย แน่นอน พรรคเดโมแครตก็ไม่เอา เพราะต้องการบังคับใช้โอบามาแคร์ทันที น้าโอบามาบอกว่าหากจะต่อรองเรื่องโอบามาแคร์ก็ไม่ต้องคุยกัน

ดังนั้น ในขั้นตอนการอนุมัติกฎหมายของวุฒิสภา (ซึ่งพรรคเดโมแครตกุมเสียงข้างมากอยู่) วุฒิสภาจึงไม่เห็นชอบกับกฎหมายฉบับนี้ เป็นไงเป็นกัน เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อ ก็แปลว่าคราวนี้เงินต้องชอร์ตจริงๆ

เมื่อกฎหมายงบประมาณชั่วคราวไม่ผ่าน ปัญหาเรื่องรัฐบาลเงินชอร์ตก็แก้ไม่ตก เมื่อเงินชอร์ตก็ปล่อยให้ชอร์ตไป ก็ต้องปิดหน่วยงานบางส่วนลงเพื่อรักษากระแสเงินสดที่มีเหลือเพียงน้อยนิดเอาไว้ รวมทั้งน้าโอบามาเองยังงดเดินทางไปเยือนต่างประเทศเพื่อต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย

การต่อรองทางการเมืองในครั้งนี้ ตอนนี้เปรียบเสมือนรีพับลิกันกำลังตัดไม้ข่มนามเดโมแครต เพราะว่ากฎหมายงบประมาณชั่วคราวนี้เป็นแค่หนังตัวอย่าง หนังฉายจริงคือกฎหมายขยายเพดานหนี้ที่จะเข้าสภาในเร็วๆนี้ หากฎหมายขยายเพดานหนี้ผ่านสภาไม่ได้ ปัญหาจะบานปลายใหญ่กว่าตอนนี้มากนัก อย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลอาจต้องผิดนัดชำระหนี้ หรือพันธบัตรเด้งได้ นอกจากนี้ประเทศยังอาจถูกลดอันดับเครดิต ฯลฯ ดังนั้นคงต้องรอดูกันไปก่อนว่าฝ่ายการเมืองจะเจรจาต่อรองกันได้มากน้อยเพียงใด



แนวโน้มราคาทองคำ และเงินดอลลาร์ สรอ ยูโร และเยน

เมื่อรู้ที่มาที่ไปของความปั่นป่วนในสหรัฐอเมริกาแล้ว คราวนี้มาดูค่าเงินกับราคาทองคำกัน ดูภาพตามไปเลยคร้าบ ภาพมาก่อน คำบรรยายตามหลัง





ดัชนีดอลลาร์ สรอ (USD index) เป็นดัชนีที่บ่งชี้ค่าเงินดอลลาร์อเมริกันเมื่อเทียบเงินสกุลหลักอื่นๆ 6 สกุล ดัชนีดอลลาร์ สรอ หลังจากหลุดจากเส้นแนวโน้มแล้วก็มีการรีบาวด์เหมือนกับจะพยายามกลับขึ้นไปใหม่ แต่ในที่สุดก็เห็นชัดแล้วว่ากลับขึ้นไปไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้เงินดอลลาร์ สรอ จึงมีแนวโน้มขาลง และล่าสุด ดัชนีหลุด 80 จุดลงมาแล้ว

หากมองในแง่ปัจจัยพื้นฐาน เงินดอลลาร์ สรอ ก็น่าจะอ่อนค่า เพราะว่าตอนนี้รัฐบาลเสี่ยงที่จะเสียเครดิตการเงิน ประกอบกับลุงเบนยังไม่ลดวงเงินอัดฉีด ดังนั้นดอลลาร์ สรอ จึงอ่อนค่าลง





เงินยูโร แนวโน้มใหญ่เป็นขาลงอยู่ แนวโน้มกลางเป็นขาขึ้น และกำลังพยายามฝ่าด่านอยู่ ล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เงินยูโรผ่านแนวต้านสำคัญพร้อมทั้งเกิดหน้าต่างขาขึ้น (rising window) ล่าสุดยังแข็งค่าต่อเนื่อง 

จับตาดูกันต่อไป ค่าเงินยูโรนี้เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญ หากเงินยูโรสามารถแข็งค่าผ่าน 1.3700 ยูโร/ดอลลาร์ สรอ ได้ก็เท่ากับว่าฝ่าแนวต้านสำคัญและทะลุกรอบขาลงใหญ่ได้สำเร็จ เงินยูโรก็จะเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นใหญ่ และแปลว่าเงินดอลลาร์ สรอ จะอ่อนตัวลงอีกมาก 





เงินเยน ตอนนี้กำลังทะลุปลายสามเหลี่ยมชายธงขึ้นมา หากทะลุได้จริง ก็แปลว่าในระยะสั้นเงินเยนมีแนวโน้มแข็งค่า 

เงินเยน แนวโน้มใหญ่ของเงินเยนเป็นขาขึ้น คือเป็นแนวโน้มแข็งค่า แต่ผลจากนโยบายอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลของนายกรัฐมนตรีอาเบะ ซึ่งก็คือเป็นคิวอีฉบับญี่ปุ่นนั่นเอง ทำให้เงินเยนอ่อนค่าลง หากเทียบเคียงกับมาตรการคิวอีของลุงเบนแล้ว คิวอีของลุงอาบะน่าจะทำให้เงินเยนกลับทิศเป็นแนวโน้มใหญ่ขาลง

แต่ว่าจากรูปแบบทางเทคนิคกลับไม่เป็นเช่นนั้น ตอนนี้รูปแบบแนวโน้มใหญ่ยังไม่เปลี่ยน นั่นคือเงินเยนยังมีแนวโน้มใหญ่และแนวโน้มระยะสั้นเป็นแนวโน้มแข็งค่าอยู่ ดังนั้นใครที่คิดว่าในระยะยาวเงินเยนต้องอ่อนค่า ลุงแมวน้ำบอกว่าไม่แน่ รูปแบบทางเทคนิคยังไม่เป็นยังงั้น





ทองคำ ราคาทองคำนี่ก็แปลก ธรรมชาติของราคาทองคำสวนทางกับเงินดอลลาร์ สรอ แต่ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา เงินดอลลาร์ สรอ อ่อนค่า พร้อมไปกับราคาทองคำที่อ่อนตัวลง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คือปรากฏการณ์เงินดอลลาร์ สรอ กับราคาทองคำคล้อยตามกันนั้นเกิดขึ้นได้แต่ไม่ควรนานนัก 

สำหรับกรณีเช่นตอนนี้ ลุงแมวน้ำก็ว่าผิดปกติ สัปดาห์ที่แล้ว SPDR gold trust ซึ่งเป็นกองทุนทองคำใหญ่ที่สุดในโลก ก็ยังขายสุทธิอยู่ นักวิเคราะห์บางคนตั้งสมมติฐานว่าอเมริกากดราคาทองคำลงเพื่อพยุงค่าเงินดอลลาร์ สรอ เอาไว้ เพราะตามจริงแล้ว ดอลลาร์ สรอ ควรจะอ่อนค่ามากกว่านี้ แต่เนื่องจากราคาทองคำร่วงลง จึงช่วยชะลอเงินดอลลาร์ สรอ ไม่ให้อ่อนค่าเร็วนัก ซึ่งเรื่องนี้จะจริงหรือไม่คงไม่มีใครยืนยันได้ แต่ในทางเทคนิค ตอนนี้ทองคำเป็นแนวโน้มขาลงอยู่

ระวังเอาไว้บ้าง สองวันมานี้ ราคาทองคำร่วงแรงตามมาด้วยขึ้นแรง คือเกิดแท่งเทียนดำใหญ่ แล้วตามติดมาด้วยแท่งเทียนขาวใหญ่ แปลว่าอาจกลับทิศได้ 


แนวโน้มเงินบาท




เงินบาทจะไปทางไหน จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค เงินบาทแข็งค่าจนหลุดเส้นแนวโน้มและเกิดช่อง (gap) แม้ว่าหลังจากนั้นจะอ่อนค่าลง แต่สิบวันแล้วก็ยังอ่อนค่ามาปิดช่องไม่ได้ ดังนั้นต้องมองว่าที่เงินบาทอ่อนค่าในสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นเพียงการเด้งชั่วคราว แนวโน้มน่าจะแข็งค่าต่อไป 



แนวโน้มตลาดหุ้นไทย





ตลาดหุ้นไทยน่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดของช่วงนี้มาแล้ว  เมื่อพิจารณาจากเครื่องมือด้านโมเมนตัม ตอนนี้อยู่ในภาวะไร้ทิศทาง แต่หากพิจารณาด้วยการนับคลื่น เราน่าจะอยู่ในคลื่นขาขึ้น ส่วนจะจบคลื่น 4 แล้วหรือไม่ยังยากตอบได้ เพราะว่าคลื่น 4 น่าเวียนหัว อาจไม่จบง่ายๆ 

หากเงินบาทแข็งค่าก็จะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในแง่มีเงินทุนไหลเข้ามา รวมทั้งน่าจะมีส่วนช่วยให้ตลาดหุ้นเข้าสู่คลื่น 5 ได้เร็วขึ้น

ทางที่ดีก็ดูไปกันทีละด่าน ตอนนี้เราผ่าน 1400 จุดมาแล้ว ต่อไปก็ดูที่ด่าน 1513 จุด ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญ และเป็นยอดคลื่น B เดิม หากผ่านได้แปลว่าน่าจะเข้าคลื่น 5 แล้ว คราวนี้ไปโลด ^_^

ยังคร้าบ ยังอาจไม่โลด เพราะว่าปัจจัยเสี่ยงหรือว่าภัยคุกคามของตลาดหุ้นไทยยังมีอยู่ นั่นคือ เรื่องการเมือง ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ความเสี่ยงทางการเมืองยังมากอยู่ ทางโหราศาสตร์ก็บอกว่า ตอนนี้ดาวเสาร์กับราหูกำลังเล็งลัคนาดวงเมืองอยู่ อาจเกิดเรื่องไม่คาดหมายได้ นี่ลุงแมวน้ำเอาทุกศาสตร์มาวิเคราะห์เลยนะเนี่ย ^_^ ดังนั้นก็เผื่อทางหนีทีไล่เอาไว้ด้วย 





Sunday, September 29, 2013

29/09/2013 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ เมนูสุขภาพเจ/มังสวิรัติ ข้าวอบต้มข่าไก่



ช่วงนี้ลุงแมวน้ำไม่ค่อยได้อัปเดตอะไรทางเว็บบล็อกเท่าไรนัก เนื่องจากลุงมีงานมากขึ้น กับอีกอย่างหนึ่งก็คือตลาดหุ้นอยู่ในคลื่น 4 ซึ่งไม่ได้ไปไหนไกล ขึ้นๆลงๆอยู่แถวนี้ ก็เลยไม่มีประเด็นอะไรให้อัปเดตมากนัก รอเวลาอย่างเดียวว่าเมื่อไรจะเข้าสู่คลื่น 5 เสียที

นักวิเคราะห์และโบรกเกอร์ต่างๆตอนนี้ปรับเป้าปลายปีกันไปหลายรอบ เมื่อต้นปีก็ 1700-1800 จุด นี่ลุงเฉลี่ยๆเอานะ แต่ละโบรก แต่ละค่าย ตัวเลขไม่ตรงกันหรอก แต่พอกลางปีก็เหลือ 1400-1500 จุด มาล่าสุดนี้ ตอนที่ตลาดหุ้นทรงตัวอยู่เหนือ 1400 จุดได้ ก็ปรับใหม่อีก ตอนนี้เป้าปลายปีอยู่ที่ประมาณ 1550 จุด แต่ลุงแมวน้ำยังไม่เคยเปลี่ยน รถไฟสาย 1700 ของลุงยังอยู่เหมือนเดิม 

อ้าว วันนี้วันหยุดนี่ ลืมไป เราอย่าเพิ่งคุยเรื่องการลงทุนให้หนักสมองเลย คุยกันเรื่องอื่นดีกว่า ชีวิตไม่ได้มีแต่การลงทุน ชีวิตยังมีด้านที่งดงามอื่นๆอีกเยอะแยะ ^_^

แต่ด้านที่ไม่งดงามก็มี นั่นคือ ของแพง ตอนนี้ข้าวของแพงขึ้นทุกวัน ล่าสุด ลุงพบว่ามอเตอร์ไซค์รับจ้างขึ้นราคาแล้ว ขึ้นอยู่หลายบาทเหมือนกัน น้ำมันไม่ได้แพงขึ้นก็จริง แต่ว่าอาหารการกินแพงขึ้น ค่าครองชีพของคนขับมอเตอร์ไซค์สูงขึ้น หากคิดราคาเดิมก็ไม่พอกิน ก็ต้องปรับราคา

แต่มีสินค้าที่ไม่ปรับราคาอยู่เหมือนกัน นั่นคือ บรรดาผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งหลาย พูดง่ายๆก็คือ ตอนนี้กิจการที่เป็นเอสเอ็มอี โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นรายย่อย สายป่านสั้น กำลังรับผลกระทบอย่างหนัก ค่าจ้างพนักงานปรับเพิ่ม พนักงานหายากขึ้น แต่ไม่กล้าปรับราคาสินค้าของตนเอง เพราะแค่นี้ก็ขายไม่ออกจะแย่อยู่แล้ว ถ้าปรับขึ้นราคาก็อาจจะขายไม่ออกหนักยิ่งขึ้น

พ่อค้าแม่ค้าที่ขายพวกอาหารการกิน ใช่ว่าเมื่อปรับราคาแล้วจะมีรายได้เพิ่มขึ้นทุกราย เท่าที่ลุงลองสอบถามมา พวกที่ปรับราคาแล้วลูกค้าหายไปก็มี นี่คือกลไกตลาด ก็คนซื้อขาดกำลังซื้อ จะซื้ออะไรสักทีก็ต้องไตร่ตรอง

ตอนนี้ก็ใกล้เทศกาลเจเข้ามาทุกทีแล้ว ลุงแมวน้ำจึงเอาเมนูอาหารเจ/มังสวิรัติ แบบเมนูสุขภาพ ทำกินเองง่ายๆ มาฝาก วันหยุดบางทีก็แสนจะขี้เกียจ อยากพักผ่อนเยอะๆ ^_^ ดังนั้นการทำอะไรกินเองลุงก็เน้นที่ทำง่ายๆเป็นหลัก แต่ก็อร่อยพอควร อีกทั้งมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ และที่สำคัญคือประหยัด

เมนูสุขภาพเจ/มังสวิรัติ วันนี้เป็นข้าวอบต้มข่าไก่คร้าบ ไก่ปลอมนะ ไม่ใช่ไก่จริง ^_^

ปกติอาหารพวกแกงนี่จะทำยาก ต้องสมัยก่อนต้องโขลก ต้องตำ ต้องขูดมะพร้าวตั้นกะทิกันวุ่นวาย แต่ยุคมิลเลเนียมนี่ง่ายขึ้นมาก เพราะว่าใช้เครื่องปรุงสำเร็จรูป อีกทั้งประหยัดกว่าด้วย ที่ประหยัดกว่าเพราะว่าเมื่อก่อนทำแกงแต่ละทีต้องทำหม้อใหญ่ๆจึงจะคุ้ม เดี๋ยวนี้บางทีครอบครัวหนึ่งอยู่กันสองคน บางทีก็อยู่คนเดียวในคอนโด แล้วจะทำแกงหม้อใหญ่ยังไงไหว แต่เครื่องปรุงสำเร็จรูปนั้นส่วนใหญ่ทำสำหรับ 3-4 ที่ ดังนั้นถือว่าประหยัดกว่าเพราะว่าไม่ต้องทำมากมาย

แนวคิดของข้าวอบต้มข่านี้เกิดจากความขี้เกียจของลุงแมวน้ำนั่นเอง วันหยุดอยากทำอะไรง่ายๆ ไม่ต้องล้างจานให้มากมายด้วย อยากเอาทุกอย่างใส่ลงในหม้อข้าวแล้วหุง เป็นอาหารจานเดียว นี่แหละ ความเกียจคร้านทำให้เกิดนวัตกรรม ดังนั้นเมนูนี้จะเรียกว่าเป็นเมนูขี้เกียจของลุงแมวน้ำก็ได้ ^_^

ข้าวอบต้มข่านี้ทำแล้วจะกินได้ประมาณ 3-4 อิ่ม

เอ้า เรามาลงมือลงครีบทำกันเลย เตรียมวัตถุดิบและเครื่องปรุงกันก่อน ดูตามภาพเลยคร้าบ ภาพมาก่อน คำอธิบายตามหลัง





เครื่องแกง 1 ซอง

นี้คือเครื่องปรุงสำเร็จรูปของแกงต้มข่า ที่จริงมันก็คือเครื่องแกงสำหรับทำแกงต้มข่านั่นเอง แต่ลุงแมวน้ำเอามาประยุกต์ เจ้าของเครื่องแกงนี้ก็คงยังไม่รู้ว่าเครื่องแกงนี้เอามาทำข้าวอบได้ ^_^




ลุงแมวน้ำเลือกใช้ยี่ห้อนี้ก็เพราะว่ารสชาติใช้ได้ นอกจากนี้ดูจากส่วนผสมข้างหลังซอง เห็นว่าไม่มีเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลาปน ก็เอาละ ใช้ทำเมนูมังสวิรัติได้ เครื่องแกงต้มข่ามีหลายยี่ห้อ บางยี่ห้อใส่เนื้อไก่ลงไป บางยี่ห้อใส่น้ำปลาลงไป ก็ไม่มังฯแล้ว ส่วนยี่ห้อนี้ไม่มี แต่จะเข้าขั้นเป็นอาหารเจได้หรือเปล่าลุงก็ไม่แน่ใจ เพราะว่าสังเกตดูตรงเครื่องเทศ 18% ไม่รู้ว่าใส่เครื่องอะไรบ้าง หากมีกระเทียมก็ไม่ใช่เจแล้ว แต่ก็เอาเถอะ เจตนาของลุงแมวน้ำคือไม่เบียดเบียน จะเจหรือมังสวิรัติ สำหรับลุงก็อะลุ้มอะล่วยกันได้

ลุงแมวน้ำมีข้อสังเกตอีกอย่างก็คือ ฉลากข้างหลังนี้สำคัญมาก น่าจะบอกไว้ด้วยว่าใส่ผงชูรสกับแต่งกลิ่นหรือเปล่า เผื่อว่าผู้ใช้จะได้เลือกใช้ได้ถูกใจยิ่งขึ้น บางยี่ห้อบอกมาเลยว่าไม่มีผงชูรส แต่ยี่ห้อนี้ไม่ได้บอก เนื่องจากปกติหากมีก็ต้องบอก ไม่บอกถือว่าไม่มี แต่หากจะเน้นให้กระจ่างแม้ไม่มีก็บอกไปด้วยว่าไมีมีก็จะดี







ข้าวสาร 1.5 ถ้วย หรือหนึ่งถ้วยตวงครึ่ง หรือน้ำหนักประมาณ 250 กรัม

วัตถุดิบต่อมาก็เป็นข้าวสาร ปกติลุงแมวน้ำกินข้าวไรซ์เบอร์รี่ซึ่งเป็นข้าวกล้องอินทรีย์ แต่ในเมนูนี้ลุงผสมด้วยข้าวกล้องหอมมะลิลงไปด้วย เพราะว่าหากใช้ข้าวไรซ์เบอร์รี่ล้วนๆ ภาพที่ถ่ายออกมาจะเป็นข้าวสีดำๆ ไม่ค่อยน่าดู เกรงว่าหากเอาภาพมาใส่ในเว็บบล็อกแล้วผู้อ่านจะไม่กล้าเอาไปทำกิน หม้อที่หุงเพื่อถ่ายทำนี้จึงใช้ผสมกับข้าวหอมมะลิ

เอาเป็นว่าเรื่องข้าวสารนี้แล้วแต่สะดวก ใช้ข้าวกล้องหอมมะลิ ข้าวกล้องแดง ข้าวกล้องอะไรก็ได้ ซาวน้ำ 1 ครั้ง





เห็ดนางฟ้า 150 กรัม
ฟักทอง 120 กรัม
แครอท 1 หัว
ไส้กรอกเจ 4 แท่ง
กะทิ 50 มิลลิลิตร
น้ำเปล่า 600 มิลลิลิตร

ต้องอธิบายขยายความกันหน่อย

เห็ดนางฟ้ากับฟักทองนี่บอกเป็นถ้วยตวงไม่ถูก ได้แต่บอกเป็นน้ำหนัก แต่ของพวกนี้มากน้อยเปลี่ยนแปลงได้ตามความสะดวกของเรา หั่นเป็นชิ้นเล็ก

แครอทนี่ก็มีหัวใหญ่ หัวเล็ก ปริมาณก็ตามสะดวก มากไป น้อยไป ไม่เป็นไร หั่นเป็นชิ้นเล็ก อย่าใส่ลงไปทั้งแท่ง

กะทิ กะทินี่ก็ใช้กะทิกล่อง กล่องเล็กปกติขนาดประมาณ 250 มิลลิลิตร เราก็ตวงเอามา 50 มิลลิลิตร ใช้ถ้วยตวงที่มีขีดบอกอยู่ข้างๆ ว่ากี่มิลลิลิตร หรือกะเอาประมาณ 1/4 ของกล่องก็ได้ จะมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ จะไม่ใส่เลยก็ได้ หากกลัวไขมันจากกะทิ

น้ำ ปกติปริมาณน้ำขึ้นกับชนิดของข้าวสาร ข้าวขัดขาว ข้าวกล้อง ข้าวเก่า ข้าวใหม่ ใช้น้ำไม่เท่ากัน ขึ้นกับความชอบของบางคนอีก บางคนชอบแฉะก็ใช้น้ำมาก บางคนชอบข้าวสวยก็ใส่น้ำน้อย สำหรับลุงแมวน้ำที่ใช้ข้าวกล้อง ลุงใช้น้ำกับกะทิประมาณ 650 มิลลิลิตร (คือน้ำกับกะทิรวมกันเป็น 650 มิลลิลิตร หากลดกะทิลงเท่าไร ก็เพิ่มน้ำไปเท่านั้น ให้รวมกันเป็น 650 เสมอ) เรื่องน้ำกับกะทินี่ต้องลองผิดลองถูกดูสักครั้งสองครั้ง ปรับจนถูกใจ

ไส้กรอก นี่เป็นแหล่งโปรตีน ใช้ไส้กรอกเจ 4 แท่ง หั่นเป็นชิ้นเล็ก จะเป็นไส้กรอกเจรสหมู ไส้กรอกเจรสไก่ ก็ได้ทั้งนั้น ในภาพจะมีไส้หมูเจปนอยู่ด้วย (สีขาวๆที่วางติดกับไส้กรอก) อันนั้นลุงตัดออก เพราะว่าหาซื้อยาก






จากนั้นก็ใส่ทุกอย่างลงไปในหม้อ รวมทั้งเครื่องแกงด้วยนะ ฉีกซองใส่ลงไปเลย ถ้าลืมใส่เครื่องแกงละก็พังเลย ^_^





จากนั้นก็หุงด้วยโหมด mixed rice ข้าวกล้องต้องใช้โหมดนี้ หากเป็นข้าวขาวใช้โหมด plain rice





ปล่อยให้หมอหุงข้าวทำงานไป เราก็ไปนอนรอ เสร็จหม้อหุงข้าวก็ตัดไฟของมันเอง แล้วก็กินได้แล้วละ





ใส่ในจาน หน้าตาก็เป็นแบบนี้ ดูคล้ำๆเหมือนกับไม่น่ากิน แต่อร่อยใช้ได้ทีเดียว กลิ่นข่า ตะไคร้ หอมฉุย และที่สำคัญคือเป็นเมนูสุขภาพ น้ำตาลต่ำ ไขมันต่ำ และโซเดียมต่ำ มีทั้งแครอท ฟักทอง อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ส่วนในข้าวไรซ์เบอร์รี่เป็นกลุ่มพอลีฟีนอล แถมยังมีธาตุเหล็ก ไวตามิน และเกลือแร่อื่นๆ รวมทั้งให้เส้นใย เห็ดนางฟ้านี่ก็ให้เส้นใย มีไวตามินบ้างนิดหน่อย


สรุปว่าส่วนประกอบของเมนูในวันนี้ คือ

  1. เครื่องแกง 1 ซอง
  2. ข้าวสาร 1.5 ถ้วย หรือหนึ่งถ้วยตวงครึ่ง หรือน้ำหนักประมาณ 250 กรัม 
  3. เห็ดนางฟ้า 150 กรัม
  4. ฟักทอง 120 กรัม
  5. แครอท 1 หัว
  6. ไส้กรอกเจ 4 แท่ง
  7. กะทิ 50 มิลลิลิตร
  8. น้ำเปล่า 600 มิลลิลิตร

แหล่งวัตถุดิบและราคา

เครื่องแกงซองหนึ่งประมาณ 20 บาท หาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ต 

ข้าวสารก็หาได้ทั่วไป หรือตามที่ลุงเคยบอกเอาไว้ก็ได้ ข้าวไรซ์เบอรรี่ลุงซื้อมากิโลกรัมละ 80 บาท แต่บางแห่งก็ขายแพงกว่านี้

เห็ดนางฟ้า แครอท ฟักทอง ก็มีในซูเปอร์ฯ แต่หากซื้อในตลาดสด ราคาก็ถูกลง เห็ดนางฟ้ากิโลกรัมหนึ่ง 30-120 บาท แปรผันตามขนาดดอกเห็น ฤดูกาล และสถานที่ขาย ราคาในตลาดสดช่วงนี้ประมาณ 40-60 บาท  ฟักทองกิโลกรัมละ 20-25 บาท ส่วนแครอทกิโลกรัมละ 25-40 บาท 

วันก่อนลุงไปได้แครอทเลหลังที่ตลาดสด หัวเบ้อเริ่ม หนัก 200 กรัม ขายหัวละ 5 บาทเอง แม่ค้าจะรีบกลับบ้าน ^_^

กะทิ กล่องเล็กกล่องหนึ่งก็ 16-17 บาท หากหรูหน่อยก็ใช้กะทิธัญพืช คือกะทิปลอม ทำจากน้ำมันรำข้าว ราคากล่องละ 22-25 บาท จะไม่ใส่เลยก็ได้ จะได้ข้าวอบที่แคลอรี่ต่ำลง เพราะไขมันลดลง แต่รสชาติก็ยังใช้ได้อยู่ ลุงเคยลองแล้วเช่นกัน

ไส้กรอกเจ ปกติก็มีขายในซูเปอร์มาร์เก็ต ในช่วงเทศกาลเจนี้มีขายในซูเปอร์ฯทุกแห่งทุกแห่ง แต่หากเป็นนอกช่วงเจ บางเวลาก็อาจไม่มีขาย เพราะขายไม่ดีเลยไม่เอามาขาย นอกจากนี้ ไส้กรอกเจในซูเปอร์ฯ ยังขายปลีก ห่อละไม่กี่ร้อยกรัม หากจะซื้อแบบราคาประหยัด คือซื้อเป็นกิโลกรัมต้องไปที่แหล่งขายอาหารเจ แหล่งอาหารเจราคาถูกมีอยู่สองที่ คือที่ตลาดใหม่ เยาวราช (ตลาดใหม่ ไม่ใช่ตลาดเก่า) กับชานกรุงเทพฯฝั่งตะวันออก คือที่ซอยสันติอโศก ถนนนวมินทร์ ไส้กรอกเจตอนนี้ประมาณกิโลกรัมละ 150-160 บาท มี 20 แท่ง 

เคล็ดลับ หากต้องการใส่พวกผัก (แครอท เห็ด ฟักทอง) เยอะๆ ไม่ควรหุงในหม้อ เพราะอาจเกิดฟองล้นหม้อ และอีกอย่างคือวัตถุดิบพวกนี้อมน้ำไว้ในตัวเอง หากใส่มาก จะต้องไปปรับปริมาณน้ำที่ใช้ในการหุงข้าว ซึ่งปรับยาก เพราะเราเติมวัตถุดิบอื่นๆในปริมาณไม่แน่นอน หากปรับไม่เหมาะ ข้าวก็จะแฉะ จะแห้ง ไม่แน่นอน 

วิธีแก้ก็คือ เอาแครอท ฟักทอง เห็ดนางฟ้า แยกมาทำให้สุกด้วยเตาไมโครเวฟ คืออบในเตาไมโครเวฟนั่นเอง ใช้ไฟแรงสุด 3-5 นาที ส่วนข้าว กะทิ เครื่องแกง น้ำ ก็หุงในหม้อหุงข้าวตามปกติ เสร็จแล้วค่อยเอามาคลุกเคล้ารวมกันหลังจากข้าวสุกแล้ว

เอาละ เป็นอันว่าเสร็จแล้ว ข้าวอบต้มข่า เมนูขี้เกียจ เจ/มังสวิรัติ สุขภาพ ชื่อยาวเฟื้อยเชียว กินได้ 3-4 ที่ ต้นทุนประมาณ 100 บาท หากอยู่คนเดียวในคอนโด ทำตอนเช้า กินได้ทั้งวัน เช้ายันเย็น ใส่กล่องไปกินที่ที่ทำงานด้วย ^_^

ด้วยเครื่องปรุงสำเร็จรูปพวกนี้ เราสามารถทำเมนูข้าวอบแบบอาหารจานเดียวได้อีกเยอะแยะมากมาย ข้าวอบกระเทียมพริกไทย ข้าวอบกะเพรา ข้าวอบต้มยำ ข้าวอบสับปะรด ข้าวอบมัสมั่น ฯลฯ เอาไว้วันหลังลุงจะมาคุยให้ฟังอีก 

ขอตัวไปกินก่อนละคร้าบ หิวแล้ว ^_^